โครงงานการทดลองสครับผิวชุ่มชื่นจากธรรมชาติ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ผู้จัดทำ นางสาว พิมพ์วิมล โพธิ์นิล ม.6/2 เลขที่ 17 นางสาว ณัฐกฤตา เกตุภานิช ม.6/2 เลขที่ 19 นางสาว กุรุพินท์ ทับทิมไสย ม.6/2 เลขที่ 21 นางสาว ญาณิชา ธราวรรณ ม.6/2 เลขที่ 22 นางสาว ทิพานัน กดมงคล ม.6/2 เลขที่ 23 เสนอ คุณครูพัชรินทร์ แสนสุข โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
ก บทคัดย่อ โครงงานเคมีเรื่องโครงงานการทดลองสครับผิวชุ่มชื่นจากธรรมชาติการศึกษาครั้งนี้เป็นการทดลอง สครับ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำสูตรสครับและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสครับ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนและคณะครูอาจารย์โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ผลการศึกษาพบว่าจากการทดลองการทำสครับจากธรรมชาติจากสูตรสามารถทำได้จริงเนื่องจาก วัตถุดิบจำพวกกากกาแฟก็ซึ่ง มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวขจัดพิษให้กับผิวชั้นนอก และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวชั้นใน ปรับสภาพความดันโลหิต และกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งที่สำคัญกากกาแฟไม่ทำร้ายผิวเหมือนกับสครับที่เป็นเกลืออีกด้วยแต่กากกาแฟนั้นก็มี ข้อเสียที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมเราเป็นอย่างมากซึ่งกากกาแฟเหล่านี้จะปล่อยก๊าซพิษที่ชื่อว่า 'มีเทน' ซึ่งเป็น ก๊าซที่มีส่วนทำให้โลกร้อน ดังนั้น เราก็เลยขอยกตัวอย่างมา1อย่างที่เป็นประโยชน์ของกากกาแฟมาฝากว่ามัน สามารถนำไปใช้ในการทำสครับต่อได้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทิ้งให้เสียเปล่า และเพราะเนื่องจากกากกาแฟเป็น วัตถุดิบจากธรรมชาติเลยทำให้ไม่สามารถเก็บในระยะยาวได้
ข คำนำ รายงานนี้เป็นโครงงานที่คณะผู้จัดทำได้ช่วยกันคิดหาวิธีการประดิษฐ์สครับด้วยการทำโครงงาน “สครับ” และได้ลงมือปฏิบัติ เมื่อพบปัญหาได้ช่วยกันคิดและแก้ไขปัญหาการทำโครงงานนี้จึงเป็นการได้รับ ความรู้จากการปฏิบัติจริง เป็นการฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเองจากข้อมูลที่มีอยู่ คณะผู้จัดทำ
ค กิตติกรรมประกาศ การศึกษาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี เพราะได้รับความกรุณา แนะนำ ช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งจาก คุณครู พัชรินทร์ แสนสุข ขอขอบพระคุณที่ท่านได้คอยให้คำปรึกษา แนะนำ ในการปรับปรุงแก้ไข ให้ความรู้ด้านต่าง ๆ ในการจัดทำโครงงานและให้กำลังใจ ซึ่งผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งและขอบพระคุณอย่างยิ่งไว้ ณ โอกาสนี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนร่วมโครงการทุกคนที่ช่วยกันจัดทำโครงงาน “สครับ” จนทำให้โครงงาน สำเร็จลุล่วงด้วยดี คณะผู้จัดทำ
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก คำนำ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ 2 1.3 สมมติฐานของการค้นคว้า 2 1.4 ขอบเขตของการค้นคว้า 2 1.5 ตัวแปรที่ใช้ในการค้นคว้า 2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.1 ความหมายของสครับ 2 1.2 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกาแฟ 2 1.3 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับว่านหางจรเข้ 4 1.4 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับมะขาม 5 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ 3.1 อุปกรณ์ 8 3.2 วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสครับ 9 3.3 ขั้นตอนการทำ 9 บทที่ 4 ผลการศึกษา 1 0 บทที่ 5 สรุป 5.1 อภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า 12 5.2 สรุปผลการดำเนินการ 1 2 5.3 ข้อเสนอแนะ 1 2 บรรณานุกรม 1 3 ภาคผนวก
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของโครงงงาน เนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวขึ้นทำให้ผิวมีความแห้งและแตกหยาบกร้าน โครงการของพวกเราจึงได้ วิจัยสครับนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อคิดค้นให้สครับนี้สามารถช่วยให้ผิวไม่แห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ป้องกันผิวจาก ภัยอากาศหนาวทั้งกระจ่างใส และเนียนนุ่มน่าสัมผัส ผู้วิจัยจึงมีความสนใจเลือกการคิดค้นสูตรสครับผิว เพื่อศึกษาวิธีการทำสูตรสครับเพื่อการบำรุงผิวและ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสครับที่หลากหลายสูตรของเรา และพิสูจน์สมมติฐานของโครงการนี้ โดยทั้งนี้ทางโครงการชองเราเลือกสูตรสครับมีทั้งสิ้น 3 สูตร มี สูตรมะขาม สูตรว่านหางจระเข้ และ สูตรกาแฟ จะเป็นในทิศทางที่พัฒนากลิ่นและสูตรสครับให้ออกมาตรงตามความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม ตัวอย่าง คือ นักเรียนภายในโครงการ 5 คน เพื่อให้ได้สูตรที่ดีสุดและมั่นใจว่าสามารถสร้างความพึ่งพอใจให้กับ ผู้บริโภคภายในโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ความสำคัญของโครงการนี้ที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผิวที่ แข็งแรง เนียนนุ่ม และไม่หยาบกร้าวในช่วงฤดูที่หนาวเหน็บ หรือจะเป็นในฤดูอื่นๆที่สามารถปัญหาให้กับ สภาพผิวได้เหมือนกัน โดยที่เราสอบถามความพึงพอใจในภายหลังจากการให้ผู้บริโภคภายในโรงเรียนสุรศักดิ์ มนตรี และจะนำคำแนะนำและวิจารณ์มาพิจารณาและพัฒนาตัวสูตรสครับให้ดีมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาวิธีการทำสครับ 2. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสครับ สมมติฐานของการค้นคว้า สครับที่ใช้สามารถช่วยให้ผิวไม่แห้งได้หรือไม่ ว่านหางจระเข้ที่ใส่ลงไปในสครับช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้จริงหรือไม่ ขอบเขตของการค้นคว้า 1. ประชากรที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 และคณะครู อาจารย์โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรอิสระ ได้แก่ สูตรสครับ ตัวแปรตาม ได้แก่ ความชุ่มชื้นของผิว ตัวแปรควบคุม ได้แก่ ปริมาณส่วนผสม
2 ที่มา : https://www.greatitude.live/lifestyle/food-and-beverage/7-เรื่องที่ต้องรู้-กับการคั/ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเนื้อหาของเอกสารการ ค้นคว้าออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ 1.เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.1 ความหมายของสครับ 1.2 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกาแฟ 1.3 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับว่านหางจระเข้ 1.4 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับมะขาม 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.1 ความหมายของสครับ beauty24store ( 20 พ.ย. 2556 ) ให้ความหมายไว้ว่า สครับ (Scrub) สามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ และสครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี ซึ่งสครับทั้ง 2 ประเภท สามารถนำมาใช้การสครับเพื่อทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างไรก็ตาม หากคุณสาวๆ ต้องที่จะทำกา รสครับใบหน้า ก็ควรที่จะทำการศึกษาสครับทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวเอาไว้ว่ามีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน อย่างไรทำการศึกษาสครับทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวเอาไว้ว่ามีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร SPAromdee Massage and Body treatments (2552) ให้ความหมายไว้ว่า สครับ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ มีคุณสมบัติขจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกอย่างอ่อนโยนโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวเรามาดูการ เลือกสครับให้เหมาะกับผิวคุณเพื่อเผยผิวสวยที่แตกต่าง Thaibodycare ( 11 ก.พ. 2557 ) ให้ความหมายไว้ว่า การสครับ (Scrub) คือกระบวนการกำจัดเซลล์ ผิว ส่วนที่ตายและเสื่อมสภาพไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการช่วยขจัดสารพิษและของเสียอื่นๆ ที่ตกค้างบนผิวออกไป ด้วยวิธีการขัดหรือการสครับซึ่งเป็นการนําเอาเซลล์ผิวส่วนที่ตายแล้วออกไป เพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน นั่นเอง 1.2 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกาแฟ ภาพที่ 1.2 กาแฟ ชื่อวิทยาศาสตร์: Coffea arabica L. ชื่อวงศ์: Rubiaceae
3 1.2.1. ลักษณะของกาแฟ ไม้พุ่ม สูง 2 - 4 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน กว้าง 8 - 12 ซม. ยาว 15 - 20 ซม. หูใบ อยู่ระหว่างก้านใบ ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว ติดกันเป็นหลอด มีกลิ่นหอม ผลเป็นผลสด รูปไข่แกม ทรงกลม 1.2.2. สรรพคุณของกาแฟ เมล็ดกาแฟมีสารกาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและกระตุ้นประสาทส่วนกลาง การดื่มกาแฟจึงช่วย กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ตาแข็ง นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายสดชื่น ขจัดความเซื่องซึมและอ่อนล้าได้ ปริมาณกาเฟอีนในกาแฟที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้า รวมถึง ความเครียดได้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ (ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552) กาแฟจัดเป็น เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก จากประวัติศาสตร์ อันยาวนาน ต้นกำเนิดในทวีป แอฟริกาไปสู่ยุโรป และได้แพร่หลายไปยังทุกมุมโลก ผ่านเส้นทางการค้า ประวัติศาสตร์ของโลกยุคอาณานิคม ผลจากการเดินทางอันยาวนานได้บ่มเพาะสายพันธุ์และกรรมวิธีการผลิต พัฒนาด้านการคั่วและการปรุงกาแฟ ในสูตรต่าง ๆ ตามรากฐานทางวัฒนธรรมที่กาแฟได้แทรกตัวเข้าไป กาแฟเป็นผลผลิตที่ได้จาก ต้นกาแฟ (Coffee Tree: Coffea) ผลกาแฟมีลักษณะเป็น ผลกลมรี เมื่อ สุกจะมีสีแดงสดเหมือนลูกเชอร์รี่ (แต่มีบางสายพันธุ์ที่สุกแล้วมีสีเหลือง) ภายในจะมีเมล็ด 2 เมล็ดประกบกัน โดยทั่วไปแล้ว จะนิยมเรียกผลดิบนี้ว่าเชอร์รี่ (Cherry) ส่วนที่นำมา รับประทานคือ เมล็ด ซึ่งต้องนำมาผ่าน กระบวนการแยกเนื้อออกก่อน หลังจากนั้นจึงนำเมล็ดมาตาก แห้ง เมื่อได้เมล็ดแห้ง (Green beans) แล้ว เกษตรกรจึงนำไปขายให้แก่พ่อค้า โรงงานคั่ว เป็นที่ทราบกันดีว่ากาแฟในโลกใบนี้แบ่งออกเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ ๆ นั่นคือ อาราบิก้า และ โรบัสต้า โดยอาราบิก้าจะสามารถเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีได้ต้องปลูกในที่สูง สภาพอากาศ เย็น เพราะหากปลูกในที่ต่ำและอากาศร้อนเกินไปจะทำให้ผลกาแฟเชอร์รี่สุกเร็ว ซึ่งนั่นเป็น ผลร้าย เพราะเมล็ดกาแฟจะไม่มีปริมาณคาเฟอีนมากพอ จึงไร้คุณภาพ ในส่วนของกาแฟโรบัสต้าสามารถ ปลูก ได้ในสภาพแวดล้อมทั่วไป คือ อากาศร้อนชื้น ต้องการน้ำจำนวนมาก โดยในตัวโรบัสต้านั้นจะมีสารคาเฟอีน มากพออยู่แล้วจึงทำให้มีความทนมากกว่าอาราบิก้าที่ต้องใช้เวลาบ่มสะสม นอกจากนี้พื้นที่ในการเพาะปลูกก็ สามารถปลูกได้ในที่ ๆ ต่ำกว่าได้ เนื่องจากกาแฟที่รับประทานกันในปัจจุบันนิยมให้อยู่ในรูปแบบกระบวนการสุดท้าย นั่น คือ การนำ เมล็ดกาแฟสารมาคั่วตามความต้องการ เช่น คั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วแก่ เมื่อเป็นผลกาแฟ เชอร์รี่ที่ยังไม่ได้ทำการ แปรรูปนั้นจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่กลุ่มคนที่นิยมนำกาแฟไปให้ตัว ชะมดกินเพื่อเป็นการหมัก กาแฟกลับได้รับความนิยมมากกว่าการที่คนทั่วไปจะกินเนื้อเชอร์รี่นี้เอง แม้สุดท้ายของการเป็นกาแฟจะไม่ใช่ ผลเชอร์รี่ที่คนนิยมรับประทาน กาแฟเชอร์รี่จะถูกนำไปผ่าน 6 กระบวนการแปรรูป โดยแบ่งออก เป็น 2 วิธี ใหญ่ ๆ นั่นคือการหมักเอาเนื้อเชอร์รี่ออก และ การตาก แห้งกาแฟเชอร์รี่ ซึ่งการหมักก็จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ โดยที่กล่าวไปข้างต้นคือการให้ชะมดรับประทานกาแฟและขับถ่ายออกมา หรือการแช่หมัก เอาไว้ในบ่อซีเมนต์ และการกะเทาะออก ด้วยเครื่องกะเทาะกาแฟเชอร์รี่เปียก โดยวิธีนี้จะช่วยให้กาแฟมี รสชาติที่แปลกใหม่ไปจากเดิม เนื่องจากเป็นวิธีใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย (พัชนี สุวรรณวิศลกิจ, 2549)ต้นกาแฟจะเริ่มให้ผลผลิตประมาณเดือนเมษายนจะผลิตตาดอกในซอก ใบที่ข้อของ กิ่งนอนดอกกาแฟมีสีขาวเกิดเป็นกลุ่ม แต่ละช่อดอกในแต่ละข้ออาจมี 2-20 ดอก บาน ต่อเนื่อง ในช่วง 8-12 วัน ดอกที่ออกในแต่ละครั้งจะมีการติดผลจนถึงการเก็บเกี่ยว ผิวผลจะมีสีเขียวและค่อนข้างแข็ง
4 ต่อเมื่อมีการเจริญพัฒนาและสะสมสารอาหารมากขึ้น จนกระทั่งมีขนาดผลโตเต็มที่ ผลที่สุกแก่เต็มที่ (Coffee cherries) ดังแสดงในภาพที่ 2.1 ผิวผลจะมีการ 7 เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีตามลักษณะประจำพันธุ์ เช่น สี แดงสดแบบเลือดนก สีแดงเข้ม แบบสีเลือดหมู สีส้มหรือสีเหลือง เป็นต้น ผิวผลจะมีความอ่อนนุ่มขึ้น ระยะเวลาตั้งแต่การ ออกดอกจนถึงการเก็บเกี่ยวสำหรับอาราบิก้าคือ 6-8 เดือนการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เป็นผล สดของกาแฟในประเทศไทยยังคงเป็นการเก็บเกี่ยว ด้วยแรงงานเกษตรกร โดยการปลิดเฉพาะผลที่สุกแก่จาก ช่อผลในช่วงต้นและปลายฤดูที่มีผล กาแฟสุกเต็มที่ การเก็บเกี่ยวผลสดที่สุกไม่เต็มที่ จะทำให้กาแฟเมล็ดที่มีสี ซีดจาง หรือมีความ หนาแน่นน้อย ส่วนการเก็บเกี่ยวที่มีผลสุกเกินไป จะทำให้ได้กาแฟเมล็ดที่มีกลิ่นรสไม่ดี เท่าที่ควร เช่น อาจมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือรสเปรี้ยวที่เกิดจากการหมักของสารประกอบที่อยู่ ภายในเนื้อผล นานเกินไป กาแฟเมล็ดลักษณะดังกล่าวจัดว่าเป็นลักษณะที่ไม่ต้องการ และจัด ว่ามีคุณภาพต่ำ 1.3 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับว่านหางจระเข้ ภาพที่ 1.3 ว่านหางจระเข้ ที่มา : https://www.rama.mahidol.ac.th/patient_care/th/health_issue/06112015-1325-th ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe vera (L.) Burm.f. ชื่อวงศ์: ASPHODELACEAE 1.3.1. ลักษณะของว่านหางจระเข้ ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูงประมาณ 0.5 – 1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น เนื้ออ่อน อวบน้ำ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและรูปร่างยาว โคนใบใหญ่ ปลายใบแหลม ริมใบหยัก และมีหนาม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน แผ่นใบสีเขียวใสและมีรอยกระสีขาว ใบจะอุ้มน้ำได้ดี ภายในมีวุ้น และเมือกใสสีเขียวอ่อนๆ ดอก ออกดอกเป็นช่อกระจายที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาวมากชูตั้งตรง ดอกเป็นหลอดปลายแยกสี ส้มแดงอมเหลืองเล็กน้อย บานจากข้างล่างขื้นข้างบน คล้ายดอกซ่อนกลิ่นตูมๆ โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร ผล เป็นผลแห้ง รูปกระสวย 1.3.2. สรรพคุณของว่านหางจระเข้ เป็นยาฆ่าเชื้อ ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรีย ได้ทดลองพบว่า ว่านหางจระเข้สามารถ นำมาใช้รักษาแผลธรรมดา แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลที่เกิดจากการฉายรังสี ลดอาการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค ป้องกันผิวไหม้เพราะแดด บำรุงผิวหน้า กำจัดฝ้า ยาระบาย แก้ไอ เจ็บคอ รักษามะเร็ง แก้พิษแมงกะพรุน ช่วย ประสานกระดูก รักษาโรคตับและรักษาสมองผิดปกติ ด้วยสรรพคุณที่มากมายนี้เอง “ว่านหางจระเข้” จึงถูก ขนานนามว่า “สมุนไพรมหัศจรรย์จากธรรมชาติ”
5 วุฒิ วุฒิธรรมเวช (2553) กล่าวไว้ว่า ว่านหางจระเข้มีลักษณะเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวเป็น ปล้องอวบน้ำมากสี เขียวภายในมีน้ำยางสีเหลืองถัดไปเป็นวุ้นใสส่วนที่ใช้วุ้น จากในใบล้างน้ำยาง สีเหลืองออกแล้วรสจืดเย็น สรรพคุณรักษาแผลไฟไหม้น้าร้อนลวกเพราะว่านหางจระเข้มีสารที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ รักษาแผลพุพอง แต่วิธีใช้ว่า นหางจระเข้ นั้นต้องทำความสะอาดแช่ด้วยด่างทับทิม ไม่ควรนำเนื้อว่านหางจระเข้ไปโดนความร้อนเพราะจะ สลายไป น้ำยางสีเหลืองหากล้างไม่สะอาดจะมีผลต่อผู้แพ้ยางว่านหางจระเข้ กชพร วานิชสรรพ์ (2558) กล่าวไว้ว่า โดยมีงานวิจัย พบว่า ในน้ำยางของว่านหางจระเข้มีสารอะโลอิน (Aloin) ซึ่งสามารถดูดแสงอุลตราไวโอเลต (UltraViolet) เป็นแสงที่ส่งผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมได้นอกจากนี้ ยังพบว่า สารอะโลอิน(Aloin) และสารอื่นที่ได้จากเปลือกใบของว่านหางจระเข้ มีฤทธิ์เอ็นไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ใต้ผิวหนัง ถ้ามีเอ็นไซม์นี้มากไปก็อาจทำให้เกิดจุดด่างดำที่ผิวหนัง ได้จึงมีการนำว่านหางจระเข้ มาสกัด และผสมเป็นครีมกำจัดฝ้าและรอยด่างดำบนผิวหนังในรูปของเครื่องสำอาง นอกจากนี้ยังนำมาผสมใน แชมพูสำหรับบำรุงผมช่วยลดผมร่วงได้ หากผสมในสบู่ก็จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า ให้ความชุ่มชื้นไม่แห้งตึง ใบสดของว่านนำมา ฝานหนาๆแล้วทาปูนแดงใช้รักษาอาการปวดศีรษะดูดพิษทำให้เย็นแม้แต่รากและเหง้าของ ต้นก็ยังสามารถนำมาต้มกินรักษาโรคหนองในอีกทั้งปรุงอาหารและยังช่วยเรื่องความงามได้ 1.4 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับมะขาม ภาพที่ 1.4 มะขาม ที่มา :https://th.theasianparent.com/benefits-and-properties-of-tamarind ชื่อวิทยาศาสตร์: Tamarindus indica L. ชื่อวงศ์: LEGUMINOSAE- CAESALPINIOIDEAE 1.4.1. ลักษณะของมะขาม ไม้ต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10 - 30 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม ลำต้นและกิ่ง เหนียว ปลายกิ่งห้อยลู่ลง เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อนและแตกสะเก็ดเป็นร่องเล็กๆ เปลือกต้นด้านในมีสีแดงเรื่อยๆ แก่นสีน้ำตาลเข้ม กระพืชสีขาว ใบ ประกอบแบบขนนก ชั้นเดียวออกเรียงสลับ ใบย่อยมีขนาดเล็ก ลักษณะใบรูปขอบขนาน ปลายใบ เว้าบุ๋มหรือมน โคนใบมน ออกใบเป็นคู่ๆ เรียงกันตามก้านใบแบบตรงข้ามประมาณ 10 - 18 คู่ แผ่น ใบเรียบ บางสีเขียว ใบอ่อนสีออกแดงเรื่อๆ หรือชมพู ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ช่อหนึ่งมีประมาณ 10 - 15 ดอก ออกช่อตามปลายกิ่งและ ซอกใบ มีกลีบรองกลีบดอก 4 กลีบ สีเหลืองหรือเขียวอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบ สีเหลืองประแต้มสีแดงส้ม ผล เมื่อดอกร่วงแล้วก็จะติดผลเป็นฝักกลม แบนเล็กน้อย คอดเป็นข้อตามเมล็ด และมีก้าน เปลือกสี เทาอมน้ำตาล ข้างในผลมีเนื้อเยื่อ แรกๆ เป็นสีเหลืองอ่อน และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อ
6 ผลแก่จัด ซึ่งจะหุ้มเมล็ดอยู่เมล็ด เมล็ดเป็นรูปค่อนข้างกลมแป้น เปลือกผิวเกลี้ยงมีสีน้ำตาลดำหรือสีน้ำตาลเข้ม 1.4.2. สรรพคุณของมะขาม ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่ง ปลั่งสดใสด้วยวิตามินซี ช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย แคลเซียมจากมะขามจะช่วยบำรุง กระดูกและฟันให้แข็งแรง ขามมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดและช่วย รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี ช่วยขับเสมหะ ละลายเสมหะ ด้วย การนำมะขามเปียกมาจิ้มเกลือแล้วรับประทาน ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ด มะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด งานวิจัยของนันทิดา และคณะ (2556) ได้สกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากเปลือกหุ้มเมล็ด มะขามที่ปลูก ในจังหวัดเพชรบูรณ์หลายสายพันธุ์ ได้แก่ มะขามหวานพันธุ์สีทองหนัก มะขามหวาน พันธุ์สีทองเบา มะขาม หวานพันธุ์ศรีชมพู มะขามหวานพันธุ์ขันตี และมะขามพันธุ์เปรี้ยวยักษ์ด้วย ตัวทําละลายเอทานอลเข้มข้นร้อย ละ 70 ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง สารสกัด ที่ได้ถูกนํามาระเหยตัวทําละลายออกด้วย เครื่องระเหยแบบลดความดัน ทําให้ได้ผลผลิตสารสกัดหยาบ คิดเป็นร้อยละ 22.31 โดยน้ําหนัก เปลือกหุ้ม เมล็ดมะขามแต่ละสายพันธุ์มีปริมาณของสารในกลุ่ม total phenolic compounds ไม่ความแตกต่างกัน คือ ประมาณ 748 mg GAE/g extract และมีฤทธิ์ DPPH radical scavenging activity สูงกว่าวิตามินอี(- Tocopherol) 3.14 เท่า โดยมีค่า half-inhibition concentration (IC50) เท่ากับ 53.42 ไมโครกรัมต่อ มิลลิลิตร งานวิจัยนี้ได้นําสาร สกัดเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยวิธีตอกอัด เป็นเม็ด งานวิจัยของ Nakchat และคณะ (2014a) ได้ศึกษาการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากเปลือก หุ้มเมล็ด มะขาม ด้วยน้ําร้อนและเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 70 พบว่าสารสกัดจากเปลือกหุ้มเมล็ด มะขามส่วนใหญ่เป็น สารประกอบฟีนอลและแทนนิน โดยการสกัดด้วยน้ําร้อนทําให้ได้ปริมาณ สารประกอบฟีนอลและ แทนนินสูง กว่าการสกัดด้วยเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 70 ขณะที่สารสกัดจาก เอทานอลเข้มข้นร้อยละ 70 มีปริมาณสาร proanthocyanidins สูงกว่าการสกัดด้วยน้ําร้อน และ พบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่วัดด้วยวิธี DPPH radical scavenging activity, superoxide anion scavenging activity แ ล ะ hydrogen peroxide scavenging activity ในสารสกัดเปลือกหุ้มเมล็ด มะขาม 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กลัยรัชญ์เชื้อชาติ(2556) ศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมขัดผิวกายจากกากเนื้อมะพร้าว โดยนำกาก มะพร้าวมาอบให้แห้ง จากนั้นนำมาบดและผ่านแร่งให้ได้ขนาด 20, 40 และ 60 mesh และเตรียมในรูปครีม ขัดผิว และทดสอบกับอาสาสมัคร พบว่า ขนาดที่เหมาะสม คือ 20 mesh และปริมาณความเข้มข้นที่ 10% จากนั้นทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีHeatingcooling cycling 6 รอบ จากนั้น จึงประเมินความ พึงพอใจของผลิตภัณฑ์โดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด พบว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจใน ผลิตภัณฑ์ขัดผิว กายจากกากเนื้อมะพร้าวมากกว่าสูตรในท้องตลาด เพราะให้ความรู้สึกที่ขัดง่าย ไม่รู้สึกเจ็บ เหมือนบาดผิว แต่ความรู้สึกในเรื่องของ ความสะอาด ทั้ง 2 ผลิตภัณ ฑ์ให้ความรู้สึกในเรื่องของความสะอาด หลังจากขัด ไม่แตกต่างกันและเมื่อพิจารณาถึงราคาต้นทุนของเม็ด ขัดผิว จากกากเนื้อมะพร้าวเปรียบเทียบกับ ราคาของเม็ดขัดผิวในท้องตลาด พบว่า ราคาเม็ดขัดผิว ในท้องตลาดมีราคาที่สูงกว่า ดังนั้น เม็ดขัดผิวจากกาก เนื้อมะพร้าว ก็สามารถเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะนำมาใช้แทนเม็ดขัดที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันได้
7 ประดับฟ้า โหมดสุวรรณ (2550) ศึกษาเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขัดผิวจากลูกเดือย พบว่า อาสาสมัครรู้สึกชอบสีของผลิตภัณฑ์เนื้อของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพขณะใช้ผลิตภัณฑ์และรู้สึกเฉย ๆ กับ กลิ่นของผลิตภัณฑ์อาจเป็นเพราะว่ามีกลิ่นของลูกเดือยปนอยู่ทำให้ไม่น่าใช้และเมื่อประเมินความพึงพอใจหลัง การใช้จากผลการประเมินพบว่า อาสาสมัครรู้สึกชอบคุณสมบัติทุกอย่าง คือความสะอาดของผิว ความกระจ่าง ใสของผิว ความชุ่มชื้นของผิวและขนาดของเม็ดที่ใช้ขัดผิว ทำให้ทราบว่า ถ้าสามารถปรับปรุงในเรื่องของกลิ่น ผลิตภัณฑ์ได้จะ ทำให้ตำรับมีประสิทธิภาพและน่าใช้มากยิ่งขึ้น นางสาวสาลิกา นาพงษ์และนางสาวกนกประภา สมนึก (2562) โรงแรมแบงค๊อก แมริ ออท เดอะ สุ รวงศ์ (Bangkok Marriott The Surawongse) เป็นโรงแรมแห่งแรกในเครือแมริออทที่เปิดให้บริการทั้ง ห้องพักและอพาร์ทเม้นท์ออกแบบห้อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจการประชุมสัมมนา (MICE) และการบริการห้องอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่มีอาหารหลากหลายของห้องอาหารพระยา คิทเช่น ส่งผลให้ ผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจมาใช้บริการรับประทานอาหารที่โรงแรมเป็ นจํานวนมาก นํ้าแครอทเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของอาหารมื้อเช้า ซึ่งในการคั้นนํ้าแครอทแต่ละครั้งย่อมทําให้เกิด กากแครอทส่วนใหญ่จะถูกนําไปทิ้ง ทางคณะผู้จัดทําได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของกากแครอท จึงนํามาจัดทํา เป็นโครงงาน “สครับสมุนไพรขัดผิวจากกากแครอท” (HERBAL SCRUB FROM CARROT SCRAPS) เพื่อให้ โรงแรมสามารถนําผลิตภัณฑ์จากกากแครอทไปประยุกต์ใช้ภายในโรงแรมได้ กลัยรัชญ์เช้ือชาติ(2556) ศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมขัดผิวกายจากกากเน้ือมะพร้าว โดยนำ กาก มะพร้าวมาอบให้แห้งจากนั้นนำมาบดและผ่านแร่งให้ได้ขนาด 20, 40 และ 60 mesh และเตรียมในรูปครีมขัด ผิวและทดสอบกับอาสาสมัคร พบว่าขนาดที่เหมาะสม คือ 20 mesh และ ปริมาณความเข้มข้นที่ 10% จากน้นั ทดสอบความคงตวัของผลิตภัณฑ์ด้วยวิธี Heating cooling cycling 6 รอบ จากนั้นจึงประเมินความ พึงพอใจของผลิตภัณฑ์โดยเปรียบเทียบกบัผลิตภัณฑ์ ในท้องตลาด พบว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจใน ผลิตภัณฑ์ขัดผิวกายจากกากเน้ือมะพร้าวมากกวา่ สูตรในทอ้งตลาด เพราะให้ความรู้สึกที่ขดัง่ายไม่รู้สึกเจ็บ เหมือนบาดผิว แต่ความรู้สึกในเรื่องของ ความสะอาด ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ให้ความรู้สึกในเรื่องของความสะอาด หลังจากขัดแตกต่างกันและ เมื่อพิจารณาถึงราคาต้นทุนของเมล็ดผิวจากกากเน้ือมะพร้าวเปรียบเทียบกับราคา ของเมล็ดขัดผิวในท้องตลาด พบว่าราคาเมล็ดขัดผิวในท้องตลาดมีราคาที่สูงดังนั้นเมล็ดขัดผิวจากกากเน้ือ มะพร้าว ก็สามารถเป็นทางเลือกหน่ึง ที่จะนำมาใช้แทนเมล็ดขัดที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันได้ ประดับฟ้า โหมดสุวรรณ (2550) ศึกษาเรื่องการพัฒนาครีมขัดผิวสมุนไพรจากลูกเดือย พบว่า อาสาสมัครรู้สึกชอบสีของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพขณะใช้ผลิตภัณฑ์และรู้สึกเฉย ๆ กับกลิ่น ของผลิตภัณฑ์อาจเป็นเพราะ มีกลิ่นของลูกเดือยปนอยู่ทำให้ไม่น่าใช้และ เมื่อประเมินความพึงพอใจหลังการ ใช้จากผลการประเมินพบวา่ อาสาสมัครรู้สึกชอบคุณสมบัติทุกอย่าง คือ ความสะอาดของผิว ความกระจ่างใส ของผิว ความชุ่มช้ืนของผิวและขนาดของเม็ด ที่ใช้ขัดผิวทำให้ทราบว่าถ้าสามารถปรับปรุงในเรื่องของกลิ่น ผลิตภัณฑ์ได้จะทำให้ตัวสครับมีประสิทธิภาพและน่าใช้มากยิ่งข้ึน
8 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษา โครงงานประดิษฐ์สครับผิวชุ่มชื่นจากธรรมชาติมีวิธีการดังนี้ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาการทำสูตรสครับ 1. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6และคณะครูอาจารย์โดยได้จากการสุ่มอย่างง่าย 2. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เดือน พฤศจิกายน ถึง มกราคม วัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมของสครับ สูตรที่ 1 สูตรสครับว่านหางจระเข้ - ว่านหางจระเข้ - น้ำผึ้ง - นมสด - แตงกวา - มะเขือเทศ - Baby oil - เกลือสครับ - สารแต่งกลิ่นเพียงเล็กน้อย (วนิลา) สูตรที่ 2 สูตรสครับกาแฟ - กากกาแฟ - น้ำตาลทราย - น้ำมันมะกอก - สารแต่งกลิ่น - มะเขือเทศ - นมสด - แตงกวา สูตรที่ 3 สูตรสครับมะขามเปียก - น้ำมะขาม - เกลือสครับ - น้ำผึ้ง - นมสด - สารแต่งกลิ่น - น้ำมันมะพร้าว
9 วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสครับ - ถ้วยชาม - ไม้พายกวน หรือ เครื่องกวนส่วนผสม - กระปุกสะอาด ความสวยงานตามชอบ - ช้อนตวง ขั้นตอนการทำ 1. ปั่นเนื้อส่วนผสมสครับให้พร้อม(ส่วนผสมแห้ง) 2. เตรียมผงสมุนไฟรขัดผิว (ส้วนผสมเปียก) 3. นำส่วนผสงข้อ 2 ผสมในข้อ 1 กวนให้เข้ากัน แนะนำใช้ไม้พายกวน ต่อจากนั้น (ใครมีเครื่องกวนใช้เครื่องช่วยได้เลย) 4. ใส่สารสกัด หัวห้ำหอม สี ตามใจชอบ กวนอีกครั้ง 5. ได้เนื้อเบสตามใจชอบใส่กระปุกสวย
10 บทที่ 4 ผลการดำเนินการโครงงาน การศึกษา เรื่อง โครงงานประดิษฐ์สครับผิวชุ่มชื่นจากธรรมชาติ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำ สูตรสครับและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสครับ เพื่อนำอุปกรณ์หรือวัตถุจากธรรมซาติมาใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้ทั้ง นักเรียน คุณครู หรือผู้ที่สนใจ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 4.1 ผลการพัฒนาโครงงาน การพัฒนาสูตรสครับ โดยการทดลอง ผู้จัดทำโครงงานได้ดำเนินการตามขั้นตอนทำในบทที่ 3 ได้ทำ การเตรียมวัถตุดิบและอุปกรณ์ในการทำ และได้เริ่มที่ทดลองไปตามแต่ละสูตร เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ คณะ ผู้จัดทำจึงเป็นผู้ทดลอง ทั้งยังระวังและตรวจสอบสครับในภายหลังทุกครั้ง เพื่อบันทึกผลว่าสามารถนำมาใช้ได้ จริงหรือไม่ 4.2 ตัวอย่างผลการทดลอง ภาพที่ 4 ขั้นตอนการทดลองขัดผิว ภาพที่ 5 ขั้นตอนการทดลองขัดผิว ภาพที่ 6 ขั้นตอนการเตรียมส่วนผสม ภาพที่ 7 ขั้นตอนการเตรียมส่วนผสม
11 4.3 ผลการทดลอง จากผลการทดลองและพัฒนาสูตรสครับ ทำให้คณะผู้จัดทำได้ทราบถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง หลังจากศึกษาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ในการดูผลลัพธ์ของผลิตภัณท์เริ่มจาก สูตรที่ 1 พบว่าตัวเจลว่านหางที่เป็นตัวหลักในส่วนผสม หลังจากผสมกับส่วนผสมตัวอื่นๆ ไม่สามารถ ก่อรูปได้ตามที่คณะผู้จัดทำต้องการ ทางคณะผู้จัดทำจึงไม่ได้ให้สูตรสครับว่านหางจระเข้ได้เป็นตัวทดลองที่จะ มานำเสนอให้กับคณะคุณครูและเหล่านักเรียน สูตรที่ 2 พบว่ากากกาแฟที่รับมาจากร้านค้าในตัวระแวงบ้านไกลเรือนเคียงของคณะผู้จัดทำ หลังจาก ที่ทำการทดลอง คณะผู้จัดทำได้เริ่มจากสูตรเปียกที่เป็นต้นแบบหลัก ซึ่งหลักจากผสมกับส่วนผสมอื่น ตัว เนื้อสครับเป็นไปตามที่คณะผู้จัดทำต้องการ หลังจากที่สครับและล้างออก ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ตรงตามโจทย์ แต่ก็พบปัญหาในภายหลัง เนื่องจากปล่อยปล่อยตัวสครับไว้เป็นเวลา 3 วัน พบว่าตัวสครับเกิด การขึ้นรา และส่งกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ ทางคณะผู้จัดทำ จึงตรวจสอบปัญหาของต้นเหตุ จึงได้รู้ว่า กากกาแฟที่ นำมาใช้ ยังไม่ได้ผ่านการตากแห้งหรือตากแดด เพื่อฆ่าเชื่อที่ติดมากับถุงขยะที่รับมาจากร้านค้า และเพราะ ความเสี่ยงที่เริ่มจากสูตรเปียก เมื่อได้ทางออกในการแก้ปัญหา จึงได้ทำการตากแห้งตัวกากกาแฟก่อนที่จะ เริ่มทำสูตรสครับ และเพื่อลดความเสี่ยงจึงได้ทำเป็นสูตรแห้งแทน ผลว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน ทางคณะผู้จัดทำ จึงภูมิใจที่จะนำเสนอสูตรกากกาแฟให้กับคณะคุณครูและเหล่านักเรียน สูตรที่ 3 เนื่องจากผลจากที่ได้ทดลองสูตรกาแฟ ทำให้คณะผู้จัดทำ ต้องการหาวิธีการถนอมมะขาก เปียกไว้ เพราะขะเปียกจำเป็นต้องเป็นสูตรเปียกเท่านั้น เพื่อให้ใช้ได้นานและไม่เกิดการขึ้นรา แต่พบ ว่าการที่ จะถนอมน้ำมะขามเปียกไว้ให้ใช้นาน ต้องใช้เวลาค่อยข้างนานและเสียเวลาไม่ตรงตามโจทย์ที่คณะจัดทำต้อง ทั้งยังได้ลองผสมกับส่วนผสมอื่นแล้ว ได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นเดียวกับสูตรเจลว่าน ทางคณะผู้จัดทำจึงไม่ได้ให้ สูตรสครับว่านหางจระเข้ได้เป็นตัวทดลองที่จะมานำเสนอให้กับคณะคุณครูและเหล่านักเรียน
12 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาวิธีการทำสครับ 2. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสครับ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสครับ - ถ้วยชาม - ไม้พายกวน หรือ เครื่องกวนส่วนผสม - กระปุกสะอาด ความสวยงานตามชอบ - ช้อนตวง สรุปผลการดำเนินการ จากการทดลองการทำสครับจากธรรมชาติผลออกมาว่า ทำสำเร็จ 1 สูตร คือสูตรสครับจากกากกาเเฟ โดยสครับนี้สามารถใช้ได้จริง ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้น ส่วนในสูตรอื่นๆไม่สามารถทำได้เพราะบางสูตรก็เหลวมาก เกินไป ส่วนผสมบางอย่างที่มีความเหลวมากเกินไป ขั้นตอนที่เอามาผสมกันจึงเละ ผสมแล้วเนื้อไม่เข้ากัน จึง ทำให้ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ การอภิปรายผล โดยจากการทดลองการทำสครับจากธรรมชาติจากสูตรสามารถทำได้จริงเนื่องจากวัตถุดิบจำพวกกาก กาแฟ ซึ่งมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวขจัดพิษให้กับผิวชั้นนอก และกระตุ้นการทำงานของ เซลล์ผิวชั้นใน ปรับสภาพความดันโลหิต และกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งที่สำคัญ กากกาแฟไม่ทำร้ายผิวเหมือนกับสครับที่เป็นเกลืออีกด้วยแต่กากกาแฟนั้นก็มีข้อเสียที่มีผลต่อสภาพแวดล้อม เราเป็นอย่างมากซึ่งกากกาแฟเหล่านี้จะปล่อยก๊าซพิษที่ชื่อว่า 'มีเทน' ซึ่งเป็นก๊าซที่มีส่วนทำให้โลกร้อน ดังนั้น เราก็เลยขอยกตัวอย่างมา1 อย่างที่เป็นประโยชน์ของกากกาแฟมาฝากว่ามันสามารถนำไปใช้ในการทำสครับ ต่อได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทิ้งให้เสียเปล่า และเนื่องจากกากกาแฟเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติเลยทำให้ไม่สามารถ เก็บในระยะยาวได้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการพิจารณาสูตรให้กลิ่นของสครับไม่แรงจนเกินไป 2. ควรมีการพัฒนาสูตรของเนื้อสครับให้มีความละเอียดที่มากกว่านี้ 3. ควรมีการคิดสูตรให้มากกว่านี้ 4. ควรระวังเรื่องวันหมดอายุของสครับ 5. ควรเก็บรักษาไว้ในที่เย็นไม่ควรตั้วไว้ในที่ร้อนๆนาน
13 บรรณานุกรม พัชนี สุวรรณวิศลกิจ. 2549. สารสาระกาแฟ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.foodnetwork solution.com/wiki/word/4088/caffeine-กาแฟอีน พงศ์. 15 มกราคม 2566 นางสาวสาลิกา นาพงษ์และนางสาวกนกประภา สมนึก. 2562. สครับสมุนไพรขัดผิวจากกากแครอท. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://e-research.siam.edu/kb/herbel-scrub/. 15 มกราคม 2566. กชพร วานิชสรรพ์. 2558. ว่านหางจระเข้. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.urnurse.net/contact.html. 15 มกราคม 2566. สุรวดี สารอินสม. 2559. การพัฒนานวตักรรมสินค้าแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่วตัถุดิบเหลือใช้กรณีศึกษา ผลิตภัณฑ์ครีมขัดผิวสมุนไพรจากเมล็ดมะขาม. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/56720084.pdf. 15 มกราคม 2566. ศิริรัตน์ศรีรักษา. 2564. การพัฒนาผลิตภัณฑ์พอกผิวกายจากเนื้อเมล็ดมะขาม. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : file:///C:/Users/ess_w/Downloads/jtam01,+%7B$userGroup%7D,+12-p.+135-146+272- %E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5-F6-fix.pdf. 15 มกราคม 2566. กัลยรัชญ์ เชื้อชาติ. 2556. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขัดผิวกายจากกากเนื้อมะพร้าว. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต, สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ดินสอพอง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.scimath.org/article-science/item/4739-qq-1024. 15 มกราคม 2566. ประดับฟ้า โหมดสุวรรณ. 2550. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขัดผิวจากลูกเดือย.วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต , สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง. สรรพคุณทางความงามของ เกลือ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.kayajit.com. 15 มกราคม 2566.