The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานเรื่อง-ดนตรีไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nut0853220950, 2022-01-26 09:26:45

โครงงานเรื่อง-ดนตรีไทย

โครงงานเรื่อง-ดนตรีไทย

Keywords: โครงงานเรื่อง-ดนตรีไทย

ดนตรไี ทย

คำ� นำ�

หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์เล่มน้ีจดั ข้ึนเพือ่ ความรู้
ทางเรื่องดนตรีไทย นำ� ไปต่อยอดพฒั นาต่อไป
ไดแ้ ละในปัจจุบนั คนส่วนใหญ่ไม่ไดใ้ หค้ วาม
สนใจเร่ืองน้ี กระผมจึงอยากตีแผร่วฒั นธรรม
ใหเ้ ป็นท่ีสนใจอีกคร้ัง

สารบญั 4

ประวตั ิความเป็นมาของดนตรีไทย 5
8-11
เคร่ืองดนตรีไทยประเภทดีด 12-15
เคร่ืองดนตรีไทยประเภทสี 16-17
เครื่องดนตรีไทยประเภทตี 18
เคร่ืองดนตรีไทยประเภทเป่ า
วงเครื่องสาย 19

วงป่ี พาทย์ 20-21

วงมโหรี

ประวตั คิ วามเป็ นมาและบุคคล
สำ� คญั ของดนตรไี ทย

ดนตรไี ทย เป็ นศลิ ปะแขนงหนึ่งของ หลวงประดษิ ฐไพเราะ เป็ นบุตรคน
ไทย ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจาก ประเทศตา่ ง ๆ สุดทอ้ งของนายสนิ และนางยมิ้ ศลิ ป
เชน่ อนิ เดยี จนี อนิ โดนีเซยี และอนื่ ๆ บรรเลง เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๖ สงิ หาคม พ.ศ.
เครอื่ งดนตรมี ี 4 ประเภท ดดี สี ตี เป่ า ๒๔๒๔ ทตี่ ำ� บลคลองดาวดงึ ส ์ จงั หวดั

ประวตั ดิ นตรไี ทย สมุทรสงคราม ครูสนิ ผูบ้ ดิ านน้ั เป็ น
เครอื่ งดนตรไี ทยเกดิ จากชนชาติ เจา้ ของวงปี่ พาทย ์ และเป็ นศษิ ยข์ อง พระ
ไทยเองและการเลยี นแบบชนชาตอิ นื่ ๆ ทอี่ ประดษิ ฐไ์ พเราะ(ครูมแี ขก หรอื มี ดรุ ยิ า
ยุใ่ กลช้ ดิ โดยเรมิ่ ตงั้ แตส่ มยั โบราณทไี่ ทย งกูร)
ตง้ั ถนิ่ ฐานอยู่ในอาณาจกั รฉ่องหวูด่ นิ แดน เรมิ่ หดั ดนตรตี งั้ แตอ่ ายุ ๕ ขวบ กบั บดิ า
ของประเทศจนี ในปัจจบุ นั ท�ำใหเ้ ครอื่ ง โดยเรมิ่ ตน้ เรยี นฆอ้ งใหญก่ อ่ นแลว้ เรมิ่ หดั
ดนตรไี ทยและจนี มกี ารแลกเปลยี่ นเลยี น ระนาดอยา่ งเอางานเอาการเมอื่ อาย ๑๑ ปี
แบบกนั นอกจากนี่ยงั มเี ครอื่ งดนตรอี กี จนสามารถออกงานประชนั ฝี มอื ไดต้ งั้ แต่
หลายชนิด ทชี่ นชาตไิ ทยประดษิ ฐข์ นึ้ ใช้ อายุเขา้ สูว่ ยั หนุ่ม โดยไดแ้ สดงฝี มอื เดยี่ ว
กอ่ นทจี่ ะมาพบวฒั ธรรมอนิ เดยี ซงึ่ แพร่ ครง้ั แรกทจี่ วนผูว้ า่ ราชการจงั หวดั

หลายอยูท่ างตอนใตข้ องแหลมอนิ โดจนี เพชรบุรี ในงานโกนจกุ ธดิ าของพระยาสุร
สำ� หรบั ชอื่ เครอื่ งดนตรดี งั้ เดมิ ของไทยจะ พนั ธพ์ สิ ุทธิ์ ขา้ หลวงใหญ่แหง่ มณฑล

เรยี นตามคำ� โดดในภาษาไทย เชน่ เกราะ ราชบุรี
โกรง่ กรบั ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พณิ เปี๊ยะ ซอ
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ อายุ ๑๙ ปี ไดแ้ สดงฝี มอื
ฆอ้ งและกลอง ตอ่ มาไดม้ กี ารประดษิ ฐ ์ เดยี่ วระนาดเอกถวายสมเดจ็ พระเจา้ น้อง
เครอื่ งดนตรใี หพ้ ฒั นาขนึ้ โดยน�ำไมท้ ที่ �ำ ยาเธอ เจา้ ฟ้ ากรมพระยาภาณุพนั ธุว์ งศว์ ร
เหมอื นกรบั หลายอนั มาวางเรยี งกนั ได้ เดชทถี่ ำ�้ เขางู ราชบุรี เป็ นทตี่ อ้ งพระทยั
เครอื่ งดนตรใี หม่ เรยี กวา่ ระนาดหรอื น�ำ มาก จงึ ทรงรบั ตวั เขา้ มาไวท้ วี่ งั บูรพา
ภริ มย ์ ในปี ตอ่ มาไดท้ ำ� หน้าทเี่ ป็ นจางวาง
ฆอ้ งหลาย ๆ ใบมาท�ำเป็ นวงเรยี กวา่

ฆอ้ งวง เป็ นตน้ มหาดเลก็ จงึ ขนามนามทา่ นวา่ “จางวาง

ศร” มาตงั้ แตค่ รง้ั นน้ั

เครอื่ งดนตรไี ทยประเภท
ดดี

เครอื่ งดนตรไี ทยประเภทดดี

คอื เครอื่ งดนตรปี ระเภททมี่ สี าย ตงั้ แตส่ ายเดยี วจนถงึ
7 สาย เกดิ เสยี งไดโ้ ดยการดดี ดว้ ยมอื ขา้ งหนึ่ง และมอื อกี ขา้ ง
หนึ่งกดสายตามเสยี งทตี่ อ้ งการ ลกั ษณะของเครอื่ งดนตรี
ประเภทนีป้ ระกอบดว้ ยสว่ นทเี่ ป็ นกระพุง้
บางทกี เ็ รยี กวา่
“กะโหลก” เพอื่ สำ� หรบั ทำ� ใหเ้ สยี งทดี่ ดี ดงั กอ้ งกงั วาน มคี นั
ทวน ลูกบดิ สะพานหนู หรอื นม เป็ นสว่ นประกอบทที่ �ำใหเ้ กดิ
เสยี ง แตเ่ ดมิ เครอื่ งดนตรที มี่ สี ายใชด้ ดี เราเรยี กตามบาลแี ละ
สนั สฤกษวา่ “ พณี “ ตอ่ มาบญั ญตั ชอื่ เรยี กใหมต่ ามรูปรา่ ง
ตามวสั ดุ หรอื ตามภาษาของชาตนิ นั้ ๆ เชน่ กระจบั ปี่ พณิ น�้ำ
เตา้ พณิ เพยี๊ ะ และจะเข้ เป็ นตน้

เครอื่ งดนตรไี ทยประเภทดดี
“ จะเข้ “

จะเข ้

เป็ นเครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอื่ งดดี อกี อยา่ งหนึ่งทมี่ สี าย 3 สาย ใน
กฎมณเฑยี รบาลสมยั อยุธยาตอนตน้ ไดร้ ะบุวา่ จะเขม้ เี ลน่ มาแลว้ แต่
ยงั มไิ ดผ้ สมเป็ นวงคงตา่ งคนตา่ งเลน่ เล่น ดงั กฏมณเฑยี รบาลทวี่ า่ “
รอ้ ง(เพลง)เรอื เป่ าขลุ่ย เป่ าปี่ ตโี ทนทบั ขบั รำ� โหร่ อ้ งนี่นนั “สมเดจ็
กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ ไดท้ รงประธานอธบิ ายถงึ กำ� เนิดวง
เครอื่ งสายไวว้ า่ “ผูช้ ายบางพวกซงึ่ หดั เลน่ เครอื่ งสายอย่างจนี จงึ คดิ
กนั เอา ซอดว้ ง ซออู ้ จะเขก้ บั ปี่ ออ้ เขา้ เล่นผสมกบั เครอื่ งกลองแขก
เครอื่ งผสมอยา่ งนีเ้ รยี กกนั วา่ “กลองแขกเขา้ เครอื่ งใหญ่” ซงึ่ ภาย
หลงั เราเรยี กการผสมวงแบบนีว้ า่ “เครอื่ งสายปี่ ชวา” แลว้ ทรง
กำ� หนดเวลาไวว้ า่ “เหน็ จะเกดิ ขนึ้ ในตอนปลายรชั กาลที่ 4 ดว้ ยเมอื่
ตน้ รชั กาลที่ 5 ยงั ถอื กนั วา่ เป็ นของเกดิ ใหม่” และทรงประธานตอ่ ไป
อกี วา่ “ครน้ั ตอ่ มาเอากลองแขกกบั ปี่ ออ้ ออกเสยี ใชท้ บั กบั รมั นาและ
ขลุ่ยแทนเรยี กวา่ ” มโหรเี ครอื่ งสาย” บางวงกเ็ ตมิ ระนาดและฆอ้ งเขา้

ดว้ ยจงึ เกดิ มโหรเี ครอื่ งสายผูช้ ายเล่นแทนผูห้ ญงิ อย่างเดมิ สบื กนั มาจนทุกวนั นี้ ทผี่ ู ้
หญงิ หดั เล่นกม็ แี ตน่ ้อยกวา่ ผูช้ ายเล่น แตก่ ารเลน่ มโหรเี ครอื่ งสายในชนั้ หลงั ดไู มม่ ี
กำ� หนดจำ� นวนเครอื่ งเล่น เชน่ ซอดว้ งและซออู ้ เป็ นตน้ แลว้ แตจ่ ะมคี นสมคั ร เขา้
เล่นเทา่ ใดกเ็ ขา้ เลน่ ไดม้ าจนถงึ สมยั ปัจจบุ นั นี้ บางวงกแ็ กไ้ ขเอาซอดว้ ง ซออูอ้ อกเสยี
ใชข้ มิ และฮาโมเนียฝรง่ั เขา้ ผสมแทน จากหลกั ฐานในกฎมณเฑยี รบาลและคำ�
อธบิ ายของสมเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพทำ� ใหเ้ หน็ วา่ จะเขม้ เี ลน่ มาตงั้ แตส่ มยั
อยุธยาตอนปลาย โดยเลน่ เป็ นอสิ ระ ตอ่ มาในรชั กาลท5ี่ จงึ รวมเลน่ เป็ นวงเรยี กวา่ “
วงมโหรเี ครอื่ งสาย “ เขา้ ใจวา่ เมอื่ มกี ารจดั รูปแบบการผสมวงดนตรไี ทยขนึ้ ใหม่ โดย
แยกเครอื่ งสายและเครอื่ งตปี ระเภทท�ำทำ� นองออกจากกนั จงึ ไดว้ งขนึ้ มาใหม่อกี 2 วง
คอื “วงเครอื่ งสาย , วงปี่ พาทย”์ และยงั ไดเ้ พมิ่ ขนึ้ มาอกี วงหนึ่ง คอื วงมโหรี (วงเครอื่ ง
สายผสมกบั วงปี่ พาทย ์ แตย่ อ่ ขนาดเครอื่ งดนตรใี นวงปี่ พาทยใ์ หเ้ ล็กลง อนั เป็ น
แบบแผนของวงดนตรไี ทยมาจนถงึ ทุกวนั นี้ ดงั นนั้ จะเขจ้ งึ ผสมอยู่ในวงเครอื่ งสาย
และวงมโหรี ซงึ่ ใชบ้ รรเลงรว่ มกบั ขบั รอ้ งในงานมลคลตา่ งๆโดยเฉพาะเฉพาะในงาน
มงคลสมรส สว่ นประกอบของจะเขม้ ี ดงั นี้
• ลำ� ตวั ทำ� ดว้ ยไมท้ อ่ นขดุ แตง่ ใหเ้ ป็ นโพรงภายใน มลี กั ษณะคลา้ ยจะเข้ คอื ตอนหวั
ใหญ่ท�ำเป็ นกระพุง้ ตอนกลางและตอนปลายยาว มลี กั ษณะเป็ นสเี่ หลยี่ ม ดา้ นลา่ งมี
ไมก้ ระดานแปะเป็ นพนื้ ทอ้ ง ยาวโดยตลอด ตอนกลางเจาะรูระบายเป็ นชอ่ งๆตอนหวั
และตอนทา้ ย จะใชไ้ มก้ ลงึ เป็ นเทา้ รองรบั ล�ำตวั ตอนหวั 4 เทา้ และตอนทา้ ย 1 เทา้
ตรงกลางลำ� ตวั ของ จะเขต้ ง้ั แตห่ วั จรดปลายประกอบไปดว้ ย
• รางรบั นม จะบากเป็ นรอ่ งยาวตงั้ แตห่ วั จรดหางใกลก้ บั รงั ไหม เพอื่ ความสวยงาม
ทางหวั ท�ำเป็ นทรงแหลม ตอนทา้ ยตดั ตรง
• หลกั ผูกสาย ท�ำดว้ ยโลหะกลมเลก็ สำ� หรบั พนั ผูกสายทง้ั สามไปยงั ลูกบดิ
• โตะ๊ ทำ� ดว้ ยโลหะ แบนเหมอื นกล่อง ภายในโปรง่ เพอื่ หนุนสาย
• แหน ทำ� ดว้ ยไมไ้ ผเ่ ล็กๆวางอยู่บนโตะ๊ เพอื่ ใหเ้ สยี งดงั ไพเราะในลกั ษณะของเสยี ง
จะเข ้
• นม ทำ� ดว้ ยไมไ้ ผ่ มขี าทงั้ สอง เพอื่ ตดิ ตง้ั ยดึ กบั รางรบั นม ลดหลน่ั เรยี งเป็ นล�ำดบั ไว้
สำ� หรบั รองรบั นิว้ เมอื่ กดสายจะเกดิ เสยี งดงั เป็ นเสยี งตา่ งๆ จะเขต้ วั หนึ่งจะมี 11 นม
นมหนึ่ง จะมเี สยี งหนึ่ง ซงึ่ เรยี งลดหลน่ั เป็ นลำ� ดบั
• ซมุ้ หย่อง ท�ำดว้ ยไม้ มลี กั ษณะคลา้ ยซมุ้ ประตู เจาะกลางโปรง่ ขยกั หรอื บากเป็ นรอ่ ง
รบั สายทงั้ สามใหอ้ ยู่ในตำ� แหน่ง โดยสายทงั้ 3 เสน้ จะไมช่ ดิ ตดิ กนั
• รงั ไหม ท�ำดว้ ยไม้ เป็ นรูปยาวหวั ทา้ ยโคง้ กลางเป็ นรอ่ งโปรง่ เพอื่ ใหส้ ายผ่านลงไปยงั
ลูกบดิ
• ลูกบดิ ทำ� ดว้ ยไม้ กลงึ ตอนหวั กลมใหญ่ยาวพอใหม้ อื จบั ไดพ้ อดี ตอนปลายเรยี วเลก็
สำ� หรบั สอดใสเ่ ขา้ ไปในรูทเี่ จาะ ใหป้ ลายโผลท่ รี่ งั ไหม เพอื่ พนั ผูกสาย มี 3 ลูกๆหนึ่ง
อยู่
ดา้ นใน อกี 2 ลูก อยู่ ดา้ นนอก
• สายจะเข้ ท�ำดว้ ยสายไหม 2 สาย และสายลวด 1 สาย โดยผูกจากหลกั ทหี่ วั จะเขข้ งึ
ผ่านโตะ๊ นม ซมุ้ หย่อง ลงไปในรงั ไหมพนั ผูกทปี่ ลายลูกบดิ ทง้ั สาม เพอื่ เรง่ สายใหต้ งึ
หรอื หย่อนตามทตี่ อ้ งการ
จะเขบ้ างตวั ไดป้ ระดษิ ฐข์ นึ้ ใหส้ วยงามโดยประดบั งาหรอื ประกอบมุข ฝั งเป็ นลวดลาย
หรอื ทำ� ดว้ ยไมก้ ระดูกหรอื งาชา้ งซงึ่ เหยหลกั และวธิ กี ารพนั ไมด้ ดี โดยเฉพาะ

เครอื่ งดนตรไี ทยประเภท

“ สี “

ประเภทเครอื่ งสี
เครอื่ งสี เป็ น เครอื่ งสายทที่ ำ� ใหเ้ กดิ เสยี งดว้ ยการใชค้ นั ชกั สเี ขา้ กบั สายในดนตรไี ทย
มอี ยู่ 3 ชนิดคอื ซอดว้ งซอสามสายซออู ้ ซอดว้ ง
ซอดว้ ง เป็ นซอชนิดหนึ่งของไทย ใหเ้ สยี งสูงแหลม การทไี่ ดช้ อื่ นีเ้ พราะสว่ นทเี่ ป็ น
เครอื่ งอมุ้ เสยี ง มรี ูปรา่ งคลา้ ยเครอื่ งดกั สตั วช์ นิดหนึ่ง ทเี่ รยี กวา่ ดว้ ง มสี ว่ นประกอบ
ดงั นี้
กระบอก เป็ นสว่ นทอี่ มุ้ เสยี งใหเ้ กดิ กงั วาน รูปรา่ งเหมอื นกระบอกไมไ้ ผ่ ท�ำดว้ ยไมเ้ นือ้
แข็งบางทที ำ� ดว้ ยงาชา้ ง ไมท้ ใี่ ชท้ �ำตา่ งชนิดกนั จะใหค้ ณุ ภาพเสยี งตา่ งกนั เชน่ เสยี ง
นุ่ม เสยี งกลม เสยี งแหลม เป็ นตน้ ดา้ นหน้าของกระบอกมวี สั ดบุ าง ๆ ขงึ ปิ ด นิยมใช้
หนงั งูเหลอื ม นอกนน้ั อาจเป็ นหนงั ลูกววั หนงั แพะ หรอื ใชก้ ระดาษวา่ วปิ ดซอ้ นกนั
หลาย ๆ ชน้ั กไ็ ด้ - คนั ซอ ท�ำดว้ ยไมห้ รอื งาชา้ ง ลกั ษณะกลมยาว สอดปักทกี่ ระบอก
ตง้ั ตรงขนึ้ ไป แบง่ ออกเป็ น ๒ ชว่ ง ชว่ งบนตงั้ แตใ่ ตล้ ูกปิ ดขนึ้ ไปจนถงึ ปลายคนั รูปรา่ ง
คลา้ ยโขนเรอื เรยี กวา่ “โขน” ปลายโอนโคง้ งอนไปทางดา้ นเปิ ดของกระบอก ชว่ งลว่ ง
นบั ตงั้ แตล่ ูกบดิ ลงไปเรยี กวา่ “ทวนลา่ ง”
ลูกบดิ มอี ยู่สองลูก เสยี บอยู่ทชี่ ว่ งล่างของโขน ปลายลูกบดิ เจาะรไู วส้ ำ� หรบั รอ้ ยสาย
ซอ เพอื่ ขงึ ใหต้ งึ ตามทตี่ อ้ งการ ลูกบดิ ลูกบน สำ� หรบั สายเสยี งตำ�่ เรยี กวา่ ลูกบดิ สาย
ทุม้ ลูกบดิ ลูกล่าง สำ� หรบั สายทมี่ เี สยี งสูง เรยี กวา่ ลูกบดิ สายเอก
· รดั อก เป็ นบว่ งเชอื กสำ� หรบั รงั้ สายซอ นิยมใชข้ นาดเดยี วกบั สายเอก ใชผ้ ูกรงั้
สายซอทง้ั สองเขา้ กบั ทวนลา่ ง - หยอ่ ง เป็ นไมช้ นิ้ เล็กใชห้ มุนสายซอใหพ้ น้ ขอบ
กระบอก และเป็ นตวั รบั ความสน่ั สะเทอื นจากสายซอไปสูห่ น้าซอ
· คนั ชกั ท�ำดว้ ยไมเ้ นือ้ แข็งหรอื งาชา้ ง รูปโคง้ ดา้ มมอื จบั มหี มุดสำ� หรบั ใหเ้ สน้ หาง
มา้ คลอ้ ง อกี ดา้ นหนึ่งเจาะรไู วร้ อ้ ยเสน้ หางมา้ ซงึ่ มปี ระมาณ ๒๕๐ เสน้ สอดเสน้ หาง
มา้ ใหอ้ ยู่ภายในระหวา่ งสายเอกกบั สายทุม้ สำ� หรบั สี การเทยี บเสยี ง เทยี บเสยี งใหต้ รง
กบั เสยี งขลุ่ยเพยี งออ ทงั้ สายเอกและสายทุม้ โดยใชส้ ายเอกเป็ นหลกั
ซอสามสาย
ซอสามสาย เป็ นซอชนิดหนึ่งของไทย มมี าแตโ่ บราณ มเี สยี งไพเราะ นุ่มนวล รูปรา่ ง
วจิ ติ รสวยงามกวา่ ซอชนิดอนื่ ถอื เป็ นเครอื่ งดนตรชี นั้ สูง ใชใ้ นราชสำ� นกั มสี ว่ น
ประกอบ ดงั นี กะโหลก ท�ำดว้ ยกะลามะพรา้ ว ตดั ตามดา้ นขวาง ดา้ นหน้าตอ่ ตดิ
กบั กรอบไมเ้ นือ้ แข็ง เดมิ นิยมใชไ้ มส้ กั เรยี กวา่ “ขนงไมส้ กั ” มรี ูปรา่ งคลา้ ยกรอบหน้า
นาง ใชห้ นงั ลูกววั หรอื หนงั แพะขงึ ปิ ดทบั ขอบขนงไมส้ กั และขอบกะลาใหต้ งึ พอดี
· คนั ซอ แบง่ ออกเป็ นสามสว่ น คอื ทวนบน ทวนกลาง และทวนลา่ ง ทวนบน คอื

สว่ นทนี่ บั จากรอบตอ่ เหนือรดั อกขนึ้ ไป ทวนกลาง คอื สว่ นตอ่ จากทวนบนลงมา
ถงึ กะโหลก ทวนลา่ งหรอื แขง้ ไก่ คอื สว่ นทตี่ อ่ จากกะโหลก ลงไปรวมทง้ั เข็มทที่ �ำ
ดว้ ยโลหะ ซงึ่ อยู่ปลายลา่ งสุด - ลูกบดิ มสี ามลูก ลูกลา่ งสำ� หรบั สายเอก ลูกบน
สำ� หรบั สายกลาง สองลูกนีอ้ ยู่ทางขวา ทางซา้ ยมลี ูกเดยี ว สำ� หรบั สายทุม้ หรอื
สายสาม
· รดั อก มกั ใชส้ ายไหมฟ่ั นเกลยี วแบบสายซอ พนั รอบทวนกลาง ใชร้ ดั สาย
ทง้ั สาม ใหแ้ นบเขา้ กบั ทวนกลาง เพอื่ ใหเ้ สยี งของสายเปล่าไดร้ ะดบั และมคี วาม
กงั วาน
· หยอ่ ง ทำ� ดว้ ยไมห้ รอื งา เหลาเป็ นรูปคนั ธนใู หไ้ ดข้ นาดพอรบั สายซอทงั้ สาม
สาย บนหย่องบากรอ่ งไว้ สามตำ� แหน่ง เพอื่ รองรบั สายซอ
· ถว่ งหน้า ท�ำดว้ ยแกว้ หรอื โลหะ ขนึ้ รูปเป็ นตลบั กลมเล็ก ๆ ขา้ งบนประดบั
พลอยสตี า่ ง ๆ หรอื ถม หรอื ลงยา ภายในบรรจสุ ผี งึ้ ผสมตะกว่ั เพอื่ ใหไ้ ดน้ �้ำหนกั
ใชช้ นั ปิ ดหน้า ใชป้ รบั เสยี งใหส้ ายเอกเขา้ กบั สายทุม้
· หนวดพราหมณ์ ใชส้ ายไหมฟ่ั นเกลยี วอยา่ งสายซอ ผูกเป็ นสายบ่วง รอ้ ย
เขา้ ไปในรูทที่ วนล่าง เพอื่ รง้ั ปมปลายสายซอทง้ั สาม
· คนั ชกั ทำ� ดว้ ยไมเ้ นือ้ แข็งและเหนียว กลงึ ใหไ้ ดร้ ูป ขงึ ดว้ ยขนหางมา้ สขี าว
ประมาณ ๒๕๐-๓๐๐ เสน้

ซออู ้

ซออู ้ เป็ นซอทมี่ เี สยี งทุม้ กงั วาน ลกั ษณะโดยทว่ั ไปคลา้ ยซอดว้ ง มสี ว่ นประกอบ
ดงั นี้

· กะโหลก ท�ำดว้ ยกะลามะพรา้ ว ตดั สว่ นทกี่ วา้ งใกลก้ บั ขวั้ ใหพ้ ูทงั้ สามอยู่
ดา้ นบน ใชห้ นงั ลูกววั หรอื หนงั แพะ ขงึ เป็ นหน้าตรงทตี่ ดั
· คนั ซอ ท�ำดว้ ยไมห้ รอื งาชา้ งกลงึ แบ่งเป็ นสองสว่ น คอื ทวนบน นบั ตง้ั แต่
ลูกบดิ ไปถงึ ปลายคนั ทวนลา่ งนบั ตง้ั แตล่ ูกบดิ ลงมาทตี่ วั คนั มลี วดหรอื ลูกแกว้ คน่ั
เป็ นระยะ ปลายทวนลา่ งสอดทะลุ กะโหลกลงไป เพอื่ คลอ้ งสายซอทง้ั สองเสน้
· ลูกบดิ มสี องลูก เสยี บอยูท่ ที่ วนบน ใชข้ งึ สายซอ ซงึ่ ทำ� ใหด้ ว้ ยไหมฟ่ั นเป็ น
เกลยี ว หรอื ท�ำดว้ ยเอน็ ผูกคลอ้ งปลายทวนล่างสุด ลูกบนสำ� หรบั สายทุม้ ลูกลา่ ง
สำ� หรบั สายเอก
· รดั อก เป็ นบว่ งเชอื กใชล้ ูกล่างสำ� หรบั สายเอกรง้ั สายซอ เพอื่ ใหไ้ ดค้ ูเ่ สยี ง
สายเปล่าชดั เจน
· หมอน เป็ นวสั ดทุ วี่ างหมุนระหวา่ งหน้าซอกบั สายซอเพอื่ ใหไ้ ดเ้ สยี งกบั วาน
บางทเี รยี กวา่ หยอ่ ง
· คนั ชกั ท�ำดว้ ยไมเ้ นือ้ แข็ง กลงึ ใหไ้ ดร้ ูป ขงึ เสน้ หางมา้ ประมาณ ๒๕๐ เสน้
เสน้ หางมา้ นีจ้ ะสอดเขา้ ระหวา่ ง สายเอกกบั สายทุม้ การเทยี บเสยี ง สายเอกมี
ระดบั เสยี งตรงกบั สายทุม้ ของซอดว้ ง สายทุม้ มเี สยี งตำ�่ กวา่ สายเอก ๕ เสยี ง

เครอื่ งดนตรไี ทย
ประเภท“ สี “

ซอดว้ ง เป็นซอชนิดหน่ึงของ
ไทย ใหเ้ สียงสูงแหลม การท่ี
ไดช้ ื่อน้ีเพราะส่วนท่ีเป็นเคร่ือง
อุม้ เสียง มีรูปร่างคลา้ ยเครื่อง
ดกั สตั วช์ นิดหน่ึง ที่เรียกวา่
ดว้ ง
ซอสามสาย เป็นซอชนิดหน่ึง
ของไทย มีมาแต่โบราณ มี
เสียงไพเราะ นุ่มนวล รูปร่าง
วจิ ิตรสวยงามกวา่ ซอชนิดอื่น
ถือเป็นเคร่ืองดนตรีช้นั สูง

ซออู้ เป็นซอที่มีเสียงทุม้
กงั วาน ลกั ษณะโดย
ทว่ั ไปคลา้ ยซอดว้ ง มี
ส่วนประกอบ ดงั น้ี

กะโหลก ทำ� ดว้ ยกะลามะพร้าว ตดั ส่วนที่กวา้ งใกลก้ บั ข้วั ใหพ้ ทู ้งั สาม
อยดู่ า้ นบน ใชห้ นงั ลูกววั หรือหนงั แพะ ขึงเป็นหนา้ ตรงท่ีตดั

คนั ซอ ทำ� ดว้ ยไมห้ รืองาชา้ งกลึง แบ่งเป็นสองส่วน คือ ทวนบน
นบั ต้งั แต่ลูกบิด ไปถึงปลายคนั ทวนล่างนบั ต้งั แต่ลูกบิดลงมาท่ีตวั คนั
มีลวดหรือลูกแกว้ คนั่ เป็นระยะ ปลายทวนล่างสอดทะลุ กะโหลก
ลงไป เพือ่ คลอ้ งสายซอท้งั สองเสน้ ลูกบิด มีสองลูก เสียบอยทู่ ี่ทวน
บน ใชข้ ึงสายซอ ซ่ึงทำ� ใหด้ ว้ ยไหมฟั่นเป็นเกลียว หรือทำ� ดว้ ยเอน็ ผกู
คลอ้ งปลายทวนล่างสุด ลูกบนสำ� หรับสายทุม้ ลูกล่างสำ� หรับสายเอก
รัดอก เป็นบ่วงเชือกใชล้ ูกล่างสำ� หรับสายเอกร้ังสายซอ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ู่
เสียงสายเปล่าชดั เจนหมอน เป็นวสั ดุท่ีวางหมุนระหวา่ งหนา้ ซอกบั
สายซอเพ่ือใหไ้ ดเ้ สียงกบั วาน บางทีเรียกวา่ หยอ่ ง คนั ชกั ทำ� ดว้ ยไม้
เน้ือแขง็ กลึงใหไ้ ดร้ ูป ขึงเสน้ หางมา้ ประมาณ ๒๕๐ เสน้ เสน้ หางมา้ น้ี
จะสอดเขา้ ระหวา่ ง สายเอกกบั สายทุม้ การเทียบเสียง สายเอกมีระดบั
เสียงตรงกบั สายทุม้ ของซอดว้ ง สายทุม้ มีเสียงต่ำ� กวา่ สายเอก ๕ เสีย

เครอื่ งดนตรไี ทย
ประเภท“ ตี “

ดนตรีประเภทเคร่ืองตีดูเหมือนจะเป็นประเภทเก่าแก่ท่ีสุดที่มนุษยร์ ู้จกั ใชแ้ ละ
เครื่องดนตรีของไทยกเ็ ช่นกนั โดยทว่ั ไป เครื่องตีเป็นของเก่าแก่ของไทย แต่
กไ็ ดแ้ กไ้ ขปรับปรุงใหว้ วิ ฒั นาการมาโดยลำ� ดบั เคร่ืองตีท่ีใช้ ในวงดนตรีของ
ไทยอาจแบ่งออกไดเ้ ป็น ๓ จำ� พวก คือ
(๑)เคร่ืองตีทำ� ดว้ ยไม้
(๒)เครื่องตีทำ� ดว้ ยโลหะ
(๓)เคร่ืองตีขึงดว้ ยหนงั
เคร่ืองตีท้งั ๓ จำ� พวกน้ี จะกล่าวถึงแต่ละอยา่ งท้งั ประเภทท่ีเขา้ ใจวา่ ไทยเราได้
ประดิษฐข์ ้ึนเอง และท้งั ประเภทท่ีไดร้ ับแบบอยา่ งจากชาติอ่ืน แลว้ นำ� มาใช้
หรือแกไ้ ขดดั แปลงใชอ้ ยใู่ นวงดนตรีของไทย

ระนาดเอก ระนาดเป็นเคร่ืองตีชนิดหน่ึง ซ่ึงเห็นไดว้ า่ มีววิ ฒั นาการมาจากกรับ แต่
เดิมกค็ งใชไ้ มก้ รับ ๒ อนั ตีเป็นจงั หวะแลว้ ต่อมาเกิดความรู้เอาไมม้ าทำ� อยา่ งกรับ
หลายๆอนั วางเรียงตีใหเ้ กิดเสียงหยาบๆข้ึนก่อนแลว้ คิดทำ� ไม้ รองรับเป็นรางวาง
เรียงราดไป เม่ือเกิดความรู้ความชำ� นาญข้ึนกแ็ กไ้ ขประดิษฐใ์ หม้ ีขนาดลดหลนั่ กนั
และทำ� รางรองใหอ้ ุม้ เสียงไดแ้ ลว้ ใชเ้ ชือกร้อย “ไมก้ รับ” ขนาดต่างๆน้นั ใหข้ ึงติดอยู่
บนราง ใชไ้ มต้ ีเกิดเสียงลดลน่ั กนั ตามตอ้ งการ ใชเ้ ป็นเคร่ืองบรรเลงเพลงไดแ้ ลว้ ต่อ
มากป็ ระดิษฐแ์ กไ้ ขตดั แต่งใชต้ ะกวั่ กบั ข้ีผ้งึ ผสมกนั ติดหวั ทา้ ยของไมก้ รับถ่วงเสียง
ใหเ้ กิดความไพเราะยง่ิ ข้ึน จึงบญั ญตั ิช่ือเคร่ืองดนตรีชนิดน้ีวา่ “ระนาด

ฉงิ่ เป็นเครื่องตีทำ� ดว้ ยโลหะ หล่อหนา เวา้ กลาง ปากผายกลม รปู คล้ายถว้ ยชาไม่มีก้น
สำ� หรับหนึ่งมี ๒ ฝา แต่ละฝาวัดผา่ นศูนย์กลางจากสุดขอบข้างหน่งึ ไปสดุ ขอบอีกข้างหนง่ึ
ประมาณ ๖ ซม. ถงึ ๖.๕ ซม. เจาะรู ตรงกลางเวา้ สำ� หรับรอ้ ยเชือก เพอ่ื สะดวกในการถอื
ตีการะทบกนใหเ้ กดิ เสียงเปน็ จงั หวะฉิง่ ท่กี ล่าวนใี้ ชส้ ำ� หรับ ประกอบวงปี่พาทย์ สว่ นฉ่ิงทใ่ี ช้
ส�ำหรบั วงเคร่อื งสายและวงมโหรี มขี นาดเลก็ กวา่ นัน้ คือ วดั ผา่ นศูนย์กลาง เพียง ๕.๕
ซม. ที่เรยี กว่า “ฉิง่ ” กค็ งจะเรียกตามเสียงทเี่ กิดขนึ้ จาการเอาขอบของฝาหนึ่งกระทบเขา้
กบั ฝาหนงึ่ แลง้ ยกขึ้น จะได้ยนิ เสียงกงั วานยาวคลา้ ย “ฉง่ิ - “ แตถ่ ้าเอา ๒ ฝานน้ั กลบั
กระทบประกบกนั ไว้ จะได้ยินเสยี งส้นั คลา้ ย “ฉบั ” เครอ่ื งตีชนิดน้ี ส�ำหรับใชใ้ นวงดนตรี
ประกอบการขบั ร้องฟอ้ นร�ำและการแสดงนาฏกรรม โขน ละ คอน

ตะโพน

ตะโพน ในหนังสือเก่าเรียก” สะโพน “ กม็ ี รูปร่างคล้ายมทุ งิ ค์ หรือ มฤค
ทรังค์ หรือ มทละของอินเดยี กล่าวคอื หน้าทขี่ งึ หนัง ๒ ข้างเรียวเลก็ ตรง
กลางป่ อง ของอินเดยี ใช้วางบนตักตีหรือมสี ายสะพายเมื่อยนื ตี ส่วนตะโพน
หรือสะโพนของเรา มีเท้ารองให้ตะโพนวางนอนอย่บู นเท้าใต้ฝ่ ามือซ้ายขวาตี
ได้ทง้ั สองหน้า มฤคทรังค์ หรือ มทละ เป็ นเครื่องหนัง ทใ่ี ช้แพร่หลายใน
อินเดยี ในแต่โบราณมนี ิยายว่า พระพรหมาได้ทรงสร้างขนึ้ เพอื่ ประกอบ วง
หวะร�ำฟ้อนของพระศิวะเมื่อทรงมชี ัยเหนือนครตรีปรุ ะ

กลองแขก

กลองแขก กลองแขกรูปร่างยาวเป็ นกระบอกแต่หน้าหน่ึง
ใหญ่เรียกว่า”หน้ารุ่ย”กว้างประมาณ ๒๐ ซ.ม. อีกหน้า
หน่ึงเรียกว่า”หน้าต่าน” กว้างประมาณ ๑๗ ซ.ม. หุ่น
กลองยาวประมาณ ๕๗ ซ.ม. ทำ� ด้วยไม้จริง หรือไม้แก่น
เช่นไม้ชิงชันหรือไม้มะริดขนึ้ หนัง ๒ หน้าด้วยหนังลกู ววั
หรือหนังแพะ ใช้เส้นหวายผ่าซีกเป็ น สายโยงเร่งเสียง
โยงเส้นห่างๆแต่ต่อมาในระยะหลงั คงเป็ นเพราะหาหวาย
ไม่สะดวก ในบางคราวจงึ ใช้ สายหวายโยงกม็ ี ส�ำรับหน่ึง
มี ๒ ลกู ลกู เสียงสูงเรียกว่า”ตัวผู้ “ ลกู เสียงต�ำเรียกว่า”ตัว
เมยี ” ตีด้วยฝ่ า มือทง้ั ๒ หน้าให้เสียงสอดสลบั กนั ทงั้ สอง
ลกู กลองแบบนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ กลองชวา “

โทนมโหรี

ตัวโทนทำ� ด้วยดนิ เผา ด้านทข่ี น้ึ หนังโตกว่าโทนชาตรี
ขนาดหน้ากว้างประมาณ ๒๒ ซม. ยาวประมาณ ๓๘
ซม. สายโยงเร่งเสียงใช้ต้นหวายผ่าเหลาเป็ นเส้นเลก็
หรือใช้ไหมฟ่ันเป็ นเกลยี ว หนังทข่ี นึ้ หน้าใช้หนัง
ลกู ววั หนังแพะ หนังงเู หลอื ม หรือหนังงงู วงช้าง ตี
ด้วยมอื หนึ่ง และอีกมือหนึ่ง ทำ� หน้าทป่ี ิ ดเปิ ดทาง
ลำ� โพงเช่นเดยี วกบั โทนชาตรี โดยเหตุทไ่ี ทยชนิดนี้ใช้
บรรเลงในวงเครื่องสายและวง มโหรี จงึ เรียกกนั ว่า
โทนมโหรี โทนมโหรีใช้ลกู เดยี ว แต่ตีขดั สอดสลบั คู่
กบั ร�ำมะนา

ร�ำมะนา ร�ำมะนาเปน็ กลองขงึ หนังหนา้ เดียวชนิด
Tambourine ขนาดไลเ่ ลีย่ กนั เวน้ แตไ่ มม่ ี
Jingles หรือฉาบคู่ติดตาม ขอบ หนา้ กลอ่ ง
ที่ขึ้นหนังบานผายออก ตัวกลองสัน้ รปู รา่ ง
คลา้ ยชามกะละมัง เขา้ ใจวา่ เราจะไดท้ ้ังแบบ
อย่าง และรวมทงั้ ชื่อของเครอ่ื งดนตรชี นดิ น้ี
มาจากมลายกู ม็ ีกลองชนิดหนงึ่ เขาเรียกวา่
ระบานา (Rebana) ส�ำเนยี ง กค็ ล้ายกัน แต่
ปรากฏวา่ ค�ำ “ Rebana “ นี้เปน็ ภาษา
สปอร์ตุเกศ ถา้ อย่างน้นั มลายูอาจได้มา
จากสปอร์ตเุ กศอีก ตอ่ หน่ึงก็ได้ รำ� มะนา
ของเรามี ๒ ชนิด คือ รำ� มะนา มโหรี กบั
รำ� มะนาลำ� ตัด

เครอื่ งดนตรไี ทย
ประเภท“ เป่ า “

เครอื่ งเปา่
เครื่องเปา่ หมายถงึ เครอ่ื งดนตรปี ระเภททใ่ี ชล้ มเป่าใหเ้ กิดเสยี ง ซ่ึง

แบ่งออกเปน็ 2ประเภทคือ
1.ประเภทท่มี ีลิ้น ซ่ึงทำ�ด้วยใบไม้ หรอื ไมไ้ ผ่ หรอื โลหะ สำ�หรับเป่าลม

เขา้ ไปในล้ินๆจะเกิดความเคลอ่ื นไหวทำ�ให้เกิดเสียงข้ึน เรียกวา่ “ ลน้ิ ปี่ “
และเรยี กเครอ่ื งดนตรีประเภทนี้ว่า “ ปี่ “

2.ประเภทไม่มีล้นิ มแี ต่รูบังคบั ให้ลมทเี่ ป่าหกั มุมแล้วเกิดเปน็ เสยี ง
เรยี กว่า “ ขลุ่ย “
ทง้ั ปี่และขลุ่ย มลี กั ษณะเปน็ นามว่า “ เลา “มวี ธิ ีเปา่ ทเี่ ป็นเอกลักษณ์ คือ
การเป่าด้วยการระบายลม ซงึ่ ให้เสยี งปด่ี งั ยาวนานตดิ ตอ่ กันตลอด

เป็นขลุ่ยขนาดกลางมีเสียงมาตราฐานใช้เทียบ
เสียงดนตรีไทย ยาวประมาณ ๔๕-๔๘ ซม. โดย
เปน็ เครื่องดนตรีไทย ประเภทเคร่อื งเปา่ ชนดิ ไมม่ ี
ลิน้ ทำ� จากไมร้ วกปล้องยาวๆ ดา้ นหนา้ เจาะรเู รยี ง
กัน ส�ำหรับปิดเปดิ เพือ่ เปล่ียนเสยี ง ตรงท่เี ป่าไมม่ ี
ลนิ้ แต่มีดาก ซึ่งทำ� ดว้ ยไม้อดุ เหลาเป็นทอ่ นกลมๆ
ยาวประมาณ ๒ นิ้ว สอดลงไปอดุ ท่ีปากของขลยุ่
แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่องสี่เหล่ียมเล็กๆ
เราเรยี กวา่ ปากนกเเก้ว เพื่อใหล้ มส่วนหนง่ึ ผ่าน
เข้าออกท�ำใหเ้ กดิ เสยี งขลยุ่ ลม

เลาป่ี ทำ� มาจากไม้ เช่น ไม้พยงุ ไม้ชิงชัน มีความยาวประมาณ 42 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 4
เซนติเมตร มลี กั ษณะหัวบานท้ายและป่ องตรงกลาง เจาะรูกลางตลอดเลา ด้านบนมรี ูเลก็ ใช้เสียบ
ลนิ้ ปี่ ด้านล่างรูจะใหญ่ บริเวณเลาปี่ ทป่ี ่ องตรงกลางจะเจาะรู 6 รู ลน้ิ ปี่ ทำ� จากใบตาลน�ำมาตัดซ้อน
กนั 4 ช้ัน ตัดผกู กบั ท่อทองเหลอื งเลก็ ๆ เรียกว่า”กำ� พวด” ตัวเลาทำ� ด้วยไม้ชิงชัน หรือไม้พยงุ กลงึ
ให้ป่ องกลาง และบานปลายทง้ั สองข้าง ตัวเลาปี่ นอกจากจะทำ� ด้วยไม้ แล้วยงั พบป่ี ซึ่งทำ� ด้วยหิน
เป็ นของเก่าแต่โบราณ
ลกั ษณะกลมเลก็ เรียว ภายในโปร่งข้างหนึ่งเลก็ ข้างหน่ึงใหญ่ ใบตาล ใช้ใบตาลแก่และแกร่งตัดซ้อน
เป็ น 4 ช้ัน หรือ 4 กรีบ ผกู รัดด้วยเชือกในลกั ษณะเง่ือน” ตะกรุดเบ็ด “ ให้ติดกบั กำ� พวดทางด้านเลก็
ส่วน ทางด้านใหญ่จะถกั หรือเคยี นด้วยเส้นเลก็ ๆ มขี นาดพอดกี บั รูปี่ ด้านบน (รูเป่ า) เพอื่ สอดใส่ลน้ิ
ป่ี ให้แน่น

วงเครอื่ งสาย

วงดนตรีไทยประเภทหนึ่งซ่ึงเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ในวงจะ
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีท่ีใช้สายเป็นต้นก�ำเนินของเสียง
ดนตรี เช่น ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ แม้วา่ เคร่ืองดนตรที ี่นำ� มาบรรเลง
นน้ั จะมวี ธิ ีบรรเลงแตกตา่ งกนั เช่น สี ดดี หรอื ตี ก็ ตาม จงึ
เรียกวงดนตรีประเภทนี้ว่า“วงเครื่องสาย”วงเคร่ืองสายอาจมี
เคร่อื งดนตรปี ระเภทเครื่องเปา่ เช่น ขลุ่ย หรือเคร่ืองกำ� กบั
จงั หวะ เชน่ ฉิ่ง กลองบรรเลงด้วยกถ็ อื ว่าอยใู่ นวงเครอื่ งสาย
เช่นกันเพราะมีเป็นจ�ำนวนน้อยที่น�ำเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย
เพ่ือช่วยเพ่ิมรสในการบรรเลงด้วยเพ่ือช่วยเพ่ิมรสในการ
บรรเลงให้น่าฟังมากย่ิงขึ้นวงเคร่ืองสายเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา
ซึง่ มีเครอื่ งสี คอื ซอ เครือ่ งดดี คือ จะเข้ และกระจบั ปี่ ผสม
ในวง

วงปี่ พาทย ์

ปี่ พาทย์ หมายถงึ วงดนตรีไทยประเภทหนึ่ง ตามทปี่ รากฏ
ตามหลกั ฐานในสมัยสุโขทยั ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
ประเภทตีได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหลก็
ระนาดทุ้มเหลก็ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเลก็ และเป่ า เช่น ป่ี
ขล่ยุ และเคร่ืองกำ� กบั จงั หวะ เช่น ตะโพน กลองทดั เป็ นต้น
ปี่ พาทย์นี้บางสมัยเรียกว่า พณิ พาทย์

วงมโหร ี

ประวตั ิความเป็ นมา
เป็ นวงดนตรีทใ่ี ช้ส�ำหรับขบั กล่อมนิยมใช้บรรเลงในงานมงคล โดยเฉพาะ
งานมงคลสมรส แต่โบราณใช้บรรเลงกล่อมพระบรรทมส�ำหรับพระมหา
กษตั ริย์ เคร่ืองดนตรีทใ่ี ช้บรรเลงในวงน้ีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงป่ี
พาทย์และวงเคร่ืองสาย หากแต่เครื่องดนตรีในวงป่ี พาทย์ทนี่ �ำเข้ามาผสม
ในมโหรีน้ีได้ลดขนาดให้เลก็ ลง เพอ่ื ให้มเี สียงพอเหมาะกบั เครื่องดนตรีใน
วงเครื่องสาย และใช้ซอสามสายเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย
วงมโหรีนี้มมี าแต่โบราณและได้มีการพฒั นาในเรื่องการผสมวง แต่เดมิ มี
วงมโหรีเครื่องส่ี วงมโหรีเคร่ืองหก ปัจจบุ นั วงมโหรีได้มพี ฒั นาและเพม่ิ
เคร่ืองดนตรีเป็ นวงมาตรฐาน

วงมโหรีเคร่ืองคู่ คือ วงมโหรีเครื่องเดี่ยวท่ีไดเ้ พิม่ ระนาดทุม้ และฆอ้ งวงเลก็ เขา้ ในวง
ท้งั น้ีเนื่องดว้ ยในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั วงปี่ พาทยไ์ ดเ้ พิ่ม
ระนาดทุม้ และฆอ้ งวงเลก็ รวมเรียกวา่ วงป่ี พาทยเ์ ครื่องคู่ วงมโหรีจึงเพมิ่ เคร่ืองดนตรี
ดงั กล่าวบา้ ง นอกจากน้นั ยงั เพม่ิ ซอ ดว้ งและซออูข้ ้ึนเป็นอยา่ งละ 2 คนั เพิม่ จะเขเ้ ป็น
2 ตวั ขลุ่ยน้นั เดิมมีแต่ขลุ่ยเพียงออ จึงเพ่มิ ขลุ่ยหลีบอีก 1 เลา ส่วนซอสามสายกเ็ พิ่มซอ
สามสายหลีบอีก 1 คนั และเพิ่มฉาบเลก็ อีก1 คู่ดว้ ย
ปัจจุบนั วงมโหรีเครื่องคู่ประกอบดว้ ยเคร่ืองดนตรีดงั น้ี
-ซอสามสาย 1 คนั หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเดี่ยว
-ซอสามสายหลีบ 1 คนั บรรเลงร่วมกบั เครื่องดำ� เนินทำ� นองอื่น ๆ
-ซอดว้ ง 2 คนั หนา้ ที่เหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเดี่ยว
-ซออู้ 2 คนั หนา้ ที่เหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเดี่ยว
-จะเข้ 2 ตวั หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเด่ียว
-ขลุ่ยเพยี งออ 1 เลา หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
-ขลุ่ยหลีบ 1 เลา ดำ� เนินทำ� นองเกบ็ บา้ ง โหยหวนบา้ ง สอดแทรกทำ� นองเล่นลอ้ ไป
ทางเสียงสูง
-ระนาดเอก 1 ราง หนา้ ที่เหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเด่ียว
-ระนาดทุม้ 1 ราง ดำ� เนินทำ� นองเป็นเชิงหยอกลอ้ ยว่ั เยา้ ใหเ้ กิดอารมณ์ครึกคร้ืน
-ฆอ้ งวง 1 วง หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเดี่ยว
-ฆอ้ งวงเลก็ 1 วง ดำ� เนินทำ� นองเกบ็ ถ่ี ๆ บา้ ง สะบดั บา้ ง สอดแทรกทำ� นองไปทาง
เสียงสูง
-โทน 1 ลูก รำ� มะนา 1 ลูก หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเคร่ืองเดี่ยว
-ฉ่ิง 1 คู่ หนา้ ท่ีเหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
-ฉาบเลก็ 1 คู่


Click to View FlipBook Version