The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ท่องดินแดนสัตว์ในตำนาน จะพาคุณไปรู้จักกับตำนานสัตว์ทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย กรีก จีน ญี่ปุ่น อียิปต์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fang Jeeranan, 2023-10-17 20:30:06

ท่องดินแดนสัตว์ในตำนาน

ท่องดินแดนสัตว์ในตำนาน จะพาคุณไปรู้จักกับตำนานสัตว์ทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย กรีก จีน ญี่ปุ่น อียิปต์

จีระนันท์ เขียวขำ ท่องดิ นแดน สั ตว์ในตำ�นาน


A


B สารบัญ สัตว ์ในตำ�นานไทย ราชสีห์ ช้างเอราวัณ ปลาอานนท์ ครุฑ นกกรวิก นาค กินร นารีผล เวตาล นรสิงห์ สัตว ์ในตำ�นานกรีก เพกาซัส ไซคลอปส์ สฟิงซ์ เซอร์เบอรัส, ไคเมร่า มังกรไฮดรา ไทฟอน มังกรลาดอน กริฟฟอน บาซิลิสก์ เซนทอร์ 12 12 14 15 16 17 18 19 20 21 22123456789 10 11


C สัตว ์ในตำ�นานจีน ฉยงฉี เทาเที่ย, เถาอู้ ฮุ่นตุ้น กิเลน โจวหวู เต่ามังกร เฟิ่งหวง นกเก้าหัว 23 23 24 25 26 28 29 30 32 สัตว ์ในตำ�นานญีปุ่่น ยามาตะ โนะ โอโรจิ บาเกะเนโกะ เนโกะมาตะ โจโรกุโมะ คามะอิทาจิ นูเรออนนะ, คาตะคูราวะ อิโซนาเดะ อัคโคโรคามุย เบคคุจิระ 34 34 36 38 39 40 41 42 43 44 สัตว ์ในตำ�นานอียิปต ์ เซธ อนูบิส ฮอรัส อโพฟิส เคปรี ธอธ โซเบก เซคเมต รา, อัมมิต บัสเตต 45 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54


D


1 ไทย หากจำ กล่าวถึงสัตว์ในตำ นานของ ประเทศไทยคงจะไม่พ้นสัตว์ใน ‘ป่าหิมพานต์’ พื้นที่ ที่ไม่สิ้นสุดในการสร้างสรรค์ ป่าหิมพานต์มาจากคติความเชื่อแบบพุทธ ในไทยเราปรากฏอยู่ใน ‘ไตรภูมิพระร่วง’ หรือ ‘เต ภูมิกถา’วรรณกรรมพุทธศาสนาเก่าแก่สมัยสุโขทัย เตภูมิกถาเป็นหนังสือที่พูดถึง‘จักรวาลวิทยา’ แบบ พุทธๆ จักรวาลวิทยามีความสำคัญคือเป็นคำอธิบาย เรื่องความเป็นไปของโลก ที่สำคัญคืออธิบายว่าเรา อยู่ตรงไหนของโลก และจะไปทางไหน ในไตรภูมิเอง พูดถึงภพทั้งสามคือ กามภูมิรูปภูมิอรูปภูมิอัน เป็นภพภูมิที่เราๆ เวียนว่ายอยู่ นอกจากนี้ยังพูดถึง วงจรกำเนิดไปจนถึงการสิ้นสุดของโลก โดยรวมแล้็ ประมาณว่าโลกเรามีที่พิเศษและแสนสุขแค่ไหน แต่ สุดท้ายก็ไม่จีรัง นิพพานจึงเป็นปลายทางที่ควรไป ในไตรภูมิป่าหิมพานต์ไม่เชิงเป็นป่า แต่เป็นภูเขาว่า เรียกเขาพระหิมพานต์ ต้นตอที่มาเขาหิมพานต์ราก สันสกฤตมาจากหิมาลัย อันแปลว่าสถานที่ที่ถูกปกคลุม ด้วยหิมะ ในคัมภีร์บอกว่าเขาพระหิมพานต์ตั้งอยู่ใน แผ่นดินชมพูทวีป หนึ่งในสี่ทวีปใหญ่ในจักรวาลวิทยา แบบพุทธ บนเขามีสระน้ำใหญ่ 7 สระ สระสำคัญก็ เช่น สระฉัททันตะเป็นที่อยู่ของพญาช้าง และสระ อโนดาต ที่เป็นยอดเขาของป่าหิมพานต์ ในป่านี้มี สัตว์และพันธ์ุไม้ประหลาดมากมาย เช่น มีต้นหว้า ใหญ่ที่เอามือล้วงเข้าไปสุดแขนจึงจะถึงเมล็ด ยาง ของต้นหว้าเมื่อตกลงในน้ำจะกลายเป็นทองคำ นก ที่กินลูกหว้าก็มีขนาดเท่าบ้านเรือน ป่าหิมพานต์จึง เป็นพื้นที่สำคัญที่จิตรกรและกวีจะสร้างสรรค์เรื่อง ราวน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงสัตว์พิเศษพันธุ์ผสมทั้ง หลายจากป่าหิมพานต์นี้ สัตว ์ในตำ�นาน


2 ราชสีห์ ในไตรภูมิมีภูมิหนึ่งชื่อติรัจฉานภูมิสรรพ สัตว์อันเป็นภพที่ต่ำกว่ามนุษย์ โดยสัตว์ดำรงชีวิต ด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เป็นลำดับชั้น เป็นสิ่งมี ชีวิตที่เอาตัวรอด แต่ไม่ ‘รู้บุญรู้ธรรม’ คำว่าติรัจฉาน แปลว่า ‘ไปด้วยอก’ หรือการมีร่างกายขนานกับพื้น โดยที่อยู่อาศัยคือป่าหิิมพานต์ ราชสีห์เป็นหนึ่งในสัตว์หิมพานต์ที่พบได้ ป่าหิมพานต์มีทั้งหมด 4 ประเภท มีลำดับขั้นและ พลังอำนาจลดหลั่นกันไป สำหรับกลุ่มของราชสีห์นั้น ตำนานไทยได้แบ่งไว้ เป็น 4 พวก คือ • บัณฑุราชสีห์ (Buntu Rajasri) มีผิวกายสี เหลืองคล้ายใบไม้สีเหลือง มีขนาดใหญ่เท่าวัว กินเนื้อเป็นอาหาร • กาฬสีหะ (Kala Sriha) มีผิวกายสีดำชนิด ขนาดใหญ่เท่าวัว กินพืชเป็นอาหาร • ติณสีหะ (Tinna Sriha) มีผิวกายสีแดง กิน หญ้าเป็นอาหาร(ติณ– หญ้า) มีกีบเท้าแบบม้า • ไกรสรสีหะ (Kraisorn Rajasri) เป็นราชสีห์ ที่มีพละกำลังมากที่สุด ลักษณะเด่นคือมีริมฝีปากและปลายเท้า เป็นแดงชาด มีรูปลักษณ์สง่างาม และมีแผงคอ เหมือนสร้อย ส่วนร่างกายนั้นขาวเหมือนหอยสังข์ ระดับความเก่งของสัตว์อัศจรรย์นี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะ มันมีถ้ำคูหาทอง เงิน หรือแก้วส่วนตัว ถึงเวลามัน ก็ออกจากคูหาขึ้นไปคำรามพร้อมกับสะบัดขนบน แท่นหินส่วนตัวที่เรืองเหมือนทอง เจ้าไกรสรสีหะนี้ ในยามกลางคืนที่มืดสนิท เวลามันออกมาเดินเที่ยว เล่นก็จะเจิดจ้าและสง่างามเหมือนกับคนที่มีกำลังถือ คบไฟแกว่งไปมา ว่ากันว่าไกรสรสีหะนี้เป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง พลัง พิเศษของมันคือการคำรามที่ดังไกลไปถึง 3 โยชน์ สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในรัศมีพอได้ยินเสียงของมันก็จะ พากันตกใจจนสลบไป ส่วนพวกที่ไม่สลบก็พากัน หนีหัวซุกหัวซุน แม้แต่พวกช้างก็ยังเกรงกลัวขนาด ว่าถูกผูกไว้ด้วยโซ่ก็แทบจะดึงโซ่ขาด สิ่งมีชีวิตที่จะ ทนเสียงของสิงห์เทพตัวนี้ได้มีแค่ม้าพลาหกตระกูล และผู้มีบุญระดับพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์รวม ถึงไกรสรสิงหะด้วยกันเอง


3 ช้างเอราวัณ คำว่า “เอราวัณ” ยังเขียนได้ต่างๆกันใน ภาษาไทยและภาษาบาลีสันสันสกฤต เช่น ไอราวัณ ไอราพต เอราวณ ไอราวต ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึง น้ำ เมฆฝน หรือก้อนเมฆที่มีฟ้าแลบ ทำให้เกิดฝน รายละเอียดของ “ช้างเอราวัณ” วมีลักษณะ พิเศษยิ่ง คือ เป็นช้างเผือกที่มีผิวกายดังสีสังข์ มี เศียรที่งดงามถึง ๓๓ เศียร แต่ละเศียรจะมีงาที่ สวยงามดังเพชรอยู่๗ งาแต่ละงาจะมีสระโบกขรณี (สระบัว)อยู่ ๗ สระ แต่ละสระก็จะมีบัวอยู่ ๗ กอ แต่ละกอจะมีดอกบัวอยู่ ๗ ดอก แต่ละดอกจะมี กลีบบัว ๗ กลีบ แต่ละกลีบจะมีเทพธิดาประจำอยู่ ๗ องค์ แต่ละองค์จะมีบริวารอยู่ ๗ ตน และทุก เศียรจะมีวิมานแก้วที่งดงามราวปราสาทเวไชยันต์ ตั้งอยู่นอกจากนี้ยังทรงเครื่องด้วยแก้วเก้าประการ เช่น ซองหางและกระวิน(ห่วงที่เกี่ยวกันสำหรับโยง สัปคับช้าง) ประดับด้วยโกเมน สายชนักเป็นสร้อย ถักด้วยทอง มีตาข่ายเพชรตกแต่งที่เศียร และมีผ้า ทิพย์ประดับอยู่ที่ตระพองและหูทุกหูก็มีพู่ห้อยอย่าง สวยงาม ถ้าเทียบกับสาวๆก็เรียกได้ว่าแต่งองค์ทรง เครื่องเต็มยศ และใส่เครื่องเพชรเครื่องทองอย่าง เต็มที่ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้พระลักษณ์ตาลายเมื่อแรก เห็นได้อย่างไร เพราะแค่รูปร่างที่ปรากฏก็ใหญ่โต เป็นภูเขาเลากา แถมยังเป็นภูเขาเคลื่อนที่ที่ประดับ ประดาตกแต่งซะงามเลิศอลังการขนาดนั้น มีผู้คำ นวณสิ่งที่ปรากฏบนตัวช้าง เอราวัณรวมกันได้ว่า มี๓๓ หัว มีงา ๒๓๑ งา มี สระบัว ๑,๖๑๗ สระ มีกอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ มีด อกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก กลีบบัว ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ เทพธิดา ๓,๘๘๒,๔๑๗ องค์และมีบริวารเท่ากับ ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง ผิดถูกยังไงใครเก่งเลขก็ลอง คำนวณดูก็แล้วกัน อินทรชิตแปลงเป็นพระอินทร์ครั้ง นี้นับว่าต้องใช้บริวารจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว เพราะแค่นางฟ้ากับเหล่าบริวารก็ปาไป ๓๐ กว่าล้านนางแล้ว ยังไม่นับพวกที่ต้องแปลงเป็น เทวดา ครุฑนาค กินนรฤษีคนธรรพ์ที่เป็นขบวนตาม เสด็จอื่นๆอีก สำหรับหน้าที่สำคัญของช้างเอราวัณ ก็คือ การเป็นพาหนะของพระอินทร์ในการนำเสด็จ ไปยังที่ต่างๆทั้งบนสวรรค์โลกมนุษย์เพื่อสอดส่อง ดูแลทุกข์สุขของชาวโลก อีกทั้งยังเป็นช้างศึกยาม ที่พระอินทร์ออกไปสู้รบกับเหล่าอสูรหรือศัตรูและ จากความเชื่อที่ว่าพระอินทร์เป็นเทพที่กำกับดูแล ดินฟ้าอากาศที่มีสายวัชระเป็นอาวุธ จึงมีหน้าที่อีก อย่างในการช่วยกำจัดความแห้งแล้ง และนำความ อุดมสมบูรณ์มาสู่โลก ดังนั้น ช้างเอราวัณจึงมีหน้า ที่ช่วยดูดน้ำจากโลกขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อพระอินทร์ บันดาลให้เกิดเป็นฝน ตกลงสู่โลกมนุษย์ซึ่งสอดคล้อง กับชื่อเอราวัณ ที่มีความหมายถึงน้ำหรือเมฆฝนที่ได้ กล่าวถึงในตอนต้น


4 ปลาอานนท์ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องที่ว่าตามคติ โบราณของคนไทย ใต้ผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัยของ มนุษย์ มีปลาอานนท์คอยเอาตัวหนุนรองรับไว้ซึ่ง เชื่อมโยงไปถึงคำอธิบายสาเหตุแผ่นดินไหว ว่าเกิด จาก “ปลาอานนท์พลิกตัว” ความเป็นมาของพญาปลาอานนท์มีรายละเอียดใน คัมภีร์หลายเล่ม แต่เล่าไว้คล้ายๆ กัน ดังนี แรกเริ่มเดิมทีฝูงปลาในมหาสมุทรลงคะแนนเสียง โหวตให้ปลาอานนท์ดำรงตำแหน่งผู้นำ เวลานั้น ปลายังกินสาหร่ายและจอกแหนเป็นอาหารวันหนึ่ง อานนท์ไม่ทันสังเกตว่ามีปลาตัวน้อยว่ายอยู่ในกอ สาหร่าย จึงเผลอฮุบเข้าไปด้วย เคี้ยวกร้วมๆ แล้ว รู้สึกว่า เอ๊ะ!วันนี้สาหร่ายอร่อยจริงเกิดสงสัยใคร่รู้ คายออกมาดูถึงพบเศษศพปลา ปนกับพืชน้ำ จึง สรุปได้ว่ารสชาตินั้นคือโปรตีนจากเนื้อปลา “พญาปลาก็สำคัญว่า รสปลานี้อร่อย หนักหนา แต่ก่อนไม่รู้ว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้จะทำ อย่างไรจึงจะได้กินปลาทุกวันๆ” อานนท์รู้ดีว่าหากตนเองออกเที่ยวแหวกว่ายไล่จับ บริวารมากินก็จะทำ ให้ฝูงปลาแตกตื่นหนีหายไป หมด จึงคิดวางแผนกลอุบาย นับแต่นั้นมาเวลาปลาทั้งหลายมาเข้าเฝ้าอานนท์ขาก ลับออกไป ตัวไหนว่ายน้ำรั้งท้ายตามเพื่อนๆ ไม่ทัน ก็จะถูกจับกิน พอทำเช่นนี้บ่อยเข้า ปลาทั้งหลายชัก เริ่มเอะใจว่าญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของตนหายหน้า ไปไหน ดูร่อยหรอไปทุกทีจากนั้นพยายามสังเกต ดูจนรู้สึกว่าอานนท์มีพิรุธ ปลาน้อยตัวหนึ่งเลยรับ อาสาเป็น “ปลานักสืบ” ให้โดยเมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ก็ อาศัยจังหวะแอบไปหลบอยู่ในหูของอานนท์(หูปลา อยู่ตรงไหน ? ใครรู้ช่วยบอกที) จึงได้เป็นประจักษ์ พยานแห่ง “เมนูปลา” ตัวสุดท้าย เมื่อตระหนักถึง ความฉ้อฉลของราชา ข่าวคาวนี้ก็แพร่กระจายไป ทั่วมหาสมุทร ฝูงปลาทั้งหลายจึงพากันหลีกเร้น กาย ไม่ไปเข้าเฝ้าอานนท์อย่างเคย เมื่อไม่มีเหยื่อเข้ามา อานนท์เริ่มหิวโหย จึงว่ายน้ำออกตามล่าฝูงปลา จนพบเกาะแห่งหนึ่ง เข้า ดูท่าทีแล้ว คาดว่าพวกปลาเล็กปลาน้อยคง ไปแอบหลบทางด้านหลังเกาะเป็นแน่ จึงกวาดหาง อ้อมไปท้ายเกาะ แล้วค่อยๆ กระชับพื้นที่ เอาหาง ตีโอบเข้ามาทีละน้อย เหมือนอย่างคนล้อมวงตีอวน จับปลา แต่แล้วด้วยอารามหิวและโลภเจตนา พอ อานนท์มองเห็นปลายหางของตัวเองกระดิกไหวๆ อยู่ไกลๆ ทางด้านท้ายเกาะ ก็ดันเกิดไปนึกว่าเป็น ปลาตัวอื่น จึงอ้าปากงับหางที่มองเห็นอย่างเต็ม แรงจนหางขาด เลือดทะลักละลาย น้ำทะเลกลาย เป็นสีแดงฉาน ปลาทั้งหลายได้กลิ่นคาวเลือดก็พา กันมากลุ้มรุมกัดกินเนื้ออานนท์บ้าง ชั่วเวลาไม่นาน ก็เหลือแต่ก้างกองแหงแก๋อยู่ จิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระพุทธรูปประธานที่ วัดใหญ่อินทาราม จังหวัดชลบุรีในมหาสมุทรตรง เชิงเขาพระสุเมรุ มีภาพปลาใหญ่เอาตัวโอบรอบ เขาพระสุเมรุทำท่าอ้าปากจะคาบกัดหางตัวเองอยู่ สันนิษฐานว่าช่างคงต้องการเล่าเรื่องราวในบั้นปลาย ชีวิตของพญาปลาอานนท์นี่เอง


5 ครุฑ ครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพที่มีฤทธิ์สูง ที่อาศัยของ ครุฑจริงๆ อยู่นอกเขตป่าหิมพานต์มีศักดิ์ใกล้เคียง กับเทพยดาในสวรรค์อาศัยบริเวณตีนเขาพระสุเมรุ (ยอดเขาพระสุเมรุหรือดาวดึงสวรรค์) ที่ตีนเขาถิ่น ที่อยู่ของครุฑเป็นวิมานชื่อสิมพลีเป็นป่างิ้วขึ้นเป็น ระเบียบเรียบสวยงาม อาหารของครุฑก็คือนาค แต่ ก็ใช่ว่าจะจับกินตามอำเภอใจได้ลำดับของครุฑและ นาควัดกันด้วยการกำเนิด การเกิดด้วยชลาพุชโย นิและอัณฑชโยนิ(คลอดออกมาเป็นตัวหรือเป็นไข่) จะมีลำดับต่ำว่าพวกที่เกิดแบบมหัศจรรย์คือ สังเส ชโยนิและอุปปาติกโยนิ(คือผุดออกมาจากไคล หรือ แบบหลังคือเกิดเป็นตัวเป็นตนเลย) ครุฑจะแบ่งได้4 ประเภทคือ ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก ดังเช่น • ตัวเป็นคน หัวเป็นนก • ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก • ตัวเป็นนก หัวเป็นคน • รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว


6 เสียงของนกกรวิกมีผลถึงทั้งในน้ำจนใน อากาศ ปลา นก หรือสัตว์ทั้งหลายที่ได้ต่างก็ต้อง ตกอยู่ในภาวะงงงวย ตะลึงงัน พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) เมื่อครั้ง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร เคยมีจดหมาย กราบทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติ วงศ์ (ภายหลังรวมพิมพ์อยู่ในหนังสือชื่อ “บันทึก ความรู้ต่างๆ”)ว่าท่านได้ให้เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ฯ สอบ ค้นตำราดูว่านกการเวกรูปร่างเป็นอย่างไร ปรากฏ ว่าพบหลายแบบ ใน “สมุดภาพสัตว์หิมพานต์” เขียนไว้ ให้มีหัว มือ และตีน เหมือนครุฑ มีปีกอยู่ที่สองข้าง ตะโพก แต่ขนหางคล้ายใบมะขาม ยาวอย่างขนนก ยูง ส่วน “สมุดภาพรอยพระพุทธบาท ฉบับ วังหน้าในรัชกาลที่๓” เขียนรูปมีลักษณะคอยาว หัว เหมือนนกกระทุง ขนหางเป็นพวงเหมือนไก่แต่มีขา ยาวเหมือนนกกะเรียน ที่แตกต่างกันได้ขนาดนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าเพราะ นกการเวกเป็น “สัตว์หิมพานต์” ที่ไม่เคยมีใครเห็น ตัว อีกทั้งในคัมภีร์ก็ไม่เคยอธิบายว่ารูปร่างมันเป็น อย่างไรแน่ต่างคนจึงต่างนึกฝันกันไปตามจินตนากา แต่แม้เราอาจไม่เคยได้เห็นตัวนกการเวกเป็นๆ ในแดน มนุษย์แต่มีมรดกอีกอย่างหนึ่งของนกการเวกที่ทิ้ง ไว้ให้เราเห็น คือ “ขี้”ดังมีพลอยสีเขียวอมฟ้าชนิด หนึ่ง ในภาษาไทยเรียกกันว่า “พลอยขี้นกการเวก” นกกรวิก นกกรวิกเป็นนกที่มีแหล่งอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์พลังพิเศษของนกตัวนี้คือเสียงที่ไพเราะ ระดับเหนือโลก ไตรภูมิพระร่วง เล่าว่า “อันว่านก ทั้งหลายอันมีในป่า มีอาทิคือนกกรวีก แลนกยูง แลนกกระเรียน แลนกกระเหว่าทั้งหลาย เทียรย่อม ชวนกันมาฟ้อนรำตีปีกฉีกหาง แลร้องด้วยสรรพ สำเนียงเสียงอันไพเราะ มาถวายแด่พระยาศรีธร รมาโศกราชทุกวันบ่มิได้ขาดแล นกฝูงนั้นเทียรย่อม ฝูงนกอันอุดมแลมาแต่ป่าพระหิมพานต์โพ้นไส้” ไพเราะระดับทำให้ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์ที่ได้ยินก็พากัน ตะลึงงัน กล่าวว่าขนาดเสือกำลังไล่เนื้อ หรือเด็กที่ถูก


7 นาค นาค และนางนาคีปกติมีร่างเป็นงูใหญ่ แต่มีฤทธิ์นิรมิตรูปกายอื่นได้ ตามตระกูลแห่งนาค ซึ่งแบ่งเป็นนาคนิมิตกายได้ กับนาคนิมิตกายไม่ได้ นาคจำพวกนิมิตกายได้ยังขึ้นอยู่กับถิ่นที่อาศัย คือ นาคอยู่บก นิมิตกายได้แต่ในบก และนาคอยู่ในน้ำ นิมิตได้แต่ในน้ำ โดยนาคใต้น้ำจะอาศัยอยู่บริเวณ บาดาล ใต้เขาหิมพานต์ ตระกูลนาคทั้งหลายเมื่อ ปรารถนาจะหาอาหาร หรือมีเหตุอื่นใด ก็จำแลง รูปเป็นเทพบุตร เทพธิดา บางทีมีเพศเป็นงูเห่าดำ เป็นเพศงู เพศกระแต ตามแต่จะแสวงหาอาหาร นาคแม้มีฤทธิ์เพียงใดก็ตาม แต่ไม่อาจละชาติของ ตนได้ย่อมคืนร่างเป็นนาคในวาระทั้ง 5 คือ 1) เมื่อตายหรือจุติ2) เมื่อเวลาเกิด 3) เมื่อนอน หลับ 4) เมื่อเสพเมถุนธรรมกับนาคงู อันเป็นชาติ ของตน 5) เมื่อลอกคราบ ตามคติพระพุทธศาสนา นาคมีทั้งที่เป็นสัมมา ทิฐิและมิจฉาทิฐินาคเคยปรากฏเรื่องเป็นต้นบัญญัติ พระวินัย เนื่องจากนาคจำแลงเป็นบุรุษมาบวชใน พระพุทธศาสนา เมื่อนอนหลับ กายกลับคืนเป็น ชาติของตน ทำให้พระสงฆ์ตื่นตกใจ พระพุทธองค์ จึงทรงบัญญัติห้ามนาคบวช เนื่องจากมีชาติเป็น ดิรัจฉาน ไม่สามารถเข้าถึงสัทธรรมได้ ในมหาสมัยสูตร อันเป็นพระสูตรว่าด้วยการชุมนุม ใหญ่ของเทพยดาทั้งปวงเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ครั้งประทับ ณ ป่ามหาวัน ใกล้ กรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ กล่าวว่านาคฝ่ายสัมมา ทิฐิพร้อมด้วยบริวาร มาร่วมเข้าเฝ้า 6 เหล่า คือ นาสภะ หมายถึง เหล่านาคผู้อาศัยอยู่ในสระนภสะ เวสาละ นาคที่อยู่ในเมืองเวสาลีกัมพลอัสดร นาค อยู่ยังเชิงเขาพระสุเมรุปายาคะ นาคอยู่ที่ท่าปยาคะ ยามุนะ นาคอยู่ในลำน้ำยมุนาและธตรฐ นาคเกิดใน ตระกูลธตรฐ บรรดานาคเหล่านี้ย่อมพิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนาในกาลทุกเมื่อ จึงมักปรากฏรูปนาค สร้างประกอบไว้ในศาสนสถานเสมอ ในงานพุทธศิลป์มักสร้างรูปนาคผู้มีฤทธิ์มีพิษ ร้ายแรง มีอำนาจบันดาลให้ฝนตก เกี่ยวข้องกับความ อุดมสมบูรณ์เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยทรัพย์มีความสุข มาก และมีอายุยืนนาน เป็นทวารบาล หรือประดับ ยังส่วนแห่งอาคารเพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาสถาน นำความสุข ความเจริญ ให้แก่พุทธบริษัท โดยทั่วไป สร้างรูปเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) รูปเป็นงูมีหลายเศียร ตั้งแต่ 3 เศียร 5 เศียร 7 เศียร และ 9 เศียร เป็นต้น 2) รูปครึ่งมนุษย์ครึ่งงู เรียกว่า นาคจำแลง หรือ นาคแปลง 3) รูปมนุษย์มีพังพานงูแผ่ปกที่คอและเศียร เรียก ว่า มนุษยนาค


8 ตำนานของกินรี กินรีมีต้นกำเนิดที่แท้จริงเป็นมาอย่างไรนั้นยังไม่พบตำราไหนกล่าวไว้ชัดเจน แต่ในเทวะประวัติ ของพระพุธกล่าวไว้ว่า เมื่อท้าวอิลราชประพาสป่าแล้วหลงเข้าไปในเขตหวงห้ามของพระศิวะนั้น ท้าวอิล ราช และบริวารถูกสาปให้แปลงเพศเป็นหญิงทั้งหมด ต่อมานางอิลา คือ ท้าวอิลราชถูกสาป และบริวาร ที่มาเล่นน้ำอยู่ใกล้อาศรมของพระพุธ เมื่อพระพุธเห็นนางเข้าก็ชอบ รับนางเป็นชายา และเสกให้บริวาร ของนางกลายเป็น กินรีโดยบอกว่าจะหาผลาหารให้กิน และจะหากิมบุรุษให้เป็นสามีแสดงว่า กิมบุรุษ หรือ กินนร และกินรีมีต้นกำเนิดมาจากการเสกของพระพุธ ในหนังสือของ พี.ธอมัส กล่าวว่าที่เชิงเขาเมรุเป็นที่อยู่ของคนธรรพ์ กินร และสิทธิ์ และว่า คนธรรพ์กับกินนรเป็นเชื้อสายเดียวกัน ส่วนในภัลลาติชาดก กล่าวว่า กินนรมีอายุ๑,๐๐๐ ปีและธรรมดา กินนรนั้นย่อมกลัวน้ำเป็นที่สุด ซึ่งน่าจะขัดแย้งกับอุปนิสัยกินนรในเรื่องพระสุธน เพราะนางมโนห์ราชอบ ไปเล่นน้ำที่สระกลางป่าหิมพานต์จึงถูกพรานบุญดักจับตัวได้ และในกัลลาติชาดก ยังได้แบ่งพวกกินนรออกเป็น ๗ ประเภท คือ • เทวกินนร เป็นพวกเทพกินนร ครึ่งเทวดาครึ่งนก เป็นประเภทที่คนไทยคุ้นเคย • จันทกินนรา จากนิทานชาดก เรื่องจันทกินรีมีรูปกายเป็นคน แต่มีปีก • ทุมกินนรา น่าจะเป็นพวกอาศัยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ • ทัณฑมาณกินนรา ชนิดนี้น่าจะมีอะไรคล้ายๆ นกทัณฑิมา ซึ่งเป็นนกปากยาวดุจไม้เท้าอยู่บนใบบัว • โกนตกินนรา – ยังไม่ทราบว่ามีลักษณะใด • สกุณกินนรา – น่าจะเป็นกินนรที่มีร่างท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นนก ยังไม่ทราบชัดว่าแตกต่างจาก ประเภทที่ ๑ และ ๒ อย่างไร • กัณณปาวรุณกินนรา – ยังไม่ทราบว่ามีลักษณะใด กินรี(ตัวเมีย) และ กินร (ตัวผู้) เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ร่างกาย ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็น นก มีปีกบินได้ตามตำนานเล่าว่า อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์เชิงเขาไกร ลาศ นับเป็นสัตว์ที่มีปรากฏในงาน ศิลปะของไทยมาก ส่วนในวรรณคดี ไทยก็มีการอ้างถึงกินรีด้วยเช่นกัน กินรี


9 นารีผล นารีผล หรือ มักกะลีผล เป็นพรรณไม้ ตามความเชื่อจากตำนานป่าหิมพานต์ เป็นพืชที่ ออกลูกเป็นหญิงสาว เมื่อผลสุกแล้ว บรรดา ฤๅษี กินร วิทยาธร คนธรรพ์จะเอาไปเสพสังวาส ต้นกำเนิดของนารีผล ตำนานมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระเวสันดรกับพระนางมัทรีพร้อมกับกัณห าและชาลีได้ถูกเนรเทศออกจากนครจึงเดินทางไปสู่ ป่าหิมพานต์และบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น ที่ป่าหิมพานต์มีสัตว์ป่ามากมายอันตราย รอบด้าน ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อได้รับเมตตาจิต จากพระเวสสันดร ก็คลายความดุร้ายลง กลายเป็น มิตร … นอกจากสัตว์ป่าทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีดาบส ฤๅษีนักสิทธิ์วิทยาธร คนธรรพ์ทั้งหลายอาศัยอยู่ หรือไปมาอยู่เรื่อยๆ พระนางมัทรีผู้มีรูปร่างโสภา บางครั้งออกหาอาหาร หาผลไม้ตามลำพังคนเดียว หากนักสิทธิ์วิทยาธร ตลอดถึงฤๅษีมาพบเข้า อาจ ตบะแตก แล้วล่วงศีลได้ ท้าวสักกะเทวราชได้เล็งเห็นเหตุร้ายนี้แล้ว พระองค์ จึงเนรมิตต้นไม้วิเศษไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึง ถิ่นแดน อันเป็นที่พำนักของพระเวสสันดรและนา งมัทรีรวม 16 ต้น ต้นไม้วิเศษนี้ ออกผลซึ่งมีรูป ร่างเหมือนสตรีผลโตเต็มที่จะมีทรวดทรงปานสาว งามแรกรุ่น แต่ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว รูป ร่างหน้าตา งดงามปานเทพธิดา… เมื่อเหล่าบรรดา ดาบส ฤๅษีนักสิทธิ์วิทยาธร คนธรรพ์ทั้งหลายเดิน ทางมาพบเข้าจึงพากันไปเด็ดเพื่อเสพสังวาล ทำให้ เหล่าบรรดาดาบส ฤๅษีนักสิทธิ์วิทยาธร คนธรรพ์ หมดอิทธิฤทธิ์ลงเนื่องจากผลเสพสังวาลนารีผล ไม่ สามารถเหาะไปต่อหรือออกมาได้ทางเดียวที่จะออก มาก็ต้องบำเพ็ญเพียรใหม่จนแก่กล้าจึงจะออกไปได้ การที่ท้าวสักกะเทวราชเนรมิตต้นวิเศษทั้ง 16 ต้น นี้เพื่อเป็นด่านป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแก่นางมัทรี ให้เสื่อมเสียได้แม้พระเวสสันดรและพระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่ากลับเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้นตราบเท่าทุกวันนี้


10 เวตาล เวตาล เป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง คล้าย ค้างคาวผีในปรัมปราคติของฮินดูดำรงอยู่เป็นภูตที่ อาศัยในซากศพผู้อื่นในตอนกลางวัน ศพเหล่านี้อาจ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อนการเดินทางเพราะขณะที่เวตาล อาศัยอยู่นั้น ซากศพจะไม่เน่าแต่เวตาลอาจออกจาก ศพเพื่อหากินในตอนกลางคืน ในพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 กล่าวไว้ว่า “เวตาล คือ ผีจำพวกหนึ่ง ชอบสิงอยู่ในป่าช้า” ตามตำนานของชาวฮินดู กล่าวว่าเวลา นั้นเป็นวิญญาณร้ายที่วนเวียนอยู่ตามสุสาน และ คอยเข้าสิงอยู่ในซากศพต่างๆ มันจะทำร้ายมนุษย์ ที่เข้าไปรบกวน เหยื่อของเวตาลจะถูกเข้าสิง ทำให้ มือและเท้าหันไปข้างหลังเสมอ เวตาลยังทำให้ผู้คน เป็นบ้า ฆ่าเด็ก และแท้งลูก แต่เวตาลยังมีข้อดีคือ มันจะคอยดูแลหมู่บ้านของมันเอง เวตาลนั้นเป็นวิญญาณร้าย คอยทำร้าย บุคคลที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้พ่อแม่ ด้วย เหตุนี้พวกเขาจึงถูกกักอยู่ในแดนสนธยา ระหว่าง การดำรงอยู่ด้วยชีวิต และการดำรงอยู่หลังมีชีวิต (หลังความตาย) ปิศาจเหล่านี้อาจได้รับอามิสด้วยเครื่องเซ่นหรือถูก ขับให้ตกใจด้วยมนตร์เวตาลอาจหลุดพ้นจากสภาพ ปิศาจได้หากการทำพิธีศพของตน แต่เมื่อเป็นปิศาจ แล้ว ก็ไม่สามารถพ้นจากกฎแห่งเวลาและเทศะ พวก มันจะความรู้ประหลาดเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต และหยั่งรู้สึกถึงใจตน ดังนั้นหมอผีจำนวน มากจีงพยายามดั้นด้นเสาะหาเวตาล และควบคุม เอาไว้ใช้เป็นทาส มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งหมอผีกราบทูล ให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาล ซึ่งอาศัยอยู่บน ต้นไม้ในใจกลางสุสาน วิธีเดียวที่จะจับเวตาลได้ก็ คือ ต้องทำอย่างเงียบๆ และห้ามปริปากพูดสิ่งใด มิฉะนั้นเวตาลจะหนีกลับไปได้ อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่พระเจ้าวิกรมาทิตย์จับเวตาล ได้มันจะหลอกล่อพระองค์โดยเล่านิทานให้ฟังเรื่อง หนึ่ง ซึ่งจะจบด้วยคำถาม และพระองค์ก็อดรนทน ไม่ได้ต้องตอบคำถามนั้นทุกครั้งไป ทำให้เวตาลหนี กลับไปยังต้นไม้ได้ดังเดิม เรื่องราวเกี่ยวกับเวตาลนั้น รวบรวมไว้เรียกว่า“เวตาลปัญจวิงศติ” (หรือ นิทาน เวตาล 25 เรื่อง) รวมอยู่ใน หนังสือกถาสริตสาคร ของนักปราชญ์อินเดียชื่อโสมเทวะ


11 นรสิ งห์ นรสิงห์ หรือ นรสีห์ เป็นอวตารร่างที่ 4 ของพระนารายณ์ตามเนื้อเรื่องในคัมภีร์ปุราณะ อุปนิษัท และคัมภีร์อื่น ๆ ของศาสนาฮินดู โดยมี ร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์ และร่างกายท่อนบน เป็นสิงโต นรสิงห์เป็นผู้สังหารหิรัณยกศิปุ อสูรตน ซึ่งได้รับพรจากพระพรหมว่าจะไม่ถูกสังหารโดย มนุษย์หรือสัตว์นรสิงห์เป็นที่รู้จักและบูชาโดยทั่วไป หิรัณยกศิปุบำเพ็ญตบะเป็นเวลานาน จนได้รับพร จากพระพรหม ให้เป็นผู้ที่ฆ่าไม่ตายจากมนุษย์, สัตว์, เทวดา ให้ฆ่าไม่ตายทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ให้ฆ่าไม่ตายทั้งจากอาวุธและมือ ให้ฆ่าไม่ตายทั้งใน เรือนและนอกเรือน หิรัณยกศิปุ ได้อาละวาดสร้าง ความเดือดร้อนไปทั่วทั้งสามภพ พระอินทร์จึงทูล เชิญพระนารายณ์อวตารเกิดมาเป็น นรสิงห์ คือ มนุษย์ครึ่งสิงห์นรสิงห์สังหารหิรัณยกศิปุด้วยกรง เล็บด้วยการฉีกอก ที่กึ่งกลางบานประตู ในเวลา โพล้เพล้ ก่อนตาย นรสิงห์ได้ถามหิรัณยกศิปุว่า สิ่งที่ฆ่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือสัตว์หรือเทวดาหรือไม่ คำ ตอบก็คือ ไม่สิ่งที่สังหารเป็นมือหรืออาวุธหรือไม่คำ ตอบก็คือ ไม่ ในเรือนหรือนอกเรือนหรือไม่ คำตอบ ก็คือ ไม่ และเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่า บัดนี้พรที่ ประทานจากพระพรหมได้สลายไปสิ้นแล้ว เทวดา ทั้งสามภพจึงยินดี รูปประติมากรรมหรือรูปวาดของนรสิงห์ตอนสังหาร หิรัณยกศิปุจึงมักสลักมีรูปเทวดาองค์เล็ก ๆ 2 องค์ อยู่ข้างล่างแสดงกิริยายินดีด้วย


12 เพกาซัส (Pegasus) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่าง กำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์และมีปีกอันกว้างสง่า งามเหมือนนกพิราบ เรื่องเริ่มมาจากนางเมดูซา ไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์มาตั้งแต่ ไหนแต่ไร อันที่จริง แต่เดิมเป็นหญิงสาวรูปงามที่ มีผมสวยมากด้วยซ้ำ ความสวยนี้ทำให้เทพแห่ง ท้องทะเลโพไซดอน (Poseidon) ขึ้นจากทะเลมา ข่มขืนนางเมดูซา แต่นอกจากจะชอกช้ำจากการ โดนข่มขืนแล้ว ความซวยอีกชั้นของเมดูซ่าคือ เหตุการณ์บัดสีบัดเถลิงนี้เกิดในวิหารของเทพีอธี นา (Athena) ทำให้เทพีอธีนาไม่พอใจ สาปนาง เมดูซ่าให้หน้าตาอัปลักษณ์ที่จ้องตาใคร คนนั้นก็ จะกลายเป็นหิน และสาปให้ผมลอนสลวยของเมดู ซาเปลี่ยนกลายเป็นงูยั้วเยี้ยด้วย ชาว กรีกโบราณซึ่งรักการผจญภัย เป็นว่าเล่นนั่นแหละ เบลเลอโรฟอนผจญภัยไป เรื่อยๆ พบทั้งศึกรบและศึกรัก จนแทบเอาตัวไม่ รอด แต่ด้วยความช่วยเหลือของยอดอาชาเขาก็ เอาตัวรอดได้เสมอมา ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ของเขาคือ การเอาชนะตัว “ไคมีร่า กรีก สัตว ์ในตำ�นาน


13 ส่วนชะตากรรมของนางเมดูซาหลัง จากนั้นนางเมดูซา ปราบนางเมดูซาได้ด้วยการ มองเงาสะท้อนในโล่ขัดเงาและตัดหัวเมดูซาด้วย เคียวหรือดาบโค้ง แต่สิ่งที่หลายๆ คนอาจไม่เคย ได้ยินก็คือ พอเมดูซาถูกตัดหัว มีร่างของม้ากำยำ พ่วงพีพร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างาม กระโจน ออกมา จากลำคอของนาง จึงว่ากันว่าทั้งสองนี้ก็ คือลูกของเทพโพไซดอนและเมดูซานั่นเอง ม้าตัวนั้นก็คือ เพกาซัส นั่นเอง เมื่อออกมาแล้ว มันก็แผลงฤทธิ์จนไม่มีใครสามารถปราบได้เลย ซักคน ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวัง ของคนทั้ง เมือง นอกจากความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีกแล้ว เพกาซัสยังมีความสามารถอีกอย่าง คือตอนที่ มันเกิดมาใหม่ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคนอง นั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้า ที่มันวิ่ง ก่อให้เกิดน้ำพุ สวยงาม ที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุ ฮิปโปครีนี(Hippocrene) เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่า ใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่ เอื้อมที่เดียว เพกาซัสคึกอยู่ ได้ไม่นาน ก็มีคนดี มาปราบ เป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อชาวเมืองโครินทร์มี นามว่า “เบลเลอโรฟอน” (Bellerophon) เบลเลอโรฟอน เป็นโอรสของเจ้าเมือง โครินทร์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งเป็นขุนศึกที่รักม้าเป็นชีวิตจิตใจ พระองค์ทรง มีโอรสหลายองค์กับพระนางยูรีโนมีแต่มีข่าวลือ หนาหูว่า เบลเลอโรฟอนหาใช่โอรสที่แท้จริงของก ลอคุสไม่ หากแต่เป็นโอรส ของโปเซดอน มหาเทพ แห่งท้องทะเลต่างหาก ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูป โฉม และความ เก่งกาจกล้าหาญแล้ว ก็น่าจะจริง ตามนั้น เบลเลอโรฟอนก็เห็นด้วย เขาจึงไปนอน เฝ้าในวิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งมักปรากฎองค์ใน ความฝันของ ชายหนุ่มอยู่เสมอ การณ์ก็เป็น ไปตามที่คาดหมายไว้กล่าวคือ ในคืนนั้น อธีน่า เสด็จมาหาเขาจริงๆ ไม่เสด็จเปล่า ทรงนำ อาน ม้าทองคำสุกปลั่งมาประทานให้ด้วย เบลเลอโร ฟอนเต็ม ไปด้วยความปิติยินดียิ่งนัก รุ่งขึ้นเขาก็ ถืออานม้าทองคำ ที่ได้รับมานั้น ออกเที่ยวตามหา เพกาซัส ด้วยอำนาจอานม้า วิเศษของเทวีเบล เลอโรฟอนก็ได้เพกาซัส มาไว้ในอำนาจ อย่าง ง่ายดาย และเขากับม้าวิเศษ ก็ชวนกันเหาะเหิน เดินทาง ท่องที่ยวผจญภัยไปทั่วหัวระแหง ตาม แบบฉบับเด็กหนุ่ม เบลเลอโรฟอน ยังคงได้รับความ เมตตาปราณีจากทวยเทพอยู่เสมอ เห็นได้จาก การออกไปผจญภัยที่ร้ายแรงปานใด เขาก็มีชัย อย่าง งดงามเสมอมา ความปรารถนา อันยิ่ง ใหญ่ของเด็กหนุ่มคนนี้ก็คือ อยากได้เพกาซัสมา เป็นอาชาคู่ใจ แต่เขาจะทำได้อย่างไรเล่า ในเมื่อ เพกาซัส ไม่ใช่ม้าธรรมดา นอกจากเป็นซุปเปอร์ ม้าแล้ว ยังมีปีกบินได้อีกด้วย เขาได้รับคำแนะนำ จากนักปราชญ์คนหนึ่งว่า น่าจะลองขอความช่วย เหลือ จากเทพเจ้าดูบ้าง เบลเลอโรฟอนก็เห็นด้วย เขาจึงไปนอน เฝ้าในวิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งมักปรากฎองค์ใน ความฝันของ ชายหนุ่มอยู่เสมอ การณ์ก็เป็น ไปตามที่คาดหมายไว้กล่าวคือ ในคืนนั้น อธีน่า เสด็จมาหาเขาจริงๆ ไม่เสด็จเปล่า ทรงนำ อาน ม้าทองคำสุกปลั่งมาประทานให้ด้วย เบลเลอโร ฟอนเต็ม ไปด้วยความปิติยินดียิ่งนัก รุ่งขึ้นเขาก็ ถืออานม้าทองคำ ที่ได้รับมานั้น ออกเที่ยวตามหา เพกาซัส ด้วยอำนาจอานม้า วิเศษของเทวีเบล เลอโรฟอนก็ได้เพกาซัส มาไว้ในอำนาจ อย่าง ง่ายดาย และเขากับม้าวิเศษ ก็ชวนกันเหาะเหิน เดินทาง ท่องที่ยวผจญภัยไปทั่วหัวระแหง ตาม แบบฉบับเด็กหนุ่มชาว กรีกโบราณซึ่งรักการผจญ ภัย เป็นว่าเล่นนั่นแหละ เบลเลอโรฟอนผจญภัย ไปเรื่อยๆ พบทั้งศึกรบและศึกรัก จนแทบเอาตัวไม่ รอด แต่ด้วยความช่วยเหลือของยอดอาชาเขาก็ เอาตัวรอดได้เสมอมา ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ของเขาคือ การเอาชนะตัว “ไคมีร่า


14 ไซคลอปส์ (Cyclops) ไซคลอปส์ เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรก ที่มีอยู่บนโลก หน้าที่ของพวกมันนำหน้าเหล่าเทพ โอลิมปัสและเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะที่เก่งกาจ มีด้วยกัน 3 ตนชื่อว่า บรอนทีส สเทอโรพีส และอาจีส มักถือ ค้อนใหญ่ มีพลังสายฟ้า เป็นที่รู้จักจากทักษะที่ยอด เยี่ยมในงานฝีมือและการเป็นช่างตีเหล็กที่มีทักษะสูง ไซคลอปส์ดั้งเดิมเป็นบุตรชายของอูรานอส เทพแห่ง ท้องฟ้า และ ไกอา เทพบรรพกาลของโลก และดาว มฤตยูเป็นยักษ์ที่ทรงพลังซึ่งมีตาโตข้างหนึ่งแทนที่ จะเป็นสองดวงตรงกลางหน้าผาก แต่ด้วยรูปลักษณ์ อันน่าเกลียดจึงถูกบิดาโยนลงไปในทาร์ทารัส จนกระ ทั่งซุสต้องทำสงครามกับเหล่าไททัน จึงปลดปล่อย ไซครอปส์ทั้ง 3 ออกมา เหล่าไซครอปส์จึงตอบแทน โดยการตีอาวุธมอบเทพ 3 พี่น้อง สร้างสายฟ้าให้ แก่ซุส สร้างตรีศูลให้โพไซดอน และสร้างหมวกแห่ง ความมืดให้ฮาเดส ไซคลอปส์หลักสองประเภท: • ไซคลอปส์ของเฮเซียด – ยักษ์ดึกดำบรรพ์สาม ตนที่อาศัยอยู่ในโอลิมปัสและสร้างอาวุธให้กับ เทพเจ้าในตำนานกรีก เมื่อซุสได้รับชัยชนะจาก เหล่าไททันแล้ว ก็ได้มอบหมายหน้าที่ให้ไซคลอ ปส์ทั้งสาม เป็นผู้ช่วยเทพเฮฟาตัส เทพแห่ง ช่างเหล็กและงานฝีมือ ต่อมาพวกไซคลอปส์ ได้ถูกเทพอะพอลโลสังหารเนื่องจากอะพอลโล พิโรธที่ซุสใช้สายฟ้าสังหารหมอเทวดาแอสคลี ปิอุส โอรสของพระองค์แต่เนื่องจากพระองค์ ไม่อาจทำอะไรมหาเทพได้จึงสังหารไซคลอปส์ ทั้งสาม ผู้สร้างสายฟ้าให้ซุสแทน • ไซคลอปส์ของโฮเมอร์– คนเลี้ยงแกะที่มีความ รุนแรงและไร้อารยธรรมอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นลูกหลานของโพไซดอนและพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์พวกนี้มีนิสัยดุร้ายและกินมนุษย์กับ สัตว์ต่าง ๆเป็นอาหาร หนึ่งในไซคลอปส์เหล่านี้ ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ โพลีฟีมุส ซึ่งปรากฏอยู่ใน มหากาพย์โอดิสซีเรื่องการเดินทางกลับบ้าน ของวีรบุรุษโอดิสซีอุสที่ได้เข้าร่วมรบในสงคราม กรุงทรอย โดยหลังจากเสร็จสงครามและโอดิ สซีอุสได้ออกเดินทางเพื่อกลับบ้าน เรือของเขา หลงมาที่เกาะของไซคลอปส์โดยเขาและลูกเรือ ส่วนหนึ่งถูกยักษ์ตาเดียวโพลีฟีมุสจับเอาไว้ เพื่อกินเป็นอาหาร แต่โอดิสซีอุส ได้ใช้อุบาย ลอบทำลายดวงตาของโพลีฟีมุส จากนั้นจึง พาพรรคพวกหลบหนีออกมาได้


15 สฟิงซ์(Sphinx) สฟิงซ์ของกรีกเป็นหนึ่งในลูก ๆ ของ อีคิดนาและไทฟอน สฟิงซ์มีใบหน้าและทรวงอก ของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนก อินทรีมีลักษณะนิสัยชอบทรยศหักหลัง ก้าวร้าว รุนแรง และกระหายเลือด เธอมีนิสัยทรยศและ ไร้ความปราณีและจะฆ่าใครก็ตามที่ตอบปริศนา คำทายของเธอไม่ได้ถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไป ได้สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสัก อย่าง ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีก ที่โด่งดังเรื่อง หนึ่งคือ เรื่องของ เจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบ หมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ให้ แก่ชาวเมืองนี้ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วย การถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะ ปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนาง ได้ตามกล่าวว่า เอดิปุส แห่งโครินท์ผ่านมาใน เมืองธีบีสพอดิบพอดีสฟิงซ์กระโดดออกมา จาก หลังพุ่มไม้แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกิน เนื้อ ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหาย เข้าใส่เอ ดิปุสและถามปัญหา “อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยาม เย็น….? “อ๋อ มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วย การคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วย ขาสอง ข้าง เมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัว เอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต” เอดิปุ สตอบอย่างไม่ลังเล สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่ คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีด ร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้น บนฟ้า แล้วทิ้ง ตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล บางตำนาน ก็บอกว่า เอดิปุสเป็นผู้ฆ่าสฟิงซ์


16 เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก ไคเมร่าเป็น แพะเพศเมีย มี3 หัว บางตำนานบอกว่ามีหัวข้าง หน้าเป็นสิงโต กลางลำตัวมีหัวเป็นแพะ และส่วน หางเป็นงูหรือมังกร มีร่างกายกำยำ บางที่บอกมี หัวข้างหน้าเป็นสิงโตกลางลำตัวมีหัวเป็นแพะและ มีหัวเป็นมังกรพ่นไฟได้ลมหายใจของมันก่อให้เกิด เพลิงร้อนแรงถึงตาย ตามตำนานเล่าว่าไคเมร่า เป็นลูกของไท ฟอนและอีคิดนาเป็นพี่ชายของเซอร์เบอรัส เรื่องของ เรื่องคือไคเมร่าบุกเข้าทำลายเมืองลีเซีย (Lycia) ทำ ให้กษัตริย์โลเบทีสซึ่งปกครองอยู่ขณะนั้น ต้องการผู้ กล้ามาปราบสัตว์ร้ายไคเมร่าตัวนี้บังเอิญวีรบุรุษเบล เลอโรฟอนขี่ม้าเพกาซัสผ่านมาจึงอาสาที่จะฆ่าไคเม ร่าตนนี้เบลเลอโรฟอนจึงต้องคอยหลบเปลวเพลิง ที่พุ่งออกมาจากปากของมัน และกระหน่ำห่าธนูใส่ จนในที่สุดเจ้าไคเมร่าสิ้นชีพลง เซอร์เบอรัส (Cerberus) สุนัขสามหัวเฝ้าประตูนรก ลูกของไทฟอน และอีคิดนา เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส แปลว่า ปีศาจในหลุม เป็นสัตว์ในตำนานกรีก มีรูปร่างเป็น สุนัขสีดำตัวใหญ่พ่วงพีมี3 หัว ปลายสุดหางเป็น งูหรือบางตำนานบอกว่าเป็นมังกร มีหน้าที่เฝ้าทาง สู่นกรหน้าประตูทางเข้าทาร์ทารัส เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮา เดส มันยอมให้วิญญาณของทุกคนนเข้าประตูแต่ ไม่ยอมให้ใครกลับออกมาเด็ดขาด เมื่อผ่านเข้าไปใน ประตูนี้แล้ววิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปพิพากษา ของสามสุภาคือ ราดาแมนทีส ไมนอส และไออาคัส นอกจากนี้เซอร์เบอรัสยังเป็นภารกิจที่ 12 ของเฮ ราคลิส คือให้จับเซอร์เบอรัสมาแบเป็นๆ เฮราคลิ สสามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาล ของเขา เฮราคลิสก็ไปถึงที่นั่นได้สำเร็จ ฮาเดสเจ้า แห่งยมโลกยินยอมให้เขายืมตัวเซอร์เบอรัสมาได้ ทว่าต้องหาทางจับเอาเอง เฮราคลิสได้ต่อสู้กับมัน และบีบคอจนมันสลบก่อนแบกเจ้าอสูรกายขึ้นมา ให้ยูริสเทียสได้สำเร็จ จากนั้นจึงนำมันกลับไปคืน ฮาเดสตามเดิม ไคเมร่า (Chimera)


17 มังกรไฮดรา (Hydra) อสูรกาย 9 หัว อาศัยอยู่ในบึงเลอร์นา (Lerna) เป็นหนึ่งในหกของลูกไทฟอนและอีดินา ไฮดราเป็นอสูรกายที่มีผสมของสัตว์หลายชนิด มีลำ ตัวเป็นสุนัข ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดปลาแข็งแกร่ง มีหางเหมือนมังกร ส่วนหัวเหมือนงูหรือมังกร บาง ตำนานกล่าวว่ามี100 หัว เมื่อแต่ละหัวที่ถูกตัดจะ มีหัวงอกขึ้นใหม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นมีลม หายใจของมันมีพิษร้ายแรง ทำให้ผู้ที่เข้าใกล้ถึงแต่ ความตาย ไฮดราได้ปรากฏตัวขึ้นในภารกิจที่ 2 ของเฮราคลิส ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของยูริสเทียส คือให้ไปปราบ ไฮดรา ด้วยลมหายใจของไฮดรามีพิษที่แข็งแกร่ง มาก เฮราคลิสจึงต้องสูดลมหายใจให้เต็มปอดแล้ว จึงค่อยวิ่งเข้าไปปราบไฮดรา แล้วเอากระบองฟาด ใส่หัวของมันทำให้หัวของไฮดราขาดกระเด็นลงมา หนึ่งหัว แต่มันกลับงอกขึ้นมาใหม่ถึงสองหัว แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮราคลิส เขาได้ให้ผู้ช่วยไอโอลอส นำไฟมาลนที่คอของไฮดรา ให้หัวที่ตัดออกมาไม่สามารถงอกเพิ่มขึ้นมาได้ เมื่อสังหารไฮดราสำเร็จ เฮราคลิสได้เอาลูกธนูที่เท พอพอลโลประทานให้จุ่มลงไปในเลือดของไฮดรา เพื่อใช้เป็นลูกศรพิษ ไว้นำไปปราบอสูรกายตัวอื่นๆ เป็นอันปิดฉากชีวิตของไฮดราไปด้วย


18 ไทฟอน (Typhon) ไทฟอนหรือที่รู้จักในชื่อไทฟออุสเป็นบุตร ชายของไกอาเทพบรรพกาลแห่งโลกและทาร์ทารัส เทพเจ้าแห่งอเวจีแห่งจักรวาล เป็นลูกชายคนเล็ก ของเธอ บางตำนานกล่าวถึงไทฟอนว่าเป็นเทพแห่ง พายุและลม บางคนเชื่อมโยงเขากับภูเขาไฟ ไทฟอน กลายเป็นพลังที่ก่อให้เกิดพายุและเฮอริเคนทั้งหมด ของโลก ไทฟอน เป็นยักษ์มีปีกพ่นไฟ มีหัว มังกรถึง100 หัว หัวของมันยังสูงจนสัมผัสกับดวงดาวบนท้องฟ้าได้ น้ำตาของมันที่ไหลออกมามีพิษ และยังสามารถพ่น ลาวาหรือหินหลอมละลายอันร้อนแรงออกมาจาก ปากได้อีกด้วย บางตำนานบอกว่า ไทฟอน มีร่างกายท่อนบนเป็น มนุษย์ท่อนล่างมีงูยักษ์สองตัวเป็นขา มีความยาว นับร้อยไมล์ มีหัวเป็นลาขนาดใหญ่ มีปีกเป็นนก อินทรี นอกจากนั้นยีงมีนิ้วเป็นงู มีหูแหลม และ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟ เวลาที่เคลื่อนตัวไปไหนจะเกิด เป็นลมพายุหมุนขนาดมหึมา ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ ของอสูรกายตัวนี้ ต่อมาคำว่าไทฟอน กลายเป็น ไทฟูน(Typhoon) หรือไต้ฝุ่น ชื่อพายุที่เรารู้จัก กกันในปัจจุบัน หลังจากที่เหล่าเทพโอลิมปัสชนะสงคราม กับไททันและได้รับการควบคุมจักรวาล พวกเขาขัง ไททันไว้ในทาร์ทารัส เนื่องจากไททันเป็นลูกหลาน ของไกอา เธอจึงไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาเป็นได้รับ การปฏิบัติและตัดสินใจที่จะต่อต้าน ซุสและเหล่าเท พอื่นๆ ไทฟอน ต่อสู้กับซุสด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเขา การโจมตีครั้งแรกของมันรุนแรงจนทำให้เทพเจ้า ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงซุสด้วย จนทำให้ซุส และเหล่าเทพต้องถอยกลับไปตั้งหลัก และรวมตัว กันใหม่ การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือดจนพสุธาถล่ม ถลายแทบไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลือในโลกยุค นั้น ไทฟอนเกือบจะเอาชนะเหล่าทวยเทพได้จนกระ ทั่งเมื่อซุสฟื้นคืนพละกำลังเต็มที่ขณะที่ไทฟอนกำลัง ยกภูเขาเอทนาอันมหึมาหมายจะทุ่มใส่เหล่าเทพทั้ง หลาย ซุสได้จับสายฟ้าทั้งร้อยสายฟาดลงไปที่เขา ลูกนั้น ผลปรากฎว่าภูเขามหึมาลูนั้นถล่มลงมาฝัง ร่างของไทฟอนไว้ ถึงกระนั้นไทฟอนยังไม่ตายแต่ ก็โดนทับอยู่เช่นนั้น และยังคงพ่นลาวาออกมาจาก ยอดภูเขาเอทนาตราบจนถึงทุกวันนี้ ไทฟอนเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและ ทรงพลังมากจนสามารถทำร้ายซุสและคุกคามได้เป็น บิดาของสัตว์ประหลาดในตำนานกรีกอีกมากมาย และเป็นผู้รับผิดชอบต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ เรารู้จักในปัจจุบัน


19 มังกร ลาดอน(Ladon) มังกรร้อยหัว สองร้อยตา ลูกของไท ฟอนและอีคิดนา เป็นมังกรที่มีหน้าที่เฝ้าสวนแห่ง เทพธิดาเฮสพิริเดส ธิดาแห่งรัตติกาล ว่ากันว่าเป็น ที่เก็บแอปเปิลทองคำ บางครั้งมังกรลาดอนมักถูก เรียกว่ามังกรซ่อนหาเพราะชอบเล่นซ่อนหากับเฮส พิริเดสอยู่ในสวนของนาง สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สุดขอบโลก เป็นสวน สวรรค์ที่ตั้งบนท้องฟ้า โดยมีแอทลาสเป็นผู้แบกไว้ บนบ่า ดังนั้นนอกจากงานเฝ้าสวนสวรรค์แล้วลา ดอนเลยคอยแกล้งแอทลาสเป็นประจำ ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งที่เฮราคลิสต้องทำภารกิจ ขโมยแอปเปิลทองคำของเฮสพิริเดส 1 ใน 12 ภารกิจ ของเขาเพื่อล้างความผิดที่สังหารลูกและภรรยา ช่วง แรกเฮราคลิสก็ไปหาแอปเปิลที่สวนแต่หายังไงก็หาไม่ เจอ จนกระทั่งนีรีอุสเทพแห่งท้องทะเลมาบอกกับเขา เมื่อมีจุดหมายที่แน่นอน เฮราคลิสได้มุ่งหน้าไปที่สวน สวรรค์ และได้พบกับแอทลาสที่มีหน้าที่แบกสวนนี้ เอาไว้ เฮราคลิสได้ออกอุบายให้แอทลาสเข้าไปเอา แอปเปิลทองคำออกมาให้โดยที่เขาจะแบกลูกโลก ไว้ให้แทน ว่าแล้วแอทลาสก็ยอมยกลูกโลกที่แบก ให้กับเฮราคลิส แล้วเข้าไปในสวนเป็นเวลาสามวัน และออกมาพร้อมกับแอปเปิลทองคำ มาวางแทบ เท้าของเฮราคลิส หลังจากงานของแอทลาสสำเร็จเขาหวัง ว่าภารกิจแบกโลกของเขาจะสิ้นสุดลงแล้วเพราะทชมี เฮราคลิสมารับภาระแทนแล้วได้สุดท้ายเฮราคลิสก็ อกอุบายอีกครั้งให้แอทลาสกลับมาแบกโลกอีกครั้ง และฉวยโอกาสเอาแอปเปิลทองแล้วหนีออกไปทันที ระหว่างที่หนีเฮราคลิสไปเจอกับมังกราดอน และได้ เกิดการต่อสู้กัน จนทำให้ลาดอนถูกฆ่าด้วยธนูเคลือบ พิษ ของเฮราคลิส หลังจากที่ลาดอนตายไป เทพีเฮร่าได้นำลา ดอนขึ้นไปเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า(constellation Draco)และตอนนี้มันคอยปกป้องดาวเหนือดั่งที่เคย ได้ปกป้องต้นแอปเปิ้ลมาก่อน เป็นรางวัลอันยุติธรรม สำหรับผู้พิทักษ์อันยอดเยี่ยม


20 กริฟฟอน (Griffon) เป็นลูกผสมของสิงโตและนกอินทรีโดย หัวและปีกเป็นกอินทรีส่วนตัวและหางเป็นสิงโต บาง พวกอาจมีหางเป็นงูแม้ว่ามันจะเป็นลูกผสมของสัตว์ ทั้งสองแต่กริฟฟินมีขนาดใหญ่กว่าสิงโตแถมความ แข็งแกร่งของมันก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร หน้าที่หลักๆของมันจะมีอยู่สองอย่าง อย่าง แรกมันมีหน้าที่คอยลากรถม้าให้กับเทพอพอลโล่และ องค์เทพอื่นๆบางองค์(ไม่ใช่ทุกองค์ที่กริฟฟินลาก รถให้) และหน้าที่อย่างที่สองคือ คอยพิทักษ์เหมือง ทองคำและลงทัณฑ์มนุษย์ผู้ที่จะมาขโมยสมบัติซึ่ง เป็นนิสัยของกริฟฟินเองที่ชอบสะสมสมบัติมีค่า หรือบางทีรังของมันอยู่ใกล้ๆกับขุมสมบัติจึงเป็น เหยื่อล่อคนโลภที่ยอมเสี่ยงชีวิตให้เข้ามาได้อย่าง ดีและโอกาศที่รอดกลับออกมานั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เลย ด้วยสายตาและกรงเล็บอันแหลมคมบวกกับ พละกำลังของมันที่พร้อมจะขยุ้มฉีกเนื้อหัวขโมยที่ โชคร้ายให้จบชีวิตลงในทันที และสิ่งที่กริฟฟินเกลียดมากที่สุดนั่นก็คือ ม้า เพราะมันเห็นว่าม้าเป็นคู่แข่งของมันในการลาก รถ ถ้ามันเห็นม้าที่ไหน มันจะจับมากินเลยทีเดียว เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และบางครั้งยังถือ ว่ากริฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสอีกด้วย ในยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือน กับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิญญานของมนุษย์ให้ติด กับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้ง ทวยเทพ และมนุษย์สำหรับพระเยซูเพราะมันเป็น เจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมีรังสีแห่งแสงอาทิตย์ ศัตรูของกริฟฟินคือ บาซิลิสก์


21 บาซิลิสก์ (Basilisk) เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดในตำนานกรีก นับเป็นขั้วตรงข้ามของกริฟฟอน บาซิลิสก์เป็นงู ใหญ่น่ากลัวและสยดสยอง สายตาของมันสามารถ ทำให้เหยื่อตายได้คล้ายกับเมดูซา บางตำนานกล่าวว่าลักษณะของมันคล้ายๆกับ งูที่มี มงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัวไก่ ในยุคกลางมมักเชื่อว่า มันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางคนมีหัวเป็นคน เกิดจากไข่ที่มาจากพ่อไก่ระหว่างที่มีกลุ่มดาวสุนัข ปรากฏบนท้องฟ้า ได้คางคกเป็นผู้กกไข่ให้ บาซิลิสก์มักถูกใช้แทนความชั่วร้ายและ ปีศาจ แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิล บาซิลิสก์ยังถูกใช้เป็น สัญลักษณ์แทน ซาตาน เทวดาที่ถูกครอบงำด้วย ความโลภในอำนาจและต้องการเป็นผู้ปกครองสวรรค์ แต่เพียงผู้เดียวจนถูกพระเจ้าเนรเทศจนตกสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น ซาตานยังปลอมตัวเป็น ‘เทพแห่งแสง สว่าง’ เพื่อหลอกลวงมนุษย์อยู่เรื่อยไป การปรากฏ ตัวของบาซิลิสก์มักก่อตัวเป็นบรรยากาศน่ากลัวและ นำความพังพินาศไปทุกที่ที่เยื้องกรายไป เสียงร้อง ของบาซิลิสก์อาจทำให้ผู้คนเป็นบ้า พิษของมันทำให้ พืชพันธุ์เน่าเปื่อย น้ำเน่าเสีย และยังมีความเชื่อเก่า แก่ของชาวโรมันที่ว่า บ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองและอุดม สมบูรณ์กลายเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งก็เพราะมัน การเผชิญหน้ากับบาซิลิสก์ตรง ๆ ไม่ต่างกับการฆ่า ตัวตายดีๆ เพราะพิษร้ายนั้นทำให้คนสิ้นชีวิตได้โดย การกัดหรือสัมผัสเพียงครั้งเดียว และการพ่นพิษ ตรง ๆ เข้าไปที่ตา ทำให้บาซิลิสก์สามารถเอาชนะ แม้กระทั่งศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเอง กระนั้นความ เชื่อกันว่าบาซิลิสก์จะพ่ายแพ้ต่อพังพอน เสียงขัน ของไก่ตัวผู้และการเห็นเงาของตัวมันเอง หลาย ตำนานจึงใช้เงาสะท้อนเพื่อสังหารบาซิลิสก์


22 เซนทอร(Centaur)์ ตำนานมนุษย์ครึ่งม้า เป็นสัตว์ประหลาด กรีกที่น่าสนใจด้วยรูปลักษณ์พิเศษคือ ท่อนบนเป็น มนุษย์ผู้ชาย ขณะที่ท่อนล่างเป็นม้าสี่ขา มีกล้ามเนื้อ เป็นมัดๆ แสดงถึงความแข็งแรงแห่อาชาไนย อาศัย อยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย แคว้นเทสสาลีในกรีซ ตำนานกล่าวว่าพวกเซนทอร์ไปก่อเรื่องเลวทรามใน งานอภิเษกสมรสของพระราชาพิรีธุส แห่งเมืองลิพิธ โดยไปลวนลามตัวเจ้าสาว จนเกิดการทะเลาะวิวาท นองเลือดไปทั่ว หลังจากนั้นพววกเขาจึงถูกเนรเทศ ขับไล่ออกจากแคว้นเทสสาลี ในตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณนั้น เซนทอร์ แบ่งได้เป็นสองตระกูลคือตระกูลอิคซอนและตระกูล โครนัส ตระกูลอิคซอนเกิดจากอันธพาลแห่งสวรรค์ ตระกูลนี้จะมีนิสัยที่ป่าเถื่อน ไร้การศึกษา มีพละกำลัง มาก และชอบใช้ความรุนแรง ส่วนตระกูลโครนัสเกิด จากนางฟีลีร่าและเทพโครนัสบิดาของเทพซุส โดยที่ สองตระกูลนี้มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไครอน เซนทอร์ที่หลายๆคน เคยได้ยินมาบ้างจาก นิยายต่างๆ ไครอนเป็นเซนทอร์ในตระกูลโครนัสเป็น ลูกของโครนัสกับฟีลีร่า ไครอนเป็นเซนทอร์ที่นิสัยดี และฉลาด มีความสามารถในหลายๆด้าน เช่น ดนตรี ยา และการยิงธนู และด้วยความที่ไครอนมีความ สามารถมากจึงได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของตำนาน กรีกหลายๆคน เช่น เฮอร์คิวลีส เป็นต้น


23 จีน สัตว ์ในตำ�นาน ฉยงฉี(Qiongqi) ฉยงฉี(窮奇) – สัตว์ปีศาจแห่งความ ยุยงตำนานของฉยงฉีนั้นถูกเล่าขานมาหลายรูปแบบ ตามตำราซานไห่จิง ฉยงฉีถูกพรรณนาว่าเป็นสัตว์ บินได้รูปร่างเหมือนเสือ รู้ภาษามนุษย์และชอบกิน คน เมื่อมีคนโต้เถียงหรือทะเลาะกัน ฉยงฉีจะเลือกกิน ผู้ที่มีปัญญา ยิ่งไปกว่านั้น มันจะล่าอาหารให้มนุษย์ ที่ชั่วร้าย เชื่อกันว่าฉยงฉีอาศัยอยู่ภูมิภาคทางตอน เหนือของจีน เมื่อฉยงฉีได้ยินว่าที่ไหนมีคนซื่อสัตย์และมี เกียรติมันก็จะไปไล่กัดจมูกของบุคคลผู้นั้น และมัน จะมอบสัตว์ที่ล่ามาแก่บุคคลที่ไร้เหตุผลและโง่เขลา ในตำนานบางเวอร์ชัน ฉยงฉีถูกพรรณนาว่าเป็นวัว มีหางยาวคล้ายจิ้งจอก และมีเสียงเห่าเหมือนสุนัข


24 เทาเที่ ย (taotie) เทาเที่ย(饕餮) – สัตว์ปีศาจแห่งความ ตะกละตามตำรา “ซานไห่จิง” (山海经) ซึ่งเป็น บันทึกในสมัยโบราณของจีนเขียนไว้ว่า เทาเที่ยเป็น สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นแกะ มีมือเหมือนมนุษย์ มี ใบหน้าดังเช่นมนุษย์ และมีฟันแบบเสือ ดวงตาอัน แสนแปลกประหลาดของมันซ่อนอยู่ใต้รักแร้และมี เสียงเหมือนเด็กทารก เทาเที่ยเป็นสัตว์ปีศาจจอมตะกละตะกลาม มันกินทุกอย่างไม่เลือกหน้า กินทั้งมนุษย์และแม้กระทั่ง ร่างกายของมันเอง ดังนั้น ชาวจีนในสมัยโบราณจึง มักจะสลักรูปของเทาเที่ยไว้บนหม้อหุงต้ม และเจ้าสัตว์ ร้ายตัวนี้ยังเป็นที่มาของคำว่า “เที่ยเชิ่งเยี่ยน” (餮 盛宴) แปลเป็นไทยว่า “งานเลี้ยงเทาเที่ย” มักใช้ กล่าวถึงงานเลี้ยงอันยอดเยี่ยม พร้อมพรั่งไปด้วย อาหารแสนอร่อยในวัฒนธรรมจีน เถาอู้(taowu) เถาอู้(檮杌) – สัตว์ปีศาจแห่งความ โง่เขลาตามตำราซานไห่จิง เถาอู้เป็นสัตว์ปีศาจที่ มีหน้าคน เท้าเสือ และฟันหมูมีหางยาวมากกว่า 315 เมตร และมีขนยาวกว่า 2 เมตร เชื่อกันว่า เถาอู้อาศัยอยู่ในภูมิภาคทางตะวันตกของจีน ใน วัฒนธรรมจีน คำว่า “เถาอู้” มักใช้เรียกผู้ชายที่ ดื้อรั้น ตำรา “จั่วจ้วน” (左传) บันทึกไว้ว่า เถา อู้เป็นบุตรของจวนซวี(颛顼) หนึ่งในจักรพรรดิ ผู้ยิ่งใหญ่สมัยจีนโบราณ เถาอู้เป็นเด็กดื้อรั้น ไม่ ฟังความ หลังจากเสียชีวิต เถาอู้ก็กลับชาติมาเกิด เป็นสัตว์ปีศาจจอมโง่เขลา


25 ฮุ่นตุ้น (混沌) – สัตว์ปีศาจแห่งความ โกลาหล ตำนานของฮุ่นตุ้นนั้นถูกเล่าขานแตกต่างกัน ไป แต่เรื่องราวที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดเป็นที่ถูกบันทึก ไว้ใน ‘เฉินอี้จิง’ (神异经) พงศาวดารเทพเจ้าและ สัตว์แปลกสุดคลาสสิกของจีนที่ถูกเขียนขึ้นในสมัย ราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาล – ศ.ศ. 220) ตำนานดังกล่าวเล่าว่า ฮุ่นตุ้นเป็นสัตว์ ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวใหญ่แสนดุร้าย มันไม่สามารถแยกแยะผิดถูกได้มีอุ้งเท้าเหมือนหมี แต่ไร้กรงเล็บ มีตาแต่มองไม่เห็น เดินได้แต่ขยับไม่ได้ และมีหูแต่ไม่สามารถได้ยินอะไรเลย รูปร่างของมัน จึงมักถูกพรรณนาว่าเป็นสัตว์ปีศาจที่ไม่มีใบหน้า หรือศีรษะฮุ่นตุ้นมีท้อง แต่ไม่มีอวัยวะที่ทำหน้าที่ อย่างหัวใจ ปอด หรือไต มันมีลำไส้ที่ตรง ไม่คดงอ ดังเช่นลำไส้ทั่วไป ดังนั้นทุกอย่างที่มันกินเข้าไปก็จะ ผ่านลำไส้โดยตรง เรื่องเล่าเกี่ยวกับฮุ่นตุ้นอีกเวอร์ชั่น ถูก บันทึกใน ‘จวงจื่อ’ (庄子) ตำราที่เขียนโดยจวง โจว นักปรัชญาของลัทธิเต๋า โดยเวอร์ชันนี้เล่าว่า ฮุ่นตุ้นมีต้นกำเนิดมาจากจักรพรรดิองค์หนึ่งทาง ตอนกลางของจีน จักรพรรดิองค์นี้ไม่มีตา รูจมูก ปาก และหู ครั้งหนึ่งเมื่อจักรพรรดิแห่งทะเลใต้ และทะเลเหนือมาเยือนพระราชวังของเขา จักรพร รดิฮุ่นตุ้นให้การต้อนรับและปรนนิบัติทั้งคู่เป็นอย่าง ดีจักรพรรดิแห่งทะเลใต้และทะเลเหนือจึงตั้งใจที่จะ ตอบแทนน้ำใจของจักรพรรดิฮุ่นตุ้นด้วยการเจาะรู 7 รูให้(ตา 2 ดวง, จมูก 2 รู, รูหู2 รู, ปาก 1 รู) จักรพรรดิแห่งทะเลใต้และทะเลเหนือช่วยกันเจาะรู ให้จักรพรรดิฮุ่นตุ้นวันละหนึ่งรูแต่เมื่อเสร็จสิ้นครบ ทั้ง 7 รูจักรพรรดิฮุ่นตุ้นกลับสิ้นพระชนม์และกลับ ชาติมาเกิดเป็นสัตว์ร้ายเสียแทน ด้วยความที่ฮุ่นตุ้น ไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ เมื่อต้องเผชิญ หน้ากับผู้มีปัญญา ฮุ้นตุ้นจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง และจะปฏิบัติตามคำแนะนำของคนชั่วแทน ตำนานอีกเวอร์ชันหนึ่งกล่าวว่า ฮุ่นตุ้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปีกสีแดงดั่งนก ร่างกายมีลักษณะ เหมือนก้อนขนาดมหึมาสูง 6 ฟุต มี4 ปีก แต่ไร้ ใบหน้า ตามตำนานเล่าว่าฮุ่นตุ้นอาศัยอยู่ในภูเขา เทียนซาน (天山) ชอบร้องเพลงและเต้นรำ ฮุ่นตุ้น (hun dun)


26 กิเลน(kilen) “กิเลน” สัตว์ในเทพนิยายปรัมปราของ จีน สู่การถ่ายทอดบนจอภาพยนตร์ของฮอลลีวูด กิเลนเป็นสัตว์1 ใน 4 ชนิด ในเทพนิยายปรัมปรา ของจีน (อีก 3 ชนิดคือ มังกร หงส์และเต่า) กิเลน มีหัวเป็นมังกร ลำตัวเหมือนกวาง เท้ามีกีบเหมือน ม้า มีห้าเล็บ มีขนที่ขา หางเป็นพวงเหมือนวัว มีเขา อ่อน และมีเกล็ดเหมือนปลาแต่เนื่องด้วยเป็นสัตว์ใน จินตนาการ กิเลนจึงมีคำอธิบายรูปร่างแตกต่างกัน ไป บ้างว่ามีหัวเป็นหมาป่า บ้างว่ามีเขาเดียว สองเขา บ้าง สามเขาบ้างและสัตว์ชนิดนี้เกิดจากธาตุทั้งห้ามา ผสมกันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้และโลหะ คำ ว่า “กิเลน” นี้เป็นคำ จีนฮกเกี้ยนที่ ออกเสียงว่า “จีหลิน” หรือ “กีหลิน” ปรากฏอยู่ใน หนังสือเรื่อง“ไคเภ็ก” ซึ่งแปลโดยทับศัพท์คำจีนเป็น จีนฮกเกี้ยนและเรียก กิเลน ว่า กิหลิน ส่วนจีนกลาง ออกเสียงว่า “ฉีหลิน” (Qilin) แต่เดิมจะเรียกตัวผู้ ว่า “กี” เรียกตัวเมียว่า “เลน” ตัวผู้จะมีเขา ตัวเมีย ไม่มีเขา แต่ภายหลังเรียกรวมกันว่ากีเลนหรือกิเลน กิเลนเชื่อกันว่ามีอายุยืนได้ถึงพันปีและเป็นสัตว์แห่ง ยอดสัตว์ทั้งหลาย อีกทั้ง กิเลนยังเป็นสัตว์ที่มีความ หมายแห่งความดีงาม เมื่อใดที่กิเลนปรากฏกายขึ้นมา จะแสดงให้เห็นว่าในขณะนั้นกำลังจะมีผู้มีบุญมาเกิด เพื่อขึ้นปกครองบ้านเมืองให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ตามความเชื่อของคนจีน กิเลนเป็นสัตว์ที่ มีความมงคลในหลายด้าน แต่ที่ชัดเจนคือ มงคลที่ เกี่ยวกับเด็ก โดยชาวจีนเชื่อว่ากิเลนเป็นสัญลักษณ์ ของการมีลูกหลานมากมาย และเชื่อว่ากิเลนจะนำ สิ่งดีๆ หรืออนาคตที่สดใสมาให้แก่บุตรหลานของ ตน ด้วยเหตุนี้จึงมักเห็นภาพวาดเด็กขี่กิเลน ส่วนไทยนั้นเมื่อรับเอากิเลนมาอยู่ในความ เชื่อในวัฒนธรรมของตน ก็เขียนภาพกิเลนออกมา เป็นแบบไทย บางภาพตัวกิเลนยังมีปีกอีกด้วย ใน วัฒนธรรมไทยที่ปรากฏเห็นกิเลนได้ชัดเจนคือ “ม้า นิลมังกร” ในเรื่อง “พระอภัยมณี” ซึ่งว่ากันโดยรูป ร่างหน้าตาแล้ว สุนทรภู่คงได้เค้าและแรงบันดาล ใจมาจากกิเลนนั่นเอง


27 ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความเชื่อเรื่องกิเลนมีมา เนิ่นนานเพียงใด แต่พอประมาณได้ว่ายาวนานหลาย พันปีเพราะเท่าที่มีหลักฐานคือ กิเลนที่ปรากฏอยู่ใน ประวัติของขงจื้อ ปราชญ์ผู้เลื่องชื่อของจีนที่มีชีวิต อยู่ในช่วงพุทธกาล เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ขงจื้อกำลังเดินทางไปยังรัฐจิ้น แล้วได้ ข่าวว่าเจ้าแห่งรัฐจิ้นได้สั่งประหารชีวิตนักปราชญ์ ไปสองท่าน ขงจื้อจึงรำพันขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเหลือง ว่า “สายน้ำเอย มาตรแม้นเจ้าจะงดงามสักเพียงใด ข้าก็มิคิดที่จะฝ่าข้ามไป ด้วยนี่คือชะตาชีวิต” เมื่อศิษย์ถามถึงความหมายของคำรำพันนั้น ขงจื้อ จึงกล่าวว่าจำเดิมนักปราชญ์ทั้งสองท่านนั้นเป็นที่ ปรึกษาของเจ้าแห่งรัฐจิ้นแต่ครั้งยังไม่ประสบผล สำเร็จทางการเมือง ครั้นพอบรรลุความสำเร็จแล้ว ก็ฆ่าทิ้งเสีย กล่าวถึงตรงนี้ขงจื้อจึงขยายความเชิง เปรียบเปรยต่อไปว่า แม้นมีผู้ทำร้ายสัตว์เล็กในป่าดง กิเลนจะไม่ปรากฏ ตัวให้เห็น แม้นมีผู้ทำร้ายเหล่ามัจฉาในน้ำจนหมด สิ้น พญามังกรก็ไม่บันดาลให้ฝนตก แม้นมีผู้ทำร้าย รังแลไข่สกุณา พญาหงส์ก็ไม่โบยบินมาให้เห็น เหตุ ใดจึงเป็นเช่นนี้? ที่เป็นเช่นนี้เนื่องเพราะสัตว์ทั้งปวง นี้เป็นปาณชีพชาติเดียวกัน เมื่อความพินาศเกิดขึ้น ดังนั้น ก็ย่อมบังเกิดความรันทดใจในเมื่อเหล่าสัตว์ เดรัจฉานยังเป็นเช่นนี้ ไฉนเลยข้าจะไม่สะเทือนใจที่ เขาได้ฆ่านักปราชญ์เล่า? ขงจื้อเห็นว่าชีวิตของนักปราชญ์อาจมีค่า เฉพาะแค่เวลาที่นักการเมืองกำลังแสวงหาอำนาจ เท่านั้น และเมื่อประสบผลสำเร็จแล้ว สำหรับนักการ เมืองเหล่านั้น ความคิดของนักปราชญ์ไม่เพียงจะไร้ ค่า หากแม้นแต่ชีวิตก็ยังไร้ค่าด้วย นี่เป็นลักษณะที่ เนรคุณและไร้วิสัยทัศน์ของนักการเมืองและต่อไปจะ ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้เนื่องด้วยได้ฆ่าสิ่งประเสริฐ ไปเสียแล้ว และต่อไปก็จะไม่มีสิ่งประเสริฐมาปรากฏ ตัวให้เห็น หรือช่วยเหลือเกื้อกูลนักการเมืองอีก ความเชื่อเรื่องการกำเนิดโลกของจีนใน ยุคของฟูซี(伏羲) กล่าวไว้ว่า ฟูซีเป็นผู้ปกครองคนแรกของชนเผ่า มนุษย์ ท่านได้สังเกตถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ต่างๆ จนสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองได้แต่แล้ววัน หนึ่ง ก็เกิดมีกิเลนตัวหนึ่ง ปรากฎกายขึ้นมาจาก แม่น้ำหวงโฮ ที่บนหลังสัตว์ตัวนี้มีสัญลักษณ์แผนที่ เหอประทับอยู่ด้วย ในต่อมาภายหลัง สัญลักษณ์นี้ ก็ได้กลายมาเป็นตัวอักษรต่อมา ภายหลังจากนั้น องค์ความรู้ของมนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและเจริญ สืบทอดต่อมา


28 โจวหวู(Zouwu) เป็นสัตว์วิเศษในตำนานความเชื่อของจีน เป็นที่รู้จักในชาวตะวันตกหรือฝรั่งว่าโซวูzou wu ลักษณะและความสามารถทางเวทมนตร์ โจวหวู (ในภาษาจีน) หรือ โซวู(ในการออกเสียงแบบฝรั่ง) เป็นสัตว์วิเศษของจีนที่มีขนห้าสีรูปร่างคล้ายแมว ขนาดใหญ่ยักษ์ เท่าช้าง ซึ่งมีหางยาวสีแดง เป็น พวงส่ายไหวเหมือนงูขนาดใหญ่ 3 ารถเดินทางได้ รวดเร็วและไกลวันละเป็นพันไมล์(หรือ 1609.344 กิโลเมตร) โดยไม่เหน็ตเหนื่อย ซึ่งความสามารถที่ว่า นี้ เป็นการข้ามมิติจากที่หนึ่งโผล่ไปอีกที่หนึ่ง ด้วย การกระโดดเพียงก้าวเดียว เมื่อได้รับบาดแผลหรือ ใช้พลังข้ามมิติจะก่อให้เกิดประกายแสงที่ระเบิดออก จากขนเหมือนพลุ ข้อมูลจากตำนานเดิมของจีน ตำนานซาล ไห่จิงระบุว่าโจวหวูหรือโจวยู๋เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่วนหัว เหมือนสิงโตและลำตัวเหมือนเสือ มีหางเรียวยาวและ ยาวกว่าลำตัว มีฟันเหมือนฟันของฉลาม ธรรมชาติ ของโจวหวูนั้น เป็นสัตว์อ่อนโยนและไม่กินสัตว์ที่ยัง มีชีวิต บางแหล่งข้อมูลบอกว่าโจวหวู มีสีขาวสลับ ดำ บางตำนานยังบอกว่า โจวหวู เป็นสัตว์นำโชค ซึ่งความจริงในตำนานระบุความสามารถในการเดิน ทางของ โจวหวูไว้ว่า มันสามารถเดินทางได้วันละ พันลี้หรือ 500 กิโลเมตรต่อวัน


29 เต่ามังกร (chingtong tualang) เต่ามังกร หรือชิงถง ถัวหลงเป็นชื่อเรียก โบราณวัตถุในพระราชวังกู้กงหรือพระราชวังต้อง ห้ามในนครปักกิ่ง โดยคำว่าชิงถงถัวหลง เป็นเต่า มังกรทองสัมฤทธิ์ที่เป็นการรวมมหาพลังของมังกร และเต่า ที่ถือเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์สองในสี่ชนิด ของจีน ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งความ กล้าหาญ ปรีชาสามารถ อำนาจบารมีศักดิ์ศรีอัน ยิ่งใหญ่ของมังกร กับพลัง แห่งความมั่นคง อายุ วัฒนะ สุขะ พละที่ยืนยาวของเต่า เต่ามังกร เป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนาจ เป็นที่ศรัทธาสูงสุดของราชวงศ์ถัง ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ถังได้สร้างรูปปั้นเต่ามังกรไว้หน้าพระราชวัง เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง อายุยืน สุขภาพ ดีตั้งใจ มุมานะ นำไปสู่ความก้าวหน้า ความสำเร็จ อย่างมั่นคง ยืนยาว และรวมถึงความเพิ่มพูนด้าน ทรัพย์สินเงินทอง และป้องกันคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย สัตว์มงคลชนิดนี้ เป็นการรวมกันของ สัตว์2 ชนิด คือเต่าที่เป็นตัวแทนของความแข็งแรง อดทน มีเกราะป้องกันอันตรายและอายุยืน ส่วน มังกรเป็นตัวแทนของความยิ่งใหญ่ ดีงาม ความ กล้าหาญ วาสนาบารมีสูงส่ง ที่ถือเป็นมงคลสูงสุด เมื่อสัตว์2 ชนิดนี้มารวมกันอันเป็นเต่ามังกรจึงถือ เป็นสุดยอดปรารถนาของชาวจีนในอดีตและสืบทอด ความเชื่อถือนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความที่เต่าเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ ที่อายุยืน ดังนั้นการวางรูปปั้นเต่าไว้ในบ้าน จึงจะ ช่วยส่งเสริมให้คนสูงอายุในบ้านมีอายุยืน คนเจ็บ คนไข้หายป่วย คนหนุ่มคนสาวจะมีโชคมีลาภ และ เด็กเล็กจะเจริญเติบโต ในขณะเดียวกันยังสามารถ ใช้เต่าเพื่อสลายพลังปราณชี่ได้ ด้วยการตั้งเต่าให้ หันหน้าไปยังทิศที่มีปราณชี่พิฆาตต่างๆ นอกจากนี้ เต่าที่ถือเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในระบบสัญลักษณ์ ของจีน ที่ทำหน้าที่ประดุจ “จตุโลกบาล” ผู้พิทักษ์ รักษาคุ้มครองโลกทั้ง 4 ทิศ อันประกอบด้วย • ทิศเหนือ เต่า ธาตุน้ำ อันหมายถึง ความสุข อายุวัฒนะ • ทิศใต้หงส์ธาตุไฟ อันหมายถึง นิมิตหมาย ที่เป็นมงคง โชค • ทิศตะวันออก มังกร ธาตุลม อันหมายถึง อำนาจที่ยิ่งใหญ่ • ทิศตะวันตก กิเลน ธาตุลม อันหมายถึง ปัญญา ความยุติธรรม ซึ่งการเสริมสิริมงคลด้วยสัตว์มงคลใน ระบบสัญลักษณ์ของจีนนั้น ถือได้ว่าเป็นรหัสสู่ความ สำเร็จโดยนอกจาก “ปี่เซียะ” สัตว์เทพสวรรค์บันดาล โชคแล้ว “เต่ามังกร” ก็เป็นสัตว์สัญลักษณ์อีกชนิด ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักธุรกิจ พ่อค้า คหบดีผู้ บริหารทั้งภาครัฐและเอกชนอีกด้วย


30 เฟิ่ งหวง (feng huang) เมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ภาพของเฟิ่งหวงที่ปรากฏในศิลปะจีนลักษณะของ เฟิ่งหวงในสมัยใหม่นี้มักถูกอธิบายว่าเป็นนกหลาย ชนิดรวมกัน คือ มีหัวเป็นไก่ฟ้า มีลำตัวเป็นเป็ด มี หางเป็นนกยูง มีขาเป็นนกกระเรียน มีปากเป็นนก แก้ว และมีปีกเป็นนกนางแอ่น นอกจากนี้เฟิ่งหวงยังมีขนถึงห้าสีได้แก่ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว และสีเหลือง ซึ่งแต่ละสีมี ความสัมพันธ์กับคุณธรรม 5 ประการของขงจื๊อ ได้แก่ ความเมตตากรุณา (ความดี), ความชอบ ธรรม, ความเหมาะสม, ปัญญา, และความจงรัก ภักดี(ความซื่อสัตย์) เฟิ่งหวง ตามตำนานจีน เป็นนกอมตะที่ มีลักษณะหายาก กล่าวกันว่าเป็นเมื่อมันปรากฏตัว จะเป็นลางบอกเหตุแห่งความสามัคคีเมื่อมีการขึ้นสู่ บัลลังก์ของจักรพรรดิองค์ใหม่ เฟิ่งหวงมีต้นกำเนิด ในราชวงศ์ชางในช่วงเวลานี้เฟิ่งหวงมักถูกมองว่า เป็นนกสองตัว ที่เป็นตัวแทนความหมายของทั้งชาย และหญิง ความสามัคคีของหยินหยาง ชื่อของมันคือ การรวมกันของคำว่า เฟิ่ง ที่เป็นตัวแทนของผู้ชาย และ หวง ตัวแทนของผู้หญิง ต่อมานกตัวผู้และตัว เมียก็ถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เกิดเป็นเฟิ่งหวง ที่เรารู้จักในปัจจุบัน แม้เฟิ่งหวงจะถูกกล่าวถึงครั้งแรกใน สมัยราชวงศ์ชาง แต่ภาพของมันถูกพบในกระดูก เสี่ยงทาย (oracle-bone inscriptions) ที่คนจีน โบราณใช้ในการทำนายอนาคต ที่มีอายุราวๆ สมัย 8,000 ปีก่อน กระดูกเสี่ยงทายเล่าถึงการปรากฏ ตัวของเฟิ่งหวงก่อนการสิ้นของจักรพรรดิเหลือง ในตำนาน (หวงตี้) ผู้ปกครองจีนในศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตศักราช


31 เฟิ่งหวงเป็นนกที่เป็นสัญลักษณ์ของ คุณธรรมและความดีงาม และว่ากันมามันจะปรากฏ ตัวให้เห็นยากมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เฟิ่งหวง ปรากฏตัวจะหมายถึง ณ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ บ้านเมืองมีสันติภาพ ความสงบสุข ความมั่งคั่งและ ความเจริญรุ่งเรือง หรือจะปรากฏตัวเมื่อมีจักรพรรดิ องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นการบอกว่าจักรพรรดิ องค์ใหม่นี้เป็นผู้มีความเมตตาและคุณธรรมนั่นเอง นอกจากนี้เฟิ่งหวงถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในพิธี แต่งงาน หรือแสดงถึงความปรองดองสามัคคีกัน ของสามีภรรยาและตั้งแต่ราชวงศ์ฉินเป็นต้นมา จากเดิมที่ เฟิ่ง คือนกตัวผู้หวง คือนกตัวเมีย ทั้ง สองได้เกิดการผสมผสานกันอย่างช้าๆ และสุดท้าย เฟิ่งหวงก็ถือเป็นนกเพศเมีย และกลายเป็นตัวแทน ของผู้หญิงโดยสมบูรณ์ จึงได้มีการนำเฟิ่งหวงมา ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนจักรพรรดินีคู่กับมังกร ซึ่งก็ คือตัวแทนขององค์จักรพรรดิ เฟิ่งหวงเป็นนกที่ไม่มีอายุขัยที่แน่นอน แต่จากตำนานเชื่อว่ามันมีอายุถึงหลายล้านปีเลยที เดียว ผู้คนเลยเชื่อว่าเฟิ่งหวงเป็นนกอมตะที่แท้จริง คือมันไม่มีวันแก่ตายและไม่มีการเกิดใหม่ เฟิ่งหวงอาจจะไม่ได้ปรากฏในงานวรรณกรรม หรือภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก มักจะปรากฏในตำรา ความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณมากกว่า อย่างเช่นใน ชาน ไห่จิง หรือ คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล (The Classic of Mountains and Rivers) ตำราโบราณสมัย ก่อนราชวงศ์ฉิน ตำราที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของ เทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา ตลอดจนด้านภูมิศาสตร์และด้านวัฒนธรรม ซึ่งใน ยุคปัจจุบันตัวละครที่เป็นสัตว์ประหลาดๆ ที่เราคุ้น เคยจากในภาพยนต์จีนหลายเรื่องเช่น โปเยโปโลเย หรือ ไซอิ๋ว นั้นล้วนมีที่มาจากตำราชานไห่จิงทั้งสิ้น รวมถึงเฟิ่งหวงเองก็เป็นสัตว์ที่ถูกกล่าว ถึงในตำรานี้เช่นกัน ในตำราชานไห่จิง กล่าวว่า เฟิ่ง หวงถือเป็นสัญลักษณ์ของค่านิยมขงจื๊อ คือในแต่ละ ส่วนของร่างกายของเฟิ่งหวงจะมีตัวอักษรของคำ ปรากฏอยู่แสดงถึงค่านิยมในด้านต่างๆ คือ ศีรษะ แสดงถึง คุณธรรม (德), ปีก แสดงถึง หน้าที่ (義), หลังแสดงถึง ความถูกต้อง(禮), หน้าท้อง แสดงถึง ความน่าเชื่อถือ (信), และหน้าอก แสดง ถึง ความเมตตากรุณา (仁)


32 นกเก้าหัว (Jiu-Tou Niao) เป็นสัตว์ประหลาดชั่วร้ายที่มี10 คอ แต่9 หัว ตัวของมันถูกปกคลุมด้วยขนนกสีแดง นกนี้มีชื่อ เรียกอีกอย่างว่า guiche หรือ "ยานผี" เนื่องจาก เวลาบินของมันจะปล่อยเสียงเหมือนยานพาหนะใน เวลากลางคืน เจ้านกนี้มีนิสัยดุร้าย มันจะคอยขโมย วิญญาณของเด็ก ๆ แรกเริ่มเดิมทีในตำนานบอกว่ามันเคยมี 10 หัว มีเรื่องราว 2 เวอร์ชั่นเกี่ยวกับการสูญเสีย หัวของมัน เวอร์ชั่นแรกได้บอกว่ามันถูกสุนัขดุร้าย กัด หรืออีกแบบก็คือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจว ได้สั่งให้นักล่ายิงหัวของมัน(ราวศตวรรษที่ 8-10 ก่อนคริสตกาล) เลือดของมันพุ่งออกจากคอที่ไร้ หัวหยดไปตามทางที่มันบินผ่าน เลือดที่ไหลออกมา จากคอของมันหากตกอยู่ที่บ้านใครจะทำให้บ้านนั้น เดือดร้อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้านกร้ายกลัวเลย มัน ยังคงแอบเข้าไปในหมู่บ้านตอนกลางคืนทำร้ายเด็ก และแพร่กระจายความโชคร้ายต่อไป เนื่องจากหนึ่งในหัวของมันเสียชีวิต เจี่ยว เถา เหนียวจึงจำเป็นที่จะต้องกลืนกินวิญญาณของ ผู้อื่นเพื่อเติมเต็มเลือดที่ไหลออกมาตลอดเวลา สิ่งนี้ เองที่ทำให้มันกลายมาเป็นนก 9 เศียร ที่เป็นตัวแทน ของความเลวร้าย


33 หลายครอบครัวได้ตั้งกฎที่เข้มงวดเพื่อ ปกป้องครอบครัวของพวกเขาจากเจ้านกร้าย ห้าม พฤติกรรมบางอย่าง เช่น ห้ามถอดเสื้อเด็กในตอน กลางคืน เมื่อได้ยินเสียงเจ้านกเข้ามาใกล้ ผู้คนจะ ปล่อยสุนัข และสร้างเสียงรบกวนโดยการเคาะเตียง หรือประตูและดับเทียนเพื่อขับไล่เจ้านกร้ายให้ออกไป บางตำนานกล่าวว่าเจ้านกนี้ไม่ได้เป็นแค่ปีศาจชั่วร้าย มันยังโง่และตาถั่ว บางคนบอกว่านก 1 หัว มี2 ปีก รวมทั้งหมดก็มี18 ปีกแต่ตัวมันเล็กเกินที่ 18 ปีก จะอยู่ด้วยกันไหวทำให้เรื่องการบินนี้ห่วยมาก และ ตามที่อธิบายไว้ในบทความของราชวงศ์หมิง บอก ว่า หัวใดหัวหนึ่งของมันจะมีอาหารอยู่ ทำให้อีก 8 หัวหิวและแย่งด้วยการจิกกัดกันเองสุดท้ายก็เจ็บ ทุกหัว จนมีเป็ดที่เห็นมันเยาะเย้ยพวกมัน และบอก ว่าไม่ว่าอาหารจะเข้าจากหัวไหนสุดท้ายก็เข้าไปใน ท้องเดียวกัน ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าจะกิน และการ ต่อสู้นั้นแสดงให้เห็นถึงความโง่และเห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเชื่อของ ผู้คนในหูหนาน-หูเป่ย จะขัดแย้งกับความเชื่อทั่วไป เกี่ยวกับเจี่ยวเถาเหนียวเนื่องจากในแถบนี้มีตำนาน ของนกศักดิ์สิทธิ์เก้าเศียรสีแดงที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า นกตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญา ความกล้า หาญและความสามารถ ทำให้ผู้คนในชูสมัยโบราณ มักชอบการใช้นกเก้าเศียรเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากทางตอนเหนือของประเทศที่มองว่า เป็นสิ่งเลวร้าย เชื่อกันว่าการปรากฏตัวของเมื่อเจี่ยวเถา เหนียว คือลางร้าย ถ้าหากมันปรากฏตัวขึ้นเปลวไฟ ในตะเกียงจะดับมืดลงด้วยความรวดเร็วเป็นอย่าง มาก และสุนัขก็จะวิ่งหนีออกไป ถ้าหากเจี่ยว เถา เหนียวมาเยือนบ้านหลังใด มันก็จะทำการดูดพลัง วิญญาณของเหล่าเด็ก ๆ นักวิชาการบางคนเชื่อว่านกที่มีหัวเก้า หัวนั้นไม่ได้ดุร้ายและโง่ตั้งแต่แรก มันมาจากสัตว์ใน ตำนานที่บูชาโดยชนเผ่าในภูมิภาค Chu รอบมณฑล Hubei ในปัจจุบัน บันทึกไว้ว่า มันเป็นนกฟีนิกซ์มี เก้าหัวที่มีใบหน้ามนุษย์ในแต่ละหัวและร่างกายเป็นนก มันอาศัยอยู่ในดินแดนที่รกร้าง เพราะความเกลียด ของชังคนในราชวงศ์โจวต่อคนในภูมิภาค Chu นั้น อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมนกเก้าหัวจึงตกจากบัลลังก์ และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารำคาญ


34 ยามาตะ โนะ โอโรจิ(八岐の大蛇) คือสัตว์อสูรยักษ์ตามตำนานเรื่องเล่าขานของญี่ปุ่น มาตั้งแต่สมัยโบราณ กล่าวกันว่าในยุคแห่งการสร้าง “เทพฮิซานางิ” (イザナギ) ผู้เป็นบิดาเทพและ “เทพอิซานามิ” (イザナミ) ผู้เป็นทั้งมารดาเทพ และน้องสาวได้ทำการสร้างโลกมนุษย์หรือประเทศ ญี่ปุ่นตามความเชื่อ จากการกวนน้ำทะเลให้แผ่น ดินวะโผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล แต่ก็ได้ทำให้สัตว์อสูร ขนาดยักษ์อย่าง “ยามาตะ โนะ โอโรจิ” ถือกำเนิด ขึ้นมาด้วยพร้อมๆ กัน ยามาตะ โนะ โอโรจิ(八岐の大蛇) คือสัตว์ อสูรยักษ์ตามตำนานเรื่องเล่าขานของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ สมัยโบราณ กล่าวกันว่าในยุคแห่งการสร้าง “เทพ ฮิซานางิ” (イザナギ) ผู้เป็นบิดาเทพและ “เท พอิซานามิ” (イザナミ) ผู้เป็นทั้งมารดาเทพ และน้องสาวได้ทำการสร้างโลกมนุษย์หรือประเทศ ญี่ปุ่นตามความเชื่อ จากการกวนน้ำทะเลให้แผ่น ดินวะโผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล แต่ก็ได้ทำให้สัตว์อสูร ขนาดยักษ์อย่าง “ยามาตะ โนะ โอโรจิ” ถือกำเนิด ขึ้นมาด้วยพร้อมๆ กัน เทพฮิซานางิและเทพอิซานามิ ผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นตามตำนาน ญีปุ่น สัตว ์ในตำ�นาน ่ ยามาตะ โนะ โอโรจิ (Yamata-no-Orochi)


35 ยามาตะ โนะ โอโรจินั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็น มังกรทั้งแปด พ่นไฟได้มีร่างกายที่ใหญ่เท่าๆ กับ ภูเขาขนาดมหึมาแปดลูก ถึงมันจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่มีความคิดความอ่านที่ไม่ด้อยด้านปัญญา รวม ถึงมันยังมีนิสัยที่ดุร้าย ชื่นชอบการทำลายล้าง มัน ทำลายล้างหมู่บ้านทั้งเจ็ดที่ขวางทาง หากหมู่บ้าน ไหนยอมที่จะสังเวยหญิงสาวบริสุทธิ์หมู่บ้านนั้นจะ ได้รับการละเว้นจากน้ำมือของมัน (หากบ้านไหน มีลูกสาวแล้วจู่ๆ ในวันหนึ่งมีลูกธนูปักอยู่บนหลังคา บ้าน นั่นเป็นการบอกว่ายามาตะ โนะ โอโรจิได้เลือก ลูกสาวบ้านนั้นนั่นเอง) สุซาโนโอะเทพแห่งวายุ เมื่อโลกมนุษย์ถูกเจ้าอสูรร้ายตนนี้รุกราน ร้อนถึง เหล่าเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ตามปกรณัมของญี่ปุ่น ที่ต้องลงมาปราบมัน แต่ทว่ามันสามารถต่อกรกับ เหล่าเทพเจ้าได้อย่างไม่เกรงกลัว และเมื่อไม่มีเทพ องค์ไหนสามารถกำราบความเหิมเกริมของมันได้ เทพแห่งวายุอย่าง “สุซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ” (須 佐之男命)จึงได้อาสาในการกำราบมัน แต่วิธี การของสุซาโนโอะเป็นเทพที่ไร้ซึ่งพลังคือการวางแผน “มอมเหล้า” เจ้าอสูรยักษ์นี่ สุซาโนโอะได้เดินทาง มาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งและได้เครื่องบรรณาการเป็น หญิงสาวและสุรารอเอาไว้ เมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิมาถึงหมู่บ้านแห่งที่แปดซึ่ง เป็นหมู่บ้านที่สุซาโนโอะรอจัดการมันอยู่มันก็ได้ไล่ดื่ม สุราทั้งแปดที่ตระเตรียมภายในค่ายกลที่เป็นประตูทั้ง แปด แล้วใช้เงาของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายในค่าย กลเป็นตัวล่อจนเมามาย และก็ถูกสุซาโนโอะสังหาร ลงด้วยการตัดหัวทั้งแปดได้อย่างง่ายดาย และเมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิตายลง… ได้มีแสงสว่าง ปรากฏตรงที่ปลายหางของมัน สุซาโนโอะจึงได้ ทำการผ่าหางของมันออกมาแล้วพบว่ามี“ดาบคุ ซานางิ” (草薙の剣) อยู่ภายใน สุซาโนโอะ จึงได้นำดาบเล่มนี้มาถวายแก่เทพีอามาเทราสุ ( 天照) ผู้เป็นสุริยเทพเพื่อเป็นการขอขมาไถ่โทษ เทพีอามาเทราสุคือต้นตระกูลขององค์จักรพรรดิ ญี่ปุ่นที่สืบเชื้อสายรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน และ ดาบคุซานางิก็คือของที่สืบทอดในราชวงค์เท่านั้น ดาบคุซานางิคือดาบที่“ดรอป” ได้หลังจากที่สังหาร โอโรจิได้แล้ว


36 บาเกะเนโกะ (Bakeneko) ปีศาจแมว:Bakeneko (ばけねこ) ในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความผูกพันกับแมวมาตั้งแต่ สมัยโบราณเพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชค ไม่ใช่ แค่ในเรื่องของความโชคดีความเชื่อและตำนานที่ เกี่ยวข้องกับแมวยังรวมไปถึงเรื่องของภูติผีปีศาจ อย่างปีศาจแมวหรือบาเกะเนโกะก็มีเรื่องเล่าและ ตำนานที่น่าสนใจ ทั่วทุกมุมโลกย่อมมีความเชื่อ มีตำนาน และเรื่อง เล่าที่แตกต่างกันไป เรื่องของภูติผีปีศาจ ก็เช่น กัน โดยลักษณะของภูติผีหรือปีศาจก็จะแตกต่าง กันไปตามความเชื่อของแต่ละท้องที่ สำหรับในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความผูกพัน กับแมวมาตั้งแต่สมัยโบราณเพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ นำโชค ดังนั้นที่ประเทศญี่ปุ่นจึงเต็มไปด้วยเรื่องเล่า หรือตำนานที่เกี่ยวข้องกับแมว ไม่ใช่แค่ในเรื่องของ ความโชคดีความเชื่อและตำนานที่เกี่ยวข้องกับแมว ยังรวมไปถึงเรื่องของภูติผีปีศาจ อย่าง ปีศาจแมวหรือบาเกะเนโกะ (Bakeneko) ก็มีเรื่อง เล่าและตำนานที่น่าสนใจ ปีศาจแมวหรือบาเกะเนโกะ (Bakeneko) มักจะอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านหรือเมืองใหญ่โดยอาหาร หลักของบาเกะเนโกะ ก็คือเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นปลา นก สัตว์ตัวเล็ก ๆ และบางครั้งก็เลื่อนขั้นมากินมนุษย์ โดยส่วนมากบาเกะเนโกะมักจะแฝงตัวอยู่ในลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป อาจจะเป็นแมวบ้าน แมวในฟาร์ม หรือแม้กระทั่งแมวจรที่เร่ร่อนอยู่ตามเมือง ส่วนมาก บาเกะเนโกะมักจะเกิดจากแมวที่มีอายุมากขึ้นจนมี ตบะที่แก่กล้า ซึ่งจำนวนของอายุจะแตกต่างกันตาม แต่ละพื้นที่ อย่างเช่นจังหวัดนากาโนะ (Nagano) เชื่อว่าแค่12 ปีก็สามารถกลายร่างเป็นปีศาจแมวได้ แล้ว โอกินาว่า (Okinawa) เชื่อว่า 13 ปีส่วนบาง พื้นที่ในจังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima) เชื่อว่าเพียง แค่ 7 ปีก็สามารถกลายร่างได้แล้ว และไม่ใช่เพียงแค่แมวที่มีอายุมากเท่านั้นที่สามารถ กลายร่างเป็นบาเกะเนโกะได้แต่รวมไปถึงแมวที่ถูก ทารุณโดยมนุษย์ก็มีโอกาสที่จะกลายร่างเป็นบาเกะ เนโกะได้เช่นกัน


37 ปีศาจแมวหรือบาเกะเนโกะ (Bakeneko) นั้นเมื่อพวกมันมีอายุมากขึ้น มีพลังมากขึ้นรูปร่าง ของพวกมันก็จะขยายใหญ่ขึ้นด้วย ในบางครั้งอาจ ตัวใหญ่เท่ากับมนุษย์ได้เลย บาเกะเนโกะนั้นมีความสามารถในการแปลงกายได้ ดีบางทีก็ทำตัวเหมือนแมวปกติทั่วไป บางครั้งก็ แปลงเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ รือแม้กระทั่งแปลงเป็นเจ้า นายของพวกมันเอง ในขณะที่บาเกะเนโกะปลอมตัวจะชอบ แต่งกายคล้ายกับมนุษย์ โดยนิยมสวมผ้าเช็ดตัว หรือผ้าเช็ดปากบนศีรษะและเต้นรำอย่างสนุกสนาน บาเกะเนโกะบางตัวเรียนรู้ที่จะพูดภาษาของมนุษย์ เพื่อสร้างความกลมกลืน ในบางพื้นที่อย่างเช่น เกาะอาจิ(Aji) ในจังหวัด มิยากิ(Miyaki) และ หมู่ เกาะโอกิ(Oki) ในจังหวัดชิมาเนะ (Shimane) ก็มี เรื่องเล่าแปลกๆเกี่ยวกับบาเกะเนโกะ (Bakeneko) ที่พยายามแปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อที่จะได้เข้าแข่งขัน กีฬาซูโม่ด้วยเช่นกัน บาเกะเนโกะสามารถกินสิ่งมีชีวิตที่มีขนาด ใหญ่กว่าตัวเองได้ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์มีพิษ มีบาง ครั้งที่บาเกะเนโกะกินเจ้านายของตัวเอง และเข้าไป ใช้ชีวิตอาศัยอยู่แทนที่พวกเขา หากในรายที่โชคดีไม่ ถูกกิน บาเกะเนโกะก็จะนำพาคำสาปพร้อมความโชค ร้ายมาสู่เจ้านายของพวกมันแทน บ่อยครั้งที่เกิดความสับสนขึ้นระหว่างบาเกะเนโกะ (Bakeneko) กับ เนโกะมาตะ (Nekomata) ซึ่งความแตกต่างของปีศาจแมวทั้งสองประเภทนี้ก็คือ เนโกะมาตะนั้นเกิดจากบาเกะเนโกะที่หางของพวก มันเริ่มแยกออกเป็นสองหาง สามารถยืนได้ด้วยสองขาหลังคล้ายมนุษย์ และบาเกะเนโกะนั้นจะไม่ดุร้าย ต่อมนุษย์เท่ากับเนโกะมาตะ ถึงแม้จะมีบ้างที่บาเกะเนโกะจะทำร้ายหรือกินมนุษย์แต่ก็มีโอกาสที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเทียบกับเนโกะมาตะ


38 เนโกะมาตะ (NEKOMATA) เนโกะมาตะ (Nekomata) 猫又 เป็น ภูตแมวที่ทรงพลังมากที่สุดในหมู่แมว อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าแมวทุกตัวจะสามารถกลายมาเป็นเนโกะมาตะ ได้แต่ต้องบรรลุเงื่อนไขในเรื่องของอายุที่ยืนยาว มาก มีหางยาวและความเฉลียวฉลาดมากที่สุด เมื่อ มันกลายร่างเป็นภูตผีหากของมันก็จะแยกออกตาก กันกลายเป็นแมวที่มีสองหาง หลังจากนั้นมาก็จะ เปลี่ยนมาเดินสองขาและพูดภาษามนุษย์ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนโกะมาตะที่ทรงพลังและอันตราย ที่สุดมักจะออกจากเมืองไปอาศัยอยู่ในภูเขา โดยมัก แปลงร่างเป็นเสือดาวหรือสิงในขณะที่เดินทอดน่อง อยู่ในป่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่พวกมันก็จะยิ่ง เติบโตมากขึ้นจนมีขนาดหลายเมตรแถมพวกมันยัง แข็งแกร่งมากพอที่จะล่าหมูป่า สุนัขจิ้งจอก หมีและ มนุษย์กินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย เนโกะมาตะ มักมองดูมนุษย์ด้วยสายตา ดูถูก บางครั้งพวกมันก็สร้างลูกไฟขนาดใหญ่แล้ว ลงมือเข่นฆ่ามนุษย์มากมาย นอกจากนี้เนโกะมาตะ ยังมีความสามารถในการควบคุมศพให้กลายมาเป็น หุ่นเชิด หรือใช้พลังลึกลับทำการแบล็กเมล์และกดขี่ ข่มเหงมนุษย์ทำให้พวกมันจัดว่าเป็นภูตผีที่อันตราย ต่อมนุษย์อย่างมากเลยทีเดียว


39 โจโรกุโมะ (Joro-Gumo) โจโรกุโมะ หรือ Jorogumo 女郎蜘 蛛 เป็นผีที่ปรากฏตัวในนิทานพื้นบ้านของประเทศ ญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นผู้หญิงครึ่งแมงมุมที่มีความ สามารถในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายมาเป็นสาว งามเพื่อหลอกล่อเหล่าผู้ชายที่หลงใหลในความงาม ให้ตามไปในที่ลับตาก่อนที่จะถูกกัดกินเป็นอาหารอัน โอชะ นอกจากนี้โจโรกุโมะ (Jorogumo) ยังมีกล อุบายและเทคนิคในการหลอกล่อผู้คนให้กลายมา เป็นเหยื่ออย่างแพรวพราว โดยอ้างอิงจากบันทึก และตำนานการปรากฏตัวของภูตผีตนนี้ดังต่อไปนี้ เรื่องเล่าเกี่ยวกับแมงมุมผีโจโรกุโมะ (Jorogumo) ซามูไรหนุ่มคนหนึ่งได้พบกับหญิงสาว โฉมงามที่น่าหลงใหลบนถนน แม้หญิงสาวจะงาม หยดย้อยจนไม่อาจละสายตาได้แต่ซามูไรหนุ่มก็มอง ทะลุความงามไปจนถึงก้นบึ้งอันดำมืดว่าที่จริงแล้ว เธอไม่ใช่มนุษย์หากแต่เป็นภูตผีซามูไรชักดาบออก จากฝักแล้วพุ่งเข้าหาปีศาจสาวในทันทีเมื่อเห็นเช่น นั้นเธอรีบหลบหนีหายไปในความมืดอย่างรวดเร็วแต่ ซามูไรยังคงตามล่าอย่างไม่ลดละ เขาเดินตามรอย เลือดสีแดงเข้มไปจนถึงบ้านร้างหลังหนึ่ง ภายในนั้น เขาได้พบกับศพหลายสิบร่างที่ถูกมัดด้วยใยแมงมุม และพบร่างของโจโรกุโมะ (Jorogumo) ที่กลาย เป็นแมงมุมขนาดยักษ์นอนตายจากพิษบาดแผลที่ ถูกดาบฟัน เรื่องเล่าหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโจโรกุโมะ (Jorogumo) เป็นเรื่องราวของซามูไรคนหนึ่งได้พบ กับหญิงสาววัย 19-20 ปีเธออุ้มเด็กมาด้วย เมื่อ เธอเห็นซามูไรหนุ่ม เธอได้บอกกับเด็กในอ้อมแขนว่า “คนนี้เป็นพ่อของเจ้าแน่นอน จงไปกอดเขาเสีย” แต่ ซามูไรหนุ่มรู้ทันว่านั่นเป็นกลอุบาย เขาถึงใช้ดาบฟาด ฟัน จนปีศาจต้องหนีไปแอบในห้องใต้หลังคา ในวัน รุ่งขึ้นซามูไรหนุ่มและเพื่อนพ้องได้พบกับซากของ โจโรกุโมะ (Jorogumo) 1-2 ตัว ในห้องใต้หลังคา พร้อมกับซากศพจำนวนมากของผู้คนที่กลายมา เป็นเหยื่อของมัน ในบางครั้งโจโรกุโมะ (Jorogumo) ก็ มักที่จะเข้ามาล่อลวงเหยื่อถึงในบ้าน เช่น เรื่องราว ของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่ามาโกโรคุ ในคืนหนึ่งขณะ กำลังเคลิ้มหลับ ได้มีผู้หญิงวัยประมาณ 50 ปี ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบอกว่าลูกสาวของเธอชอบ เขา และได้พาเขาไปยังที่บ้านของเธอ ที่นั่นมีเด็ก สาววัย 16-17 ปีที่งดงามรอเขาอยู่ แต่มาโกโรคุ ปฏิเสธเพราะเขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่หญิง สาวยังคงยืนกรานคำเดิม พร้อมกับบอกว่าแม้เขา จะเกือบฆ่าแม่ของเธอไปเมื่อสองวันก่อน แต่เธอก็ ยังรักเขาหมดหัวใจ ด้วยความฉงนมาโกโรคุได้วิ่ง หนีและบ้านหลังที่เขาไปเยือนก็เลือนหายไป หลัง จากที่วิ่งหนีอยู่พักใหญ่เขาก็ได้พบว่าได้กลับมาที่ ระเบียงบ้านของตัวเอง และภรรยาของเขายืนยัน ว่าเขาไม่ได้ไปไหน เพียงแค่นอนหลับอยู่บนระเบียง เท่านั้น เขาคิดว่าสิ่งที่ได้เห็นเป็นเพียงความฝัน แต่ เมื่อมองไปรอบๆและเห็นแมงมุมตัวเล็กๆกำลังชักใย อยู่รอบชายคา เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเมื่อสองวัน ก่อนเขาพึ่งขับไล่และทำลายใยของแมงมุมเหล่านี้ น้ำ ตกโจเรนแห่งอิซุ รังของแมงมุมผีโจโรกุโมะ (Jorogumo)


40 คามะอิทาจิ(Kama itachi) ลักษณะ ภายนอกจะดูคล้ายกับตัว “วีเซิล” (Weasel) พวก มันมีกรงเล็บที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กล้า คมเหมือน มีดโกน ขนมีลักษณะเป็นหนามคล้ายเม่น เสียงเห่า เหมือนสุนัข พวกมันเคลื่อนที่รวดเร็วมากไปพร้อม กับสายลมจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คา มะอิทาจิอาศัยอยู่ในภูเขาบริเวณจังหวัดยามนากา โนะและนีงาตะ เมื่อคามะอิทาจิออกเดินทางไปตาม สายลม พวกมันจะมากันสามตัวเสมอ ถ้าหาพบ นักเดินทางที่ขวางทาง คามะอิทาจิตัวแรกจะจู่โจม ใส่ด้วยสายลมเบาบางเฉือนที่ขาและกระแทกเหยื่อให้ ล้มลง ตัวที่สองจะใช้ขาหน้า-ขาหลังเฉือนร่างเหยื่อ จนเกิด บาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวนับพันแห่ง และ ตัวที่สามจะเข้ามาใช้ยาวิเศษทารักษาบาดแผลไม่ให้ เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เชื่อกันว่าพวกมันมีความแม่นยำในการ โจมตีสูงมาก จนสามารถลอกเนื้อของเหยื่อได้ทั้งหมด โดยที่เลือกยังไม่ทันหยดแม้แต่หยดเดียว กระบวนการ จู่โจมเหล่านั้นรวดเร็วอย่างมากเสียจนเหยื่อเองก็ ไม่ทันรู้ว่าตัวเองถูกทำร้าย รู้เพียงแค่ว่ากำลังเดิน ทางอยู่แล้วหกล้มไป ก่อนที่จะลุกกลับขึ้นมาพร้อม กับรอยขีดข่วนตามร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คามะอิทาจิ (Kamaitachi)


41 คาตะคูราวะ (Katakirauwa) คาตะคูราวะ (Katakirauwa)カタキ ラウワ หมูปีศาจหากมันวิ่งลอดขาใครต้องตาย แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นวิญญาณของลูกหมูที่มีตาสี แดงและมีหูเพียงข้างเดียว ส่วนใหญ่แล้วพวกมันมี ผิวสีดำและเชื่อกันว่าไม่มีเงา สิ่งที่น่ากลัวคือพวกมัน สามารถขโมยวิญญาณของเหยื่อที่พบได้ด้วยการ วิ่งลอดผ่านขาของบุคคลนั้น ว่ากันว่าหากถูกพวก มันดึงวิญญาณจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และรุนแรงเป็นอย่างมากถ้าหากต้องการป้องกันตัว เองจากคาตะคูราวะต้องลงไปนั่งไขว่ห้างหรือย่อตัว ลงจนทำให้พวกมันไม่สามารถวิ่งลอดผ่านไปได้… นูเรออนนะ (Nure onna) 濡れ女 เป็นผีดิบดูดเลือดที่มีร่างกายท่อนบนเป็นหญิงสาวที่ มีใบหน้าน่าเกลียด ส่วนท่อนล่างเป็นงูทะเล ลิ้นยาว ผมยาวสีดำที่เปียกชื้นและร่างกายที่มีหยดน้ำเกาะ อยู่ตลอดเวลา พวกมันมักออกล่าเหยื่อตามชายฝั่ง ทะเลโดยเฉพาะที่เกาะคิวชูลักษณะของพวกมันอาจ มีความแตกต่างเล็กน้อยขึ้นอยู่กับเรื่องเล่า คือ ร่าง ท่อนบนเป็นมนุษย์มีแขนและไม่มีแขน นูเรออนนะ มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่า มนุษย์มาก แต่พวกมันกลับพึ่งพาเล่ห์เหลี่ยมในการ ล่าเหยื่อเสียมากกว่า ส่วนใหญ่จะใช้การปลอมตัวเป็น หญิงสาวทุกข์ยากอุ้มทารกพร้อมกับร้องขอความ ช่วยเหลือจากคนตกปลา กะลาสีหรือคนที่เดินทาง ผ่านไปมา เมื่อเหยื่อหลงกลเดินเข้ามาใกล้ มันก็จะขอร้องให้ช่วยอุ้มทารกให้สักครู่ ถ้าหากหลง เชื่อจะพบว่าทารกนั้นหนักเหมือนก้อนหินจนทำให้ไม่ สามารถเคลื่อนไหวได้จังหวะนั้นเองที่นูเรออนนะจะ ฉวยโอกาสโจมตีดูดเลือดเหยื่อด้วยลิ้นที่ยาว พร้อมกับใช่ท่อนล่างที่เป็นงูรัดเหยื่อเอาไว้ไม่ให้วิ่งหนี บางครั้งมันปรากฏตัวร่วม “ยูชิโอนิ” ที่อาศัยอยู่ใน สภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน แล้วล่อลวงจับเหยื่อมา เป็นอาหารร่วมกัน... นูเรออนนะ (NURE ONNA)


42 อิโซนาเดะ (Isonade) อิโซนาเดะ(Isonade)イソナデเป็น สัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล ส่วนใหญ่มักที่จะ พบในเขตน้ำตื้นและชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศ ญี่ปุ่น ภายนอกของมันดูคล้ายกับฉลามขนาดยักษ์ ครีบหลังเต็มไปด้วยนามโลหะขนาดเล็กจำนวนนับไม่ ถ้วนที่ดูคล้ายกับเหล็กของกระต่ายขูดมะพร้าว บาง ครั้งพวกมันก็ใช้หนามเหล็กเหล่านี้เกี่ยวร่างของเหยื่อ ที่กำลังว่ายน้ำหนีลากให้จมน้ำตาย พวกมันดุร้าย มากถึงขนาดไล่ทำลายแนวชายฝั่งหินเพื่อตามล่า เรือหรือชาวประมงที่พยายามหลบหนีขึ้นฝั่ง การปรากฏตัวของอิโซนาเดะ เชื่อกันว่าอิโซนาเดะจะปรากฏตัวเมื่อสายลม เหนือพัดและกระแสน้ำในทะเลมีการเปลี่ยนแปลง ถึง แม้จะมีขนาดใหญ่ยักษ์แต่พวกมันสามารถเคลื่อนที่ ในน้ำด้วยท่วงท่าอันสง่างามโดยปราศจากความสูญ เปล่าและเงียบกริบ การพยายามสังเกตผิวทะเลไม่ ได้ช่วยอะไร เพราะการว่ายของมันแทบไม่ทำให้เกิด น้ำกระเซ็น ดังนั้น กว่าที่ชาวประมงจะทันรู้ตัวมันก็ สายไปเสียแล้ว เมื่ออิโซนาเดะจู่โจมเหยื่อ มันจะไม่ได้พุ่ง เข้ามางับเหยื่อเหมือนอย่างที่ฉลาดหิวโหยทั่วไปทำ กัน มันจะโผล่หางขนาดใหญ่ขึ้นมาให้เห็นแล้วพลิก ตัวเอาครีบหลังที่เต็มไปด้วยหนามเหล็กแหลมทิ่มลง ไปที่ร่างของเหยื่อที่อยู่บนเรือหรือในน้ำแล้วรากร่าง ของเหยื่อให้จมลงสู่ห้วงน้ำลึก การเคลื่อนไหวจู่โจม ดังกล่าวเป็นไปอย่างนุ่มนวลลื่นไหลไร้เสียง นอกจาก นี้พวกมันยังไม่เคยปรากฏตัวให้ทั้งตัวอีกด้วย ทำ ให้อิโซนาเดะ เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดในทะเลที่น่า กลัวเป็นอย่างมากจากความสามารถในการพราง ซ่อนตัวนั่นเอง..


43 อัคโคโรคามุย (Akkorokamui) อัคโคโรคามุย (Akkorokamui) アッコロカムイคือ เทพเจ้าปลาหมึกยักษ์สี แดงเข้ม ที่อาศัยอยู่ในอ่าวอุจิอุระ ของฮอกไกโด เชื่อ กันว่าหากมันยืดขยายร่างกายจนสุดจะมีขนาดใหญ่ ประมาณ 6.25 ไร่ เชื่อกันว่าหากมันปรากฏตัวขึ้น จะทำให้ท้องทะเลกลายเป็นสีแดงและท้องฟ้า ก้อน เมฆ ที่สะท้อนสีจากผืนน้ำไปก็จะกลายเป็นสีแดงไป ด้วย หากชาวประมงสังเกตเห็นผืนน้ำและท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วหลีกหนีไม่พ้น ก็จะเตรียมเคียว เอาไว้ในมือเพื่อป้องกันตัวเองจากการมาเยือนขอ งอัคโคโรคามุย แต่มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลนัก เพราะอัคโคโรคามุยมีขนาดใหญ่พอที่จะกลืนกินเรือ หรือปลาวาฬได้ทั้งตัวในคำเดียว!!! ความเชื่อเกี่ยวกับอัคโคโรคามุย มา จากนิทานพื้นบ้านของชาวไอนุที่รู้จักกันในชื่อของ “Atkorkamuy” โดยสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “หนวดศักดิ์สิทธิ์” ชาวไอนุนับถืออัคโคโรคามุย ใน ฐานะของ “เทพเจ้าแห่งน้ำ” และยังเป็น “เจ้าแห่ง อ่าวอุจิอุระ” อีกด้วย ตามตำนานเล่าว่าเมื่อนานมาแล้วบนภูเขา ใกล้กับหมู่บ้าน Rebunge มีแมงมุมยักษ์สีแดงกำลัง มหาศาล แขนขาทอดยาวไปทั่วพื้นที่กว่า 6.25 ไร่ มีนามว่า Yaushikep อาศัยอยู่ วันหนึ่งมันได้ลง มาจากภูเขาอาละวาดโจมตีผู้คนและทำลายทุกสิ่งทุก อย่างที่ขวางหน้า ชาวบ้านที่เต็มไปด้วยความหวาด กลัวได้พากันอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า จนกระทั่ง“Repun Kamuy” เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ได้ยิน จึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการ ดึงแมงมุมยักษ์ลงไปในอ่าวเมื่อแมงมุมจมน้ำมันก็ได้ กลายร่างกลายเป็นปลาหมึกยักษ์พร้อมกับรับหน้าที่ เป็นเทพเจ้าดูแลอ่าวมานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและเป็น ที่รู้จักกันของชาวญี่ปุ่นในชื่อ “อัคโคโรคามุย”


44 เบคคุจิระ (Bake-Kujira) เบคคุจิระ (Bakekujira) 化鯨 เป็น โครงกระดูกของปลาวาฬที่เคลื่อนไหว้ได้ส่วนใหญ่ มันมักที่จะแหวกว่ายไปมาอยู่ใต้เกลียวคลื่นใกล้ผิวน้ำ ทะเล ก่อนที่จะโผล่ขึ้นมาลอยตัวอยู่เหนือน้ำเหมือน กับปลาวาฬทั่วไป หากมันปรากฎตัวขึ้นที่ไหนก็จะมี ฝูงนกอันน่าขนลุกและฝูงปลารูปร่างประหลาดตาม ติดไปด้วยเสมอ ส่วนใหญ่แล้วเบคคุจิระจะปรากฏ ตัวให้เห็นใกล้กับหมู่บ้านของนักล่าปลาวาฬในคืน ที่มีฝนตก... ชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนนิยมการล่าปลาวาฬ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมู่บ้านที่ยากจนแร้นแค้น เพราะปลาวาฬก็เปรียบได้กับ “ขุมสมบัติแห่งท้อง ทะเล” นักล่า สามารถเก็บเกี่ยวทรัพย์ยากรมากมาย มหาศาลทั้งเนื้อและน้ำมันจากปลาวาฬ อย่างไร ก็ตาม ขุมทรัพย์นี้ก็มีราคาที่ต้องจ่ายคืนให้กับ ท้องทะเล เช่นกัน ชาวประมงจำนวนมากเชื่อกันว่าวิญญาณ ของปลาวาฬที่ถูกล่าเหล่านี้หลายตัวได้กลายมาเป็น เบคคุจิระ ที่ยังคงว่ายไปมาในท้องทะเลเพื่อหาทาง แก้แค้นเอาคืนเหล่ามนุษย์ที่พรากชีวิตของพวกมัน ไป หากใครได้พบเห็นเบคคุจิระ ก็จะถูกคำสาปอัน น่าสยดสยองที่มองไม่เห็นเกาะติดตามตัวกลับไป ด้วย เมื่อถึงหมู่บ้าน คำสาปดังกล่าวก็จะพาความ อดอยาก โรคระบาด ไฟไหม้และภัยพิบัติอื่นๆ ให้ เกิดขึ้นกับหมู่บ้าน ตำนานที่น่าสนใจเกี่ยวกับเบคคุจิระ เมื่อนานมาแล้ว... ในคืนฝนตก ชาวประมง ที่อาศัยอยู่บนคาบสมุทรชิมาเนะ ได้พบเห็นร่างสี ขาวขนาดยักษ์บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น เมื่อมอง ในระยะไกล เขาคิดว่าได้เห็นฝูงปลาวาฬกำลังแหวก ว่ายอยู่ในน้ำ ชาวประมงจึงได้ทำการรวบรวมพรรค พวก คว้าหอกและฉมวกพากันขึ้นเรือเพื่อออกตาม ล่าปลาวาฬเหมือนกับที่เคยทำมาตลอด ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาก็แล่นเรือมา ถึงปลาวาฬ แต่แล้วสิ่งที่น่าแปลกประหลาดก็เกิด ขึ้น เพราะไม่ว่าพวกเขาจะเหวี่ยงและขว้างอาวุธใน มือใส่ร่างของพวกมันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่มีใครโจมตี ถูกร่างของปลาวาฬ เมื่อก้มลงไปเพ่งมองใกล้กับ ผิวน้ำที่มืดมิดและฝนโปรยปรายลงมา พวกเขาถึง ได้ตระหนักว่าร่างที่คิดว่าเป็นปลาวาฬสีขาว ที่จริง มันคือโครงกระดูกของปลาวาฬที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำ โดยไม่มีเนื้อหนังติดตัวอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ณ ช่วงเวลาแห่งความตื่นตะลึงนั้นเอง รอบเรือของพวกเขาก็ปรากฏฝูงปลาแปลกๆ บน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงนกที่น่าขนลุกที่ไม่เคยมีใคร เคยเห็นมาก่อนมากมาย ก่อนที่จะทันรู้ตัว ปลาวาฬ โครงกระดูกก็ได้หันหัวออกสู่ทะเลและหายไปอย่าง รวดเร็วท่ามกลางกระแสน้ำ พร้อมกับมีฝูงปลาและ นกที่แสนประหลาดติดตามไปด้วย หลังจากที่ตระหนักว่าตัวเองได้เผชิญ หน้ากับเบคคุจิระ ปลาวาฬที่กลายมาเป็นวิญญาณ อาฆาต หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่พบเห็นมันอีกเลย แต่หมู่บ้านอื่นในชิมาเนะก็ได้รับผลคำสาปของเบคคุ จิระ จากการติดเชื้อโรคระบาดหลังจากที่พากันกิน เนื้อปลาวาฬที่ตายจากการเกยตื้นใกล้กับหมู่บ้าน....


Click to View FlipBook Version