51
ุ
็
ี
ิ
ึ
ู
ี
่
4. ธาตุ X เกิดสารประกอบไฮไดรด์ที่มสตร XH 4 ซงเปนก๊าซที่อณหภูมห้อง ถ้า 44.8 dm 3 ของก๊าซน้หนัก 64
ี
กรัม X มมวลอะตอมเท่าใด
ก. 8 ข. 28 ค. 32 ง. 60
ู
5. (Ent.40) พิจารณาข้อมลต่อไปน้ ี
1. ฟอสฟอรัส 0.60210 อะตอม 2. เลด(II) ไนเตรต 82.75 กรัม
23
3. ก๊าซ HCl 4.48 dm ที่ STP 4. โพแทสเซยมไอออน 1.810 ไอออน
ี
3
23
็
ี
การเรยงล าดับจ านวนโมลของสารเปนไปตามข้อใด
ก. 2 > 4 > 3 > 1 ข. 4 > 2 > 3 > 1 ค. 3 > 4 > 2 > 1 ง. 2 > 4 > 1 > 3
6. (Ent. 42 ) กรดซัลฟวรก 49 กรัม ม H , S และ O อย่างละกี่อะตอม ตามล าดับ
ี
ิ
ิ
22
23
22
ก. 3.01 10 6.02 10 1.2 10
ข. 3.01 10 1.2 10 6.02 10
22
23
22
22
23
22
ค. 6.02 10 3.01 10 1.2 10
22
22
23
ง. 6.02 10 1.2 10 3.01 10
ิ
ู
็
7. (Ent.34) ความเข้มข้นของตัวถกละลายชนดต่างๆ ในสารละลาย A B และ C ในน ้าเปนดังน้ ี
สารละลายในน ้า ตัวถูกละลาย ความเข้มข้น
A NaCl 58.5 g/l
B Na SO 4 71 g/l
2
ิ
C NaOH 10 % โดยมวลต่อปรมาตร
ู
่
ี
การเรยงล าดับความเข้มข้นของสารละลายในหนวย mol/l จากมากไปน้อย ข้อใดถก
ก. A>B>C ข. B>A>C ค. C>B>A ง. C>A>B
3
ี
8. (Ent.36) มสารละลาย NaOH เข้มข้น 40 % โดยมวลต่อปรมาตรจ านวน 250 cm ถ้าแบ่งสารละลายน้มา
ิ
ี
ิ
3
3
่
200 cm แล้วเติมน ้าลงไปอก 50 cm สารละลาย NaOH ใหมที่ได้จะมความเข้มข้นกี่โมลต่อลตร
ี
ี
ก. 4 ข. 6 ค. 8 ง. 10
3
3
3
ี
9. (Ent.31) สารละลายม NaOH 4.8 g/dm ถ้าน ามา 100 cm ท าให้เปนสารละลายเข้มข้น 0.10 mol/dm จะต้อง
็
3
็
เติมน ้าจนปรมาตรรวมทั้งหมดเปนกีcm
ิ
่
ก. 110 ข. 120 ค. 200 ง. 210
3
3
10. (Ent.26) เมอเติมผลก AgNO 1.7 กรัม ลงในสารละลาย AgNO 0.1 mol/dm 250 cm แล้วคนจนผลก
ึ
ื่
ึ
3
3
่
ละลายหมด สารละลาย AgNO ใหมที่ได้จะมความเข้มข้นกี่ mol/dm 3
ี
3
ก. 0.11 ข. 0.14 ค. 0.28 ง. 0.44
็
็
ี
11. (Ent.37) X เปนของแข็งสขาวมจุดหลอมเหลว 180 C มค่า K เปน 40 C /mol/kg ถ้าละลายสาร
ี
ี
f
็
y 0.64 กรัม ในสาร X 8.0 กรัม ได้สารละลายมจุดเยือกแข็งเปน 160 C มวลโมเลกุลของสาร y
ี
็
และความเข้มข้นของสารละลายเปน mol/kg คือข้อใด
ก. 80, 0.5 ข. 160, 0.5 ค. 80, 0.25 ง. 160, 0.25
3
ิ
ี
ิ
ุ
ี
12. (Ent.41) ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน ก๊าซ A จ านวน 25 cm ท าปฏิกิรยาพอดกับก๊าซ B จ านวน
3
3
3
75 cm ให้ก๊าซ C 50 cm ถ้าให้ก๊าซ A จ านวน 150 cm ท าปฏิกิรยากับก๊าซ B 300 cm จะได้ก๊าซ
3
ิ
ู
C เกิดขึ้น กี่ลกบาศก์เซนติเมตร
52
ก. 100 ข. 200 ค. 300 ง. 400
ิ
ิ
ึ
ิ
่
์
ิ
ี
์
ี
13. (Ent.1/45) สารอนทรย์อ่มตัวชนดหนงประกอบด้วยธาตุ 3 ชนด จากการวิเคราะหพบว่ามคารบอนและไฮโดรเจน
ู
็
ิ
็
เปน 35.29% และ 5.88% ตามล าดับ ที่เหลอเปนธาตุเฮโลเจน สตรเอมพิรคัล และสตรโมเลกุลที่เปนไปได้ของ
ู
็
ื
ี
สารน้เปนตามข้อใด
็
สตรเอมพิรคัล สตรโมเลกุล
ู
ู
ิ
1. C H Br C H Br
4 8
4 8
2. C H Br C H Br 2
4 8
8 16
3. C H I C H I
4 8
4 8
4. C H I C H I
8 16 2
4 8
์
ื
14. (Ent.1/42) สาร A ประกอบด้วยคารบอนร้อยละ 77.9 โดยมวล ไฮโดรเจนร้อยละ 11.7 โดยมวลที่เหลอเปน
็
3
–22
3
ู
่
ิ
ี
ี
ออกซเจน สาร A 1 โมเลกุลมปรมาตร 2.88 x 10 cm มความหนาแนน 0.89 g/cm สตรโมเลกุลของสาร A
ิ
ควรเปนสตรในข้อใด
็
ู
ก. C H O ข. C H O ค. C H O ง. C H O
6 12
10 18
13 23
7 12
15. (Ent.41) จากปฏิกิรยา C H + O CO + H O ( สมการยังไม่ดุล) ถ้าใช้ C H 30 กรัม
ิ
2 4
2
2
2
2 4
ื
็
ื
ิ
ท าปฏิกิรยากับ O 90 กรัม สารใดเปนสารก าหนดปรมาณ และสารที่เหลอจะเหลอกี่กรัม
ิ
2
ก. C H , 0.13 ข. C H , 3.75 ค. O , 3.75 ง. O ,4.16
2 4
2
2
2 4
16. (Ent.1/42) ในการเตรยม Na SO จะต้องใช้ NaOH 0.3 mol/dm กี่ลกบาศก์เซนติเมตรในการท า ปฏิกิรยาพอด ี
ู
3
ี
ิ
2
4
3
ิ
3
กับ H SO 0.17 mol/dm ปรมาตร 0.5 dm
4
2
ก. 85 ข. 142 ค. 283 ง. 567
ี
ั
ี
ึ
17. เมอเอาไอออน(II) ซัลเฟตทีมน ้าผลก (FeSO .nH O) 27.8 กรม มาเผาพบว่ามน ้าเก ดขึ้น 12.6 กรัม n มค่าเท่าใด
ื่
ี
่
4
2
ก. 4 ข. 5 ค. 7 ง. 10
18. (Ent.2/44) แรโลหะในธรรมชาติสวนใหญ่อยู่ในรปออกไซด์ ดังตาราง
่
ู
่
โลหะ ชอแร ่ สตร % ออกซเจนโดยน ้าหนัก
ู
ิ
ื่
Al บอกไซต์ Al O .2H O a
2 3
2
Cu คิวไพรต์ Cu O 11.20
b
ี
ค่า a และ b มค่าเท่าใด
a b
1 34.8 1
2 34.8 2
3 58.0 1
4 58.0 2
53
ี
ู
็
ิ
่
ึ
19. (Ent.41) ในกระบวนการผลตเอทานอลจากน ้าอ้อย ซงมซโครส ( C H O ) เปน องค์ประกอบหลัก ซูโครสจะ
12 22 11
ิ
ถก ไฮโดรไลส์เปน C H O ซงจะเกิดปฏิกิรยาต่อไปน้ ี
ู
่
ึ
็
6 12 6
C H O เอนไซม์ 2C H OH + 2CO
2 5
6 12 6
2
็
้
ั
ถ้าใช้น ้าอ้อย 1 กิโลกรัม แล้งได้เอทานอล 368 กรม มวลของซโครสในน ้าอ้อยคิดเปนรอยละเท่าใด
ู
ก. 34.2 ข. 36.8 ค. 68.4 ง. 73.6
ิ
20. (Ent.2/42) พิจารณาปฏิกิรยาสมมติต่อไปน้ 2 A + 3B C
ี
จากการทดลองเร่มต้นด้วยสาร A และสาร B ปรมาณต่างๆ กันพบว่าร้อยละของผลได้จะมค่าเท่ากับ 80 เสมอ
ิ
ิ
ี
ุ
ิ
ถ้าต้องการผลตสาร C 160 กรม โดยเร่มต้นจาก B 500 กรัม จะต้องใช้สาร A อย่างน้อยที่สดเท่าใดจึงจะได้สาร
ิ
ั
C ในปรมาณที่ต้องการ ( อัตนัย ) ( ก าหนดให้ มวลโมเลกุลของสาร A = 200 , มวลโมเลกุลของสาร B =
ิ
500 , มวลโมเลกุลของสาร C = 1000 )
54
๊
บทที่ 2 แกส ของเหลว ของแข็ง
็
2.1 สถานะของสาร สารแบ่งออกเปน 3 สถานะคือ
ื
่
ู
ี
ี่
ี
ี
ู
ุ
1. ของแข็ง คือ สารที่มแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคมาก มรปรางและปรมาตรคงที่ มจุดเดอด และจุดหลอมเหลวสง
ุ
กว่าอณหภูมห้อง ที่ความดัน 1 บรรยากาศ
ี
ู
่
่
ี่
2. ของเหลว คือ สารที่มแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคน้อยกว่าของแข็ง มรปรางไมคงที่เปลยนไปตามภาชนะที่บรรจุ
ี่
ี
ุ
ุ
ุ
ู
ี
ี
แต่มปรมาตรคงที่ มจุดเดอดสงกว่าอณหภูมห้อง แต่จุดหลอมเหลวต ่ากว่าอณหภูมห้อง ที่ความดัน 1 บรรยากาศ
ื
๊
ี่
3. แกส คือ สารที่แรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคน้อยกว่า อนภาคอยู่หางกัน มรปราง และปรมาตรไมคงที่เปลยนไป
ุ
ุ
่
ู
ี
ี่
่
่
ตามภาชนะที่บรรจุ ( ปรมาตรของภาชนะคือ ปรมาตรของก๊าซ) มจุดเดอดและจุดหลอมเหลวต ่ากว่าอณหภูมห้อง
ุ
ื
ี
ที่ความดัน 1 บรรยากาศ
่
ุ
่
้
อยากทราบวาสารใดมีสถานะใดใหดูทีอณหภูมิหอง ( 25 C ตามมาตรฐานสากล และ 30 C ตาม สสวท )
้
้
ุ
ุ
้
้
ั
ื
โดยตองใชขอมูลจดหลอมเหลวและจดเดอดของสารนน
้
Ex 1 จากข้อมลที่ก าหนดให้
ู
สาร จุดหลอมเหลว ( C ) จุดเดอด ( C )
ื
A -39 357
B 660 2,300
C -100 -34
D 0 100
E 115 444
ใช้ข้อมลตอบค าถามต่อไปน้ ี
ู
1. ที่อณหภูมปกต (25 C ) สาร A-E มสถานะใด
ี
ุ
55
ู
ุ
2. ที่อณหภมเท่ากับจุดเดอดของน ้า (100 C ) สาร A-E มสถานะใด
ี
ื
ื
์
ี
ี
์
Ex 2 จากรายชอธาตุต่อไปน้ ฟอสฟอรส คลอรน ฟลออรน ซัลเฟอร โบรมน ทองค า ซลคอน โบรอน อารกอน
่
ั
ี
ู
ี
ื
ก. ธาตุที่มจุดเดอดต ่ากว่า 25 C ได้แก่ ………………………………………………………………………
ี
ข. ธาตุที่มจุดหลอมเหลวสงกว่า 25 C ได้แก่ ………………………………………………………………..
ู
ี
แบบฝกหัด
ึ
ู
1. จากข้อมลที่ก าหนดให้
ื
ก๊าซ จุดหลอมเหลว ( C ) จุดเดอด ( C )
A 98 885
B -7 58
C -259 -253
D -54 18
ู
ใช้ข้อมลตอบค าถามต่อไปน้ ี
ี
ุ
1.1 ที่อณหภูมปกต (25 C ) สาร A-D มสถานะใด
ี
1.2 ที่อณหภูมเท่ากับจุดเยือกแข็งของน ้า ( 0 C ) สาร A-D มสถานะใด
ุ
ี
ี
ื่
ี
ี
ี
2. จากรายชอสารต่อไปน้ นออน ออกซเจน น ้า ปรอท โซเดยม อะลมเนยม ซเซยม ไฮโดรเจน
ู
ี
ก. สารที่มจุดเดอดต ่ากว่า 25 C ได้แก่ …………………………………………………………………………….
ี
ื
ี
ข. สารที่มจุดหลอมเหลวสงกว่า 25 C ได้แก่ ……………………………………………………………………...
ู
3. ที่อณหภูม 25 C สาร ก, ข และ ค อยู่ในสภาพแก๊ส ของเหลว และของแข็งตามล าดับ จุดหลอมเหลวและจุดเดอด
ื
ุ
็
ของสารทั้งสามในข้อใดเปนไปได้
56
ื
จุดหลอมเหลว ( C ) จุดเดอด ( C )
ก ข ค ก ข ค
ก. -91 -8.8 32 98 -42 330
ข. -188 32 -91 -42 330 98
ค. -188 -91 32 -42 98 330
ง. 32 -91 -188 330 98 -42
2.2 สมบัติของแกส แกสมีสมบัติโดยทั่ว ๆ ไปดังนี้
๊
๊
ี
่
ี่
แก๊สมแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุลน้อยมาก ถ้าบรรจุแก๊สไว้ในภาชนะ แก๊สจะแพรจนเต็มภาชนะท าให้ม ี
็
ี
่
รปรางเปนไปตามภาชนะที่บรรจุและมปรมาตรเท่ากับภาชนะที่ใส ่
ู
ู
หนวยที่ควรรจัก
้
่
1. ความดัน (P) 1 atm = 1 บรรยากาศ = 760 mmHg = 760 torr
3
3
2. ปรมาตร (V) 1 dm = 1 ลตร = 1,000 cm
3. อณหภูม (T) K = C + 273
ุ
อณหภูมิและความดันมาตรฐาน ใช้สัญลักษณ์เปน STP ซงย่อมาจาก Standard Temperature and Pressure
็
่
ึ
ุ
0
ุ
ื
อณหภูมมาตรฐานของก๊าซ คือ 0 C หรอ 273.15 K (273 K โดยประมาณ)
ความดันมาตรฐานของก๊าซ คือ 1 atm หรอ 760 mm Hg
ื
เครองมอที่ใช้วัดความดันของบรรยากาศ เรยกว่า บารอมิเตอร ( barometer ) ดังรป
์
ื่
ู
ี
ื
่
ู
จากรูป h = ความดันของบรรยากาศ ซงเท่ากับความสงของปรอท
ึ
ู
ี
ื
ี
เครองมอที่ใช้วัดความดันของแก๊ส เรยกว่า มาโนมิเตอร ( manometer ) ซงม 2 แบบ ดังรป
ื่
ึ
่
์
57
ู
จากรูป ความดันของแก๊ส = h ( ความสงของปรอท )
จากรูป ความดันของแก๊ส = h + ความดันบรรยากาศ
๊
ิ
2.2.1 ปรมาตรของแกส
ี่
ดังที่ได้กลาวมาแล้วว่าปรมาตรของก๊าซเปลยนแปลงไปตามขนาดของภาชนะที่บรรจุ และปรมาตรของก๊าซ
่
่
ุ
ู
ื
ี
ี
่
ี
ู
่
ื
่
ุ
ขึ้นอยูกับอณหภมและความดัน เมออณหภม หรอความดันเปลยนแปลงไปจะมผลท าให้ปรมาตรของก๊าซเปลยนแปลง
์
็
ไปด้วย ดังเชนการศึกษาปรมาตรของก๊าซจากกฎของบอยล์ กฎของชารลส์ และกฎรวมของก๊าซ เปนต้น
่
,
์
ก. กฎของบอยล (Boyle s Law)
“เมอใช้อณหภูมและมวลของก๊าซคงที่ ปรมาตรของก๊าซจะแปรผกผันกับความดัน”
ื่
ุ
่
์
ื
็
่
ต่อมาเรยกข้อความดังกลาวว่า กฎของบอยล์ เมอเขียนเปนความสัมพันธ์ในทางคณตศาสตรจะได้ดังน้ ี
ี
1
ุ
ื่
V เมออณหภูมและมวลคงที่
P
k
ได้ V = หรอ PV = k
ื
P
ื่
เมอ V = ปรมาตรของก๊าซ P = ความดันของก๊าซ
k = ค่าคงที่
ื่
่
ึ
ุ
เมอศึกษาสมบัต ของก๊าซจ านวนหนง ที่อณหภูมคงที่ จะได้ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V ที่ภาวะต่าง ๆ ดังน้ ี
P V = P V = P V = ……..
1 1
3 3
2 2
์
จากกฎของบอยล์นอกจากจะแสดงโดยอาศัยสมการทางคณตศาสตรแล้ว ยังสามารถพ จารณาได้จากลักษณะ
่
ึ
ี
ของกราฟซงม 3 แบบดังน้ ี
ื่
์
แบบที่ 1 เมอเขียนกราฟระหว่าง P กับ V ถ้าเปนไปตามกฎของบอยล์จะได้กราฟไฮเปอรโบลาร (Hyperbolar)
็
์
รป ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V เมอ T และ n คงที่
ื่
ู
1
ี
แบบที่ 2 เมอเขียนกราฟระหว่าง P กับ จะได้กราฟเส้นตรงที่ผ่านจุดก าเนด (Origin) ทั้งน้พ จารณาจาก
ื่
V
58
1
1
รป ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ (หรอ V กับ )
ื
ู
V
P
ื่
ื
ื
แบบที่ 3 เมอเขียนกราฟระหว่าง PV กับ P หรอ PV กับ V จะได้กราฟเส้นตรงที่ขนานกับแกน P (หรอ
ี
ื
V ตามล าดับ) หรอเปนกราฟที่มความชัน = 0 นั่นเอง ทั้งน้พ จารณาได้จาก
ี
็
ื
ู
รป ความสัมพันธ์ระหว่าง PV กับ P (หรอ PV กับ V)
ึ
ุ
่
ี
ุ
์
Ex 3 มกาซคารบอนไดออกไซด์จ านวนหนงที่อณหภูม 273 K ความดัน 0.5 atm ถ้าควบคมอณหภูมของก๊าซให้คงที่
ุ
็
็
แต่เพ ่มความดันเปน 0.9 atm ปรมาตรของก๊าซจะเปนอย่างไรเมอเทียบกับปรมาตรเดม
ื่
ื
Ex 4 ก๊าซฮเลยมบรรจุอยู่ในกระบอกสบทีมลกสบเลอนขึ้น-ลงได้ และมประสทธภาพ 100% ที่อณหภูมห้องและ
่
ู
ี
ี
ู
ี
ุ
ี
ู
่
ี
็
ี
ี
ุ
ู
ู
ื่
ื่
ความดัน 1 บรรยากาศ เมอเลอนลกสบจนก๊าซฮเลยมมปรมาตรเปน ¼ เท่าของปรมาตรเดมโดยอณหภูม
ี
่
ี
ี
่
คงที ก๊าซฮเลยมมความดันเพ ่มขึ้นกีเท่าของความดันเดม
แบบฝกหัด
ึ
ี
ึ
3
่
4. ที่ความดัน 0.7 atm ก๊าซไฮโดรเจนจ านวนหนง มปรมาตร 500 cm ถ้าลดความดันลงเหลือ 0.5 atm ก๊าซจ านวนน้ ี
จะมปรมาตรเปนเท่าใด ถ้าไมมการเปลยนแปลงอณหภูม
่
็
ุ
ี่
ี
ี
59
3
ึ
่
ุ
5. ( ม.ข. 53 ) ภาชนะขนาด 2 dm บรรจุแก๊สสมบูรณ์ชนดหนงภายใต้ความดัน 1 atm และอณหภูม 400 K และถ้า
ุ
ี่
่
็
่
ึ
ท าให้ปรมาตรของแก๊สลดลงเปนหนงในหกของปรมาตรเดม โดยอณหภูมไมเปลยนแปลง ความดันของแก๊สจะม ี
ค่า กี่ atm
ก. 60 ข. 6.0 ค. 30 ง. 3.0
6. กราฟข้อใด ถกต้อง เมอ T > T
ื่
ู
1
2
ี
ี
ก. มค าตอบถูก 1 ข้อ ข. มค าตอบถก 2 ข้อ
ู
ู
ี
ู
ค. มค าตอบถก 3 ข้อ ง. มค าตอบถก 4 ข้อ
ี
,
ข. กฎของชารลส (Charles law)
์
์
๊
ิ
“เมือความดันและมวลของกาซคงที ปรมาตรของกาซจะแปรผันโดยตรง กับอุณหภูมิเคลวิน”
่
๊
่
็
เขียนเปนความสัมพันธ์ทางคณตศาสตรได้ดังน้ ี
์
V T (เมอความดันและมวลของก๊าซคงที่)
ื่
V
เพราะฉะนั้น V = kT หรอ = k
ื
T
V V V
หรอ T 1 1 = T 2 2 = T n n = …….
ื
่
่
เมอ k เปนค่าคงทีซงขึ้นอยูกับชนดของก๊าซ ความดัน มวล และหนวยของ V และ T
็
่
ื่
่
ึ
T เปนอณหภูมเคลว น
ุ
็
์
ี
ในท านองเดยวกันกับกฎของบอยล์ กฎของชารลส์ก็สามารถแสดงพฤต กรรมของก๊าซด้วยกราฟได้
เชนเดยวกัน ซงสามารถเขียนกราฟได้ 2 แบบดังน้ ี
่
ึ
่
ี
ื่
ี
่
แบบที่ 1 เมอเขียนกราฟ V กับ T จะได้กราฟเส้นตรงทีผ่านจุดก าเนด ทั้งน้พ จารณาจากสมการ V = kT
็
ี
ึ
่
ซงเปนสมการเส้นตรง มค่าความชัน = k
60
ก. ก๊าซชนดเดยวกัน ( P ไมเท่ากัน) ข. ก๊าซต่างชนดกัน (P เท่ากัน)
ี
่
ู
รป ความสัมพันธ์ระหว่างปรมาตรของก๊าซกับอณหภูมเคลว น
ุ
ี
แบบที่ 2 เมอเขียนกราฟระหว่าง V กับ t ( C) จะได้กราฟเส้นตรงซงมจุดตัดอยู่บนแกน V และมค่าความ
่
0
ึ
ื่
ี
ชันต่าง ๆ กันตามชนดของก๊าซและความดันที่ใช้
ก. ก๊าซชนดเดยวกัน ( P ไมเท่ากัน) ข. ก๊าซต่างชนดกัน (P เท่ากัน)
ี
่
ุ
ู
รป ความสัมพันธ์ระหว่างปรมาตรของก๊าซกับอณหภูมเซลเซยส
ี
3
ุ
ึ
Ex 5 ที่อณหภูม 35 C ก๊าซออกซเจนจ านวนหนงมปรมาตร 250 cm ถ้าลดอณหภูมลงเปน 20 C โดยควบคม
็
ี
ุ
่
ุ
็
ความดันให้คงที่ ปรมาตรของก๊าซจะเปนเท่าใด
3
ี
็
่
ู
ุ
ี
ุ
Ex 6 ก๊าซมปรมาตร 50 cm ที่อณหภูม 300 K ถ้าเพ ่มอณหภมจนเปน 3 เท่า ก๊าซจะมปรมาตรเพ ่มขึ้นกีเท่าของ
ื่
ปรมาตรเดม เมอมวลและความดันของก๊าซคงที่
ึ
แบบฝกหัด
ุ
่
3
ึ
7. ( ม.ข. 53 ) แก๊สสมบูรณ์ชนดหนงบรรจุอยู่ในภาชนะขนาด V dm ที่อณหภูม 300 K ภายใต้ความดัน P atm
61
่
ุ
ี
ี
ถ้าปลอยให้แก๊สน้ขยายตัวภายใต้ความดันเดยวกัน จนมปรมาตร 3 เท่าของปรมาตรเดม อยากทราบว่าอณหภูม
ี
็
ของแก๊สจะเปลยนไปเปนกี่องศา
ี่
ก. 1900 K ข. 900 K ค. 1100 K ง. 1500 K
ุ
ู
ี
็
8. ( ม.ข. 49 ) ก๊าซสมบูรณ์แบบ 1 โมลถกท าให้ขยายตัวที่อณหภูมคงที่ 300 K จนมปรมาตรเพ ่มขึ้นเปน 5 เท่าของ
ุ
ู
ี
ุ
ุ
ปรมาตรเดม แล้วถกท าให้มปรมาตรลดลงเท่าเดม โดยการลดอณหภูมที่ความดันคงที่ จงหาอณหภูมสดท้ายของก๊าซ
ก. 60 K ข. 100 K ค. 120 K ง. 150 K
,
์
ค. กฎของเกยลุสแซก (Gay - Lussac s Law)
ุ
ื่
“เมอปรมาตรและมวลของก๊าซคงที่ ความดันของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับอณหภูมเคลว น”
เขียนแสดงความสัมพันธ์ในเชงคณตศาสตรได้ดังน้ ี
์
ื่
P T เมอปรมาตรและมวลของก๊าซคงที่
P
เพราะฉะนั้น P = kT หรอ = k
ื
T
P P 2 P 1 T 1
1
และ T 1 = T 2 หรอ P 2 = T 2
ื
ื่
ู
เมอน าข้อมลที่ได้มาเขียนกราฟระหว่าง P กับ T และ P กับ t จะได้ดังน้ ี
ู
รป ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ T และ P กับ t
62
ู
ุ
่
Ex 7 แก๊ส X มความดัน 0.2 บรรยากาศที่ 50 C ถ้าความดันเพ ่มขึ้น 150 mmHg อณหภมจะเพ ่มขึ้นกีเคลว น
ี
ึ
แบบฝกหัด
ู
ื
ี
่
่
ุ
่
ึ
9. ถังเหล็กใบหนงบรรจุแก๊สมความดัน 650 mmHg ที่ 25 C เมอน าไปตั้งไว้ทีอณหภม 70 C จะมความดันเปน
็
ี
เท่าใด
ง. กฎของอาโวกาโดร (Avogadro s law)
,
“ เมออณหภูมและความดันคงที่ ปรมาตรของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับปรมาณ (จ านวนโมล) ของก๊าซนั้น ”
ุ
ื่
์
็
เขียนเปนความสัมพันธ์ทางคณตศาสตรดังน้ ี
ุ
ื่
V n เมอความดันและอณหภูมคงที่
V
ื
เพราะฉะนั้น V = kn หรอ = k
n
และ
V 1 V 2 V 1 n 1
ื
n 1 = n 2 หรอ V 2 = n 2
ถ้าน าข้อมลดังกลาวมาเขียนกราฟระหว่าง V กับ n จะได้ดังน้ ี
ู
่
รป ความสัมพันธ์ระหว่าง V กับ n
ู
63
๊
๊
จ. กฎรวมของกาซ และ สมการภาวะของกาซอุดมคติ (Combined gas law : equation state of ideal gas)
กฎรวมกาซ เปนการน ากฎของบอยล์และกฎของชารลส์มารวมกัน เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง P , V
์
็
๊
และ T ของก๊าซดังน้ ี
1
ุ
จากกฎของบอยล์ V เมออณหภูมและมวลคงที่
ื่
P
์
จากกฎของชารลส์ V T เมอความดันและมวลคงที่
ื่
T
ื่
เมอรวมกัน V เมอมวลคงที่
ื่
P
T
ื
เพราะฉะนั้น V = k หรอ PV = k
T
P
ี่
ุ
ื่
ุ
ึ
เมอต้องการค านวณเกี่ยวกับการเปลยนภาวะของก๊าซ จากอณหภูมและความดันหนงไปเปนอณหภูมและความ
่
็
่
ื
ดันอน ๆ ใช้ความสัมพันธ์ดังน้ ี
P 1 V 1 P 2 V 2
T 1 = T 2 = ……
สมการดังกลาวเรยกว่า กฎรวมของกาซ
๊
่
ี
ี
ี
Ex 8 แก๊สชนดหนงมปรมาตร 22.4 ลตร ที่ 27 C ความดัน 1520 mmHg และถ้าแก๊สจ านวนน้มปรมาตร
่
ี
ึ
ี
16.8 ลตร ที่ 200 K จะมความดันเปนเท่าใด
็
่
ึ
Ex 9 ( มข. ป 31 ) ก๊าซ 4 ลตร บรรจุภายในภาชนะใบหนง ภายใต้ความดัน 1140 mmHg. และอณหภูม 273 C
ุ
ี
่
ปรมาตรของก๊าซดังกลาวเปนลตรที่ STP เท่ากับ….
็
ก. 1.5 ข. 3 ค. 6 ง. 9
ึ
แบบฝกหัด
่
ึ
10. ( มข. ป 36 ) แก๊สชนดหนงมปรมาตร 44 ลตร มความดัน 3 บรรยากาศ ที่อณหภูม 27 C ถ้าปรมาตรลดลง
ี
ี
ุ
ี
64
ี
ุ
11 ลตร ที่ความดัน 5 บรรยากาศ แก๊สจะมอณหภูมเท่ากับ……. C
ก. 375 ข. 240 ค. 102 ง. 34
ี
3
ุ
่
ึ
ี
11. แก๊สชนดหนงมปรมาตร 22.4 dm ที่ STP จะมปรมาตรเท่าใด ที่อณหภูม 273 C และความดัน 4 บรรยากาศ
สมการภาวะของกาซอุดมคติ
๊
์
เปนการน ากฎของบอยล์ กฎของชารลส์และกฎของอาโวกาโดรมารวมกัน เพื่อใช้หาความสัมพันธ์ระหว่าง
็
P , V , T และ n ของก๊าซ
P V 1 1 P 2 V 2
ี
่
ี่
ในกรณที่ปรมาณของก๊าซไมคงที่ จะใช้กฎรวมของก๊าซ T 1 = T 2 ไมได้ ต้องเปลยนมาใช้สมการ
่
่
็
ภาวะของก๊าซอดมคต ซงเขียนเปนความสัมพันธ์ทางคณตศาสตรได้ดังน้ ี
ึ
ุ
์
T
จากกฎของบอยล์และชารลส์ V
์
P
จากกฎของอาโวกาโดร V n
เมอรวมกัน จะได้ V nT
ื่
P
ื
หรอ V = RnT
P
g
ื
ื
หรอ PV = nRT หรอ PV = RT
M
PV M 1 P V M 2
2 2
1 1
ู
ถ้า 2 สภาวะ ใช้สตร P 1 V 1 P 2 V 2 หรอ =
ื
n 1 T 1 n 2 T 2 g T g T
2 2
1 1
๊
ี
ี
ื
เรยกสมการ PV = nRT น้ว่า “สมการภาวะของกาซอุดมคติ” หรอเรยกว่า กฎของกาซอุดมคติ หรอกฎ
ี
๊
ื
ของกาซสมบูรณ ใช้ค านวณเกี่ยวกับ P , V , T และ n ของก๊าซต่าง ๆ ทุกชนด ทุกสภาวะโดยไมต้องมตัวแปรตัว
่
ี
์
๊
ึ
่
ใดตัวหนงคงที่
65
ื
ี
ี
R เรยกว่า ค่าคงที่สากลของก๊าซ (Universal constant) หรอเรยกสั้น ๆ ว่า คาคงที่ของกาซ
่
๊
่
การหาคา R
22.414
R = PV = 1 ( 1 ( atm ) ( ) (273.15 K) l.)
mol.
nT
= 0.08205 atm . l . K . Mol
-1
-1
ี่
แต่ถ้าใช้หนวยของ P , V , T และ n เปลยนไป ค่า R จะเปลยนไป
่
ี่
ี
ึ
่
3
Ex 10 น าแก๊สชนดหนงมา 0.26 กรัม ที่ 27 C ความดัน 1520 mmHg มปรมาตร 100 cm จงค านวณว่า
มวลโมเลกุลของแก๊สมค่าเท่าใด
ี
ก. 16 ข. 20 ค. 28 ง. 32
ี
ี
่
ึ
3
ู
Ex 11 ขวดแก้วใบหนงมความจุ 30 dm ที่ 25 C และ 1.1 atm บรรจุแก๊สคลอรนได้ 2 โมล ถ้าสบแก๊ส
ี
คลอรนออกจนหมด แล้วบรรจุแก๊สไนโตรเจนลงไปแทนที่ ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน สามารถบรรจุ
ุ
ี
แก๊สไนโตรเจนได้กี่โมล
ก. 0.79 ข. 2 ค. 2.4 ง. 5.07
ึ
แบบฝกหัด
3
12. แก๊ส CO ปรมาตร 2,800 cm ที่อณหภูม 0 C ความดัน 1,520 mmHg จะมมวลกี่กรัม ( C=12 , O=16 )
ุ
ี
2
ก. 11 ข. 22 ค. 44 ง. 88
66
ึ
่
13. ถังเหล็กกล้าใบหนงบรรจุแก๊สอารกอน 150 โมล ที่อณหภูม 25 C และความดัน 7 atm ภายหลังจากที่
์
ุ
์
ี
์
ื
ู
่
ุ
แก๊สอารกอนถกใช้ไปบางสวน ความดันเท่ากับ 2 atm ที่อณหภูม 17 C จะมแก๊สอารกอนเหลออยู่กี่โมล
สมการของกาซอุดมคติกับมวลโมเลกุลและความหนาแนน
๊
่
จากการค านวณเกี่ยวกับโมล
g
X
n = M = 6.02 x 10 23
ื่
เมอ X = จ านวนโมเลกุล M = มวลโมเลกุล
g = มวล n = โมล
ุ
ื่
เมอน ามาประยุกต์เข้ากับสมการของก๊าซอดมคต PV = nRT จะสามารถค านวณเกี่ยวกับมวลโมเลกุลและ
่
ความหนาแนนของก๊าซ (D) ได้ดังน้ ี
จาก PV = nRT
g
PV = M RT
g
PM = g RT เมื่อ D = V = ความหนาแนนของก๊าซ (หนวยเปน g/dm )
่
3
็
่
v
ี
เพราะฉะนั้น PM = DRT กรณ 2 สภาวะ ค านวณได้ดังน้ ี
PM
จาก R เพราะฉะนั้น
DT
P 1 M 1 P 2 M 2
D 1 T 1 D 2 T 2
็
ถ้าเปนแก๊สชนดเดยวกัน M จะเท่ากัน ค านวณได้ดังน้ ี
ี
P 1 P 2
D 1 T 1 D 2 T 2
67
็
ึ
ุ
ี
่
Ex 12 ก๊าซชนดหนงมมวลโมเลกุล 64 ถ้าความดันเพ ่มขึ้นเปน 2.0 atm โดยที่อณหภูมของก๊าซคงที่ที่ 0 C
ความหนาแนนในข้อใดถก
่
ู
่
ี
ี
ี
ุ
ี
่
3
Ex 13 ก๊าซออกซเจนมความหนาแนน 1.43 g/dm ก๊าซนออนที่อณหภูมและความดันเดยวกันจะมความหนาแนน
เท่าใด (O=16 , Ne=20 )
ึ
แบบฝกหัด
14. แก๊ส X จะมมวลโมเลกุลเท่าใด เมอมความดัน 0.2 atm ความหนาแนน 5.4 กรัม/ลตร ที่ 25 C
ี
่
ื่
ี
่
ี
15. แก๊สชนดหนงมความหนาแนน 7.2 g/dm ที่ 25 C ความดัน 700 mmHg จะมความหนาแนนเท่าใดที่ STP
ี
่
ึ
3
่
68
่
่
่
กฏความดันยอยของดอลตัน กลาววา
๊
้
“ ทีอณหภูมิเดียวกัน เมอนากาซมาผสมกันตังแต 2 ชนิดขึ้นไปโดยไมมีปฏิกิรยาตอกัน ความดันรวมของกาซ
ื
่
๊
่
่
ุ
่
ิ
่
ผสมจะเทากับความดันยอยของกาซแตละชนิดรวมกัน โดยถอวากาซแตละชนดภายหลังผสม จะมีปรมาตร
่
่
๊
่
ิ
่
ื
ิ
๊
่
่
ิ
๊
เทากับปรมาตรรวมของกาซ “
ื
หรอ ความดันรวมของก๊าซผสม = ความดันย่อยหลังผสมของก๊าซแต่ละชนดรวมกัน
ื่
P = P + P +……. เมอ P = ความดันรวม
ร
2
ร
1
P , P .. = ความดันย่อยหลังผสมของก๊าซ A, B, ……. ตามล าดับ
2,
1
P , P …… อาจค านวณได้จากกฏของบอยล์ ( P V = P V ) หรอกฏของก๊าซ ( PV = nRT )
ื
1
1 1
2 2
2
ู
ื
หรอใช้สตรลัด
1. P V = P V + P V
2 2
1 1
ร ร
ื
2. PV = nRT หรอ PV = ( n + n ) RT
1
2
Ex 14 N บรรจุในถังขนาด 1 ลตร ความดัน 0.5 บรรยากาศ H บรรจุในถังขนาด 2 ลตร ความดัน
2
2
ี
ึ
่
็
ี
3 บรรยากาศ ถายก๊าซทั้งสองลงในถังอกใบหนงมปรมาตร 5 ลตร จงหาว่าความดันของก๊าซผสมน้เปนกีบรรยากาศ
่
่
ี
Ex 15 แก๊ส A จ านวน 30 กรัม แก๊ส B จ านวน 70 กรัม ผสมกันในภาชนะบรรจุ 5 ลตร ที่อณหภูม 25 C
ุ
ี
จะมความดันผสมเท่าใด มวลโมเลกุลของ A และ B เท่ากับ 150 และ 280 ตามล าดับ
แบบฝกหัด
ึ
่
ึ
ึ
16. ( มข. 51) ถังใบหนงขนาด 5 ลตร บรรจุแก๊สออกซเจนความดัน 9 atm สวนถังอกใบหนงขนาด 10 ลตร
่
ี
่
่
ู
ุ
ื
่
ึ
บรรจุ แก๊สไนโตรเจน ความดัน 6 atm เมอต่อท่อให้ถังทั้งสองใบถงกันจนความดันสมดล โดยอณหภมคงที
ุ
ความดันรวมของแก๊สผสมเท่ากับข้อใด
69
ก. 7 atm ข. 9 atm ค. 12 atm ง. 15 atm
ึ
3
่
17. ( A-net 50 ) แก๊สผสมซงประกอบด้วย H หนัก 4 กรัม และ He x กรัม บรรจุอยู่ในภาชนะขนาด 5 dm ที่
2
อณหภูม 27 C มความดันรวมเท่ากับ 24 atm x มค่าเท่าใด
ี
ุ
ี
ก. 8 ข. 10 ค. 12 ง. 14
2.2.2 การแพรของกาซ การแพรของก๊าซแบ่งออกเปน 2 ประเภทตามลักษณะของการเคลอนที่
็
ื่
่
่
๊
่
็
ี
ู
ู่
ี
่
่
ก. การแพร (diffusion) เปนกระบวนการที่ก๊าซ แพรจากสวนที่มความดันสง ไปสที่มความดันต ่า โดยที่
ุ่
็
ื่
ื่
ี
โมเลกุลของก๊าซจะเคลอนที่อย่างเปนกลมก้อนผ่านชองเล็ก ๆ ในขณะที่เคลอนที่อาจจะมการชนกันเองบ้าง ชนกับผนัง
่
่
่
็
่
่
็
ี
ภาชนะบ้าง ลักษณะการแพรดังกลาวน้จัดว่าเปนการแพรทีเก ดขึ้นตามความเปนจรง
็
่
ู่
่
ี
่
ข. การแพรผาน (effusion) เปนกระบวนการที่ก๊าซแพรจากสวนที่มความดันสง ไปสสวนที่มความดันต ่า โดย
่
ี
่
ู
่
ที่โมเลกุลของก๊าซจะเคลอนที่ผ่านชองเล็ก ๆ ทีละโมเลกุลไมมการชนกันเองระหว่างโมเลกุลที่ก าลังเคลอนที่ และไมม ี
ี
่
ื่
่
ื่
็
่
ี
การชนกับผนังภาชนะ ลักษณะการแพรดังกลาวน้จึงเปนเพียงการแพรตามทฤษฎ (ideal flow) ไมได้เก ดขึ้นจรง
ี
่
่
่
่
่
่
่
เนองจากการแพรและการแพรผ่านมความหมายใกล้เคียงกัน ดังนั้นจะใช้การแพรแทนทั้งการแพรผ่านและ
ี
่
ื
ี
การแพร เครองมอที่ใช้วัดอัตราการแพรของก๊าซเรยกว่า effusionmeter
่
ื
ื่
่
,
กฎการแพรของเกรแฮม (Graham s law of diffusion)
่
่
็
่
ุ
ี
“ ภายใต้อณหภูมและความดันเดยวกัน อัตราการแพรของก๊าซใด ๆ จะเปนสัดสวนผกผันกับรากที่สองของ
่
ื
มวลโมเลกุล หรอความหนาแนนของก๊าซ”
่
่
ถ้าให้ V = อัตราการแพรของก๊าซ M = มวลโมเลกุลของก๊าซ d = ความหนาแนนของก๊าซ
จะสามารถเขียนกฎของเกรแฮมได้ดังน้ ี
1
1
V M และ V
d
k
หรอ V M และ V k d /
ื
70
/
็
เมอ k , k เปนค่าคงที่
ื่
่
์
่
โดยทั่ว ๆ ไปไมนยมหาอัตราการแพรสัมบูรณ (absolute) ของก๊าซเพราะมความยุ่งยากมาก ในทางปฏ บัต ท า
ี
ี
ในลักษณะของการเปรยบเทียบระหว่างก๊าซชนดต่าง ๆ 2 ชนด
k
จาก V M
k
จะได้, ก๊าซชนดที่ 1 V 1 M 1
k
ก๊าซชนดที่ 2 V 2 M 2
V 1 M 2
ดังนั้น V 2 M 1
่
ึ
เมอทราบอัตราการแพรของก๊าซชนดหนงจะสามารถหาอัตราการแพรของก๊าซอกชนดหนงได้ ในเทอมของ
ื่
ึ
่
่
่
ี
ี
่
ความหนาแนน จะพ จารณาอัตราการแพรในเชงการเปรยบเทียบได้ในท านองเดยวกัน
ี
่
V 1 d 2
V 2 d 1
เมอน ามารวมกันจะได้
ื่
V 1 M 2 d 2
V 2 M 1 d 1
ในกรณที่ต้องการพ จารณาอัตราการแพรของก๊าซในเทอมของระยะและเวลาให้แทนอัตราการแพร
่
่
ี
V ระยะทาง (s) ลงในสตรดังกลาวซงจะได้ความสัมพันธ์ทั่ว ๆ ไปดังน้ ี
่
ึ
่
ู
เวลา
(t)
V 1 s 1 t 2 M 2 d 2
V 2 t 1 . s 2 M 1 d 1
ี
ี
่
ในกรณที่การแพรของก๊าซมระยะทางเท่ากัน ( s = s ) จะได้
2
1
V t M d
V 1 t 2 M 2 d 2
1
2
1
1
ในกรณที่การแพรของก๊าซมเวลาเท่ากัน ( t = t ) จะได้
่
ี
ี
1
2
V 1 s 1 M 2 d 2
V 2 s 2 M 1 d 1
ุ
ี
่
Ex 16 ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน การเรยงล าดับอัตราการแพร จากมากไปน้อยในข้อใดถกต้อง
ู
ี
SO , Cl , NH , He ( H=1 , O=16 , N=14 , Cl=35.5 , S=32 , He=4 )
2
3
2
ี
ุ
Ex 17 ก๊าซ X มอัตราการแพรเปน 1.414 เท่าของก๊าซ C H จงหาว่าก๊าซ X มีมวลโมเลกุลเท่าใด ภายใต้อณหภูม
่
็
3 4
2
2
และความดันเดยวกัน ( C=12 , H=1 )
ี
71
ื่
ื่
Ex 18 ก๊าซ X เคลอนที่ได้ 0.4 เมตร ในเวลา 5 ว นาที ก๊าซไนโตรเจน ( N ) เคลอนที่ได้ 20 เซนต เมตร
2
2
ในเวลา 2 ว นาที จงค านวณมวลโมเลกุลของแก๊ส X ( N=14 )
2
ึ
แบบฝกหัด
ู
ี
ุ
่
ี
18. ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน การเรยงล าดับอัตราการแพร จากมากไปน้อยในข้อใดถกต้อง
F , CH , O , Ne ( C=12 , F =19 , Ne = 20 , O=16 , H=1 )
4
2
2
19. ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน ก๊าซ A มอัตราการแพรเปน 2 เท่าของก๊าซ SO จงหาว่าก๊าซ A มมวลโมเลกุล
็
ี
่
ี
ุ
ี
2
เท่าใด (S=32 , O=16)
72
ึ
ื่
ื่
20. แก๊ส X เคลอนที่ในหลอดน าแก๊สอันหนง ได้ระยะทาง 30 เซนต เมตร ใช้เวลา 2 ว นาที แก๊ส Y เคลอนที่ใน
่
ี
ี
หลอดน าแก๊สอันเดยวกันน้ ได้ระยะทาง 216 เซนต เมตร ใช้เวลา 8 ว นาที แก๊ส X มมวลโมเลกุล 49
ี
มวลโมเลกุลของแก๊ส Y เปนเท่าใด
็
์
๊
2.2.3 ทฤษฎีจลนของกาซ
เพื่อความสะดวกในการศึกษาสมบัต ของแก๊ส นักว ทยาศาสตรจึงแบ่งแก๊สเปน 2 ประเภท คือ
็
์
๊
ื
็
ก. กาซอุดมคติ ( ideal gas) หรอกาซสมบูรณ (perfect gas) หรอแกสสมมติ เปนแก๊สที่เปนไปตามกฎและ
๊
ื
๊
็
์
ี
ทฤษฎต่างๆ
ข. กาซจรง (real gas) หมายถง แก๊สทีมแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุล แก๊สน้จะไมเปนไปตามกฎหรอ
ึ
่
ิ
๊
็
ี
ี
่
ี
่
ื
ทฤษฎต่างๆ
ี
ู
ุ
แต่ถ้าอยู่ในภาวะที่อณหภูมสง ความดันต ่า แก๊สจรงจะประพฤต คล้ายแก๊สสมบูรณ์มาก
ทฤษฎีจลน ์
็
1. แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลเปนจ านวนมาก โมเลกุลเหลาน้จะอยูหางกันมาก และไมมแรงกระท าต่อกัน
ี
่
่
่
่
ี
ื
็
ี
2. โมเลกุลของแก๊สมมวล แต่มขนาดเล็กมาก จนถอได้ว่ามปรมาตรเปนศูนย์
ี
ี
3. โมเลกุลของแก๊สเคลอนที่อย่างอสระด้วยอัตราเรวคงที่ตลอดเวลา ในแนวเส้นตรง
็
ื่
4. เมอโมเลกุลของแก๊สชนกันหรอชนกับผนังของภาชนะ จะมการถายเทพลังงานจลน์ระหว่างกันได้ แต่
ี
ื
ื่
่
่
็
ี่
ี
ื่
ไมมการเปลยนแปลงเปนพลังงานรปอน
ู
5. ที่อณหภูมเดยวกัน แก๊สทุกชนดจะมพลังงานจลน์เฉลยเท่ากัน และแปรผันโดยตรงกับอณหภูมเคลว น
ุ
ุ
ี
ี่
ี
๊
ใชทฤษฎีจลนอธิบายสมบัติของแกสได ดังน้ ี
้
์
้
1) ถ้าลดขนาดของภาชนะให้เล็กลงดังรป
ู
ความดันจะสงขึ้น เพราะเหตุใด ………………………………………………………………………………
ู
…………………………………………………………………………………………………………………
ู
2) ถ้าให้ความร้อนกับภาชนะดังรป
73
ี
ู
ความดันในภาชนะใด มค่าสงกว่า เพราะเหตุใด …………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………….....
3) จากกฎของบอยด์
ี
ู
ื
ถ้ากดกระบอกฉดยาลงมา ดังรปที่ 2 ความดันจะเพ ่มขึ้นหรอลดลง เพราะเหตุใด …………………………
……………………………………………………………………………………………………………….....
์
4) จากกฎของชารล
ี
จงเปรยบเทียบความดันของภาชนะทั้ง 2 ……………………………………………………………………
็
่
่
เหตุผลทีเปนเชนนั้นเพราะ……………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
ุ
ี
ื
5) ถ้าบรรจุแก๊สต่างชนดกัน ในภาชนะใบเดยวกัน หรอต่างภาชนะกัน แต่มปรมาตรและอณหภูมเท่ากัน
ี
ความดันภายในภาชนะจะแปรผันตรงกับจ านวนโมลหรอโมเลกุลของแก๊สนั้นๆ
ื
ภาชนะทั้ง 2 ใบ ม V, T, R เท่ากัน ฉะนั้น ความดันจะ
ี
แปรผันตรงกับจ านวนโมลของแก๊สที่บรรจุในแต่ละภาชนะ
Ex 19 จงเปรยบเทียบความดันของภาชนะ 2 ใบ ทีม ปรมาตรและอณหภมเท่ากัน แต่บรรจุแก๊สต่างๆ ดังน้ ี
ุ
ี
ู
่
ี
1.
2
2
H = 2 mol Cl = 2 mol
ุ
สรป ………………………………………………………………………………………………
2.
23
23
N = 3.01 x 10 O = 6.02 x 10
2
2
โมเลกุล โมเลกุล
74
ุ
สรป …………………………………………………………………………………………………
3. CH = 50 กรัม
2 2
4 C H = 50 กรัม
ุ
สรป …………………………………………………………………………………………………
4. NH = 34 กรัม O = 64 กรัม
3 2
ุ
สรป …………………………………………………………………………………………………
์
ิ
ุ
ี่
ิ
ี
* ที่อณหภูมคงที่ แก๊สทุกชนดมพลังงานจลนเฉลยเท่ากัน
ึ
่
* ที่อณหภูมคงที่ อัตราเรวเฉลยของโมเลกุลของแก๊สชนดหนง ๆ มค่าคงที่
ี่
็
ิ
ุ
ิ
ี
ื
ี
Ex 20 จงเขียนเครองหมาย / หรอ × หน้าข้อความต่อไปน้
ื่
ี่
…………. 1. ที่ STP แก๊สทุกชนดมพลังงานจลน์เฉลยเท่ากัน
ี
็
็
…………. 2. ทุกโมเลกุลของแก๊สเคลอนที่เปนเส้นตรง ด้วยอัตราเรวเท่ากัน
ื่
ี
ี
ี
…………. 3. ถ้าบรรจุแก๊ส CO และแก๊ส CH ที่มมวลเท่ากัน ลงในภาชนะที่มขนาดเท่ากัน ที่อณหภูมเดยวกัน
ุ
4
2
ี่
พลังงานจลน์เฉลยของแก๊ส CH จะมากกว่าแก๊ส CO
4
2
…………. 4. ที่อณหภูมและความดันเดยวกัน จะบรรจุแก๊สต่างชนดกันได้จ านวนโมลที่ต่างกันในภาชนะใบเดยวกัน
ี
ี
ุ
ี
ี
ุ
…………. 5. ที่อณหภูม เดยวกัน บรรจุแก๊ส N และแก๊ส H มวลเท่ากัน ลงในขวดที่มขนาดเท่ากัน ความดันของ
2
2
แก๊ส H มากกว่าแก๊ส N 2
2
ั
ี
…………. 6. ภาชนะบรรจุแก๊ส O 64 กรม ถ้าเพ ่มแก๊ส H ลงไปอก 4 กรม จะท าให้ความดันเพ ่มขึ้นเปน 2 เท่า
็
ั
2
2
ุ
ี
ที่อณหภูมเดยวกัน
2.3 สมบัติของของเหลว
่
ุ
่
ี
็
ื่
ุ
ี
จากการจัดเรยงโมเลกุลไมเปนระเบียบ มที่ว่างระหว่างอนภาค ท าให้อนภาคเคลอนที่อสระแต่ไมแยกออก
75
ู
่
่
ี
จากกัน มรปรางตามภาชนะที่บรรจุและสามารถแพรได้
1) ความตึงผิว
ุ
่
แรงดงของอนภาคที่ดงเฉพาะด้านข้างและดงด้านลาง ท าให้ผลรวมของแรงม ท ศทางลงข้างลางเก ดแรงดงผ วจน
ึ
ี
ึ
่
ึ
ึ
ตึง
่
ื
่
ุ
ึ
แรงดึงผิว คือ แรงทีดงผ วลงมาภายใน เพือให้พื้นทีผ วของของเหลวเหลอน้อยทีสด
่
่
ี
่
ั
ู
่
ู
็
่
ี
การรกษารปทรงของของเหลว ของเหลวทีมปรมาณน้อยๆ มักมรปรางเปนทรงกลม เชน หยดน ้าบนใบไม้
็
ี
่
ี
ทั้งน้เปนเพราะปรมาตรทีเปนทรงกลมจะมพื้นทีผ วน้อยทีสด แต่ในขณะเดยวกันก็มแรงโน้มถวงของโลกท าให้หยดน ้า
่
่
ุ
่
ี
ี
็
เบนลงหรอกระจายออก
ื
่
่
่
แรงตึงผิว คือ งานทีต้องใช้ในการขยายพื้นทีผ วของของเหลว 1 หนวย
่
ตัวอย่างเชน ในกรณทีต้องการรขยายพื้นทีผ วของของเหลวให้มากขึ้น โมเลกุลของของเหลวทีอยูภายใน
่
่
่
่
ี
ื่
ี
่
จะต้องเคลอนที่มาอยู่ที่ผ วเพ ่มขึ้น โมเลกุลเหลาน้จะต้องใช้พลังงานในการเอาชนะแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุลทีอยู ่
่
ี
่
่
ี
โดยรอบ งานทีต้องใช้น้เรยกว่า ความตึงผ ว
ี
ั
่
ปจจัยที่มีผลตอความตึงผิว
1. ชนิดของสาร
ี
่
ี
เปรยบเทียบความตึงผ วของสารบางชนดเปนดังน้ Hg > H O > C H ( เฮกเซน ) ที่เปนเชนน้
็
ี
็
2
6 14
เพราะ Hg มแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคเปน ………………………………………………..
ี่
ุ
็
ี
็
H O มแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุลเปน …………………………………………….
ี่
ี
2
ี
C H มแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคเปน …………………………………………….
็
ี่
ุ
6 14
ี่
ความตึงผ ว α แรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุล
2. อณหภูมิ
ุ
ู
ู
์
ุ
ู
ื
่
ู
ี
ู
ถ้าอณหภมสงขึ้นความตึงผ วจะลดลง เนองจากอณหภมสงจะท าให้โมเลกุลมพลังงานจลนสงขึ้น แรงยึด
ุ
ี่
เหนยว ระหว่างโมเลกุลลดลง
76
1
ความตึงผ ว α
ุ
t = อณหภูม
t
3. สารบางชนิด
การเต มสารบางชนดลงไป เชน สบู่ ผงซักฟอก เกลอ จะท าให้ความตึงผ วลดลง
่
ื
ื่
่
4. แรงเชอมแนน และแรงยึดติด
่
ี
ุ
ื
แรงเชอมแนน คือ แรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคหรอโมเลกุลของสารชนดเดยวกัน เชน H O กับ H O
ี่
่
ื่
2
2
็
C H OH กับ C H OH เปนต้น
2 5
2 5
่
ี่
ุ
ื
แรงยึดติด คือ แรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคหรอโมเลกุลของสารต่างชนดกัน เชน H O กับ แก้ว
2
็
H O กับ กระดาษ เปนต้น
2
่
่
ตัวอย่างเชน 1. กระดาษเปยกน ้า เพราะ แรงยึดต ด ของ น ้า + กระดาษ > แรงเชอมแนน ของ น ้า + น ้า
่
ี
ื
2. มหยดน ้าอยูบนแผ่นพลาสต ก เพราะ แรงยึดต ด ของ น ้า + พลาสต ก < แรงเชอมแนน ของ น ้า + น ้า
่
่
ี
่
ื
2) การระเหย
1. การระเหย คือ กระบวนการที่โมเลกุลของของเหลวเคลอนที่มาชนกัน มการถายเทพลังงานให้กัน
ี
่
ื่
โมเลกุลใดได้รับพลังงานมาก และมพลังงานสงกว่าแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุล และอยู่ที่ผ วของ
ี่
ี
ู
ของเหลว จะระเหยได้
2. การระเหยจะเก ดเฉพาะผ วหน้าของของเหลวเท่านั้น
ุ
ี่
ึ
3. การระเหย จะมการดงพลังงานไปใช้ในการเปลยนสถานะ ท าให้อณหภูมของของเหลวลดลง
ี
่
ั
4. ปจจัยที่มีผลตอการระเหย
ุ
ู
ู
1. อณหภูมิ ถ้าอณหภูมสงโมเลกุลจะมพลังงานจลน์สงสามารถเอาชนะแรงยึดเหนยวระหว่าง
ุ
ี่
ี
็
โมเลกุลได้มากขึ้น ท าให้ระเหยเรวขึ้น
2. พ้นที่ผิวหนาของของเหลว ถ้าพื้นทีผ วหน้ามากท าให้โมเลกุลของของเหลวมโอกาสหลด
ี
ุ
่
ื
้
ออกไปได้มาก
ื
ื
่
้
ื
ื่
3. ลมพัดหรออากาศถายเทไดดี ถ้าลมพัดจะท าให้โมเลกุลเคลอนที่หรอไอเหนอของเหลวลดลง
ท าให้เก ดการระเหยได้มากขึ้น
3) ความดันไอ
ี
เปรยบเทียบสมบัต ของสารต่อไปน้ ี
ิ
ในภาชนะเปด
77
ุ
คณสมบัติ น้ามัน น้า น้าหอม
ื
จุดเดอด
ี่
แรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุล
ความร้อนแฝง
ในภาชนะปด
ิ
ื
ื
่
การระเหยของของเหลว ท าให้เก ดไอขึ้นบรเวณเหนอของเหลว ไอเหลาน้จะพลังงานจลน เคลอนทีชน
่
์
ี
่
ี
่
กันเองและชนภาชนะ ท าให้มการถายเทพลังงานเก ดแรงดันขึ้นมา
ี
ื
ถ้าความดันของไอเหนอของเหลวมค่าคงที่ จะเรยกว่า ความดันไอของของเหลว
ี
ึ
ุ
่
่
ึ
เมอของเหลวระเหยขึ้นไป ถงจุดจุดหนงไอของของเหลวทีขึ้นไปจะอ่มตัว เก ดสมดล ขึ้นในระบบ และใน
่
ื
ี
็
ี
่
็
ภาวะน้ ไอของของเหลวก็ยังคงควบแนนเปนของเหลว และของเหลวก็ยังคงระเหยกลายเปนไอตลอดเวลาเรยกสมดล
ุ
แบบน้ว่า “ สมดุลไดนามิก ”
ี
ปจจัยที่มีผลตอความดันไอ
ั
่
1. ชนิดของสาร
2. อณหภูมิ
ุ
ุ
ความดันไอ อณหภูม
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันไอกับอณหภูมของของเหลวชนดต่างๆ
ุ
78
4) การเดือด
่
ู
ึ
ุ
ี
จดเดือดของของเหลว หมายถง อณหภมขณะทีของเหลวนั้น มความดันไอเท่ากับความดันบรรยากาศและถ้า
ุ
ื
ี
ของเหลวเดอดที่ความดัน 1 บรรยากาศ เรยกจุดเดอดนั้นว่า จดเดือดปกติ
ื
ุ
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันไอกับอณหภูมของของเหลวชนดต่างๆ
ุ
จากกราฟจงบอกจุดเดอดของสารแต่ละชนด
ื
์
ี
1. จุดเดอดปกต ของ อเทอร , แอซโตน, แอลกอฮอล์ และน ้า …………………………………………………
ื
ื
2. จุดเดอดที่ความดัน 600 mmHg ของ อเทอร , แอซโตน, แอลกอฮอล์ และน ้า ……………………………
ี
์
ี
3. จุดเดอดที่ความดัน 400 mmHg ของ อเทอร , แอซโตน, แอลกอฮอล์ และน ้า ……………………………
์
ื
การหาจดเดือดของของเหลวบางชนิด
ุ
่
้
่
้
ให้ความรอนอย่างช้าๆ พรอมทั้งใช้แท่งแก้วคนของเหลวตลอดเวลา เพือให้ความรอนกระจายอย่างสม าเสมอ
้
ี
่
็
้
ให้ความรอนไประยะหนงจะเหนฟองแก๊สออกจากหลอดคะปลลารอย่างช้าๆ แล้วจะเรวขึ้น และต ดต่อกันออกมาเปน
ึ
็
็
ี
สาย( ขณะน้ความดันภายในของเหลวมากกว่าความดันบรรยากาศ ) จากนั้นหยุดให้ความรอนพบว่า ฟองอากาศจะ
้
่
่
็
ึ
่
่
ออกมาช้าลงฟองสดท้ายทีออกมาให้อานอณหภมทันที จุดนั้น คือ จุดเดอดของของเหลว ซงเปนจุดทีความดันเท่ากับ
ุ
ื
ุ
ู
ความดันบรรยากาศ
79
ี
ี
ื
ี
ื
่
ในการหาจุดเดอดแบบว ธน้ ของเหลวทีต้องการหาจุดเดอด ( ในหลอดทดลอง ) ต้องมจุดเดือดต ่ากว่า
ของเหลวในบีกเกอร ์
Ex 21 ความดันไอของของเหลว A, B, C เปลยนแปลงตามอณหภูม ดังกราฟ
ี่
ุ
ื
1. จงเปรยบเทียบจุดเดอดปกต ของสาร A, B, C …………………………………………………………...
ี
ู
ื
ื
ี
2. ที่ความดันต ่ากว่า 1 atm A จะมจุดเดอดสงหรอต ่ากว่า B ……………………………………………...
ู
ู
ี
3. ที่ความดันสงกว่า 1 atm A จะมจุดเดอดสงหรอต ่ากว่า B ……………………………………………..
ื
ื
Ex 22 จากกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันไอและอณหภูมของสาร A , B , C
ุ
ื
1. สาร A , B, C มจุดเดอดปกต เท่าใดตามล าดับ ……………………………………………………………
ี
ื
ื
ื
2. ที่ความดัน 600 mmHg จุดเดอดของสาร B เพ ่มหรอลดลงจากจุดเดอดปกต เท่าใด ……………………
3. ที่ความดันสงกว่า 1 atm จงเปรยบเทียบจุดเดอดของสาร A, B , C …………………………………..
ื
ู
ี
ี
4. จงเปรยบเทียบอัตราการระเหยของสาร A, B, C …………………………………………………………
แบบฝกหัด
ึ
ุ
21. ( ม.ข. 53 ) ที่อณหภม 30 C ของเหลวบรสทธ์ A มจ านวนโมเลกุลในสถานะไออยู่ a โมเลกุล และพบว่า
ุ
ู
ี
ุ
ู
ภายใต้ความดันที่เท่ากัน จ านวนโมเลกุลของ A ในสถานะไอที่อณหภม 20 C และ 60 C มอยู่เท่ากับ b
ี
่
และ c โมเลกุลตามล าดับ ข้อใดตอไปน้ เรยงล าดับค่าถกต้อง
ี
ู
ี
ก. a > b > c ข. c > b > a ค. b > a > c ง. c > a > b
80
ี
ุ
์
ื
22. ( ม.ข. 53 ) ของเหลวบรสทธ A,B,C และ D มจดเดอดที่ 70 , 85 , 65 และ 90 C ตามล าดับ จง
ุ
ี
ี
เปรยบเทยบความดันไอของสารทั้ง 4 ชนด ว่าเปนไปตามข้อใด
็
ก. ของ A > ของ B > ของ C > ของ D ข. ของ B > ของ A > ของ D > ของ C
ค. ของ D > ของ B > ของ A > ของ C ง. ของ C > ของ A > ของ B > ของ D
ุ
ุ
ี
ี
ื
ึ
์
่
23. ( ม.ข. 53 ) ของเหลวบรสทธชนดหนงมจดเดอดเท่ากับ 75 C จะมความหมายสอดคล้องกับข้อความใน
ี
ื่
ข้อใด เมอของเหลวมอณหภม 75 C
ู
ุ
ก. ของเหลวน้ มความดันไอสงกว่า 1 บรรยากาศ
ู
ี
ี
่
่
ข. บอกไมได้ว่า ความดันไอของของเหลวน้ สงกว่าหรอต ากว่า 1 บรรยากาศ
ื
ี
ู
ี
ี
ค. ของเหลวน้มความดันไอ 760 mmHg
ง. ของเหลวน้มความดันไอเทากับความดันไอของน ้าท 75 C
่
ี
ี
่
ี
2.4 สมบัติของของแข็ง
- อนภาคของของแข็งจะอยู่ชดกันมาก มแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคของสารมากกว่าสารชนดเดยวกันที่ม ี
ุ
ี
ี
ุ
ี่
สถานะของเหลวและแก๊ส
ี
- สวนใหญ่มจุดเดอดจุดหลอมเหลวสงกว่าของเหลวและแก๊ส
่
ื
ู
ี
- มรปรางแนนอนไมขึ้นอยูกับภาชนะทีใส ่
ู
่
่
่
่
่
ุ
ี
1) การจัดเรยงอนภาคของของแข็ง
ื
ี
่
การจัดเรยงอนภาคของของแข็ง ที่ไมเหมอนกันในสารชนดเดยวกัน จะท าให้เก ดผลกที่แตกต่างกัน
ุ
ี
ึ
ผลึกของอโลหะ
1. ผลึกของก ามะถัน
่
ก ามะถันทีอยูในรูปผลึก มี 2 รูปคือ
่
็
ู
ึ
1.1 ผลึกรอมบิก จะมผลกเปนรปเหลยม เสถยรที่อณหภูมห้อง
ี
ี
ุ
ี่
การเตรยมก ามะถันรอมบ ก เตรยมได้โดยเอาก ามะถันไปละลายในโทลอน จนกระทั่งอ่มตัวแล้วท าให้ตก
ี
ี
ู
ี
81
ผลก
ึ
ุ
1.2 ผลึกมอนอคลินิก มผลกเปนรปเข็ม เสถยรที่อณหภูม 96 C
ี
ี
ู
ึ
็
ู
ี
ี
ี
การเตรยมก ามะถันมอนอคลนก เตรยมได้โดยเอาก ามะถันไปละลายในโทลอนทีรอน จนกระทั่งอ่มตัว
่
้
ึ
แล้วท าให้ตกผลก
์
2. ผลึกของคารบอน
็
์
์
2.1 เพชร เปนผลกที่เก ดจากอะตอมของคารบอนมาต่อกัน และแต่ละอะตอมของคารบอนเกาะเปนพันธะ
็
ึ
ื
ู
่
ึ
ื่
ี่
เดยวได้ 4 พันธะ และเกาะต่อเนองกันเปนโครงผลกรางตาข่าย จุดเดอด จุดหลอมเหลว ของเพชรจะสงมาก
็
็
์
2.2 แกรไฟต เปนผลกที่เก ดจากอะตอมของคารบอนมาต่อกัน และคารบอนแต่ละอะตอมเกาะเปนพันธะ
็
ึ
์
์
้
เดยวได้ 3 พันธะ และจะมอเล็กตรอนอสระว่างอยู่ 1 อเล็กตรอน แกรไฟต์จึงน าไฟฟาได้ แต่น าได้ท ศทางเดยว
ี่
ี
ี
์
็
ุ่
ื่
็
็
์
ี่
2.3 ฟลูเลอรน เปนกลมของโมเลกุลคารบอน เก ดจากอะตอมคารบอนเกาะเปนพันธะเดยว เชอมกันเปน
ี
82
่
่
็
้
ี
ื
โครงสร้าง 5 เหลยม และ 6 เหลยม หลายรปต่อกันเปนทรงกลม ไมน าไฟฟา จุดเดอด จุดหลอมเหลวขึ้นอยูกับ
ี่
่
ู
ี
์
ู
ี
์
ู
จ านวนคารบอน โมเลกุลของฟลเลอรน จะมคารบอนเปนเลขค่ ตั้งแต่ประมาณ 40 อะตอมขึ้นไป แต่โมเลกุลของ
็
ี
ุ
ฟลเลอรนที่เสถยรที่สดคือ C โมเลกุลของฟลเลอรนที่มขนาดใหญ่ ได้แก่ C ,C ,C ,C C ,C ,C ,C ,C
ี
ี
ู
ี
ู
84
60
76
70
180
96
190
540
240
90
็
เปนต้น
ั
3. ผลึกของฟอสฟอรส
ื่
่
ั
ุ
้
ี
ื
3.1 ฟอสฟอรสขาว มจุดเดอดจุดหลอมเหลวต ่า ไมน าไฟฟา ท าปฏ ก รยาได้ง่าย สามารถลกต ดไฟได้เองเมอ
ู
สัมผัสกับอากาศ มักใช้ท าลกระเบ ด
ู
ื
้
ี
3.2 ฟอสฟอรสแดง มจุดเดอดจุดหลอมเหลวสง ไมน าไฟฟา เสถยรกว่าฟอสฟอรัสขาว ใช้ท าไม้ขีดไฟ
ี
่
ั
ื
ี
ู
่
้
ี
3.3 ฟอสฟอรสด า ลักษณะภายนอกเปนเกล็ดสด า น าไฟฟาได้ ยังไมมข้อมลจุดเดอด จุดหลอมเหลว
็
ั
2) ชนิดของผลึก
็
ลักษณะผลกในของแข็ง เก ดจากการจัดเรยงอนภาคภายในอย่างมระเบียบ เปน 3 มต
ึ
ี
ี
ุ
ชนิดของผลึก
ี
่
ึ
ี
1. ผลึกโมเลกุล เปนผลกทีเก ดจากโมเลกุลโคเวเลนต์ ได้แก่ น ้าแข็ง , แอมโมเนย , น ้าแข็งแห้ง, แนฟทาลน ,
็
่
ึ
ก ามะถัน, ไอโอดน เปนต้น และรวมถงพวกที่อยู่กันเปนอะตอมด้วย เชน ผลกของแก๊สเฉอย
ื่
็
ึ
็
ี
็
็
์
ี
ึ
2. ผลึกโคเวเลนต เปนผลกที่เก ดจากสารประกอบโคเวเลนต์ที่จัดเรยงต่อเปนโครงผลกรางตาข่าย ได้แก่
่
ึ
เพชร
83
, แกรไฟต์ , ควอตซ์ ( SiO )
2
็
ึ
3. ผลึกโลหะ เปนผลกที่เก ดจากพันธะโลหะ ได้แก่ Mg , Fe, Cu, Na เปนต้น
็
็
็
่
ึ
4. ผลึกไอออนิก เปนผลกที่เก ดจากสารประกอบไอออนก เชน KNO , AgNO , NaCl เปนต้น
3
3
่
ึ
ี
ี
ุ
ี
่
ู
่
ของแข็งบางชนดไมมรปผลก เรยกว่า ของแข็งอสญฐาน พวกน้จะจัดเรยงอนภาคภายในไมเปนระเบียบ เชน
ี
็
ั
พลาสต ก แก้ว ยาง
3) การเปลี่ยนสถานะของของแข็ง
ื
ั
1. การหลอมเหลว เมออนภาคของของแข็งได้รบความรอน อนภาคจะสั่นสะเทือนมากขึ้นมพลังงานจลน ์
่
้
ี
ุ
ุ
่
ี
่
ี
์
ุ
ู
่
ื
เพ ่มขึ้น อนภาคทีมพลังงานจลนสงกว่าแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาค ก็จะเคลอนทีออกหางจากกัน จน
ุ
่
่
เปลยนสถานะเปนของเหลว
็
ี่
ี่
่
็
็
2. การระเหิด เปนการเปลยนสถานะจากของแข็งเปนแก๊ส โดยไมผ่านการหลอมเหลว การระเหดจะเก ด
ุ
่
ื
ี
กับสารทีไมมขั้วหรอมขั้วน้อยมาก มแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุลน้อย เชน แรงลอนดอน เมออนภาค
่
ี
ื
ี
่
่
ี
่
ุ
ึ
ได้รับความร้อนบรเวณผ วหน้าของผลกจะหลดออกไปได้ง่าย ดังรป
ู
็
Ex 23 ไส้ดนสอด าและเพชรเปน
ู
ื
์
์
ู
ก. อันยรป ( หรอรป ) ของธาตุคารบอน ข. ไอโซโทปของธาตุคารบอน
ค. ธาตุต่างชนดกัน ง. สารประกอบต่างชนดกันของธาตุคารบอน
์
ี
ี
่
Ex 24 ความแตกต่างของส่งใดทีมผลให้ก ามะถันมรปผลก 2 แบบ
ึ
ู
ก. จ านวนมวลอะตอม ข. พลังงานจลน ์
ี
ค. การจัดเรยงโมเลกุล ง. จ านวนมวลโมเลกุล
ี
ู
Ex 25 ข้อใดต่อไปน้ไมถกต้อง
่
ก. การระเหยของของเหลวเก ดเฉพาะบรเวณผ วหน้าของของเหลวเท่านั้น
ุ
ข. ที่อณหภูมเดยวกัน ของเหลวชนดเดยวกันจะมอัตราการระเหยเท่ากัน
ี
ี
ี
ี่
ี
ค. โมเลกุลของของเหลวมแรงยึดเหนยวระหว่างโมเลกุลมากกว่าโมเลกุลของก๊าซ
ง. ของแข็งที่ระเหดได้ด จะมค่าความดันไอสง
ี
ู
ี
84
ึ
แบบฝกหัด
่
่
ี
24. ( ม.ข. 53 ) ให้พ จารณาสมบัต ต่อไปน้ทีเกียวข้องกับของแข็ง
ี่
็
1. ของแข็งบางชนดเปลยนเปนแก๊สได้โดยไมผ่านการเปนของเหลว
่
็
่
2. ของแข็งทุกชนดมจุดหลอมเหลวไมแนนอน
ี
่
ี
่
็
3. ของแข็งบางชนดไมเรยงตัวอย่างเปนระเบียบ
4. ของแข็งทุกชนดจะเปนของแข็งได้เฉพาะที่อณหภูมห้อง
ุ
็
5. ของแข็งบางชนดไมน าไฟฟา
้
่
ี
่
ู
ข้อใดต่อไปน้กลาวถกต้องทั้งหมด
ก. 1, 2 และ 3 ข. 1, 2 และ 4 ค. 1, 3 และ 5 ง. 3, 4 และ 5
่
ี
25. ( ม.ข. 53 ) ประเภทของพันธะหรอแรงยึดเหนยวระหว่างอนภาคในของแข็งต่อไปน้เรยงในล าดับเหล็ก น ้าตาล
ี
ี
ุ
ื
ู
ู
ี
ี
็
กลโคส เกลอแกง ในข้อใดต่อไปน้ เปนการเรยงล าดับอย่างถกต้อง
ื
ก. พันธะไอออนก , พันธะโคเวเลนต์ , แรงลอนดอน
ข. แรงลอนดอน , พันธะไอออนก , พันธะโคเวเลนต์
ค. พันธะไอออนก , พันธะโคเวเลนต์ , พันธะโลหะ
ง. พันธะโลหะ , แรงลอนดอน , พันธะไอออนก
๊
2.5 เทคโนโลยีเกี่ยวกับกาซ ของเหลว และ ของแข็ง
1. การท าน้าแข็งแหง
้
ใช้ในอตสาหกรรมที่ต้องการอณหภูมต ่า เชน ไอศกรม ผัก และผลไม้ การแชแข็งปลา ซงการท า
ี
่
่
ึ
ุ
ุ
่
ี
ี
น ้าแข็งแห้ง มกรรมว ธ ดังน้ ี
2. การท าไนโตรเจนเหลว
ื
่
่
่
ใช้ในอตสาหกรรมแชแข็งอาหารประเภทต่างๆ หรอใช้ในการแพทย์ เชน การแชแข็งเลอด เซลล์ ไขกระดก
ู
ุ
ื
ึ
ี
่
ี
ซงการท าไนโตรเจนเหลวมกรรมว ธดังน้ ี
85
์
Ex 26 ขั้นตอนในกระบวนการท าน ้าแข็งแห้งจากแก๊สคารบอนไดออกไซด์ ประกอบด้วย
ุ
ู
1. ท าให้แห้งและบรสทธ์ 2. อัดผ่านรพรน 3. เพ ่มความดันและลดอณหภม
ุ
ุ
ู
ู
การเรยงล าดับขั้นตอนตั้งแต่เร่มต้นจนถงขั้นสดท้าย ข้อใด ถกต้อง
ี
ึ
ุ
ก. 3, 2 และ 1 ข. 2, 1 และ 3
ค. 1, 3, 2 และ 3 ง. 3, 1, 3 และ 2
***********************
๊
้
แนวขอสอบเขามหาวิทยาลัย เรอง แกส ของเหลว ของแข็ง
้
ื่
ิ
็
ี
1. ( Ent.ป 39 ) ถ้าต้องการให้ปรมาตรของก๊าซสมบูรณท STP เพิ่มขึ้นเปน 2 เท่า โดยการลดความดันลง
ี่
์
ุ
25 % จะต้องกระท าที่อณหภมเท่าใด
ู
ิ
ก. 136.5 เคลว น ข. 273.0 เคลว น ค. 204.8 เคลว น ง. 409.5 เคลว น
3
ี
ุ
่
ี
2. ( Ent. 1/45 ) แก๊สชนดหนงหนัก 3.2 กรัม มปรมาตร 2 dm ที่อณหภูม 27 C ความดัน 0.5 atm แก๊สน้ม ี
ึ
มวลโมเลกุลเท่าใด
1. 22.4 2. 39.4 3. 78.8 4. 157.6
ี
3. ( Ent. 1/43 ) บอลลนลกหนงบรรจุฮเลยมเข้าไป 0.095 mol มปรมาตร 1.9 dm ถ้าเต มไฮโดรเจนเข้าไปอก
ี
3
่
ู
ึ
ี
ี
ู
ู
็
ี
ู
ุ
0.125 mol โดยให้ความดันและอณหภูมคงที่ บอลลนจะมปรมาตรเปนกี่ลกบาศก์เดซเมตร
1. 2.5 2. 4.4 3. 5.0 4. 8.8
ึ
่
ี
4. ( Ent. ป 33 ) ก๊าซชนดหนงปรมาตร 4 ลกบาศก์เดซเมตร บรรจในภาชนะภายใต้ความดัน 1.140
ุ
ู
่
ี
ี
มลลเมตรปรอท อณหภม 273 องศาเซลเซยส ปรมาตรของก๊าซน้ท STP เท่ากับกี่ลกบาศก์เดซเมตร
ู
ุ
ู
ี
ก. 1.5 ข. 3 ค. 6 ง. 9
่
ี่
ี
ู
ิ
5. ( Ent. ป 27 ) จะต้องใช้สัดสวนในข้อใดไปคณปรมาตรของก๊าซที่ 30 C เพื่อให้เปนปรมาตรท 60 C โดย
็
ิ
ให้ความดันคงท ี่
ก. 60/30 ข. 273/333 ค. 303/333 ง. 333/303
86
ี
ี
ึ
่
่
ี
ุ
ึ
6. ( มข. ป 31 ) นักเรยนคนหนงท าการทดลองวัดปรมาตรของก๊าซซงมมวลคงที่ ที่ความดันต่างๆ โดยควบคม
ี
่
ให้อณหภมคงท ผลการทดลองแสดงไว้ในตารางตอไปน้ ี
ู
่
ุ
3
ั
ี
่
คร้งท ปรมาตร ( cm ) ความดัน ( mmHg )
1 240 600
2 180 800
3 144 1000
4 108 1200
่
ี
่
สมมตว่าความดันทอานได้ทั้งหมดถกต้อง แตจะมความคลาดเคลอนในการอานปรมาตรของก๊าซอยูหนง
ื
ี
่
่
่
ู
ึ
่
่
ุ
ค่าปรมาตรที่ผ ดคือข้อใด
่
ั
ี
ี
ี
ั
่
่
ั
ก. คร้งท 1 ข. คร้งท 2 ค. คร้งท 3 ง. คร้งท 4
ี
่
ั
7. ( Ent. 1/43 )
ั
3
๊
แกสสมบูรณ ์ น้าหนก ( g ) P ( atm ) V ( dm ) T ( C )
ก 2.73 0.51 3.0 27
ข 0.14 0.112 1.0 0
ค 2.73 0.70 3.2 47
ู
็
จากข้อมลในตารางข้างบน การเรยงล าดับอัตราเรวในการแพรของแก๊สทั้งสามชนดจากมากไปน้อยเปนข้อใด
ี
่
็
1. ก ข ค 2. ข ก ค 3. ค ก ข 4. ข ค ก
3
ี
ี
ี
่
8. ( มข. ป 33 ) ก๊าซชนดหนงมปรมาตร 80 cm ที่ 47 C ก๊าซน้จะมปรมาตรเทาใดท 25 C ถ้าความดันคงที่
่
ึ
่
ี
ี
3
ก. 74.50 cm ข. 72.55 cm 3 ค. 42.55 cm 3 ง. 40.55 cm
3
ี
9. ( มข. ป 34 ) ขวด A มปรมาตร 5 dm บรรจแก๊ส NO ความดัน 1 บรรยากาศท 27 C และขวด B มปรมาตร
ุ
ี
3
ี่
ี
3
่
่
ื
่
3 dm บรรจแก๊ส O ความดัน 1 บรรยากาศที่ 27 C เมอเปดให้ขวดทั้งสองตอกันและปลอยให้แก๊สทั้งสอง
ุ
2
่
เต็มขวดทั้งสองใบแล้ว จงค านวณความดันรวมหนวยบรรยากาศ โดยไมค ดปรมาตรของทอตอขวดและให้
่
่
่
ุ
ู
ค ดว่าอณหภมคงท ี่
ก. 11/16 ข. 5/8 ค. 1 ง. 13/8
ี
่
10. แก๊สใดมอัตราการแพรเปน 4 เท่าของ SO
็
2
ก. H ข. O ค. CH ง. He
2
4
2
11. แก๊ส X เคลอนที่ได้ 200 เซนต เมตร ในเวลา 10 นาที แก๊ส CH เคลอนที่ได้ 50 เซนต เมตร ในเวลา
ื่
ื่
2
4
5 นาที จงค านวณมวลอะตอมของ X ( C=12 , H=1 )
1. 2 2. 4 3. 5 4. 8
็
ี
่
12. (Ent.ป 39 ) ในการศกษาสมบัต การแพรของก๊าซ HCl , NO , H S , C H และ SO ล าดับอัตราเรวการ
ึ
2
2 2
2
2
แพรของก๊าซเปนดังข้อใด
็
่
ก. SO > NO > HCl > H S > C H ข. NO > HCl > SO > C H > H S
2
2
2 2
2
2
2
2
2 2
ค. HCl > NO > H S > C H > SO ง. H S > SO > C H > NO > HCl
2
2
2
2
2 2
2
2
2 2
87
ี
ึ
ี
่
ี
ุ
13. ( Ent. ป 31 ) ภาชนะ 2 ใบ ซงมปรมาตรเท่ากันบรรจก๊าซต่างชนดกัน ที่ความดันเดยวกัน ข้อความ
ต่อไปน้ ข้อใดถก
ู
ี
ก. ภาชนะ ทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากับ
ู
ี
ุ
ี
ี
ข. ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมก๊าซที่มมวลเท่ากัน
ู
ี
ุ
ี
ค. ถ้าภาชนะทั้ง 2 ใบ มจ านวนโมเลกุลเทากัน ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากัน
่
ี
่
ง. ถ้าภาชนะทั้ง 2 ใบ มก๊าซทมมวลเทากัน ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากัน
่
ี
ุ
ู
ี
ี
ี
14. ( Ent. ป 35 ) ความร้อนแฝงของการเก ดไอของ C H , NH , H O และ O จะเรยงล าดับตามข้อใด
ี
2
10
22
3
2
ก. C H > O > H O > NH ข. O > H O > NH > C H
2
3
22
2
10
2
22
3
2
10
ค. H O > NH > C H > O ง. C H > H O > NH > O
22
2
22
2
10
3
10
3
2
2
็
ี
็
่
ุ
ู
15. ( Ent. 1/43 ) การท าให้แก๊สเปนของแข็งเรวขึ้น นอกจากจะลดอณหภมแล้วยังใช้ว ธในข้อใดรวมด้วย
ก. เพ ่มความดัน และลดปรมาตร ข. เพ ่มความดัน และเพ ่มปรมาตร
ค. ลดความดัน และลดปรมาตร ง. ลดความดัน และเพ ่มปรมาตร
ุ
ี่
16. ( Ent. 1/43 ) ข้อความเกี่ยวกับการเปลยนแปลงของสารที่อณหภูมห้อง ข้อใดผิด
ู
ี
ึ
ี
ก. แนพทาลนระเหดได้เพราะมแรงดงดดระหว่างโมเลกุลน้อย
ี
่
ข. น ้าแข็งไมระเหดเพราะโมเลกุลมพันธะไฮโดรเจนระหว่างกัน
์
ค. ควันทีเก ดจากน ้าแข็งแห้งตั้งท ้งไว้ประกอบด้วยแก๊สคารบอนไดออกไซด์กับไอน ้า
่
ง. การเปลยนเปนไอของโลหะปรอทจัดอยู่ในประเภทการระเหด
ี่
็
17. ( Ent. 1/46 ) ก าหนดค่าความดันไอของของเหลว A และ B ที่อณหภูม 30 C และ 80 C ดังน้ ี
ุ
ู
อุณหภม ความดันไอ ( atm )
ของเหลว A ของเหลว B
30 0.2 0.3
80 0.4 0.7
ข้อสรปใดถก
ุ
ู
ุ
ื
ก. ของเหลว B เดอดที่อณหภูมต ่ากว่าของเหลว A
ข. ความร้อนแฝงของการกลายเปนไอของของเหลว B < ของเหลว A
็
ค. แรงดงดดระหว่างโมเลกุลของ B < แรงดงดดระหว่างโมเลกุล A
ู
ึ
ึ
ู
ง. มวลโมเลกุลของ B < มวลโมเลกุลของ A
1. ก และ ข เท่านั้น 2. ก , ข และ ค เท่านั้น
3. ก , ข และ ง เท่านั้น 4. ก , ข , ค และ ง
18. ( Ent. 2/44 )
88
ุ
ี
19. ( Ent. 23 ) แก๊ส C H และ C H ที่หนักเท่ากัน น าไปบรรจุในขวดที่มปรมาตรและอณหภูมเท่ากัน พบว่า
2 6
2 2
ี
ก. ความดันในขวดที่บรรจุ C H มมากกว่าความดันในขวดที่บรรจุ C H
2 2
2 6
ข. แก๊สทั้งสองจะมจ านวนโมเลกุลเท่ากัน
ี
ี
ค. แก๊สทั้งสองมความดันเท่ากัน
ี
ง. ความดันในขวดที่บรรจุ C H มมากกว่าความดันในขวดที่บรรจุ C H
2 2
2 6
ุ
ี
20. ( มข. ป 37) จากการวัดปรมาตรของก๊าซที่ความดันต่างๆ โดยให้อณหภมคงที่ตลอดเวลา กราฟในข้อใด
ู
ผิด
h
******** จบบทแล้วค่ะ **********
89
๊
บทที่ 2 แกส ของเหลว ของแข็ง
90
ื่
๊
้
้
แนวขอสอบเขามหาวิทยาลัย เรอง แกส ของเหลว ของแข็ง
์
ี
ิ
1. ( Ent.ป 39 ) ถ้าต้องการให้ปรมาตรของก๊าซสมบูรณที่ STP เพิ่มขึ้นเปน 2 เท่า โดยการลดความ
็
ดันลง 25 %
ู
จะต้องกระท าที่อณหภมเท่าใด
ุ
ิ
ก. 136.5 เคลว น ข. 273.0 เคลว น ค. 204.8 เคลว น ง. 409.5 เคลว น
ึ
่
3
ุ
ี
ี
2. ( Ent. 1/45 ) แก๊สชนดหนงหนัก 3.2 กรัม มปรมาตร 2 dm ที่อณหภูม 27 C ความดัน 0.5 atm แก๊สน้ม ี
มวลโมเลกุลเท่าใด
1. 22.4 2. 39.4 3. 78.8 4. 157.6
ู
ี
3
ี
ี
ึ
3. ( Ent. 1/43 ) บอลลนลกหนงบรรจุฮเลยมเข้าไป 0.095 mol มปรมาตร 1.9 dm ถ้าเต มไฮโดรเจนเข้าไปอก
่
ี
ู
็
ู
ุ
ู
0.125 mol โดยให้ความดันและอณหภูมคงที่ บอลลนจะมปรมาตรเปนกี่ลกบาศก์เดซเมตร
ี
1. 2.5 2. 4.4 3. 5.0 4. 8.8
ุ
4. ( Ent. ป 33 ) ก๊าซชนดหนงปรมาตร 4 ลกบาศก์เดซเมตร บรรจในภาชนะภายใต้ความดัน 1.140
ึ
่
ู
ี
่
ู
ี
ุ
ู
ี
มลลเมตรปรอท อณหภม 273 องศาเซลเซยส ปรมาตรของก๊าซน้ท STP เท่ากับกี่ลกบาศก์เดซเมตร
ี
91
ก. 1.5 ข. 3 ค. 6 ง. 9
ิ
ู
ิ
ี่
็
5. ( Ent. ป 27 ) จะต้องใช้สัดสวนในข้อใดไปคณปรมาตรของก๊าซท 30 C เพื่อให้เปนปรมาตรที่
ี
่
60 C โดย
ให้ความดันคงท ี่
ก. 60/30 ข. 273/333 ค. 303/333 ง. 333/303
่
ี
ี
ึ
6. ( มข. ป 31 ) นักเรยนคนหนงท าการทดลองวัดปรมาตรของก๊าซซงมมวลคงที่ ที่ความดันต่างๆ โดยควบคม
ึ
ุ
ี
่
ให้
ู
่
่
ี
ุ
อณหภมคงท ผลการทดลองแสดงไว้ในตารางตอไปน้ ี
่
คร้งท ปรมาตร ( cm ) ความดัน ( mmHg )
ี
3
ั
1 240 600
2 180 800
3 144 1000
4 108 1200
่
่
ี
่
่
ุ
ู
่
ื
ี
่
่
สมมตว่าความดันทอานได้ทั้งหมดถกต้อง แตจะมความคลาดเคลอนในการอานปรมาตรของก๊าซอยูหนง
ึ
ค่าปรมาตรที่ผ ดคือข้อใด
ี
ั
ั
่
ี
่
ี
ก. คร้งท 1 ข. คร้งท 2 ค. คร้งท 3 ง. คร้งท 4
ั
่
ี
ั
่
7. ( Ent. 1/43 )
ั
3
แกสสมบูรณ ์ น้าหนก ( g ) P ( atm ) V ( dm ) T ( C )
๊
ก 2.73 0.51 3.0 27
ข 0.14 0.112 1.0 0
ค 2.73 0.70 3.2 47
จากข้อมลในตารางข้างบน การเรยงล าดับอัตราเรวในการแพรของแก๊สทั้งสามชนดจากมากไปน้อยเปนข้อใด
่
็
ู
็
ี
2. ก ข ค 2. ข ก ค 3. ค ก ข 4. ข ค ก
ึ
8. ( มข. ป 33 ) ก๊าซชนดหนงมปรมาตร 80 cm ที่ 47 C ก๊าซน้จะมปรมาตรเทาใดท 25 C ถ้าความดันคงที่
ี
่
ี
่
่
3
ี
ี
ี
3
ก. 74.50 cm ข. 72.55 cm 3 ค. 42.55 cm 3 ง. 40.55 cm
3
9. แก๊สใดมอัตราการแพรเปน 4 เท่าของ SO
่
ี
็
2
ก. H ข. O ค. CH ง. He
2
4
2
10. แก๊ส X เคลอนที่ได้ 200 เซนต เมตร ในเวลา 10 นาที แก๊ส CH เคลอนที่ได้ 50 เซนต เมตร ในเวลา
ื่
ื่
2
4
5 นาที จงค านวณมวลอะตอมของ X ( C=12 , H=1 )
1. 2 2. 4 3. 5 4. 8
ึ
11. (Ent.ป 39 ) ในการศกษาสมบัต การแพรของก๊าซ HCl , NO , H S , C H และ SO ล าดับอัตราเรวการ
ี
็
่
2
2
2 2
2
แพรของก๊าซเปนดังข้อใด
่
็
92
ก. SO > NO > HCl > H S > C H
2
2 2
2
2
ข. NO > HCl > SO > C H > H S
2 2
2
2
2
ค. HCl > NO > H S > C H > SO
2
2
2
2 2
ง. H S > SO > C H > NO > HCl
2
2
2 2
2
ี
่
ี
ุ
ึ
12. ( Ent. ป 31 ) ภาชนะ 2 ใบ ซงมปรมาตรเท่ากันบรรจก๊าซต่างชนดกัน ที่ความดันเดยวกัน ข้อความ
ี
ตอไปน้
่
ี
ข้อใดถก
ู
จ. ภาชนะ ทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากับ
ู
ี
ุ
ฉ. ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมก๊าซที่มมวลเท่ากัน
ี
ี
ุ
ี
ี
ู
ช. ถ้าภาชนะทั้ง 2 ใบ มจ านวนโมเลกุลเท่ากัน ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากัน
ี
ุ
่
ี
ี
ซ. ถ้าภาชนะทั้ง 2 ใบ มก๊าซทมมวลเทากัน ภาชนะทั้ง 2 ใบ จะต้องมอณหภมเท่ากัน
ู
ี
่
13. ( Ent. ป 35 ) ความร้อนแฝงของการเก ดไอของ C H , NH , H O และ O จะเรยงล าดับตามข้อใด
ี
ี
22
2
2
3
10
ก. C H > O > H O > NH ข. O > H O > NH > C H
2
10
3
22
2
3
10
22
2
2
ค. H O > NH > C H > O ง. C H > H O > NH > O
2
22
10
2
3
2
10
22
3
2
ุ
14. ( Ent. 1/46 ) ก าหนดค่าความดันไอของของเหลว A และ B ที่อณหภูม 30 C และ 80 C ดังน้ ี
อณหภูม ความดันไอ ( atm )
ุ
ของเหลว A ของเหลว B
30 0.2 0.3
80 0.4 0.7
ุ
ข้อสรปใดถก
ู
ุ
จ. ของเหลว B เดอดที่อณหภูมต ่ากว่าของเหลว A
ื
ฉ. ความร้อนแฝงของการกลายเปนไอของของเหลว B < ของเหลว A
็
ู
ช. แรงดงดดระหว่างโมเลกุลของ B < แรงดงดดระหว่างโมเลกุล A
ู
ึ
ึ
ซ. มวลโมเลกุลของ B < มวลโมเลกุลของ A
2. ก และ ข เท่านั้น 2. ก , ข และ ค เท่านั้น
3. ก , ข และ ง เท่านั้น 4. ก , ข , ค และ ง
่
ู
15. ( Ent. 1/43 ) การท าให้แก๊สเปนของแข็งเรวขึ้น นอกจากจะลดอณหภมแล้วยังใช้ว ธในข้อใดรวมด้วย
ุ
็
็
ี
ก. เพ ่มความดัน และลดปรมาตร ข. เพ ่มความดัน และเพ ่มปรมาตร
ค. ลดความดัน และลดปรมาตร ง. ลดความดัน และเพ ่มปรมาตร
ี่
ุ
16. ( Ent. 1/43 ) ข้อความเกี่ยวกับการเปลยนแปลงของสารที่อณหภูมห้อง ข้อใดผิด
ี
ู
ึ
ี
ก. แนพทาลนระเหดได้เพราะมแรงดงดดระหว่างโมเลกุลน้อย
ข. น ้าแข็งไม่ระเห ดเพราะโมเลกุลมีพันธะไฮโดรเจนระหว่างกัน
ค. ควันทีเก ดจากน ้าแข็งแห้งตั้งท ้งไว้ประกอบด้วยแก๊สคารบอนไดออกไซด์กับไอน ้า
์
่
็
ง. การเปลยนเปนไอของโลหะปรอทจัดอยู่ในประเภทการระเหด
ี่
93
17. ( Ent. 2/44 )
ุ
ี
18. ( Ent. 23 ) แก๊ส C H และ C H ที่หนักเท่ากัน น าไปบรรจุในขวดที่มปรมาตรและอณหภูมเท่ากัน พบว่า
2 6
2 2
ี
ก. ความดันในขวดที่บรรจุ C H มมากกว่าความดันในขวดที่บรรจุ C H
2 2
2 6
ข. แก๊สทั้งสองจะมจ านวนโมเลกุลเท่ากัน
ี
ี
ค. แก๊สทั้งสองมความดันเท่ากัน
ี
ง. ความดันในขวดที่บรรจุ C H มมากกว่าความดันในขวดที่บรรจุ C H
2 2
2 6
******** จบบทแล้วค่ะ **********