นาฏศิลป์นานาชาติ
(International Dance)
จัดทำโดย
นางสาว ลักษณาพร กงถัน
ม.6.2 เลขที่ 21
นาฏศิลป์ จีน
นาฏศิลป์จีนเกิดจากระบำทรงเจ้าในพิธีทางศาสนาหรือเรียก
ว่า "รามาอู๋อู" นับเป็นศิลปะที่เก่าแก่มากที่สุด จุดประสงค์ในการ
แสดง เพื่อบำบัดภัยอันตรายจากธรรมชาติ บำบัดความเจ็บไข้ และ
ความทุกข์ทั้งปวง
ในสมัยราชวงศ์โจวศิลปะทางนาฏศิลป์ของจีนมีหลากหลาย
เช่นละครใบ้ ละครตลก การขับกล่อม การเล่านิทานประกอบดนตรี
เพลงพื้นบ้าน นาฏศิลป์มีทั้งที่เป็นของชาวบ้าน และในราชสำนัก
แต่เจริญสูงสุดในราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรณ "มิ่งฮวง" ทรง
เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ และการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดตั้ง
วิทยาลัยการละครในพระราชอุทยานสวนสน นครเชียงอาน ทรง
อุปถัมภ์ค้ำจุนนาฏศิลป์ทุกแขนง ชาวนาฏศิลป์จีนยกย่องท่าเป็น
บิดาแห่งการละคร และบูชาพระพุทธรูปก่อนการแสดงทุกครั้งเพื่อ
ความเป็นสิริมงคล
การแสดงนาฏศิลป์จีนโบราณจะไม่มีฉากใช้วิธีสมมุติ ผู้
แสดงต้องรับการฝึกเป็นระยะเวลานาน เพราะต้องฝึกร้องเพลง
เต้นระบำ ฝึกกายกรรม ผู้แสดงต้องมีพรสวรรค์ มีความสามารถ
รอบด้าน ความจำดีเป็นเยี่ยม ต้องจำบทเจรจาได้ เพราะการแสดง
นาฏศิลป์จีนจะไม่มีการบอกบท
ศิลปะการแต่งหน้านาฏศิลป์จีนถือเป็นศิลปะขั้นสูงมาก เพราะ
เป็นการบอกลักษณะนิสัยตัวละคร เช่น
สีดำ หมายถึง ความโกรธ ฉุนเฉียว
สีแดง หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ กล้าหาญ ซื่อสัตย์
สีน้ำเงิน หมายถึง ความโหดร้าย
สีขาว หมายถึง ความสง่า ภาคภูมิ
สีเหลือง หมายถึง ความดี
สีเขียว หมายถึง ความชั่วร้าย
สำหรับตัวละครที่เป็นผู้หญิง ใช้ผู้ชายแสดงแทน โดยมีคตินิยมว่า
ผู้ชายถ้าแสดงได้สมบทบาทแล้ว จะดูดีกว่าให้ผู้หญิงจริงๆ แสดง
ต่อมาจนถึงสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงปรับปรุงลีลา
ท่ารำของการแสดงให้นุ่มนวล ผสมกลมกลืนกับศิลปะหลายแขนง
ได้แก่ ดนตรี ขับร้อง นาฏลีลา การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
งิ้ว
ความโดดเด่นของการแสดงงิ้ว
นั้นนอกจากลีลาการร่ายรำและการ
เคลื่อนไหวของผู้แสดงแล้ว เสื้อผ้า
เครื่องแต่งกายตลอดจนการแต่ง
หน้าก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มี
เอกลักษณ์เฉพาะตัว
อย่างเช่นสีสันของการแต่งหน้าที่
แตกต่างกันไปก็จะบ่งบอกถึง
บุคลิกและอุปนิสัยของตัวละครได้
อย่างเช่น
การแต่งหน้าสีแดงจะมีความ
หมายไปในทางที่ดีเป็น
สัญลักษณ์ของผู้ซื่อสัตย์และ
กล้าหาญ
การแต่งหน้าสีดำมีความหมาย
เป็นกลางเป็นสัญลักษณ์ของผู้
ห้าวหาญไม่เห็นแก่ตัวและ
เฉลียวฉลาด
การแต่งหน้าเป็นสีน้ำเงิน
ก็จะมีความหมายเป็นกลางเช่น
เดียวกันและยังถือว่าเป็น
สัญลักษณ์ของวีรบุรุษชาวบ้าน
อีกด้วย
การแต่งหน้าที่สีขาวและสี
เหลืองมักจะมีความหมายไป
ทางลบเป็นสัญลักษณ์ของผู้
เหี้ยมโหดและคดโกง
นาฏศิลป์ญี่ปุ่น
ประวัติของละครญี่ปุ่นเริ่มต้นประมาณศตวรรษที่ 7แบบแผน
การแสดงต่างๆที่ปรากฏอยู่ในครั้งยังมีเหลืออยู่ และปรากฏ
ชัดเจนแสดงสมัยปัจจุบันนี้ ได้แก่ ละครโนะ ละครคาบูกิ ปูงักกุ
ละครหุ่นบุนระกุ การกำเนิดของละครญี่ปุ่น กล่าวกันว่ามีกำเนิดมา
จากพื้นเมืองเป็นปฐม กล่าวคือวิวัฒนาการมาจากการแสดง ระบำ
บูชาเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟและต่อมาญี่ปุ่นได้รับแบบแผนการแสดง
มาจากประเทศจีนโดยได้รับผ่านประเทศ เกาหลีช่วงหนึ่ง
คาบูกิ
เป็นละครอีกแบบหนึ่งของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากกว่าละคร
โน้ะ มีลักษณะเป็นการเชื่อมประสานความบันเทิงจากมหรสพของ
ยุคเก่าเข้ากับยุคปัจจุบันคำว่า “คาบูกิ” หมายถึง การผสมผสาน
ระหว่างโอเปร่า บัลเล่ต์ และละคร ซึ่งมีทั้งการร้อง การรำ และการ
แสดงละคร
1.ลักษณะการแสดง ละครคาบูกิตัวละครมีทั้งพูดเอง หรือมีผู้
พากย์แบบโขน ท่าทางที่แสดงมีแบบแผนเคร่งครัด แม้แต่การ
แต่งหน้า จะกำหนดไว้เป็นแบบแผนว่าละครตัวไหนจะต้องแต่งหน้า
อย่างไร มีการเขียนหน้าคล้ายงิ้วของจีน ตัวร้ายจะแต่งหน้าแดง
ตัวพระเอกจะแต่งหน้าข่าว เส้นทุกเส้นที่เขียนบอกอายุ ตำแหน่ง
อารมณ์ของตัวละคร การต่อสู้ ในการแสดงจะแสดงแต่เฉพาะวิธี
ฟันโดยที่อาวุธจะไม่โดนกัน ผู้แสดงจะทราบว่าฟันแบบไหน แรง
เท่าใด และฟันท่าไหนตัวละครถึงจะตาย การกินน้ำชาในเรื่องก็
ทำท่าดื่มโดยไม่มีถ้วยชา ผู้แสดงเป็นชายทั้งหมด
2.ดนตรีประกอบการแสดง ได้แก่ ขลุ่ย ซามิเซน กลองเล็ก ฆ้อง
ไม้เคาะ หรือเรียกว่า "กรับ" ผู้เคาะไม้จะกำกับการเปิด ปิดม่าน เริ่ม
ตีด้วยจังหวะช้าแล้วรัวถี่ขึ้น เมื่อตัวละครออกมาจะเคาะ 1 ที
3.เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายวิจิตรงดงามและสีสด
สวยงาม ในฉากต่อสู้จะมีดาบ และจะมีการแต่งหน้าตามตัวละคร
นั้นๆ
นาฏศิลป์ลาว
นาฏศิลป์ลาวเป็นนาฏศิลป์ที่พัฒนาขึ้นในราชสำนักล้านช้าง
ซึ่งคล้ายกับที่พบในราชสำนักสยาม ส่วนใหญ่แสดงเรื่อง
พระลักษมณ์พระราม (รามเกียรติ์หรือรามายณะฉบับลาว) หรือจาก
นิทานชาดก รวมทั้งวรรณคดีท้องถิ่นเช่นสินไซ (สังข์ศิลป์ชัย)
การแสดงแบบนี้มีสองประเภทคือโขนและละคร โขนเป็นการแสดง
เรื่องพระลักษมณ์พระราม ใช้ตัวแสดงชายหญิง ละครเป็นการ
แสดงที่ส่วนใหญ่ใช้ผู้หญิง ส่วนหนังตะลุงเป็นการแสดงที่คล้ายวา
ยังของชาวมลายู และเล่นเรื่องราวที่หลากหลายกว่าโขนและละคร
หมอลำ
หมอลำ เป็นรูปแบบของ
เพลงลาวโบราณในประเทศลาว
และภาคอีสานของประเทศไทย
สามารถแบ่งออกได้เป็นหลาย
อย่าง ตามลักษณะทำนองของ
การลำ เช่น ลำเต้ย ลำพื้น ลำ
กลอน ลำเรื่อง ลำเรื่องต่อกลอน
ลำเพลิน ลำซิ่ง
หมอแคนกำลังบรรเลงเพลงให้
กับหมอลำ
การประชันกันของหมอลำซิ่ง
ฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
คำว่า "หมอลำ" มาจากคำ 2 คำ
มารวมกัน ได้แก่ "หมอ" หมาย
ถึง ผู้มีความชำนาญ และ "ลำ"
หมายถึง การบรรยายเรื่องราว
ต่าง ๆ ด้วยทำนองอันไพเราะ
ดังนั้น หมอลำ จึงหมายถึง ผู้ที่มี
ความชำนาญในการบรรยาย
เรื่องราวต่าง ๆ ด้วยทำนอง
เพลง
นาฏศิลป์อียิปต์
การเต้นรำมีบทบาทสำคัญในชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ
อย่างไรก็ตามชายและหญิงไม่เคยเต้นรำด้วยกัน เป็นเต้นรำดำเนิน
การโดยคู่ของผู้ชายในช่วงที่อาณาจักรเก่า กลุ่มเต้นรำสามารถ
แสดงได้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำงานเลี้ยงบ้านที่พักและแม้แต่วัดทาง
ศาสนา ผู้หญิงบางคนจากกระต่ายที่ร่ำรวยได้รับการฝึกฝนด้าน
ดนตรีและการเต้นรำ พวกเขาเต้นสำหรับเจ้านายมาพร้อมกับนัก
ดนตรีชายเล่นกีต้าร์ ,พิณเขาคู่และพิณ กระนั้นก็ไม่มีชาวอียิปต์ที่มี
ฐานะดีจะเต้นรำในที่สาธารณะเพราะนั่นเป็นสิทธิพิเศษของชนชั้น
ล่างชาวอียิปต์ที่ร่ำรวยเลี้ยงทาสเพื่อเลี้ยงรับรองในงานเลี้ยงของ
พวกเขาและนำเสนอสิ่งที่น่าพึงพอใจให้กับเจ้าของของพวกเขา
ระบำหน้าท้อง
ระบำหน้าท้อง หรือเบลลี่แดนซ์
เป็นระบำที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบ
ตะวันออกกลาง ที่มีมาช้านานเมื่อ
ประมาณ 6000 ปีที่แล้ว ในอียิปต์และ
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สัมพันธ์กับ
ทางวัฒนธรรมการบูชาพระแม่ที่มา
ของพลังชีวิตและพิธีกรรมเกี่ยวกับ
ความอุดมสมบูรณ์
เบลลี่แดนซ์ ได้ถูกแนะนำให้รู้จัก เป็น
ครั้งแรกในอเมริกา เมื่อปี 1893 ที่โรง
ละครอียิปต์ ที่นครชิคาโก ซึ่งโรง
ละครนั้นมีชื่อว่า World's
Columbian Exposition Midway
และต่อมาไม่นาน ระบำเบลลี่แดนซ์
ก็ได้ปรากฏในภาพยนตร์ ของ
Hollywood จึงทำให้เป็นที่รู้จักมาก
ขึ้นแก่สายตาของผู้คนทั่วโลก
นาฏศิลป์ยุโรป
บัลเล่ต์เป็นศิลปะการเต้นรำแขนงหนึ่ง ที่มีประวติความเป็น
มายาวนานนับศตวรรษ โดยมีจุดกำเนิดครั้งแรก ณ ประเทศ
อิตาลี ในยุคสมัยที่เรียกว่า เรเณซอง หรือ ยุคฟื้ นฟูศิลปะ
วิทยาการ ศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ในยุคแรกเริ่ม ถือว่าเป็นกิจกรรม
ทางสังคม ของราชสนักอิตาลี ที่ถือกำเนิดขึ้น และมักนิยมจัดการ
แสดงโดยเหล่าขุนนางชายเป็นส่วนใหญ่ โดยสาเหตุหนึ่งเกิดขึ้น
จากความแต่งต่างของเครื่องแต่งกาย ที่เหล่าขุนนางชายสวมใส่
ชุดที่มีความกระชับและง่ายต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
มากกว่าเหล่าขุนนางฝ่ายหญิง ที่สวมกระโปรงสุ่มขนาดใหญ่ ดัง
นั้นจึงกว่างได้ว่าศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ บุตรตรีแห่งตระกูลเม ดิซี
ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญในการ
ปกครองประเทศอิตาลีในขณะนั้น ในเวลาต่อมาพระนางแคทเธอ
รีน เดอ เมดิชี ได้นำศิบปะการเต้นบัลเล่ต์ เข้าไปเผยแพร่สู่ราช
สำนักฝรั่งเศส ภายหลังการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2
แห่งฝรั่งเศส
บัลเล่ต์ จึงได้รับความนิยมแพร่หลายเรื่อยมา ในประเทศ
ฝรั่งเศสจนถึงยุคพระเจ้าหลุยที่ 14 แห่งฝรั่งเศส พระองค์ทรง
สนับสนุนศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ จนเกิดความรุ่งเรืองสูงสุด มีการ
เปิดโรงเรียนสอนเต้นบัลเล่ต์ แห่งแรกของโลก โดยมีชื่อว่า
Academie Royale De La Dance หรือ สถาบันปารีส โอเปร่า ใน
ปัจจุบันนี้เอง
ต่อมาศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ก็ได้เคลื่อนย้ายความนิยมเข้าสู่
ประเทศรัสเซีย มีการเปิดโรงเรียนสอนเต้นบัลเล่ต์ แห่งแรกขึ้น
ภายใต้การสนับสนุนของจักรพรรดิ ดีบี แอนนา อีวา น็อพน่า ใน
ชื่อ อิมพีเรียว บัลเล่ต์ สคูล บัลเล่ต์ ในประเทศรัสเซียจึงเกิดความ
เจริญก้าวหน้าเรื่อยมา ซึ่งคณะบัลเล่ต์ หนึ่งที่มีอิทธิ์พลต่อการ
เปลี่ยนแปลงของสังคมศิลปะ ในยุโรป และทั่วโลก ที่หันมาให้
ความสนใจและนิยมจัดการเรียน การสอนบัลเล่ต์ ไปทั่วโลก เกิด
ขึ้นจากผลงานของคณะบบัลเล่ตื รูส ภายใต้การนำของ เสริฟ ดี
เอ กีเลฟ ภายหลังการแพร่ขยายของศิลปะการแสดงการเต้น บัล
เล่ตื ในประเทศอิตาลี ย้ายเข้าไปในฝรั่งเศสและขยายต่อไปยังประ
เทสรัสเซีย ก่อนที่ศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ จะกลายเป็นศิลปะที่แพร่
ขยายและได้รับความนิยมไปยังทั่วทุกส่วนต่างๆ ของโลกเรื่อยมา
จนปัจจุบัน
บัลเล่ต์
พบว่าคำว่า Ballet มีรากฐานมาจากภาษาอิตาเสียน คือ
BALLARE = to dance
BALLO = a dance
BALLETO = a little dance
แต่คำว่า Ballet ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นคำภาษา
ฝรั่งเสส สื่บเนื่องมาจากการพัฒนาการทางประวัติ
ศาสตรื ที่เริ่มมีขึ้นในราชสำนักอิตาลี แต่มาเจริญเติบโต
ในประเทศฝรั่งเศษ ระหว่างศริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15
ได้เกิดมีการแสดงบันเทิงที่แพร่หลายในราชสำนักดังนี้
1. Interudes เป็นการแสดงชุดสั้นๆ ซึ่งประกอบไป
ด้วยนักร้องและนักเต้น คั่นระหว่างการเสิร์ฟอาหาร
2. Masquerades เป็นขบวนการแห่ของนักแสดงที่
จะหยุดต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ และนักแสดง จะอ่าน
โคลงกลอนหรือเล่าเรื่อง โดยสวมหน้ากากด้วย
3. Mummers เป็นการแสดงซึ่งนักเต้นจะสวม
หน้ากาก
บัลเล่ต์ ถือได้ว่าเป็นศิลปอย่างชัดเจนในระหว่าง
ศริสต์ศตวรรษที่ 18 วิธีการเป็นแบบฉบับมากขึ้นและ
ยากขึ้น เช่น Mrie Carmago และ Marie Salle ได้
ปฏิวัติเครื่องแต่งกายหญิงให้สามารถเคลื่อนไหวได้เป็น
อิสระมากขึ้น ขณะเดียวกันกับที่ Jean Noverre,Franz
Hilferding พยายามพัฒนาบัลเล่ต์ ไปสู่ความมีแบบ
ฉบับที่ชัดเจนที่เรียกว่า Ballet d' action