The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นายวัชราวุธ เพ็ชนแก่น เลขที่17ห้อง5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nuttiwphetkaen, 2022-03-04 22:17:38

นายวัชราวุธ เพ็ชนแก่น เลขที่17ห้อง5

นายวัชราวุธ เพ็ชนแก่น เลขที่17ห้อง5

1

2

เรือ่ ง

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ

จัดทำโดย

นายวัชราวุธ เพ็ชรแกน่ เลขที่ 17
646550089-4

เสนอ

อาจารย์ ดร.กฤษฎาพนั ธ์ พงษ์บริบรู ณ์
รายงานเล่มน้ีเปน็ ส่วนหนง่ึ ของวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง

การศกึ ษา หลักสูตรประกาศนยี บัตรบัณฑิตวิชาชีพครู รนุ่ ที่ 7/5
ภาคเรียนที่ 3 ปีการศกึ ษา 2565
วทิ ยาลยั บณั ฑิตเอเชยี



คำนำ

เอกสารประกอบการสอนเล่มนีเ้ ปน็ สว่ นหนึ่งของรายวชิ า 810105 นวตั กรรมและเทคโนโลยี
สารสนเทศทางการศึกษา ซึ่งในรายงานเล่มนี้ได้รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับการใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยี
สารสนเทศเพ่อื การเรียนรู้ ซ่งึ วตั ถุประสงคท์ ผี่ ูจ้ ัดทำไดจ้ ดั ทำเอกสารประกอบการเล่มนข้ี ึ้นมา เพ่ือท่ีจะ
ศึกษาการใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ รวมถึงการศึกษาปัญหาที่เกิดจากการ
ใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การเรียนรู้

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้นำไปศึกษาเพื่อเป็นความรู้
ต่อในการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ หากมี
ขอ้ ผิดพลาดประการใดหรอื ขอ้ มลู ไมส่ มบรู ณ์ผ้จู ดั ทำจึงขออภัยมา ณ โอกาสน้ี

ผู้จดั ทำ
นายวัชราวธุ เพช็ รแกน่
นกั ศกึ ษา ป.บัณฑติ รุน่ 7 ห้อง 5



สารบัญ หน้า
เรอื่ ง
1
หน่วยท่ี 1 นวตั กรรมทางการศกึ ษา
1
1.1 ประวตั คิ วามเป็นมา ความหมายนวัตกรรมทางการศกึ ษา 2
1.2.นวตั กรรมทางการศึกษา 3
1.3.ประเภทของนวัตกรรมการศกึ ษ 4
1.4.นวัตกรรมการศึกษา 6
1.5.คำนิยามของคำวา่ นวัตกรรมการศึกษา 13
1.6.ชนิดของบทเรยี นโปรแกร
21
1.7.นวัตกรรมการศึกษาประเทศไทยในปจั จบุ ัน
24
หนว่ ยท่ี 2 ความรู้เบื้องตน้ เกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 25
26
2.1 ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ 27
2.2 สาเหตุทที่ ำให้เกดิ สารสนเทศ 31
2.3 ความหมายของคำวา่ ข้อมูล 34
2.4 ความหมายของสารสนเทศ ( Information ) 35
2.5 หลักเกณฑ์การประเมนิ ผลลพั ธ์หรือผลผลิ 37
2.6 คณุ ลักษณะของสารสนเทศทดี่ ี 39
2.7 คุณภาพของสารสนเท 39
2.8 ความสำคญั ของสารสนเทศ 40
2.9 บทบาทของสารสนเทศ 41
2.10 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 43
2.11 เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ 45
2.12 เทคโนโลยีสอ่ื สารโทรคมนาคม 48
2.13 ความสำคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
2.14 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการใชช้ ีวติ ในสงั คมปัจจบุ ัน 54
54
หน่วยที่ 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรู้ 70
80
3.1 มาตรฐานการเรียนรู้ บทเรยี นท่ี 7 84
3.2 มาตรฐานการเรียนรู้ บทเรียนที่ 8 88
3.3 มาตรฐานการเรียนรู้ บทเรียนที่ 10
3.4 มาตรฐานการเรียนรู้ บทเรยี นที่ 11
3.5 มาตรฐานการเรยี นรู้ บทเรียนท่ี 12



สารบัญ (ตอ่ ) หนา้
เรือ่ ง
96
หนว่ ยท่ี 4 พฒั นาการและความเป็นมาของเทคโนโลยี 96
4.1 การอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการ 98
4.2 เทคโนโลยีท่ีช่วยพัฒนาการศึกษา 99
4.3 เทคโนโลยีจากเกม (Gamification) 99
4.4. การเรยี นรู้แบบไมโคร (Microlearning) 100
4.5 เทคโนโลยกี ารพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) 100
4.6. การเลา่ เรือ่ งผ่านส่ือดจิ ิทัล (Digital Storytelling) 101
4.7 การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 103
4.8 การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการศกึ ษาในปจั จุบนั 103
4.9. ปัญญาประดษิ ฐ์และระบบอตั โนมัติ 105
4.10. เทคโนโลยี R ทผ่ี สานโลกเสมอื นกับความเป็นจริงอยา่ งสมบรู ณ์ 106
4.11. เทคโนโลยี Blockchain เปลยี่ นแปลงโล 106
4.12. Brain-machine เทคโนโลยเี ชอื่ มโยงสมองมนุษย์เข้า AI

แบบทดสอบท้ายหนว่ ย
บรรณานุกรม

1

หน่วยท่ี 1
นวตั กรรมทางการศึกษา

1.1 ประวัตคิ วามเปน็ มา ความหมายนวตั กรรมทางการศึกษา

ความหมายของนวตั กรรม

นวตั กรรมหมายถงึ ความคดิ การปฏิบตั ิและการกระทำใหม่ ๆ ท่ีไม่เคยมีมาก่อนหรอื การ
พฒั นาดดั แปลงมาจากของเดิมท่ีมีอยแู่ ลว้ ให้ทนั สมยั และใช้ไดผ้ ลดยี งิ่ ข้ึน เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะชว่ ย
ให้การทำงานนั้นไดผ้ ลดีมีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลสูงกวา่ เดมิ

นวัตกรรม (Innovation) มรี ากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำส่ิงใหม่
ข้นึ มา ความหมายของนวตั กรรมในเชิงเศรษฐศาสตรค์ อื การนำแนวความคิดใหมห่ รือการใช้ประโยชน์
จากส่งิ ทมี่ ีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพ่ือทำให้เกดิ ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรอื ก็คือ การทำในส่งิ ท่ี
แตกตา่ งจากคนอืน่ โดยอาศยั การเปลย่ี นแปลงตา่ ง (Changs) ท่เี กิดขน้ึ รอบตัวเราใหก้ ลายมาเป็น
โอกาส ( Opportunity) และถา่ ยทอดไปสูแ่ นวความคิดใหม่ทที่ ำใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและสังคม

นวัตกรรมเปน็ ตวั แปรท่ีนำไปสกู่ ารเปล่ียนแปลงองคก์ รด้านต่าง ๆ ในเชงิ ธุรกจิ ได้แก่ ความ
อยู่รอด การเจริญเติบโต การสรา้ งความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขัน การสรา้ งโอกาสทางธรุ กิจใหมแ่ ละ
สมรรถนะหลัก ซึง่ นวตั กรรมไม่ใช่แคก่ ารพฒั นาสนิ ค้าใหม่ เท่าน้ัน แต่เกีย่ วข้องกับการลดต้นทุน การ
แสวงหาแนวทางการตอบสนองความต้องการของตลาด การยกระดับคุณภาพชีวิตและการสรา้ ง
คุณภาพเพ่มิ นวตั กรรมในยคุ แรก ๆ เกดิ จากการคิดค้นใหม่ทง้ั หมด แต่นวตั กรรมในยคุ ใหม่เกิดจากการ
พฒั นาให้ เป็นชนิ้ ใหม่ท่ีมีมลู ค่า และสามารถนำไปใช้ในเชงิ พาณชิ ย์ได้
1.2.นวตั กรรมทางการศกึ ษา คอื

นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาส่งิ ใหม่ซึ่ง
อาจจะอยใู่ นรปู ของความคดิ หรอื การกระทำ รวมท้งั ส่ิงประดษิ ฐก์ ต็ ามเข้ามาใช้ในระบบการศกึ ษา เพ่ือ
มงุ่ หวงั ทจ่ี ะเปล่ยี นแปลงสง่ิ ท่ีมีอยูเ่ ดมิ ใหร้ ะบบการจดั การศึกษามปี ระสทิ ธภิ าพย่ิงขน้ึ ทำให้ผู้เรียน
สามารถเกิดการเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งรวดเร็วเกิดแรงจงู ใจในการเรียน และช่วยให้ประหยดั เวลาในการเรียน

2

เชน่ การสอนโดยใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยสอน การใชว้ ดี ทิ ศั นเ์ ชิงโตต้ อบ(Interactive Video) สือ่ หลายมิติ
(Hypermedia) และอนิ เตอรเ์ น็ต เหล่านีเ้ ป็นต้น
องค์ประกอบของนวัตกรรม

1. เป็นสง่ิ ใหม่
2. เน้นใชค้ วามรู้ความคิดสร้างสรรค์
3. เปน็ ประโยชน์ ตอ้ งตอบไดว้ ่าสงิ่ ท่ีเราสร้างเปน็ อยา่ งไ
4. เปน็ ท่ยี อมรับ
5. มีโอกาสในการพัฒนา
นวตั กรรมมี 4 ประเภท
1. product innovation : การเปลยี่ นแปลงในผลติ ภัณฑ์หรอื บริการของ
2. Process innovation : การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือกระบวน การนำเสนอ
ผลิตภัณฑ์
3. Position innovation : การเปล่ยี นแปลงรปู แบบของสนิ คา้ หรอื บริการเป็นการเปลีย่ น
ตำแหน่งของผลติ ภณั ฑ์ โดยการสร้างการรบั ร้แู ละความเขา้ ใจในผลติ ภณั ฑต์ ่อลูกคา้
4. Paradigm innovation : การมุง่ ใหเ้ กดิ นวัตกรรมท่ีเปล่ยี นแปลงกรอบความคดิ
1.3.ประเภทของนวตั กรรมการศึกษา
นวัตกรรมทีน่ ำมาใช้ทงั้ ท่ีผ่านมาแล้ว และทจ่ี ะมใี นอนาคตมีหลายประเภทข้นึ อยู่กบั การ
ประยกุ ต์ใช้นวตั กรรมในด้าน ตา่ งๆ ซ่งึ จะขอแนะนำนวตั กรรมการศึกษา 5 ประเภทดังนี้

1. นวัตกรรมทางด้านหลกั สตู ร เปน็ การใชว้ ิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้
สอดคลอ้ งกับสภาพแวดล้อมในท้อง ถน่ิ และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากข้ึน เนื่องจาก
หลักสตู รจะต้องมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่เู สมอ เพื่อให้สอดคล้องกบั ความก้าวหน้าทางดา้ นเทคโนโลยี
เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศและของโลก นวัตกรรมทางดา้ นหลักสูตรได้แก่ การพัฒนาหลกั สตู ร
บรู ณาการ หลักสตู รรายบุคคล หลกั สตู รกจิ กรรมและประสบการณ์ และหลักสตู รท้องถ่ิน

2. นวัตกรรมการเรยี นการสอน เปน็ การใช้วิธรี ะบบในการปรับปรงุ และคิดค้นพัฒนาวิธี
สอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรยี นรายบุคคล การสอนแบบผ้เู รียนเปน็ ศนู ย์กลาง การเรยี น
แบบมสี ่วนร่วม การเรยี นร้แู บบแกป้ ญั หา การพฒั นาวธิ สี อนจำเปน็ ต้องอาศยั วิธกี ารและเทคโนโลยี
ใหม่ๆ เข้ามาจดั การและสนับสนุนการเรียนการสอน

3. นวัตกรรมสือ่ การสอน เนอ่ื งจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์
คอมพิวเตอร์เครือขา่ ยและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของ
เทคโนโลยเี หลา่ น้มี าใชใ้ นการผลิตสอื่ การ เรียนการสอนใหมๆ่ จำนวนมากมาย ทง้ั การเรียนด้วยตนเอง
การเรยี นเป็นกลุม่ และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนส่อื ทีใ่ ชเ้ พื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผา่ นเครือข่าย
คอมพวิ เตอร์

3

4. นวตั กรรมทางด้านการประเมนิ ผล เป็นนวตั กรรมทใ่ี ชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื เพื่อการวดั ผลและ
ประเมินผลได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ และทำไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ รวมไปถึงการวจิ ัยทางการศึกษา การวิจัย
สถาบนั ดว้ ยการประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวดั ผล ประเมินผลของสถานศึกษา
ครู อาจารย์

5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เปน็ การใชน้ วัตกรรมทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การใชส้ ารสนเทศมา
ช่วยในการบริหาร จดั การ เพ่ือการตัดสนิ ใจของผ้บู รหิ ารการศึกษา ให้มคี วามรวดเร็วทนั เหตุการณ์ ทัน
ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาทน่ี ำมาใชท้ างด้านการบรหิ ารจะเก่ียวข้องกบั ระบบ
การจัดการ ฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา
การจำแนกนวัตกรรมตามประเภทของผใู้ ช้

1. นวัตกรรมทเ่ี ป็นสอ่ื สำหรบั ผสู้ อน
2. นวัตกรรมที่เป็นสื่อสำหรับผู้เรียน
จำแนกตามลักษณะของนวตั กรรม
1. เทคนิควิธกี าร
2. ส่อื การเรยี นรู้
จำแนกตามจดุ เน้นของนวัตกรรม
1. นวัตกรรมการเรยี นรทู้ ี่เน้นผลผลติ
2. นวตั กรรมการจัดการเรียนรู้ทเ่ี น้นเทคนิค วิธกี าร และกระบวนการ
3. นวตั กรรมที่เนน้ ทั้งผลผลิต

4

1.4.นวัตกรรมการศกึ ษา
ความหมายของนวัตกรรม นวัตกรรม เป็นศัพท์บัญญัติทางการศึกษา ดังปรากฏหลักฐานใน

หนังสือประมวลศัพทบ์ ญั ญัติวิชา การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ หน้า ๙๕ คำที่ ๓๖๘ ใช้แทนคำ
Innovation ในภาษาองั กฤษ ซ่งึ มีรากศพั ท์มา จากภาษาลาตนิ ว่า Innovare แปลว่า to renew หรือ
to modify คำว่า นวัตกรรมมีรากศัพท์มาจาก นว + อตต (บาลี) = ใหม่ + กรรม (สันสกฤต) = การ
กระทำ การปฏิบัติความคิด หมายถึง ความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ที่ นำมาใช้แก้ปัญหาในการ
ปฏิบตั ิงานด้านตา่ งๆ (สมบูรณ์สงวนญาติ. ๒๕๓๔ : ๑๔)

นกั การศึกษาหลายท่านให้คำนยิ ามของคำว่า นวัตกรรม ดงั นี้
ทอมัส ฮวิ ช์ (Thomas Hughes, ๑๙๗๑) ไดใ้ หค้ วามหมาย "นวตั กรรม" ว่าเปน็ การนำวิธีการ
ใหม่ๆ มา ปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้นๆ แล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่
การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจมีการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot
project) แล้วจึงนำไปปฏิบตั จิ รงิ ซ่งึ แตกตา่ ง ไปจากการปฏบิ ัติเดิมทเี่ คยปฏิบตั มิ า
มอร์ตัน (J.A. Morton, ๑๙๗๓) ให้คำนิยามของคำว่า นวัตกรรมไว้ในหนังสือ Organizing
for Innovation ของเขาว่า นวัตกรรม หมายถงึ การทำให้ใหม่ข้ึนอีกครง้ั (Renewal) ซง่ึ หมายถึงการ
ปรับปรุงของเก่า และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้นๆ
นวัตกรรมไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่ง เก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนาเพ่ือ
ความอยรู่ อดของระบบ
ไมล์แมทธิว (Miles Matthew B. อ้างถึงใน ไชยยศ เรืองสุวรรณ. ๒๕๒๑ : ๑๔) ได้กล่าวถึง
นวัตกรรมไว้ใน เรื่อง Innovation in Education ว่า “นวัตกรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงแนวคิด
อยา่ งถ้วนถ่ี การเปลี่ยนแปลงให้ ใหม่ข้นึ เพื่อเพิ่มประสิทธภิ าพให้เปา้ หมายของระบบบรรลผุ ล”
โรเจอร์และชูเมคเกอร์ (Rogers and Shoemaker.๑๙๗๑: ๑๙) ให้ความหมายไว้ว่าเป็นการ
นำเอาวิธีการ ใหม่ๆ มาปฏิบัติซึ่งผ่านการทดลองและได้รับการพัฒนามาเป็นขั้นๆ ตั้งแต่การคิดค้น
(Invention) พัฒนาการ (Development) และทดลองในวงแคบ (Pilot Project) แล้วจึงนำมาใช้
ปฏิบตั ิจริงโดยการปฏิบตั ิจะแตกต่างจาก เดิม
โรเจอร์ส (Everette M. Rogers ๑๙๘๓ : ๑๑) ได้ให้ความหมายของคำว่า นวัตกรรม
(Innovation) ว่า นวัตกรรม คือ ความคิด การกระทำ หรือวัตถุใหม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ด้วย
ตัวบุคคลแต่ละคนหรือหน่วย อื่นๆ ของการยอมรับในสังคม (Innovation is a new idea, practice
or object, that is perceived as new by the individual or other unit of adoption)
กิดานันท์ มลิทอง (๒๕๔๓: ๒๕๕-๒๗๘) ให้ความหมายว่านวัตกรรมเป็นแนวความคิด การ
ปฏิบัตหิ รอื ส่งิ ประดิษฐใ์ หม่ๆ ทีย่ ังไมเ่ คยมีใครใช้มาก่อนหรือเปน็ การพัฒนาดัดแปลงจากของเดิม ท่ีมี
อยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ ได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิมทั้งยังช่วยประหยัด เวลา
และแรงงานอกี ดว้ ย ๔๖

5

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (๒๕๒๑: ๓-๔) ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ หลักการวธิ ีปฏบิ ัติและแนวคิดอย่าง
ใดอย่างหนึง่ ซงึ่ ไมถ่ ือว่าเป็นนวตั กรรมของประเทศหนง่ึ อาจจะเปน็ นวตั กรรมของประเทศอนื่ ก็ได้และ
ส่งิ ท่ถี อื ว่าเปน็ วัตกรรม แล้วในอดีต หากมีการใช้กันอย่างแพร่หลายแลว้ ก็ไม่ถือวา่ เป็นนวัตกรรมแต่สิ่ง
ทีใ่ ช้ไม่ได้ผลในอดตี หากมีการนำมา ปรบั ปรงุ ใชไ้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ สิง่ นน้ั ถอื ได้ว่าเป็นนวัตกรรม

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (๒๕๒๖: ๒๐) ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึงการปฏิบัติใหม่ๆ ที่แปลก
ไปจากเดิม โดยอาจปรับปรุงจากสิ่งเก่าเพื่อให้เหมาะสม หรือค้นพบสิ่งใหม่ ทั้งน้ีสิ่งนั้นๆ ได้รับการ
พฒั นาทดลองจนเชอื่ ถือไดว้ ่า ใหผ้ ลดีในทางปฏิบตั ทิ ำให้เกิดประสทิ ธิภาพตามเป้าหมาย

วสันต์ อติศัพท์ (๒๕๒๓: ๑๕) กล่าวไว้ว่า นวัตกรรม เป็นคำสมาสระหว่าง “นว” และ
“กรรม”ซึ่งมี ความหมายว่า ความคิดและการกระทำใหม่ๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่
ดีกว่า เช่น นวกรรมทาง การแพทย์ หมายถึงความคิดและการกระทำใหม่ๆ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง
ปรับปรุง ตลอดจนแก้ปัญหาทางการ แพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นวกรรมการศึกษา ก็หมายถึงความคิด
และการกระทำใหม่ๆ ทจี่ ะทำให้เกดิ การ เปลีย่ นแปลงเพอื่ จะแก้ปญั หาทเ่ี กดิ ขึน้ ในระบบการศึกษา

สวัสดิ์ บุษปาคม (๒๕๑๗: ๑) กลา่ วว่า นวตั กรรม หมายถึง การปฏิบัติหรอื กรรม วิธีที่นำ เอา
วธิ กี ารใหมม่ า ใช้ปรับปรงุ เปลีย่ นแปลงวธิ กี ารเดิมให้ดียง่ิ ข้นึ คอื ทำให้มีประสิทธิภาพสงู ขนึ้

เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ (๒๕๑๔: ๔) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึง การเลือกการจัดและการ
ใชท้ รัพยากรท้ัง บุคคลและวัสดุอยา่ งชาญฉลาดในวิถีทางใหม่ๆ ซ่งึ เป็นผลใหไ้ ดร้ บั ความสำเร็จท่ีสูงกว่า
และความสำเร็จนั้นเป็น ความสำเร็จในจุดประสงค์ที่วางไว้และหมายรวมถึงการนำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจ
เป็นความคิดวิธีการ ระบบความรู้หรือ เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงของที่มีอยู่เดิมให้
ผลดียิ่งขนึ้

โดยสรุป นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มา
ก่อนหรือเป็น การพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำ
นวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การ ทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย
ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

ความหมายของนวัตกรรมทางการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation)
หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การ ศึกษาและการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียน
สามารถเกิดการเรยี นรู้อย่างรวดเร็วมปี ระสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจใน การเรียนด้วยนวตั กรรม
การศึกษา และประหยัดเวลาใน การเรียนไดอ้ ีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศกึ ษา มากมาย
หลายอย่างซึ่งมีทั้งนวัตกรรม ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วและประเภททีก่ ำลังเผยแพร่ เช่น การเรียน
การ สอนทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction: CAI)

การใช้แผน่ วดี ิทัศน์เชิงโตต้ อบ (Interactive Video)
สอ่ื หลายมิติ (Hypermedia)
และอินเทอรเ์ นต็ (Internet) เปน็ ต้น

6

1.5. นกั การศกึ ษาหลายทา่ นใหค้ ำนยิ ามของคำว่า นวัตกรรมการศึกษา ดงั น้ี
ทิศนา แขมมณี (๒๕๒๖ : ๑๒) ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ

แนวคิดหรือ วิธีการใหม่ๆ ทางการศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างการ ทดลองที่จะจัดขึ้นมาอย่างมีระบบและ
กว้างขวางพอสมควร เพื่อ พิสูจน์ประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยอมรับนำไปใช้ในระบบการศึกษา
อย่างกว้างขวางต่อไป

ธำรง บัวศรี (๒๕๒๗ : ๔๔) ได้กล่าวว่า นวัตกรรมการศึกษาถูกสร้างขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหา
ทางการศึกษา ๔๗

บุญเกื้อ ควรหาเวช (๒๕๒๑ : ๑) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา คือความคิด
และการกระทำ ใหม่ๆ ในระบบการศึกษาที่ได้รับการพิสูจน์ว่าดีที่สุดในสภาพปัจจุบันเพื่อส่งเสริมให้
การเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้นึ

ประพนธ์ ผาสุขยืด (๒๕๔๗ : ออนไลน์) อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้ สถาบันส่งเสริม
การจดั การ ความรเู้ พอ่ื สังคม

(สคส.) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมทางการศึกษาว่า นวัตกรรม อาจมิได้หมายความว่าสิ่งใหม่ที่
เกิดขึ้น ในโลก แต่เป็นสิ่งที่แปลก ฉีกแนวจากที่นิยมทำกันอยู่อาจไม่ใช่ ประดิษฐ์กรรมใหม่หรือ
เทคโนโลยลี า้ สมยั แต่เป็น สิง่ ทีไ่ ดร้ ับการพัฒนาเปล่ยี นแปลงใหเ้ กดิ สงิ่ ใหม่และนวัตกรรมทางการศึกษา
เป็นการจดั การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่มี การบูรณาการกับความรู้ต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาท้ังการบริหาร
การศึกษา หลกั สูตร วิธีการจัดการเรยี นรู้

ลัดดา ศุขปรีดี (๒๕๒๓ : ๑๙) ได้ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง ความคิด
วิธีการใหม่ ๆ ทางการเรียนการสอน ซึ่งรวมไปถึงแนวคิด วิธีปฏิบัติที่เก่ามาจากที่อื่นและมีความ
เหมาะสมทจี่ ะนำมาใชใ้ นการ เรียนการสอนในปัจจุบัน

สาลี ทองธิว (๒๕๒๖ : ๓) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
เพื่อแก้ปัญหา ทางการศึกษาหรือเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ได้มาตรฐานคุณภาพ
เพิ่มขึ้น ผู้สร้างนวัตกรรมจะ คำนึงถึงว่านวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาจะต้องดีกว่าของเดิม คือจะต้องได้รับ
ประโยชน์มากกวา่ เดิมหรือมีความสะดวก มากขึ้นไมย่ ากต่อการใชต้ รงกบั ความตอ้ งการของผูใ้ ช้ โดย

สรุป "นวัตกรรมการศึกษา" คือ การนำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นความคิด วิธีการหรือการ
กระทำหรือ สิ่งประดิษฐ์ขึ้น ทั้งในส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่แต่
เดิมให้ดีขึ้นโดยอาศัย หลักการ ทฤษฎีที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจนเชื่อถือได้นำมาใช้บังเกิดผลเพิ่มพูน
ประสิทธิภาพตอ่ การเรียนรู้

ความสำคัญของนวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมมีความสำคัญต่อการศึกษาหลายประการ
ทั้งนี้เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ โลกมีการ เปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งความกา้ วหนา้ ท้ังด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ การศกึ ษา จงึ จำเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
จากระบบการศึกษาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีและสภาพสังคมท่ี

7

เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านศึกษาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ
เชน่ เดียวกนั การเปล่ียนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเก่ียวกับนวัตกรรการศึกษา
ที่จะนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทางการศึกษาในบางเรื่อง เช่น ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน จำนวนผู้เรียนท่ี
มากขึ้น การพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย การผลิตและพัฒนาสื่อใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการเรียนรู้
ของมนุษย์ให้เพิ่ม มากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การใช้นวัตกรรมมาประยุกต์ในระบบการบริหาร
จดั การด้าน การศกึ ษาก็มีสว่ นช่วย ให้การใชท้ รัพยากรการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่น เกิด
การเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง

กลา่ วโดยสรปุ นวัตกรรมการศึกษาเกิดข้ึนตามสาเหตุใหม่ๆ ดังต่อไปนี้
๑) การเพิ่มปริมาณของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้นัก เทคโนโลยกี ารศกึ ษาต้องหานวตั กรรมใหมๆ่ มาใชเ้ พือ่ ให้สามารถสอนนักเรยี นไดม้ ากขึ้น
๒) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเรียนการสอนจึงต้องตอบสนอง
การเรยี นการ สอนแบบใหม่ๆ ท่ีชว่ ยให้ผู้เรียนสามารถเรยี นร้ไู ดเ้ รว็ และเรยี นรูไ้ ด้มาก ในเวลาจำกัด นัก
เทคโนโลยกี ารศกึ ษาจงึ ต้องคน้ หานวัตกรรมมาประยุกต์ใชเ้ พือ่ วัตถุประสงค์น้ี
๓) การเรยี นร้ขู องผู้เรยี นมีแนวโน้มในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองมากขึ้น ตามแนวปรชั ญาสมัยใหม่
ที่ยึดผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง นวัตกรรมการศึกษาสามารถช่วยตอบสนองการเรียนรู้ตามอัตภาพ ตาม
ความสามารถของแต่ละคน เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI (Computer Assisted
instruction) การเรียนแบบศูนยก์ ารเรยี น
๔) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่ส่วนผลักดันให้มี
การใช้ นวัตกรรมการศึกษาเพ่ิมมากขึน้ เชน่ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ท าใหค้ อมพวิ เตอร์มีขนาดเล็กลง
แต่มีประสิทธภิ าพ สูงขึ้นมาก เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละอินเตอรเ์ น็ต ทำให้เกิดการสื่อสาร
ไร้พรมแดน นักเทคโนโลยี การศึกษาจึงคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการประยุกต์ใช้ระบบเครือข่าย
คอมพวิ เตอร์เปน็ ฐานในการเรยี นรูท้ เี่ รียกวา่ "Web-based Learning" ทำใหส้ ามารถเรยี นร้ใู นทุกที่ทุก
เวลาสำหรับทุกคน (Anywhere, Any time for Everyone) ถ้าหากผู้เรียนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้
หลกั การพ้นื ฐานของนวตั กรรมการศึกษา
ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๘) กลา่ วว่าความใหมม่ ใิ ช่เป็นคุณสมบัติประการเดยี วของนวตั กรรม ถ้า
เป็นเช่นนั้น ของทุกอย่างที่เข้ามาใหม่ๆ จะเป็นนวัตกรรมทั้งสิ้น นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านใด
จำเป็นตอ้ งมีคณุ สมบัติท่ีสำคญั ดงั นี้
๑. เปน็ สง่ิ ใหมซ่ งึ่ มคี วามหมายในหลายลกั ษณะดว้ ยกัน ไดแ้ ก่

๑.๑ เปน็ ส่ิงใหม่ทัง้ หมดหรือใหม่เพยี งบางสว่ น
๑.๒ เป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีการนำมาใช้ในที่นั้น กล่าวคือ เป็นสิ่งใหม่ในบริบทหนึ่ง แต่
อาจเป็นของเก่า ในอีกบริบทหนึ่ง ได้แก่ การนำสิ่งที่ใช้หรือปฏิบัติกันในสังคมหนึ่งมาปรับใช้ในอีก
สงั คมหนง่ึ นับเป็นนวตั กรรมใน สงั คมนนั้

8

๑.๓ เป็นสิ่งใหม่ในช่วงเวลาหนึง่ แต่อาจเป็นของเก่าในอีกช่วงเวลาหน่ึง อาทิเช่น อาจเป็น
สิ่งที่เคยปฏิบัติ มาแล้ว แต่ไม่ได้ผลเน่ืองจากขาดปัจจัยสนับสนุนต่อมาเม่ือปจั จัยและสถานการณ์นวย
จึงนำมาเผยแพรแ่ ละ ทดลองใชใ้ หม่ ถอื ว่าเปน็ นวัตกรรมได้

๒. เป็นสิ่งใหม่ที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทดสอบว่า จะใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใดใน
บรบิ ทนน้ั

๓. เป็นสิ่งใหม่ที่ได้รับการยอมรับนำไปใช้แต่ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานปกติหากการ
ยอมรับการ นำไปใช้น้นั ได้กลายเป็นการใช้อยา่ งปกติในระบบงานของทน่ี ่ันแล้ว ก็ไม่ถือเปน็ นวัตกรรม
อีกตอ่ ไป

๔. เป็นสิ่งใหม่ที่ได้รับการยอมรับน าไปใช้บ้างแล้วแต่ยังไม่แพร่หลาย คือยังไม่เป็นที่รู้จักกัน
อย่างกวา้ งขวาง การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กระบวนการพัฒนานวัตกรรมเป็นกระบวนการท่ี
ต้องใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของบุคลากรหลายๆ ฝ่ายในโรงเรียน ทั้งผู้บริหาร ครูและนักเรียน
รวมถึงชมุ ชน โดยใชก้ ระบวนการวจิ ยั ในการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ดงั นี้

(สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน. ๒๕๕๐ : ๑๒-๑๕) ๔๙
๑. ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ สำรวจ วิเคราะห์สภาพปัญหา จุดเด่น จุดด้อยและ
ความต้องการ ในการพัฒนาการบริหารจัดการ การจัดการเรียนการสอนและคุณธรรมจริยธรรมของ
นักเรยี น
๒. ออกแบบนวัตกรรม นวัตกรรมการศึกษาที่มักได้รับความสนใจและยอมรับน าไปใช้อย่าง
กวา้ งขวาง โดยทัว่ ไปมีลักษณะดงั น้ี

๒.๑ คิดจินตนาการ สร้างฝันในสิ่งที่คาดหวังที่จะน ามาใช้ในการพัฒนาหรือแก้ไข
ปรบั ปรุงตามสภาพ ปัญหาและความตอ้ งการ

๒.๒ จัดล าดับความคิดสรุปว่าจะทำ อะไรทำ อย่างไร ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนา
หรือแกไ้ ข ปรับปรงุ ได้ตรงตามสภาพปัญหาและความตอ้ งการ

๒.๓ แสวงหา และรวบรวมความรู้เพื่อสนับสนุนในสิ่งที่คิด และกำหนดขั้นตอนการ
พฒั นานวตั กรรม

๓. สรา้ งหรือพัฒนานวตั กรรม
๓.๑ จัดเตรียมทรัพยากร วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จ าเป็นและจัดหางบประมาณในการ

พฒั นา นวตั กรรม
๓.๒ ดำเนนิ การสรา้ ง / พัฒนานวัตกรรม ตามข้นั ตอนทก่ี ำหนด
๓.๓ ตรวจสอบนวัตกรรมท่สี รา้ งหรอื พัฒนาในแตล่ ะขั้นตอน
๓.๔ สังเคราะห์ผลการตรวจสอบและปรบั ปรงุ นวัตกรรมที่สร้าง / พฒั นา
๓.๕ กำหนดเกณฑ์การประเมนิ คณุ คา่ ความเป็นนวัตกรรม

9

๔. ทดลองใช้
๔.๑ สรา้ งเครือ่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผลการทดลองใช้
๔.๒ นำนวัตกรรมไปทดลองใช้ (Try Out)
๔.๓ ประเมนิ ผลการทดลองใชแ้ ละปรบั ปรงุ นวตั กรรม

๕. สรุป รายงาน และเผยแพร่
๕.๑ สรปุ รายงานผลการสร้าง / พฒั นานวัตกรรม
๕.๒ เผยแพร่นวัตกรรม ระดับการยอมรับนวัตกรรม ขั้นตอนการยอมรับนวัตกรรม

(Adoption Process) ในการแพร่กระจายนวัตกรรมไปสู่สังคมนั้น นวัตกรรมจะถูกนำไปใช้หรือ
ยอมรับโดยบุคคล

Rogers (๑๙๗๑ : ๑๐๐) ได้สรุปทฤษฎีและรายงานการวิจัย เกี่ยวกับขั้นตอนการยอมรับ
นวัตกรรม ๕ ขั้นตอน ดงั นี้ คือ

๑. ข้ันตื่นตัวหรือรับทราบ (awareness) เป็นขั้นแรกที่บุคคลรับรู้ว่ามีความคิดใหม่ สิ่งใหม่
หรอื วิธีปฏบิ ัติ ใหม่ๆ เกิดข้ึนแลว้ นวตั กรรมมอี ยูจ่ ริงแต่ยังไมม่ ีขอ้ มูลรายละเอียดของสิง่ น้นั อยู่

๒. ขั้นสนใจ (interest) เป็นขั้นทีบ่ คุ คลจะรู้สกึ สนใจในนวัตกรรมน้ันทันทีที่เขาเหน็ ว่าตรงกบั
ปัญหาที่เขา ประสบอยู่หรือตรงกับความสนใจ และจะเริ่มหาข้อเท็จจริงและข่าวสารมากข้ึน โดยอาจ
สอบถามจากเพื่อนซึ่งได้ เคยทดลองทำมาแล้วหรือเสาะหาความรู้จากผู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมน้ัน
เพ่อื สนองตอบความอยากรขู้ องตนเอง

๓. ขั้นประเมินผล (evaluation) ในขั้นตอนนี้บุคคลจะพิจารณาว่า นวัตกรรมนั้นจะมีความ
เหมาะสมกับ เขาหรือไม่จะให้ผลคุ้มค่าเพียงใด หลังจากที่ได้ศึกษานวัตกรรมนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
นวัตกรรมน้ันมคี วามยากและ ข้อจากดั สำหรับเขาเพียงใด และจะปรับให้เขา้ กบั สถานการณ์ได้อย่างไร
แลว้ จึงตัดสินใจว่าจะทดลองใช้ความคดิ ใหม่ๆ น้ันหรอื ไม่

๔. ขั้นทดลอง (trail) เป็นขั้นตอนที่บุคคลได้ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วและตัดสินใจที่จะ
ทดลองปฏิบัติตาม ความคิดใหม่ๆ ซึ่งอาจทดลองเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด การทดลองปฏิบัตินี้เป็น
เพยี งการยอมรับนวัตกรรม ชว่ั คราว เพื่อดผู ลว่าควรจะตัดสนิ ใจยอมรับโดยถาวรหรือไม่

๕. ขั้นยอมรับปฏิบัติ (adoption) ถ้าการทดลองของบุคคลได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ก็จะยอมรับ
ความคิดใหม่ๆ อย่างเต็มที่และขยายการปฏิบัติออกไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนวัตกรรมน้ัน
กลายเป็นวิธีการที่เขายึดถือ ปฏิบัติโดยถาวรต่อไป ซึ่งถือเป็นขั้นสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมอย่างถาวร กระบวนการยอมรบั ทงั้ ๕ ข้ันนี้

Rogers และ Shoemake ช้ีให้เห็นวา่ ยงั มีข้อบกพร่องอยใู่ นบางประการ คอื
๑. กระบวนการยอมรับ เป็นกระบวนการที่อธิบายเฉพาะในด้านบวก (Positive) เท่านั้น ซ่ึง
ความจริงแลว้ ในข้นั สดุ ทา้ ยของกระบวนการเกษตรกรอาจจะไม่ยอมรับก็ได้หากได้ทดลองปฏิบัติแล้ว
ไม่ไดผ้ ลหรือไมไ่ ดผ้ ลคมุ้ ค่า กับการลงทุน

10

๒. กระบวนการยอมรับทั้ง ๕ ขั้นนี้ในความเป็นจริงแล้วอาจเกิดไม่ครบทุกขั้นตอนหรือบาง
ขนั้ ตอนอาจ เกดิ ข้ึนทุกระยะ เช่น ขน้ั ทดลองอาจจะไมเ่ กิดขน้ึ เลย หรือข้ันประเมินผลอาจเกิดข้ึนได้ทุก
ระยะก็ได้

๓. ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการยอมรับปฏิบัติทั้ง ๕ ขั้นนี้ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมที่ถาวร ทีเดียว แต่เขาจะหาสิ่งอื่นๆ หรือบุคคลยืนยันความคิดของเขา และถ้าหากว่าไม่ได้
รบั การยืนยันวา่ สิ่งที่เขารบั ปฏิบัติ ตามแนวคิดใหมน่ ี้ถูกต้อง เขากอ็ าจจะเลิกล้มไม่ยอมรับความคิดน้ัน
กไ็ ด้

Rogers’s และ Shoemaker จึงได้เสนอโครงสร้างใหม่ เรียกว่า กระบวนการตัดสินใจ
นวัตกรรม (Innovation decision process) ซ่ึงประกอบไปด้วย ๔ ขนั้ ตอน คอื

๑. ขั้นความรู้ (knowledge) เป็นขั้นตอนที่รับทราบวา่ มีนวัตกรรมเกิดขึน้ และหาข่าวสารจน
เขา้ ใจใน นวัตกรรมนน้ั ๆ

๒. ขั้นชักชวน (persuasion) เป็นขั้นตอนที่เกษตรกรมีทัศนคติต่อสิ่งใหม่ๆ ในทางที่เห็นด้วย
หรือไมเ่ หน็ ดว้ ยตอ่ "นวัตกรรม" นนั้ ๆ

๓. ขั้นตัดสินใจ (decision) เป็นขั้นที่เกษตรกรสนใจเข้าร่วมกิจกรรมที่นำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แล้ว และตัดสินใจวา่ จะรับนวัตกรรมน้ันหรอื ไม่แตก่ ารตัดสินใจน้ันยังไม่ถาวร
อาจมกี ารเปลี่ยนแปลงได้ภายหลงั

๔. ขั้นยืนยัน (confirmation) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ ซึ่งเป็นการหาข้อมูลมา
สนับสนุนการ ตัดสินใจของเขา อาจมีระยะเวลายาวนาน จนกระทั่งยอมรับแนวความคิดใหม่ๆ ไป
ปฏบิ ัตเิ ป็นการถาวรจริงๆ นวัตกรรมการศกึ ษาไทย

จันทร์เพ็ญ เชื้อพานิช (๒๕๔๙) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมการศึกษาไทยว่า นวัตกรรมการศึกษา
ส่วนมากเกิดขึ้น ในประเทศที่มีความเจริญมากๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและหลายๆ ประเทศในยุโรป
สำหรับการศึกษาไทยมีการนำ นวัตกรรมของต่างประเทศมาใช้อยู่เสมอโดยเฉพาะนวัตกรรมทาง
ทฤษฎกี ารเรียนรู้และแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนรวมท้ังนวัตกรรมด้าน IT ในขณะเดียวกันกับ
นักการศกึ ษาไทยกไ็ ด้พฒั นานวัตกรรมการเรยี นการสอนของ ไทยขึน้ เอง

ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมเชิงทฤษฎีหรือแนวคิดสำคัญทางการศึกษา รวมทั้งนวัตกรรมด้านการเรียน
การสอนทีม่ ี

ทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้ หรือแนวคิดทางการศึกษาของต่างประเทศเป็นพื้นฐาน
นวตั กรรมการศึกษาที่ พัฒนาขนึ้ ในประเทศไทยต้ังแต่ พ.ศ.๒๕๑๓ ถงึ ปัจจบุ นั โดยคนไทยและกล่าวได้
อยา่ งภมู ิใจว่าเปน็ นวัตกรรม การศกึ ษาไทยน้นั มหี ลายลักษณะและมีมาเป็นระยะนวัตกรรมการศึกษา
ที่เกิดขึ้นเวลาใดก็เป็นนวัตกรรมใน ช่วงเวลานั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไปความใหม่ของสิ่งนั้นก็หมดไป
แตย่ งั คงไวซ้ ึง่ ประโยชน์และความภูมใิ จ มีผูน้ ำไปใช้ หรือประยกุ ต์ใช้อย่างกวา้ งขวางในขณะน้ันหรือใช้
สบื เนื่องกนั มา ตวั อย่างเชน่

11

๑. คดิ เปน็ (KHIT-PEN) เปน็ นวตั กรรมเชงิ ทฤษฎีซงึ่ โกวิท วรพพิ ฒั น์ไดค้ ิดและนำเสนอในการ
ประชุมที่ นิวเดลีประเทศอินเดียเมื่อพ.ศ.๒๕๑๓ แนวคิดการคิดเป็นเน้นที่กระบวนการคิดที่บุคคลจะ
ทำให้ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันอย่างราบรื่นเพื่อให้เกิดความสุขที่เป็นยอด
ปรารถนาของมนุษย์การคิดเป็น เป็น การคิดเพื่อแก้ปัญหาโดยคิดพิจารณาแก้ปัญหาจากข้อมูล ๓
ด้าน คือ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลด้านชุมชนสังคม สิ่งแวดล้อมและข้อมูลทางวิชาการ โดย
พจิ ารณาข้อมูลและคิดไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบก่อนตดั สนิ ใจแก้ปัญหา

แนวคิดเรื่องการคิดเป็นนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) ได้ให้ ความสำคญั และบัญญตั ิศพั ท์นไ้ี ว้ในสาระบบ โดยใช้ค วา่ KHITPEN

๒. เพลิน (PLEARN) เป็นนวัตกรรมในเชิงหลักการและแนวคิดด้านหลักสูตรการเรียนการ
สอนที่ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้นำเสนอไว้ PLEARN มีความหมายมาจากคำว่า Play + Learn คือ
เรยี น + เลน่ หรอื เรยี นเลน่ PLEARN เปน็ แนวคิดทง้ั ทางดา้ นหลักสูตรและกระบวนการเรยี นการสอน
ทเี่ นน้ ให้ผู้เรยี นได้มโี อกาสเล่นในสิ่งท่ี กำลงั เรียน ไดเ้ พลิดเพลนิ ในการเรียน ซง่ึ เจ้าของแนวคิดใช้คำว่า
“เรียนเล่นๆ แต่เล่นจริงๆ” ทั้งนี้ผู้สอนต้องยึดหลัก สายกลางระหว่างการเรียนกับการเล่น การเรียน
อย่างเดียว ผู้เรียนอาจเกิดความทุกข์ความเบื่อ เล่นอย่างเดียว ไม่ เรียนรู้อะไรเลยก็เป็นเรื่องไร้สาระ
จนเกินไป เพลินเป็นกระบวนการ (Planning Process) สายกลาง ที่ผู้สอนต้อง เข้าใจและต้องคิด
อย่างสร้างสรรค์ผู้สอนและผู้เรียนต้องช่วยกันคิด โดยผู้สอนอาจแนะแนวทางการเล่นเรียนที่มี
เปา้ หมายร่วมกันทง้ั สองฝ่ายและต้องมีประเดน็ ทจ่ี ะได้เรียนร้ชู ดั เจน รู้ว่ากำลงั เพลินอยกู่ บั อะไร

เพลินเป็น นวัตกรรมทางความคิดที่ส่งเสริมให้มีการเล่นเพื่อการเรียนรู้ การเผยแพร่
นวัตกรรมการศึกษา

สาลี ทองธิว (๒๕๔๕) กล่าวว่า ปัจจุบันการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษาและการ
เผยแพร่ นวัตกรรมทางการศึกษาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาและ
สรา้ งนวัตกรรมทาง การศึกษา ไม่ว่าจะเปน็ นวัตกรรมทางการสอน อาทิเชน่ การสอนท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็น
สำคัญ การสอนแบบบรู ณาการ การสอนแบบเน้นชุมชนเป็นห้องเรียนและการสอนแบบเพลิน เป็นต้น
นวัตกรรมหลักสูตร เช่น หลักสูตรท้องถิ่น หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรแบบโมดูล และหลักสูตร
แบบ e-Leaning เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมด้าน การบริหาร ด้านการวัดและประเมินผล ด้าน
สื่อการเรียนการสอน ตลอดจนนวัตกรรมด้านแนวคิดและปรัชญาทาง การศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก
การเปลย่ี นแปลงทางการศึกษาทก่ี ระทบต่อสถานศกึ ษาน้นั ม๕ี ประการคือ

๑. การเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายทางสังคมที่โรงเรียนมีหน้าที่จะต้องสนองตอบ ซึ่งการ
สนองตอบของ โรงเรียนน้ันท าโดยการเปล่ยี นแปลงหลักสูตร ทั้งในแง่จุดมุ่งหายของการผลิตนักเรียน
และในแงข่ องเนื้อหาทบี่ รรจุ ลงในหลกั สตู ร

๒. การเปลี่ยนแปลงกระบวนการสอน การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลเนื่องมาจากการต้นพบ
ทฤษฎใี หม่ๆ เก่ียวกบั การเรียนรขู้ องมนษุ ย์

12

๓. การเปลย่ี นแปลงในสถาบันฝึกหัดครูผลผลติ จากสถาบันฝึกหัดครจู ะมีคุณภาพแค่ไหนและ
มีคุณภาพ อะไรบา้ งนน้ั ส่วนหน่งึ เปน็ ผลมาจาการจดั หลกั สูตรและเน้ือหาวิชาในสถาบนั ฝึกหัดครูซึ่งจะ
เป็นก าลงั สำคัญในการ เตรียมครใู ห้สนองตอบความต้องการและการเปลย่ี นแปลงทางสงั คม

๔. การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ บริบททางสังคมในโรงเรียนและปรัชญาทาง
การศกึ ษา

๕. การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอนเทคโนโลยีทำให้โฉมหน้าของ
การศกึ ษา เปล่ยี นไปจากเดิม ซงึ่ หมายถึงการเปลย่ี นแปลงบทบาทหนา้ ท่ีของครูและนักเรียนตลอดจน
บุคลากรอื่นๆ ทั้งในและ นอกสถานศึกษาด้วยนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งในวง
การศึกษา

นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ท่กี ลา่ วถึงกนั มากในปจั จุบนั บทเรยี นโปรแกรม(Programmed
Lesson) หมายถึง การจัดระบบการเรียนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนประกอบกิจกรรมการเรียน
ด้วยตนเองตามเนื้อหาซึ่งจัดไว้เป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ผู้เรียนมีโอกาสประเมินผลการ เรียนรู้ด้วยตนเอง
ด้วยการดูจากผลสะท้อนกลับอยู่เสมอและบางครั้งก็อาจจะได้รับความรู้เพิ่มเติมในเนื้อหาที่ นักเรียน
ยังมีความรไู้ ม่ดีพอ ผู้เรียนจะเลือกเรยี นได้ตาม ความสนใจ และกา้ วไปตามความสามารถของแต่ละคน

(รศ.ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์) ทิศนา แขมณี (๒๕๕๒: ๑๐๑-๑๐๔) วิธีสอนสู่ครูมืออาชีพ ให้
ความหมายบทเรียนโปรแกรม คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม
วตั ถปุ ระสงค์ท่ี กำหนด โดยให้ผู้เรียนศึกษาจากบทเรียน สำเร็จรปู ดว้ ยตนเอง (เนือ้ หาถกู แบ่งออกเป็น
หน่วยย่อย เพื่อให้ง่ายแก่การเรียนรู้และผู้เรยี นสามารถตอบสนองตอ่ สิ่งที่เรียน ตรวจสอบการเรยี นรู้
ของตนเองได้(Immediate Feedback) ว่าผิดหรือถูก ผู้เรียนสามารถใช้เวลาใน การเรียนรู้มากน้อย
ตามความสามารถ และสามารถตรวจสอบผลการเรียนรูข้ องได้ด้วยตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์ มุ่งเน้น
ให้ผู้เรียนรายบุคคลได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถ ความต้องการและความสนใจของตนเอง
หลกั การของบทเรียนโปรแกรม

๑. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างกระฉับกระเฉง (Active Participation) การท่ี
นกั เรยี นได้มีสว่ นร่วม ในกจิ กรรมย่ิงมาก ย่ิงส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการเรียนรู้มากขึ้น

๒. ให้ทราบผลการเรียนของตนเองอย่างทันทีทันใด (Immediate Feed Back) เป็นการให้
ขอ้ มูลย้อนกลับ แกผ่ ู้เรียนทนั ที วา่ สง่ิ ท่ีผเู้ รียนท านน้ั ถกู หรือผิด

๓. ประสบการณ์แห่งความสำเร็จ (Success Experience) เมอ่ื เรียนจบแตล่ ะขนั้ ตอนที่สำคัญ
ครูควรให้ การเสริมแรง (Reinforcement) แก่ผู้เรียนเพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้สึกภูมิใจ
และต้องการเรียนตอ่ ไป

๔. การให้เนือ้ หาทีละนอ้ ย (Gradual Approximation) เป็นการจดั ล าดับขน้ั ตอนของเน้ือหา
ให้เหมาะสม กับความสามารถของผเู้ รียน

๕ ลกั ษณะของบทเรยี นโปรแกรม

13

๑. แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่า กรอบ แต่ละกรอบมีคำอธิบายและคำถาม
ให้ผู้เรียนได้ตอบ และเรียงลำดับเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้เรียนตอบเสร็จในแต่ละกรอบจะทราบผล
ทนั ที การเรยี นดำเนินไปทลี ะ ขน้ั มีกรอบสำหรบั ฝึกหดั ทบทวน และทดสอบใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจย่ิงขึน้

๒. การเรียนไม่จำกัดเวลา ผู้เรียนเรียนได้ตามความสามารถของตนเอง นอกจากนี้
บทเรียนโปรแกรม จะต้องมีการวางวัตถุประสงค์ไว้อย่างชัดเจน ระบุการกระทำที่สังเกตได้สามารถ
วดั ผลไดอ้ ย่างแมน่ ยำ และก่อนท่ีจะ นำบทเรียนโปรแกรมมาใช้ได้ จะต้องผ่านการทดลองใช้และแก้ไข
ปรับปรุงสว่ นทเี่ ปน็ ปัญหา จนได้ประสิทธภิ าพ ตามเกณฑ์ท่ีได้ต้งั ไว้และลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
จะคอ่ ย ๆ เพม่ิ พนู ประสบการณ์การเรียนรูเ้ พม่ิ ขึ้นเร่ือย ๆ ตามลำดบั ทผี่ ู้สรา้ งได้กำหนดเอาไว้
1.6.ชนดิ ของบทเรยี นโปรแกรม

๑. บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง (Linear Programmed ) ลักษณะบทเรียนจะเรียง
ตามลำดับของกรอบ ออกเป็นชั้น ๆ จากง่ายไปหายาก ให้ผู้เรียนค่อย ๆ เรียนจากสิ่งที่ง่ายไปสู่ที่ยาก
จากสิ่งที่รู้แล้วไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ จาก กรอบที่ ๑ไปสู่กรอบที่ ๒ ที่ ๓ ไปเรื่อย ๆ โดยมีข้อแม้ว่า ก่อนที่จะ
เรียนในกรอบที่ ๒ นั้นผู้เรียนต้องตอบคำถามใน กรอบที่ ๑ ให้ถูกต้องเสียก่อน จึงจะเรียนในกรอบที่
๒ ได้ ในกรอบถัดไปก็เช่นกัน จะข้ามกรอบใดกรอบหนึ่งไม่ได้ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจในสิ่งแรกที่เป็น
พื้นฐานก่อน กา้ วไปส่คู วามรใู้ หม่

๒. บทเรียนโปรแกรมแบบสาขา ( Branching Programmed) บทเรียนจะแตกต่างจากแบบ
แรก คือการ เรียนจะไม่ดำเนินตามลำดับ ผู้เรียนอาจย้อนไปมาในหน่วยย่อยต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของผู้เรียนเอง หากผู้เรียนตอบคำถามไม่ถูกต้อง อาจสั่งให้ผู้เรียนกลับไปเรียนใน
ขอ้ ความย่อย ๆ อืน่ เพมิ่ เติม ในขอ้ ความย่อยนนั้ จะมีคำช้แี จงวา่ คำตอบของผูเ้ รยี นไม่ถูกต้องน้ันเพราะ
อะไร และมีคำขยายความให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ลักษณะคำถาม นิยมเป็นแบบเลือกตอบซึ่งบทเรียน
โปรแกรมแบบสาขา เหมาะสำหรับห้องเรียนที่ผู้เรียนมีความสามารถในการรับรู้ หรือประสบการณ์
เดิมแตกต่างกัน ผู้ที่เรียนเร็วสามารถเรยี นโดยใช้เวลาไม่มากนัก และควรมีกิจกรรมเสริมหรือ เนื้อหา
อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่สำหรับผู้ที่เรียนช้า หรือประสบการณ์เดิมน้อย ต้องเรียนซ่อมเสริมอีกเพื่อให้
เรียนรู้ได้ ทันกับผู้ที่เรียนเร็ว แต่อาจใช้เวลา มากกว่า จะเห็นได้ว่าบทเรียนโปรแกรมสามารถเพ่ิม
ประสิทธิภาพการเรยี นรู้ ให้กับผู้เรียนอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้สร้างบทเรียน
ต้องฝึกฝน ค้นคว้า และหารูปแบบ ของบทเรียนโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ และน่าสนใจ ได้มาก
เพยี งใด

ข้อจำกดั ของบทเรียนโปรแกรม
๑. บทเรียนโปรแกรมเหมาะสำหรับเนื้อหาที่เป็นความจริง หรือความรู้พื้นฐานมากกว่า

เน้ือหาท่ตี ้องการ ความคดิ เห็นและความคดิ รเิ ริ่ม หรอื มคี วามลึกซึ้งมาก ๆ
๒. มสี ่วนทำให้ผู้เรยี นขาดทักษะในการเขียนหนังสือ เพราะผเู้ รยี นจะเขียนเฉพาะค าตอบ

เปน็ บางค าเท่าน้ัน

14

๓. ผเู้ รียนขาดการสงั คมติดตอ่ ซง่ึ กันและกนั
๔. ภาษาท่ใี ชอ้ าจเปน็ ปญั หา สำหรับในบางทอ้ งถ่ิน
๕. มีสว่ นทำใหเ้ ดก็ ท่เี รียนเก่งเบอื่ หน่าย โดยเฉพาะบทเรียนโปรแกรมแบบเชิงเส้น
๖. บทเรียนโปรแกรมแบบสาขา เขียนให้ดีค่อนข้างยาก การจัดการเรียนการสอนผ่าน
เครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ เทคโนโลยใี หมล่ า่ สดุ ในวงการคอมพวิ เตอรใ์ นปจั จบุ ันท่ีมผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลง
ชวี ิตประจำ วนั ของ ชาวโลกคือ เทคโนโลยอี ินเทอรเ์ นต็ ซง่ึ เกิดจากการเชื่อมโยงเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์
ต่างๆ ใน โลกเข้าด้วยกัน ภายใต้ กฎเกณฑ์การต่อเชื่อม (Protocol) อย่างเดียวกันที่เรียกว่า TCP/IP
อินเทอร์เน็ตเป็นปรากฏการณ์ของคำว่า "โลกาภิวัฒน์" (Globalization) ที่เป็นรูปธรรม โลกทั้งโลก
สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ไม่ว่าจะเพ่ือวัตถุประสงค์ใด ในทางการศึกษา อินเทอร์เน็ตเป็นการเปิด
กว้างของการให้โอกาสในการศึกษาหาความรู้อย่างไม่เคยมีมาก่อน และ เป็นการเปิดโอกาสที่ให้เกิด
ความเท่าเทียมสำหรับทุกคนที่สามารถจะเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ลองนึกถึง ความจริงที่ว่า
เด็กไทยที่ อยู่บนดอยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็สามารถหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตได้เท่าเทียมกันกับ
เด็กอเมริกัน ที่นิวยอร์ค และเท่ากับเด็กญีป่ ุ่นที่โตเกียว อินเทอร์เนต็ เป็นแหลง่ สะสมความรู้หรือทีบ่ าง
คนเรียกว่า "ขุมทรัพย์ความรู้" เพราะในบรรดาคอมพิวเตอร์ ที่ต่อเชื่อมอยู่กับอินเทอร์เน็ตนั้นต่างก็มี
ข้อมูลสะสมไว้มากมาย และวิธีให้บริการบนอินเทอรเ์ น็ตก็ท าให้ผู้ใช้สามารถ เข้าถึงข้อมูลเหลา่ นัน้ ได้
อย่างง่ายดาย ถ้าเจ้าของข้อมูลยอมเปิดให้เป็นข้อมูลสาธารณะ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ข้อมูล บน
อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเป็นข้อมูลที่ไม่มีการกลั่นกรอง ไม่มีการรับรองความถูกต้อง ผู้ที่ต้องการใช้
ข้อมูลจะต้อง ใช้วิจารณญาณในการเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และนำมาใช้เฉพาะข้อมูลที่เป็น
ประโยชน์เท่านั้น อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นคือ การเรียนรู้ที่จะแยกแยะและ
กลั่นกรองข้อมูลเพื่อน าข้อมูลมาเรียบเรียงและ จัดระบบขึ้นเป็นความรู้ ขณะนี้มีงานวิจัยซ่ึงพยายาม
สร้างกระบวนการอัตโนมัติ (โดยใช้คอมพิวเตอร์) ของการ ค้นหาข้อมูล (จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต)
และนำมาเรียบเรยี งข้ึนเป็นความรู้ตามกฎเกณฑท์ ีผ่ ู้ใช้สามารถระบุได้ ศาสตร์ใหม่แขนงนีม้ ีชื่อเรียกว่า
วิศวกรรมความรู้ (Knowledge Engineering) ซึ่งมีการบริการ World Wide Web (WWW.) เป็น
วิธกี ารให้บริการขอ้ มลู แบบหน่ึงบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ เปน็ วิธี การท่พี ัฒนาขึ้นมาเพ่ือความ สะดวก
ต่อผู้ใช้ โดยอาศัยสมรรถนะที่สูงขึ้นมากของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ Web (WWW.) ใช้กฎเกณฑ์การ
รับสง่ ขอ้ มลู แบบ Hypertext Transfer Protocol (http) ซึง่ มีจุดเด่นท่ี สำคญั อยู่ ๒ ประการคอื
๑. สามารถทำการเชื่อมโยงและเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาปรากฏได้ โดยวิธีการที่เรีย
กว่า Hyperlink
๒. สามารถจดั การข้อมูลได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ขอ้ ความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวเสียง
และวิดทิ ศั น์ เป็นต้น

15

อิเลิร์นนิ่ง (E-learning) ความหมาย e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบ
ใหม่ ที่ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาห
จรัสแสง ให้คำนิยาม E-Learning หรือ Electronic Learning ว่า หมายถึง "การเรียนผ่านทางสื่อ
อิเลคทรอนิกส์ ซึ่งใช้การ นำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ ในรูปของสื่อมัลติมีเดียได้แก่ ข้อความ
อเิ ลคทรอนกิ ส์ ภาพนิง่ ภาพกราฟิก วิดีโอ ภาพเคล่ือนไหว ภาพสามมิตฯิ ลฯ" เช่นเดยี วกับ

คุณธิดาทิตย์ จันคนา ที่ให้ความ หมายของ e-learning ว่าหมายถึงการศึกษาที่เรียนรู้ผ่าน
เครือข่าย อินเตอร์เน็ตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎี
แห่งการเรยี นรสู้ อง ๕ ประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผเู้ รียนเองและการตอบสนองใน
ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล (เวลา ท่แี ต่ละบคุ คลใชใ้ นการเรยี นร้)ู

การเรียนจะกระทำผ่านสื่อบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้
ผู้เรียนได้ ทำการศึกษาผ่านบริการ World Wide Web หรือเว็ปไซด์ โดยอาจใหม้ ีปฏิสัมพนั ธ์ (สนทนา
โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะที่มีการ เรียนรู้ ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับ
ผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคน กับกลุ่มของผูเ้ รยี น ปฏิสัมพันธ์น้ีสามารถ กระทำผ่านเครื่องมอื
สองลกั ษณะคือ

๑) แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสาร
กัน หรือ สง่ ในลกั ษณะของเสียง จากบรกิ ารของ Chat room ๒) แบบ Non real-time ได้แกก่ ารส่ง
ข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเล็กทรอนิกเมลล์ Web Board News-group เป็นต้น การศึกษา
ทางไกล (Distance Learning) การศึกษาทางไกลเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้ใฝ่รู้และใฝ่
เรียนที่ไม่สามารถสละเวลาไปรบั การศึกษาจากระบบการศึกษาปกติได้เนื่องจากภาระทางหน้าที่การ
งานหรือทางครอบครัว และเป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้ที่ต้องการเพิ่มพูนหรือปรับปรุงความรู้ที่มีอยู่ให้
ทันสมยั เพอื่ ประโยชน์ในการทำงาน

ความหมายของการศึกษาทางไกล (Distance Education) การศึกษาทางไกล (Distance
Education) หมายถึง ระบบการศึกษาท่ีผูเ้ รียนและผู้สอนอยู่ไกลกันแต่ สามารถท าให้เกิดการเรยี นรู้
ได้โดยอาศัยสื่อการสอนในลักษณะของสื่อประสม กล่าวคือ การใช้สื่อต่างๆ ร่วมกัน เช่น ต าราเรียน
เทปเสียง แผนภูมิ คอมพิวเตอร์ หรือโดยการใช้อุปกรณ์ทาง โทรคมนาคม และสื่อมวลชนประเภท
วิทยุและโทรทัศน์เข้ามาช่วยในการแพร่กระจาย การศึกษาไปยังผู้ที่ปรารถนาจะเรียนรู้ได้อย่าง
กว้างขวางทั่วทุก ท้องถิ่น การศึกษานี้มีทั้งในระดับต้นจนถึงระดับสูงขั้นปริญญา การศึกษาทางไกล
เป็นการศึกษาวิธีหนึ่งในการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน ที่ อาศัยสื่อ สิ่งพิมพ์ สื่อ
อิเล็กทรอนิกส์ และสื่อบุคคล รวมทั้งระบบโทรคมนาคมในรูปแบบต่างๆ เป็น หลักการเรียนการสอน
เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเองจากสอื่ เหลา่ นนั้ และอาจมีการสอนเสรมิ ควบคไู่ ปดว้ ย เพ่ือให้ผเู้ รยี น
ซักถาม ปัญหาจากผู้สอนหรือผู้สอนเสริม โดยการศึกษานี้อาจจะอยู่ใน รูปแบบของการศึกษาอิสระ
การศกึ ษารายบคุ คล หรอื รูปแบบของมหาวทิ ยาลยั เปิดกไ็ ด้ ตัวอยา่ งการ ศกึ ษาทางไกลในประเทศไทย
ได้แก่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งในการจัดการเรียนการ สอนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ใช้ ส่ือ

16

สิ่งพิมพ์ เป็น หลัก โดยมี สื่อเสริม คือรายการวิทยุกระจายเสียง และรายการโทรทัศน์บางวิชาอาจ มี
เทปคาสเซ็ท วีดิโอเทป หรือ สื่อพิเศษอย่างอื่นร่วมด้วย นักศึกษาจะเรียนด้วยตนเอง โดยอาศัยสื่อ
เหล่านเ้ี ปน็ หลกั แตม่ หาวิทยาลัยกจ็ ัดการ สอนเสรมิ เป็นคร้ังคราวซ่ึงเปิดโอกาสให้ผ้สู อนและผู้เรียนได้
พบกนั เพอื่ ซักถามขอ้ สงสยั หรอื ขอคำอธบิ ายเพิม่ เติม

หลักสำคัญของการศึกษาทางไกล จากความหมายและปรชั ญาของการเรยี นการสอนทางไกล
ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ ว่ามี ลักษณะเฉพาะสำคัญที่แตกต่างไปจากการศึกษาในระบบอ่ืน
หลายประการ ดังท่ี

วิจิตร ศรีสอ้าน (วิจิตร ศรีสอ้าน และคณะ ๒๕๓๔ : ๗ - ๘) ได้จำแนกลักษณะสำคัญของ
การศึกษาทางไกลไว้ดงั นี้

๑. ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ห่างจากกัน การเรียนการสอนทางไกลเป็นรูปแบบการสอนที่ผู้สอน
และผู้เรียนอยู่ ห่างไกลกัน มีโอกาสพบปะหรือได้รับความรู้จากผู้สอนโดยตรงต่อหน้าน้อยกว่า
การศึกษาตามปกติ การติดต่อ ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนอกจากจะกระท าโดยผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว
การติดต่อสื่อสารโดยตรงจะเป็นไปในรูปของ การเขียนจดหมายโตต้ อบกัน มากกว่าการพบกันเฉพาะ
หนา้

๒. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ในระบบการเรยี นการสอนทางไกลผู้เรยี นจะมีอิสระใน
การเลอื ก เรยี นวิชาและเลือกเวลาเรยี นตามที่ตนเหน็ สมควร สามารถก าหนดสถานท่ีเรยี นของตนเอง
พรอ้ มทงั้ ก าหนด วชิ าการเรียนและควบคุมการเรียนดว้ ยตนเอง วิธีการเรยี นรกู้ จ็ ะเป็นการเรียนรู้ด้วย
ตน เอง จากส่อื ท่ี สถาบนั การศึกษาจดั บริการรวมทงั้ สื่อเสรมิ ในลักษณะอ่นื ๆ ทีผ่ ูเ้ รยี นจะหาไดเ้ อง

๓. ใช้สื่อและเทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมือในการบริหารและบริการ สื่อทางเทคโนโลยีการศึกษา
ที่ใช้ส่วนใหญ่ จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อหลัก โดยจัดส่งให้ผู้เรียนทางไปรษณีย์ สื่อเสริมจัดไว้ในหลาย
รูปแบบมีทั้งรายการ วิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ เทปเสียงประกอบชุดวิชา และวิดีทัศน์
ประกอบชุดวิชา สง่ิ ใดที่มไิ ดจ้ ัดสง่ แกผ้ ูเ้ รยี นโดยตรง สถาบนั การศกึ ษาจะจดั ไวต้ ามศนู ย์การศึกษาต่าง
ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรับฟัง หรือรับชม โดยอาจให้บริการยืมได้ นอกจากสื่อดังกล่าวแล้ว
สถาบันการศึกษาที่เปดิ สอนทางไกลยังมีสื่อเสริมท่ีสำคัญอีก เช่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อ คอมพิวเตอร์
และสอื่ การสอนทางโทรทศั น์ฯ เปน็ ตน้

๔. ดำเนินงานและควบคุมคุณภาพในรูปองค์กรคณะบุคคล การศึกษาทางไกลได้รับการยอม
รับว่าเป็นส่วน หนึ่งของระบบและวิธีการจัดการศึกษาในประเทศต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถ
จัดการเรียนการสอน ตลอดจน บริการการศึกษาให้แก่ผู้เรยี นได้มากกว่าและประหยัดกว่าทั้งนี้เพราะ
ไม่มีข้อจ ากัดในเรื่องสัดส่วนครูต่อนักเรียน อาคารสถานที่ ในส่วนคุณภาพนั้นผู้รับผิดชอบจัด
การศึกษาทุกคนต่างมุ่งหวังให้การศกึ ษาที่ตนจัดบรรลุจุดมุ่งหมาย และมาตรฐานทีร่ ฐั ตั้งไว้ การศึกษา
ทางไกลได้มีการสร้างระบบและองคก์ รข้ึนรับผดิ ชอบในการพัฒนาหลกั สตู รและ ผลิตเอกสารการ สอน
ตลอดจนส่อื การสอนประเภทต่าง ๆ รวมท้งั การออกขอ้ สอบ ลักษณะเช่นนี้ อาจกล่าวไดว้ ่า การศึกษา

17

ทางไกลมีระบบการควบคุมคุณภาพของการศึกษาอยา่ งเขม้ งวดและเคร่งครัด ความรับผิดชอบในการ
จัด การศึกษามิได้อยู่ภายใต้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะแต่เน้นการจัด
การศกึ ษาทีม่ กี าร ดำเนินงานในรูปองค์กรคณะบุคคล ท่ีสามารถตรวจสอบไดท้ กุ ข้นั ตอน

๕. มกี ารจดั การศึกษาอย่างมรี ะบบ กระบวนการเรียนการสอนทางไกลไดร้ ับการออกแบบขึ้น
อย่างเป็น ระบบ เริ่มจากการพัฒนาหลักสูตรและผลิตเอกสาร ตลอดจนสื่อการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งในด้านเนื้อหา ด้านสื่อ และด้านการวัดและประเมินผล มีการดำเนินงานและผลิตผลงานที่เป็น
ระบบ มีการควบคุมมาตรฐานและคุณค่า อย่างแน่นอนชัดเจน จากนั้นจะส่งต่อไปให้ผู้เรียน ส่วนการ
ติดต่อที่มาจากผู้เรียนนั้น ผู้เรียนจะจัดส่งกิจกรรมมายัง สถานศึกษา ซึ่งหน่วยงานในสถานศึกษาจะ
จัดส่งกิจกรรมของผู้เรียนไปตามระบบถึงผู้สอน เพื่อให้ผู้สอนตรวจตาม มาตรฐานและคุณภาพการ
ศึกษาทไ่ี ดก้ ำหนดไว้

๖. มีการใช้สื่อประเภทต่าง ๆ หลากหลาย แทนสื่อบุคคล สื่อที่ใช้แตกต่างกันไปตามเนื้อหา
การสอนและ การจัดการสอนเป็นการจัดบริการให้แก่ผู้เรียนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการ
ดำเนินงานในดา้ นการเตรียม และจดั สง่ ส่ือการศกึ ษาจึงต้องจดั ท าในรปู ของกจิ กรรมทางอุตสาหกรรม
คือมีการผลิตเป็นจำนวนมาก มีการนำเอา เทคนิคและวิธีการผลิตที่จัดเป็นระบบ และมีการด าเนิน
งานเปน็ ข้ันตอนตามระบบอตุ สาหกรรม

๗. เน้นด้านการผลิตและจัดส่งสื่อการสอนมากกว่าการท าการสอนโดยตรง บทบาทของ
สถาบันการสอนใน ระบบทางไกลจะแตกต่างจากสถาบันที่สอนในระบบเปิดโดยจะเปลี่ยนจากการ
สอนเป็นรายบุคคลมากเป็นการสอน คนจำนวนมาก สถาบันจะรับผิดชอบด้านการผลิตและจัดส่ง
เอกสารและส่ือการศึกษา การประเมนิ ผลการเรียน ของผเู้ รียน และการจัดสอนเสริมในศูนยภ์ ูมภิ าค

๘. มีการจัดตั้งหน่วยงานและโครงสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการสอนและการบริการผู้เรียน แม้
ผู้เรียนและผุ้ สอนจะอยแู่ ยกห่างจากกันก็ตาม แต่ผู้เรยี นกจ็ ะไดร้ ับการสนับสนุนจากผู้สอนในลักษณะ
ต่าง ๆ มีการจัดตั้งศูนย์ การศึกษาประจ าท้องถิ่นหรือประจ าภาคขึ้นเพื่อสนับสนุนให้บริการ
การศกึ ษา

๙. ใช้การสื่อสารติดต่อแบบสองทางในการจัดการศึกษาทางไกล แม้การจัดการสอนจะเป็น
ไปโดยใช้สื่อการ สอนประเภทต่าง ๆ แทนการสอนด้วยครูโดยตรง แต่การติดต่อระหว่างผู้สอนกับ
ผู้เรียนก็เป็นไปในรูปการติดต่อ สองทาง ซึ่งสถาบันการศึกษาและผู้สอนจะติดต่อกับผู้เรียนโดย
จดหมายและโทรศพั ท์ ส่วนผู้เรียนกอ็ าจจะติดต่อ กับผู้สอนและสถาบนั การศึกษาด้วยวิธีการเดียวกัน
นอกจากนี้ทางสถาบันการศึกษายังจัดให้มีการติดต่อกับผู้เรียน ด้วยการจัดสอนเสริม ซึ่งส่งผู้สอนไป
สอนนกั ศกึ ษาตามศนู ย์บริการการศึกษาประจำจงั หวัดตามชว่ งเวลาและวิชาที่ สถาบนั กำหนด

ชุดการสอน ชดุ การสอนหรือชุดการเรยี น (Instructional Package) เปน็ ส่อื ประสมประเภท
หนึ่งซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เฉพาะเรื่องที่จะสอน ชุดการสอนอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับบางคน
แต่นักการศึกษาไทยได้มีแนวคิด การทำชุดการสอนมาเป็นเวลานานแล้ว แม้จะยังไม่มีคำว่า "ชุดการ

18

สอน" ขึ้นมาก็ตาม ชุดการสอนเป็นสื่อประสมที่ได้จาก ระบบการผลิตและการนำสื่อการสอนท่ี
สอดคล้องกับวิชา หน่วย หัวเรื่องและวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนอย่างมี
ประสิทธิภาพ ประเภทของชุดการสอน มี ๔ ประเภทใหญ่ๆ คอื

๑. ชุดการสอนประกอบการบรรยาย เป็นชุดการสอนที่มุ่งช่วยขยายเนื้อหาสาระการสอน
แบบบรรยายให้ ชัดเจนขึ้น ช่วยให้ผู้สอนพูดน้อยลง และให้สื่อการสอนทำหน้าที่แทน ชุดการสอน
แบบบรรยายนิยมใช้กับการ ฝึกอบรมและการสอนในระดับอุดมศึกษาที่ยังถือว่า การสอนแบบ
บรรยายยังมีบทบาทสำหรบั ในการถา่ ยทอด ความรู้แก่ผูเ้ รียน

๒. ชุดการสอนแบบกลมุ่ กจิ กรรม เปน็ ชุดการสอนท่ีมุ่งให้ผเู้ รยี นไดป้ ระกอบกิจกรรมกลมุ่ เช่น
ในการสอน แบบศูนยก์ ารเรยี น การสอนแบบกล่มุ สมั พันธเ์ ป็นตน้

๓. ชุดการสอนตามเอกัตภาพหรือชุดการสอนรายบุคคล เป็นชุดการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน
สามารถศึกษา หาความรู้ด้วยตนเอง สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลอาจเป็นการเรียนในโรงเรียน
หรือทบี่ ้านก็ไดเ้ พื่อใหผ้ ูเ้ รียน ก้าวไปขา้ งหน้าตามความสามารถ ความสนใจและความพร้อมของผู้เรียน
ชดุ การสอนรายบุคคลอาจออกมาในรูป ของหน่วยการสอนย่อยหรอื "โมดูล"

๔. ชุดการสอนทางไกล เป็นชุดการสอนที่ผู้สอนกับผู้เรียนอยู่ต่างถิ่นต่างเวลากัน มุ่งสอนให้
ผู้เรียนศึกษา ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน ประกอบด้วยสื่อประเภท สิ่งพิมพ์รายการ
วิทยกุ ระจายเสียง วทิ ยุ-โทรทศั น์

๕ ภาพยนตร์และการสอนเสริมตามศูนย์บริการการศึกษา เช่น ชุดการสอนทางไกล
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นอกจากนี้แล้วยังอาจมีชุดการฝึกอบรม ชุดการสอนของผู้ปกครอง
ชดุ การสอนทางไปรษณยี ์ องคป์ ระกอบของชุดการสอน ชุดการสอนประกอบดว้ ยส่ือประสมในรูปของ
วัสดอุ ปุ กรณแ์ ละวิธีการตั้งแตส่ องอย่างขนึ้ ไป บรู ณาการ โดยใช้วิธีการจดั ระบบ เพื่อให้ชุดการสอนแต่
ละชุดมีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จในตัวมีความสัมพันธ์ ระหว่างหน่วยและเนื้อหาที่
จัดระบบไว้แล้ว ชุดการสอนอาจอยู่ในแฟ้มหรือกล่อง มีจำนวน เท่ากับหน่วยการสอน ในแต่ละวิชา
การผลิตชุดการสอนจึงต้องมีการจัดระบบที่เหมาะสม และการใช้ชุดการสอนจึงควรมีห้องจัดไว้เป็น
พิเศษ เรียกว่า "ห้องเรียนรายบุคคล หรือห้องเรียนแบบโปรแกรม" ชุดการสอนจะมีลักษณะอย่างไร
และประกอบ ด้วยสื่อประเภทใดบ้างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้อาจใช้สื่อที่มีราคาแพง เช่น
ระบบบันทึกภาพ ฟิล์ม สไลด์ หรือสื่อราคาถูก เช่น วัสดุกราฟฟิค รูปภาพต่างๆ และใบไม้ใบหญ้าที่
สามารถจัดหาไดใ้ นท้องถิ่น

ดร.ชยั ยงค์ พรหม วงศ์จำแนกส่วนของชดุ การสอนไว้ ๔ ส่วนคือ
ก. คมู่ อื สำหรบั ครผู ใู้ ช้ชดุ การสอน หรอื และผู้เรยี นท่ตี อ้ งเรียนจากชดุ การสอน
ข. คำสง่ั หรอื การมอบงาน เพื่อกำหนดแนวทางการเรียนใหน้ กั เรยี น
ค. เนื้อหาสาระและสื่อ โดยจัดให้อยู่ในรูปของสื่อการสอนแบบประสม และกิจกรรม

การเรยี นการสอนแบบกลมุ่ และรายบคุ คลตามวตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม

19

ง. การประเมินผล เป็นการประเมินผลของกระบวนการ ได้แก่ แบบฝึกหัด รายงาน
การค้นคว้า และผลของการเรียนรู้ในรูปของแบบสอบต่าง ๆ คุณค่าของชุดการสอน ไม่ว่าจะเป็นการ
สอนประเภทใด ย่อมมคี ณุ ค่าต่อการเพ่ิมคุณภาพในการเรียนการสอน หากได้มีระบบการ ผลิตท่ีมีการ
ทดสอบวิจยั แลว้ ด้วยกันทง้ั นั้น

คุณคา่ ของชดุ การสอนมกั จะสรปุ ไดด้ งั น้ี
(๑) ช่วยให้ผู้สอนถ่ายทอดเนื้อหาและประสบการณ์ที่สลับซับซ้อนและมีลักษณะเป็น
นามธรรมสูง เช่น การทำงานของเครื่องกล อวัยวะในร่างกาย การเติบโตของสัตว์ชั้นต่าง ฯลฯ ซ่ึง
ผู้สอนไม่สามารถถ่ายทอดดว้ ยการ บรรยายไดด้ ี
๒) ช่วยเร้าความสนใจของนักเรียนต่อสิ่งที่กำลังศึกษา เพราะชุดการสอนจะเปิดโอกาสให้
ผเู้ รยี นมสี ว่ น รว่ มในการเรียนของตนเองและสงั คม
(๓) เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นได้แสดงความคดิ เหน็ ฝกึ การตดั สนิ ใจแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและ
การมีความ รบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสงั คม
(๔) ชว่ ยสร้างความพรอ้ มและมน่ั ใจแก่ผสู้ อน เพราะชดุ การสอนผลติ ไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ สามารถ
หยิบไป ใช้ไดท้ ันทีโดยเฉพาะผูท้ ไ่ี ม่คอ่ ยมเี วลาในการเตรยี มการสอนล่วงหนา้
(๕) ทำให้การเรยี นการสอนของผเู้ รียนเปน็ อสิ ระจากอารมณ์ของผสู้ อน ชุดการสอนสามารถท
าให้ ผเู้ รียน เรียนได้ตลอดเวลา ไมว่ า่ อาจารย์ผสู้ อนจะมสี ภาพหรือมคี วามขัดข้องทางอารมณ์มากน้อย
เพยี งใด
(๖) ช่วยให้การเรียนเป็นอิสระจากบุคลิกภาพของผู้สอน เนื่องจากชุดการสอนทำหน้าที่
ถ่ายทอดความรู้ แทนครู แม้ครูจะพูดหรือสอนไม่เก่ง ผู้เรียนก็สามารถเรียนได้อย่างมประสิทธิภาพ
จากชดุ การสอนทีไ่ ดผ้ า่ นการ ทดสอบประสทิ ธิภาพมาแลว้
(๗) ในกรณีครูขาด ครูคนอื่นก็สามารถสอนแทนโดยใช้ชุดการสอนที่มิใช่เข้าไปนั่ง "คุมชั้น"
ปล่อย นักเรยี นให้อยู่เฉยๆ เหมอื นที่ครสู ่วนใหญ่ท ากันอยู่อย่างในปจั จุบัน เพราะเน้ือหาวิชาอยู่ในชุด
การสอนเรยี บรอ้ ย แลว้ ครผู ูส้ อนแทนก็ไมต่ อ้ งเตรียมตวั อะไรมากนัก
(๘) สำหรบั ชดุ การสอนรายบุคคลและชุดการสอนทางไกล เช่น
มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช จะช่วยใหก้ ารศกึ ษามวลชนดำเนนิ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ เพราะ
ผู้เรียนสามารถเรียนได้เองที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลา และเงนิ ทองน่ังรถเมลไ์ ปเรียนท่มี หาวิทยาลัย
นักศึกษาต่างจงั หวัดกไ็ มต่ อ้ งเสียค่าหอพัก ไมต่ ้องเสียคา่ อาหาร และ คา่ "สังสรรค"์ กับเพอ่ื น เม่ือเรยี น
จากชดุ การสอนทางไกล นกั ศึกษาจะสามารถประหยดั เงินไดม้ าก
ศูนย์การเรียน แนวคิดการจัดศูนย์การเรียน (Learning Center) เป็นของนักการศึกษากลุ่ม
ประสบการณ์ก้าวหน้า ซึ่งมี ความเชื่อว่า ประสบการณ์จะน านักเรียนไปสู่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็
ด้วยการลงมือกระท าหรือประสบสัมผัสด้วย ตนเอง โรงเรียนจึงควรจัดบรรยากาศและสร้าง
สถานการณ์ที่จะให้ผู้เรียนได้ลงมือกระทำเพื่อหาประสบการณ์ด้วย ตนเอง สถานการณ์ที่สร้างขึ้นน้นั
ก็จ าเป็นต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้การเรียนรู้มีความหมาย ต่อนักเรียนอย่าง

20

แท้จริง ศูนย์การเรียนเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยตนเอง มากที่สุดโดยอาศยั สื่อการสอนแบบประสมและหลักการของกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์เขา้
ช่วยในการเรียนการสอน อีกทั้งยังเป็นการเรียนตามเอกัตภาพอีกด้วย ซึ่งลักษณะนี้จะเป็นการเปิด
โอกาสใหผ้ เู้ รียน

๑. ได้มีสว่ นร่วมในการเรียนรอู้ ย่างกระฉับกระเฉง
๒. ได้ตรวจสอบผลการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองทนั ที
๓. ได้มปี ระสบการณท์ ำให้เกดิ ความภาคภูมใิ จในความสำเรจ็
๔. เกิดความรู้ทีละน้อยตามลำดับชั้น ศูนย์การเรียนจึงจัดว่าเป็นนวัตกรรมการจัด
สภาพแวดล้อมการเรยี นรู้ซึง่ จะส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกฝนการ แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง รู้จกั ตัดสินใจ
มีความรบั ผิดชอบและสามารถทำงานรว่ มกันเปน็ หมู่

รูปแบบของศนู ยก์ ารเรียน แบง่ ออกไดห้ ลายรูปแบบแต่ทีพ่ บกันมากมี ๔ ประเภท คือ
๑. ศูนย์การเรยี นเอกเทศ เปน็ ศูนยก์ ารเรยี นทแี่ ยกเปน็ อสิ ระจากห้องเรียน เช่น ศนู ย์การเรยี น
ครูเป็น ศูนย์การเรียนที่ใช้เป็นห้องปฏิบัติการ วิธีสอน เหมาะสำหรับสถาบันฝึกหัดครู อาจจัดใน
สถาบันเอง หรือใน โรงเรียนที่มีนิสิตฝึกสอนประจ าอยู่ก็ได้ควรเป็นห้องเอกเทศ มีวัสดุอุปกรณ์และ
สิ่งอ นวยความสะดวกพร้อม ศูนย์การเรียนครู จัดขึ้นเพื่อที่จะสร้างบรรยากาศของการเรียนการสอน
ให้คล้ายคลึงกับสภาพจรงิ เพือ่ ให้ครูหรือ นิสิตฝึกสอน ได้ทดลองแนวความคิดใหม่ๆ ก่อนที่จะไปใช้ใน
ห้องเรียนจริง บางครั้งอาจจะเป็นการทดลองใช้ บทเรียนชุดการสอนทีเ่ ตรียมไวเ้ พื่อแก้ไขข้อบกพร่อง
ก็ได้ ศนู ยก์ ารเรียนสำหรบั ครแู ยกเปน็ ๒ ส่วนคอื

(๑) ศนู ย์ ๖๐ การผลติ เพ่ือปฏิบตั กิ ารผลิตสอื่ การสอนตา่ งๆและ
(๒) ห้องปฏิบตั กิ ารสอนสำหรบั การทดลองการสอน หรือส่ือ ตา่ งๆ ทผ่ี ลติ ขนึ้
๒. ศูนย์การเรียนในห้องเรียน เป็นการดัดแปลงห้องเรียนธรรมดา โดยจัดเป็นศูนย์วิชาการ
ต่างๆ ไว้ข้าง ผนังห้อง หรือมุมห้อง โดยมีสื่อการสอนหรือกิจกรรม ให้นักเรียนได้ศึกษาหรือค้นคว้า
ตามวชิ าการต่างๆ เชน่ ศูนย์ศิลปะ ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์ศูนย์สังคมศกึ ษา ฯลฯ ศนู ยเ์ หลา่ นีค้ รูไม่ได้ใช้เป็น
ส่วนหนึ่งในการสอนอย่างจริงจัง นักเรียนจะหาความรู้จากศูนย์เหล่านี้ในเวลาว่างเป็นส่วนใหญ่ ศูนย์
การเรียนในหอ้ งเรียนนภี้ ายหลงั ไดพ้ ัฒนามา เป็นหอ้ งเรียนแบบเปดิ หรือห้องเรยี นรายบุคคล
๓. การสอนแบบศูนย์การเรียน เป็นการเปลี่ยนแปลงห้องเรียนแบบธรรมดาที่ครูเป็นผู้สอน
มาเป็นศูนย์ กจิ กรรมทนี่ ักเรียนสามารถปฏบิ ัติกิจกรรมรว่ มกันภายในศูนยแ์ ละสามารถประเมินผลงาน
ของตนเองได้ ตาม ประสบการณ์และเนื้อหาที่ครูก าหนดไว้ให้การจัดห้องเรียนแบบศูนย์การเรียนน้ี
อาศัยพ้นื ฐานจากทฤษฎีการใช้สื่อ ประสมและกระบวนการกลุ่มเป็นบูรณาการการใชส้ ื่อการสอนชนิด
ต่างๆ และกลุ่มกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ที่มีชีวิตชีวา และฝึกฝนพัฒนาการทางสติปัญญาของ
ผู้เรียนให้มากที่สุด ลักษณะของสื่อการสอน จะจัดสำเร็จรูป ไว้แล้วเป็นชุดการสอน ห้องเรียนแบบ

21

ศูนย์การเรียนจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักเรียน เพราะหากเขาดีเด่น ทางวิชาการไม่ได้ก็
เสริมสรา้ งความสามารถของเขาในทางดา้ นอื่นใหด้ ีข้นึ

๔. ศูนย์การเรียนชุมชน คือสถานศึกษาที่เปิดโอกาสให้บุคคลทุกวยั ไม่ว่าจะเป็นเดก็ เลก็ หรือ
ผ้สู งู อายุเข้า ศึกษาหาความรู้ได้ การเรียนอาจจะเรียนจากโปรแกรมการสอนซ่งึ จัดไว้ในรูปของชุดการ
สอนรายบคุ คล ตามหมวดหม่ขู องเน้ือหาและประสบการณ์ตา่ งๆ หรือจากกจิ กรรมอน่ื ๆ ที่ศูนย์จะเป็น
ผู้จัดให้โดยมีครูท าหน้าที่เป็น ผู้ประสานงานที่ปรึกษา การเรียนในศูนย์การเรียนชุมชนไม่มีการก
าหนดเวลาและระดับชั้น ผู้เรียนจะเข้าเรียน เมื่อใดก็ได้ เนื้อหาและประสบการณ์ในชุดการสอนจะ
แบ่งเป็นหนว่ ยย่อยตามล าดบั มโนทศั น์จากง่ายไปหายาก จากระดบั พ้นื ฐานไปส่รู ะดับสูง หัวใจสำคัญ
ของการเรียนในศนู ย์การเรียนชุมชนคือ โปรแกรม ซ่ึงจดั อยใู่ นรปู ของ ชดุ การสอน ซ่ึงต้องเตรียมไว้ให้
เพียงพอในศนู ยป์ ระสบการณเ์ ช่น ศูนย์เกษตรกรรม ศนู ย์งานชา่ ง ศูนยห์ ัตถกรรม เปน็ ตน้

1.7.นวตั กรรมการศกึ ษาประเทศไทยในปัจจุบัน
ประเภทของนวตั กรรมการศกึ ษาพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบญั ญัติท่ี

เกี่ยวข้องกบั เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวตั กรรมการศกึ ษาไว้หลายมาตรา มาตราทสี่ ำคัญ คือ มาตรา
67 รัฐต้องส่งเสรมิ ให้มีการวจิ ัยและพฒั นาการผลติ และการพัฒนาเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา รวมทั้ง
การตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลการใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การศกึ ษา เพื่อให้เกิดการใชท้ ี่คุ้มคา่ และ
เหมาะสมกับกระบวนการเรยี นรขู้ องคนไทยและในมาตรา 22 "การจดั การศึกษาตอ้ งยึดหลักวา่ ผเู้ รียน
ทุกคนมคี วามสามารถเรียนร้แู ละพัฒนาตนเองได้และถอื ว่าผูเ้ รยี นมีความสำคัญทีส่ ุด กระบวนการ
จดั การศึกษาตนเองได้และถอื วา่ ผู้เรยี นมคี วามสำคญั ท่สี ดุ กระบวนการจัดการศกึ ษาต้องส่งเสริมให้
ผู้เรยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ" การดำเนนิ การปฏิรปู การศึกษาให้สำเร็จได้
ตามทรี่ ะบไุ ว้ในพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ดังกลา่ ว จำเปน็ ต้องทำการศึกษาวจิ ยั
และพัฒนานวตั กรรมการศกึ ษาใหมๆ่ ท่จี ะเข้ามาช่วยแกไ้ ขปัญหาทางการศึกษาทัง้ ในรูปแบบของการ
ศึกษาวิจยั การทดลองและการประเมนิ ผลนวตั กรรมหรือเทคโนโลยที น่ี ำมาใชว้ ่ามีความเหมาะสมมาก
น้อยเพยี งใด นวตั กรรมที่นำมาใช้ทั้งทผ่ี ่านมาแล้วและทจี่ ะมใี นอนาคตมหี ลายประเภทขึ้นอยกู่ ับการ
ประยกุ ต์ใชน้ วตั กรรมในดา้ นต่างๆ ในท่นี ้ีจะขอกล่าวคือ นวตั กรรม 5 ประเภท คอื

1. นวัตกรรมทางด้านหลกั สตู ร
2. นวตั กรรมการเรยี นการสอน
3. นวตั กรรมสอ่ื การสอน
4. นวัตกรรมการประเมนิ ผล
5. นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การ
1. นวัตกรรมทางด้านหลกั สตู ร

22

1.7.1 นวตั กรรมทางด้านหลักสตู ร

เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มในท้องถน่ิ และ
ตอบสนองความต้องการสอนบคุ คลให้มากข้นึ เน่ืองจากหลักสูตรจะต้องมีการเปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ
เพ่ือให้สอดคล้องกบั ความกา้ วหน้าทางด้านเทคโนโลยเี ศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศและของโลก
นอกจากน้กี ารพัฒนาหลกั สตู รยังมีความจำเป็นทจ่ี ะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญา
ทางการจดั การสมั มนาอีกด้วย การพฒั นาหลกั สตู รตามหลกั การและวิธีการดงั กล่าวตอ้ งอาศยั แนวคดิ
และวิธกี ารใหมๆ่ ท่ีเป็นนวตั กรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทศิ ทางท่ีต้องการ
นวตั กรรมทางด้านหลักสตู รในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาหลักสตู รดังตอ่ ไปนี้

1.7.1.1 หลกั สูตรบรู ณาการ เปน็ การบูรณาการส่วนประกอบของหลักสตู รเข้าด้วยกันทางดา้ น
วทิ ยาการในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจรยิ ธรรมและสังคม โดยมุง่ ให้ผเู้ รยี นเป็นคนดีสามารถใช้
ประโยชน์จากองค์ความรู้ในสาขาต่างๆ ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสังคมอย่างมีจรยิ ธรรม

1.7.1.2 หลกั สูตรรายบุคคล เปน็ แนวทางในการพฒั นาหลักสูตรเพ่ือการศึกษาตามอตั ภาพ เพ่ือ
ตอบสนองแนวความคิดในการจดั การศึกษารายบุคคล ซึง่ จะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรบั
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยดี ้านต่างๆ

1.7.1.3 หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เปน็ หลกั สูตรท่ีม่งุ เน้น กระบวนการในการจัด
กจิ กรรมและประสบการณใ์ ห้กบั ผ้เู รียนเพ่ือนำไปสู่ความสำเรจ็ เชน่ กจิ กรรมทสี่ ง่ เสริมให้ผู้เรียนมีสว่ น
รว่ มในบทเรยี น ประสบการณ์การเรยี นรจู้ ากการสบื คน้ ดว้ ยตนเอง เปน็ ต้น

1.7.1.4 หลกั สตู รท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลกั สูตรทตี่ ้องการกระจายการบรหิ ารจัดการออกสู่
ท้องถน่ิ เพ่ือให้สอดคลอ้ งกับศิลปวัฒนธรรมส่ิงแวดลอ้ มและความเปน็ อยู่ของประชาชนท่ีมีอยใู่ นแตล่ ะ
ทอ้ งถน่ิ แทนทีห่ ลักสตู รในแบบเดิมที่ใชว้ ธิ ีการรวมศนู ย์การพัฒนาอยู่ในส่วนกลาง

1.7.2 นวัตกรรมการเรยี นการสอน
เป็นการใช้วธิ ีระบบในการปรับปรงุ และคดิ คน้ พฒั นาวิธสี อนแบบใหม่ๆ ท่ีสามารถตอบสนองการ

เรยี นรายบคุ คล การสอนแบบผเู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง การเรียนแบบมสี ว่ นรว่ ม การเรยี นรแู้ บบแกป้ ญั หา
การพฒั นาวิธีสอนจำเปน็ ต้องอาศัยวธิ กี ารและเทคโนโลยีใหมๆ่ เขา้ มาจัดการและสนบั สนุนการเรียน
การสอน ตัวอยา่ งนวตั กรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น การใช้
กระบวนการกล่มุ สัมพันธ์ การสอนแบบเรยี นร้รู ่วมกัน และการเรียนผ่านเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรแ์ ละ
อนิ เทอร์เน็ต การวิจัยในชน้ั เรียน ฯลฯ

1.7.3.นวตั กรรมสื่อการสอน
เนื่องจากมีความกา้ วหน้าของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอรเ์ ครือขา่ ยและเทคโนโลยี

โทรคมนาคม ทำใหน้ กั การศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยเี หลา่ นมี้ าใชใ้ นการผลิตสอ่ื การ
เรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทัง้ การเรยี นด้วยตนเองการเรยี นเปน็ กลุ่มและการเรียนแบบ
มวลชน ตลอดจนสอ่ื ท่ีใชเ้ พ่ือสนบั สนุนการฝึกอบรม ผ่านเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรต์ วั อยา่ ง นวตั กรรมสอ่ื
การสอน ได้แก่
- คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)
- มัลตมิ เี ดยี (Multimedia)

23

- การประชมุ ทางไกล (Teleconference)
- ชดุ การสอน (Instructional Module)
- วดี ีทัศนแ์ บบมปี ฏิสมั พันธ์ (Interactive Video)

1.7.4.นวัตกรรมทางดา้ นการประเมินผล
เป็นนวตั กรรมทีใ่ ชเ้ ป็นเคร่ืองมือเพ่ือการวัดผลและประเมินผลไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและทำได้

อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวจิ ยั สถาบนั ดว้ ยการประยกุ ต์ใช้โปรแกรม
คอมพิวเตอร์มาสนับสนนุ การวดั ผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวัตกรรม
ทางด้านการประเมนิ ผล ได้แก่
- การพัฒนาคลงั ข้อสอบ
- การลงทะเบียนผ่านทางเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ และอินเตอรเ์ น็ต
- การใชบ้ ัตรสมารท์ การ์ด เพ่ือการใชบ้ ริการของสถาบันศึกษา
- การใชค้ อมพิวเตอร์ในการตัดเกรด
- ฯลฯ

1.7.5 นวตั กรรมการบริหารจดั การ
เป็นการใช้นวัตกรรมท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการใชส้ ารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ

ตัดสนิ ใจของผู้บริหารการศึกษาให้มคี วามรวดเร็วทันเหตกุ ารณ์ ทันต่อการเปล่ยี นแปลงของโลก
นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใชท้ างด้านการบรหิ ารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจดั การฐานข้อมูลใน
หน่วยงานสถานศึกษา เช่น ฐานขอ้ มลู นักเรียน นกั ศึกษา ฐานข้อมลู คณะอาจารย์และบคุ ลากร ใน
สถานศึกษา ด้านการเงนิ บัญชี พสั ดุ และครุภณั ฑ์ ฐานข้อมูลเหลา่ นต้ี อ้ งการออกระบบทส่ี มบรู ณม์ ี
ความปลอดภยั ของข้อมลู สงู นอกจากนยี้ งั มีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหนว่ ยงาน เชน่
ระเบยี บปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบัญญตั ิ ท่ีเก่ยี วกบั การจัดการศกึ ษา ซึ่งจะต้องมีการอบรม เก็บ
รกั ษาและออกแบบระบบการสบื คน้ ทดี่ พี อซึ่งผบู้ รหิ ารสามารถสบื ค้นข้อมลู มาใชง้ านได้ทันที
ตลอดเวลาการใช้นวัตกรรมแต่ละดา้ นอาจมกี ารผสมผสานท่ซี ้อนทับกนั ในบางเรือ่ ง ซ่งึ จำเป็นต้องมี
การพฒั นารว่ มกันไปพร้อมๆ กนั หลายดา้ น การพัฒนาฐานขอ้ มูลอาจต้องทำเปน็ กลุ่มเพ่ือให้สามารถ
นำมาใช้รว่ มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

24

หน่วยที่ 2
ความรเู้ บอื้ งต้นเกย่ี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ

ในภาวะปัจจุบันที่ทั่วทุกมุมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ประเทศด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหรือประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม ต่างอยู่ในภาวะที่
ต้องมีการปรับตัวกันอย่างมาก ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันฉะนั้นจึงถือได้ว่าเราทุกคนนั้นต่างดำเนิน
ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะรูปแบบทางสังคมที่เกิดขึ้น ต่างมีความต้องการที่
จะรับทราบข้อมูลข่าวสาร และพึ่งพาอาศัยข้อมูลสารสนเทศในการดำรงชีวิตประจำวันมากขึ้นทุกวัน
ซ่งึ กเ็ ป็นผลสบื เนือ่ งมาจากแรงผลักดันของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือท่ี
เรียกกันวา่ IT

นอกจากนี้ ถือได้ว่าระบบคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัยจะก่อให้เกิด
การปฏวิ ัติทางเทคโนโลยแี ลว้ ยังสง่ ผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรม และ
กิจกรรมระหว่างประเทศ เปรียบเสมือนในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงใช้เครื่องจักร ไอน้ำในงาน
อตุ สาหกรรม และถอื ไดว้ า่ เปน็ ยคุ ที่สามที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก ยุคเกษตรกรรม และ ยุคอุตสาหกรรม
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ตั้งแต่ระบบสังคม องค์การธุรกิจ
และปัจเจกชน โดยเทคโนโลยีสารสนเทศกระตุ้นให้เกิดการปรับรูปแบบ ความสัมพันธ์ภายในสังคม
การแขง่ ขัน และความรว่ มมือทางธุรกจิ ตลอดจนกจิ กรรมการดำรงชีวติ ของบุคคลใหแ้ ตกต่างจากอดีต
ดังนั้นบุคคลทุกคนในฐานะสมาชิกของสังคมสารสนเทศ (Information Society) จึงจำเป็นต้องมี
ความรู้ ทักษะ และความเข้าใจถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้สามารถดำรงชีวิตและ
ประกอบธุรกจิ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพในอนาคต

25

เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่
สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหมจ่ ึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพ่ือจะไดเ้ ป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยสี ารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศ
ต่อไป
2.1 วิวัฒนาการของสารสนเทศ

อดีตมนุษยย์ งั ไม่มภี าษาท่ีใชส้ ำหรับการสื่อสาร เมอ่ื เกดิ มเี หตุการณ์ (Event) อะไร เกดิ ขึ้น ก็
ไม่สามารถถ่ายทอด หรือเผยแพร่แก่บุคคลอื่น หรือสังคมอื่นได้ อย่างถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสาร
กับผู้รับสาร จึงมีการคิดใช้สัญลักษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย ทำหน้าที่สื่อ ความหมายแทน
เหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีการใช้กฎ และสูตร (Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์
ดังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด หรือเกิดมาจากสารใดผสมกับสารใด เป็นต้น จากนั้นเมื่อ มนุษย์มี
ภาษา สำหรับการสื่อสารแล้ว ก็เกดิ มขี ้อมูล (Data) เกีย่ วกับเหตกุ ารณด์ ังกล่าว เกิดขึ้นมามากมาย ทั้ง
จากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทำให้ต้องมีการวิเคราะห์
หรือประมวลผล ข้อมูลให้มสี ถานภาพเปน็ สารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือ
ผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีการสะสม เพิ่มพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกิด
ความเข้าใจ (Understanding) ก็จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มีอยู่ในตนเองเป็นองค์ความรู้
(Knowledge) เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้ที่มีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตุและผล
(Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนาความรู้เป็นปัญญา (Wisdom) ในที่สุด ดัง
แสดงได้ ตาม ภาพข้างล่างนี้

26

2.2 สาเหตทุ ่ที ำให้เกดิ สารสนเทศ
1. เม่ือมีวิทยาการความรู้ หรือส่งิ ประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหมๆ่ พรอ้ มกันนัน้ กจ็ ะเกิด

สารสนเทศมาพรอ้ มๆ กันดว้ ย จากน้ันก็จะมีการเผยแพร่ หรอื กระจายสารสนเทศ เกีย่ วกับ วทิ ยาการ
ความรู้ หรอื สงิ่ ประดิษฐ์ ผลติ ภณั ฑ์ ชนิดนัน้ ๆไปยงั แหล่งต่างๆ ท่ีเก่ยี วข้อง

2. เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เป็นเครอ่ื งมอื สำคัญในการผลติ สารสนเทศ เนอื่ งจากมี ความ
สะดวกในการป้อน ข้อมลู การปรบั ปรุงแก้ไข การทำซ้ำ การเพมิ่ เตมิ ฯลฯ ทำใหม้ ีความ สะดวกและ
ง่ายตอ่ การผลิตสารสนเทศ

3. เทคโนโลยสี อื่ สารยุคใหมม่ ีความเร็วในการสอื่ สารสงู ขนึ้ สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จาก
แหลง่ หนงึ่ ไปยัง สถานท่ีตา่ งๆ ท่ัวโลกในเวลาเดยี วกนั กบั เหตกุ ารณท์ ่เี กิดขนึ้ จริง อกี ทง้ั สามารถสง่ ผา่ น
ข้อมูลได้อย่างหลากหลาย รปู แบบ พร้อมๆ กันในเวลาเดยี วกนั

4. เทคโนโลยกี ารพิมพ์ท่ีมีความสามารถในการผลติ สารสนเทศสูงข้นึ สามารถผลิตสารสนเทศ
ไดค้ รั้งละจำนวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มสี สี นั เหมือนจริง ทำใหม้ ปี รมิ าณสารสนเทศใหม่ๆ เกิดขน้ึ อยู่
ตลอดเวลา

5. ผใู้ ช้มีความจำเปน็ ต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพ่ือการคน้ ควา้ วิจยั เพ่ือการ พฒั นา
คณุ ภาพชีวติ เพ่ือการ ตดั สนิ ใจ เพ่ือการแก้ไขปัญหา เพ่ือการปฏบิ ัตงิ าน หรอื ปรบั ปรุง ประสิทธภิ าพ
การปฏิบัติงาน, การบรหิ ารงาน ฯลฯ

6. ผูใ้ ช้มคี วามตอ้ งการใช้สารสนเทศ เพื่อตอบสนองความสนใจ ตอ้ งการทราบแหลง่ ท่ีอยู่ของ
สารสนเทศ ตอ้ งการเข้าถึงสารสนเทศ ตอ้ งการสารสนเทศท่มี าจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศ
อย่างหลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอยา่ งรวดเร็ว เป็นตน้

27

2.3 ความหมายของคำวา่ ข้อมลู
จากการศึกษาพบว่ามผี ู้ให้คำนยิ ามของคำว่าข้อมลู ไว้ หลากหลาย เชน่

• ขอ้ มลู คือ ข้อเทจ็ จริง ภาพ (Images) หรอื เสยี ง (Sounds) ทอ่ี าจจะ(หรอื ไม่) แกไ้ ขปญั หา
(Pertinent) หรอื เป็น ประโยชน์ต่อการปฏบิ ตั งิ าน (Alter 1996 : 28)

• ข้อมลู คือ ตวั แทนของข้อเทจ็ จริง ตัวเลข ขอ้ ความ ภาพ รูปภาพ หรอื เสียง (Nickerson
1998 : 10-11)

• ขอ้ มูล คือ ข้อเทจ็ จรงิ ทแี่ ทนเหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ ภายในองค์การ หรอื สิง่ แวดล้อมทางกายภาพ
ก่อนท่จี ะมีการจัด ระบบให้เป็นรูปแบบทีค่ นสามารถเข้าใจ และนำไปใชไ้ ด้ (Laudon and
Laudon 1999 :8)

• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือการอภิปรายปรากฏการณ์อย่างใดอยา่ งหนง่ึ (Haag, Cummings
and Dawkins 2000 : 31)

• ข้อมูล คือ ส่ิงประกอบไปด้วยขอ้ เท็จจรงิ และสญั ลักษณ์ (Figures) ทมี่ ีความสัมพนั ธ์ (ไม่มี
ความหมาย หรือมี ความหมายน้อย) กับผู้ใช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

28

• ขอ้ มูล คือ คำอธบิ ายพื้นฐานเกีย่ วกบั สิง่ ของ เหตุการณ์ กิจกรรม หรอื ธุรกรรม ซ่งึ ไดร้ บั การ
บนั ทึก จำแนก และ เก็บรักษาไว้ โดยท่ยี งั ไม่ไดเ้ ก็บให้เปน็ ระบบ เพื่อทจี่ ะใหค้ วามหมายอยา่ ง
ใดอย่างหนึ่งท่แี น่ชัด (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)

• ขอ้ มลู ประกอบไปดว้ ยขอ้ เทจ็ จรงิ (Raw Facts) เช่น ชอื่ ลกู ค้า ตัวเลขเก่ยี วกบั จำนวนชว่ั โมง
ที่ทำงานในแตล่ ะ สัปดาห์ ตัวเลขเก่ยี วกับสินค้าคงคลงั หรือรายการส่งั ของ (Stair and
Reynolds 2001 : 4)

• ขอ้ มูล คือ ข้อเทจ็ จรงิ ที่ใช้แทนเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน และไดร้ ับการรวบรวม หรอื ป้อนเข้าระบบ
(เลาว์ดอน และ เลาว์ดอน 2545 : 6)

• ข้อมูล คือ ข้อเทจ็ จรงิ หรอื สงิ่ ทกี่ อ่ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจรงิ (ขอ้ เทจ็ จรงิ หมายถึง
ข้อความ หรือเหตกุ ารณท์ ี่ เป็นมา หรือทเี่ ป็นอยู่จรงิ (ราชบัณฑิตยสถาน 2539 : 134)
สำหรบั ใชเ้ ป็นหลกั อนุมานหาความจรงิ หรือการคำนวณ (หน้าเดยี วกนั )

• ขอ้ มูล คือ ข้อความจริงเกีย่ วกับเรอื่ งใดเร่ืองหนึง่ โดยอาจเป็นตัวเลข หรอื ข้อความท่ีทำให้
ผูอ้ า่ นทราบความเป็น ไป หรือเหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขึน้ (สุชาดา กรี ะนนั ท์ 2542 : 4)

• ข้อมลู คือ ข้อเทจ็ จรงิ ทม่ี ีอยู่ในชีวิตประจำวันเกย่ี วกับบคุ คล ส่ิงของ หรอื เหตุการณ์ต่างๆ ที่
อาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร ข้อความ ภาพ หรอื เสียงก็ได้ (จติ ติมา เทียมบญุ ประเสรฐิ 2544 :

• ขอ้ มูล คือ ข้อมลู ดิบ (Raw Data) ทยี่ ังไม่มีความหมายในการนำไปใชง้ าน และถูกรวบรวม
จากแหล่งต่างๆ ท้งั ภาย ใน และภายนอกองค์การ (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์
เกียรติโกมล 2545 : 40)

• ขอ้ มูล คือ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือขอ้ มูลดบิ ทีย่ ังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไมม่ ี
ความหมายในการ นำไปใชง้ าน ขอ้ มลู อาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลกั ษณ์ รปู ภาพ เสยี ง
หรือภาพเคล่ือนไหว (ทิพวรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์ 2545 : 9)

• ขอ้ มูล คือ ตวั อักษร ตัวเลข หรอื สัญลักษณใ์ ดๆ

สรุป ข้อมลู คือ ขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั เร่อื งต่างๆ ทม่ี ลี กั ษณะเปน็ ตวั เลข ตัวอักษร สญั ลกั ษณ์ ภาพ เสียง
กลิน่ หรอื มี ลกั ษณะประสมกัน

ชนดิ ของข้อมลู (Types of Data)
เราสามารถแบ่งขอ้ มูลออกเป็น 4 ชนดิ ดงั นี้ (Alter 1996 : 151-152, Stair and Reynolds 2001

1. ขอ้ มลู ที่เปน็ อักขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตวั เลข (Numbers) ตัวอกั ษร (Letters)
เครือ่ งหมาย (Sign) และ สญั ลกั ษณ์ (Symbol)

2. ข้อมลู ที่เปน็ ภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรูปภาพ
(Pictures)

3. ขอ้ มูลท่ีเปน็ เสยี ง (Audio Data) ได้แก่ เสียง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise)
และเสยี งท่ีมรี ะดับ (Tones) ต่างๆ เชน่ เสยี งสูง เสยี งตำ่ เปน็ ต้น

4. ข้อมลู ท่ีเป็นภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ไดแ้ ก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or
Pictures)และ วดี ทิ ัศน์ (Video)นอกจากนน้ั ยงั พบวา่ มีข้อมูลในลกั ษณะของกลิน่ (Scent)

29
และข้อมูลในลกั ษณะท่มี ีการประสมประสานกัน เช่น มกี ารนำเอาข้อมูลท้ัง 4 ชนดิ มารวมกัน
เรยี กวา่ สื่อประสม (Multimedia) แต่ถ้ามกี ารประสมข้อมูลทีเ่ ปน็ กล่นิ เข้าไปดว้ ย เราเรียกวา่
Multi-scented

กรรมวิธกี ารจัดการขอ้ มลู (Datamanipulation) (ให้มีคุณคา่ เป็นสารสนเทศ)
การจัดการขอ้ มูลให้มีคุณคา่ เป็นสารสนเทศ กระทำได้โดยการเปล่ียนแปลงสถานภาพของข้อมูล ซึ่งมี
วิธีการ หรือ กรรมวธิ ดี ังต่อไปน้ี (Kroenke and Hatch1994 : 18-20)

30

1. การรวบรวมขอ้ มูล (Capturing/gathering/collecting Data) ทตี่ ้องการจากแหล่งต่างๆ
โดยการเครื่องมือ ช่วยค้นทเี่ ป็นบัตรรายการ หรือ OPAC แล้วนำตวั เล่มมาพิจารณาว่ามี
รายการใดทส่ี ามารถนำมาใช้ประโยชนไ์ ด้

2. การตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเนื้อหาของขอ้ มูลที่หามาได้
ในประเด็นของ ความถูกตอ้ งและความแม่นยำของเน้ือหา ความสอดคล้องของตาราง,
ภาพประกอบ หรอื แผนที่ กบั เนื้อหา

3. การจัดแยกประเภท/จัดหมวดหม่ขู อ้ มลู (Classifying Data) เม่อื ผา่ นการตรวจสอบความ
ถูกต้อง สอดคลอ้ งกัน ของเนื้อหาแลว้ นำขอ้ มลู ตา่ งๆ เหล่านัน้ มาแยกออกเป็นกอง หรือกลมุ่
ๆ ตามเร่อื งราวท่ีปรากฏในเน้ือหา

4. จากนนั้ กน็ ำแต่ละกอง หรือกลมุ่ มาทำการเรียงลำดับ/เรียบเรยี งข้อมลู (Arranging/sorting
Data) ให้เปน็ ไป ตามความเหมาะสมของเน้ือหาวา่ จะเริ่มจากหวั ขอ้ ใด จากนนั้ ควรเป็นหวั ข้อ
อะไร

5. หากมีข้อมลู เก่ยี วกบั ตวั เลขจะตอ้ งนำตัวเลขนนั้ มาทำการวิเคราะหห์ าค่าทางสถติ ิท่เี กย่ี วข้อง
หรือทำการ คำนวณข้อมูล (Calculating Data) ใหไ้ ด้ผลลัพธอ์ อกเสยี ก่อน

6. หลังจากนั้นจงึ ทำการสรปุ (Summarizing/conclusion Data) เนือ้ หาในแต่ละหวั ข้อ
7. เสรจ็ แลว้ ทำการจดั เกบ็ หรือบันทึกข้อมูล (Storing Data) ลงในสือ่ ประเภทตา่ งๆ เชน่ ทำ

เป็นรายงาน หนังสอื บทความตีพมิ พใ์ นวารสาร หนงั สือพิมพ์ หรือลงในฐาน
ขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ (แผน่ ดสิ ก์ ซีดี-รอม ฯลฯ)
8. จดั ทำระบบการค้นคนื เพ่ือความสะดวกในการจัดเกบ็ และค้นคนื สารสนเทศ (Retrieving
Data) จะได้ จดั เก็บและคน้ คืนสารสนเทศอยา่ งถูกต้อง แม่นยำ รวดเรว็ และตรงกบั ความ
ต้อง
9. ในการประมวลผลเพือ่ ให้ไดม้ าซึ่งสารสนเทศ จกั ต้องมีการสำเนาขอ้ มูล (Reproducing
Data) เพอื่ ป้องกัน ความเสยี หายท่อี าจเกดิ ขึน้ กบั ข้อมูล ท้ังจากสาเหตทุ างกายภาพ และ
ระบบการจดั เก็บข้อมูล
10. จากนั้นจึงทำการการเผยแพร่ หรือสอ่ื สาร หรือกระจายข้อมูล
(Communicating/disseminating Data) เพือ่ ให้ผลลัพธ์ท่ไี ด้ถึงยงั ผ้รู บั หรือผ้ทู ี่เกยี่ วข้อง

การจดั การข้อมลู ใหม้ สี ถานภาพเป็นสารสนเทศ (Transformation Processing) ในความเป็นจริง
แล้วไม่จำเป็นที่ จะต้องทำครบ ทั้ง 10 วิธีการ การที่จะทำกี่ขั้นตอนนั้นข้ึนอยู่กับ ข้อมูลที่นำเข้ามาใน
ระบบการประมวลผล หากข้อมูลผ่าน ขั้นตอน ที่ 1 หรือ 2 มาแล้ว พอมาถึงเรา เราก็ทำขั้นตอนที่ 3
ต่อไปได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามการให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ท่ีมี คุณค่า จักต้องทำตามลำดับดังกล่าวข้างต้น
ไม่ควรทำข้ามขั้นตอน ยกเว้นขั้นตอนที่ 5 และขั้นตอนที่ 6 กรณีที่เป็นข้อมูล เกี่ยวกับตัวเลขก็ทำ
ขั้นตอนที่ 5 หากข้อมูลไม่ใช่ตัวเลขอาจจะข้ามขั้นตอนที่ 5 ไปทำขั้นตอนที่ 6 ได้เลย เป็นต้น ผลลัพธ์
หรอื ผลผลิตท่ไี ด้จากการประมวลผล หรอื กรรมวธิ ีจดั การข้อมูล ปรากฏแก่สงั คมในรปู ของส่ือประเภท
ต่างๆ เช่น เป็น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ ซีดี-รอม สไลด์ แผ่นใส แผนที่ เทปคลาสเซท ฯลฯ แต่
อยา่ งไรก็ตามไมไ่ ดห้ มายความว่า ผลผลิต หรือผลลพั ธ์น้ันจะมีสถานภาพเปน็ สารสนเทศเสมอไป

31
2.4 ความหมายของสารสนเทศ ( Information )

32

ซาเรซวคิ และวูด (Saracevic and Wood 1981 : 10) ไดใ้ ห้คำนิยามสารสนเทศไว้ 4 นยิ ามดงั น้ี
1. Information is a selection from a set of available message, a selection which

reduces uncertainty. สารสนเทศ คือ การเลือกสรรจากชุดของข่าวสารที่มีอยู่ เป็นการเลือกที่ช่วย
ลดความไมแ่ น่นอน หรอื กล่าวได้วา่ สารสนเทศ คอื ขอ้ มูลทีไ่ ด้มเี ลือกสรรมาแล้ว (เป็นข้อมูลท่ีมีความ
แน่นอนแลว้ ) จากกลุ่มของขอ้ มูลที่มอี ยู่

2. Information as the meaning that a human assigns to data by means of
conventions used in their presentation. สารสนเทศ คือ ความหมายท่ีมนุษย์ (สัง่ ) ใหแ้ ก่ ข้อมูล
ด้วยวธิ กี ารนำเสนอทเ่ี ป็นระเบยี บแบบแผน

3. Information is the structure of any text-which is capable of changing the image-
structure of a recipient. (Text is a collection of signs purposefully structured by a sender
with the intention of changing the image-structure of recipient) สารสนเทศ คือ โครงสร้าง
ของข้อความใดๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทาง จินตภาพ (ภาพลักษณ์) ของผู้รับ (ข้อความ
หมายถงึ ท่รี วมของสัญลักษณต์ ่างๆ มโี ครงสร้างทม่ี ี จดุ มุ่งหมาย โดยผูส้ ง่ มเี ปา้ หมายทจ่ี ะ เปลย่ี นแปลง
โครงสร้างทาง จินตภาพ (+ความรู้สกึ นึกคิด) ของผู้รบั (สาร)

4. Information is the data of value in decision making. สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่มี ีคา่ ใน
การตัดสินใจนอกจากนัน้ ยังมีความหมายท่นี ่าสนใจดังน้ี
สารสนเทศ คอื ข้อมลู ท่ีมกี ารปรบั เปล่ียน (Convert) ด้วยการจัดรูปแบบ (Formatting) การ
กลนั่ กรอง (Filtering) และการสรุป (Summarizing) ให้เป็นผลลัพธท์ ี่มี รปู แบบ (เชน่ ข้อความ เสยี ง
รูปภาพ หรือวดี ทิ ัศน์) และเนื้อหาท่ตี รงกบั ความต้องการ และเหมาะสมต่อการนำไปใช้ (Alter 1996
: 29, 65, 714)

• สารสนเทศ คือ ตัวแทนของข้อมูลท่ผี า่ นการประมวลผล (Process) การจดั การ (Organized)
และการผสมผสาน (Integrated) ใหเ้ กิดความเข้าใจอยา่ งถ่องแท้ (Post 1997 : 7)

• สารสนเทศ คือ ข้อมูลทมี่ คี วามหมาย (Meaningful) หรือเปน็ ประโยชน์ (Useful) สำหรับ
บางคนท่ีจะใชช้ ่วยในการ ปฏบิ ัติงานและการจดั การ องค์การ (Nickerson 1998 : 11)

• สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีความหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39)
• สารสนเทศ คอื ข้อมูลท่มี ีความหมายเฉพาะภายใต้บรบิ ท (Context) ทเ่ี ก่ียวข้อง (Haag,

Cummings and Dawkins 2000 : 20)
• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทีผ่ ่านการปรับเปล่ยี น (Converted) มาเป็นสิ่งท่มี ีความ หมาย

(meaningful) และเป็น ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15)
• สารสนเทศ คือ ข้อมูลทผ่ี ่านการประมวลผล หรือขอ้ มลู ท่ีมีความหมาย (McLeod, Jr. and

Schell 2001 : 12)
• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ที่ไดร้ บั การจดั ระบบเพื่อใหม้ ีความหมายและมีคุณค่าสำหรับ ผใู้ ช้

(Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7)

33

• สารสนเทศ คอื ทีร่ วม (ชดุ ) ข้อเท็จจริงที่ได้มีการจัดการแล้ว ในกรณเี ช่น ขอ้ เท็จจริงเหล่านนั้
ได้มกี ารเพ่ิมคณุ ค่า ภายใตค้ ุณค่าของข้อเท็จจรงิ น้ันเอง (Stair and Reynolds 2001 : 4)

• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ที่ไดร้ ับการประมวลผล หรือปรงุ แต่ง เพอ่ื ให้มีความหมาย และเป็น
ประโยชนต์ อ่ ผู้ใช้ (เลาว์ดอน และเลาว์ดอน 2545 : 6)

• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ที่ได้รับการประมวลผลใหอ้ ยู่ในรูปแบบทีม่ ีความหมายต่อผ้รู บั และมี
คณุ คา่ อันแทจ้ รงิ หรอื คาดการณ์ว่าจะมีค่าสำหรับการดำเนินงาน หรอื การตัดสนิ ใจใน
ปัจจุบัน หรอื อนาคต (ครรชติ มาลัยวงศ์ 2535 : 12)

• สารสนเทศ คือ เร่ืองราว ความร้ตู า่ งๆ ที่ได้จากการนำข้อมูลมาประมวลผลดว้ ยวธิ กี ารอย่าง
ใดอย่างหนึง่ และมี การผสมผสานความรู้ หรอื หลกั วิชาทเี่ ก่ียวขอ้ ง หรือความคิดเหน็ ลงไป
ด้วย (กลั ยา อุดมวิทิต 2537 :3)

• สารสนเทศ คอื ข้อความรทู้ ีป่ ระมวลไดจ้ ากข้อมลู ต่าง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งในเร่ืองน้นั จนได้ ข้อสรปุ
เป็นขอ้ ความรูท้ ่ี สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ โดยเนน้ ท่กี ารเกิดประโยชน์ คือความรทู้ ่ี
เกดิ ข้ึนเพิ่มข้ึนกบั ผใู้ ช้(สชุ าดา กีระนนั ท์ 2542 : 5)

• สารสนเทศ คอื ข่าวสาร หรือการช้แี จงขา่ วสาร (ปทีป เมธาคณุ วฒุ ิ 2544 : 1)
• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทีผ่ า่ นการประมวลผล ผ่านการวิเคราะห์ หรอื สรปุ ให้อยู่ในรูปทม่ี ี

ความหมายทีส่ ามารถนำไป ใช้ประโยชนไ์ ด้ตามวตั ถปุ ระสงค์ (จติ ตมิ า เทยี มบุญประเสรฐิ
2544 : 4)
• สารสนเทศ คือ ผลลพั ธ์ทเ่ี กดิ จากการประมวลผลขอ้ มลู ดิบทถ่ี ูกจัดเกบ็ ไว้อยา่ งเป็นระบบ ท่ี
สามารถนำไป ประกอบการทำงาน หรอื สนับสนุนการตดั สินใจของผบู้ รหิ าร ทำใหผ้ ู้บรหิ าร
สามารถแก้ไขปัญหา หรอื ทางเลือกในการ ดำเนิน งานอย่างมีประสทิ ธิภาพ (ณฏั ฐพันธ์ เขจร
นันทน์ และไพบลู ย์ เกียรติโกมล 2545 : 40)
• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ที่ได้ผ่านการประมวลผล หรอื จดั ระบบแล้ว เพ่ือให้มีความหมายและ
คุณคา่ สำหรับผู้ใช้ (ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ 2545 : 9)
• สารสนเทศ คือ ผลลัพธท์ ่ีได้จากการประมวลผลของขอ้ มูลดิบ (Raw Data) ประกอบไปดว้ ย
ขอ้ มูลต่างๆ ทเี่ ปน็ ตวั อักษร ตัวเลข เสียง และภาพ ทน่ี ำไปใช้สนบั สนุนการ บริหารและการ
ตัดสินใจของผู้บริหาร (นิภาภรณ์ คำเจรญิ 2545 : 14)

สรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ อยู่ใน
รปู แบบทแ่ี ตกต่างกันออกไป เชน่ ตวั อกั ษร ตัวเลข รปู ภาพ เสยี ง สญั ลกั ษณ์ หรือกล่ิน ท่ีถกู นำมาผ่าน
กระบวนการประมวลผล ดว้ ยวธิ กี ารที่ เรียก ว่า กรรมวธิ ีจัดการขอ้ มลู (Data Manipulation) และผล
ที่ได้อาจแสดงผลออกมาในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ แผนที่
แผ่นใส ฯลฯ และเป็นผลลัพธ์ที่ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ตรงและทันกับความ
ต้องการหรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่มคี วามถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความต้องการของ
ผู้ใช้ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการข้อมูล
หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการข้อมูล ซ่ึง

34

จะต้องเป็น ผลลัพธท์ ี่มี คุณสมบัติถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความต้องการของผู้ใช้ หรือผู้ที่
เกยี่ วขอ้ ง
2.5 หลักเกณฑก์ ารประเมนิ ผลลัพธห์ รอื ผลผลิต (Criterias to Evaluated Outputs)

ข้อมลู ของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสำหรับอีกคนหนึ่ง (Nickerson 1998 : 11) การที่จะบง่ บอกวา่
ผลผลติ หรอื ผลลพั ธม์ คี ณุ ค่า หรอื สถานภาพเปน็ สารสนเทศ หรอื ไมน่ นั้ เราใช้หลกั เกณฑ์ตอ่ ไปนี้
ประกอบการพิจารณา
1. ความถกู ต้อง (Accuracy) ของผลผลิต หรอื ผลลพั ธ์
2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent)
3. ทันกับความต้องการ (Timeliness)
การพิจารณาความถูกต้องดูทเี่ นอ้ื หา (Content) ของผลผลติ โดยพิจารณาจากขน้ั ตอนของการ
ประมวลผล (Process; verifying, calculating) ข้อมูล สำหรับการตรงกบั ความต้องการ หรือทันกับ
ความตอ้ งการ มีผ้ใู ชผ้ ลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพิจารณา หากผ้ใู ชเ้ หน็ วา่ ผลผลติ ตรงกบั ความตอ้ งการ
หรือผลผลติ สามารถตอบปัญหา หรือแก้ไขปญั หา ของผใู้ ช้ได้ และสามารถเรียกมาใชไ้ ด้ในเวลาทเี่ ขา
ตอ้ งการ (ทนั ต่อความต้องการใช้) เราจึงจะสรปุ ได้ว่า ผลผลิต หรือ ผลลพั ธ์นน้ั มีสถานภาพ เป็น
สารสนเทศ

คณุ ภาพ หรอื คุณค่าของสารสนเทศ ขนึ้ อยกู่ บั ขอ้ มูล (Data) ทีน่ ำเข้ามา (Input) หากข้อมูลท่ี
นำเข้ามาประมวลผล เป็นข้อมูลที่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือผู้บริโภค
สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่หากข้อมูลที่ นำเข้ามาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์ก็จะมี
คุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมดั่งกับวลีท่ีว่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถ้า
นำขยะเขา้ มา ผลผลติ (สิง่ ทไี่ ดอ้ อกไป) ก็คอื ขยะน่นั เอง

35

2.6 คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศทีด่ ี (Characteristics of Information)

สารสนเทศท่ดี คี วรมีคุณลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 :

6-7, จติ ตมิ า เทยี มบญุ ประเสรฐิ 2544 : 12-15, ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบูลย์ เกยี รติโกมล

2545 : 41-42 และทิพวรรณ หล่อสุวรรณรตั น์ 2545 : 12-15)

1. สารสนเทศที่ดตี ้องมีความความถกู ต้อง (Accurate) และไม่มคี วามผดิ พลาด
2. ผทู้ ม่ี ีสิทธใิ ช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลา

ท่ีเหมาะสม ตาม ความต้องการของผใู้ ช้
3. สารสนเทศตอ้ งมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ
4. สารสนเทศที่ดตี ้องมีความสมบรู ณ์ (Complete) บรรจไุ ปด้วยข้อเทจ็ จรงิ ที่มีสำคัญครบถ้วน
5. สารสนเทศต้องมคี วามกะทดั รัด (Conciseness) หรอื รัดกมุ เหมาะสมกับผใู้ ช้
6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผ้ทู มี่ ีหนา้ ที่ตัดสนิ ใจมักจะ

ตอ้ งสร้างดลุ ยภาพ ระหวา่ งคุณคา่ ของสารสนเทศกบั ราคาท่ีใช้ในการผลิต
7. ตอ้ งมีความยึดหย่นุ (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์
8. สารสนเทศที่ดีต้องมีรปู แบบการนำเสนอ (Presentation) ที่เหมาะสมกบั ผ้ใู ช้ หรอื ผทู้ ่ี

เกีย่ วข้อง
9. สารสนเทศที่ดีต้องตรงกับความตอ้ งการ (Relevant/Precision) ของผู้ทที่ ำการตดั สินใจ
10. สารสนเทศทด่ี ตี ้องมีความนา่ เชือ่ ถอื (Reliable) เชน่ เปน็ สารสนเทศท่ีไดม้ าจากกรรมวิธี

รวบรวมที่นา่ เช่อื ถอื หรือแหล่ง (Source) ท่ีนา่ เชื่อถือ เป็นตน้
11. สารสนเทศที่ดคี วรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเขา้ ถึงของผู้ไมม่ สี ิทธใิ ชส้ ารสนเทศ
12. สารสนเทศที่ดีควรงา่ ย (Simple) ไม่สลับซบั ซ้อน มรี ายละเอยี ดที่เหมาะสม (ไม่มากเกนิ ความ

จำเปน็ )
13. สารสนเทศทด่ี ีต้องมีความแตกต่าง หรือประหลาด (Surprise) จากขอ้ มูลชนดิ อนื่ ๆ
14. สารสนเทศทด่ี ตี ้องทนั เวลา (Just in Time : JIT) หรือทนั ต่อความต้องการ (Timely) ของ

ผใู้ ช้ หรอื สามารถสง่ ถงึ ผ้รู ับได้ในเวลาทีผ่ ใู้ ชต้ อ้ งการ
15. สารสนเทศที่ดตี ้องเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหมอ่ ยู่เสมอ มเิ ชน่ น้ันจะ

ไม่ทนั ต่อการ เปล่ียนแปลงทดี่ ำเนนิ ไปอย่างรวดเรว็

36

16. สารสนเทศที่ดีต้องสามารถพิสูจน์ได้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ว่ามี
ความถกู ต้อง

นอกจากนนั้ สารสนเทศมคี ุณสมบัติทแ่ี ตกต่างไปจากสนิ ค้าประเภทอืน่ ๆ 4 ประการคอื ใช้ไม่หมด
ไม่สามารถ ถ่ายโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-13) หรือ
อาจสรุปได้ว่าสารสนเทศ ที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย)
ด้านเนื้อหา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเชื่อถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้) ด้าน
รูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนำเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน กระบวนการ (เข้าถึง
ได้ และปลอดภัย)

37

2.7 คณุ ภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality)
คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังนี้ (Bentley

1998 : 58-59)
1. ตรงกับความต้องการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนั้นผู้ใช้สามารถนำไปใช้เพ่ิม

ประสิทธิภาพได้ มากกว่าไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดูที่มันมีผลกระทบ
ต่อกิจกรรมของผใู้ ช้ หรือไม่ อย่างไร

2. น่าเชื่อถือ (Reliable) เพียงใด ความน่าเชื่อถือมีหัวข้อที่จะใช้พิจารณา เช่น ความทันเวลา
(Timely) กับผู้ใช้ เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนั้น หรือไม่ สารสนเทศที่นำมาใช้ต้องมีความ
ถูกต้อง (Accurate) สามารถพิสูจน์ (Verifiable) ได้ว่าเป็นความจริง ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลท่ี
เกีย่ วข้อง เป็นตน้

3. สารสนเทศน้ันเข้มแขง็ (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการที่สารสนเทศสามารถเคล่ือนตัวเอง
ไปพร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์
(Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล
เพราะฉะนั้นจะต้องมีการควบคุม หรือตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น หรือพิจารณาจาก
ความผิดพลาด หรือลม้ เหลวของระบบ (System Failure) ที่จะสง่ ผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังน้นั
จงึ ตอ้ งมกี ารป้องกันความผดิ พลาด (ทเี่ นือ้ หา และไมท่ ันเวลา) ทอ่ี าจเกดิ ขึน้ ได้ หรือ พิจารณาจากการ
เปลี่ยนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ที่อาจจะส่งผลกระทบ (สร้างความ
เสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการเข้าถึงข้อมูล การรายงาน จักต้องมีการ
ป้องกัน หากมกี าร เปลี่ยนแปลงในเร่อื งดงั กลา่ ว

นอกจากนัน้ ซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กลา่ วถึง คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากน้อยเพยี งใด
ขึน้ อยูก่ ับ การ ทนั เวลา ความสมบูรณ์ ความกะทดั รัด ตรงกับความตอ้ งการ ความถกู ต้อง ความ
เที่ยงตรง (Precision) และรูปแบบทเ่ี หมาะสม ในเรื่องเดยี วกนั โอไบร์อัน (O’Brien 2001 : 16-17)
กล่าววา่ คุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน 3 มติ ิ ดงั น้ี
1. มิตดิ ้านเวลา (Time Dimension)

สารสนเทศควรจะมีการเตรียมไว้ให้ทนั เวลา (Timeliness) กับความต้องการของผใู้ ช้
สารสนเทศควรจะต้องมีความทนั สมยั หรือเปน็ ปัจจุบัน (Currency)
สารสนเทศควรจะต้องมีความถี่ (Frequency) หรอื บ่อย เท่าที่ผู้ใชต้ ้องการ
สารสนเทศควรมเี ร่อื งเก่ียวกบั ช่วงเวลา (Time Period) ตงั้ แตอ่ ดีต ปจั จุบนั และอนาคต
2. มิติดา้ นเน้อื หา (Content Dimension)

ความถกู ตอ้ ง ปราศจากขอ้ ผดิ พลาด
ตรงกับความต้องการใชส้ ารสนเทศ
สมบรู ณ์ สงิ่ ทีจ่ ำเปน็ จะต้องมีในสารสนเทศ
กะทัดรัด เฉพาะท่จี ำเป็นเท่าน้ัน

38

ครอบคลุม (Scope) ทั้งดา้ นกวา้ งและด้านแคบ (ดา้ นลึก) หรือมจี ุดเน้นทั้งภายในและ
ภายนอก
มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ท่แี สดงให้เห็นไดจ้ ากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถงึ
การพัฒนา หรือสามารถเพ่ิมพนู ทรัพยากร
3. มติ ิด้านรปู แบบ (Form Dimension)
ชดั เจน งา่ ยต่อการทำความเข้าใจ
มที ัง้ แบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรปุ ย่อ (Summary)
มีการเรียบเรยี ง ตามลำดับ (Order)
การนำเสนอ (Presentation) ทห่ี ลากหลาย เช่น พรรณนา/บรรยาย ตัวเลข กราฟกิ และอ่ืน
รูปแบบของสือ่ (Media) ประเภทตา่ ง ๆ เชน่ กระดาษ วีดิทศั น์ ฯลฯ
ส่วนสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถงึ คุณคา่ ของสารสนเทศขึน้ อยู่กับ
การท่ี สารสนเทศนัน้ สามารถชว่ ยใหผ้ ู้ที่มหี น้าที่ตดั สนิ ใจทำให้เปา้ หมายขององค์การสมั ฤทธิ์ผลไดม้ าก
น้อยเพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทำให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์การได้ สารสนเทศนั้นกจ็ ะมี
คุณคา่ สูงตามไปด้วย

39

2.8 ความสำคญั ของสารสนเทศ
การศกึ ษา ดา้ น เศรษฐกิจ ด้านสงั คม ฯลฯ ในลกั ษณะดังต่อไปน้ี
1. ทำใหผ้ ู้บริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ใน
เรอ่ื งดังกล่าว ขา้ งต้น
2. เมอ่ื เราร้แู ละเขา้ ใจในเรอ่ื งท่เี กี่ยวข้องแลว้ สารสนเทศจะชว่ ยให้เราสามารถตดั สนิ ใจ
(Decision Making) ใน เร่ืองต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
3. นอกจากนัน้ สารสนเทศ ยังสามารถทำใหเ้ ราสามารถแก้ไขปัญหา (Solving Problem) ที่
เกิดขน้ึ ไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ ง แมน่ ยำ และรวดเรว็ ทันเวลากับสถานการณต์ ่างๆ ทเ่ี กิดข้ึน

2.9 บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information)
การนำสารสนเทศไปใช้ 3 ดา้ น ดงั นี้ (จิตติมา เทยี มบญุ ประเสริฐ 2544 : 5) ด้านการวางแผน ด้าน
การตดั สินใจ และ ด้านการดำเนินงาน นอกจากนน้ั สารสนเทศยงั มีบทบาท ในเชิงเศรษฐกจิ ดงั นี้
(ประภาวดี สบื สนธ์ 2543 : 7-8)

1. ช่วยลดความเสย่ี งในการตดั สินใจ (Decision) หรือช่วยชีแ้ นวทางในการแก้ไขปญั หา
(Problem Solving)

2. ชว่ ย หรอื สนับสนุนการจดั การ (Management) หรือการดำเนินงานขององค์การ ใหม้ ี
ประสิทธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผลมากขึ้น

3. ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources) ทางกายภาพ เช่น กรณีการเรยี นทางไกล ผเู้ รยี นทเ่ี รยี น
นอกห้องเรยี น จริง สามารถเรียนร้เู รอ่ื งต่างๆ เชน่ เดยี วกบั ห้องเรียนจริง โดยไมต่ ้องเดินทาง
ไปเรียนทหี่ อ้ งเรยี นนัน้

4. ใชใ้ นการกำกบั ตดิ ตาม (Monitoring) การปฏบิ ัติงานและการตดั สินใจ เพื่อดูความก้าวหน้า
ของงาน

5. สารสนเทศเป็นชอ่ งทางโนม้ น้าว หรอื ชักจูงใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาท่ีทำให้
ผู้ชม, ผ้ฟู งั ตดั สนิ ใจ เลือกสินค้า หรือบรกิ ารนั้น

40

6. สารสนเทศเปน็ องคป์ ระกอบสำคัญของการศกึ ษา (Education) สำหรบั การเรยี นรู้ ผา่ นส่ือ
ประเภทตา่ งๆ

7. สารสนเทศเปน็ องค์ประกอบสำคญั ท่ีสง่ เสริมวัฒนธรรม และสันทนาการ (Culture &
Recreation) ในด้าน ของการเผยแพรใ่ นรปู แบบต่างๆ เช่น วดี ิทัศน์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์
เป็นต้น

8. สารสนเทศเปน็ สินคา้ และบริการ (Goods & Services) ท่สี ามารถซ้ือขายได้
9. สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรท่ีต้องลงทนุ (Investment) จงึ จะไดผ้ ลผลิตและบริการ เพ่ือเป็น

รากฐานของการ จัดการ และการดำเนินงาน

2.10 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระบบ คือ กลมุ่ ขององค์การต่างๆ ทที่ ำงานรว่ มกันเพ่ือจุดประสงค์อนั เดยี วกนั ระบบอาจจะ

ประกอบด้วยบคุ คลากร เคร่ืองมอื เครื่องใช้ พสั ดุ วธิ ีการ ซ่ึงทั้งหมดน้จี ะต้องมรี ะบบจัดการอนั หนง่ึ
เพื่อให้บรรลุจดุ ประสงค์อันเดียวกนั

สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลทผี่ ่านการวเิ คราะห์หรอื ประมวลผลแล้ว พร้อม
จะใชง้ านได้ทนั ที โดยไม่ต้องแปล หรอื ตีความใด ๆ อีก
เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง การใชเ้ ทคโนโลยมี าช่วยในการประมวลผล เพื่อให้ไดส้ ารสนเทศ
ตามทตี่ ้องการ

ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้วา่ ประกอบขน้ึ จากเทคโนโลยสี องสาขาหลกั คือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม สำหรบั รายละเอียดพอสังเขปของแต่ละ
เทคโนโลยมี ดี ังตอ่ ไปนคี้ ือ

41

2.11 เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์

คอมพวิ เตอร์เปน็ เคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์ทส่ี ามารถจดจำข้อมูลตา่ ง ๆ และปฏบิ ตั ิตามคำสัง่ ท่ี
บอก เพ่อื ให้คอมพวิ เตอรท์ ำงานอย่างใดอยา่ งหน่ึงให้ คอมพิวเตอรน์ ้ันประกอบด้วยอปุ กรณต์ ่าง ๆ
ต่อเชอ่ื มกนั เรยี กวา่ ฮารด์ แวร์ (Hardware) และอปุ กรณฮ์ ารด์ แวรน์ ีจ้ ะต้องทำงานรว่ มกับโปรแกรม
คอมพิวเตอรห์ รือท่เี รียกกนั วา่ ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. สาขาวิชา
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2546: 4)
ฮาร์ดแวร์ ประกอบดว้ ย 5 สว่ น คอื

1. อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครื่องตรวจกวาดภาพ
(Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบ
แม่เหลก็ (Magnetic Strip Reader), และเครอ่ื งอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)

2. อุปกรณส์ ่งข้อมูล (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครอ่ื งพมิ พ์ (Printer), และเทอรม์ นิ ัล
3. หน่วยประมวลผลกลาง จะทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลักในขณะคำนวณหรือประมวลผล

โดยปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำสั่งที่เก็บไว้ไว้
ในหน่วยความจำหลกั มาประมวลผล
4. หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพื่อใช้ในการคำนวณ และ
ผลลัพธ์ของการคำนวณก่อนที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ส่งข้อมูล รวมทั้งการเก็บคำสั่งขณะกำลัง
ประมวลผล
5. หนว่ ยความจำสำรอง ทำหน้าทีจ่ ดั เกบ็ ข้อมูลและโปรแกรมขณะยังไม่ไดใ้ ชง้ าน เพ่ือการใชใ้ น
อนาคต

42

ซอฟตแ์ วร์ เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำคัญและจำเปน็ มากในการควบคมุ การทำงานของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์
ซอฟตแ์ วร์สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ซอฟต์แวรร์ ะบบ มหี น้าท่ีควบคุมอปุ กรณต์ ่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเปน็ ตวั กลาง
ระหวา่ งผ้ใู ช้กบั คอมพิวเตอรห์ รอื ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ คอื

1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พ่วงต่อกับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เช่น UNIX, DOS, Microsoft
Windows

2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่าง
การประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กัน
ในปจั จบุ นั เช่น โปรแกรมเอดิเตอร์ (Editor)

3. โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ใน
รูปแบบท่เี ครอ่ื งคอมพิวเตอรเ์ ข้าใจและทำงานตามทผ่ี ใู้ ชต้ ้องการ

2. ซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์ เป็นโปรแกรมทีเ่ ขียนข้นึ เพ่ือทำงานเฉพาะด้านตามความตอ้ งการ ซงึ่ ซอฟต์แวร์
ประยกุ ต์นสี้ ามารถแบ่งเปน็ 3 ชนดิ คือ

1. ซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์เพ่อื งานทั่วไป เปน็ ซอฟตแ์ วร์ทส่ี รา้ งข้นึ เพื่อใชง้ านทว่ั ไปไมเ่ จาะจงประเภท
ของธรุ กจิ ตัวอยา่ ง เชน่ Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็น
ตน้

2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจเฉพาะ ตามแต่
วัตถปุ ระสงคข์ องการนำไปใช้

3. ซอฟตแ์ วร์ประยุกต์อน่ื ๆ เปน็ ซอฟตแ์ วร์ที่เขียนขนึ้ เพอ่ื ความบันเทิง และอืน่ ๆ นอกเหนอื จาก
ซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal Information
Management และซอฟตแ์ วรเ์ กมตา่ ง ๆ เป็นต้น

สำหรับกระบวนการการจดั การระบบสารสนเทศ เพือ่ ให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่างรวดเร็ว
ถูกต้อง แมน่ ยำ และมีคณุ ภาพ ดังแผนภาพต่อไปนคี้ ือ

แผนภาพแสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ

43

2.12 เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม

เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกล ๆ เป็นการส่ง
ของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือ
สารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซ่ึง
รูปแบบของข้อมูลที่รบั /สง่ อาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสยี ง
(Voice)

เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบ
โทรคมนาคมทงั้ ชนิดมีสายและไร้สาย เชน่ ระบบโทรศพั ท์, โมเด็ม, แฟกซ,์ โทรเลข, วทิ ยุกระจายเสียง
, วทิ ยโุ ทรทัศน์ เคเบ้ิลใยแก้วนำแสง คลนื่ ไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นต้น

สำหรบั กลไกหลกั ของการส่ือสารโทรคมนาคมมีองคป์ ระกอบพนื้ ฐาน 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ตน้ แหล่ง
ของข้อความ (Source/Sender), สอ่ื กลางสำหรบั การรับ/ส่งขอ้ ความ (Medium), และส่วนรับ
ขอ้ ความ (Sink/Decoder) ดังแผนภาพต่อไปน้ี คือ

แผนภาพแสดงกลไกหลักของการส่ือสารโทรคมนาคม

44

นอกจากนี้ เทคโนโลยสี ารสนเทศสามารถจำแนกตามลกั ษณะการใชง้ านได้เปน็ 6 รปู แบบ ดังน้ีตอ่ ไปนี้
คอื

1. เทคโนโลยที ีใ่ ช้ในการเก็บข้อมูล เชน่ ดาวเทียมถา่ ยภาพทางอากาศ, กล้องดิจทิ ลั , กล้องถ่ายวี
ดที ัศน์, เครอ่ื งเอกซเรย์ ฯลฯ

2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จาน
แมเ่ หล็ก, จานแสงหรือจานเลเซอร์, บัตรเอทเี อม็ ฯลฯ

3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟตแ์ วร์

4. เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เคร่ืองพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยีท่ีใช้ในการจดั ทำสำเนาเอกสาร เชน่ เครื่องถ่ายเอกสาร, เครอื่ งถ่ายไมโครฟิลม์
6. เทคโนโลยสี ำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์,

วทิ ยกุ ระจายเสยี ง, โทรเลข, เทเล็กซ์ และระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และไกล
ลักษณะของข้อมลู หรือสารสนเทศทสี่ ง่ ผา่ นระบบคอมพิวเตอร์และการสอื่ สาร ดงั นี้

ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้กันอยู่ทัว่ ไปในระบบสือ่ สาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของ
สัญญาณเป็นคล่ืนแบบตอ่ เน่ืองที่เราเรียกว่า "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่าง
ไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลบั กัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า
"สัญญาณดิจิตอล" ซ่ึงขอ้ มลู เหลา่ น้นั จะส่งผา่ นสายโทรศพั ท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์
เครื่องหนงึ่ ไปยังเครื่องอน่ื ๆ ผา่ นระบบโทรศัพท์ กต็ ้องอาศยั อปุ กรณช์ ว่ ยแปลงสัญญาณเสมอ ซึ่งมีชื่อ
เรยี กวา่ "โมเดม็ " (Modem)

45

2.13 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง

พฤติกรรมดา้ นต่าง ๆ ของผูค้ นไว้หลายประการดงั ต่อไปน้ี (จอห์น ไนซบ์ ิตต์ อ้างถงึ ใน ยืน ภู่วรวรรณ)

• ประการที่หนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็น
สงั คมสารสนเทศ

• ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็น
เศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของ
เครือขา่ ยสารสนเทศทำใหเ้ กิดสงั คมโลกาภิวฒั น์

• ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบ
แนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย
การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเปน็ ตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ได้ง่ายและรวดเรว็

• ประการที่สี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผสั และสามารถตอบสนอง
ตามความตอ้ งการการใชเ้ ทคโนโลยใี นรูปแบบใหม่ที่เลอื กได้เอง

• ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุก
เวลา

• ประการทหี่ ก เทคโนโลยสี ารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนนิ การระยะยาวข้ึน อีกท้ัง
ยงั ทำให้วถิ ีการตัดสินใจ หรือเลอื กทางเลือกไดล้ ะเอียดขึ้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมบี ทบาทที่สำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
โลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง
ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาตา่ ง ๆ

ปจั จัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้
จากงานวจิ ัยของ Whittaker (1999: 23) พบวา่ ปัจจยั ของความลม้ เหลวหรือความผิดพลาดท่ีเกิดจาก
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ มสี าเหตุหลัก 3 ประการ ไดแ้ ก่

1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่ง
องคก์ ารมีขนาดใหญ่มากขนึ้ เท่าใด การจดั การความเส่ียงย่อมจะมีความสำคญั มากข้ึนเป็นเงา
ตามตวั ทำให้คา่ ใช้จา่ ยดา้ นน้เี พิม่ สงู ข้ึน

2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การ
จำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หาก
เลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ
ตามมา และเป็นการส้นิ เปลอื งงบประมาณโดยใช่เหตุ


Click to View FlipBook Version