The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทัศนีย์ เศรษฐพงษ์, 2021-07-01 11:22:37

บทที่ 4 ทักษะการพูด

บทที่ 4 การพูด

55

วิชาภาษาเพอ่ื การส่อื สารสำหรับครู
บทที่ 4 ทกั ษะการพูด

ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสนุ ันทา

56

บทที่ 4
การพฒั นาทกั ษะการพดู สำหรับครู

อ.ดร.ทศั นีย์ เศรษฐพงษ์
ทักษะการพดู เป็นการสื่อสารของมนุษย์ท่มี ีการใช้ภาษาเป็นส่ือกลางในการถา่ ยทอดความรู้สึกนึก
คิดของตนเองให้ผูอ้ ื่นได้รับรู้ การพูดเป็นทั้งศาสตรแ์ ละศิลป์ ผู้พูดจำเป็นต้องมีหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารต่าง ๆ
ทใ่ี ช้ในการพดู นอกจากน้ยี ังต้องใช้ความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคลในการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติ การพูดน้ันมี
หลายประเภท และมีลักษณะต่างกันตามวิธีการนำเสนอ การพัฒนาทักษะการพูดจึงมีความสำคัญต่อ
การเรียนรู้และการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งทักษะการพูดเป็นการฝึกมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งที่บุคคล
ผู้อยู่ร่วมสังคมเดียวกันจะพึงมีต่อกัน ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล เพื่อนร่วมงาน เพื่อนต่าง
องคก์ รหรอื อาจเปน็ บุคคลอ่ืน ใหม้ คี วามรู้สกึ ที่ดีตอ่ กัน

4.1 ความรพู้ ืน้ ฐานเรอ่ื งการพดู

บทกลอนท่ีผอู้ า่ นท้ังหลายคุ้นหขู องสุนทรภ่กู ว่าววา่

“ถงึ บางพูดพดู ดีมีศรีศักดิ์ มคี นรกั รสถ้อยอร่อยจติ

แม้นพดู ช่ัวตวั ตายทำลายมิตร จะชอบผดิ ในมนุษย์เพราะพดู จา”

จะเห็นได้ว่าการพูดนั้นมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตมนุษย์ นักศึกษาควรมีความรู้ในเรื่อง

หลักการพูดประเภทต่าง ๆ เพราะทักษะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สามารถฝึกปฏิบัติ ฝึกซ้อมให้ดี

ข้นึ มาได้ ประกอบกบั สามารถนำไปพดู ได้ถูกต้องตามกลาเทศะและบุคคล โดยมหี ัวข้อท่ีควรศกึ ษาดงั น้ี

4.1.1 ความหมายของการพูด

การพูดเป็นพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ที่ใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด
ของตนเองให้ผู้อ่ืนได้รับรู้ เข้าใจ โดยอาศัยน้ำเสียง และกรยิ าทา่ ทางอื่น ๆ ประกอบกัน ทัง้ น้ี การพูดเป็นท้ัง
ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ จำเปน็ ตอ้ งมีหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารตา่ ง ๆ ท่ใี ชถ้ ่ายทอด อีกท้งั ยงั ตอ้ งใช้ความสามารถพิเศษ
เฉพาะบคุ คลในการเรยี นรู้และลงมือปฏิบัติ จะเหน็ ไดว้ ่าการพูดเป็นทักษะพนื้ ฐานที่ใชต้ ิดต่อส่ือสาร การพูด
นั้นมีหลายประเภทและมีลักษณะต่างกันตามวิธกี ารนำเสนอ ซึ่งผู้เขียนขออธิบายความหมายของการพูด 2
ประเภทดงั นี้

การพูดในที่ประชุมชน หมายถึง การติดต่อสื่อสารที่เป็นไปอย่างเป็นระบบ โดยใช้
วธิ ีการส่ือความหมายด้วยคำพูด และอากัปกริ ยิ าทา่ ทาง เพือ่ เพมิ่ พูนความรู้ความเข้าใจให้แกผ่ ู้ฟัง การพูดใน
ที่ประชุมชน หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด เพื่อติดต่อสื่อสารให้เข้าใจกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟงั
ใหไ้ ด้ผลตามความมุ่งหมายของผพู้ ดู (วิศลั ย์ศยา รุดดิษฐ์. 2548; จินดา งามสทุ ธิ. 2549)

57

การพูดในโอกาสต่าง ๆ หมายถึง การพูดที่ใช้สร้างความสัมพันธ์อันดีของบุคคล
เป็นการพูดที่จัดขึ้นตามวาระหรือโอกาสที่เกี่ยวข้องกับงาน โดยอาศัยสถานการณ์หรือกิจกรรมที่ดำเนินไป
ตามโอกาสต่าง ๆ เช่น การพูดเพื่อสร้างสรรค์ การพูดเพื่อนำเสนอข้อมูล การพูดเพื่อมารยาทอันดีงาม
การพดู เพอื่ ชแ้ี จง สร้างความประทบั ใจและเพื่อความบนั เทงิ (สรุ ีพร พลู ประเสริฐ. 2558)

4.1.2 ความสำคญั ของการพดู

การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต เห็นได้ว่าในการสื่อสารทำกิจกรรมต่าง ๆ
มนุษย์อาศยั การพูดในการส่อื สารเพือ่ การอยูร่ ่วมกันในสังคม และใช้มากพอ ๆ กับการฟัง เพราะการพดู และ
การฟังต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพราะการพูดเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ฟังบรรลุผลตามความมุ่งหมาย
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ชว่ ยในการส่ือสารหลายรูปแบบ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ สื่อสังคม
ออนไลน์ ฯลฯ การพดู จึงเปน็ เคร่ืองมือสำคัญในการติดตอ่ สื่อสารเพ่ือประโยชน์ส่วนตวั และทางธุรกิจมากข้ึน
ผพู้ ูดตอ้ งใหค้ วามสำคญั ต่อภาษาที่สอ่ื สารออกไป ถูกตอ้ งตรงจุดประสงคแ์ ละกาลเทศะ

ในอดีตมีคำกล่าวสอนใจเกี่ยวกับความสำคัญของการพูดกล่าวว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว
พูดชั่วอัปราชัย” และบางสำนวนกล่าวถงึ การพูดไม่ดีท่ีส่งผลเสียตอ่ ตนเอง เช่น “ปลาหมอตายเพราะปาก”
นอกจากนส้ี นุ ทรภู่ได้กล่าวเตอื นใจให้เราเห็นความสำคญั ของการพูดว่า

“เป็นมนษุ ยส์ ดุ นยิ มเพียงลมปาก จะไดย้ ากโหยหิวเพราะชิวหา

แมน้ พูดดมี คี นเขาเมตตา จะพดู จาจงพิเคราะห์ใหเ้ หมาะความ”

(สุนทรภ่)ู

สรุปได้ว่า การพูดมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่มีวาทศิลป์ในการพูด
จะทำให้ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวใจคน นักพูดที่มีชื่อเสียงใช้ความสามารถในการพูดประกอบ
อาชีพ เพราะการพูดเป็นการทำให้ตนเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นในสังคม นอกจากนี้การพูด
ยงั เป็นการแสดงภมู คิ วามรู้ เพือ่ เผยแพรข่ ้อมูลข้อเท็จจรงิ ใหบ้ ุคคลอื่นรบั ทราบ

4.1.3 จดุ มุง่ หมายในการพูด

การกำหนดจุดมุ่งหมายในการพูดทำให้ผู้พูดสามารถเตรียมการพูดได้ครอบคลุม
จุดมุ่งหมายนั้น ๆ การพูดแต่ละครั้งมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันซึ่งนักวิชาการด้านการสื่อสาร Lucus (2015)
และอนงค์ ร่งุ แจ้ง (2553) ได้แบง่ จดุ มงุ่ หมายของการพูดไว้ 3 ประการ ดังนี้

1) การพูดเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นการพูดเพื่ออธิบายชี้แจง แสดงเหตุผลตามท่ี
ผู้พูดได้เตรียมไวผ้ ู้พูดจะต้องมีความรู้ในเร่ืองท่ีพูดเป็นอย่างดี มีการค้นคว้าเรียบเรียงอ้างอิงมาอย่างถูกต้อง
เป็นลำดับ เพื่อให้ผู้ฟังทราบหรือได้รับสารประโยชน์ กลวิธีของการพูดประเภทนี้คือ จะใช้การลำดับ
เหตุการณใ์ ห้ผ้ฟู ังได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ทัง้ มมี โนภาพไปตามถ้อยคำทีไ่ ดฟ้ ังน้นั นอกจากนีบ้ างครั้งอาจใช้บท

58

สนทนา ใช้ท่วงทา่ อากัปกริ ยิ าตลอดจนอารมณ์ขันเข้าเสริมการพูดดว้ ย
2) การพูดจูงใจหรือโน้มน้าวใจ เป็นการพูดชักชวน โน้มน้าว เกลี้ยกล่อม จูงใจ

ใหผ้ ้ฟู ังเชื่อถือคล้อยตาม หรอื ทำตาม วธิ ีการพูดในลักษณะน้ผี ู้พดู จะต้องใส่อารมณ์ ลีลานำ้ เสียงความรู้สึกท่ี
จริงใจลงไปด้วยเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลักสำคัญของการพูดแบบนี้คือ ผู้พูดควรตระหนักถึงผลของ
การพูด ไม่พูดเล่นลิ้นที่หวังเพียงความนิยมศรัทธา แต่ผู้พูดต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูด และคำนึงถึง
ความถกู ตอ้ ง

3) การพูดเพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดที่บอกให้เห็นสิ่งที่ดี ความงดงาม แสดงให้เห็น
ความนา่ ชน่ื ชมของความคิด การกระทำ เพ่ือใหผ้ ูฟ้ งั เกิดความรู้สึกดีงามและได้รับคุณค่าทางใจ รวมถึงข้อคิด
คติ และแนวทางในการดำเนนิ ชีวิตอันสามารถนำไปปฏิบตั จิ นเกิดประโยชน์ต่อตนเองและกล่มุ สังคม ทั้งเกิด
กำลังใจที่จะกระทำดี เสริมชวี ติ ให้มีคุณคา่ และเจริญกา้ วหนา้

ในการพูดแต่ละเหตุการณ์ผู้พูดย่อมมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เขียนสรุป
จุดมุ่งหมายในการพูด ดงั น้ี

1) การพูดเพื่อให้ความรู้ โดยการบรรยาย อธิบายให้ฟัง เป็นการให้ข้อมูลรายละเอียด
ความรู้ ความคดิ แก่ผ้ฟู ัง

2) การพูดเพื่อชักจูงโน้มน้าวใจ ให้ผู้ฟังคล้อยตามและให้ความร่วมมือกับผู้พูด
เป็นการพดู ที่ตอ้ งใชว้ าทะศลิ ป์ในการพูดเพือ่ ใหผ้ ูฟ้ งั เชื่อถือ และปฏบิ ัติตาม

3) การพูดเพ่ือจรรโลงใจ เป็นการพูดชื่นชม เพื่อให้ผู้ฟังเกดิ ความรู้สึกดีงามและได้รบั
คุณคา่ ทางใจ เช่นการให้โอวาท การพดู อวยพรในโอกาสตา่ ง ๆ

4) การพูดอภิปรายโต้แย้ง ผู้พูดต้องแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ
อย่างมเี หตผุ ล หากมีการศึกษาข้อมลู มาประกอบการพดู จะทำให้มีนำ้ หนักในการพดู เพ่ิมขน้ึ

4.1.4 องคป์ ระกอบของการพดู

การพูดทบี่ รรลุจดุ มุ่งหมายในการพดู ย่อมประกอบดว้ ยองค์ประกอบที่สำคัญท่ีจะทำให้
การพูดครั้งนี้ประสบความสำเร็จ โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ.
2551)

1) ผู้พูด เป็นผู้ที่ต้องแสดงความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิดไปสู่ผู้ฟังให้ดี
ที่สุด ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษา น้ำเสียง สีหน้าท่าทางอย่างเหมาะสม ตลอดจนใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบ
เพอื่ ใหก้ ารพดู บรรลุจุดมุ่งหมาย

2) สาระหรือเนื้อเรื่องที่พูด เนื้อเรื่องต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน มีประโยชน์ เป็นไป
ในทางสรา้ งสรรค์ ผ้พู ูดควรเลือกเรอ่ื งทตี่ นถนดั และมคี วามรูจ้ รงิ ๆ

3) ผู้ฟัง เป็นผู้รับสารที่ผู้พูดถ่ายทอดมาให้ ผู้ฟังต้องสามารถฟังถ้อยคำต่าง ๆ
ได้เข้าใจ มีสมาธิและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้พูดซึ่งอาจแตกต่างจากความคิดของตน ผู้ฟังอาจแสดง

59

ปฏิกิริยาให้ผู้พูดทราบด้วยการพยักหน้า ปรบมือ ยิ้ม หัวเราะ ก้มหน้า ขมวดคิ้ว ฯลฯ ผู้พูดก็จะทราบได้ว่า
ผลของการพดู ตรงกับจุดมุ่งหมาย

จากการศึกษาองค์ประกอบของการพูดของ พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ (2558) และ
วราลี ศรทั ธา (2552) สามารถสรุปประเด็นองค์ประกอบของการพดู ได้ ดังน้ี

1. เนื้อหา หมายถึง สาระสำคัญทีจ่ ะพูดต้องมีความสอดคล้องกับหัวข้อ วัตถุประสงค์
มีความคิดหลกั ที่นำเสนอชัดเจน มีความน่าสนใจ และพลความที่นำมาประกอบเรือ่ งพูดเหมาสมสร้างสรรค์
และเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง มีการลำดับเนือ้ หาสาระสำคัญของเร่ืองที่จะพูดให้เป็นระบบ มีความต่อเนื่องกัน
ไป ประกอบดว้ ย คำนำ เน้ือเรือ่ ง สรุป ทำให้ผู้ฟังเขา้ ใจสาระสำคัญทัง้ หมดไดด้ ีขึน้ โดยไม่เกดิ ความสับสน

2. ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้ภาษาในการพดู แสดงความรู้สึกนึกคิดตา่ ง ๆ ของผู้พูด
ได้ดี ผู้พูดต้องใช้ถ้อยคำกะทัดรัด เข้าใจง่าย ใช้คำและประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ใช้ภาษาอย่าง
เหมาะสมกบั สถานภาพผูฟ้ ัง โอกาส พูดจาให้เกียรตผิ ู้ฟัง ไม่พาดพิงเรื่องสว่ นตัว

3. ลีลาน้ำเสียง หมายถึง การใช้น้ำเสียงเป็นสื่อที่จะนำสารหรือเรื่องราวความรู้
ความคิด ความรู้สึกจากผู้พูดไปถึงผู้ฟัง การใช้เสียงควรมีการพูดให้เสียงดังฟังชัด น้ำเสียงน่าฟังมีลีลาใน
การพดู ทนี่ า่ สนใจ

4. อากัปกิริยาท่าทางประกอบ หมายถึง อากัปกิริยาต่าง ๆ ประกอบการพูดที่ช่วย
เสริมให้การพูดมีความน่าสนใจและมีความน่าเชื่อถือ เช่น สีหน้า ดวงตา การเดิน การยืน การใช้มือ และ
มบี ุคลกิ ภาพทีเ่ หมาะสมทำให้การพูดมคี วามนา่ เช่ือถือ

สรุปไดว้ า่ องค์ประกอบของการพูดที่ทำให้การสื่อสารประสบความสำเร็จ ผู้พูดต้องให้
ความสำคัญกับองคป์ ระกอบการพดู ดงั นี้

1. ผู้พูด ผู้พูดทำหน้าทีส่ ่งสารผ่านสือ่ ไปใหผ้ ู้ฟัง ดังนั้น ผู้พูดจะต้องมีความสามารถใช้
ทั้งศาสตร์และศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไปสู่ผู้ฟังให้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ความสามารถ
ของผู้พูดที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ภาษา เสียง และกิริยาท่ าทางของผู้พูด
เจตคติต่อเรื่องที่จะพูด ระดับความรู้ในเรื่องที่พูด และผู้พูดมีฐานะทางสังคม พื้นฐานทางจริยธรรม และ
วัฒนธรรมอยูใ่ นระดบั ใด

2. สาระหรือเนื้อหาที่พูด เนื้อหาที่ผู้พูดต้องการสื่อออกไปจะต้องมีคุณค่า ชัดเจน
มีประโยชน์และคุ้มค่าแก่การเสียเวลาของผู้ฟัง สารที่ผู้พูดส่งไปนั้นจะต้องเตรียมมาแล้วอย่างดี เช่น
การคัดเลือกขอ้ มูลทม่ี ีความน่าเช่ือถือ การจดั ลำดับเน้ือหาท่ีพูดไมว่ กวน และการฝึกฝนตนเองของผ้พู ูด

3. ผฟู้ งั ผูฟ้ งั อย่ใู นฐานะที่จะต้องรบั สารของผ้พู ูดโดยอาศยั สื่อเป็นเคร่ืองนำพาผู้ฟังจะ
สามารถรับสารได้ตรงกับเจตนาของผ้พู ูดได้มากน้อยหรือไม่นนั้ ขึ้นอยกู่ บั ทักษะในการฟงั ความพรอ้ ม ความ
สนใจ พ้นื ความรู้ วัฒนธรรม และเจตคตขิ องผู้ฟัง

60

4.1.5 บคุ ลิกภาพของผูพ้ ูด

คำกล่าวที่ว่า “ถ้าท่านไม่สามารถยืนพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ อย่าหวังที่จะเป็นผู้นำ”
(หลวงวิจิตรวาทการ) คำกล่าวดังกล่าวช้ีให้เห็นถึงความเช่ือม่ันในตนเอง และการพูดท่ีประสบความสำเร็จส่วน
หน่งึ มาจากบคุ ลกิ ภาพของผู้พดู

บุคลิกภาพของผู้พูด คือ ลักษณะเฉพาะประจำบุคคล ซึ่งเกิดจากการรวมคุณสมบัติ
ต่าง ๆ ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ท่าทาง การแต่งกาย วราลี ศรัทธา (2552) ได้อธิบาย
บคุ ลกิ ภาพของผพู้ ดู ไว้ ดงั นี้

1) รูปร่างหน้าตา ผู้มีบุคลิกภาพดีควรมีรูปร่างแข็งแรง สุขภาพดี สะอาด ไม่มีอาการ
ประหม่า ต่ืนเวทีให้ปรากฏ หน้าตาสดชื่น แจ่มใส มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัว
ผู้พูดเป็นเบื้องต้น รูปร่างหน้าตาผู้พูดเป็นเร้าใจเบื้องต้นแก่ผู้ฟัง เพราะเป็นลักษณะภายนอกที่มองเห็นได้
ชัดเจน ผู้ฟังส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับผู้พูดที่มีรูปร่างหน้าตาตั้งแต่ต้น และจะรู้สึกชื่นชอบหรือศรัทธา
มากข้นึ ถา้ ผู้พูดสามารถพูดได้ดี ตามทค่ี าดหวังไว้

2) การแต่งกาย การแต่งการเป็นบุคลิกภาพที่บ่งบอกถึงนิสัยใจคอและรสนิยมของ
ผู้พูด และเป็นบุคลิกภาพที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มพูด คนส่วนใหญ่มักจะวินิจฉัย
อุปนิสัยใจคอของคนที่ตนพบเห็น โดยพิจารณาจากการแต่งกาย ซึ่งการวินิจฉัยเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความ
อคติหรือความลำเอียงขึ้นได้ ผู้พูดจึงต้องระมัดระวังเรื่องการแต่งกายเป็นอย่างดี การแต่งกายท่ีโดดเด่น
เกนิ ไปจะทำใหผ้ ้ฟู ังเบีย่ งเบนความสนใจไปทีเ่ สื้อผ้าได้ เชน่ เดยี วกับการแต่งกายทสี่ กปรก ยับย่ยู ี่ กอ็ าจจะทำ
ให้ผู้ฟังเกิดความรังเกียจ นอกจากนี้การแต่งกายท่ีเหมาะสมยังแสดงถึงการให้เกียรติผู้ฟังและสถานที่นั้น ๆ
ดว้ ย

3) พฤติกรรมที่แสดงออกมา การใช้กิริยาท่าทางในการพูดเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสามารถ
นำมาใช้ประกอบการพูด เพื่อให้สื่อความหมายหรือมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้พูดควรแสดงพฤติกรรม 6
ประการ ดังน้ี

กิริยาท่าทาง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสื่อความหมายระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง
ให้เข้าใจดียิ่งขึ้น ในการพูดกับคนกลุ่มใหญ่กิริยาท่างทางเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการช่วยเสริมความหมาย
ของการพูด การพูดแสดงอารมณ์จึงควรมที า่ ทางประกอบดว้ ย

การใช้สีหน้า จะบอกความรู้สึกของผู้พูดได้เป็นอย่างดี ผู้พูดจึงควร
แสดงออกทางสหี น้าให้ดูมีชีวิตชวี า ไม่ยิ้มมากไป และไมเ่ คร่งเครียดเกินไป สหี น้าของผู้พูดจะเป็นส่ิงท่ีทำให้
ผ้ฟู งั สนใจกระตือรอื ร้นท่จี ะฟังมากทสี่ ุด

การใช้สายตา เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการพูด เพราะความคิดความรู้สึกของ
คนเรานั้นมักจะปรากฏทางสายตา สายตานั้นสามารถสร้างความสมั พันธ์และบอกความรู้สึกของผู้พูดไปสง่
ผู้ฟังได้

การใช้มือ นับเป็นกิริยาท่าทางที่ผู้พูดใช้ประกอบการพูดมากกว่าส่วนอื่น ๆ
จุดประสงค์ของการใช้มือเพื่อช่วยเน้นยำ้ หรือขยายความใช้ละเอียดชัดเจนมากยิ่งขึน้ อย่างไรก็ตามการใช้

61

มือสื่อสารก็จะต้องเหมาะสมกับสาระที่ทำการสื่อสารอยู่ด้วยในขณะนั้น เพราะหากใช้ไม่ถูกต้องอาจทำให้
การสอ่ื สารผิดพลาดและผูฟ้ ังอาจรสู้ ึกรำคาญได้

การเดิน เปน็ อิรยิ าบถแรกทส่ี ะดุดตาผ้ฟู งั ดังนัน้ เมอ่ื ปรากฏกายต่อหน้าผู้ฟัง
ผ้พู ูดตอ้ งพยายามเดินใหด้ ดู ี สงา่ งาม และเดินในลักษณะท่กี ระปรี้กระเปรา่ กระตือรอื ร้น

การยืน ผู้ฟังสามารถมองเห็นไดช้ ัดเจนและหากท่ายืนของผู้พดู ไม่เหมาะสม
กอ็ าจจะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพในด้านลบจนเกิดความรู้สึกไม่อยากฟงั เน้ือหาอีกต่อไป

วสันต์ มีหงส์ (2548) กล่าวถึงบคุ ลิกภาพของผู้พดู ขณะยืน ใหย้ ืนแบบสบาย ให้น้ำหนักลง
ที่เทา้ ท้งั สองขา้ ง ทำตวั ใหเ้ ปน็ ธรรมชาติ และระมดั ระวังสง่ิ ตอ้ งหา้ ม 6 ประการ

1. ไม่ยนื เอามือล้วงกระเป๋า
2. ไม่ยนื แล้วแคะอวยั วะในร่างกาย
3. ไมแ่ กะกระดมุ ในระหว่างพดู
4. ไมเ่ กาศีรษะหรือเกาตวั
5. ไม่หาวในขณะพูด คนฟังจะพลอยง่วงไปด้วย
6. ไมพ่ ดู ไปยักไหล่หรือโยกตัวไปดว้ ย

สรปุ ได้ว่า บคุ ลกิ ภาพของผู้พดู คือภาพโดยรวมของผู้พูดท่ีปรากฏให้เห็น ได้แก่ หน้าตา
ท่วงที กิริยา การแต่งกาย การวางตัวแภลาะพทมี่ 4า.ร1ยบาุคทลิกใภนากพขาอรงผพูพ้ ูดดู ขณบะุคยลนื ิกภาพเป็นสิ่งที่พัฒนาและปรับปรุงให้ดี
ขึ้นได้

1. กริ ิยาท่าทาง มีการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นธรรมชาติ เช่น การผายมอื การสา่ ยหนา้
การนบั นว้ิ ประกอบการพดู กจ็ ะดเู ปน็ ธรรมชาติมากขึ้น

2. การใช้สายตา การมองหรือประสานสายตากับผูฟ้ ัง เป็นการสื่อความหมายในส่งิ ท่ี
พูดและแสดงความจริงใจของผ้พู ูดแลว้ ผูพ้ ูดยงั ทราบปฏิกริ ยิ าของผู้ฟัง

3. การเดิน การเดินออกมาพูดเป็นสิ่งแรกที่เป็นจุดสนใจของผู้ฟัง การเดินที่ดีควรจะ
ก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่พอเหมาะ ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ศีรษะตั้งตรง ไม่เดินงอหลังหรือยืดหน้าอก ขณะเดิน
แกวง่ แขนตามสบายไมค่ วรแกวง่ มากเกนิ ไป

62

4. การยืนและการนั่ง ขณะยืนและนั่งนั้นผู้พูดต้องดูเป็นธรรมชาติ ไม่เกรงและไม่ทำ
ตัวตามสบาย ท่ายืนที่ถูกต้องนั้นจะต้องวางเท้าห่างกันพอสบายและให้น้ำหนักตัวตกลงบนเท้าทั้งสองข้าง
เท่า ๆ กัน เลี่ยงการยืนตัวงอ การยืนพิงโต๊ะ หรือใช้มือจับโต๊ะไว้ เพราะจะแสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่ มี
ความมน่ั ใจในตนเอง หากนงั่ พดู ต้องไมไ่ ขว่หา้ ง

5. การแต่งกาย ควรแต่งกายให้สุภาพ สะอาดเรียบร้อยตามสมัยนิยม ถูกต้อง
เหมาะสมกับโอกาส วยั รปู ร่าง ฐานะ และสถานที่ ไม่ควรใสเ่ ครื่องประดับสีฉูดฉาดตา

4.1.6 การเตรยี มเนอ้ื หาการพดู

การเตรียมเนื้อหา การที่ผู้พูดประสบความสำเร็จในการพูดได้ต้องมีความพร้อมตั้งแต่
เริ่มต้น โดยเฉพาะการเตรียมเนื้อเรื่องเพราะเป็นส่วนที่ผู้พูดจะเสนอเนื้อหา แนวคิดใหม่ ๆ หรือให้ความรู้
แก่ผู้ฟัง การเตรียมเนื้อเรื่องเป็นการเตรียมความรู้ของผู้พูด เมื่อผู้พูดได้หัวเรื่องที่จะพูดแล้ว ผู้พูดควรหา
ขอ้ มูลประกอบไมว่ ่าจะเป็นขอ้ มลู พื้นฐานว่าผฟู้ ังคือใคร มีจำนวนเทา่ ใด มีเพศ มีวัยการศกึ ษาและสภาพทาง
สังคมอย่างไร อีกทั้งผู้พูดต้องเตรียมค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น หนังสือและเอกสารต่าง ๆ
ซ่ึงนกั วิชาการและนักพูดได้เสนอวิธกี ารเตรียมเนือ้ หาท่ีจะพูด ดังนี้

วราลี ศรัทธา (2552) กล่าวว่า การเตรียมเนื้อหา ผู้พูดควรกำหนดเนื้อหาและ
วัตถุประสงค์ในการพูดให้มีขอบเขตชัดเจนว่าจะพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร จะพูดในส่วนใด และจะเน้นอะไร
เป็นพิเศษ ควรจัดลำดับหัวข้อว่าควรพูดอะไรก่อนหลังและควรขยายความคิดของแต่ละหัวข้อ การเตรียม
ขั้นตอนการพูดเป็นการรวบรวมความคิดในแต่ละหัวข้อย่อยเป็นหมวดหมู่และลำดั บเนื้อหาอย่างมีระบบ
ระเบียบ การพูดที่มีการลำดับขั้นตอนน่าสนใจ ชวนติดตาม เป็นส่วนสำคัญให้เนื้อหาสาระที่เรียบเรียง
สมบรู ณย์ ง่ิ ข้ึน ประกอบดว้ ย การทักทายผฟู้ งั คำนำ เนื้อเรือ่ ง สรปุ ประเด็นทพ่ี ูด

พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ (2558) การเตรียมเนื้อหาสาระ เมื่อเลือกเรื่องและกำหนด
จุดหมายของการพูดได้แล้ว ผู้พูดต้องเตรียมเนื้อหาสาระของเรื่องท่ีจะพูดให้สอดคล้องกับจุดหมายของ
การพูด มีการจัดระเบียบความสำคัญก่อนหลังซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น การกำหนดประเด็นอย่างสัมพันธ์
กับเวลาทำให้ผู้พูดสามารถบรรจุใจความสำคัญได้ภายในกำหนดเวลา มีการขยายความแต่ละประเด็น
โดยอาจมีวธิ ีการดังนี้

1. ให้คำจำกดั ความเพือ่ ใหผ้ ูฟ้ ังเข้าใจเรือ่ งตรงกัน ไมเ่ กดิ ความสับสน
2. แสดงเหตุผล เพื่อสร้างความนา่ เช่ือถือ
3. ยกตวั อย่างใหส้ อดคล้องหรอื สามารถช่วยสนบั สนุนแนวคดิ ของเร่อื งได้
4. การเปรียบเทยี บ
5. อา้ งแหล่งขอ้ มูลอื่น ไมว่ า่ จะเป็นคำพูด ทศั นะหรอื ข้อความ
6. คิดบทสรุป หรือวิธีปิดการพูดที่น่าประทับใจ โดยการปิดการพูดนั้นอาจทำโดย
การกล่าวถึงความรู้สึก แสดงความคาดหวัง หรือย้ำถึงประเด็นสำคญั อีกครั้ง ผูพ้ ูดบางคนมักจะทิ้งท้ายให้คิด

63

หรอื ติดตามเรอ่ื งตอ่ ไป และปิดการพูดด้วยการขอบคุณและสวัสดี

จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ (2551) กล่าวถึงการเตรียมเนื้อหา
ก่อนพูด ผู้พูดควรวางโครงเรื่องก่อนการพูด โดยเลือกเรื่องและกำหนดขอบเขตของเรื่องควรเป็นเรื่องท่ี
ตนเองมีความรู้ดี มีความถนัดหรือมีประสบการณ์และควรเป็นเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ โดยทั่วไปโครงเรื่องแบ่ง
ออกเปน็ 3 ตอน คอื คำนำหรอื การเริ่มเรือ่ ง เนอื้ เรอ่ื ง และบทสรุป ดังรายละเอียดต่อไปน้ี

1) คำนำหรือการเร่ิมเร่ือง เป็นการพดู ชว่ งแรกท่มี ีความสำคญั มาก เป็นการเรียกความ
สนใจจากผฟู้ งั

วิธีการ : การเริ่มเรื่องควรทักทายผู้ฟัง แนะนำตัวและนำเข้าสู่คำนำด้วยการใช้
ถ้อยคำที่จับใจผู้ฟัง อาจขึ้นต้นด้วยคำถาม ใช้ข้อความที่ชวนสงสัย ประหลาดใจ ยกสุภาษิต คำพังเพย
คำคม บทร้อยกรอง หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง นอกจากนี้อาจยกเหตุการณ์ นิทาน มากล่าวนำ เพื่อสร้าง
บรรยากาศและเร้าความสนใจ

ขอ้ พงึ ระวงั : หลีกเลย่ี งการพดู ถอ่ มตัวหรือขออภยั ในความไม่พร้อม ไม่พดู อ้อมค้อม
วกวน หรอื นอกเรอื่ งจนหลงประเด็น

2) เนอื้ เรอื่ งหรือการดำเนนิ เรื่อง เปน็ ส่วนสำคัญที่ผูฟ้ งั ตั้งใจมาฟงั ผ้พู ดู ต้องเตรียมตัวให้
พร้อม

วิธีการ : เขียนเรียบเรียงเนื้อเรื่องให้ดำเนินไปตามลำดับเวลาและความสำคัญ
เพ่อื ไมใ่ หส้ ับสน เนื้อหาและหวั ข้อเร่ืองต้องมีความสัมพันธก์ ัน อาจมีการขยายเน้ือหาเพื่อให้เน้ือเร่ืองชัดเจน
ขึ้น โดยใช้คำจำกัดความ การให้เหตุผล การเปรียบเทียบ การยกตัวอย่าง ตลอดจนใช้อุปกรณ์ต่ าง ๆ
มาประกอบในการพูด

ข้อพึงระวัง : ในการเขียนควรอ้างอิงเหตุผลจากหนังสือที่เชื่อถือได้ประกอบ
การอธบิ าย และควรใช้แผนท่ีความคิด (mind mapping) ชว่ ยในการจดั ลำดบั ความคิดก่อนหลงั

3) การสรุป เป็นการสรุปเรื่องที่พูด และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟัง ผู้พูดต้อง
ประมวลความคิดที่เป็นสาระสำคัญหรือเป็นจุดเด่นเพื่อเร้าใจผู้ฟังให้เห็นความสำคัญของเรื่องที่พูด จูงใจ
ใหอ้ ยากทำตามทีผ่ ู้พูดทต่ี ้องการ

วิธีการ : สรุปโดยการย้ำสาระสำคัญของเนื้อเรื่อง ให้ข้อคิด อ้างอิงถ้อยคำของ
นักปราชญห์ รอื ผู้มชี ่ือเสยี ง ใช้สำนวนสภุ าษติ คำคม บทร้อยกรอง วาทะของบคุ คลสำคัญ หรืออาจสรุปโดย
การชกั ชวน เรยี กรอ้ งใหผ้ ้ฟู ังคล้อยตามก็ได้

ขอ้ พึงระวงั : ในการสรปุ ควรพดู ใหก้ ระชับกบั เวลาไม่ยาวเกินไป

64

สรุปได้ว่า การเตรียมเนื้อหาการพูด ผู้พูดต้องรวบรวมข้อมูลเนื้อหาที่สอดคล้องกับ
วตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตงั้ ใจจะพูด โดยมีการเตรยี มเนือ้ หา ดงั น้ี

1. การเตรียมเรื่องท่ีพูด ผู้พูดควรเลือกเรื่องทีก่ ำลังเป็นทีส่ นใจของผู้ฟัง ให้เหมาะกับ
ระดับความรู้ ประสบการณ์ และความสามารถของผู้ฟงั เพราะผ้ฟู งั ส่วนมากชอบฟงั เร่ืองที่ตนเองสนใจหรือ
เกี่ยวข้องด้วย เมื่อผู้พูดได้หัวเร่ืองท่ีจะพูดแล้ว ผู้พูดควรหาขอ้ มูลประกอบไม่ว่าจะเปน็ ข้อมูลพืน้ ฐานว่าผ้ฟู งั
คือใคร มีจำนวนเท่าใด มีเพศ มีวัยการศึกษาและสภาพทางสังคมอย่างไรถ้าผู้พูดสามารถเลือกเรื่องได้
ควรเลอื กเรอ่ื งท่ีตนมีความรูด้ ี มีความถนดั หรือมปี ระสบการณ์ จะทำให้ผูพ้ ดู พดู ได้ดี

2. การเตรียมขั้นตอนการพูด การพูดเรื่องใดก็ตามควรกำหนดเนื้อหาและวัตถุประสงค์
ในการพูดให้มีขอบเขตชัดเจนว่าจะพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร จะพูดในส่วนใด และจะเน้นอะไรเป็นพิเศษ
ควรจัดลำดับหัวข้อว่าควรพูดอะไรก่อนหลังและควรขยายความคิดของแต่ละหัวข้อ การเตรียมการพูด
มขี ัน้ ตอนทเ่ี ปน็ ระบบดังน้ี

2.1 กำหนดขอบเขตการพดู ผู้พูดตอ้ งคำนงึ ถงึ พน้ื ฐานความรู้ของผู้ฟัง เวลา
และโอกาส คือผู้ฟังระดับนี้ควรวางขอบเขตของเรื่อง ความยากง่ายเพียงใด และอยู่ในความสนใจ
ของผ้ฟู ัง การกำหนดขอบเขตนนั้ ทำให้ผพู้ ูดมปี ระโยชน์มาก เพราะชว่ ยให้ผพู้ ดู วางเคา้ โครงเรอื่ งไดเ้ หมาะกับ
ความต้องการของผฟู้ ังและทำให้การพูดบรรลุผล

2.2 การรวบรวมเนื้อหา เนื้อหาจะดีหรือไม่ดีข้ึนอยู่กับการหาข้อมูลค้นคว้า
จากห้องสมุด แหล่งคว่ามรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลการพูดมีความน่าเชื่อถือ และสามารถอ้างอิงสถิติตัวเลข
ผลงานวจิ ยั ประกอบรว่ มด้วยได้

2.3 การวางโครงเรื่อง จัดเนื้อหาสาระสำคัญของข้อความทั้งหมดให้เป็น
ระเบียบ ให้มีความต่อเนื่องกันไป ทำให้ผู้พูดและผูฟ้ ังสามารถเข้าใจสาระสำคัญทั้งหมดได้ดีข้ึน สามารถจัด
วางโครงเร่ืองได้ ดงั น้ี

- คำนำ เป็นการพูดเปิดประเด็นกว้าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ
เพราะการเริ่มพูดท่ีดจี ะมอี ำนาจทำใหผ้ ู้ฟังเกิดศรัทธาต้งั แต่แรก

- เนื้อเรื่อง ผู้พูดควรตระเตรียมเนื้อหาสาระของการพูดให้พร้อม และ
จำเป็นต้องมีการขยายความของเนื้อเรื่องให้สามารถเข้าใจง่าย เช่น มีการขยายความโดยยกตัวอย่าง
การเปรียบเทยี บ การให้คำนิยาม การให้เหตุผลประกอบการพูด ลกั ษณะดงั กลา่ วจะส่งผลให้การพูดประสบ
ความสำเรจ็ และทำให้ผฟู้ งั เกดิ ความเข้าใจมากยงิ่ ขนึ้

- การสรุป เป็นการสร้างความประทับใจใหก้ ับผู้ฟังและขมวดประเด็น
สาระสำคัญต่าง ๆ จากการพูด โดยทั่วไปการสรุปใช้เวลาไม่มากนัก ประมาณร้อยละ 5-10 นาที ของการพูด
ท้งั หมด

3. การวิเคราะห์ผู้ฟัง ผู้พูดควรทราบถึงลักษณะความต้องการ เพศ วัย การศึกษา

65

ประสบการณ์ ความคิด สถานภาพทางสังคม เพ่อื นำข้อมลู เหล่านั้นมาวางแผนและกำหนดสารให้เหมาะสม
กับผู้ฟัง เพื่อเป็นประโยชน์ในการเตรียมตัว ปรับเนื้อหา สาระ ตัวอย่าง การใช้ถ้อยคำ สำนวน ภาษา และ
กลวธิ ีการพดู ในแตล่ ะโอกาสใหเ้ หมาะสมกับกลมุ่ ผู้ฟัง

4.2 การพัฒนาทกั ษะการพดู

การพัฒนาทักษะการพูดเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ผู้พูดสามารถฝึกปฏิบัติได้ กุณฑลีย์ ไวทยะวณิช
(2545) และวราลี ศรัทธา (2552) ได้อธิบายการพฒั นาทกั ษะการพูดในที่ประชุมไว้ 4 ประการดงั นี้

1) การปฏิสันถาร สิ่งที่ผู้พูดต้องกล่าวเป็นประการแรกก่อนเริ่มต้นพูดในประเด็นเนื้อหา
คือ การกล่าวปฏิสันถารหรือกล่าวทักทายผู้ฟัง มี 2 รูปแบบ คือแบบทางการและไม่ทางการ การกล่าว
ทักทายผฟู้ งั จะทำใหผ้ ฟู้ ังสนใจผพู้ ูดและเปน็ การทำความรจู้ ักเบื้องตน้

1.1 แบบทางการ มักใช้ในโอกาสพิธี เช่น การประชุมวิชาการ การกล่าวเปิดงาน
การกล่าวปฏิสันถารอย่างเป็นทางการจะกล่าวขึ้นต้นด้วย กราบเรียนและตำแหน่งของประธานในพิธี
ตามด้วยตำแหนง่ ท่รี องลงมา ไมม่ คี ำลงท้าย ทีร่ ัก ทเี่ คารพ ทีน่ ับถือ

1.2 แบบไม่เป็นทางการ มักใช้ในโอกาสที่เป็นกึ่งพิธีการหรือโอกาสสังสรรค์
การปฏิสันถารอย่างไมเ่ ป็นทางการ มคี ำขึน้ ตน้ สวสั ดี เรยี น และมีคำลงท้าย ทร่ี ัก ท่ีเคารพ ทนี่ ับถอื นอกน้ัน
ใช้วิธีการเชน่ เดยี วกบั การปฏสิ นั ถารท่เี ปน็ ทางการ

2) เปิดฉากการพดู การเปิดฉากการพูดหรือการขนึ้ คำนำ ทกุ ครงั้ กอ่ นท่ีจะเร่ิมเน้ือหา ผู้พูดต้อง
คิดเรียบเรียงว่าจะเปิดฉากการพูดหรือคำนำอย่างไรถึงจะเหมาะสม น่าสนใจ ท้าทาย ชวนให้ผู้ฟังติดตาม
ตัง้ แต่เร่ิมต้นจนจบการพูด การเปิดฉากการพดู มขี อ้ ควรพจิ ารณา ดังนี้

2.1 ไม่ยดื ยาว ควรให้สัดส่วนประมาณ 1 ใน 20 ของเวลาทัง้ หมด กลา่ วคอื หากมีเวลา
พดู 60 นาที การเปิดฉากการพูดควรประมาณ 3 นาที

2.2 เข้าเนื้อหา ประเด็นเปิดฉากการพูดต้องมุ่งเข้าสู่เรื่อง หรืออาจพูดให้ตรง
จุดมุ่งหมาย เพราะผู้ฟังอาจจะสับสนได้และที่สำคัญแสดงว่าระบบความคิดของผู้พูดเองก็ยังไม่ชัดเจน
การเปดิ ฉากการพดู น้ันตอ้ งชวนใหผ้ ู้ฟังจดจอ่ และตดิ ตามเรื่องจนกระท่ังจบ

3) เนื้อเรื่อง ผู้พูดควรตระเตรียมส่วนของเนื้อเรื่องอย่างละเอียด ครบถ้วน เข้าใจง่าย และ
เหน็ ภาพ การเตรยี มเนือ้ เรื่องที่ดี ผูพ้ ูดต้องเริม่ จากการกำหนดโครงเรื่อง เม่อื กำหนดโครงเร่ืองแล้ว ส่ิงท่ีต้อง

66

คำนึงเป็นประการตอ่ มาคือ การขยายความ การขายความสว่ นเน้ือเร่ือง มีวธิ ที ำดังนี้
3.1 การยกตวั อย่าง เปน็ วธิ ีการทงี่ า่ ยและช่วยให้ผฟู้ งั เหน็ ภาพจากตวั อย่างทย่ี กมา
3.2 การเปรียบเทียบ การกล่าวถึงการเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่างของสองสิ่ง

ท่แี ตกตา่ งกันหรอื เหมอื นกนั
3.3 การให้คำนิยาม การขยายความว่าสิ่งนั้นคืออะไร โดยการอธิบายรายละเอียด

เพม่ิ เตมิ
3.4 การให้เหตุผล การกล่าวถึงเหตุและผล เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ใน

ประเดน็ เนอื้ หาและเป็นวิธกี ารใหป้ ระเด็นเนอ้ื หาชดั เจนขนึ้
3.5 การอธิบายเรื่องหรือพรรณนา การขยายความจนผู้ฟังผู้อ่านนึกเห็นภาพตาม

แต่ผู้พูดต้องระลึกเสมอว่า เมื่อจะนำเสนอประเด็นใด ผู้พูดต้องเลือกอธิบายพรรณนาเฉพาะประเด็นนั้น
เท่านนั้

4) การปิดฉากการพูด การปิดฉากการพูดหรือการพูดสรุป ผู้พูดต้องคิดเรียบเรียงว่าปิดฉาก
การพูดอยา่ งไรใหผ้ ฟู้ งั ประทับใจและชวนติดตามในโอกาสต่อไป การพูดปดิ ฉากมีวิธีการพูดดงั นี้

4.1 กะทัดรัด การปิดฉากการพูดไม่ควรยืดยาวจนเกินไป อาจพูดเพียง 2-3 ประโยคท่ี
จบั ใจและสามารถสะกดผู้ฟังไดก้ เ็ พยี งพอ

4.2 แจ่มชัดเป้าหมาย การปิดฉากการพูด ผู้พูดต้องขมวดประเด็นเนื้อหาได้ตรงตาม
วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการเน้นย้ำให้แน่ชัดว่า สาระที่นำเสนอทั้งหมดผู้พูดมีจุดมุ่งหมายอะ ไร เช่น
จุดมงุ่ หมายเชญิ ชวน หรือท้าทายใหน้ ำไปขบคิด

สรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะการพูด ผู้พูดควรกำหนดเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในการพูด
ให้ชัดเจนวา่ จะพูดเรื่องนีเ้ พื่ออะไร และมีจดุ เนน้ อะไรเปน็ พิเศษ ควรจดั ลำดับหวั ข้อกอ่ นหลัง และควรฝึกพูด
หรือฝึกอ่านข้อความหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้จำเนื้อความได้ การฝึกซ้อมจึงควรพูดดัง ๆ ที่หน้ากระจก
ในห้อง เพื่อให้เห็นท่าทางของตัวเองขณะพูดว่ามีลักษณะอย่างไร นอกจากนี้การพัฒนาทักษะการพูด
มีวิธีการ ดงั นี้

1. การกล่าวทักทายผู้ฟัง ซึ่งการกล่าวทักทายผู้ฟังประกอบด้วย 2 แบบ คือ แบบทางการ
และไมเ่ ป็นทางการ การกล่าวทักทายผ้ฟู งั จะทำให้ผฟู้ ังสนใจผูพ้ ูดและเปน็ การทำความรจู้ ักเบื้องตน้

2. เปดิ ฉากการพูด การเปดิ ฉากการพดู หรือการข้ึนคำนำ ทกุ ครั้งกอ่ นทจ่ี ะเริ่มเนื้อหา ผู้พูดต้อง
คิดเรียบเรียงว่าจะเปิดฉากการพูดหรือคำนำอย่างไรถึงจะเหมาะสม น่าสนใจ ชวนให้ผู้ฟังติดตาม ตั้งแต่
เรมิ่ ตน้ จนจบการพูด การเปิดฉากการพดู ควรมปี ระเด็นที่ชัดเจนและไมย่ าวเกินไป

3. การปิดฉากการพูด การปิดฉากการพูด ควรพูดสรุปให้กระชับและเชิญชวนหรือตั้งคำถาม
ท้าทายใหน้ ำไปคดิ

67

4.2.1 การพูดแนะนำตนเอง

การพูดแนะนำตนเองเป็นการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เก่ียวกับตัวผู้พดู เอง วิธีการพูด
แนะนำตนเอง มี 6 วธิ ี ดังนี้

1) กล่าวถึงประวัติตนเอง การศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ความสนใจพิเศษ
พดู ชา้ ๆ ชดั เจน น่มุ นวล สภุ าพ ใบหนา้ ย้มิ แยม้ แจ่มใส อยา่ พูดในทำนองอวดตวั มากเกนิ ไปหรือถ่อมตัว

2) เตรียมเนื้อเรื่องที่ตนประทับใจเพียง 1 เรื่อง โดยพิจารณาความสั้นยาวของเรื่องท่ี
เลา่ ตามระยะเวลาท่ีเหมาะสม

3) เรียงลำดบั เนอื้ หาเหตกุ ารณ์ตามเวลาที่เกดิ ขึ้น
4) เลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับเรอื่ งทจ่ี ะเลา่ สามารถสอดแทรกความคิดเห็นได้
5) ไมพ่ ดู ด้วยวิธที อ่ งจำ และไมน่ ำบทท่ีเตรยี มไว้ออกไปพดู
6) การใชน้ ้ำเสียงสร้างอารมณ์ความรู้สึกรว่ มในขณะท่ีเล่า

ตัวอยา่ งท่ี 1 : การแนะนำตนเองกับคู่สนทนา

สวสั ดีครับผมชอ่ื “จกั รวาล เศรษฐพงษ์ เปน็ คนอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ผมเพ่งิ ยา้ ยกลับ
เข้ามาอยทู่ ่ีนใี่ หม่ ไปทำงานที่อ่นื เสยี นาน ผมมีอาชีพรับราชการทหารครับ ทมี่ างานวัดวันนี้ ผมมคี วามยนิ ดี
มากที่ได้พบคุณ...”

ตัวอยา่ งท่ี 2 : การแนะนำตนเองเพือ่ เขา้ ร่วมวงสนทนากับคนหลายคน

“สวัสดีค่ะดิฉันชื่อทัศนีย์ หนูนาค เป็นคุณครูที่โรงเรียนประจำอำเภอนี่เองค่ะ ดิฉันเพิ่งเข้ามา
ทำงานใหม่ ขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันขอความกรุณาร่วมวงด้วยนะคะ เห็นทุกท่านพูดคุยกันสนุกสนานมาก
เป็นอยา่ งไรบา้ งคะ ทุก ๆ ทา่ นสบายดีใชไ่ หมคะ...”

4.2.2 การพดู แนะนำวิทยากร

ในทุกองค์กรที่มีการพัฒนาคนในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถ มักจะเชิญวิทยากรที่มี
ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นนั้ ๆ มาใหค้ วามร้แู ก่เจา้ หนา้ ที่ พนักงาน ซึ่งวธิ ีการพูดแนะนำวทิ ยากรมดี ังน้ี

1) การกลา่ วถึงโครงการฝึกอบรม ชอ่ื โครงการ วตั ถุประสงค์ของโครงการ กลุ่มผู้เข้าร่วม
เปน็ ใครก่อนทจี่ ะกล่าวแนะนำวิทยากร

2) การแนะนำวิทยากรเกี่ยวกับประวัติควรประกอบด้วยชื่อ หากมีคำนำหน้านามควร
กล่าวถึงด้วย เช่น อาจารย์ ดร.ทัศนีย์ เศรษฐพงษ์ ประวัติการศกึ ษา สถานที่ทำงาน ความรู้ความเชี่ยวชาญ

68

และประสบการณ์การทำงานหรือการเป็นวิทยากรในสถานท่ตี ่าง ๆ โดยเฉพาะท่ีเก่ยี วกับเร่ืองนแี้ ละรางวัลท่ี
เคยได้รบั

3) การสร้างบรรยากาศเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ทำให้ผู้พูดอยากพูดและผู้ฟัง
อยากฟงั

4) อย่าแนะนำยาวเกนิ ไป และไมเ่ ยนิ ยอเกินความจรงิ
5) การกลา่ วขอบคณุ ทวี่ ทิ ยากรสละเวลา และให้เกียรติมาบรรยายในโครงการดงั กล่าว

ตัวอยา่ งการพูดแนะนำวทิ ยากร
กระผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างย่ิงทีไ่ ด้มีโอกาสมาร่วมงานโครงการยกระดบั
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการอา่ นและการเขียนของนักเรียนในวันน้ี
โครงการในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา โดยมีผู้เข้าร่วม
โครงการเป็นข้าราชการครูในเขตจังหวัดนครปฐมจำนวน 60 คน ที่จะเข้ารับการฝึกอบรมในหัวข้อ
การพฒั นาและส่งเสริมนวัตกรรมที่ใช้แก้ปัญหาการอา่ นและเขียน เพ่อื ยกระดับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
วิชาภาษาไทยให้สูงขึ้น งานในวันนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านศาสตราจารย์อัจฉรา ชีวพันธ์
ให้เกียรติมาเป็นวิทยากร ซึ่งท่านเป็นบุคคลผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาไทย ประวัติ
การศึกษาท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
มีประสบการณ์การทำงาน โดยท่านเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ณ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถมศึกษา และได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น
จากกระทรวงวัฒนธรรมไทย ปัจจุบันท่านเป็นข้าราชการบำนาญที่สละเวลาทำประโยชน์ให้แก่วงการ
การศึกษาไทย โดยท่านได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมการสอนภาษาไทยให้แก่หน่วยงาน
ของรัฐและเอกชน
บัดนไี้ ด้เวลาอันสมควรแลว้ ผมขอเสียงปรบมอื ต้อนรับทา่ นวิทยากร และขอมอบเวทีนี้ให้ท่าน
ไดพ้ ูดคยุ แลกเปลย่ี นความรู้กบั คณาจารย์ต่อไป ขอเชิญครับ...

ภาพท่ี 4.2 การพูดแนะนำวทิ ยากร

69

4.2.3 การกลา่ วตอ้ นรบั

การกล่าวต้อนรับ พูดเมื่อมีแขกมาเยี่ยมสถานท่ีทำงานหรือมหาวิทยาลัย ผู้พูดต้องกล่าว
ตอ้ นรับแสดงความมีน้ำใจแก่แขก และใหแ้ ขกมีความอบอุน่ ใจในการมาเยอื น มีวิธีการพดู ดงั นี้

1) พูดเสียงดังฟังชดั เตม็ เสยี ง วาจาสภุ าพ
2) สีหน้าท่าทางแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับ และกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาส
ตอ้ นรบั
3) กลา่ วถงึ ความสัมพันธ์อันดีตอ่ กนั และการมาเยือนถือว่าให้เกยี รตเิ จ้าของบ้าน
4) กล่าวถึงความยินดีและเต็มใจที่ได้ต้อนรับคณะผู้มาเยือนและเชิญพักผ่อนตาม
อัธยาศยั
5) กล่าวถึงโอกาสสำคัญที่คณะได้มาเยี่ยม โอกาและทิ้งท้ายโอกาสหน้าจะได้มา
เยย่ี มใหม่

ตัวอยา่ งกลา่ วต้อนรบั คณะบุคคลทีม่ าเยย่ี มสถานที่

...ผมในนามคณะครุศาสตร์มีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้มีโอกาสต้อนรับ
ท่านรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธกิ ารทีม่ าประชุมจดั ทำหลักสตู รครู 4 ปีในคราวนี้ นับเป็นการประชุม
ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการประชุมระดับชาติ และผู้มาประชุมก็เป็นนักบริหารระดับสูงของแต่ละ
มหาวิทยาลัย ซ่ึงถือวา่ เปน็ บา้ นหลงั ท่สี องของทา่ น ขอให้พักผ่อนใหส้ บายจะทำการส่งิ ใดก็ขอให้สำเร็จตาม
เป้าหมาย ผมในฐานะเจ้าภาพขอกล่าวว่ามีความยินดีอย่างยิ่ง มีสิ่งใดที่จะให้ช่วยก็โปรดได้บอกนะครับ
ผมและชาวคณะครุศาสตร์ทุกคนยินดีเสมอที่ได้รบั ใช้ทุกท่าน ผมหวังว่าการประชุมครั้งนี้คงจะสัมฤทธ์ิผล
ตามเป้าหมาย และขอใหท้ ่านมีพลานามยั สมบรู ณ์ มีความสขุ ตลอดการประชมุ สวสั ดีครบั ...

4.2.4 การพดู เลา่ เร่ือง

1) การเล่าประสบการณ์ เปน็ การพดู เล่าเรื่องท่ีเกิดขึน้ ได้บ่อย เมอื่ เราตอ้ งการเลา่ เรื่องท่ี
ผา่ นมาให้ผูอ้ ่ืนฟัง

หลักการเล่าเรือ่ งประสบการณท์ ีป่ ระทับใจ
• ผู้เล่าเตรียมเนื้อเรื่องทปี่ ระทับใจเพียง 1 เร่ือง โดยพจิ ารณาความสัน้ ยาวของเร่ือง

ท่เี ลา่ ตามเวลาทกี่ ำหนด และวิเคราะห์เลอื กเร่อื งทพี่ ูดให้เหมาะสมกับผ้ฟู งั

70

• เขียนโครงเรือ่ งโดยเรยี งลำดับเหตกุ ารณต์ ามเวลาที่เกดิ ข้ึน
• ปรบั เปลี่ยนภาษา โดยเลอื กใช้ภาษาพดู และภาษาระดับก่งึ ทางการใหเ้ หมาะกับเร่ือง

ท่ีจะเลา่ สร้างอารมณค์ วามร้สู ึกรว่ มในขณะท่ีเล่า โดยการใชน้ ้ำเสยี ง
• ข้อควรระวงั ไมเ่ ล่าดว้ ยวิธที ่องจำ และไม่นำบททีเ่ ตรยี มไวอ้ อกไปพูด

2) การเล่าเรอ่ื งทีอ่ ่าน เปน็ การถ่ายทอดเรอ่ื งราวทีผ่ ู้พดู ไดอ้ ่านจากงานเขียนต่าง ๆ

หลักการเลา่ เรือ่ งท่ีอ่าน
• เม่ืออา่ นหนงั สอื จบใหย้ ่อความเนอ้ื หาใหส้ ัน้ กระชบั
• ผ้พู ดู บอกความสำคญั และจุดม่งุ หมายในการเลา่ เร่ืองเพ่ือเร้าความสนใจ โดยใช้เทคนิค

การตงั้ คำถามนำก่อนท่จี ะพูด ขณะทเ่ี ล่าควรมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วย
• ผพู้ ูดควรบอกประวัติผูแ้ ต่งยอ่ ๆ ท่มี าของหนงั สือ
• เล่าเรอื่ งยอ่ ตามโครงเรื่อง และบอกแนวคิดสำคัญของเรื่องที่อา่ น พร้อมทั้งสอดแทรก

ความคิดเหน็ หรือความประทับใจของเรื่องท่ีอ่าน
• ขอ้ ควรระวัง ไม่ควรอา่ นจากต้นฉบบั และไมเ่ ลา่ เกนิ เวลาที่กำหนด

ตวั อยา่ งการเลา่ ประสบการณ์ของนักศกึ ษา

“การพดู ประสบการณก์ ารท่องเที่ยวที่ประทับใจ”

นางสาววารุณี คำภูลอย

สวสั ดีค่ะทา่ นผู้ฟัง กอ่ นอืน่ ดิฉันอยากจะทราบก่อนนะคะว่าท่านใดบ้างท่เี คยไปเที่ยวประเทศเพ่ือน
บ้านของเรามาแลว้ ถา้ เคยไป เคยไปเที่ยวทไ่ี หนกนั บ้างคะ่ ?

ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีอยู่หลายประเทศนะคะ แต่ประเทศที่ดิฉันจะเล่าให้ทุกท่านฟังในวันน้ี
ก็คือประเทศกัมพูชา หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ มีพรมแดนทางทิศใต้จรดกับอ่าวไทย ทางทิศตะวันตกติดกับประเทศไทย ทางทิศเหนือติดกับ
ประเทศไทยและลาว ทางทศิ ตะวนั ออกตดิ กบั เวียดนาม

กัมพชู าเป็นอดีตประเทศอาณานิคมของฝรัง่ เศสในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้เพียงแค่ประเทศ
เดยี วเทา่ นน้ั มีสถานท่ที ่องเท่ยี วทส่ี ำคญั คอื “นครวัด” เป็นส่งิ ท่ีดิฉนั ใฝ่ฝันอยากจะได้ไปเห็นสักครั้งหนึ่งใน

71

ชีวิต ความใฝ่ฝันครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเรียนชั้นประถมศึกษา แค่เห็นภาพนครวัด ทำให้รู้สึกว่าดิฉัน
จะต้องได้ไปอย่างแน่นอน แล้วฝันก็เป็นจริง เมื่อทางโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาได้จัดทัศนศึกษา ดูงานที่
กัมพูชา 3 วัน 2 คืน ชมปราสาทนครวัด ปราสาทตาพรหม ปราสาทบันทายศรี ล่องเรือท่องทะเลสาบเขมร
สุดทา้ ยชมการแสดงนาฏศลิ ปเ์ ขมร ล้วนแล้วแตน่ า่ ดูน่าชมทั้งน้ัน

พวกเราออกเดินทางจากโรงเรียนเวลาประมาณ 06.30 น. เส้นทางที่ทัวร์เลือกเป็นเส้นทางที่เข้า
ทางดา่ นอรญั ประเทศ ท่ีตลาดโรงเกลอื ตดิ ชายแดนท่ีจงั หวดั สระแกว้ ใช้เวลานานเหมือนกันค่ะกวา่ จะไปถึงที่
นั่น เวลาประมาณ 15.30 น. พวกเราก็เดินทางมาถึงที่พัก คือโรงแรม Angkor River Hotel และสถานท่ี
แรกที่พวกเราจะไปเยี่ยมชมก็คือ โตนเลสาป (Tonle Sap) ค่ะ แต่เมื่อลอยกระทงที่ผ่านมามีข่าวไม่ค่อยดี
เท่าไหร่เพราะว่ามีคนมาลอยกระทงท่ีนี่กันเยอะทำให้มีการเหยียบกันตายค่ะ สำหรับโตนเลสาปมีแม่นำ้ โขง
ไหลผ่านยาว 500 กิโลเมตร จากนั้นไหลเข้าสู่เวียดนามลงสู่ทะเลจีนใต้ นับว่าเป็นแม่น้ำนานาชาติ และเช่ือ
กันว่าปลาบึกซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกว่ายทวนน้ำจากโตนเลสาปขึ้นสู่ประเทศไทย-ลาว ก่อนไป
ผสมพันธ์ทุ ี่จีนซงึ่ เป็นต้นแม่นำ้ โขง

โตนเลสาป มีปลาชุกชุมกว่า 300 ชนิด ประชาชนที่อาศยั อยู่ท่ีนี่มีรายได้จาการทำประมงน้ำจืดเป็น
อันดับสองรองจากการท่องเที่ยวค่ะ พอมาถึงที่หมายพวกเราก็ลงเรือ และทันทีที่เรือจอดเทียบท่า ก็จะมี
ชาวเลทั้งเด็กและผูห้ ญิงพายเรือ / กะละมังมาขอทานเต็มไปหมด แต่มีคนบอกว่าอย่าให้เงินเด็ดขาดเพราะ
ถ้าให้ใครสักคนแล้วจะมีอีกหลายคนท่ีจะเข้ามารุมขออย่างเอาตัวไม่รอดเลย ระหว่างที่เราล่องเรืออยู่น้ัน
ดิฉันได้สังเกตเห็นว่าที่นี่มีโรงเรียนเล็ก ๆ อยู่บนแพสอบถามเลยได้ความว่ารัฐบาลมีการส่งเสริมด้าน
การศกึ ษาโดยให้ทุกพน้ื ทม่ี ีโรงเรียนและเด็กไดเ้ รยี นฟรีต้ังแต่ประถมถงึ มธั ยม นกั เรยี นที่นี่จะเรียนกันวันละส่ี
ชั่วโมง คือเรยี นคร่ึงวันแตห่ ลังจากเลิกเรียนคดิ ว่าไปทำงานช่วยพ่อแม่คือชีวิตของคนสว่ นมากยากจนจึงต้อง
ดิ้นรน และอีกอย่างหนึ่งคือกัมพูชาเป็นดินแดนทีผ่ ่านศึกสงครามตลอดเวลา การพัฒนาคนจึงเป็นไปไดย้ าก
สงิ่ ทส่ี ัมผัสได้กค็ ือความเลอ่ื มล้ำของผคู้ น คนรวยสว่ นใหญ่จะเป็นพอ่ คา้ และนักการเมอื ง

ส่วนคนจนไม่ต้องพูดถึงเพราะคนจนมีมากมาย พอล่องเรือเสร็จพวกเราก็นั่งรถต่อไปที่ ภัตตาคาร
โตนเลแม่โขง ซ่ึงเป็นสถานที่ทีเ่ รารับประทานอาหารเยน็ และชมการแสดงนาฏศิลป์ของประเทศของกัมพูชา
ด้วยคะ่

วันที่สองของการทัศนศึกษาพวกเราออกเดินทางจากที่พักเพื่อเข้าชม ปราสาทตาพรหม
โดยทางเข้าปราสาทจะร่มรื่นด้วยพรรณไม้และประตูทางเข้าที่มีการแกะสลักรูปหน้าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
อยู่ด้วย พวกเราเข้าชมตัวปราสาทที่มีต้นไม้เข้าทำลายจนเกิด ศิลปะที่สวยงามมากคะ่ พร้อมชมนางอัปสรา
ที่สวยงาม และหลังจากนั้น เดินทางสู่ นครธม โดยเข้าทางด้านประตูทิศใต้ ซึ่งที่ซุ้มการแกะสลักรูปหน้า
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อยู่ด้วย ระหว่างทางเข้าจะมีรูปแกะสลักของเหล่าทหารที่กำลังกวนเกษียรสมุทรอยู่
ตอ่ ไปเขา้ ชม ปราสาทบายน บาปวน ทนี่ พ่ี วกเราต่ืนตะลงึ กับภาพจำหลักพระพักตรข์ องพระโพธิสัตว์อวโลกิ-
เตศวร ภาพแกะสลกั นูนต่ำแสดงถงึ เร่ืองราวการทำสงครามระหว่างขอมกบั อาณาจักรจาม หลงั จากน้ันพวก
เราก็เดินทางสู่ นครวัด (Angkor Wat) ปราสาทที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ลักษณะ
เป็นปราสาทหินที่สวยงาม ด้วยการแกะสลักบนหินทรายรูปนางอัปสร หรือ นางอัปสรา ตามระเบียงและ

72

หน้าของโคปุระหรือซุ้มประตู ทุกชั้น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พุทธศตวรรษที่ 12 หรือ
ประมาณ 840 ปี ก่อน โดยสรา้ งด้วยแรงงานคนหลายแสน พวกเราไดเ้ ก็บความทรงจำโดยเก็บเปน็ ภาพถ่าย
อย่างสนุกสนานเลยค่ะ และหลังจากน้ันพวกเราก็เดนิ ทางกลับที่พกั และรับประทานอาหาร และที่ลืมไมไ่ ด้
เลยคือต้องไปหาซื้อของฝากค่ะ ของฝากที่นี่ก็มีหลายอย่างนะคะมันสนุกที่การต่อราคาค่ะ คือพวกเราจะ
แยกกันไปหาซื้อของและเวลากลับมาทห่ี ้องพักกจ็ ะคุยกนั ว่าแต่ล่ะคนซื้อของชิ้นนนั้ ในราคาเท่าไหร่ คนที่ซ้ือ
มาในราคาทแ่ี พงกว่าก็จะเกิดอาการเจ็บใจ สว่ นคนท่ีซ้ือราคาถูกกว่ากจ็ ะรู้สึกภมู ใิ จที่ได้ราคาดีกว่า อันน้ีเป็น
ความสนกุ เลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ทีเ่ กิดข้นึ กนั ในหมคู่ ณะคะ่

ในที่สุดท้าย ที่พวกเราก็เดนิ ทางกลับ คณะทัวร์ออกเดินทางแต่เช้าค่ะและมาหยุดพกั ท่ีรับประทาน
อาหารกลางวันที่บอ่ นคาสิโนค่ะ เกิดมาดิฉันก็เพิ่งเคยเข้าบ่อนนี่แหล่ะค่ะก็เป็นความรูส้ ึกอีกแบบหนึง่ เสร็จ
จากการรับประทานอาหารแล้วพวกเราก็ข้ามเข้ามาประเทศไทยเพื่อกลับบ้าน อย่างมีความสุข ดิฉันคิดว่า
การเที่ยวกัมพูชาในครั้งนี้มีประโยชน์แก่พวกเรามากค่ะ เพราะนอกจากจะได้เที่ยวชมปราสาทและ
วัฒนธรรมของกัมพูชาแล้วพวกเรายังได้ความสมัครสมานสามัคคีกันในหมู่คณะอีกด้วยค่ะ ดิฉันก็ขอจบ
การแบ่งปันความรเู้ พียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีคะ่

ตัวอยา่ งการเลา่ เร่อื งที่อา่ น

เรอ่ื ง “การศึกษาของไทยสมัยโบราณ”

นางสาวนงเยาว์ อินตะชุ่ม

สวัสดีค่ะท่านผู้ฟัง เคยสงสัยไหมค่ะ เหตุใดเราต้องศึกษาหาความรู้กัน และในอดีตคนไทยได้รับ
การศกึ ษาจากทีใ่ ด วันน้ีดิฉันจะมาเล่าเร่ือง การศึกษาของไทยสมัยโบราณให้ฟังครับ เรอื่ งน้ดี ิฉันอ่านมาจาก
หนังสือประวตั กิ ารศึกษาไทย ของ ศาสตราจารย์ ดร.ไพฑรู ย์ สินลารตั น์ ซึ่งนา่ สนใจมากค่ะ เราจะได้รู้กันว่า
คนไทยโบราณศึกษาหาความรูก้ ันอย่างไร

การศึกษาสมัยนี้เป็นการศึกษาแบบสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่มีมาแต่เดิม จำเป็นที่คนไทย
ในสมยั นนั้ ต้องขวนขวายหาความรจู้ ากผู้รู้ในชุมชนต่าง ๆ ซ่ึงการศึกษาในสมัยน้ีมีบ้านและวัดเป็นศูนย์กลาง
ของการศึกษา เช่น บ้านเป็นสถานที่อบรมกล่อมเกลาจิตใจของสมาชิกภายในบ้าน โดยมีพ่อและแม่
ทำหน้าทใ่ี นการถา่ ยทอดอาชีพและอบรมลูก ๆ วงั เป็นสถานที่รวมเอานกั ปราชญส์ าขาตา่ ง ๆ มาเป็นขุนนาง
รับใช้เบื้องพระยุคลบาท โดยเฉพาะงานช่างศิลปหัตถกรรมเพื่อสร้างพระราชวังและประกอบพระราชพิธี
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสถานที่ถา่ ยทอดความรู้ต่าง ๆ จากคนรุ่นหนึง่ ไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง ส่วนวัดเป็นสถานท่ีประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา พระจะทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ชายไทยมี
โอกาสได้ศึกษาธรรมะและบวชเรียน ในสังคมไทยจึงนิยมให้ผู้ชายบวชเรียนก่อนแต่งงานทำให้มีคุณธรรม

73

และจิตใจมั่นคงสามารถครองเรือนได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ผู้ที่มาบวชเรียนมาแสวงหาความรู้เรื่อง
ธรรมะในวดั แล้ว ยงั สามารถแลกเปลยี่ นและถ่ายทอดความรใู้ นดา้ นศิลปวิทยาการต่าง ๆ ท่เี คยได้อบรมจาก
ครอบครัวมา

สถาบันทั้งสามที่กล่าวมานั้นมี บทบาทในการศึกษาอบรมสำหรับคนไทยในสมัยโบราณ
ในการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง นอกจากนี้ในชุมชนต่าง ๆ ก็มีภูมิปัญญามากมายซึ่งมี
ปราชญแ์ ต่ละสาขาวชิ า เชน่ ดา้ นการก่อสรา้ ง หตั ถกรรม ศลิ ปกรรม ประติมากรรม และแพทย์แผนโบราณ
เป็นต้น ส่วนพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นก็มีพระราชกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและ
มอี ทิ ธิพล ดงั นี้

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีการประดิษฐ์อักษรไทยขนึ้ ครั้งแรก โดยทรงดัดแปลงมาจากตัวหนังสือ
ขอมและมอญ อันเป็นรากฐานด้านอักษรศาสตร์จนนำมาสู่การพัฒนาปรับปรุงเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน
ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 จงึ เป็นศลิ าจารกึ ทจ่ี ารกึ เปน็ อกั ษรไทยให้ความรู้เกีย่ วกับประวัติความเปน็ มาของสุโขทัย
ส่วนการบำรงุ พทุ ธศาสนาในรชั กาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 ( พญาลิไท) ทำให้พระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
มาก ด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์ทรงสละราชย์สมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุชั่วระยะเวลาหนึ่ง นับเป็น
แบบอย่างของการบวชเรียนในสมัยต่อมา การที่พระองค์ทรงจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์โดย
กำหนดใหก้ ารปกครองสงฆ์ออกเป็นสองคณะ กล่าวคอื คณะอรัญวาสีและคณะคามวาสี และการที่พระองค์
ทรงพระนิพนธ์หนังสือไตรภมู ิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นการสอนศลี ธรรมให้
ราษฎรประพฤติแต่สิ่งที่ดีงามละเว้นความชั่ว ผู้ประพฤติดีจะได้ขึ้นสวรรค์ผู้ประพฤติชั่วจะต้องตกนรก
ซึ่งพระองค์ทรงบรรยายไว้อันน่าสะพรึงกลัว นับเป็นวรรณคดีร้อยแก้วที่มีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย
โดยกลา่ วถึงโลกมนษุ ย์ สวรรคแ์ ละนรก

คงเขา้ ใจกันแลว้ นะคะว่า คนไทยสมัยโบราณมีการศึกษาหาความรู้จากบ้าน วัด และวงั น้นั เอง ผู้ท่ี
รับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นชายที่ผ่านการบวชเรียนก่อนจะแต่งงานมีครอบครัว ต่างจากปัจจุบันที่ทุกคนมี
สิทธใิ นการศึกษาหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย หากท่านใดอยากได้ความรู้เพ่ิมเติมก็สามารถ
หาอา่ นไดจ้ ากหนงั สอื ประวตั ิการศกึ ษาไทยนะคะ สวัสดคี ่ะ

4.2.5 การพดู อธบิ าย

การพูดอธบิ ายเปน็ การถา่ ยทอดความรู้ ข้อเท็จจรงิ ความเปน็ มา แนวคิด โดยการอธิบาย
ซึ่งการอธิบายมีหลายรูปแบบ เช่น การอธิบายตามลำดับขั้น การอธิบายด้วยการให้คำนิยาม การอธิบาย
ด้วยการยกตวั อย่าง การอธิบายด้วยการเปรียบเทียบ การอธิบายด้วยการใชอ้ ุปกรณ์ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ
และคณะ, 2551) มวี ิธีการดังน้ี

74

❖ การอธิบายตามลำดับขั้น เป็นการอธิบายที่แสดงขั้นตอนเป็นระยะ ๆ กล่าวถึง
กระบวนการหรือกรรมวิธีมักใช้กับกิจกรรมการปฏิบัติ เช่น การอธิบายการผลิตสิ่งของต่าง ๆ
การบรหิ ารรา่ งกาย การเพาะเลยี้ งพืชและสตั ว์

❖ การอธิบายดว้ ยการให้คำนิยาม เปน็ การอธิบายความหมายของส่ิงใดสิ่งหน่ึงให้
ชดั เจน เชน่ อธิบายคำศัพท์ ข้อความในสาขาวชิ าตา่ งๆ

❖ การอธิบายด้วยการยกตัวอยา่ ง การอธิบายหลักการ วธิ กี าร ความรู้บางอย่างที่
เข้าใจยาก การใช้ตัวอย่างประกอบจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจ เช่น การอธิบายหลักการแต่งคำประพันธ์
การอธิบายพฤตกิ รรมเดก็ วัย 2 ขวบ ฯลฯ

❖ การอธิบายด้วยการเปรียบเทียบ เป็นการอธิบายที่ชี้ให้เห็นความเหมือนและ
ความแตกต่าง เช่น อธิบายระบอบการปกครอง ลักษณะของวรรณกรรมไทย การเจริญเติบโตของ
สิง่ มชี ีวติ ฯลฯ

❖ การอธิบายด้วยการใช้อุปกรณ์ เป็นการใช้อุปกรณ์ประกอบการอธิบาย เช่น
รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ เครื่องฉายแผ่นทึบ (Visualizer) ฯลฯ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจมากขึ้น แต่ควร
ระวังการใช้อุปกรณ์จะดึงดูดความสนใจของผู้พูด เช่น การอธิบายการเกิดภัยธรรมชาติ ปัญหา
การจราจรในกรงุ เทพ ฯลฯ

หลักการพูดอธบิ ายมีดังนี้
• เตรียมเน้อื เรอื่ ง จากแหลง่ ขอ้ มลู ทหี่ ลากหลายนา่ เชอื่ ถอื
• เลือกใช้วธิ ีการอธิบายตามหวั ข้อด้านบนให้เหมาะสมกบั เนื้อเรื่องทจ่ี ะอธบิ าย
• เตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสม ในกรณีที่อธิบายแล้วต้องใช้อุปกรณ์ประกอบ ควรตรวจสอบ
อุปกรณ์ก่อนการใช้จริง

ตัวอย่างการอธบิ ายตามลำดับขั้น

การบริหารรา่ งกายเพอ่ื เพิ่มความแขง็ แรงของกล้ามเนอื้ มีข้ันตอนดงั นี้

ท่าท่ี 1
บริหารกลา้ มเน้อื หลัง สะโพก ตน้ ขา ยนื หันหลงั เข้าหากำแพงแยกเท้าออก เท่ากับความกวา้ งของ

ช่วงไหล่ แลว้ ค่อย ๆ ยอ่ ตัวลงมา จนเขา่ งอประมาณ 90 องศา คา้ งเอาไว้จนนบั 1 ถึง 5 แล้ว จึงคอ่ ย ๆ
เหยียดเข่ายืดตัวขึ้นไปอยู่ในท่าเดมิ ทำ 5 ครั้งติดตอ่ กนั

ทา่ ที่ 2

75

บรหิ ารกลา้ มเน้อื หลงั และสะโพก นอนคว่ำแล้วยกขาข้างใดข้างหนง่ึ ขึ้นจากพ้ืน ยกค้างเอาไว้
เมื่อนับ 1 ถึง 10 แล้วจงึ วางลง ทำเช่นเดยี วกันกับขา อีกขา้ งหนงึ่ สลับกันขา้ งละ 5 ครงั้

ที่มา : (นพ.ปยิ ชาติ สทุ ธินาค, “การบริหารรา่ งกายเพ่ือรักษาอาการปวดหลัง,”
www.thaiclinic.com/backexercise เข้าถงึ ใน 25 พฤษภาคม 2562.)

ตัวอย่างการอธบิ ายด้วยการใหค้ ำนยิ าม

ภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน (Popular Wisdom) หมายถึง ทกุ สง่ิ ทุกอย่างทีช่ าวบ้านคิดได้เองที่นำมาใช้ใน
การแก้ปัญหา เป็นสติปญั ญา เป็นองคค์ วามรทู้ ้ังหมดของชาวบา้ น ทง้ั กว้าง ทง้ั ลกึ ที่ชาวบา้ นสามารถคิดเอง
ทำเอง โดยอาศยั ศักยภาพท่ีมอี ยู่แก้ปญั หาการดำเนินชวี ติ ได้ในท้องถิน่ อยา่ งสมสมยั

จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และคณะ (2551) อ้างถึงใน ประเวศ วะสี, “การสร้างสรรค์ภมู ิปัญญาไทยเพือ่ การพฒั นา,”วารสาร
ชุมชนพฒั นา ปีที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 75.)

ภาพท่ี 4.3 การพูดอธบิ ายดว้ ยการให้คำนยิ าม

ตัวอย่างการอธิบายด้วยการยกตวั อย่าง

ความเปน็ มาของประเพณี “ประเพณ”ี มบี ่อเกดิ มาจากสภาพสังคม ธรรมชาติ ทศั นคติ เอกลักษณ์
ค่านิยม โดยความเชื่อของคนในสังคมต่อส่ิงทีม่ ีอำนาจเหนือมนษุ ย์นั้น ๆ เช่น อำนาจของดินฟ้าอากาศและ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุต่าง ๆ ฉะนั้นเมื่อเวลาเกิดภัยพิบัติขึ้น มนุษย์จึงต้องอ้อนวอนร้องขอ
ในสงิ่ ทตี่ นคิดวา่ จะช่วยได้ พอภยั นนั้ ผา่ นพน้ ไปแลว้ มนษุ ยก์ แ็ สดงความร้คู ุณต่อสงิ่ น้ัน ๆ ดว้ ยการทำพิธีบูชา
เพื่อเป็นสิริมงคลแกต่ น ตามความเชื่อ ความรู้ของตน เมื่อความประพฤตินั้นคนส่วนรวมสังคมยึดถือปฏิบตั ิ
เป็นธรรมเนยี ม หรือเปน็ ระเบยี บแบบแผน และทำจนเป็นพมิ พ์เดยี วกัน สืบตอ่ ๆ กนั จนกลายเป็นประเพณี
ของสังคมนั้น ๆ ประเพณีและวฒั นธรรม เมื่อว่าโดยเนือ้ ความก็เป็นสิง่ อยา่ งเดียวกัน คือ เป็นสิ่งท่ีไม่ใช่มอี ยู่
ในธรรมชาตโิ ดยตรง แตเ่ ปน็ สงิ่ ทสี่ ังคมหรือคนในสว่ นรวมรว่ มกันสร้างให้มีข้ึน แล้วถา่ ยทอดให้แก่กันได้ด้วย
ลักษณะและวิธีการต่าง ๆ ว่าโดยเนื้อหาของประเพณีและวัฒนธรรมที่อยู่ในจิตใจของประชาชนเกี่ยวกับ
เรื่องความคิดเห็น ความรู้สึก ความเชื่อ ซึ่งสะสมและสืบต่อร่วมกันมานานในส่วนรวม จนเกิดความเคยชิน

76

เรยี กว่า นิสยั สังคมหรือประเพณี
อาการของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่สำคัญคือ อาการไข้สูง เมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดธรรมดาทั่วไป

ในเด็กเล็กมักมีน้ำมูก และไอร่วมด้วย ส่วนในเด็กโตและผู้ใหญ่มักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นอาการ
สำคัญ ความน่ากลัวของไข้หวัดใหญ่อย่างหนึ่งคือ การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค ได้แก่ โรคปอดอักเสบ
และโรคสมองอักเสบ ซงึ่ มกั เกดิ ข้นึ ในผ้ทู ่ีเปน็ กลุ่มเสีย่ งซึ่งหมายถึง เด็กเล็ก ผสู้ ูงอายุ และผู้ท่ีมีโรคประจำตัว
บางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคไต โรคเอดส์

ที่มา : www.bangkokhealth.com

4.2.6 การพูดสาธิต

การพูดสาธิตเป็นการพูดอธิบายการปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยใช้อุปกรณ์ประกอบ ผู้สาธิตจะ
แสดงวิธีการทำ อย่างช้า ๆ เพื่อให้เห็นขั้นตอน (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และคณะ, 2551) มีหลักการพูด
ดงั นี้

• กำหนดขอบเขตเนื้อหาเรียงลำดับเนือ้ หา
• ใชภ้ าษาง่าย กระชับ ชดั เจน
• เตรียมอปุ กรณ์ให้พร้อม ทดลองก่อนใช้
• ควรพดู อธบิ ายให้ความรกู้ ่อนแสดงวิธกี ารทำ
• การสาธิตตอ้ งใหผ้ ู้ฟังเหน็ ไดท้ ั่วถึง และผูพ้ ดู ต้องสนใจมองผู้ฟังด้วย

ขอ้ ควรระวัง ในการใชเ้ คร่ืองมือ หรืออุปกรณค์ วรเลอื กใช้ใหเ้ หมาะกับเรื่องท่ีพดู ผูส้ าธติ
จะต้องใช้เคร่ืองมือให้คล่องแคลว่ และทดลองก่อนการสาธิต

77

ตัวอย่างการพดู สาธิต

“การพับรปู หัวใจ”
สวัสดีค่ะทุกคน ดิฉัน นางสาวสายพิณ อินทนา วันนี้จะมาสาธิตวิธีการพับกระดาษรูปหัวใจกัน
นะคะ เพื่อให้เข้ากับเทศกาลแห่งความรัก วิธีพับหัวใจ หรือจะเรียกอีกอย่างว่า การพับกระดาษรูปหัวใจ
เป็นสิ่งประดิษฐเ์ ล็ก ๆ น้อยๆ ที่มีความน่ารัก หากใครที่ยังนึกหาของขวัญให้คนรู้ใจไม่ได้ จะพับรูปหัวใจให้
แทนกันกจ็ ะช่วยเพิ่มความหวานให้กบั คู่รกั ได้ ซง่ึ ใชอ้ ุปกรณด์ งั น้ี
1) กระดาษสีชมพูหรือสอี นื่ ๆ
2) กรรไกร
เมื่อเตรียมของพรอ้ มแลว้ ลงมือทำไดเ้ ลยนะคะ
ขนั้ ตอนที่ 1 เราตดั กระดาษเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มจัตรุ ัสก่อนและพับทบกันไปมาเป็นรูปสามเหล่ียมให้เกิด
รอยทั้งสองด้าน ขั้นตอนที่ 2 หลังจากที่ได้รอยพับแล้วก็ให้คลี่ออกมาและพับมุมสามเหลี่ยมลงมาหนึ่งด้าน
ใหอ้ ยู่ตรงกึ่งกลาง ข้ันตอนที่ 3 จากน้นั กพ็ ับมมุ ทต่ี รงกันข้ามกันพับขนึ้ มาทบตามท่ีลูกศรชีจ้ ะไดร้ ูปตามข้อ 4
ค่ะ ขั้นตอนท่ี 4 จากนั้นพับฐานขึ้นมาให้ชิดกึ่งกลางทั้งสองด้านตามลูกศรชี้เลยค่ะ ขั้นตอนที่ 5 พอเริ่มเป็น
รูปเป็นรา่ งหัวใจกันแล้วใช่ไหมค่ะ กพ็ ับตามลูกศรเลยค่ะ ข้นั ตอนที่ 6 พับตามลกู ศรเลยค่ะเป็นอันว่า วิธีพับ
หัวใจของเราก็เสรจ็ สมบูรณแ์ ล้วคะ่

ขัน้ ตอนท่ี 1 ขน้ั ตอนท่ี 2 ข้นั ตอนที่ 3

ขั้นตอนท่ี 4 ขั้นตอนที่ 5 ข้ันตอนที่ 6

78

ท่านใดท่สี นใจอาจจะพบั หวั ใจเป็นดวงเล็ก ๆ ใส่ในขวดโหลน่ารัก ๆ กไ็ ด้ เพ่อื ให้เป็นของขวัญ
ในโอกาสต่าง ๆ เห็นไหมค่ะว่าทำไม่ยากเลย หรอื อาจจะทำขายก็ย่งิ ดคี ่ะ รบั รองวา่ ขายดีเปน็ เทน้ำเทท่า
แน่นอน สวสั ดคี ะ่

4.2.7 การกล่าวคำตอ้ นรับ

ในโอกาสที่มีผู้มาใหม่ เช่น เจ้าหน้าทีใ่ หม่ พนักงานใหม่ นักศึกษาใหม่ หรือมีผู้มาเยี่ยมเพ่อื
พบปะชมกจิ การ ในการกลา่ วต้อนรบั มีหลักการ ดงั น้ี

• เรม่ิ ด้วยการกล่าวแสดงความยินดีท่ีได้มโี อกาสต้อนรับผมู้ าใหม่
• กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเยี่ยมเยือน เพื่อให้เห็นว่าฝ่ายต้อนรับนั้นเห็นความสำคัญของ

การมาเย่ยี ม
• แสดงความหวังวา่ ผู้มาเย่ยี มจะได้รับความสะดวกสบายระหว่างท่พี ำนักอยู่ในสถานทน่ี นั้

หรอื ระหว่างการเยย่ี มเยอื นนน้ั
• สรปุ เปน็ ทำนองเรียกรอ้ งใหอ้ าคันตกุ ะกลับมาเย่ยี มเยือนอีก สว่ นกรณผี ้มู าใหมก่ ็หวงั วา่ จะ

ได้ร่วมงานกันตลอดไปดว้ ยความราบร่นื

79

ตัวอย่างการกล่าวคำต้อนรบั

สวสั ดคี ะ่ ท่านคณาจารย์ทกุ ท่าน ดฉิ นั ในนามคณบดีคณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสุนนั ทา
รูส้ ึกเป็นเกยี รติอย่างย่ิงท่ีได้มีโอกาสต้อนรับ คณาจารยจ์ ากมหาวิทยาลัย Malaysian Teacher Education
Institute, Sultan Mizan Campus รัฐตรงั กานู

มหาวิทยาลัย Malaysian เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในการผลิตครู เปิดการเรียนการสอนมากว่า 50 ปี
และมีความสมั พนั ธอ์ ันดใี นดา้ นการแลกเปล่ียนวชิ าการกับประเทศไทยมาชา้ นาน คร้งั นีไ้ ดม้ าศึกษาดงู านสถาบัน
การผลิตครใู นประเทศไทย ซ่งึ คณะครุศาสตร์เป็นผ้รู ับผิดชอบในการนำเสนอหลักสูตรและกิจกรรมสง่ เสริมความ
เปน็ ครูวิชาชพี โดยทา่ นรองคณบดีฝา่ ยวชิ าการ และประธานสาขาวิชาจะเปน็ ผูใ้ ห้ข้อมูล

ในโอกาสที่มหาวิทยาลัย Malaysian มาศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ดิฉันคิดว่าเป็น
โอกาสอนั ดที ่คี ณาจารย์ทง้ั สองประเทศได้มีการแลกเปล่ียนข้อคิดเห็นทางการศึกษาและไดน้ ำวธิ กี าร แนวคิด ใน
การพัฒนาการผลิตครูไปปรับใช้ในประเทศของท่าน และ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้รับ
ความสะดวกสบายในการศกึ ษาดูงานในคร้ังนี้

ท้ายนี้ขอให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนการศึกษาดำเนินก้าวหน้าต่อไป
และขอเชิญทุกท่านกลับมาเยี่ยมชม หรือศึกษาดูงานใหม่ในปีถัดไป ทางคณะครุศาสตร์ สัญญาว่าจะต้อนรับ
ทกุ ท่านเป็นอย่างดี ขอบคณุ ค่ะ

ภาพท่ี 4.4 การกลา่ วคำตอ้ นรบั

4.2.8 การกลา่ วขอบคุณผู้พูด

เม่อื การพูดไดจ้ บสน้ิ ลงแล้ว ผู้กล่าวแนะนำเป็นผู้กล่าวขอบคุณผู้พูดดว้ ยตามปรกติแล้วผู้กล่าว
คำขอบคุณจะกล่าวถึงเรื่องสำคัญของเรื่องที่ผู้พูดได้พูดอย่างสั้น ๆ พร้อมทั้งเน้นให้เห็นว่าผู้ฟังจะได้รับ
ประโยชน์จากการฟังครั้งนี้ดว้ ยอนง่ึ ในกรณีการสัมมนา ซึง่ มวี ิทยากรเป็นผูบ้ รรยาย มหี ลกั การกล่าวขอบคุณ
ดงั น้ี

• เรมิ่ ด้วยการกลา่ วคำขอบคุณ

80

• สรุปเน้ือหาที่วทิ ยากรพูดไวอ้ ย่างส้นั ๆ พร้อมทง้ั กลา่ วเช้อื เชิญวทิ ยากรไวส้ ำหรบั การพดู
คร้ังตอ่ ไป

• จบลงดว้ ยการกล่าวขอบคณุ อกี ครั้งหนึง่

ตัวอย่างการกล่าวขอบคณุ ผู้พดู

สวสั ดคี รบั ทา่ นวทิ ยากร และอาจารยท์ กุ ทา่ น
กระผมในนามของผู้เข้ารับการอบรมโครงการพัฒนาการสอนภาษาไทย ขอขอบพระคุณ
ท่านศาสตราจารย์อัจฉรา ชีวพันธ์ เป็นอย่างสูงที่มาเป็นวิทยากรบรรยายวิธีการสอนภาษาไทย
ด้วยกระบวนการเล่น ซ่ึงในการเรียนการสอนภาษาไทย นักเรียนมักมคี วามเบือ่ หน่าย ท่านอาจารย์ได้ให้
เทคนิควิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และได้ใช้วิธีการเล่นเข้ามาเป็นส่วนช่วยให้การเรียนการสอน
มีความสนกุ เพมิ่ ขน้ึ กระผมหวงั เปน็ อยา่ งย่ิงวา่ ในโอกาสหน้าจะได้รับเกียรตจิ ากทา่ นอาจารย์มาบรรยาย
ใหค้ วามรู้อีก
ท้ายน้ีผมขอขอบพระคุณท่านวทิ ยากรท่ีไดเ้ สียสละเวลามาบรรยายให้ความรู้ และผมขอสัญญา
ว่าจะนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและ
สงิ่ ศกั ด์ิสิทธจ์ิ งดลบันดาลใหท้ า่ นและครอบครัวมีความสขุ และมสี ขุ ภาพที่แขง็ แรง

81

กิจกรรมท้ายบท

ตอนท่ี 1 ฝกึ ปฏิบตั กิ ารพดู หน้าช้นั เรียนเป็นรายบุคคล โดยเลอื กวธิ ีการพูดดงั นี้

การพดู แนะนำตวั การพดู เลา่ เรอื่ ง
การพดู อธิบาย การพดู สาธิต

เกณฑก์ ารประเมินการพดู

ช่ือผู้พูด................................................................เรือ่ งทพ่ี ดู .........................................................

ชอ่ื ผู้วิจารณ์.........................................................วัน เดอื น ป/ี เวลา...........................................

รายการประเมินผล ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรุง หมายเหตุ

1. การปรากฏกาย ……. ……. ……. …….. ……..

2. การกล่าวเปดิ ……. ……. ……. …….. ……..

3. น้ำเสียง ……. ……. ……. …….. ……..

4. คำควบกล้ำ ……. ……. ……. …….. ……..

5. ความนา่ สนใจของเนอ้ื หา ……. ……. ……. …….. ……..

6. กริ ิยาทา่ ทาง ……. ……. ……. …….. ……..

7. การเรียบเรียงคำพูด ……. ……. ……. …….. ……..

8. การกลา่ วสรุป ……. ……. ……. …….. ……..

คำแนะนำเพ่ิมเตมิ

.........................................................................................................................................................................................

เกณฑก์ ารประเมินคณุ ภาพ ดีมาก
4 คะแนน หมายถึง ดี
3 คะแนน หมายถงึ พอใช้
2 คะแนน หมายถงึ ปรับปรุง
1 คะแนน หมายถึง

82

ตอนที่ 2 จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้

1) การเตรียมตวั พูดไวล้ ่วงหนา้ มีประโยชน์อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2) ปัจจัยใดที่สง่ ผลต่อความสามารถในการพดู ไดบ้ รรลตุ ามวตั ถุประสงค์ทีต่ ั้งไว้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3) จงอธิบายวิธกี ารเตรียมเนื้อหาสาระการเรมิ่ ตน้ การพดู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4) บทนำของเรอื่ งที่พดู มคี วามสำคญั อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5) วิธีการพดู สรุปให้น่าสนใจ มีวธิ กี ารอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

83

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารอา้ งองิ

ภาษาไทย
กุณฑลีย์ ไวทยะวณชิ . (2545). หลกั การพูด. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์.
จไุ รรัตน์ ลักษณะศิรแิ ละบาหยนั อ่ิมสำราญ. (2551). ภาษากบั การส่อื สาร. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ:

บรษิ ทั พี.เพรส.
จินดา งามสทุ ธิ. (2549). ศิลปะการพูด. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพมหานคร: โอเดียนสโตร์.
ภูวดล ภูภัทรโยธิน. (2553). สูตรสำเร็จบทพูดสุนทรพจน์และคำอวยพรสำหรับทุก ๆ โอกาส.

กรงุ เทพมหานคร: ซีเอด็ .
พิมพ์พาภรณ์ บุญประเสริฐ. (2548). วาทการศาสตร์และศิลป์แห่งการพูดเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสาร.

กรุงเทพมหานคร: ไอยรา.
วราลี ศรทั ธา. (2552). การพดู เพ่อื ประสทิ ธผิ ล. กรุงเทพมหานคร: โอ. เอส. พร้นิ ตง้ิ เฮ้าส์.
วสนั ต์ มีวงษ์. (2548). พดู อยา่ งไรให้สมั ฤทธิ์ผล. กรุงเทพมหานคร: สำนกั พมิ พ์บุ๊กแบงค์.
วิศลั ยศ์ ยา รดุ ดิษฐ์. (2548). วาทวิทยาสำหรบั คร.ู กรุงเทพมหานคร: สำนกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์.
สุรีพร พูลประเสริฐ. (2558). การพูดในงานอาชพี . กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวชิ าการ.
อนงค์ รุ่งแจ้ง. (2553). การพูดในที่ชุมนุมชน : เทคนิคและการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ.

กรุงเทพมหานคร: เอ็กซเปอร์เนท็ จำกดั .

ภาษาองั กฤษ
Lucas, S.E., (2015). The art of public speaking. New York: McGraw-Hill Education.

84


Click to View FlipBook Version