The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือท่องเที่ยว-1-111

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by noonsuphawa, 2020-10-29 08:11:08

หนังสือท่องเที่ยว-1-111

หนังสือท่องเที่ยว-1-111

CHACHOENGSAO
ฉะเชิงเทรา

1

คำนำ

รายงานเลม่ นจ้ี ดั ทาขึ้นเพือ่ เปน็ ส่วนหนง่ึ ของวชิ าคอมพวิ เตอร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่
4 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรใู้ นเรอ่ื ง หนงั สอื ทอ่ งเที่ยวจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา และได้ศกึ ษา
อยา่ งเข้าใจเพอื่ เปน็ ประโยชนก์ ับผู้ท่เี กย่ี วขอ้ ง

ผจู้ ัดทาหวงั วา่ จะเปน็ ประโยชนก์ ับผูอ้ า่ น หรอื นักเรียน นกั ศึกษา ทก่ี าลังหา
ข้อมูลเรือ่ งน้ีอยู่ หากมขี อ้ แนะนาหรือข้อผิดพลาดประการใด ผจู้ ดั ทาขอน้อมรับไวแ้ ละ
ขออภยั มา ณ ทีน่ ีด้ ้วย

ผู้จดั ทา
นางสาว สุภาวดี สวุ รรณศรี

2

สารบญั 4
5
ตราประจาจังหวัดฉะเชงิ เทรา 6
คาขวญั ประจาจังหวัดฉะเชิงเทรา 7-11
ธงประจาจงั หวัดฉะเชงิ เทรา 12-14
ประวตั แิ ละความเป็นมา 15-16
วัดโสธรวรารามวรวหิ าร 17-18
วดั สมานรตั นาราม 19-20
ตลาดบา้ นใหม่ 21-22
วดั วรี ะโชตธิ รรมาราม 23
วดั หงสท์ อง 24
วัดโพรงอากาส 25
วัดปากนาโจโ้ ล้ 26-28
ตลาดนาบางคล้า 29-30
มินิ มรู ่าห์ ฟารม์ 31
อุทยานพระพฆิ เนศคลองเขอ่ื นเทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน (ปางยืน) 32
ท่านาคาเฟ่ 33
ตลาดคลองสวน 100 ปี 34
อนสุ รณส์ ถานพระสถูปเจดยี ส์ มเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช 35
บ้านปลาชุมคาเฟ่ 36
โบสถ์สเตนเลส วดั หัวสวน 37
คมุ้ วิมานดนิ 38
ตลาดโบราณนครเนื่องเขต
บรรณานุกรม

3

ตราประจาจังหวัดฉะเชงิ เทรา

เปน็ รปู โบสถว์ ัดโสธรวรารามวรวหิ าร ความหมายคือ เป็นจุดศนู ย์รวมของประชาชน
ชาวจังหวดั ฉะเชงิ เทราใหเ้ ป็นหนงึ่ เดยี วกนั

4

คาขวัญประจาจังหวัดฉะเชงิ เทรา

แม่นาบางปะกงแหล่งชวี ิต พระศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อโสธร พระยาศรี
สุนทรปราชญภ์ าษาไทย อา่ งฤๅไนป่าสมบรู ณ์

5

ธงประจาจังหวัดฉะเชงิ เทรา

ธงประจาจังหวัดฉะเชิงเทรา ความหมายคือ สีแดงเลือดนก คือ ความเสียสละ ความ
สามัคคี จากการต่อสู้และได้มาซึ่งชัยชนะของพระนเรศวรมหาราชในสมัยกรุงศรี
อยุธยา และพระเจ้าตากสินมหาราชต่อสู้ชนะข้าศึกท้ังทางบกและทางน้า สีเหลือง
หมาย ถึงสีประจารัชกาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ศาลากลางน้า
หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ความชุ่มชื้น ความร่มเย็น และองค์หลวงพ่อพระพุทธโส
ธรที่ล่องมาทางแมน่ ้าบางปะกง

6

ประวตั แิ ละความเปน็ มา

จงั หวัด ฉะเชิงเทราหรือท่ีนิยมเรยี กกนั ว่า "แปดริ้ว" เคยเป็นเมอื งหน่ึงท่ีอยู่ในอานาจการ
ปกครองของขอมมากอ่ นในสมัยอิทธพิ ลของ อาณาจักรลพบุรี (ขอม) เมืองฉะเชงิ เทราตั้งอยู่สอง
ฝ่งั แม่น้าบางปะกง เป็นไปได้วา่ ชาวเมืองสมัยโบราณอาจจะเรียกช่ือแม่น้าบางปะกงว่า คลองลึก
หรอื คลองใหญ่ ตามลักษณะที่มองเหน็ แตด่ ้วยอิทธพิ ลเขมรจงึ ไดเ้ รียกชอื่ แม่นา้ เป็นภาษาเขมรว่า
"สตึงเตรง หรอื ฉทรึงเทรา" ซึง่ แปลว่า คลองลกึ นน่ั เอง ครนั้ เรียกกันไปนาน ๆ เสยี งเลยเพย้ี น
กลายเปน็ "ฉะเชิงเทรา" แต่ก็มคี วามเห็นอ่ืนที่แตกต่างออกไปว่าช่ือ "ฉะเชงิ เทรา" น่าจะเพีย้ นมา
จาก "แสงเชรา" หรือ "แซงเซา" หรือ "แสงเซา" อันเป็นชื่อเมืองที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช
เสด็จไปตีได้ตามที่พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไว้ มากกว่า ส่วนความเป็นมา
ของช่ือ "แปดริ้ว" ก็มีเล่าขานกันมาหลายกระแส บ้างก็ว่าที่ได้ช่ือว่าเมืองแปดร้ิว ก็เพราะขนาด
อันใหญ่โตของปลาช่อนท่ีชุกชุมเม่ือนามาแล่ จะต้องแล่ถึงแปดร้ิว หรือไม่ก็ว่ามาจากนิทาน
พื้นบ้านเรื่อง "พระรถเมร"ี เลา่ ว่ายกั ษ์ฆ่านางสิบสองแล้วชาแหละศพออกเป็นช้นิ ๆ รวมแปดร้ิว
ทิง้ ลอยไปตามลาน้าท่าลาดสาหรับข้อสนั นิษฐานการตั้งเมืองฉะเชิงเทรา ปรากฏครั้งแรกในสมัย
กรุงศรีอยุธยา ในฐานะหัวเมืองชั้นในหรือเมืองจัตวา ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
(พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) แต่สาหรับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรากฏชัดเจนในสมัยพระนเรศวร
มหาราชท่ีใช้ เมืองฉะเชิงเทราเป็นท่ีรวบรวมไพร่พล เม่ือ พ.ศ.๒๑๓๖ ด้วยชัยภูมิของเมืองที่
เหมาะแก่การทาสงครามกองโจร ทาให้ฉะเชิงเทราเป็นเมืองหน้าด่านท่ีใช้ป้องกันศัตรู ปกป้อง
เมืองหลวง จวบจนสู่การปกครองระบบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.๒๔๗๕ และในปี พ.ศ.๒๔๗๖ มี
การกระจายอานาจจากส่วนกลางสู่ส่วนภูมิภาค คาว่าเมืองเปลี่ยนเป็นจังหวัด มีผู้ว่าราชการ
จังหวัดเป็นผู้ครองเมือง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นปีท่ีมีการต้ังภาคครั้งสุดท้ายของ
ไทย ฉะเชิงเทราไดร้ ับเลอื กเปน็ สถานท่ภี าคมีเขตความรับผิดชอบ ๘ จังหวัด ซ่ึงนบั เป็นบทบาทที่
สาคัญทางประวัติศาสตร์การปกครองของจังหวัดฉะเชิงเทรา"ฉะเชิงเทรา" กับ "แปดริ้ว" คือ
สองช่ือที่เรียกขานเมืองนี้ "ฉะเชิงเทรา" เป็นช่ือท่ีใช้ในทางราชการ ส่วน "แปดริ้ว" เป็นภาษา
ท้องถ่ินที่ชาวบ้านใช้เรียกกันมาช้านาน ซึ่งทั้งสองช่ือต่างก็มีเรื่องเล่าขานถึงความเป็นมาอย่าง
หลากหลายและมีสีสัน ช่อื "ฉะเชงิ เทรา" มีตน้ เค้าน่งึ มาจากหนังสอื ชุมนุมพระนิพนธภ์ าคปกณิ กะ
ภาค 1ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ซึ่งมีความพาดพิงถงึ เมืองฉะเชิงเทราว่า "...ชื่อ
บ้านเมืองเหล่าน้ีเป็นชื่อไทยบ้าง ชื่อเขมรบ้าง เป็นสองชื่อท้ังไทยท้ังเขมรบ้าง อย่างเมือง
ฉะเชิงเทราเป็นชื่อเขมร แปดริ้วเป็นชื่อไทย..." นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีบางท่านจึงมี

7

ความเห็นว่า "ฉะเชิงเทรา" น่าจะเพี้ยนมาจากคาเขมรว่า "สตึงเตรง" หรือ "ฉ่ทรึงเทรา" ซ่ึง
แปลวา่ "คลองลึก" ความเหน็ น้ีคงอาศัยเหตผุ ลทางภูมิศาสตรด์ ว้ ย เพราะเมืองฉะเชงิ เทราต้ังอยู่
สองฝ่ังแม่น้าบางปะกง เม่ือครั้งที่ขอมยังมีอานาจปกครองแผ่นดินไทยอยู่น้ัน เมืองนี้เป็นเมือง
หน่ึงท่ีอยู่ในอานาจการปกครองขิงขอมมาก่อน เป็นไปได้ว่าชาวเมืองในสมัยโบราณอาจจะเรียก
แม่น้าบางปะกงว่า "คลองลึก" หรือคลองใหญ่ ตามลักษณะท่ีมองเห็น และด้วยอิทธิพลเขมรจึง
ไดเรียกชื่อแม่น้าเป็นภาษาเขมรวา่ "สตรงึ เตรง" หรือ "ฉ่ทรงึ เทรา" คร้ังเรียกกันไปนานๆ เสยี งก็
เพี้ยนกลายเป็น "ฉะเชิงเทรา" เมืองที่อยู่บนฝั่งแม่น้าก็พลอยได้ช่ือว่า "ฉะเชิงเทรา" ไปด้วย
อย่างไร ก็ตาม คนจานวนมากมักมีความเห็นต่างอกไปว่า ช่ือ "ฉะเชิงเทรา" น่าจะเพี้ยนจาก
"แสงเชรา" หรือ "แซงเซา" หรอื "แสงเซา" อันเป็นช่ือเมอื งท่ีสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชเสด็จไป
ตไี ด้ ตามที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไวม้ ากกว่า เพราะการออกเสยี งใกล้เคยี งกันมาก
ยิ่งเมื่อประกอบความคิดที่ว่า เมืองตั้งข้ึนในตอนต้นกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเวลาที่ชื่อเสียงเรียง
นามต่างๆ นา่ จะเป็นคาไทยหมดแล้ว โดยเฉพาะเมือ่ เทียบกับเมอื งอื่นๆ ท่ีเกิดข้ึนในเวลาใกล้เคียง
กัน อย่างนนทบุรี นครไชยศรีและสาครบุรี ซึ่งล้วนแต่มีเช้ือสายไทยอิทธิพลอินเดีย ย่ิงทาให้น่า
เชื่อว่าเมืองนี้ไม่ใช่คาเขมร หากแต่เป็นคาไทยที่เพี้ยนมาขากชื่อเมืองในพงศาวดารนี่เองส่วน
ความเปน็ มาของชื่อ "แปดร้ิว" ก็มีตานานเล่าขานกันมาหลายกระแสไม่แพ้กัน บา้ งก็ว่าเมืองนี้แต่
ไหนแต่ไรมาเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้า ในลาน้าอุดมสมบูรณ์ด้วนสัตว์น้านานาชนิด โดยเฉพาะปลาช่อน
ซ่ึงเป็นปลาน้าจืดรสดีน้ันมีชุกชุมและขนาดใหญ่กว่าในท้อง ถิ่นอ่ืนๆ จนเมื่อนามาแล่เนื้อทาปลา
ตากแห้ง จะแล่เพียงสี่ร้ิวหรือห้าร้ิวตามปกติไม่ได้ ต้องแล่ออกถึง "แปดริ้ว" เมืองน้ีจึงได้ชื่อว่า
"แปดริ้ว" ตามขนาดใหญ่โตของปลาช่อนซ่ึงเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตัวของเมือง นอกจากเร่ืองปาก
ท้องซึง่ เป็นเร่ืองใหญแ่ ละมีอิทธิพลตอ่ ความคดิ ของชาว บา้ นอย่างมากแลว้ นิทานพื้นบา้ นซงึ่ มีเนื้อ
เรื่องค่อนข้างผาดโผนก็มีส่วนสร้างความเช่ือถือใน เรื่องช่ือเมืองได้เหมือนกัน คนในท้องถ่ินพนม
สารคามเล่าถึงเรอื่ ง "พระรถ-เมร"ี ซ่ึงเปน็ นิทานเร่ืองหน่ึงในปญั ญาสชาดกว่า ยกั ษ์ได้ฆ่านางสิบ
สองแล้วลากศพไปยังท่าน้า ในบริเวณที่เป็นคลอง"ท่าลาด" แล้วชาแหละศพออกเป็นร้ิวๆ รวม
แปดริ้ว แล้วทิ้งลอยไปตามลาน้าท่าลาด ริ้วเน้ือร้ิวหนังของนางสิบสองลอยมาออกยังแม่น้าบาง
ปะกง ไปจนถึงฉะเชิงเทรา เมืองน้ีจึงได้ชื่อว่า "แปดร้ิว"ฉะชิงเทราในอดีต เมือง ฉะเชิงเทราถือ
กาเนิดขึ้นเม่ือใด ไม่มีผู้ยืนยันได้แน่ชัด แต่จากที่ตั้งของเมือง นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าริมฝั่ง
แม่น้าบางปะกงแห่งนี้ เม่ือหลายพันปีก่อน น่าจะเป็นแหล่งอารยะธรรมสาคัญแห่งหนึ่ง
เช่นเดยี วกบั ทรี่ าบล่มุ แม่นา้ อนื่ ๆ ซึง่ เป็นแหลง่ พกั พงิ อาศัยของผูค้ นมาแตโ่ บราณ และเมื่อมกี ารขุด

8

ค้นพบโครงกระดูกและเครื่องประดับมีค่าอายุกว่า 5,000ปี ณ แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี
อาเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซ่ึงเชื่อว่าอยู่ในเขตการปกครองของเมืองฉะเชิงเทรามาก่อน จึง
เกิดเป็นหลักฐานว่า ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณน้ีในครั้งนั้น น่าจะเป็นมนุษย์โบราณสมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ทั้งหลายก็น่าจะตั้งรกรากอยู่ ใกล้เคียงกันตามชายฝั่งทะเลแถบน้ี จึงมีความ
เป็นไปได้ว่า เจ้าของอารยะธรรมที่โคกพนมดีอาจจะเป็นบรรพชนของผู้สร้างอารยะธรรมยุค
สาริด อันเลอ่ื งชอื่ ทบ่ี ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีก็ได้เม่ือล่วงเข้าสู่สมัยประวัตศิ าสตร์ แหล่งอารยะ
ธรรมลุ่มแม่น้าบางปะกงดูจะมีหลัดฐานชัดเจนขึ้น แต่บ้านเมืองในยุคต้นพุทธกาลนี้ก็ยังมิได้รวม
เป็นลกั ษณะ "อาณาจักร" ที่มีราชธานี ณ ทใ่ี ดที่หน่งึ เป็นศนู ย์กลางการปกครอง คงเป็นเพยี งการ
รวมกลุ่มข้ึนเป็น "แคว้น" หรือ "นครรัฐ" เล็กๆ กระนั้น บทบาทสาคัญทางเศรษฐกิจก็ได้เร่ิมขึ้น
แล้ว หากพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์ ชุมชนศูนย์กลางของอารยะธรรมกลุ่มแม่น้าบางปะกง
น้ัน น่าจะเป็นทางออกสู่ทะเลซ่ึงสามารถติดต่อซ้ือขายหรือแลกเปล่ียนสินค้าและ วัฒนธรรมกับ
ดินแดนโพ้นทะเล และในขณะเดียวกัน ก็สามารถนาพาสินค้าและวัฒนธรรมเหล่านั้นไปยัง
ดินแดนภายในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอยู่บริเวณท่ีราบสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและที่ราบต่าใน
กัมพชู า อนั ถอื ได้วา่ เป็นบอ่ เกิดแห่งอารยะธรรมสมัยโบราณของภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้
ได้อย่างสะดวก หลักฐานทางโบราณคดีท่คี ้นพบได้ในบริเวณน้นั ไม่วา่ จะเป็นสถาปัตยกรรมหรือ
ประติมากรรม ล้วนแสดงว่าชุมชนแห่งนี้มีอายุต่อเน่ืองยืนยาวหลายพันปี และมีมนุษย์อาศัย
สืบเนื่องมาไม่ขาดสายต้ังแต่ยุคบรรพกาลอย่างไรก็ตาม ช่ือ "ฉะเชิงเทรา" ได้มาปรากฏอย่าง
เป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
(พ.ศ. 1991-2031)ฉะเชิงเทราได้รับบทบาทสาคัญในการปกครอง ในฐานะหัวเมืองช้ันในหรือ
เมืองจัตวาท่ีอย่ใู กลร้ าชธานีของประเทศ เชน่ เดยี วกบั ราชบุรี เพชรบรุ ี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม
นครไชยศรี นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบรุ ี สมุทรสาคร ชลบุรี ปราจีนบรุ ี และนครนายก ใน
สมยั ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแหง่ กรงุ ศรอี ยุธยา บทบาทของ "เมอื ง" แหง่ นใ้ี นฐานะเพื่อน
ร่วมทุกข์สุขของพ่ีน้องชาวไทยเร่ิมเห็นชัดเจนเป็น รูปธรรมคร้ังแรก ด้วยเหตุที่ฉะเชิงเทราต้ังอยู่
ใกล้ชายแดนเขมร แต่ไหนแต่ไรมา เขมรมักถือโอกาสซ้าเติมไทยโดยยกทัพมากวาดต้อนผู้คนอยู่
เนืองๆ ในเวลาท่ีไทยเพล่ียงพลา้ ในการศกึ กบั พม่า ในปี พ.ศ. 2126 สมเดจ็ พระนเรศวนมหาราช
จงึ ได้ทรงเกณฑผ์ ู้คนนับหมื่น เสด็จกรีธาทัพไปตีเมืองละแวกเพือ่ แก้แค้นเขมร การศกึ ครั้งนั้นเป็น
คร้ังใหญ่ที่มีการวางแผนรบอย่างรอบครอบ และฉะเชิงเทราได้กลายเป็นขุมกาลังและแหล่ง
เสบยี งสาคัญท่มี หี นา้ ทแ่ี จกจา่ ย เสบยี งใหแ้ ก่กองทัพหลวงไม่ถึงสองรอ้ ยปีให้หลงั ฉะเชิงเทราท่ีมี

9

บทบาททางการเมืองอย่างสาคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกครั้ง หน่ึง ในปี พ.ศ.2310 ซึ่งเป็น
ปีที่กรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายแก่พม่า พระยากาแพงเพชรผู้ซึ่งในภายหลังได้ขึ้นครองราชย์เป็น
สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราชได้ชุมนุมพลพันเศษ เดินทัพจากกรุงศรีอยุธยาท่ีล่มแล้ว หมาย
จะไปซ่องสุมกาลังทเ่ี มืองจันทบุรีเพ่ือกอบกู้ชาตไิ ทย ทัพไทยถูกทหารพม่าติดตามมาดกั ที่บริเวณ
ปากน้าเจ้าโล้ซ่งึ เป็นท่ีตงั้ เมือง ฉะเชิงเทราในขณะนนั้ จึงเกิดปะทะกนั ขึน้ แต่ด้วยชัยภมู ิของเมืองอัน
เหมาะแก่ การทาสงครามกองโจรพระยากาแพงเพชรจึงสามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไปและ
เดินทางต่อ ไปได้จนถึงที่หมาย และภายหลังจากท่ีฝึกปรือทหารจนมีกาลังกล้าแข็งแล้วก็ได้นา
กาลังโดยใช้ ฉะเชิงเทราเป็นเส้นทางหน่ึงในการเดินทัพเข้าโจมตีพม่าที่เมืองธนบุรี แล้วข้ึนไปตี
ค่ายโพธิ์สามต้นซ่ึงเป็นค่ายใหญ่ของพม่าที่อยุธยา ทาการกอบกู้เอกราชให้กับชาติไทยได้เป็น
ผลสาเร็จโฉมหน้าใหม่ของเมืองน้ีเริ่มชัดเจนข้ึนในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ โดนเฉพาะอย่าง
ย่ิงในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นเวลาที่ฉะเชิงเทราได้รับ
บทบาทในฐานะ "เมืองหน้าด่าน" ท่ีสาคัญแห่งหน่ึงของชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อญวนเกิดฮึก
เหิม หมายจะแย่งชิงอานาจในการปกครองเขมรและสถาปนากษัตริย์เขมรจากไทย จนเกิดเหตุ
ลุกลามกลายเป็นสงคราม "อานามสยามยุทธ"ระหว่างไทยกับญวนดาเนินไปได้ราว 1ปี คือในปี
พ.ศ. 2377 พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจา้ อยู่หัว โปรดเกล้าฯ ใหย้ า้ ยท่ีวา่ การเมอื งฉะเชิงเทรา
จากเดมิ ซ่งึ ต้ังอยู่ทปี่ ากน้าเจ้าโล้ มาสร้างกาแพงเมอื งใหม่ทบ่ี ้านทา่ ไข่ แขวงเมืองฉะเชิงเทรา ชิด
กับลาน้าบางปะกง ซึ่งเป็นเสมือนกาแพงธรรมชาติที่ป้องกันศัตรูได้อย่างดี หมายให้ช่วยรักษา
เมืองหลวงให้พ้นภัยจากขา้ ศกึ กาแพงนี้นอกจากจะเป็นปราการในการปกป้องเมืองหลวงแล้ว ยัง
กลายเป็นศูนย์กลางอานาจรัฐแห่งใหม่และเป็นเคร่ืองแสดงอาณาเขตของเมือง ด้วย ต่อมาเมื่อ
เกิดการสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ภายในกาแพง ความเป็น "เมือง" ที่มีอาณาเขตแน่นอนของ
ฉะเชิงเทราจึงได้เกดิ ขึ้นเป็นครง้ั แรกในประวัติศาสตร์"สมยั ใหม"่ ของฉะเชิงเทราเริ่มต้นในรัชกาล
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่ง ราชวงศ์จักรี เม่ือไทยได้เปิดรับอารยะธรรม
ตะวันตกและเร่ิมผันชีวิตความเป็นอยู่รับ สถานการณ์โลก มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ
วฒั นธรรมนานัปการเพอื่ ให้นานาชาติเหน็ ว่า ไทยเป็นประเทศท่มี ีอารยะธรรมประเทศหนึ่ง เมื่อลุ
ถึงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อิทธิพลของมหาอานาจตะวันตกใน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ย่ิงกว้างขวาง กิจการภายในของไทยถูกคุกคามและแทรกแซง เป็นอีก
ครั้งหนึ่งที่ไทยพบกับภัยทางการเมืองในรูปแบบใหม่ที่รุนแรงด้วย พระราชดาริของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้หันมาใช้นโยบาย "การเมือง" นาหน้า

10

"การทหาร" และในขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัย ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนในทุกด้าน นาการปกครองระบบ "เทศาภิบาล" มาใช้โดยรวบรวมเมืองต่างๆ ขึ้นเป็น
"มณฑล" โดยยึดเอาลาน้าเป็นหลัก ฉะเชิงเทราก็ได้ร่วมมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า
ครั้งย่ิงใหญ่นี้ด้วย โดยให้รวมเข้าเป็นหน่ึงในมณฑลปราจีนในปี พ.ศ.2435 ร่วมกับเมือง
ปราจีนบุรี นครนายก พนมสารคาม มีลาน้าบางปะกงเป็นลาน้าสายหลักและมีการวางผังเมือง
อย่างเป็นระบบระเบียบ เป็นคร้ังแรก และเม่ือมีการขยายอาณาเขตโดยรวมเอาเมืองพนัสนิคม
เมืองชลบุรี และเมืองบางละมุงเพิ่มเข้าไปด้วย ฉะเชิงเทราจึงกลายเป็นที่ว่าการมณฑลแห่งนี้
ต้ังแต่น้ันมา "มณฑลปราจีน" ในคร้ังนั้นคอื สญั ลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติในยุคของ
การล่า อาณานิคมอย่างแท้จริง ฉะเชิงเทราซึ่งเป็นท่ีว่าการมณฑล ก็ได้กลายเป็นต้นฉบับของ
การปกครองท่ีก้าวหน้าและมั่นคง ให้มณฑลอ่ืนๆ ได้ถือเป็นแบบอย่าง จวบจนย่างเข้าสู่ระบอบ
ประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475เมื่อการปกครองระบบ "เทศาภิบาล" ยุติลงและเร่ิมมีการใช้
พระราชบัญญัติว่าด้วย "ระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2476" อานาจ
ปกครองจึงเริ่มกระจายสู่ส่วนภูมิภาค คาว่า "เมือง" ได้เปล่ียนเป็น "จังหวัด" มี "ผู้ว่าราชการ
จังหวัด" เป็นผู้ดูแลกิจการของเมือง มีการเลือกต้ังผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญการปกครอง
ประเทศ ดว้ ยเหตนุ ฉ้ี ะเชิงเทราจึงเปน็ เมืองทม่ี ีสถานทที่ อ่ งเท่ียวมากมายดงั น้ี

11

วดั โสธรวรารามวรวิหาร

ประวัติหลวงพ่อโสธรน้ัน ตานานไม่ได้กล่าวไว้ว่าใครเป็นผู้สร้างหรือสร้างเม่ือใด ทราบ
ตามที่เล่าต่อๆ กันมาแต่เพียงวา่ ในจงั หวดั หน่ึงทางภาคเหนือของไทย มีพระภิกษุสามองค์พี่นอ้ ง
เรียนพระธรรมวินัยแตกฉานแล้วก็จาแลงกายเป็นพระพุทธรูปมื่อมาถึงบริเวณหน่ึงก็ปรากฏองค์
ข้นึ ชาวบ้านบริเวณนั้นพบเข้าก็พากันเอาเชือกมนิลามาฉุดข้ึน แต่กเ็ อาขึ้นมาไม่ได้เพราะเชือกขาด
กอ่ นท่ีพระท้ังสามองค์จะจมหายไปบรเิ วณท่ีพระทั้งสามองค์ลอยทวนน้าหนีนัน้ เรียกว่า สามพระ
ทวน ต่อมาได้เพยี้ นและเรียกวา่ สมั ปทวน อาเภอเมอื งฉะเชงิ เทราจนทุกวนั นี้ ตอ่ มาไดม้ าผุดขนึ้ ที่
คลองคุ้งให้ชาวบ้านแถวนั้นเห็นอีก ชาวบ้านก็พยายามชุดข้ึนฝั่งแต่ไม่สาเร็จอีก สถานที่นั้น
เรียกว่า บางพระ มาจนทุกวันน้ี แต่นั้นมาพระพุทธรูปทั้งสามองค์ก็ได้สาแดงอภินิหารในคลอง
เล็กๆ ตรงข้ามกองพันทหารช่างท่ี 2 ฉะเชิงเทรา บริเวณนั้นเรียกว่า แหลมลอยวน คลองน้ันได้
นามว่า คลองสองพี่น้อง ภายหลังก็เงียบไป จวบจนองค์หน่ึงได้ลอยไปจนถึงแม่น้าแมก่ ลอง และ
ไปปรากฏข้ึนท่ีสมุทรสงคราม ชาวประมงได้พร้อมใจกันอาราธนาข้ึนไปประดิษฐานไว้ท่ีวัดบ้าน
แหลมหรือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิเป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนชาว
สมุทรสงคราม เรียกกนั ว่า หลวงพ่อบ้านแหลม มาจนทุกวนั น้ี องค์ท่ีสองได้ลอยวนไปวนมาและ
มาผุดข้ึนหน้า วัดหงษ์ เล่ากันว่า ทว่ี ัดน้ีเดิมมีเสาใหญม่ ีหงษ์ทาด้วยทองเหลืองอยู่บนยอดเสานั้น
จึงได้ช่ือวา่ วดั หงษ์ ต่อมาหงษ์ท่ียอดเสาหักตกลงมาเสยี ชารุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสา
แทนรูปหงษ์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสาน้ีหักลงส่วนหน่ึง จึงได้ชื่อว่าวัด
เสาทอน และต่อมาชื่อน้ีได้กลายไปเป็นวัดโสธร ประชาชนพลเมืองจานวนมากได้พากันหลั่งไหล
มาอาราธนาฉุดข้ึนฝั่งแต่ก็ไม่สาเร็จ ขณะนั้นมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษผู้รู้คนหน่ึงสาเร็จไสย
ศาสตร์หรือเทพไสยรู้หลักและวิธีอาราธนา จึงได้ทาพิธีปลูกศาลเพียงตาบวงสรวง กล่าวคา
อัญเชิญชุมนุมเทวดาอาราธนา และได้ใช้สายสิญจน์คล้องท่ีพระหัตถ์ของพระพุทธรูปกอ่ นจะคอ่ ย
ฉุดลากข้ึนมาบนฝั่ง พระพุทธรูปจึงเสด็จขึ้นมาบนฝั่งเป็นที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งของชาวเมือง จึง
ได้พร้อมใจกันอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ในพระวิหารวัดโสธร และเรียกนามว่า พระพุทธโสธร
หรือ หลวงพ่อโสธร ต้ังแต่น้ันมาส่วนองค์สุดท้ายได้ลอยไปอยู่ในแม่น้าเจ้าพระยาประชาชน
ละแวกนั้นก็หล่ังไหลมาอาราธนาข้ึนฝั่งฉุดข้ึนเป็นการใหญ่แต่ก็ฉุดข้ึนไม่ได้ เล่ากันว่ามีประชาชน
พากันมาฉุดนับไดถ้ ึงสามแสนคน จึงเรียกสถานทนี่ ั้นว่า สามแสน ภายหลังจึงเพ้ยี นมาเป็น สาม
เสน และเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ จากนั้นพระพุทธรูปองค์น้ีก็ลอยไปผุดขึ้นที่คลองสาโรง จังหวัด
สมุทรปราการ ประชาชนจึงได้ได้อาราธนาข้ึนไปประดิษฐานไวท้ ว่ี ดั พลบั พลาชัยชนะสงครามหรือ

12

วัดบางพลีใหญ่ในตราบจนทุกวันนี้ เป็นพระพุทธรูปท่ีศักด์ิสิทธ์ิมากอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย คือ
หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน เล่ากันว่าเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นนี้ เกิดข้ึนในสมัยกรุงธนบุรี ตรงกับ
ประมาณปี พ.ศ. 2313 นบั เปน็ ประวัตพิ ระพทุ ธรูปศักดส์ิ ิทธิ์ที่ลอยนา้ มาที่น่าสนใจอยา่ งยงิ่ วดั โส
ธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้าบางปะกง ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัด
ฉะเชิงเทรา เป็นพระอารามหลวง ช้ันตรี ชนิดวรวิหารวัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมช่ือว่า วัด
หงษ์ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่
ประดษิ ฐาน หลวงพ่อพุทธโสธร พระพทุ ธรปู คูบ่ ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนป้ัน
ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ตามตานานเล่าว่า หลวง
พ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสาริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก
ไดแ้ สดงปาฏิหารยิ ์ลอยน้ามา และมผี อู้ ญั เชญิ ขน้ึ มาประดิษฐานทีว่ ดั แหง่ น้ี แต่พระสงฆ์ในวัดเกรง
จะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะท่ีเห็นในปัจจุบันแต่เดิม หลวง
พ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอ่ืนๆ 18 องค์
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ภมู ิพลอดุลยเดช เสด็จราชดาเนินมาที่
วัดแห่งน้ี มีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระพรหมคุณาภรณ์(จริปุณ
โญ ด. เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาสจึงไดร้ วบรวมเงินบริจาคเพ่ือจัดซื้อท่ีดินสาหรับสร้าง
พระอุโบสถหลังใหม่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็น
ผกู้ ากับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ได้เสด็จพระราชดาเนิน
ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เม่ือ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคา น้าหนัก
77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เม่ือวันท่ี 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เม่ือวันท่ี 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549 การก่อสร้าง
พระอุโบสถหลงั ใหม่ สร้างข้ึนครอบพระอุโบสถหลงั เดมิ โดยใชเ้ ทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ โดยไม่
มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์ ศิลปะภายในพระอุโบสถ
หลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบนับตั้งแต่พ้ืนพระอุโบสถ เสา
ผนัง และเพดานจะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเร่ืองราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุ
โลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตาแหน่งของดวงดาวบน
เพดาน กาหนดตาแหน่งตรงกับวันท่ี 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคาหลวงพ่อโสธร หรือ หลวงพ่อพระพทุ ธโสธร เป็น

13

พระพุทธรูปสาคญั ของจงั หวัดฉะเชิงเทรา ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร
อาเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปหินทราย สมัยอยุธยาตอนต้น หน้าตักกว้าง
ประมาณ 1 ศอกเศษ เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ พระพักตร์ค่อนข้างกลมแป้น
พระขนงโก่งเลก็ นอ้ ย พระเนตรเล็กหรี่ เหลือบลงต่า พระโอษฐ์เล็ก สีพระพักตร์ขรึมแบบอยุธยา
ท่ีได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมร แต่ได้เสริมแต่งขึ้นจากเดิมโดยพอกปูน ลงรักปิดทองให้เป็น
พระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกวา้ ง 3 ศอก 5 น้ิว

14

วัดสมานรตั นาราม

วัดสมานรตั นาราม หรือที่หลายคนรู้จกั ดีในชอ่ื ของ วัดพระพิฆเนศ ฉะเชงิ เทรา เพราะพระ
พิฆเนศปางนอนเสวยสุขนเ้ี อง ท่ีทาให้วดั สมานรตั นารามแหง่ นี้มีชอ่ื เสียง และเป็นทร่ี จู้ กั แก่คน
ทั่วไปอย่างกว้างขวาง ด้วยความศักดิ์สทิ ธ์ิ เมื่อมีผใู้ ดมาขอพรก็มักจะสาเรจ็ สมดงั ใจหวงั จนทา
ใหเ้ ป็นท่ีนบั ถือของคนท่วั ไปอย่างรวดเรว็ พระพฆิ เนศปางนอนเสวยสขุ องค์นี้ มีเนอื้ องค์เป็นสี
ชมพแู ละอาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ พระพิฆเนศองคใ์ หญ่ทส่ี ุดในประเทศไทย ปางนอนเสวยสุขนั้นมี
ความหมายว่า เป็นปางที่ประทานความมีกินมใี ช้ เงนิ ทองไมข่ าดมอื อยู่อย่างสขุ สบาย อมิ่ หนา
สาราญ ขจดั ปัญหา ไมม่ ีเรอื่ งใหว้ นุ่ วายใจ เนื้อองค์มีสีชมพู รอบฐานมีปางต่างๆถึง 32 ปางให้
ชม ภายใต้ฐานพระพิฆเนศเป็นพพิ ธิ ภณั ฑแ์ สดงเกี่ยวกบั พระพฆิ เนศปางต่างๆ พร้อมทั้งเปดิ ให้
ประชาชนทว่ั ไปเชา่ พระพิฆเนศไปบชู าท่ีบา้ น ทางวัดได้เปดิ ให้ประชาชนสักการะกราบไหว้องค์
พระพิฆเนศ โดยจดั พน้ื ทใี่ ห้เป็นศาลารมิ แม่นา้ ภายในศาลาเปน็ ท่ีประดิษฐานองค์พระพิฆเนศ
จาลองปางต่างๆ อีกทง้ั มีพระพุทธรปู ให้ประชาชนได้กราบไหวส้ กั การะขอพร ถ้านกั ทอ่ งเทย่ี ว
สังเกตดา้ นหนา้ ฐานพระพฆิ เนศ จะเหน็ ปูนป้ันรูปหนูอยู่สองตวั ที่ยนื ทามือป้องหูไว้ ตามประวตั ิ
เล่าว่า พระพิฆเนศมหี นูเปน็ บริวาร และในความเช่อื ของผูท้ เ่ี คารพและสกั การะขอพรเป็นประจา
เชอื่ ว่าถ้าอยากไดส้ ่งิ ใด ขอพรสิง่ ใดให้สมหวงั ใหไ้ ปกระซิบท่ีหหู นู แล้วเจ้าหนูบรวิ ารนจี้ ะนา
ความไปบอกทา่ นพระพฆิ เนศ ใหป้ ระทานสงิ่ ทตี่ อ้ งการกลับมา และท่สี าคัญอย่าลืมติดสินบนหนู
ด้วย โดยการทาบญุ ใสต่ ้ทู ีว่ างไวด้ า้ นหน้าวดั สมานรัตนารามแห่งนี้ นอกจากจะมพี ระพิฆเนศ
ปางนอนเสวยสุขสีชมพู องคใ์ หญ่ที่สุดในประเทศไทย เปน็ ทีเ่ คารพ ขอพรแก่คนท่วั ไปแล้ว ยงั มี
ส่ิงศักด์สิ ทิ ธอิ์ ่นื ๆให้กราบไหว้บชู าขอพรอกี มากมาย เรียกไดว้ ่ามาท่วี ัดสมานฯแห่งเดยี ว ทาบุญได้
ครบทุกดา้ นเลยทีเดยี ว ไม่ว่าจะเปน็ ทาสงั ฆทาน, ทาบุญโรงศพ, บรจิ าคช่วยคา่ นา้ คา่ ไฟกับทาง

วดั ฯลฯ

15

พระพฆิ เนศปางปาฏหิ าริย์ 108 กร
ขอสิง่ ใดสาเร็จรวดเรว็ ทนั ใจดงั ปาฎิหารยิ ์

เจา้ แมก่ วนอมิ ปางประทานบุตร วดั สมานรตั นาราม

พระพรหมที่องค์ใหญ่ทสี่ ุดในโลกอยู่ทว่ี ดั สมานรตั นาราม

16

ตลาดบา้ นใหม่

ท่องเที่ยวท่ัวไทย พื้นท่ีจังหวัดฉะเชิงเทรา ถือว่าเป็นจังหวัดหน่ึงท่ีชาวแปดริ้วและชุมชน
ต่าง ๆได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์บ้านเรือนเก่า ๆ ท่ีสวยงามและมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
รวมท้ังมีวิถีชีวิตชมุ ชนท่ีมีมนต์เสนห่ ์เฉพาะท้องถ่ิน ซ่ึงจะเห็นได้ชดั เจนที่ตลาดบ้านใหม่และตลาด
คลองสวน และในปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัด ฉะเชิงเทรา
จุดเด่นของตัวตลาดบ้านใหม่ท่ีมีวิถีชีวิตเฉพาะถิ่นส่งผลให้เกิดเส้นทางท่อง เที่ยวเชื่อมโยงเป็น
หลายเส้นทางบริเวณนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนใหญ่เปน็ ชาวไทยเชื้อสาย
จีน ตั้งแต่อดีตที่แห่งน้ีมีความคับคั่งด้วยผู้คนที่มาประกอบอาชีพค้าขาย เป็นตลาดบกริมน้าที่
เจริญรุ่งเรืองมากซ่ึงจะดูได้จากอาคารบ้านเรือนที่ปลูกสร้างติด ๆ กัน และอยู่ชิดริมน้าแทบทุก
หลัง และเป็นจุดแลกเปล่ียนสินค้าสาคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา ตลาดบ้านใหม่ เป็นตลาดเก่า
อายุกว่า 100 ปี จากหลักฐานท่ีปรากฏในจดหมายเหตุ พระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. 1269 (พ.ศ. 2450) ได้เสด็จมาท่ีตลาดบ้านใหม่เมื่อวันเสาร์
เดือนยี่แรมแปดค่า ทรงทอดพระเนตรตลาดไปจนสุดตลาดแม้ว่าวันเวลาผ่านพ้นไปนานเป็นร้อย
ปีแต่ความสาคัญของตลาดริมน้าแห่งนี้ก็ยังคง ดารงอยู่จนถึงปัจจุบันด้วยความมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัว อาคารห้องแถวที่มีอายุยาวนานมาต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 5 และยังคงสภาพเหมือนเดิม
มาจนถึงปัจจุบัน ห้องแถวในตลาดใหม่มากกว่า 60 ห้องยังคงเป็นบ้านไม้แบบโบราณท้ังหมด
ประตูไม้พับมีชอ่ งทางเดินตรงกลางลักษณะ หน้าบ้านหันหน้าเข้าหากัน ภายในชุมชนตลาดก็ยงั มี
คนรุ่นคุณปู่คุณย่า อาศัยพานักอยู่ และยังคงรกั ษาวิถีชีวิตแบบด้ังเดิมไว้อย่างน่ายกย่องเป็นภาพ

วิถีชีวิต ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆในอดีต ให้กับผู้มาเยือนได้เห็นเป็นอย่างดีเมื่อ พ.ศ.
2547 ชุมชนบ้านใหม่พร้อมใจฟนื้ ฟูตลาดชมุ ชนอายุกว่า 100 ปี เปิดตลาดบ้านใหม่ ให้
เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมให้นักท่องเท่ียวเข้าเย่ียมชมวิถีชีวิต
ยอ้ นยคุ ตลาดบ้านใหม่ เปน็ แหล่งรวมอาหารอร่อยเมนูแบบโบราณ ให้เลอื กชมิ อาหาร
รสอร่อย เลือกซื้อของฝากจากแปดริ้วในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
อีกทั้งอาคารบ้านเรือนท่ัวไปได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพดีขึ้น ถือเป็นแหล่ง
ทอ่ งเท่ียวเชิงอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัดฉะเชิงเทรา อีกแห่งหนึ่งตลาดบ้านใหม่
หรือตลาดรอ้ ยปีบา้ นใหม่ แห่งเมอื งฉะเชิงเทรานี้ เมือ่ ในอดีตมชี มุ ชนชาวไทย-จนี อาศัย
อยู่บริเวณนี้ และทกุ คนอย่กู นั แบบถ้อยทถี ้อยอาศยั ซ่ึงกันและกัน ตลอดสองฝ่งั ริมแม่น้า

17

บางปะกง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี นับต้ังแต่รุ่น
อากงอาม่า หรอื เรยี กได้ว่าต้งั แต่สมยั คุณตาคณุ ยายยงั สาวตลาดบา้ นใหมม่ วี ัฒนธรรมการดาเนิน
ชีวิตมายาวนาน เม่ือคร้ังก่อนท่ีน่ีเป็นแหล่งชุมชนที่มีการค้าขายทางน้าอย่างคึกคัก แต่เมื่อ
กาลเวลาเปล่ียนไป ความสาคัญของที่น่ีกลับลดลง เพราะเม่ือถนนตัดผ่าน ผู้คนเริ่มใช้เส้นทาง
คมนาคมทางบกมากข้ึน การคมนาคมทางเรือจึงได้เงียบเหงาบางตา ประจวบเหมาะกับคนรุ่น
ใหม่ได้มีการเข้าไปศึกษาทางานกันที่กรุงเทพฯมากข้ึน จึงทาให้ตลาดท่ีเคยคึกคักค่อนข้างเงียบ
เหงาชาวบ้านชุมชนตลาดบ้านใหม่ส่วนหน่ึง มีความคิดที่จะพัฒนาตลาดบ้านใหม่ให้กลับคึกคัก
ดังเดิม จึงได้รวมตัวกันจดั ตลาดในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในเริ่มแรกยงั ไมม่ ีคน
เข้าร่วมมากนัก เพราะยังไม่เห็นถึงความสาคัญของการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมแต่เม่ือช่วง 2-3
ปีที่ผ่านมา การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมกลับเป็นท่ีนิยมของคนเมือง ท่ีนิยมมาดูสภาพบ้านเรือน
ความเป็นอยู่ หรือร่องรอยประวัติศาสตร์ในอดีต จึงทาให้ตลาดบ้านใหม่เป็นที่รู้จัก ประกอบกับ
การประชาสัมพันธ์ ของคณะกรรมการตลาด ท่ีมุ่งหวังจะให้แหล่งท่องเท่ียวแหล่งนี้เป็นท่ีรู้จัก
ของบุคคลทั่วไปตลาดบ้านใหมร่ ้อยปี ประกอบด้วย 2 ชุมชนคือ ชมุ ชนตลาดบ้านใหม่ และชุมชน
ตลาดบน เพียงแค่ข้ามสะพานเท่าน้ัน แต่คนโดยส่วนมากจะเข้าใจว่า ท่ีนี่คือตลาดบ้านใหม่แห่ง
เดียวส่ิงที่น่าสนใจสาหรับตลาดบ้านใหม่คือ การดาเนินชีวิตในรูปแบบเดิมๆ บ้านเรือนเป็นห้อง
แถวไม้แบบเก่า แม้บางบ้านจะปรับเปล่ียนรูปแบบไปบ้าง เพราะบางครั้งการดูแลรักษาลาบาก
แต่อย่างไรในภาพรวมของท่นี กี่ ย็ ังดูคลาสสิค สาหรบั ผชู้ อบถา่ ยภาพแนวไลฟ์

18

วดั วรี ะโชตธิ รรมาราม

วัดวีระโชติธรรมาราม เดิมเป็นสานักสงฆ์ชื่อ “สานักสงฆ์ทองธรรมโชติ” โดยมีคุณโยม
ระเบียบ โชตบิ รรยง (ปจั จุบนั ถงึ แก่กรรมแลว้ ) คณุ โยมทวี (ซึ่งน้องชาย) คุณโยมลออง (ภรรยา
คุณโยมทวี) โชติบรรยง ได้มีจิตศรัทธาถวายท่ีดิน จานวน ๓๐ ไร่ ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ เพื่อ
สร้างสานักสงฆ์ในเวลาต่อมาโยมผู้อุปการะวัดได้ถวายที่ดินเพิ่มข้ึนเพ่ือพัฒนาสานักสงฆ์ขึ้นเป็น
วัด โดยได้ถวายที่ดินเพ่ิมข้ึนตามลาดับ คือปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้ถวายเพิ่มอีกจานวน ๖ ไร่
รวมเป็นจานวน ๓๖ และได้เพิ่มข้นึ อีกในปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๔ อีก ๑๔ ไร่ รวมเน้อื ท่ีสรา้ งวดั ในปี
พุทธศักราช ๒๕๕๔ จานวน ๔๔ ไร่ โดยในวนั ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔ ไดม้ พี ธิ ีมอบทด่ี นิ ให้วดั
ในพิธีดังกล่าว ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าคณะภาค ๑๒ วัดสระเกศ เป็นประธานรับมอบ และในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ได้มีญาติโยม
พทุ ธบรษิ ทั ซอ้ื ถวายเพ่มิ อกี จานวน ๑,๖๐๐ ตารางวา หรือจานวน ๔ ไร่ รวมต้งั แต่ปี พ.ศ.๒๕๓๖-
พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นจานวนพ้ืนที่ท้ังหมด ๔๘ ไร่ ในระยะแรกท่ีเร่ิมพัฒนาสานักสงฆ์ทองธรรมโชติ
เพ่ือยกฐานะเป็นวัด คณะสงฆ์และโยมผู้อุปการะวัดได้ประสพปัญหาความยากลาบากในการ
พัฒนา เน่ืองจากชาวบ้านในชุมชนรอบวัดส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามประมาณ ๗๐-๘๐
เปอร์เซ็นต์ ในขณะท่ีมีชาวไทยพุทธอาศัยอยู่ในชุมชนจานวนน้อยกว่าจนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
คุณโยมทวี คุณโยมลออง โชติบรรยง ซ่ึงเป็นเข้าท่ีท่ีมีจิตศรัทธาถวายที่ดินเพ่ือสร้างวัด จึงได้
กราบนมัสการพระครูปลัดกิตติวัฒน์ (องอาจ อาภากโร) ซึ่งในขณะน้ันอยู่จาพรรษาอยู่ท่ีวัด
กระทุ่มเสือปลา แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ได้ปรารถเร่ืองสร้างวัดให้ฟังถึง
ความยากลาบากในการพัฒนา จึงมากราบอาราธนา พระครูปลัดกิตติวัฒน์ (พระอาจารย์
องอาจ อาภากโร) ไปดูสถานท่ี เมื่อมาดูแลว้ เห็นว่าภายภาคหนา้ สถานที่น้ีจะเป็นที่รุ่งเรืองได้ จึง
รบั ปากจะช่วยพฒั นาตามกาลังทพ่ี ึงมีพระครูปลดั กติ ติวฒั น์ ไดค้ รองตาแหน่งเจา้ อาวาสองค์แรก
ของวัดวีระโชติธรรมารามและเป็นปฐมแห่งเจ้าอาวาส ท่านได้รวบรวมพลังศรัทธาของ
พุทธศาสนิกชนให้เข้ามาร่วมกันพัฒนาวัด ด้วยความอุตสาหะวิริยะและสามารถพัฒนาวัด จน
ประสบความสาเร็จด้วยระยะเวลา ๕ ปี ด้วยงบประมาณกว่า ๑๐๐ ล้านบาท สืบต่อมาจนถึง
ปจั จุบนั ในเบ้ืองต้นเม่ือยังเป็นสานักสงฆ์อยู่น้ันพระครุปลัดกิตติวฒั น์ ได้ใหค้ าแนะนาแก่คุณโยมผู้
อุปการะวัด ให้เปลี่ยนช่ือสานักสงฆ์จากชื่อสานักสงฆ์ทองธรรมโชติ เป็นสานักสงฆ์วีระโชติธรร
มาราม โดยนานามมงคลของโยมผู้อุปการะวัด คือคาว่า “วี” ชื่อของ คุณโยมทวี โชติบรรยง
และคาว่า “ระ” มาจากช่ือของ คุณโยมระเบียบ รวมกันเป็นคาว่า “วีระ” รวมทั้งเป็นช่อื จรงิ ของ

19

พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดา) หรือพระมหาวีระ ถาวโร วัดจัน
ทราราม (ท่าซุง) ตาบลน้าซมึ อาเภอเมือง จงั หวัดอุทัยธานี ซึ่งเปน็ ครูบาอาจารย์ ของท่านพระ
ครูปลัดกิตติวัฒน์ คาว่า “โชติ” หมายความถึง คานาหน้านามสกุล “โชติบรรยง”เพ่ือความเป็น
มหามงคลแห่งนาม “วีระโชติธรรมมาราม” เม่ือวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ เวลา
ประมาณ เวลา ๑๗.๐๐ น. ภายในพระอุโบสถวดั สระเกศ ราชวรมหาวหิ าร
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร พระครูปลัดกิตติวัฒน์ ได้กราบนมัสการเพ่ือถวาย
รายงาน ทา่ นเจา้ ประคณุ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผูป้ ฏบิ ัติหน้าทสี่ มเด็จพระสังฆราช
กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
ถึงการเปลี่ยนชอ่ื สานักสงฆว์ ีระโชตธิ รรมาราม ท่านเจ้าประสมเดจ็ พระพฒุ จารย์ จึงประทานชื่อ
ตามเจตนาให้เป็นมงคลสมกับที่เจริญศรัทธาแก่ท่านเข้าของที่ โดยใช้ช่ือใหม่ว่า “สานักสงฆ์วีระ
โชติธรรมาราม” ในเวลาต่อมาได้พัฒนาสานักสงฆ์ขึ้นเป็นวัดจึงได้ใช้นามมงคล “วัดวีระโชติธรร
มาราม” สืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั

20

วัดหงส์ทอง

เจา้ อาวาสวัดหงษ์ทอง ย้อนอดีตให้ฟังถงึ ความเปน็ มาทีส่ ิ่งปลกู สรา้ งสาคญั ของวัดลว้ น
ปลูกสรา้ งอยู่ "ในทะเล" จนถอื เปน็ "UNSEEN ของแปดริ้ว" ว่า สมัยทีต่ วั ทา่ นเองยังเปน็
ฆราวาสชอื่ นายปราชญ์ ศรนิล ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยทู่ บี่ า้ นเกิดนี้เมอื่ ถงึ วนั พระหรอื วนั
สาคญั ทางศาสนา ชาวบ้านหงษ์ทองตอ้ งเดินลุยโคลนสูงท่วมเข่า ลยุ ปา่ ชายเลนไปทาบญุ ที่วดั ซง่ึ
อย่ไู กลออกไปหลายกโิ ลเมตร เมอื่ พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปปู่ านวดั คลองด่าน ได้ริเร่ิมต้ังสานกั สงฆ์
ขนึ้ ณ ท่ตี ัง้ วัดปจั จบุ นั น้ี โดย กานันสนใจ ภญิ โญ บอกยกทด่ี นิ ใหว้ ัดดว้ ยปากเปลา่ เพือ่ ชาวบ้าน
จะได้ประกอบศาสนกจิ ไดส้ ะดวกข้นึ ต่อมา มีบริษทั เอกชนแห่งหนึง่ มารวบรวมซื้อที่ดนิ ละแวก
คลองหงษท์ องและคลองขุดจากชาวบ้าน ทด่ี ินตรงนี้ถกู ขายไปด้วยจนกระท่ังในปี พ.ศ. ๒๕๒๒
นายปราชญ์ ไดร้ ับเลอื กเปน็ ผู้ใหญ่บ้านขณะนน้ั พระอาจารย์โพธ์ิ วรธรรมโม (แกว้ ขาว)เป็น
หัวหนา้ สานักสงฆ์แห่งน้อี ยู่ ผ้ใู หญป่ ราชญ์ ศรนิล ได้เปน็ กาลังสาคญั ทาหน้าที่เป็นตวั แทนของ
ชาวบ้านและสานักสงฆ์ไปเจรจาขอซ้อื ทด่ี นิ บรเิ วณทต่ี ั้งสานกั สงฆ์ ๒๑ ไร่ ๒ งาน จาก
บริษทั เอกชนรายดงั กลา่ ว จนบรษิ ทั ยอมขายใหใ้ นราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยขอเวลาผ่อนชาระ ๓
ปี ซง่ึ กว่าจะชาระเงนิ ไดค้ รบถว้ น ผู้ใหญ่ปราชญ์ ต้องวงิ่ เต้นประสานงาน และประสานความร่วม
แรงรว่ มใจของชาวบา้ นเป็นอยา่ งมาก ในช่วงปี ๒๕๒๒ - ๒๕๒๗ น่ีเอง ทไี่ ด้พฒั นาสานักสงฆ์
จนเปน็ วัดแตแ่ รกจะตง้ั ชื่อว่าวดั พระปฐมหลวงปปู่ านอุปถมั ภ์ แตท่ างสานักงานพระพุทธศาสนา
แนะนาให้ใช้ชือ่ "หงษท์ อง" ตามชื่อคลอง "คลองวัดหงษท์ อง" จงึ เป็นวดั โดยสมบูรณน์ บั จากน้ันมา
โดยกล่าวไดว้ ่า ผ้ใู หญ่ปราชญ์ ศรนลิ เปน็ ฆราวาสคนสาคญั ในการฝ่าฟนั อุปสรรค บุกเบิกสรา้ ง
วดั น้มี ากบั มอื ในปพี .ศ.๒๕๒๖ ขณะที่ผู้ใหญป่ ราชญ์ ศรนลิ อายไุ ด้ ๕๗ ปี ได้ตัดสนิ ใจอุปสมบท
จากนน้ั ก็กราบลาเจ้าอาวาสออกธุดงค์เป็นเวลา ๖ ปี เมอ่ื เจ้าอาวาสมรณภาพ ชาวบ้านได้นิมนต์

ให้ท่านกลับมารับตาแหน่งเจ้าอาวาสนบั แต่นั้นมา
ปจั จบุ นั ทา่ นมสี มณศกั ดเ์ิ ป็นพระครูปรชี าประภากร พระอธิการปราชญ์ ปภากโร
บรู ณะพฒั นาวดั หงษท์ อง - ศาสนสถานในทะเล
เมื่อมารับตาแหน่งเจ้าอาวาส ท่านพบว่าท่ีดินของวัดถูกน้าทะเลกัดเซาะ จาก ๒๑ ไร่เศษ
เหลอื เพียง ๘ ไร่ จึงเร่งบรู ณะพฒั นาวดั ท้งั ดา้ นสถานทแ่ี ละระเบยี บวนิ ัย เริม่ จากการทาเขอ่ื นยุติ
ปัญหาน้าเซาะท่ีดิน ซึ่งในระยะแรกท่านต้องลงแรงทาด้วยตัวเองด้วย ปรับปรุงทางคมนาคม
เข้าวดั และหมบู่ า้ นใหม้ คี วามสะดวก ดา้ นกฎระเบยี บท่านหา้ มจัดมหรสพ ห้ามเล่นการพนนั เสพ
ของมึนเมา ภายในบริเวณวัด เครง่ ครัดในการปกครองสงฆ์ห้ามออกเร่ียไรชาวบ้าน หลังจากนั้น

21

ท่านได้ก่อสร้างถาวรวัตถุของวัดในอาณาบริเวณเดิมซ่ึงท่ีดินถูกกัดเซาะลงทะเลไป สิ่งปลูกสร้าง
เหล่าน้ีจงึ เสมือนปลกู สร้างอยู่ในทะเล ทว่าล้วนต้ังอยู่ในพกิ ัดโฉนดทดี่ ินของวัดทัง้ ส้นิ ส่ิงก่อสร้าง
เหลา่ นีป้ ระกอบด้วย
- ศูนย์พัฒนาจติ ศาลาปฏบิ ตั ิธรรมกรรมฐาน ศรนลิ อนุสรณ์
สร้างเม่ือปี ๒๕๒๗ - ๒๕๔๑ กว้าง ๑๘ วา ยาว ๓๐ วา ซ่ึงปัจจัยท้ังหมดได้มาจากการ
บริจาคด้วยความศรัทธาของพสกนิกรซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนร่วมสร้างถวายเป็นพระราชกุศล
เทดิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนอื่ งในปีกาญจภเิ ษกฉลองศิรริ าชสมบัติครบ ๕๐
ปี
- พระธาตุคงคามหาเจดีย์ ปรีชาประภากร ปราชญ์ ศรนลิ อนุสรณ์
สร้างข้นึ ในปี ๒๕๔๒ พระธาตคุ งคามหาเจดีย์ ฯ มดี ้วยกนั ๓ ช้ัน แต่ละชัน้ จะมีภาพวาดฝาผนัง
แสดงเร่ืองราวเก่ียวกับพุทธศาพุสนาเช่นภาพพุทธประวัติภาพพระโพธิสัตว์ปางอวตารต่างๆ
ภาพวาดพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากน้ียังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ท่ีป็น
ท่ีเคารพสักการะ ท่ีสาคัญที่สุดคือบนช้ันสามของพระธาตุฯเป็นท่ีบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ใน
ทะเลแห่งแรกของโลกทางขวาของพระธาตุเป็นสิ่งก่อสร้างล่าสุดของวัดคือ พระอุโบสถ ซ่ึง
ก่อสร้างในปี ๒๕๔๘ แล้วเสร็จปี ๒๕๕๐ ภายในมีภาพเขียนจิตกรรมฝาผนังแสดงเร่ืองราว
พทุ ธประวัติอย่างสวยงามด้านหลงั ของพระธาตุคงคามหาเจดยี ์ มีเรือรบจาลอง และรูปหลอ่
พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เด่นเป็นสง่าหันหน้าออกปากอ่าว
ส่ิงก่อสร้างท้ังหมดท่ีกล่าวมานี้ล้วนสร้างอยู่กลางทะเลท้ังสิ้น โดยสามารถเดินจากเข่ือนของวัด
มาตามสะพานคอตกรีตทีท่ อดยาวไปในทะเล กจ็ ะผา่ นศาลาด้านหลังศาลามีสะพานคอนกรีตยาว
ช่วงแรกของสะพานประดับด้วยพญานาค เม่ือเดนิ ไปสุดสะพานจะถงึ พระธาตุ และพระอโุ บสถ
หลังพระธาตุถึงลานประดิษฐานรูปหล่อของกรมหลวงชุมพรฯจะมีสะพานทอดยา วย่ืนออกไปใน
ทะเลอีก นอกจากสามารถเทียบเรือแล้ว ยังใช้เป็นจดุ ชมทิวทัศน์ท้องทะเลยามพระอาทิตย์ลับ
ขอบฟา้ ได้เป็นอย่างดี

22

วัดโพรงอากาศ

เกิดจากความเล่ือมใสของชาวบ้านที่มีต่อพระอาจารย์สมชาย พุทธสโร เจ้าอาวาสจึงได้
บริจาคท่ีดินให้แก่พระอาจารย์ รวมถึงต่อมาได้ซ้ือท่ีดินเพ่ิมเติมจนมีเน้ือที่ท้ังหมด 48 ไร่ สร้าง
เป็นวัดขยายเพิ่มเติมส่วนต่าง ๆ ข้ึนภายหลัง โดยเร่ิมก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่สีทองในปี
พ.ศ.2538 ตั้งอยู่ในอาเภอบางน้าเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นอีกวัดหน่ึงที่สวยงามเป็นท่ี
เล่ือมใสศรัทธาของประชาชน สิ่งโดดเด่นของวัดก็คือ พระอุโบสถมหาเจดีย์ขนาดใหญ่สีทอง
อร่าม เพ่ือให้เป็นสถานที่สาคัญของแปดริ้ว ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุท่ีนามาจาก
ประเทศอินเดีย รวมถึงอุทยานพระพิฆเนศของวัดโพรงอากาศ ซึ่งมีองค์พระพิฆเนศปรางน่ัง
ประธานพรองค์ใหญ่ ซ่ึงต้ังอยู่ภายในบริเวณวัดมองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกลจากถนน เป็นภาพท่ี
สวยงามอย่างมาก โดยใชเ้ สาท้งั หมด 196 ตน้ และยงั เปน็ ทีป่ ระดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุจาก
ประเทศอินเดีย นอกจากนี้วัดโพรงอากาศยังมีส่ิงที่น่าสนใจอีกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการ
สักการะพระพุทธจาลองหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อโต หลวงพ่อวัดไร่ขิง
และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา เมื่อเข้ามาถึงบริเวณวัดจะสัมผัสได้ถึงอากาศท่ีค่อนข้างปลอดโปร่ง
เย็นสบายเน่ืองจากมีลมพัดเย็นตลอดเวลา มีศาลาริมน้าสาหรับน่ังพักผ่อน เป็นอีกวัดหน่ึงท่ีเม่ือ
มาถึงแล้วใหค้ วามรู้สึกร่มเย็นและอากาศค่อนข้างดีมาก พระอุโบสถมหาเจดีย์ เป็นอุโบสถหลัง
ใหญ่มีลักษณะแปลกตาไม่เหมือนอุโบสถท่ีไหนที่ได้แนวคิดมาจากทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ที่มี
ลักษณะเป็นเจดีย์ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระสถูปใหญ่ ด้านข้างเป็นพระสถูปบริวาร จึงนามา
เป็นแนวคิดในการสร้างพระอุโบสถมหาเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่า ตั้งอยู่บนฐานสูงขนาด
ใหญ่ ฐานช้ันล่างทาเป็นใต้ถุนโล่ง เป็นส่วนของศาลาการเปรียญใช้ในการประกอบกิจกรรมฟัง
เทศน์ ฟงั ธรรม กราบบชู าองค์พระ ส่วนด้านบนเป็นลานกวา้ งรองรับองค์เจดีย์ เจดีย์องค์ใหญ่ท่ี
อยู่ตรงกลางเป็นส่วนอุโบสถและวิหาร ดา้ นข้างมีเจดยี บ์ รวิ ารขนาดย่อมขนาบอยู่ 2 องค์

23

วดั ปากนาโจโ้ ล้

“จังหวัดฉะเชิงเทรา” หรือท่ีเราคุ้นหูกันดีว่า “แปดริ้ว” นั้นเป็นอีกหน่ึงจังหวัดที่มีวัดวา
อารามสวยงามมากมายอยู่ อย่างท่ี “วัดปากนา้ โจ้โล้” ทมี่ ีพระอุโบสถสีทองหน่งึ เดียวในประเทศ
ไทยต้ังโดดเด่นอยู่ริมน้าบางปะกงเป็นที่สะดุดตาและดึงดูดให้นักท่องเท่ียวเข้าไปเยี่ยมชมความ
วจิ ติ รนีย้ ิง่ นัก“วดั ปากน้าโจ้โล้” ตั้งอยู่ริมฝ่ังแมน่ า้ บางปะกง เป็นวัดในสมัยอยุธยาตอนปลายสรา้ ง
ประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใดในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ
ทพั พม่า ซ่ึงยกทัพบกและทพั เรือมาปะทะกบั กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผลการสู่
รบพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีชัยเหนือพม่า จึงโปรดฯให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ชื่อ “โจ้โล้”
น้ันมาจากการที่พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงวางแผนการศกึ เขา้ โจมตีทหารพม่าโดยการโลเ้ รือมา
ตามลาน้าให้ทหารพมา่ ตายใจว่าทรงมาเพยี งลาพัง แล้วให้ทหารของพระองค์ซมุ้ ลอ้ มโจมตจี นได้
ชัยชนะจึงได้เรียกกันว่า “เจ้าโล้” ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น “โจ้โล้” น่ันเอง ซึ่งวัดน้ีต้ังอยู่ในบริเวณ
ปากนา้ จึงถกู เรียกรวมกบั ช่อื สถานทต่ี งั้ กลายเปน็ “วัดปากน้าโจโ้ ล้” จนถงึ ปัจจบุ ันมาถึงไฮไลต์เด่น
ของที่วัดนีก้ ็คือ “พระอุโบสถสีทอง” เป็นอุโบสถสีทองหน่ึงเดียวในประเทศไทยทีท่ าสีทองท้ังหลัง
ซึ่งสีทองเป็นเสมือนการจาลองภาพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อมีผู้พบเห็นเกิดความปีติสุข และ
เล่ือมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา โดยรอบพระอุโบสถตกแต่งด้วยพระพุทธรูปเป็นจานวนมาก
สาหรับตัวอุโบสถสร้างแบบก่ออิฐถือปูน หลังคาประดับด้วยพญานาคและธรรมจักรตรงกลางมี
บุษบกยอดฉัตร ส่วนบริเวณกาแพงแก้วช้ันนอกตกแต่งด้วยลวดลายธรรมจักรสลับกับโคมไฟรูป
ช้างสามเศียรเป็นระยะๆส่วนด้านในยังคงใช้สีทองทั้งหมด ผนังโบสถ์ไม่ได้วาดเป็นจิตรกรรมฝา
ผนังแต่ใช้การประดับกรอบประตู หน้าต่างด้วยลวดลายปูนปั้นแทน อีกหน่ึงไฮไลต์ของท่ีวัดก็คือ
การลอดใต้ฐานพระประธานเพ่ือความเป็นสริ ิมงคล โดยบริเวณทางเข้าจะหลบมุมต้องเดินเข้าไป
ใกล้จงึ จะรู้ว่ามที างเดนิ ลอดระยะสัน้ ๆ อยู่ ดา้ นในมีพดั ลมช่วยระบายอากาศ เวลาเดินใหเ้ ดนิ เข้า
ทางซ้ายและเดินทะลุออกมายังฝ่ังขวาของพระประธาน ขณะลอดก็จะมีบทสวดมนต์ภาวนา
อธิษฐานจิตเพ่ือให้จิตสงบเปน็ สมาธิ ส่วนด้านขวาของพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์
ใหญต่ ั้งเด่นเป็นสง่าอยอู่ อกมาจากพระอุโบสถจะเป็นที่ตั้งของ “ศาลาปหู่ มอชีวกโกมารภทั ร ปู่นา
รอดปู่ตาไฟ”

24

ตลาดนาบางคลา้

ตลาดน้าบางคล้า เป็นตลาดที่เทศบาลตาบลบางคล้าจัดตั้งข้ึนเม่ือวันท่ี 27 ธันวาคม
2550 ตามนโยบายของคณะผู้บริหารเทศบาลตาบลบางคล้า ในการส่งเสริมด้านการท่องเท่ียว
เศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยการนาเอาทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในพื้นท่ีซง่ึ มีความ
โดดเด่นและยังคงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก มาจัดทาตลาดน้าให้ประชาชนในพื้นที่และ
ใกล้เคียง นาสินค้าจาพวกสินค้าพื้นบ้าน อาหารพ้ืนเมือง สินค้า OTOP SMEs และผักผลไม้
ตามฤดูกาล อันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นมาจาหน่าย บริเวณริมฝั่งแม่น้าบางปะกง หน้าท่ีว่า
การอาเภอบางคล้า โดยเป็นแพโป๊ะขนาด 6 x 30 เมตร รวม 9 โป๊ะ เชื่อมติดต่อกันสาหรับให้
เกษตรกรและผู้ประกอบการนาเรือมาจอดเทียบขายสินค้าและให้บริการแก่นักท่องเท่ียว เปิด
ใหบ้ รกิ ารเฉพาะวันเสาร์ วนั อาทิตย์ และวนั หยดุ นักขัตฤกษ์ ต้ังแตเ่ วลา 08.00 - 16.00 น. โดย
สามารถเดินทางไปท่องเท่ียวได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารประจาทาง ห่างจาก
กรุงเทพมหานคร 92 กิโลเมตร เป็นการสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมีงานทาเป็นอาชพี หลกั อาชพี เสริม
อย่างย่ังยนื และมีรายได้เพิม่ ขึ้น มีบรกิ ารเรือนาเท่ยี ว สาหรบั เที่ยวชมธรรมชาติริมฝ่ังแม่น้าบาง
ปะกงและล่องเรือรอบเกาะลัด อันเป็นการเช่ือมโยงกับศักยภาพของจังหวัดฉะเชิงเทรา ท่ีมี
ประชาชนเดินทางมาสักการะกราบไหว้หลวงพ่อโสธรและพระพิฆเนศที่วัดสมานรัตนาราม เป็น
จานวนมาก เช่ือมโยงกับแหล่งท่องเท่ียว ทางธรรมชาติและโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ท่ีมี
อยู่เดิมในอาเภอบางคล้า ซึ่งได้รับ ความสนใจจากนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจานวน
มาก ตลาดน้าบางคล้ายังมีโต๊ะ ในแพให้นั่งรับประทานอาหารบรรยากาศดี อากาศเย็นสบาย
ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจสังคมของอาเภอบางคล้าโดยรวมดีขึ้นเป็นลาดับจนถึงปัจจุบันนับว่าเป็น
ประโยชนย์ ่งิ ตอ่ ประชาชน

25

มินิ มรู ่าห์ ฟาร์ม
ทอ่ งเท่ียวเชิงเกษตรกับฟาร์มควายนม แห่งเดยี วใน

ประเทศไทย

มินิมรู ่าห์ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นการย่อสว่ นเพ่ือเป็นการสาธิตการ
ทาฟาร์มควายนม และเปดิ เปน็ แหล่งท่องเทีย่ วเชิงเกษตร จากฟาร์มใหญ่ซึ่งเปน็ ฟารม์ ปดิ (ตอ้ งมี
การขออนญุ าตก่อนเขา้ ชมฟารม์ ) คือ มูร่าหฟ์ าร์ม ทอี่ ยู่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชงิ เทรา

ทีม่ ินิมูรา่ ห์ฟาร์มแหง่ นี้ มกี ารจัดสรรพื้นที่เพ่ือเลีย้ งสตั ว์ การทาเกษตรแบบสาธติ รวมท้ัง
มรี า้ นอาหารสไตล์Farmmadeที่น่ีเป็นดนิ แดนแสนสนุกสาหรับเด็กๆ เพราะจะมสี ัตวต์ า่ งๆใหเ้ ดก็ ๆ
ได้ดูและใกล้ชิด แบบไม่อันตรายและมีการสอนทา workshop ต่างๆ เช่น การทาพิซซ่า การทา
ไอตมิ จากนมมรู ่าห์ การปลูกพชื สวนครัว และการดานา เป็นตน้ ซง่ึ กจิ กรรมต่างๆเหลา่ นเ้ี ป็นทช่ี ่ืน
ชอบ สาหรับน้องๆท่ีมาเที่ยวเปน็ อยา่ งมาก

workshopการทาพิซซ่า

ความสนุกของเด็กๆไม่หมดเพียงแค่การทา workshop ต่างๆ ท่ีทางฟาร์มจัดข้ึน แต่ยังรวมถึง
การได้ใกล้ชิดสัตว์ต่างๆ Petting Zoo ที่มีอยู่ในฟาร์ม เช่น เป็ด ห่าน หมู แพะ หรือแม้แต่
กระต่ายตัวน้อย ซ่ึงท่ีนี่มีการปล่อยสัตว์อย่างอิสระ ทาให้มีการใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างคนและ
สตั ว์ น้องๆสามารถใหอ้ าหารแก่สัตวเ์ หล่านีไ้ ด้ แตต่ ้องเป็นอาหารทีท่ างฟาร์มเตรียมให้ไว้เทา่ น้ัน

26

เพราะป้องกันการเกิดอันตรายจากการกินอาหารของสัตว์ สามารถติดต่อขอซอ้ื อาหารเลีย้ งสัตว์
ได้ ทางฟาร์มมีจาหน่ายในราคาไม่แพงสาหรับควายนมที่มีอยู่ท่ีนี่ เรียกว่าสายพันธุ์มูร่าห์ จะมี
จานวนไม่มาก เข้าใจวา่ มีไว้เพือ่ การสาธติ แต่หลักๆแล้วจะอยทู่ ฟี่ าร์มใหญ่ (มูร่าหฟ์ ารม์ อ.แปลง
ยาว จ.ฉะเชงิ เทรา)
ควายสายพนั ธุ์มรู า่ ห์นี้ เป็นควายนม ลาตัวสีดา หน้าผากนูน เขาส้นั และมว้ นงอ มนี สิ ยั ชอบความ
สะอาดและชอบแช่นา้ เนือ่ งจากควายมรู ่าห์ชอบความสะอาดและการแช่นา้ ทางฟารม์ จึงได้มีการ
ขุดสระน้าไว้ในบริเวณใกล้เคียงกับคอก เพ่ือให้ควายได้ลงแช่น้า เพราะการแช่น้าน้ีเป็นการ
ระบายความร้อนของรา่ งกายอกี ทางหน่ึงด้วยประโยชนข์ องการขุดสระนา้ นอกจากจะให้ควายมู
ร่าห์ได้ลงแช่น้าแล้ว ยังถือว่าได้ใช้ประโยชน์ด้านอ่ืนอีก เช่น การเป็นสระบาบัดระบบธรรมชาติ
กล่าวคือ เมื่อควายมูร่าห์ได้ลงแช่น้าแล้ว มักขับถ่ายของเสียลงแหล่งน้า จึงมีการปล่อยปลา
ดุกบิ๊กอุยไว้ในสระด้วย เรียกได้ว่าเป็นอาหารชั้นยอดของปลากดุกเลยทีเดียว และยังเป็นท่ีว่าย
น้าเล่น ของเป็ดและห่านในฟาร์มอีกด้วย ทาให้ระบบนิเวศน์เกิดความสมดุลสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ
สาหรับที่นี่คือ การนามูลควายมาแปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก และเป็นส่วนผสมในการเตรียมดินสาหรับ
เพาะปลูก เพราะที่มินิมูร่าห์ฟาร์มแห่งนี้ มีการปลูกผักออแกนิกส์เองด้วย และมีการจาหนา่ ยดิน
ทม่ี สี ่วนผสมของมลู ควาย สาหรับผู้ท่ีสนใจต้องการนาไปใช้ท่บี ้าน

แปลงปลูกผัก

27

ความสุขอีกอย่างหน่ึงของการได้มาเท่ียวท่ีนี่คือ การได้ชิมอาหารสไตล์ฟาร์มเมด (Farmmade)
ส่วนใหญ่จะนาวัตถุดิบที่ได้จากฟาร์มมาทาอาหาร เช่นนมควาย ก็จะมาแปรรูปเป็นชีส สาหรับ
ทาพซิ ซ่า หรอื ทาเป็นไอศครมี , แปรรูปเปน็ นมควายพาสเจอรไ์ รส์ เปน็ ต้น

ร้านอาหารของมินิมูร่าห์ฟาร์ม ดภู ายนอกเป็นบ้านแบบฟาร์มเฮา้ ส์ สไตล์นา่ รกั ๆ แบ่งเป็น
2 โซนคือ โซนในบ้านจะติดแอร์ เย็นฉ่า สาหรับนั่งรับประทานอาหาร และมีมุมหนึ่งสาหรับทา
workshop และโซนดา้ นนอกสาหรับนง่ั รับลมธรรมชาติ

28

อุทยานพระพิฆเนศคลองเข่ือน
เทวสถานอทุ ยานพระพิฆเนศคลองเข่ือน (ปางยนื )

พระพิฆเนศองค์น้ีมีชื่อเรียกว่า “พระพิฆเนศปางยืน องค์สาริด สาเร็จ สมปรารถนา”
สาหรับวัตถุประสงค์ในการสร้าง เพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียวของจังหวัดฉะเชิงเทรา และของ
ประเทศไทย อีกทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ การขายพืชผล ก่อให้เกิดการสร้างงานใน
ท้องถ่ิน และเป็นอนุสรณ์สถานที่ทรงคุณค่าช่ัวลูกชั่วหลานสืบไป นับได้ว่าเป็นองค์พระพิฆเนศท่ี
ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดสูงถึง 39 เมตร เนื้อองค์ทาจากสาริด (ประกอบด้วย ซิลิคอน,
แมงกานีส, นิเกิล, เหล็ก, ดีบุก, ตะก่ัว, สังกะสี, ทองแดง) พระหัตถ์ทั้ง 4 น้ันถือ ดอกบัว,
มะม่วง, กล้วย, อ้อย และขนนุ และท่ีพระบาทมีหนูกอดลูกมะพร้าว ซึ่งมีความหมาย คือ ความ
อุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน พระพิฆเนศปางสาริด สาเร็จสมปรารถนาน้ีจะประดิษฐาน ณ ริมฝั่ง
แมน่ า้ บางปะกง อ.คลองเข่อื น จ.ฉะเชิงเทรา
ประติมากรผู้ปั้น คือ นายพิทักษ์ เฉลิมเล่า ข้าราชการกรมศิลปากร ผู้มีผลงานอาทิเช่น การ
ซอ่ มแซมพระพรหมเอราวัณ งานประตมิ ากรรม นารายณ์กวนเกษรยี รสมุทร ทส่ี นามบินสุวรรณ
ภมู ิ
สาหรบั ผลงานประติมากรรมพระพฆิ เนศร์องคน์ ้ีมีองค์ประกอบท่ีโดดเด่น คือ พระหตั ถ์ 4 ถือพืช
พรรณธัญญาหาร ดังนี้ 1.กล้วย 2.ยอดอ้อย 3.ขนุน 4.มะม่วงและเป็นผลงานประติมากรรม
เพียงองค์เดียวจากนับร้อยองค์ที่ส่งเข้าประกวดท่ีมีผลไม้ต่างๆ ถืออยู่ครบทุกหัตถ์ และนับเป็น
ความลงตัวอย่างท่ีสุด ที่คณะกรรมการสมาคมชาวฉะเชิงเทรา ได้พระพิฆเนศองค์น้ีมาเป็น
ต้นแบบ และสถานท่ปี ระดษิ ฐานน้นั ยังเปน็ พื้นที่ ที่อดุ มไปดว้ ยพชื ผักผลไมท้ ่ีมชี อื่ เสียง โดยเฉพาะ
เป็นแหล่งมะม่วงที่ดีที่สุดของประเทศไทยองค์พระพิฆเนศปางยืน เนื้อสาริดนี้ จะตั้ งเด่น
ตระหง่านอยู่ริมฝัง่ แมน่ ้าบางปะกง บริเวณ อ.คลองเข่ือน จ.ฉะเชงิ เทรา ภายในเทวสถานอทุ ยาน
ฯ แหง่ นี้ มกี ารกอ่ สร้างสิง่ สักการะอีกหลายอยา่ ง เพ่ือให้ประชาชนที่นับถือมากราบไหว้ เพอ่ื เป็น
ท่ีพึ่งพิงทางใจระหว่างทางเดินไป สังเกตเห็นได้ว่าจะมีรูปปูนป้ันพระพิฆเนศปางต่างๆ ตามวัน
เกิดแต่ละวนั มีรูปป้ันของพระศวิ ะและพระแม่อุมาเพื่อใหส้ กั การะขอพร
อีกท้ังยงั มพี ระพฆิ เนศปางยืนยอ่ ส่วนเพื่อใหป้ ระชาชนไดก้ ราบไหว้อยา่ งใกล้ชิด

29

และท่ขี าดไมไ่ ด้คือรปู ปนั้ หนูเพราะตามความเชอ่ื หนูคอื บริวารผู้รับใช้สง่ สารแก่พระพฆิ เนศ เม่อื
เดนิ มาถงึ ฐานพระพิฆเนศ จะมที ี่ให้จดุ ธปู เทียน เพ่ือสักการะกราบไหว้ และ ณ จุดนเ้ี มือ่ เงยหนา้
มองข้นึ ไป จะพบกบั องคพ์ ระพิฆเนศ ยนื ตระหงา่ นสูง ดนู า่ เลอื่ มใสยงิ่ นัก

30

ท่านาคาเฟ่

บนถนนมรุพงษ์หรอื ซอยแหทช่ี าวฉะเชิงเทราเรียกกันจนติดปากยังเป็นทีต่ ้ังของเหลา่ อาคารไมเ้ ก่า
ท่มี อี ายุกว่า 50 ปขี ้นึ ไป แนวเรอื นไม้ในบรเิ วณนน้ั ส่วนใหญเ่ ป็นรา้ นขายเคร่อื งมอื ดา้ นการประมง
เคร่ืองจกั สาน “ท่าน้า คาเฟ่” ร้านกาแฟบรรยากาศสบายกแ็ ฝงตัวอย่ใู นกลมุ่ เรือนไมเ้ กา่ มีอายุ
เหล่าน้ัน "คณุ เบนซ์-ศภุ วฒั น์ อนันตน์ บั " หน่งึ ในเจ้าของร้านรว่ มกบั คุณจิรัฎฐ์ จินดา
มงคล ยอ้ นเล่าใหฟ้ ังวา่ เดมิ ทีร้านนเี้ คยเปน็ บ้านไม้เกา่ มาก่อน เม่ือตนเองและพารท์ เนอรร์ ว่ ม
ธุรกจิ ซึง่ เปน็ คนพื้นที่คดิ อยากทาอะไรทีบ่ ้านเกดิ ของตัวเอง จึงปรึกษากันและลงตัวที่เปดิ รา้ น
กาแฟเพราะรสู้ กึ ว่าทาเลและบรรยากาศโดยรอบเหมาะสม บ้านไมห้ ลังเดิมจงึ ได้รบั การออกแบบ
และรโี นเวทใหม่โดยมคี ณุ เบนซซ์ ึ่งยดึ อาชพี มัณฑนากรเปน็ ผ้ดู แู ลและจดั การตง้ั แต่ต้น ด้วยตัว
บ้านเดิมมลี กั ษณะเปน็ ห้องแถวติดรมิ แม่นา้ บางปะกงหน้ากว้างประมาณ 5.5 เมตร ยาว
ประมาณ 14-15 เมตร คุณเบนซจ์ ึงต้ังใจรโี นเวทใหร้ า้ นนี้มบี รรยากาศสบายๆ ในขณะทย่ี งั ตอ้ ง
กลมกลืนกับบ้านและชมุ ชนในย่านนัน้ ต้ังแต่หน้ารา้ นซ่ึงมีพืน้ ทจ่ี ากดั ทางรา้ นจงึ ออกแบบเป็นเรือน
กระจกมหี ลังคาหน้าจ่วั กวา้ งประมาณ 2.5 เมตรและยาวประมาณ 3.5 เมตร เพิ่มความสดชน่ื
และธรรมชาติด้วยพ้ืนทสี่ วนเล็กๆ ตัง้ โต๊ะไวเ้ ปน็ มุมนงั่ เลน่ ขนาดยอ่ มได้ 1 มมุ ของรา้ น เม่ือเขา้ สู่
ตัวรา้ นจะพบกบั เคาน์เตอร์ ช้ันวางของตกแต่ง และโต๊ะวางเค้ก ถดั ไปอกี พ้ืนท่หี นง่ึ เปน็ โซนทน่ี งั่
ยาวๆ ของลกู ค้า ต้ังเรยี งไปจนถึงประตูด้านหลัง สว่ นโซนสุดท้ายถือเป็นโซนไฮไลทข์ องร้านนั่นก็
คอื พนื้ ท่ีรมิ แมน่ า้ ในบริเวณน้ีทางร้านต้ังใจเปิดโลง่ ใหร้ บั ลมธรรมชาติแทนการตดิ
เครื่องปรบั อากาศทง้ั ยังเปดิ โอกาสใหไ้ ด้เสพทิวทัศน์ปา่ ต้นจากท่ีมองเห็นจากฝัง่ ตรงกันขา้ มของ
ร้าน การคุมโทนสีของร้านให้อยูใ่ นโทนสีนา้ ตาล สีครีม และสีเขียวเป็นความตั้งใจเพ่ือใหร้ ้านเขา้
กนั กบั สภาพแวดล้อมท่มี ที ัง้ บา้ นเก่า แมน่ ้า และปา่ จาก กวา่ จะเหน็ รา้ นออกมาสวยงามน่านั่งชิล
ขนาดนี้ทางร้านใช้เวลารีโนเวทประมาณ 4-5 เดอื นและใช้งบประมาณไปประมาณ 6 หลกั แต่
เพราะกอ่ นหนา้ นร้ี า้ นนเ้ี คยเป็นร้านนมที่คุณเบนซ์เคยดูแลมาก่อน ปัญหาทพี่ บไม่วา่ จะเปน็ เร่อื ง
ระบบโครงสรา้ งอาคารเก่า นา้ ร่วั ปลวก จึงเป็นปญั หาท่คี ณุ เบนซ์แกไ้ ขผ่านมาไดท้ กุ ครั้ง

31

ตลาดคลองสวน 100 ปี

ตลาดคลองสวน 100 ปี ตั้งอยู่ริมคลองประเวศน์บุรีรมย์ในพ้ืนที่ 2 จังหวัด คือ ตาบล
เทพราช อาเภอบ้านโพธ์ิ จังหวัดฉะเชิงเทรา และตาบลคลองสวน อาเภอบางบ่อ จังหวัด
สมุทรปราการ ตลาดคลองสวนเป็นตลาดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี 5 หากย้อนกลับไปในอดีต
การเดินทางโดยเรือจะสะดวกและรวดเร็วที่สุด ถ้าเดินทางจากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพ ฯ
จะตอ้ งใชเ้ รอื เมล์ขาวของนายเลศิ ซึง่ มเี พียงลาเดียว รบั คนจากประตูนา้ ท่าถ่วั (ฉะเชงิ เทรา) ผ่าน
ตลาดคลองสวน ก่อนจะแลน่ เข้าสู่ประตนู ้า (วังสระปทุม) กรงุ เทพมหานคร เม่ืออดตี ตลาดคลอง
สวนเป็นจุดแวะพักและเป็นศูนย์รวมของชุมชน จุดแลกเปล่ียนสินค้าและเป็นเส้นทางคมนาคมท่ี
สาคัญและสะดวกที่สุด หากมีงานกุศล เช่น การขุดคลอง ทาถนน ต่างก็จะมาร่วมแรงร่วมใจ
พัฒนาสาธารณูปโภคร่วมกัน จุดพบปะคือร้านกาแฟ ทุกคนแม้ต่างศาสนาก็สามารถเข้ามาท่ีจุด
นัดพบแห่งน้ีได้มาแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์การดาเนินชีวิต พูดคุยเรื่องข่าวสารเหตุ
บ้านการเมือง ร้านกาแฟจึงเป็นเสมือนส่ิงเสพติดที่ผู้คนในชุมชนต้องมาพบกันเป็นประจาทุกเช้า
อย่างขาดเสียมิได้ แม้ในทุกวันน้ีร้านกาแฟ ก็ยังเป็นจุดนัดพบของชุมชน ตลาดคลองสวนเร่ิม
ก่อตั้งตลาดในปีพ.ศ. 2444 โดยใช้ช่ือว่า ตลาดสามพี่น้อง สภาพตลาดเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว
เสาอาคารใช้ไม้ “เหลาชะโอน” ต่อมาในปีพ.ศ. 2477 จึงเปล่ียนเป็นอาคารไม้ 2 ช้ัน อยู่ริมน้า
และบริเวณหัวมุมตลาดเป็นเส้นแบ่งของจังหวัด โดยมีคลองสาคัญคือ คลองประเวศบุรีรมย์
และคลองพญานาคราช โดยมีเรือสัญจรเป็นจานวนมาก จึงเกิดการเรียกขานตลาดแห่งนี้จนถึง
ปัจจุบันว่า “ตลาดคลองสวน” เป็นศูนย์รวมการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากัน อีกท้ังยังเป็น
ศูนย์รวมของผู้คนทั้งชาวจีน ชาวพุทธ และอิสลาม ท่ีอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ปัจจุบันตลาดแห่งนี้
จัดเป็นแหล่งท่องเท่ียวที่นิยมอีกแห่งหนึ่ง จึงทาให้เกิดการรวมตัวของประชาชนเป็นกลุ่มชุมชน
จดั ตั้งเปน็ ชุมชนชาวตลาดโดยอยูใ่ นความดูแลของชุมชนโดยชุมชน

32

อนสุ รณส์ ถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช

หลังจากที่พระเจ้าตากสินตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้เดินทัพผ่าน
จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรีและปะทะกับพม่าบริเวณปากน้าโจ้โล้ ด้วยพระปรีชาสามารถของ
พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์รบชนะพม่าซึ่งมีกาลังเหนือกว่าและได้พักทัพบริเวณนี้
พระองค์จึงสร้างพระเจดีย์เพ่ือเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการสู้รบกับพม่า แต่บริเวณดังกล่าวถูก
กระแสน้ากัดเซาะจนพระเจดีย์พังทลายเม่ือประมาณ พ.ศ. 2491 ต่อมามีการสร้างพระสถูป
เจดีย์พระเจ้าตากสินมหาราชข้ึนใหม่บริเวณเดิม นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสักการะ
อนุสรณ์หรอื นั่งพักผ่อนชมภูมิทศั น์ริมแม่น้าซ่ึงจะสามารถมองเห็นเกาะลัดอยู่ฝ่ังตรงข้าม ประวัติ
การสร้างอนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อาเภอบางคล้า เป็น
สถานท่ีท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับเหตุการณ์สาคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้ังแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ถูกพม่าล้อมเมืองไว้ก่อนท่ีจะเสียกรุงครั้งท่ี 2 ชาวบ้านเช่ือว่าสถานท่ีแห่งน้ีเกี่ยวเน่ืองกับสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งดารงตาแหน่งพระยาวชิรปราการ ได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่า
ออกจากกรุงศรีอยุธยาก่อนกรุงแตกในปี พ.ศ. 2310 เพื่อไปรวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช ณ
เมืองจันทบุรี จึงได้สร้างพระสถูปเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะของพระองค์ในบริเวณนี้
ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แห่งของอาเภอบางคล้า ที่สร้างข้ึนเป็นอนุสรณ์สถานที่พระองค์ยาตราทัพผ่าน
ส่วนอนุสรณ์สถานอีก 2 แห่ง คือวิหารวัดแจ้ง และวิหารวัดโพธ์ิ พระราชพงศาวดารฉบับพระ
ราชหตั ถเลขากลา่ ววา่ หลงั จากท่พี ระวชิรปราการตฝี ่าวงลอ้ มกองทัพพมา่ ออกจากกรุงศรอี ยุธยา
ทางตะวันออก ในวันจันทร์ข้ึน 13 ค่า เดือนย่ี ได้เดินทัพเข้าในป่าและหยุดประทับท่ีหนองน้าหุง
อาหาร แม่ทัพพม่าได้ทราบข่าวว่ากองทัพซึ่งยกทัพตามกองทัพของพระยาวชิรปราการพ่ายแพ้
หลายครั้ง จึงเกณฑ์ทัพเรือให้ยกหนุนมาเพิ่มเติม และให้กองทัพบกยกลงมาตั้ง ณ ปากน้าโจ้โล้
เมืองฉะเชิงเทรา เพ่ือรวมกาลังกับกองทัพเรอื และในวันองั คาร ข้นึ 14 ค่า เดอื นยี่ กองทัพพม่า
ได้ยกจากปากน้าโจ้โล้ติดตามกองทัพของไทย พระยาวชิรปราการรู้ตัวว่ากองทัพพมา่ ยกติดตาม
มา จึงนาพลทหารร้อยหน่ึงให้ขุดสนามเพลาะเป็นกาบัง คอยซุ่มยิงกองกาลังทหารพม่าที่ยก
ตามมาลม้ ตายเป็นจานวนมาก พม่ากแ็ ตกพ่ายกระจัดกระจายกันออกไป

33

บ้านปลาชมุ คาเฟ่

เป็นร้านท่ีปรับปรุงบ้านไม้เก่าตกแต่งใหม่เป็นร้านกาแฟ ที่มาของช่ือเนื่องจากฉะเชิงเทรา
หรือแปดร้ิวมาจากปลาช่อนที่ตัวใหญ่ขนาดแล่ได้ถึง8 ร้ิว และอยากให้เป็นที่พบปะสังสรรค์กัน
จงึ เปน็ ทม่ี าช่อื ร้าน บ้านปลาชมุ (ปลา+ประชุม)

ช่ือว่าบ้านปลาชุม ได้ยินทีแรกบอกเลยว่าเรานึกวา่ ที่นี่เป็นร้านอาหารชนิดจดั หนักม้ือใหญ่
มีปลาอร่อยไปนู่นเลย พอมาจริงๆ เอ้า นี่มันร้านกาแฟนี่ ไหงตั้งชื่อร้านไปไกลซะขนานน้านนน
บ้านปลาชุมคาเฟ่อยู่ไม่ไกลจากวัดโสธรวรารามวรวิหารหลังจากที่ได้มาร่วมงานนมัสการหลวง
พ่อโสธรซึ่งจัดข้ึนตอนบ่าย 2 โมง เป็นข่วงเวลาท่ีร้อนตับซะขนาดกว่างานจะเสร็จก็เลยบ่าย 3
มาไกลแล้ว เพ่ือเป็นการหลบความร้อนต้องการท่ีเย็นๆ สักแห่งและเติมความหวานเข้าร่าง เลย
เสาะหาร้านกาแฟสดและเบเกอร่ีท่ีห้องกว้างแอร์เย็นและที่สาคัญคือไม่ไกลมาเจอะเอาร้านนี้
แหละรูปร่างของบา้ นทรงแปลกดีและมที ่จี อดใหค้ ่อนข้างกว้างในซอย

34

โบสถส์ เตนเลส วดั หวั สวน

โบสถ์สเตนเลส วัดหัวสวน ต้ังอยูใน ต.เสม็ดเหนือ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ซ่ึงสร้าง
ด้วยสแตนเลสท้ังหลัง เพ่ือหวังให้โบสถ์มี อายุยาวเป็นพันปี พระอาจารย์มานิต เลขานุการเจ้า
อาวาสวัดหัวสวน หมู่ที่ 4 ตาบลเสม็ดเหนือ อ.บางคล้า การสร้างอุโบสถสแตนเลส มาจาก
ความคิดของพระครูภาวนาจริยกุลท่านเจ้าอาวาสวัด ท่ีเห็นว่า โบสถ์ หลังเก่ามีความชารุดทรุด
โทรมมากแล้ว อยากจะสร้างขึ้น มาใหม่ให้คงอยู่ยาวนาน จากการศึกษาพบว่าสแตนเลส เป็น
วัสดุท่ีสามารถอยู่ได้เป็นพันปี ในขณะท่ีปูนจะมีอายุอยู่เป็นร้อยปี ท่านจึงตัดสินใจออกแบบ
โบสถ์สแตนเลส ขึ้นมา พร้อมกับหาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และเร่ิมก่อสร้างเมื่อเดือนเมษายน
2552 เสร็จส้ินในเดือนธันวาคม 2553โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง
เองอย่างใกล้ชิด ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท อุโบสถ กว้าง 7.50 เมตร ความยาม 18 เมตร
ความสงู 6.50 เมตร

อุโบสถสเตนเลส หลังน้ี ถือว่าสาเร็จได้ด้วยแรงศรัทธาของ พุทธศาสนิกชน ซ่ึงมา
บริจาคเงินสร้างจาก สแตนเลส ทั้งหลัง ยกเว้นพ้ืนท่ีปูด้วยหินแกรนิต ด้านหน้ามี พระสิวลี
ประดิษฐานอยู่ ส่วนด้านหลังมีพระพุท มหา ลาภประดิษฐาน เป็นประธาน ซึ่งกาลังรอช่างจาก
ทาง ภาคเหนอื มาประดับ อัญมณีต่างๆ หากเสรจ็ สมบูรณ์แล้ว คง จะงดงามมาก โบสถ์หลังนี้มี
ประตูเข้าท้ังด้านหน้า และ ด้านหลัง ด้านละ 2 ช่อง เหนือช่องประตูเป็น ภาพพระพุทธ โสธร
ชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทาจากสแตนเลส ขึ้นรูป และอ็อคอาร์กอน หน้าบันและ หนา้ ต่างเป็น
รูปพระพทุ ธเจ้า และเทวดา ต่างๆ ด้วยเทคนิคกัดกรดและลงสเี หลอื ง ส่วนด้านนอกรอบอุโบสถ
แกะ ลายสแตนเลส เป็นรูป พระอรหันต์ 80 องค์ ชายล่างเป็นภาพแสดงเสวยชาติของ
พระพทุ ธเจ้า โดยวธิ ีพน่ แอร์บรัช เชน่ เดยี วกบั ภาพชาดก 10 ชาติของ พระพทุ ธเจ้าในอโุ บสถ

35

คมุ้ วมิ านดนิ

ค้มุ วิมานดนิ ไม่ใชร่ ีสอรท์ หรอื ที่พักเปน็ แหลง่ ผลิตและจาหนา่ ยเครื่องปั้นดนิ เผาหลาก
แบบเปิดให้เป็นแหล่งทอ่ งเทย่ี วทางธรรมชาติและ ศิลปะในบรรยากาศอารมณ์รีสอร์ท เหมาะ
สาหรับวนั พักผ่อนและวนั สบายๆ ของทุกคนในครอบครัวบนพนื้ ที่กว่า 8 ไร่ ปจั จุบนั เปิดให้ เปน็
แหลง่ ทอ่ งเท่ยี วและสถานท่ีทัศนศึกษา ทากจิ กรรมสาหรับเยาวชนพร้อมกบั เปดิ เป็นจดุ จาหนา่ ย

สนิ ค้า
คุ้มวิมานดิน ได้จัดวางองค์ประกอบต่างๆ แบบธรรมชาติขนานไปกับร่องสวนหมากและ
มะม่วง ที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะท้องถิ่น ร่มร่ืน เขียวขจีไปด้วย ไร่มะม่วงมัน ในฤดูท่ีมีผลผลิต
คุณเองก็สามารถจะเก็บ มะม่วง สดๆได้ จากต้น ซื้อกลับบ้านหรือแม้แต่จัดเป็นเมนู พิเศษๆก็มี
เตรียมไว้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสีสันสดใน ของไม้ดอก ไม้ประดับ ท่ีปลูกผสมผสานกันตาม
ธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่เป็น ดอกไม้พื้นถิ่น ท่ีแสดงให้เห็นถึง ความสวยงามในแบบธรรมชาติที่
เรียบง่าย นอกจากความประทับใจในบรรยากาศแบบธรรมชาติแล้ว จะสะดุดตากับ
เคร่ืองป้ันดินเผาท่ีสวยงามไม่ซ้าใครโดยเฉพาะตุ๊กตาดินเผา อารมณ์ดีแสนน่ารักที่จะทาให้คุณมี
ความสขุ และยมิ้ ได้ ไปกบั อารมณ์ต่างๆ ในตวั ตุ๊กตาเหลา่ น้ี โดยเน้นธรรมชาตปิ ัน้ ด้วยมือเเละเผา
จากเตาเผาแบบโบราณกิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ การปั้นดิน โดยดินเหนียวที่ใช้ก็ขุดมา
จาก บริเวณด้านหลัง เป็นหลุมขุดดินเหนียว ของคุ้มวิมานดินเอง สถานท่ีจะมีโรงปั้นจัดเป็น
สัดส่วน มีเก้าอี้และโต๊ะตัวเล็กให้นั่ง และมีวิทยากรคอยให้ความรู้เร่ืองการป้ันด้วย อยากปั้น
ออกมาในรูปแบบ ใดก็แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคน ปั้นเสร็จสามารถนากลับบ้านได้เลยหรือ
จะฝากเขา้ เตาเผาของทน่ี ีแ่ ล้วกลับมาเอาก็ได้

36

ตลาดโบราณนครเนอ่ื งเขต

ตลาดโบราณนครเน่ืองเขต เป็นตลาดเก่าแก่ริมสองฟากฝ่ังคลองนครเน่ืองเขตท่ีมีมา
ตัง้ แต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ 5 ลักษณะเปน็ บา้ นเรือนไมแ้ ละ
ตลาดของชุมขนไทย-จีนขนานไปกับริมคลอง และมีทางเดินเท้าและสะพานเช่ือมถึงกัน เทศบาล
ตาบลนครเนื่องเขต ได้ฟ้ืนฟูภาพวิถีชีวิตของชุมชนชาวตลาดริมคลองขึ้นมาใหม่ โดยจัดให้มีการ
จาหน่ายสินค้าพ้ืนบ้านอาหาร พ้ืนเมืองนานาชนิด อาทิ ข้าวแกง ก๋วยเต๋ียว ขนม กาแฟโบราณ
ผลไม้ และพชื ผัก มีทง้ั รา้ นคา้ บนบกและเรอื พายขายอาหารในลาคลอง
ตลาดโบราณนครเน่ืองเขต มีช่ือเรียกมาจากคลองที่ตัดผ่าน เดิมท่ีเรียกว่า “สี่แยกท่าไข่”
เนื่องจากมีคลองท่าไข่จากแปดร้ิวแยกเข้ามา ทางทุ่งนา ต่อมาทางราชการได้ขุดคลองเนื่องเขต
ต่อจากคลองแสนแสบไปชนกับคลองท่าไข่ และตรงตลาดก็มีคลองขวางตัดกับ คลองเน่ืองเขต
พอดี จึงกลายมาเป็นสีแ่ ยกซึ่งเปน็ จุดศูนยก์ ลางในการคา้ ขายในเวลาต่อมา ซ่งึ แตเ่ ดิมพ้ืนทต่ี ลาด
แห่งน้ีมีการต้ังรกรากโดย ชาวจีนและ ชาวไทย เช้ือสายจีน เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีการประกอบ
อาชีพค้าขาย และเปน็ จุดศนู ย์กลางการค้าขายทางเรือ โดยเฉพาะ สนิ ค้า ขา้ วเปลอื ก ชา น้ามัน
และของสดตา่ งๆ แตด่ ว้ ยการคมนาคมทแ่ี ปรเปล่ียนไปทาให้ตลาดแหง่ นีเ้ ส่ือมโทรมลง แต่ก็ยงั คง
มีบ้านเรือน ที่เก่าแก่ และวิถีชีวิตริมฝั่งสองคลองของชาวบ้านอยู่บ้าง ดังน้ัน นายกเทศมนตรี
ตาบลนครเน่ืองเขต จึงริเริ่มพลิกฟ้ืนวิถีชีวิต การค้าขาย แบบโบราณของตลาดแห่งนี้ โดยให้
ชาวบ้านกลับมาเริ่มประกอบอาชีพค้าขายตามริม ฝั่งคลองกันอีกคร้ัง เพื่อเป็นการสร้างรายได้
ให้กับครอบครัว และให้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมโบราณแบบอดีตไว้ เอกลักษณ์ของการได้มา
เย่ียมชมตลาดเก่าท่ีทุกคนใฝ่หา คือ การได้กลับมาใกล้ชิดธรรมชาติ หวนถึงอดีตและความ
เจริญรุ่งเรือง ในสมัยเก่าการเดินชมวิถีชิวิตของชาวบ้านริมฝั่งคลอง รวมท้ังบ้านเรือไม้แบบ
โบราณที่หาชมได้ยาก ตลอดทางที่เราเดินเยี่ยมชมท่ีนี่จะ พบเห็น บ้านไม้แบบโบราณ มากมาย
ทง้ั ทเี่ ปน็ รา้ นคา้ และบา้ นเรอื นของชาวบ้านเอง เดินชมไดแ้ บบสบายๆ ไม่แออัด

37

บรรณานกุ รม

1. https://th.wikipedia.org/
2. http://www.chachoengsao.go.th/
3. https://banmaifood.wordpress.com/

4. https://th-th.facebook.com/WatveerachotePage/posts/556008014451708

5. https://sites.google.com/site/wathongthong/home/wathongthong

6. http://ilove8riew.com/location

7. https://sites.google.com/site/kapoo6400/pra-wati-wad-so-thr

8. https://sites.google.com/site/wadsmanratnaram57/prawati

9. https://mgronline.com/travel/detail/9610000110730
10. http://ilove8riew.com/location/
11. http://www.sawasdee-padriew.com/8riew-minimurrah.html
12. http://www.sawasdee-padriew.com/8riew-ganesh.html

13 . https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1678

14. https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/625

15. https://www.sanook.com/home/15501/
16. https://www.touronthai.com/article/20111

17. https://www.paiduaykan.com/province/central/chachoengsao/wathuasuan.html
18 . https://www.paiduaykan.com/province/central/chachoengsao/koomwimarndin.html

38

39


Click to View FlipBook Version