The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือ PA ตำแหน่งครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by savitree.p8434, 2022-10-30 23:47:01

คู่มือ PA ตำแหน่งครู

คู่มือ PA ตำแหน่งครู

วิจัยในชั้นเรียน

ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การสืบพันธแ์ุ ละการขยายพนั ธพ์ุ ชื
ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)

ผ้วู จิ ัย
นางปรดี าพร อายุสขุ
ครโู รงเรยี นวัดรัตนาราม

โรงเรยี นวดั รตั นาราม อาเภอไชยา จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี
สานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสุราษฎรธานี เขต 2

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บทคัดย่อ

เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยอาศัยการส่งเสริมการเรียนรู้
จากประสบการณ์ของผู้เรียนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การศึกษาน้ีมี
วตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เรื่อง การสืบพันธุ์และและการขยายพันธุ์พืช ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่ม
ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดรัตนาราม อาเภอไชยา จังหวัดสุ
ราษฎร์ธานี จานวน 38 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster
random sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทาวิจัยได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เร่ืองการสืบพันธุ์และและการ
ขยายพันธุ์พชื และแบบ ทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น

ผลการวิจัยพบว่าเมอ่ื ได้ทาการจัดการเรียนการสอนในเนื้อหาของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ งการสืบพันธุ์
และและการขยายพันธุ์พืชโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ผ่านส่ือการสอนของแบบฝึกทักษะการเรียนรู้
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 เร่ืองการสืบพันธ์ุและและการ
ขยายพนั ธพุ์ ชื หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ และนกั เรยี นทุกคนในกลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสูงข้ึน ซ่ึงสามารถสรุปได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ยังคงเป็น
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีและเหมาะสมโดยเฉพาะยิง่ กบั วชิ าทางด้านวทิ ยาศาสตร์

กิตตกิ รรมประกาศ

งานวิจยั เรอ่ื ง ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การสืบพนั ธ์ุและและการขยายพนั ธพ์ุ ชื ของ
นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สาเรจ็ ไดด้ ้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
ของโรงเรยี นวัดรตั นาราม อาเภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ขอขอบคุณผ้อู านวยการ
โรงเรยี นวัดรัตนาราม และขอบใจนักเรียนทอี่ ยู่ในกลุ่มตัวอย่างที่ศกึ ษาระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ปกี ารศกึ ษา
2561 ทุกคนท่ีมีความต้ังใจในการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์

ทา้ ยนี้สาคญั ทส่ี ุดคอื ขอขอบพระคณุ บิดา มารดาและครอบครวั ที่ให้กาลังใจและสนบั สนนุ จนงานวจิ ัย
ชิน้ นสี้ าเร็จลุล่วง

………………………………..
(ปรีดาพร อายุสขุ )
ผวู้ ิจัย

สารบัญ

เน้ือหา หนา้
บทคดั ย่อ
กิตตกิ รรมประกาศ 1
สารบญั 5
บทท่ี 1 บทนา 5
6
ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา 7
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 7
ขอบเขตของการวจิ ัย 8
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
สมมตฐิ านของการวิจยั 9
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 11
ประโยชนข์ องการวจิ ยั 20
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วข้อง 23
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พ.ศ.2551 25
ตวั ชว้ี ดั และกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน 26
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
รปู แบบการเรยี นการสอน 29
การจดั การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะ 29
วรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง 31
บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนนิ วิจยั 31
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั และการพฒั นา 34
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 36
สถิตทิ ดสอบและการวเิ คราะห์ข้อมูล
บทที่ 4 ผลการศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี น
ผลการทดสอบความแตกต่างระหว่างผลสมั ฤทธ์ทิ างการศึกษาก่อนและหลังเรียน

บทท่ี 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 37
สรุปผลการศึกษา 38
ขอ้ เสนอแนะ 39
43
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก

1

บทท่ี 1
บทนำ

1. ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปัญหำ

พระราชบัญญัติการศึกษา 2542 กล่าวไว้ว่า “การศึกษา” หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อ
ความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทาง
วัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัด
สภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเก้ือหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ในการจัด
การศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้ เรียนมี
ความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศักยภาพ ท้ังน้ีในการจัดกระบวนการเรียนรู้ยังมุ่งเน้นเป็นการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ
ความสนใจและความถนัดของผ้เู รียน โดยคานงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การ
จดั การ การเผชิญสถานการณ์ และการประยกุ ตค์ วามรู้ มาใชเ้ พือ่ ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน
ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น และทาเป็นรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่าง
ต่อเน่ือง จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมท้ังปลูกฝัง
คุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัด
บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอื่ การเรียน และอานวยความสะดวกเพ่อื ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบ
รู้ รวมทงั้ สามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรยี นรู้ ท้ังนี้ ผสู้ อนและผู้เรยี นอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน
จากส่ือการเรียนการสอนและแหล่ง วิทยาการประเภทต่างๆ จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มี
การประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่ือร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตาม
ศักยภาพ ซ่ึงสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ที่มุ่งเน้นให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา
และเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 โดยมุง่ พัฒนาผู้เรยี นทุกคนให้มคี ุณลกั ษณะและทักษะการเรียนรู้ใน
ศตวรรษท่ี ๒๑ (3Rs8Cs) ซึ่งประกอบด้วย 3Rs ได้แก่ การอ่านออก (Reading) การเขียนได้ (Writing) และ
การคิดเลขเป็น (Arithmetics) 8Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา
(Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and
Innovation) ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross – cultural Understanding)
ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership)
ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และการรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information and Media
Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT
Literacy) ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และความมีเมตตา กรุณา มี
วินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion) (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) โดยการกาหนด

2

แนวทางในการัดการเรียนรู้ท่ีดีน้ันต้องเป็นการกาหนดแนวทางในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบ
และแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยเน้นท่ีองค์ความรู้ ทักษะ ความ
เช่ียวชาญและ สมรรถนะท่ีเกิดกับตัวผู้เรียน เพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
ได้ (วจิ ารณ์ พานิช, 2556: 14-15)

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญโดยมีเก่ียวข้องกับทุกคน ท้ังในชีวิตประจาวันและการ
ทางานอาชีพต่างๆ มนุษย์เราใช้วิทยาศาสตร์เพ่ือเป็นความรู้ในการดารงชีวิต และยังใช้เทคโนโลยีเพื่อความ
สะดวกในชวี ิตและการทางานซึ่งล้วนเป็นผลของการนาความรู้มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์
อ่ืนๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผลคิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์วิจารณ์มี
ทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินใจโดยใช้
ข้อมูลท่ีหลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซ่ึงเป็น
สังคมแห่งการเรยี นรูด้ งั น้นั ทกุ คนจึงจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาให้รวู้ ิทยาศาสตรเ์ พอื่ ทจ่ี ะมคี วามรู้ความเข้าใจใน
ธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยที ีม่ นุษยส์ รา้ งสรรค์ขึ้นสามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมีคุณธรรม
ความกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตร์มีบทบาทต่อการเปล่ียนแปลงสังคมและเศรษฐกิจของประเทศเห็นได้ว่าประเทศ
ทเ่ี จริญแลว้ มกี ารพัฒนาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์อย่างต่อเนือ่ งโดยมบี ทเริม่ ต้นของการพัฒนาน้ีมาจากการศึกษา
(กุณฑรี เพช็ รทวีพรเดช, 2550: 20 )

การศึกษาวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 มีบทบาทสาคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะ
วิทยาศาสตร์เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวิตทุกคนทั้งในการดารงชวี ิตประจาวนั และงานในอาชีพต่างๆ เครื่องมือเคร่ืองใช้เพื่อ
อานวยความสะดวกในชีวิตและในการทางาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด
สร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดองค์ความรู้และความเข้าใจในปรากฏการณ์
ธรรมชาตมิ ากมายมผี ลให้เกดิ การพัฒนาทางเทคโนโลยอี ยา่ งมาก ในทางกลับกันเทคโนโลยีก็มีส่วนสาคัญมากที่
จะให้มีการศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์ทาให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ท้ัง
ความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะที่สาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่
ตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับ
การพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น
และนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่นามาใช้ในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา
ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและย่ังยืนและ ท่ีสาคัญอย่างย่ิงคือความรู้
วทิ ยาศาสตร์ชว่ ยเพม่ิ ขดี ความสามารถในการพฒั นาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศและดาเนินชีวิต
อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขการท่ีจะสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิทยาศาสตร์นั้นองค์ประกอบที่สาคัญ
ประการหน่ึงคือการจัดการศึกษาเพ่ือเตรียมคนให้อยู่ในสังคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นทั้งผู้ผลิตและ
ผู้บริโภคทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ

3

พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22
การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้มี
ความสาคัญท่ีสุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศักยภาพ มาตรา 24 กาหนดให้ครูจัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ
ผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน โดยการบูรณาการผสมผสานสาระความรู้ด้าน
ต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลและมีการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การฝึก
ปฏิบัติ ลงมือทา และการประยุกต์ความรู้ไปใช้และประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน เพื่อร่วมกัน
พัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เน้นการจัดกระบวนการ
เรยี นรู้ท่เี น้นผ้เู รียนเป็นสาคญั สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจ วางแผนการเรียนและประเมินผลการ
เรยี นของตน แสดงออกอยา่ งอิสระเพ่อื สรา้ งสรรค์ผลงานท่ีมีคณุ ภาพ เรียนรู้จากสภาพจริง จากส่ิงแวดล้อมรอบตัว
และมีประสบการณ์ตรงท่สี มั พนั ธก์ บั สงั คม ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ทางานเปน็ หมู่คณะเพื่อการพัฒนาความ
ฉลาดทางอารมณ์ สามารถทางานร่วมกันได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ ในการจัดการกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้พัฒนาให้เป็นไปตาม
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ซ่งึ ได้กาหนดให้การจดั การศกึ ษาตามหลักสูตรต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย
ให้เป็นมนษุ ย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมแห่งความ
เปน็ ไทยในการดารงชวี ติ สามารถอยรู่ ่วมกับผอู้ ืน่ ได้อย่างมีความสุข

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 เป็นหลักสูตรทม่ี ุ่งพฒั นาผู้เรียนใหเ้ ป็นคนดมี ี
ปญั ญา มีความสุข มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชพี จึงกาหนดความสามารถในการคดิ เปน็ หนง่ึ
ในจุดมุง่ หมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมอื่ จบการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน คือมีความรู้ความสามารถในการสือ่ สาร การคดิ
การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยแี ละมีทักษะชวี ติ และหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 ของกลุ่มสาระ
การเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ไดก้ าหนดคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รยี นในรายวิชาวิทยาศาสตร์โดยใชก้ รอบความคดิ ในเร่อื ง
การพฒั นาการศึกษา เพื่อเตรียมคนในสงั คมแห่งความร้แู ละสอดคล้องกบั พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ
พ.ศ.2542 คือ ผเู้ รยี นควรสามารถนาความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในการศกึ ษาค้นควา้ หา
ความรู้และแก้ปญั หาอย่างเป็นระบบการคดิ อย่างเป็นเหตุเป็นผลคดิ วิเคราะห์ คดิ สร้างสรรคแ์ ละมจี ิตวิทยา
ศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ.2551) ประชาชนตอ้ งได้รบั การศึกษาด้านความรู้ทางวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรียน
เป็นอย่างดี รวมทั้งได้มีโอกาสศกึ ษาหาความรู้เพิม่ เติมจากแหลง่ การเรยี นรตู้ า่ งๆ นอกห้องเรยี น ในปจั จบุ ันการ
จดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ไม่วา่ จะเปน็ ระดบั ใดกต็ าม ครูผสู้ อนยังคงให้ความสาคญั กับเน้ือหามากกวา่
กระบวนการให้ผเู้ รยี นได้แสวงหาความรู้ ฝึกการคดิ เป็น ทาเป็นและแก้ปัญหาเปน็ เนอ่ื งจากตอ้ งเตรยี มนักเรยี น
ใหม้ ีความพรอ้ มทางด้านเนือ้ หา เพอ่ื รองรับการประเมินมาตรฐานการเรียนรู้จากหน่วยงานตา่ งๆทาใหน้ กั เรยี น
ไม่สามารถนาความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการเรียนไปใช้ในการประยุกต์แก้ปญั หาทเี่ กิดข้ึนในชีวิตประจาวันของตนเองได้
ส่งผลใหม้ ผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนตา่ และไม่เกิดความคงทนในการเรียนรู้ อีกท้งั การจดั กิจกรรมการเรียนการ
สอนในปจั จบุ ันครูไมส่ ามารถจัดการเรียนรูใ้ หก้ ับผเู้ รยี นได้ครบทกุ มิติ อาจเนื่องมาจากมเี น้ือหาทห่ี ลกั สตู ร

4

กาหนดให้สอนจานวนมากในขณะท่ีมปี จั จัยจากดั หลายอย่าง จงึ อาจสง่ ผลใหน้ ักเรยี นท่เี รยี นรูไ้ ดช้ า้ ไม่เข้าใจ
และไม่เกดิ การเรียนรู้ในสง่ิ ท่ีครูจดั กิจกรรมการเรยี นขึน้

โรงเรียนวัดรัตนาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาขนาดใหญ่ที่มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนเป็นที่ยอมรับ ท้ังน้ีเม่ือพิจารณาระดับคะแนนจากผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ในประเด็นของ
เนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวนักเรียนพบว่ายังคงมีนักเรียนบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจเน้ือหาทางวิทยาศาสตร์
อย่างแท้จริง ซ่ึงในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องท่ีใกล้ตัวและสัมผัสได้ในชีวิตประจาวัน สะท้อนให้เห็นได้ถึง
ปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรท์ ่ีผ่านมาซ่ึงสอดคล้องกับ สุนีย์ เหมะประสิทธิ์ (2544)
กล่าวว่าวิธีการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยยังมีปัญหาและยังไม่ประสบ
ความสาเร็จเท่าท่ีควรจึงต้องมีการปรับเปล่ียนกระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ประกอบกับกระบวนการ
เรียนการสอนแบบเดมิ ไมไ่ ดเ้ นน้ วธิ กี ารเรยี นรขู้ องนักเรยี น ครสู ว่ นใหญย่ งั สอนให้นักเรียนอ่านจากตาราจึงทาให้
นักเรียนไม่สามารถสรา้ งองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยยังสอดคล้องกับ ทรงวุฒิ สุธาอรรถ (2544) กล่าวว่าครู
อาจารย์รอ้ ยละ 47.2 มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนท่ียึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางใน
ระดับต่าถึงต่ามากร้อยละ 46.1 ยังใช้วิธีสอนแบบเดิมคือเน้นการสอนแบบบรรยาย เน้นการอ่าน ครูเป็น
ศูนย์กลางและให้นักเรียนท่องจา ไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การคิดขั้นสูงวิธีการสอบวัดผล ก็ไม่
สอดคล้องกับวธิ กี ารวดั ผลตามสภาพจริง

กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมีวิธีการท่ีหลากหลายเพ่ือพัฒนาผู้เรียนสู่สมรรถนะ
สาคัญ ทั้งนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) หรือ 5E เป็นวิธีการจัดการ
เรียนการสอนหน่ึงท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านการใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เน้นการแก้ปัญหาเป็นโดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ท่ีคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิด
และคิดหาคาตอบตลอดเป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ผู้เรียนได้เรียนร่วมกันและ
ประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยอาจใช้ชุดกิจกรรม แบบฝึกทักษะ หรือเกม ประกอบการ
จดั การเรยี นรู้ ซึ่งมจี ุดม่งุ หมายเพื่อให้ผู้เรยี นเข้าใจเน้อื หาบทเรียนมากข้ึนและสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ จาก
การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าวส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีข้ึนดังในงานศึกษา
ของ สุดารัตน์ ดวงเงิน และนิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ (2554) ผลการศึกษาพบว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปฏิบัติการ
ทดลองวิทยาศาสตร์สืบเสาะแบบเปิดสนับสนุนให้นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องสมบัติและ
ปฏิกริ ยิ าของสารละลายกรดเบส ของนักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1 สูงข้ึน เช่นเดียวกับการศึกษา
ของ ธัชวุฒิ กงประโคน และ จิรดาวรรณ หันตุลา (2558) ได้นาใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ท่ีเน้นบ่งชี้
ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละประวัติวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่าหลังจากผ่านการ
จัดกิจกรรม นักเรียนทุกคนมีความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ทั้ง 9 ด้าน ตามกรอบของ McComas
(2004) และมีเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์ 5 ดา้ นอยใู่ นระดับมาก

จากเนอื้ หาข้างต้น ผูว้ ิจัยมคี วามตระหนักถึงความสาคัญและมคี วามสนใจที่จะประยุกต์ใช้กระบวนการ
จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) กับวิชาวิทยาศาสตร์ โดยในการศึกษาคร้ังนี้ได้นาวิธีการดังกล่าวมา
ใช้จัดการเรียนการสอนกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ในหน่วยท่ี 1 ส่ิงมีชีวิตและกระบวนการดารงชีวิต

5

เร่ือง การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์พืช โดยคาดหวังว่าผลจากการดาเนินการทาวิจัยคร้ังนี้สามารถนาไปเป็น
แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้แก่ผู้ที่สนใจและสาม ารถนาไป
พฒั นาประยุกตก์ บั กล่มุ สาระอนื่ ๆ เพือ่ การปรับปรุง พัฒนาการบรหิ ารงานวิชาการ ให้เอ้อื อานวยต่อการจัดการ
เรียนการสอน อันจะเปน็ ประโยชน์ในการจดั การเรียนการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

2. วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวจิ ยั

1. เพ่ือกาหนดแบบฝึกทักษะวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง การสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืช ของนักเรียน
ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ทีใ่ ช้ในการจัดการเรยี นการสอนตามรปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)

2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสืบพันธุ์และและการขยายพันธุ์พืช
ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ด้วยการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เสริมด้วย
แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้

3. ขอบเขตของกำรวจิ ยั

3.1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
3.1.1 ประชำกร คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 จานวน 112 คน ในภาคเรยี นท่ี 1

ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นวดั รัตนาราม อาเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษา
ประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 2

3.1.2 กลุ่มตัวอยำ่ ง การศกึ ษาคร้งั น้ีใช้วธิ กี ารสุ่มแบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling)
ดว้ ยวธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเลอื กนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5/3
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรยี นวัดรัตนาราม อาเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี สานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศกึ ษาประถมศึกษาสุราษฎรธ์ านี เขต 2 จานวน 38 คนเป็นกลุ่มตวั อย่างในการศกึ ษา

3.2 ตัวแปรท่ีศกึ ษำตัว
3.2.1 แปรอิสระ
ได้แก่ วธิ กี ารการจัดการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิคการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรอื่ ง การสืบพนั ธ์ุและ

การขยายพนั ธ์ุพชื
3.2.2 ตัวแปรตำม
ได้แก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การสบื พนั ธุ์และการขยายพนั ธ์ุพืช

ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5

6

3.3 เนอื้ หำ
เนื้อหาการเรยี นการสอนทใี่ ชใ้ นการวิจยั ครั้งน้ี เปน็ เนื้อหากลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ว 15101 วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ส่ิงมีชีวิตและกระบวนการ
ดารงชีวิต เร่ือง การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์พืช เนื้อหาประกอบด้วย หน้าท่ีของส่วนประกอบต่างๆ
ของดอก การถา่ ยเรณูและการปฏิสนธขิ องพืช วัฎจักรชีวิตของพืชดอก และการขยายพนั ธพ์ ชื

3.4 ระยะเวลำ
ระยะเวลาในการทดลองดาเนินการในภาคเรยี นท่ี ท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2561 โดยใช้ระยะเวลาในการ

ทดสอบท้ังสิน้ 10 คาบ คาบละ 1 ชัว่ โมง สปั ดาห์ละ 2 คาบ

4. กรอบแนวคิดในกำรวิจัย

การจดั เรยี นการสอนโดยหลักการยึดผู้เรียนเป็นสาคัญผ่านกระบวนการเรียนร้กู ารสบื เสาะหาความรู้
เปน็ ฐาน ผลจากการทบทวนวรรณกรรมขา้ งตน้ พบว่าเป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนดงั กล่าวมีผลตอ่
การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนต่อผ้เู รยี น ในการศึกษาน้ผี ้วู ิจัยจงึ นาเทคนคิ ดงั กล่าวมาใช้ในการจัดการเรียน
การสอน เรื่อง การสืบพันธแ์ุ ละการขยายพนั ธุ์พชื ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยกาหนดให้
ตัวแปรตน้ คอื วธิ กี ารจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสบื เสาะหาความรู้ และตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นของนักเรยี น ตามกรอบแนวคดิ ไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี

การจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
เรื่องการสืบพันธุ์และการขยายพันธ์ุพืช
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โดย
ใช้เทคนิคการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ซึ่ง
ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนการสอน
5 ขนั้ ตอนดงั นี้

1. ข้นั สร้างความสนใจ
2. ขั้นสารวจและค้นหา
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
4. ขน้ั ขยายความรู้

ตวั แปรต้น ตัวแปรตำม

ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั

7

5. สมมติฐำนของกำรวิจัย

ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เร่อื ง การสบื พันธ์ุและการขยายพันธุ์พืช ของนักเรียน
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5 หลงั ได้รบั การจัดการเรยี นร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ การสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผา่ นแบบฝกึ ทักษะ
การเรยี นรู้สงู กว่าก่อนได้รบั การจดั การเรียนรู้หรอื ไม่

6. นิยำมศัพท์เฉพำะ

ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิทยำศำสตร์ หมายถึง คะแนนท่ีได้จากการตอบแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้เรื่องการสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืช ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยคลอบ
คลุมมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้และครอบคลุมพฤติกรรมความรู้
ความคิด กระบวนการเรยี นรู้ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์

แบบฝกึ ทกั ษะ หมายถงึ สอ่ื การเรยี นการสอนท่ีสร้างข้ึนเพ่ือให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิด
ความร้คู วามเข้าใจเพม่ิ ขนึ้ โดยที่กิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้น จะครอบคลุมเน้ือหาท่ีได้เรียนไปแล้ว จะทา
ให้นักเรียนมีความรู้ และมีทักษะมากข้ึน เพราะมีรูปแบบที่หลากหลาย แบบฝึกทักษะมีความจาเป็นต่อการ
เรยี นอยา่ งย่งิ ซ่งึ ครผู สู้ อนสามารถผลติ ข้นึ มาใช้เอง นับว่าแบบฝึกเป็นอปุ กรณท์ สี่ าคัญอย่างยิง่ ในการเรียนการ
สอน เพอ่ื ฝึกทักษะหลังจากไดเ้ รยี นเนอ้ื หาจากแบบเรียนทเี่ รียนไปแลว้ ซึง่ จะสง่ ผลให้ผู้เรียนมีความแม่นยาและ
เกดิ ความชานาญเพ่มิ มากขึ้น ทาให้ผเู้ รยี นทราบข้อบกพร่องของตนเอง และนามาปรับปรุงแก้ไขนักเรียนให้ได้
ความรแู้ ละทกั ษะมากขน้ึ

กำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกำรสืบเสำะหำควำมรู้ (5E) หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้
พัฒนาหรือจัดโครงสร้างทางความคิดขึ้นจากส่ิงท่ีได้พบเห็นจากสถานกา รณ์หรือจากปัญหาและสามารถ
เช่อื มโยงกบั ความรู้ความเขา้ ใจเดิมทีม่ ีอยแู่ ลว้ มาสร้างเป็นความรใู้ หม่ด้วยตนเองโดยทาให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี
ความหมายผา่ นการเรียนรูจ้ ากกจิ กรรมการเรียนรู้ 5 ข้ันตอนคือ

1. ขั้นสรา้ งความสนใจ
2. ข้ันสารวจและค้นหา
3. ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป
4. ขั้นขยายความรู้
5. ขน้ั ประเมินผล
นักเรียน หมายถึง นักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5/3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียน
วัดรัตนาราม อาเภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 2

8

7. ประโยชน์ของกำรวจิ ยั

7.1 ไดแ้ บบฝกึ ทักษะวิชาวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การสืบพันธแุ์ ละการขยายพนั ธ์ุพชื ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 ทีใ่ ชร้ ปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5 E) ทีเ่ หมาะสม

7.2 ไดแ้ นวทางการจัดการเรียนการสอนท่ีสามารถพฒั นาความสามารถและผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
ของนักเรียนของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5

7.3 เป็นประโยชนต์ อ่ นกั เรียนในการช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตรผ์ ่านการ
จดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั

7.4 เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้สอนสาหรบั การเป็นทางเลือกในการจัดการกระบวนการเรียนรู้วิชา
วิทยาศาสตร์

9

บทท่ี 2
เอกสำรและงำนวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

การวจิ ยั ครง้ั น้เี ป็นการศกึ ษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง การสืบพันธุ์และการขยายพนั ธุ์พชื ของ
นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยผู้วิจยั ได้กาหนดขอบเขตของเอกสาร แนวคิด ทฤษฎแี ละการทบทวน
วรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับงานวจิ ัยดงั ในหัวข้อต่อไปนี้

1. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พ.ศ.2551
2. ตัวชวี้ ัดและกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน
3. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
4. รปู แบบเรยี นการสอน
5. การจดั การเรยี นการสอนแบบสืบเสาะ
6. วรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง

1. หลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พื้นฐำน พ.ศ.2551

ตามคาส่งั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ท่ี สพฐ 293/2551 เรื่องการใหใ้ ชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้
พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน, 2551) ซ่งึ มีรายละเอียดของหลกั สูตร
แกนกลางฯ ดังตอ่ ไปนี้

วสิ ัยทัศน์
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน มงุ่ พฒั นาผเู้ รียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติใหเ้ ปน็ มนุษย์ทีม่ ี
ความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยดึ มัน่ ในการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ัง เจตคติ
ท่จี าเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวติ โดยมุ่งเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญบนพืน้ ฐาน
ความเชอ่ื ว่าผู้เรยี นทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ
หลักกำร
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน มหี ลักการทส่ี าคัญ ดังนี้
1. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาเพอื่ ความเปน็ เอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เปน็
เปา้ หมายสาหรับพฒั นาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพืน้ ฐาน ของความเปน็ ไทย
ควบค่กู บั ความเป็นสากล
2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ บั การศึกษาอย่างเสมอภาค และมี
คุณภาพ
3. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทส่ี นองการกระจายอานาจ ใหส้ งั คมมสี ว่ นร่วมในการจดั การศึกษาให้
สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ

10

4. เปน็ หลักสูตรการศึกษาทมี่ โี ครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้
5. เป็นหลักสตู รการศึกษาทีเ่ น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ
6. เป็นหลกั สูตรการศึกษาสาหรับการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทกุ
กลมุ่ เป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
จดุ หมำย
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุง่ พฒั นาผเู้ รียนให้เปน็ คนดี มปี ัญญา มคี วามสุข มศี ักยภาพ
ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จงึ กาหนดเป็นจดุ หมายเพื่อใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น เมือ่ จบการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน
ดังน้ี
1. มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ มทีพ่ ึงประสงค์ เห็นคณุ ค่าของตนเอง มวี นิ ยั และปฏิบัตติ นตาม
หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
2. มีความรู้ ความสามารถในการส่อื สาร การคิด การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชีวติ
3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทด่ี ี มีสขุ นิสัย และรักการออกกาลังกาย
4. มคี วามรักชาติ มีจติ สานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มัน่ ในวิถีชีวติ และการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ
5. มจี ิตสานึกในการอนรุ ักษ์วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาไทย การอนรุ กั ษ์และพฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม มจี ติ
สาธารณะทีม่ ุ่งทาประโยชน์และสร้างสง่ิ ท่ดี งี ามในสังคม และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสขุ
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ในการพฒั นาผู้เรียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุง่ เน้นพฒั นาผเู้ รียนให้มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานที่กาหนด ซง่ึ จะชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดสมรรถนะสาคญั และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดังน้ี
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดังนี้
1. ควำมสำมำรถในกำรส่อื สำร เป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการใช้ภาษา
ถา่ ยทอดความคดิ ความร้คู วามเขา้ ใจ ความรูส้ ึก และทศั นะของตนเองเพ่ือแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม รวมท้ังการเจรจาต่อรองเพื่อขจดั และลด
ปัญหาความขดั แย้งต่าง ๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ บั ข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถกู ต้อง ตลอดจนการ
เลอื กใช้วิธกี ารส่อื สาร ที่มีประสทิ ธภิ าพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
2. ควำมสำมำรถในกำรคิด เป็นความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคดิ อย่าง
สรา้ งสรรค์ การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพอ่ื นาไปสกู่ ารสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพอ่ื การตัดสินใจเกยี่ วกบั ตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม
3. ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสมั พนั ธ์และการเปล่ยี นแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ

11

ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึน ต่อตนเอง สังคม
และสงิ่ แวดลอ้ ม

4. ควำมสำมำรถในกำรใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
การดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเล่ียง
พฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ่สี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน

5. ควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และ
มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร การทางาน
การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยูร่ ว่ มกบั ผูอ้ ืน่ ในสงั คมได้อย่างมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์
กษตั ริย์ 2. ซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต 3. มีวนิ ัย 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อยอู่ ย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทางาน 7. รักความเป็นไทย
8. มจี ติ สาธารณะ นอกจากน้ี สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม
บริบทและจดุ เน้นของตนเอง

2. ตวั ชี้วัดและกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์ ตำมหลักสูตรกำรศกึ ษำขั้นพืน้ ฐำน

สาหรับหลักสูตรแกนกลางในกลุ่มการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์นั้น เปน็ ท่ที ราบดีว่าวิทยาศาสตรม์ บี ทบาท
สาคัญยิ่งในการพัฒนาสังคมโลกท้ังในปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากเป็นศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับทุกคนท้ังใน
ชีวิตประจาวันและการประกอบอาชีพ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือเคร่ืองและผลผลิตต่าง ๆ เพ่ือ
สามารถสร้างความสะดวก สบายให้กับชีวิตและการทางาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นผลมากจากความรู้
วิทยาศาสตร์ นอกจากนี้สามารถประยุกต์วิธีการทางวิทยาศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆได้เพ่ือทาให้ได โดย
วิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดการพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มี
ทักษะสาคัญในการ ค้นคว้าหาความรู มีความสามารถในการแกปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้
ข้อมลู ท่มี ีความหลากหลายและมปี ระจักษ์พยานทตี่ รวจสอบได

2.1 กลมุ่ สำระกำรเรยี นร้วู ทิ ยำศำสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน, 2551) มุ่งหวังให้ผู้เรียน
ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์
ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน

12

การเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดย
ได้กาหนดสาระสาคัญ ไวด้ งั น้ี

 ส่ิงมีชีวิตกับกระบวนกำรดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของ
ระบบตา่ ง ๆ ของส่ิงมชี วี ติ และกระบวนการดารงชวี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดทาง
พันธุกรรม การทางานของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
และเทคโนโลยชี ีวภาพ

 ชีวิตกับส่ิงแวดล้อม สิ่งมีชีวิตท่ีหลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยท่ีมีผลต่อการอยู่รอดของ
สงิ่ มีชวี ติ ในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ

 สำรและสมบัติของสำร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค การเปล่ียนสถานะ
การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏิกิรยิ าเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร

 แรงและกำรเคล่ือนที่ ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์ การออกแรง
กระทาตอ่ วัตถุ การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุ แรงเสยี ดทาน โมเมนต์การเคลอ่ื นที่แบบตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวนั

 พลังงำน พลังงานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของแสง เสียง
และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสาร
และพลงั งานการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชีวติ และสง่ิ แวดล้อม

 กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี สมบัติ
ทางกายภาพของดนิ หนิ นา้ อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของ
เปลอื กโลก ปรากฏการณท์ างธรณี ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงของบรรยากาศ

 ดำรำศำสตร์และอวกำศ วิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสัมพันธ์และผลต่อ
สิง่ มชี วี ติ บนโลก ความสัมพันธข์ องดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสาคัญของเทคโนโลยอี วกาศ

 ธรรมชำติของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้
การแกป้ ัญหา และจิตวทิ ยาศาสตร์ (หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน, 2551)

2.2 ตวั ชีว้ ดั และสำระกำรเรียนร้แู กนกลำงกำรศึกษำขนั้ พ้นื ฐำน ช้ันประถมศกึ ษำปีที่ 5
การศึกษาครั้งน้ไี ดเ้ ลือกศึกษากบั ผเู้ รียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ตัวช้ีวัดที่สอดคล้องกับ สาระการเรียนรู้
แกนกลาง สามารถแสดงไดด้ งั ตารางต่อไปน้ี
สำระที่ 1 สง่ิ มีชวี ิตกบั กระบวนกำรดำรงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มีชวี ิต ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบ
ตา่ งๆ ของส่ิงมีชวี ิตที่ทางานสมั พนั ธ์กนั มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งทเ่ี รียนรแู้ ละนา
ความรไู้ ปใชใ้ นการดารงชีวิตของตนเองและดแู ลสิง่ มชี วี ิต

13

ตัวชว้ี ัด ผู้เรยี นรูอ้ ะไร ผู้เรียนทำอะไรได้

1. สงั เกตและระบุส่วน 1. ดอกโดยทั่วไปประกอบดว้ ย กลีบ ต้ังคาถาม วางแผนและสังเกต บันทึก

ประกอบของดอกและ เล้ยี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และ ข้อมูล และระบุส่วนประกอบและ

โครงสรา้ งที่เก่ียวข้องกับ เกสรเพศเมีย โครงสร้างที่เก่ียวข้องกับการสืบพันธุ์

การสืบพนั ธ์ุของพืชดอก 2. ส่วนประกอบของดอกทีท่ าหนา้ ท่ี ของพชื ดอก และนาเสนอผลการสังเกต

เกีย่ วข้องกับการสบื พนั ธุ์ ได้แก่ เกสร ด้วยแผนภาพส่วนประกอบของดอก

เพศเมีย ประกอบดว้ ย รังไข่ ออวลุ และโครงสร้างของดอกพร้อมระบุชื่อ

และเกสร เพศผู้ ประกอบด้วยอบั เรณู และหน้าที่ของส่วนประกอบของ

และละอองเรณู ดอกไม้

2. อธิบายการสืบพันธ์ุ 1. พชื ดอกมีการสบื พันธุ์ทงั้ แบบอาศยั ต้ังคาถาม วางแผน สังเกต สารวจ

ของพืชดอก การขยาย เพศและการสืบพันธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ สืบค้น บันทึก สรุปผล อธิบายการ

พันธพ์ุ ชื และนาความรู้ 2. การขยายพนั ธุพ์ ืชเพ่ือเพิม่ ปริมาณ สืบพันธ์ุของพืชดอกและอธิบายการ

ไปใช้ประโยชน์ และคุณภาพของพืชทาได้หลายวิธี ขยายพันธ์ุพืช ตั้งคาถามใหม่เพ่ือ

โดยการเพาะเมลด็ การปักชา การ สารวจตรวจสอบการขยายพันธพ์ุ ืชและ

ตอนก่ิง การตดิ ตา การทาบกิ่ง การ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

เสียบยอดและการเพาะเล้ยี งเน้อื เยื่อ

3. อธบิ ายวัฏจกั รชวี ติ 1. พืชดอกเมอ่ื เจรญิ เติบโตเต็มท่ีจะ ตง้ั คาถาม วางแผน สงั เกต สารวจ

ของพชื ดอกบางชนิด ออกดอก ดอกไดร้ บั การผสมพันธุ์ สบื ค้น บันทึก รวบรวมข้อมลู สรปุ ผล

กลายเปน็ ผล ผลมีเมลด็ ซ่งึ สามารถ และอธิบายวัฏจกั รชีวิตของพืชดอก

งอกเปน็ ต้นพชื ต้นใหม่หมุนเวียน บางชนดิ

เป็นวฏั จกั ร

4. อธบิ ายการสืบพันธ์ุ 1. สตั ว์มีการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศและ ตั้งคาถาม วางแผน สืบค้น บันทึก

และการขยายพนั ธข์ุ อง การสบื พนั ธ์ุแบบไม่อาศยั เพศ ข้อมูล สรุปผลและอธิบายการสืบพันธุ์

สัตว์ 2. การขยายพันธุ์สัตวโ์ ดยวิธีการ และการขยายพันธุ์ของสัตว์ ต้ังความ

คดั เลือกพันธุ์และการผสมเทยี มทาให้ ใหม่ เพื่อการสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการ

มนุษยไ์ ด้สัตวท์ ่ีมีปรมิ าณและคุณภาพ ขยายพนั ธพุ์ ชื ของสัตว์

ตามทต่ี ้องการ

5. อภิปรายวัฏจกั รชวี ิต 1. สัตวบ์ างชนิด เช่น ผเี ส้อื ยุง กบ เมื่อ ตั้งคาถาม วางแผน สังเกต สารวจ

ของสตั วบ์ างชนดิ และ ไขไ่ ด้รบั การผสมพนั ธ์จุ ะเจรญิ เปน็ ตัว ตรวจสอบ บันทึกข้อมูล และอภิปราย

นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ออ่ น และตัวอ่อน เจริญเตบิ โตเปน็ วัฏจักรชีวิตของสัตว์และนาความรู้ไป

ตวั เต็มวัย จนกระท่ังสามารถสืบพนั ธุ์ ใช้ประโยชน์ และต้ังคาถามใหม่ เพ่ือ

ไดห้ มนุ เวยี นเปน็ วัฏจักร การสืบคน้ วฏั จกั รของสตั วช์ นิดอื่น ๆ

14

2. มนษุ ยน์ าความรูเ้ ก่ยี วกับวัฏจักรชวี ติ
ของ สัตว์ มาใช้ประโยชน์มากมายท้ัง
ทางด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม
และการดูแลรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม

สำระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกบั กระบวนกำรดำรงชีวิต

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม

ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพท่มี ผี ลกระทบต่อ

มนษุ ย์ และสิง่ แวดล้อม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรูแ้ ละจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสิ่งทเ่ี รียนรู้ และ

นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ชี้วดั ผเู้ รยี นร้อู ะไร ผูเ้ รียนทำอะไรได้

1. สารวจ เปรยี บเทียบ ลักษณะของตนเองจะคลา้ ยคลงึ กับคน ตั้งคาถาม วางแผน สารวจ สังเกต

และระบลุ ักษณะของ ในครอบครวั บันทึกข้อมูล เปรียบเทียบระบุลักษณะ

ตนเองกับคนในครอบครวั ตนเองกับคนในครอบครัว เขียนรายงาน

ผลการสารวจและนาเสนอ

2. อธิบายการถา่ ยทอด การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม สังเกต ตั้งคาถาม วางแผนและสืบค้น

ลักษณะทางพนั ธกุ รรม เปน็ การถา่ ยทอดลักษณะบางลักษณะ ข้อมลู รวบรวมและบนั ทึกข้อมูล สรุปผล

ของส่งิ มชี ีวติ ในแต่ละร่นุ จากบรรพบุรษุ สลู่ ูกหลาน ซง่ึ บาง การสืบค้นข้อมูล และร่วมกันอภิปราย

ลักษณะจะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ ผลการสืบค้นและอธิบายการถ่ายทอด

หรืออาจมีลักษณะเหมือนปู่ ย่า ตา ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตใน

ยาย แตล่ ะรนุ่

3. จาแนกพชื ออกเป็นพชื พชื แบง่ ออกเปน็ สองประเภท คือ พชื ตั้งคาถาม วางแผนการสังเกต สารวจพืช

ดอกและพชื ไมม่ ีดอก ดอกกบั พืชไมม่ ดี อก ในท้องถ่ิน สืบค้นข้อมูล บันทึกผล สร้าง

คาถามใหม่เพ่ือการสารวจ จาแนกพืช

ดอกและพืชไม่มีดอก เขียนรายงานและ

นาเสนอผลงาน

4. ระบุลกั ษณะของพืช พืชดอกแบ่งออกเป็น พืชใบเล้ียงเด่ยี ว ต้ังคาถาม สารวจ สืบค้น บันทึกข้อมูล

ดอกที่เป็นพืชใบเลย้ี ง กบั พชื ใบเลีย้ งคู่ โดยสังเกตจากราก อธิบาย และระบุลักษณะของพืชดอกที่

เดี่ยว และพืชใบเลย้ี งคู่ ลาต้น และใบ เป็นพืชใบเลี้ยงเด่ียวและพืชใบเลี้ยงคู่

โดยใชล้ ักษณะภายนอก โดยใช้ลกั ษณะภายนอกเปน็ เกณฑ์

เปน็ เกณฑ์

15

5. จาแนกสตั ว์ออกเปน็ 1. การจาแนกสัตว์เปน็ กล่มุ โดยใช้ ตั้งคาถาม วางแผน สังเกต สืบค้น

กลมุ่ โดยใช้ลักษณะ ลกั ษณะภายนอกและลักษณะ รวบรวม บันทึกผล อธิบายและจาแนก

ภายในบางลกั ษณะ ภายในบางลักษณะเปน็ เกณฑ์ แบ่ง สัตว์ออกเป็นกลุ่มโดยใช้ลักษณะภายใน

และลกั ษณะภายนอก ออกได้เป็นสตั ว์มีกระดูกสนั หลัง บางลักษณะและลักษณะภายนอกเป็น

เปน็ เกณฑ์ และสัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั เกณฑ์

2. สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั แบง่ เปน็ กลุม่

ปลา สัตว์ครง่ึ น้าครึ่งบก สตั ว์เล้อื ย

คลาน สัตวป์ ีกและสัตว์เลย้ี งลกู

ดว้ ยน้านม

สำระท่ี 3 สำรและสมบัตขิ องสำร

มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบตั ขิ องสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ

เหนย่ี ว ระหว่างอนภุ าค มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละจติ วิทยาศาสตร์สือ่ สารสิ่งที่เรียนรู้ นา

ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตัวชวี้ ัด ผเู้ รียนรู้อะไร ผู้เรยี นทำอะไรได้

1. ทดลองและอธิบาย ความยดื หย่นุ ความแข็ง ความเหนียว ต้ังคาถาม ต้ังสมมติฐาน วางแผนการ

สมบตั ขิ องวัสดุชนิดตา่ ง ๆ การนาความร้อน การนาไฟฟ้าและ ทดลอง เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม

เก่ียวกับความยืดหยุ่น ความหนาแนน่ เป็นสมบัตติ ่างๆ ของ ปฏิบัติการทดลองสมบัติของวัสดุต่างๆ

ความแขง็ ความเหนียวการ วัสดุ ซงึ่ วัสดุตา่ งชนิดกนั จะมสี มบัตบิ าง บันทึกผล สรุปผลการทดลองและ

นาความรอ้ น การนา ประการแตกต่างกนั อ ธิ บ า ย ส ม บั ติ ข อ ง วั ส ดุ ช นิ ด ต่ า ง ๆ

ไฟฟ้า และความหนาแน่น เกี่ยวกับความยืดหยุ่น ความแข็ง ความ

เหนียว การนาความร้อน การนาไฟฟ้า

และความหนาแน่น เขียนรายงานและ

นาเสนอด้วยวาจา

2. สบื คน้ ข้อมลู และอภปิ ราย ในชวี ิตประจาวัน การนาวสั ดุตา่ ง ๆ มา ตั้งคาถาม วางแผนการสืบค้นข้อมูล

การนาวัสดไุ ปใช้ในชีวิต ใชท้ าสิ่งของ เครอื่ งใช้ ตอ้ งคานึงถึง สังเกต รวบรวมข้อมูล บันทึกข้อมูล

ประจาวนั สมบัติของวัสดุนั้น ๆ อภปิ ราย แสดงความคดิ เห็นอย่างอิสระ

อธิบายการนาวัสดุไปใช้ประโยชน์ใน

ชีวิตประจาวัน เขียนรายงานและ

นาเสนอผลงาน

16

สำระที่ 4 แรงและกำรเคลอ่ื นท่ี

มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงแม่เหลก็ ไฟฟา้ แรงโน้มถว่ ง และแรง นวิ เคลียร์ มี

กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารส่ิงทเี่ รียนรูแ้ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อยา่ งถูกต้อง

และมคี ุณธรรม

ตัวช้ีวดั ผู้เรียนรู้อะไร ผเู้ รยี นทำอะไรได้

1. ทดลองและอธิบายการ แรงลพั ธ์ของแรงสองแรงท่ีกระทาต่อ ตั้งคาถาม สังเกต วางแผน ทดลองหา

หาแรงลัพธ์ของ แรงสองแรง วตั ถุ โดยแรงทง้ั สองอยูใ่ นแนวเดียว แรงลัพธ์ของแรงสองแรงซ่ึงอยู่ในแนว

ซ่งึ อยู่ในแนวเดยี วกันท่ี กนั เท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองนั้น เดียวกันท่ีกระทาต่อวัตถุ อธิบายและ

กระทาต่อวตั ถุ สรุปผลการทดลอง หาแรงลัพธ์ของ

แรงสองแรงที่กระทาต่อวัตถุท่ีอยู่ใน

แนวเดียวกัน

2. ทดลองและอธบิ าย อากาศมีแรงกระทาต่อวตั ถุ ความดัน ต้ังคาถาม สังเกต วางแผน ปฏิบัติการ

ความดนั อากาศ อากาศ คือ แรงที่อากาศกระทาต้ัง ทดลองเร่ืองความดันอากาศ อธิบาย

ฉากต่อเนอ่ื งหน่วยพื้นท่ี ความหมายของความดันอากาศลาดับ

ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ท่ีเกี่ยวกับ

แรงดันอากาศในชีวิตประจาวนั

3. ทดลองและอธบิ าย ของเหลวมแี รงกระทาต่อวตั ถุทุก ต้ังคาถาม สังเกต วางแผน ทดลอง

ความดนั ของของเหลว ทศิ ทาง ความดนั ของเหลว คือ แรงที่ เก่ยี วกับความดนั ของของเหลว อธิบาย

ของเหลวกระทาตั้งฉากตอ่ หน่ึงหนว่ ย ได้ว่าความดันของของเหลว เป็นแรงท่ี

พน้ื ทโ่ี ดย ความดนั ของเหลวมี ของเหลวกระทาต้งั ฉากตอ่ หนึง่ หนว่ ย

สมั พันธก์ บั ความลกึ พื้นที่เรียกว่า ความดันของเหลว ซ่ึง

สมั พนั ธ์กบั ความลกึ

4. ทดลองและอธบิ ายแรง ของเหลวมีแรงพยุงกระทาตอ่ วตั ถทุ ี่ ต้ังคาถาม สังเกต วางแผน ทดลอง

พยงุ ของของเหลว การลอย ลอยหรอื จมในของเหลว การจมหรือ เรอ่ื ง แรงพยุงของของเหลวการลอยตัว

ตวั และการจมของวตั ถุ การลอยตัวของวัตถุขน้ึ อยู่กบั น้าหนกั ของวัตถุในของเหลว การจมของวัตถุ

ของวตั ถุและแรงพยงุ ของของเหลว ในของเหลว สรุปผลการทดลองและ

นั้น อธิบายได้ว่าการจมและการลอยของ

วัตถุในของเหลว ขึ้นอยู่กับแรงพยุง

ของของเหลวและน้าหนักของวัตถุ

นาเสนอผลการทดลอง

17

สำระที่ 4 แรงและกำรเคล่อื นท่ี

มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจลักษณะการเคลอื่ นท่ีแบบต่างๆ ของวตั ถใุ นธรรมชาติ มีกระบวนการสืบ

เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สือ่ สารสิง่ ท่เี รียนรู้และนาไปใช้ประโยชน์

ตัวชีว้ ดั ผ้เู รียนรูอ้ ะไร ผเู้ รยี นทำอะไรได้

1. ทดลองและอธิบายแรง แรงเสยี ดทานเปน็ แรงต้านการเคล่อื นที่ ตั้งคาถาม สังเกต วางแผนการทดลอง

เสยี ดทานและนา ของวตั ถุแรงเสยี ดทาน มีประโยชน์ เกี่ยวกับแรงเสียดทาน ยกตัวอย่าง

ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ เช่น ในการเดนิ ตอ้ งอาศัยแรงเสยี ดทาน การเพิ่มและการลดแรงเสียดทาน

อ ธิ บ า ย ก า ร น า แ ร ง เ สี ย ด ท า น ไ ป ใ ช้

ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เขียน

รายงานและนาเสนอผลงาน

สำระท่ี 5 พลังงำน

มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสมั พนั ธร์ ะหว่างพลงั งานกบั การดารงชวี ติ การเปลีย่ นรูปพลังงาน

ปฏิสมั พันธร์ ะหว่างสารและพลังงาน ผลของการใชพ้ ลังงานตอ่ ชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม มีกระบวน

การสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารส่ิงทีเ่ รยี นรูแ้ ละ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตวั ชว้ี ัด ผูเ้ รยี นร้อู ะไร ผู้เรียนทำอะไรได้

1. ทดลองและอธิบาย เสียงเกิดจากการสน่ั ของแหลง่ กาเนดิ ต้ังคาถาม สังเกต วางแผนการทดลอง

การเกิดเสยี งและการ เสยี งและเสยี งเคลื่อนทจ่ี ากแหลง่ การเกิดเสียงและการเคลื่อนที่ของ

เคลือ่ นท่ีของเสยี ง กาเนิดเสยี งทุกทิศทกุ ทางโดยอาศัย เสียง บันทึกผลการทดลองตามความ

ตัวกลาง เป็นจริง สรุปผล อภิปรายผล และ

นาเสนอผลการทดลอง เช่ือมโยงการ

เกิดเสียงและการเคล่ือนที่ของเสียง

เพื่อนาไปใช้ประโยชน์

2. ทดลองและอธิบาย แหลง่ กาเนิดเสยี งสน่ั ดว้ ยความถตี่ ่าจะ ต้ังคาถาม ตั้งสมมติฐาน ทดลองการ

การเกดิ เสยี งสูง เสียงต่า เกิดเสยี งต่า แต่ถา้ สั่นด้วยความถ่ีสูงจะ เกิดเสียงสูง เสียงต่า สังเกต บันทึกผล

เกดิ เสียงสูง การทดลองตามความเป็นจริง สรุปและ

อภิปรายผลจากการทดลองอย่างมี

เหตผุ ล และนาเสนอผลการทดลอง

18

3. ทดลองและอธบิ าย แหลง่ กาเนิดเสยี งสน่ั ดว้ ยพลงั งานมาก ตั้งคาถาม ตั้งสมมติฐานออกแบบการ
เสียงดงั เสยี งค่อย
จะทาให้เกดิ เสยี งดงั แต่ถ้าแหลง่ ทดลอง ทดลองการเกิดเสียงดัง เสียง
4. สารวจและอภิปราย
อันตรายท่เี กดิ ข้ึน เมื่อ กาเนดิ เสียงสน่ั ด้วยพลงั งานน้อยจะเกิด ค่อย สังเกต บันทึกผลการทดลองตาม
ฟงั เสียงดงั มาก ๆ
เสยี งค่อย ความเป็นจรงิ สรุปและอภปิ รายผลจาก

การทดลองอย่างมีเหตุผล นาเสนอผล

การทดลอง อธิบายการเกดิ เสยี งดังและ

เสียงค่อย

เสยี งดงั มาก ๆ จะเป็นอันตรายตอ่ การ สารวจและอภิปรายอันตรายที่เกิด

ไดย้ นิ และเสยี งท่ีก่อใหเ้ กิดความ ข้ึนเม่ือฟังเสียงดังมาก ๆ ต้ังคาถาม

ราคาญ เรียกวา่ มลพษิ ทางเสยี ง ออกแบบ/วางแผนในการสารว จ

เร่ืองอันตรายท่ีเกิดจากเสียงดั ง

ตั้งสมมติฐานในการสารวจ ออก

สารวจเสียงในสถานการณ์ที่ต่างๆ

บริเวณโรงเรียนและสัมภาษณ์คนที่อยู่

ในบริเวณนั้นๆ รวบรวมข้อมูลที่ได้จาก

การสารวจ จัดกระทาข้อมูล จัดกลุ่ม

เปรียบเทียบ สรุปอภิปรายอันตรายที่

เกิดข้ึนเมื่อฟังเสียงดังมากๆ และ

นาเสนอผล

สำระท่ี 6 กระบวนกำรเปล่ยี นแปลงของโลก

มาตรฐาน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพนั ธ์

ของกระบวนการตา่ งๆ ท่ีมผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสณั ฐานของ

โลก มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สื่อสารสงิ่ ทเี่ รียนรแู้ ละนาความรู้ไป

ใชป้ ระโยชน์

ตวั ชว้ี ดั ผู้เรียนร้อู ะไร ผเู้ รียนทำอะไรได้

1. สารวจ ทดลองและ 1. ไอนา้ ในอากาศทคี่ วบแนน่ เป็นละอองนา้ ต้งั คาถาม สารวจตรวจสอบ ทดลอง

อธบิ ายการเกิดเมฆ หมอก เล็กๆ ที่ทาให้เกดิ เมฆและหมอกละออง รวบรวมขอ้ มูล วิเคราะห์ แสดงความ

น้าค้าง ฝน และลกู เหบ็ นา้ เลก็ ๆ ทรี่ วมกนั เปน็ หยดน้าจะให้เกดิ คิดเหน็ สรปุ การเกิดเมฆ หมอก

น้าคา้ งและฝน นา้ ค้าง ฝนและลกู เห็บนาเสนอแผน

2. นา้ ที่กลายเปน็ น้าแขง้ แล้วถูกพายุพดั วน ภาพด้วยวาจา

ในเมฆระดับสูงจนเปน็ ก้อนนา้ แข้งขนาด

ใหญข่ ึ้นแลว้ ตกลงมาทาให้เกดิ ลูกเหบ็

19

2. ทดลองและอธิบายการ วัฏจกั รนา้ น้าเกดิ จากการหมุนเวียนอยา่ ง ตั้งคาถาม สารวจตรวจสอบ ทดลอง
เกดิ วัฏจักรน้า
ตอ่ เน่ืองระหว่างน้าบรเิ วณผิวโลกกับนา้ ใน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ อภิปราย
3. ออกแบบและสร้าง
เครื่องมืออยา่ งงา่ ยใน บรรยากาศของน้าอยา่ งต่อเนื่อง สรุป จัดทาแผนภาพวัฏจักรน้าและ
การวัดอณุ หภูมิ ความช้นื
และความกดอากาศ นาเสนอ

4. ทดลองและอธบิ ายการ อณุ หภูมิ ความชน้ื ความกดอากาศ มีการ ตัง้ คาถาม สารวจ ตรวจสอบศึกษา
เกดิ ลมและนาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ เปล่ยี นแปลง สามารถใช้เคร่ืองมืออย่างงา่ ย เครื่องมือวัดอุณหภมู ิ ความชื้น
ประจาวนั
ตรวจสอบได้ ความกดอากาศ สาเร็จรูปวิเคราะห์

ออกแบบสร้างเครื่องมืออย่างง่าย

นาไปใช้วัดอุณหภูมิ ความช้ืน ความ

กดอากาศ รวบรวมข้อมูลการใช้

นาเสนอ ข้อดี และข้อบกพร่อง ของ

เครือ่ งมอื

ลมเกดิ จากการเคล่ือนที่ของอากาศตามแนว ตั้งคาถาม สารวจ สืบค้น ข้อมูล

พ้นื ราบบริเวณที่มอี ุณหภูมิสงู มวลอากาศจะ ทดลอง สาธิต อธิบายการเกิดลม

ขยายตัวลอยสูงข้ึน สว่ น ประโยชน์ของลม นาเสนอแผนภาพการ

บรเิ วณทม่ี อี ุณหภมู ิต่า มวลอากาศจะจมตัว ใช้ประโยชนจ์ ากลมในชวี ติ ประจาวนั

ลงและเคล่ือนไปแทนที่ พลงั งานจากลม

นาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้มากมายในดา้ นการผลติ

กระแสไฟฟา้ และการทากังหันลม

สำระที่ 7 ดำรำศำสตรแ์ ละอวกำศ

มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแลก็ ซแี ละเอกภพการปฏิสัมพันธภ์ ายในระบบ

สุริยะและผลตอ่ สงิ่ มชี ีวิตบนโลก มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ การส่อื สารสง่ิ

ทเี่ รยี นร้แู ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตัวชี้วัด ผเู้ รยี นรอู้ ะไร ผเู้ รียนทำอะไรได้

1. สงั เกตและอธบิ ายการ 1. การทีโ่ ลกหมนุ รอบตวั เองนี้ทาใหเ้ กดิ ตั้งคาถาม การสังเกต สืบค้นข้อมูล

เกดิ ทศิ และปรากฏการณ์ การกาหนดทศิ โดยโลกหมุนรอบ บันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล

การขึ้นตกของดวงดาวโดย ตัวเองทวนเขม็ นาฬิกา จากทิศ และอธิบายการเกิดทิศและปรากฏการณ์

ใชแ้ ผนทด่ี าว ตะวันตกไปยงั ทิศตะวนั ออก เมอ่ื การข้ึนตกของดวงดาวโดยใช้แผนที่

สังเกตจากขว้ั โลกเหนือ จึงปรากฏ ดาว ประดิษฐ์แผนท่ีดาว นาเสนอ

ใหเ้ หน็ ดวงอาทติ ย์และดวงดาวต่างๆ ผลงาน

ขึ้นทางทิศตะวนั ออกและตก ทาง

ทศิ ตะวนั ตก

20

2. แผนท่ีดาวช่วยในการสังเกต
ตาแหน่งดาวบนท้องฟ้า

สำระท่ี 8 ธรรมชำติของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การ

แก้ปญั หา รู้ว่าปรากฏการณท์ างธรรมชาติทเ่ี กิดขึ้นส่วนใหญ่มรี ูปแบบท่แี น่นอน สามารถอธบิ ายและ

ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมือท่ีมีอยู่ในชว่ งเวลานั้นๆ เข้าใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี

สังคมและสิ่งแวดล้อม มีความเกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธก์ ัน

ตวั ช้วี ัด ผู้เรียนรอู้ ะไร/ทำอะไรได้

1. ตง้ั คาถาม เกี่ยวกับประเด็น หรอื เร่อื ง หรือสถานการณ์ ท่ีจะศึกษาตาม

ทกี่ าหนดให้และตามความสนใจ

2. วางแผนการสังเกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรอื ศึกษาค้นควา้ และ จะนำไปแทรกในสำระท่ี 1 – 7

คาดการณส์ งิ่ ทจ่ี ะพบจากการสารวจตรวจสอบ ในกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้

3. เลือกอปุ กรณ์ทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสมในการสารวจ ตรวจสอบใหไ้ ด้ข้อมลู ท่ี เพือ่ พัฒนำทักษะกำรคิด

เช่ือถอื ได้

4. บันทกึ ข้อมลู ในเชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ และตรวจสอบผลกับสิ่งท่ี

คาดการณ์ไว้ นาเสนอผลและข้อสรุป

5. สรา้ งคาถามใหมเ่ พอ่ื การสารวจตรวจสอบต่อไป

6. แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ อธบิ าย และสรุปส่งิ ทีไ่ ด้ เรยี นรู้

7. บนั ทึกและอธิบายผลการสารวจ ตรวจสอบตามความเป็นจรงิ มีการ

อา้ งอิง

8. นาเสนอ จัดแสดง ผลงาน โดยอธบิ ายด้วยวาจา หรือเขียนอธบิ ายแสดง

ระบวนการและผลของงานให้ผูอ้ นื่ เข้าใจ

3. ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์

ตามท่ีสมาคมความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ (American Association for the Advancement of
Science-AAAS (1970: 30-176)) ไดก้ าหนดจุดมงุ่ หมายของการใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็น
เคร่ืองมือในการแสวงหาความร้ทู ้งั ส้นิ 13 ทักษะ โดยจดั แบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ

1) ทักษะพ้ืนฐาน หรอื ทักษะเบ้อื งตน้ (Basic Science Process Skill) ประกอบด้วย 8 ทกั ษะ ได้แก่
ทกั ษะที่ 1-8

2) ทกั ษะข้ันบรู ณาการ หรือ ทกั ษะเชิงซ้อน (Integrated Science Process Skill) ประกอบด้วย 5
ทกั ษะ ได้แก่ ทักษะท่ี 9-13

21

ในสว่ นความหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งในแต่ละทักษะ สรุปได้ดังตารางต่อไปน้ี

ลำดบั ทักษะ

1 ทกั ษะการสังเกต (Observation) หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสมั ผสั อย่างใด

อย่างหนึ่ง หรอื หลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมกู ลิ้น และผวิ กาย เขา้ ไปสัมผัสโดยตรงกบั

วตั ถุหรือปรากฏการณ์ต่างๆ โดยไม่ลงความเหน็ ของผสู้ งั เกต

2 ทักษะการวัด (Measurement) หมายถึงความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดหาปริมาณของ

ส่ิงต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม และ

ความสามารถในการอา่ นค่าทไ่ี ด้จากการวัดได้ถูกต้องรวดเร็วและใกล้เคียงกับความจริงพร้อม

ทั้งมีหนว่ ยกากบั เสมอ

3 ทักษะการคานวณ (Using numbers) หมายถงึ ความสามารถในการบวก ลบ คูณ หาร หรือ

จัดกระทากับตัวเลขท่ีแสดงค่าปริมาณของส่ิงใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงได้จากการสังเกต การวัด การ

ทดลองโดยตรง หรอื จากแหล่งอื่น ตัวเลขที่คานวณน้ันต้องแสดงค่าปริมาณในหน่วยเดียวกัน

ตัวเลขใหม่ท่ีได้จากการคานวณจะช่วยให้ส่ือความหมายได้ตรงตามที่ต้องการและชัดเจน

ยงิ่ ข้นึ

4 ทักษะการจาแนกประเภท (Classification) หมายถึง ความสามารถในการจัดจาแนกหรอื

เรียงลาดบั วตั ถุ หรือส่งิ ท่ีอยู่ในปรากฏการณ์ตา่ งๆ ออกเปน็ หมวดหมโู่ ดยมเี กณฑ์ในการจดั

จาแนก เกณฑ์ดงั กล่าวอาจใช้ ความเหมอื น ความแตกตา่ ง หรือความสัมพันธ์อยา่ งใดอยา่ ง

หนึ่งกไ็ ด้ โดยจัดสิ่งที่มีสมบัตบิ างประการรว่ มกันให้อยู่ในกลุ่มเดยี วกนั

5 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกบั สเปสและสเปสกบั เวลา (Space/space

Relationship and Space/Time Relationship) สเปส (Space) ของวัตถุ หมายถงึ ท่วี า่

งบรเิ วณทว่ี ัตถนุ ้ันครอบครองอยู่ ซ่งึ จะมรี ปู รา่ งและลักษณะเชน่ เดยี วกบั วตั ถุนน้ั โดยทว่ั ไป

สเปสของัตถจุ ะมี 3 มิติ (Dimensions) ได้แก่ ความกวา้ ง ความยาว ความสูงหรือความหนา

ของวัตถุ

ทกั ษะการหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกบั สเปสและสเปสกบั เวลา หมายถงึ ความสามารถ

ในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ ตอ่ ไปน้ี คือ 1) ความสัมพันธร์ ะหว่าง 2 มิติ กบั 3 มิติ 2)

สิ่งท่ีอยูห่ น้ากระจกเงากับภาพที่ปรากฏจะเปน็ ซ้ายขวาของกันและกันอยา่ งไร 3) ตาแหน่งท่ี

อยู่ของวัตถหุ น่งึ กบั อีกวตั ถหุ น่ึง 4) การเปลย่ี นแปลงตาแหนง่ ที่อยู่ของวัตถกุ บั เวลาหรอื

สเปสของวตั ถุที่เปล่ยี นแปลงไปกับเวลา

6 ทกั ษะการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู (Organizing data and communication)

หมายถงึ ความสามารถในการนาขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการสังเกต การวัด การทดลอง และจาก

แหล่งอน่ื มาจัดกระทาใหม่โดยวิธกี ารตา่ งๆ เชน่ การจดั เรียงลาดบั การแยกประเภท หรอื

คานวณหาคา่ ใหม่ เพือ่ ใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจมากขึน้ อาจนาเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ

กราฟ สมการ เปน็ ต้น

22

7 ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู (Inferring) หมายถงึ ความสามารถในการอธบิ ายขอ้ มลู ทมี่ ี

อยอู่ ย่างมเี หตผุ ลโดยอาศยั ความรู้หรือประสบการณเ์ ดมิ มาชว่ ย ขอ้ มลู ที่มีอยู่อาจไดม้ าจาก

การสังเกต การวดั การทดลอง คาอธบิ ายนน้ั ได้มาจากความรู้หรือประสบการณ์เดิมของผู้

สังเกตที่พยายามโยงบางส่วนที่เปน็ ความรูห้ รอื ประสบการณ์เดิมใหม้ าสัมพนั ธ์กบั ข้อมูลท่ี

ตนเองมีอยู่

8 ทักษะการพยากรณ์ (Prediction) หมายถึง ความสามารถในการทานายหรือคาดคะเนสิง่ ที่

จะเกดิ ข้ึนล่วงหนา้ โดยอาศยั การสงั เกตปรากฏการณ์ทีเ่ กดิ ขนึ้ ซ้าๆ หรือความรู้ท่ีเป็นหลักการ

กฎ หรอื ทฤษฎใี นเรอ่ื งนัน้ มาช่วยในการทานาย การทานายอาจทาได้ภายในขอบเขตข้อมูล

(Interpolating) และภายนอกขอบเขตข้อมูล (Extrapolating)

9 ทกั ษะการตั้งสมมุตฐิ าน (Formulating hypothesis) หมายถึง ความสามารถในการให้

คาอธิบายซ่งึ เป็นคาตอบลว่ งหน้าก่อนทจี่ ะดาเนนิ การทดลอง เพื่อตรวจสอบความถกู ต้องเปน็

จริงในเรอื่ งนัน้ ๆ ต่อไป สมมุตฐิ านเป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน ซ่งึ อาจเปน็ คาอธิบาย

ของสิ่งทไี่ ม่สามารถตรวจสอบโดยการสังเกตได้ หรืออาจเปน็ ข้อความท่ีแสดงความสมั พันธท์ ่ี

คาดคะเนวา่ จะเกิดขึน้ ระหว่างตัวแปรต้นกบั ตัวแปรตาม ขอ้ ความของสมมตุ ฐิ านน้ีสรา้ งขึน้

โดยอาศยั การสังเกตความรู้ ประสบการณ์เดิมเปน็ พ้นื ฐาน การคาดคะเนคาตอบท่ีคิดล่วง

หน้จน้ยี งั ไมท่ ราบ หรอื ยังไม่เป็นหลกั การ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน ข้อความของสมมตุ ฐิ านตอ้ ง

สามารถทาการตรวจสอบโดยการทดลองและแก้ไขเม่ือมีความรู้ใหม่ได้

10 ทักษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ (Defining operationally) หมายถึง ความสามารถ

ในการกาหนดความหมายและขอบเขตของคา หรอื ตวั แปรต่างๆ ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และ

สามารถสงั เกตและวัดได้ คานยิ ามเชิงปฏบิ ัติการ เปน็ ความหมายของคาศัพทเ์ ฉพาะ เปน็

ภาษางา่ ยๆ ชัดเจน ไม่กากวม ระบสุ ง่ิ ท่สี งั เกตได้ และระบุการกระทาซง่ึ อาจเปน็ การวดั การ

ทดสอบ การทดลองไว้ด้วย

11 ทักษะการกาหนดและควบคุมตวั แปร (Identifying and controlling variables) หมายถึง

การชี้บง่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคุมในสมมุติฐานหน่ึง การควบคุมตวั

แปรนนั้ เปน็ การควบคุมสิ่งอน่ื ๆ นอกเหนือจากตัวแปรตน้ ทจ่ี ะทาใหผ้ ลการทดลอง

คลาดเคลอ่ื นถา้ หากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนกนั

12 ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคาตอบหรือ

ทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบด้วยกิจกรรม 3 ขั้นตอน คือ

1 การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดลองจริง

เพ่ือกาหนดวิธีการดาเนินการทดลองซึ่งเก่ียวกับการกาหนดวิธีดาเนินการทดลองซึ่ งเก่ียวกับ

การกาหนดและควบคมุ ตวั แปร และวัสดุอปุ กรณ์ท่ีต้องการใช้ในการทดลอง

23

2 การปฏิบตั ิการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติการทดลองจริงๆ 12.3 การบันทึก
ผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลท่ีได้จากการทดลอง ซึ่งอาจเป็นผลของการ
สงั เกต การวดั และอื่นๆ

3 แปลความสรปุ ผลการทดลอง
13 ทักษะการตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป (Interpretting data and conclusion)

หมายถงึ ความสามารถในการบอกความหมายของข้อมูลที่ได้จดั กระทา และอย่ใู นรปู แบบท่ี
ใช้ในการส่อื ความหมายแลว้ ซง่ึ อาจอยู่ในรูปตาราง กราฟ แผนภมู ิหรอื รูปภาพต่างๆ รวมท้ัง
ความสามารถในการบอกความหมายข้อมลู ในเชงิ สถติ ิด้วย และสามารถลงข้อสรปุ โดยการ
เอาความหมายของข้อมลู ที่ได้ท้งั หมด สรุปให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อมลู ที่เกย่ี วขอ้ งกับตวั
แปรท่ีตอ้ งการศึกษาภายในขอบเขตของการทดลองน้ันๆ

4. รูปแบบกำรเรยี นกำรสอน

งานศกึ ษาครั้งน้ีมคี วามเกยี่ วข้องกบั การจัดการเรียนการสอน ท้ังนีแ้ นวคดิ เก่ยี วข้องกับรูปแบบการ
สอน (Teaching Model) ได้ถูกอธิบายไวห้ ลายแนวคดิ ดังเชน่ Saylor and others (1981) ไดอ้ ธิบายรูปแบบ
การสอนวา่ เป็นแบบฉบับ (Pattern) ของการสอนท่ีมีการจัดกระทาพฤติกรรมขึ้นจานวนหนึ่งท่ีมีความแตกต่าง
กัน เพื่อจุดหมายหรือจุดเน้นท่ีเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่ง Joyce and Well (1992) ได้อธิบายไว้ว่า
เป็นแผน (Plan) หรือแบบฉบับ (Pattern) ท่ีเราสามารถใช้เพื่อการสอนโดยตรงในห้องเรียนหรือการสอนเป็น
กลมุ่ ยอ่ ย หรอื เพอ่ื จดั สอ่ื การเรียนการสอนซึ่งรวมถึงหนังสอื ภาพยนตร์ เทปบนั ทึกเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนและหลักสูตรรายวิชา ซ่ึงแต่ละรูปแบบจะให้แนวทางในการออกแบบการเรียนการสอนท่ีจะช่วยให้
ผ้เู รยี นบรรลุวัตถปุ ระสงค์ตา่ งๆกัน รปู แบบการสอนคอื การบรรยายสงิ่ แวดลอ้ มทางการเรียน รูปแบบการ ก็คือ
รูปแบบของการเรียนท่ีช่วยผู้เรียนให้ได้รับสารสนเทศ ความคิด ทักษะคุณค่า แนวทางของการคิด ท้ังนี้ ทิศนา
แขมมณี (2551) ได้ทาการแบ่งรูปแบบการเรยี นการสอนออกตามวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะเปน็ 5 รูปแบบ ดงั นี้

1. รปู แบบการเรียนการสอนท่เี นน้ การพฒั นาดา้ นพุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain)
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ซ่ึง
เนื้อหา สาระน้ันอาจอยู่ในรูปของข้อมูล ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอด รูปแบบที่สาคัญมี 5
รปู แบบ ดังนี้

1.1**รูปแบบการเรยี นการสอนมโนทัศน์
****** 1.2**รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gagne’s Model)
****** 1.3**รูปแบบการเรียนการสอนโดยการนาเสนอมโนทัศนก์ ว้างล่วงหนา้
****** 1.4**รปู แบบการเรียนการสอนเนน้ ความจา
****** 1.5**รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช้ผังกราฟกิ

24

2. รปู แบบการเรียนการสอนที่เนน้ การพัฒนาด้านจติ พิสยั (Affective Domain)

โดยรูปแบบการเรยี นการสอนในหมวดนมี้ ่งุ เนน้ การพฒั นาผู้เรยี นใหเ้ กดิ ความรู้สึก ค่านิยม เจตคติ

คณุ ธรรม และจริยธรรมท่ีพึงประสงค์ ซง่ึ เป็นเร่ืองที่ยากแก่การพฒั นาหรือปลูกฝงั การจดั การเรียนการสอน

ตามรปู แบบการสอนท่ีเพยี งให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจ มักไม่เพียงพอต่อการใหผ้ ูเ้ รียนเกิดเจตคติท่ีดไี ด้

จาเปน็ ต้องอาศัยหลักการและวิธกี ารอ่ืนๆ เพ่มิ เตมิ รปู แบบที่สาคัญประกอบดว้ ย 3 รปู แบบดังนี้

2.1 รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาด้านจิตพิสยั ของบลูม (Bloom’s

Affective Domain)

2.2 รปู แบบการเรยี นการสอนโดยการซักคา้ น (Jurisprudential Model)

2.3 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใช้บทบาทสมมต (Role Playing Model)

3. รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ การพัฒนาด้านทักษะพิสยั (Psycho-Motor Domain)

เปน็ รปู แบบทม่ี งุ่ ช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในด้านการปฏิบัติ การกระทาหรือการแสดงออก

ต่าง ๆ ซ่ึงจาเป็นต้องใช้หลักการ วิธีการ ที่แตกต่างไปจากการพัฒนาทางด้านจิตพิสัยหรือพุทธิพิสัย รูปแบบท่ี

สามารถชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดการพฒั นาทางดา้ นนี้ ทส่ี าคัญๆ ซ่ึงรูปแบบท่สี าคัญมี 3 รูปแบบดงั น้ี

3.1 รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Simson)

ทักษะเปน็ เรอื่ งทมี่ คี วามเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางกายของผเู้ รยี น เป็นความสามารถในการประสานการทา

งานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย

3.2 รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบตั ิของแฮรโ์ รว์ (Harrow) ไดจ้ ดั ลาดับขัน้ ของการ

เรยี นรทู้ างด้านทักษะปฏบิ ัติไว้ 5 ข้นั โดยเรมิ่ จากระดับทซ่ี บั ซอ้ นน้อยไปจนถึงระดบั ทมี่ ีความซบั ซ้อนมาก ดงั นั้น

การกระทา

3.3 รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัตขิ องเดวสี ์ (Davies) ได้นาเสนอแนวคดิ เกยี่ วกบั

การพฒั นาทักษะปฏบิ ตั ิไวว้ ่า ทกั ษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทกั ษะย่อยๆ จานวนมาก การฝกึ ใหผ้ ้เู รียน

สามารถทาทักษะย่อยๆ เหล่านัน้ ไดก้ ่อนแลว้ คอ่ ยเช่ือมโยงตอ่ กนั เป็นทกั ษะใหญ่ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนประสบ

ผลสาเรจ็ ได้ดแี ละเรว็

4. รปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี น้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skill)

เป็นทกั ษะทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วธิ ดี าเนนิ การต่าง ๆ ซงึ่ อาจเปน็ กระบวนการทางสติปญั ญา เช่น กระบวนการ

สืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดตา่ ง ๆ ซงึ่ ประกอบดว้ ยรปู แบบทีส่ าคัญ 4 รปู แบบดงั น้ี

4.1 รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการสบื สอบและแสวงหาความรูเ้ ปน็ กลุ่ม

4.2 รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการคดิ อุปนยั

4.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคดิ สร้างสรรค์

4.4 รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ แกป้ ญั หาอนาคตของทอรแ์ รนซ์ (Torrance’s

Model)

25

5. รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเน้นการบรู ณาการ (Integration)
เปน็ รูปแบบทพี่ ยายามพัฒนาการเรยี นรู้ด้านตา่ งๆ ของผเู้ รยี นไปพรอ้ มๆ กนั โดยใชก้ ารบูรณาการท้ัง
ทางด้านเน้ือหาสาระและวธิ กี าร เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎที างการศึกษาท่ีมุ่งเน้นการพฒั นารอบ
ดา้ น หรอื การพฒั นาเปน็ องคร์ วม

5. กำรจดั กำรเรียนกำรสอนแบบสบื เสำะ

ภายใต้โลกศตวรรษที่ 21 ประชากรโลกจะตอ้ งเผชญิ กับกระแสโลกาภิวฒั น์ของเทคโนโลยีทปี่ ระชากร
ใช้กันในชีวิตประจาวันเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งน้ีบางคร้ังการใช้เทคโนโลยีอาจก่อให้เกิดการสูญเสีย
ความสมดุลของสภาพแวดล้อม ขณะที่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่มีมากข้ึน การส่ือสารระบบ
เครือขา่ ยที่มคี วามรวดเรว็ ภายใตป้ ระชากรโดยส่วนใหญ่ที่มีลักษณะของสังคมเมืองมากขึ้น (Urbanization) มี
อายุยืนยาวข้ึน มีความเป็นส่วนตัวสูง (Individualization) (Canton, 2006) การจัดการเรียนการสอนในยุค
สมัยใหมจ่ ึงไมใ่ ช่เร่ืองงา่ ย เนอื่ งจากจาต้องมกี ารเตรยี มบุคลากรเพ่ือเผชิญกับการเปล่ียนแปลงท่ีรวดเร็ว รุนแรง
พลิกผัน และคาดไม่ถึง บุคลากรที่จะต้องเข้าเป็นแรงงานยุคใหม่จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว
ดงั น้ันผสู้ อนจงึ ต้องเนน้ และเอาใจใสใ่ นการพัฒนาขดี ความสามารถของตนเองในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อให้
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองในด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมได้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต
โดยวธิ ีการออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรยี นมีทักษะเชน่ นี้ตอ้ งใช้หลักการว่าตอ้ งมีการเรียนรู้แบบท่ีเด็กร่วมกันสร้าง
ความรเู้ อง คือ เรียนรู้โดยการสรา้ งความรู้และเรยี นรู้เป็นทีม (วจิ ารณ์ พานชิ , 2555)

การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะ คือ เป็นวิธีการสาคัญของการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้าง
ความรู้จากประสบการณ์ของตนเอง (A Constructivist Approach) ซ่ึงถือเป็นการเรียนการสอนท่ีให้
ความสาคัญกับผู้เรียน ในขณะที่ผู้สอนอาจจะช่วยเป็นการแนะนาและช่วยสนับสนุน พร้อมทั้งมีการต้ังคาถาม
การก่อให้เกิดการเรียนรู้จากการสืบเสาะของผู้เรียนจากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ขั้นตอนการเรียนรู้ของการ
จัดการเรยี นร้แู บบสืบเสาะของ Suchman (1966) แบ่งออกเปน็

1) ขน้ั ตอนการเผชญิ ปัญหาหรือสถานการณ์ ผสู้ อนสร้างสถานการณใ์ ห้ผู้เรียนเผชญิ เพ่ือเป็นการ
กระตุ้นการสบื เสาะ ผา่ นการต้ังคาถาม คาพดู กิจกรรมหรอื การทดลอง

2) ข้นั การคดิ ค้นสืบเสาะ เป็นขนั้ ตอนทีส่ ามารถใชค้ าถาม คาตอบหรอื ทาการทดสอบใหม่ ศกึ ษาหา
ข้อมลู ใหมห่ รือใชว้ ิธีการต่างๆหลายวธิ ีเข้าดว้ ยกนั

3) ขน้ั ตอนการสรุปความคิดทีค่ ้นพบใหม่ ขยายแนวคดิ รวบยอดข้นึ ใหม่

ท้ังน้ีรูปแบบการเรียนการสอนท่ีได้รับความสนใจสูงของ Bybee & Landes (1990) ภายใต้แบบ
จาลอง 5E ซ่ึงได้อธิบายวงจรการเรียนรู้สาหรับการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะ (A Learning Cycle
Approach for Inquiry-Based Science Teaching) ซ่งึ มปี ระกอบดว้ ย

26

1) Engagement คอื การสร้างความสนใจเพือ่ การนาเขา้ ส่บู ทเรียนหรอื ประเด็นสนใจ ซ่งึ อาจเกิดขึ้น
เองจากความสงสยั ความสนใจของนักเรยี นเองหรอื เกิดจากการอภิปรายภายในกลุม่ เรอ่ื งที่นา่ สนใจอาจมา
จากเหตกุ ารณท์ ่กี าลังเกิดข้นึ ในช่วงเวลานนั้ หรอื เปน็ เรือ่ งทเี่ ช่ือมโยงกบั ความรู้เดมิ ทเ่ี พ่ิงเรยี นรู้มาแลว้

2) Exploration คอื ผ้สู อนไดจ้ ดั กิจกรรมเพอื่ ใหผ้ ้เู รียนได้ขน้ั สารวจและค้นหา โดยผเู้ รยี นจะตอ้ งมี
การ วางแผนกาหนดแนวทางการสารวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กาหนดทางเลอื กที่เป็นไปได้ การเก็บข้อมลู
และสนเทศ หรือปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ วธิ กี ารตรวจสอบอาจใชไ้ ดห้ ลายวิธี ได้แก่ ทากิจกรรมภาคสนาม ทาการ
ทดลอง การใช้คอมพวิ เตอร์ประเมนิ ฯลฯเพ่ือให้ได้ข้อมูลเพียงพอทจ่ี ะใชใ้ นข้นั ต่อไป

3) Explanation คอื ข้นั ตอนการอธบิ ายและลงข้อสรปุ หลงั จากได้ทาการสารวจข้อมลู จนเพียงพอ
และมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู และสารสนเทศ จึงทาการวเิ คราะห์ผล แปลผล สรุปผล และ
นาเสนอผลในลักษณะต่างๆไดแ้ ก่ บรรยายสรุป สรา้ งแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรอื รูปวาด สรา้ งตาราง ฯลฯ

4) Elaboration คอื ขัน้ ตอนการขยายความรู้ เปน็ การนาความรทู้ ี่ได้มาจากการค้นพบมาเชื่อมโยง
กบั ความรูเ้ ดิมหรอื แนวคิดทคี่ ้นควา้ เพมิ่ เติมหรอื ขอ้ สรุปท่ีได้ไปใชอ้ ธบิ ายปรากฏการ์ สถานการณห์ รอื เหตกุ ารณ์
ตา่ งๆ ซง่ึ ทาให้เกดิ การเช่ือมโยงกบั เร่อื งตา่ งๆ และก่อใหเ้ กิดการขยายของความรู้มากขนึ้

5) Evaluation คือ ข้นั ตอนการประเมิน เปน็ การประเมินผลการเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการต่างๆ เพอ่ื
พิจาณาผู้เรียนว่าได้รับความรู้อะไร อย่างไร มากน้อยหรือไม่เพียงใด ซ่ึงอาจสามารถนาความรู้ที่ได้ไป
ประยุกตใ์ ชก้ ับประเด็นหรือเหตุการณ์อืน่ ๆ ต่อไป

ทัง้ นี้สามารถเขียนวงจรการเรียนร้สู าหรบั การสอนวทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะได้ดังรูปต่อไปนี้

รูปท่ี 2.1 วงจรการเรียนรสู้ าหรบั การสอนวิทยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะ

27

6. วรรณกรรมท่เี กีย่ วขอ้ ง

งานศึกษาทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การจัดการเรียนการสอนด้วยการแบบสืบเสาะหาความรู้เร่ิมต้นจาก Karplus
and Thier (1967) ได้ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับวิชาทางวิทยาศาสตร์ อาศัยแนวคิดพ้ืนฐาน
เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดประสบการจากการเรียนรู้จากปรากฎการณ์ของแนวคิด/หัวข้อทางวิทยาศาสตร์ ท้ังนี้มี
หลายการศึกษาพบวา่ การประยกุ ต์เทคนคิ การสอนแบบสืบเสาะให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่อนักเรียนในทางดี
ข้ึน ในการศึกษาระดับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของ สุดารัตน์ ดวงเงิน และ นิวัฒน์ ศรีสวัสด์ิ (2554) ได้ศึกษา
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง สมบัติและปฏิกิริยาของสารละลายกรด-เบส ของนักเรียนที่ได้รับ
การจดั การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะแบบเปิด ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1 โรงเรียนแก่น
นครวทิ ยาลัย จังหวดั ขอนแก่น ผลการศกึ ษาพบว่าคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ
นกั เรยี นมีความแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ยั สาคัญ โดยทลี่ าดับเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นหลังเรียนมากกว่า
ก่อนเรียน ต่อมาในงานศึกษาของ พัชรินทร์ ศรีพล นพมณี เชื้อวัชรินทร และเชษฐ์ ศิริสวัสด์ิ (2556) ศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ซ่ึงจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น
(5E) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD โรงเรียนชลกันยานุกูลแสนสุข ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2555 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมขี องนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบวัฏจักร
การสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน (5E) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่า ต่อมาใน
การศึกษาของ เสาวลักษณ์ หล้าสิงห์ (2558) ได้ทาการวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเจตคติต่อ
วิทยาศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ด้วยส่ือประสม เรื่อง ระบบประสาทและ
อวัยวะรับความรู้สึก กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเบญจมราช
รังสฤษฎ์ิ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาของนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้ (5E) ด้วยส่ือประสม เร่ืองระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใน
การศึกษาของ อุไรวรรณ ปานีสงค์ จิต นวนแก้ว และสุมาลี เลี่ยมทอง (2560) ได้ทาการเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ืองชีวิตกับสิ่งแวดล้อมด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เสริมด้วยเทคนิคการจัดแผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการศึกษาพบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง
ชวี ิตกบั สิ่งแวดลอ้ มของหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียน

การประยุกต์เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะกับการศึกษาของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ใน
การศึกษาของ วรภา บางสาลี พรชัย ทองเจือ และปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล (2560) ได้ศึกษาความสามารถใน
การคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านวังพรม อาเภอวังทอง จังหวัด
พษิ ณุโลก กอ่ นเรยี นและหลังเรียนโดยใชก้ ารจดั การเรยี นรแู้ บบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ ผลการวิจัยพบว่า
ความสามารถในการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้
ก่อนเรียนอยู่ในระดับปรับปรุง หลังเรียนอยู่ในระดับดี แสดงได้ว่าระดับความสามารถทางการคิดเชิง

28

วิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนมีระดับความสามารถสูงขึ้น เช่นเดียวกับการศึกษาของ สุนิสา ช้างพาลี
วิรังรอง แสงอรุณเลิศ และ ภาคิน อินทร์ชิดจุ้ย (2560) ได้ทาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะโดยใช้
ชุดปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน โรงเรียนบ้านวังคอไห (สงฆ์ประชาชนูทิศ) จังหวัดชัยนาท ผลการศึกษาพบว่า
บ ทบ า ทของ การ จั ด การ เ รี ย น รู้ แบ บ สื บ เ ส าะห าคว า ม รู้ ผ่ า น การ ใช้ ชุ ด ป ฏิ บั ติ การ เ คมีแ บ บ ย่ อ ส่ ว น มี ผ ล ใ ห้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนมีทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ในการศึกษาของ อาดีละห์ เจ๊ะแม ณัฐนี โมพันธ์ และมัฮดี แวดราแม
(2561) ได้ทาการเปรียบเทียบความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนของการจัดการ
เรียนรโู้ ดยการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวังสาราญ อาเภอยะหา
จังหวัดยะลา พบว่า นักเรียนมีความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยนักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีคะแนนพัฒนาการทางการเรียนหลังจากการจัดการ
เรียนรูโ้ ดยการสบื เสาะหาความรู้ (5E) มีระดับการพัฒนาการอยู่ในระดับสูง โดยระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยการสืบเสาะหาความรู้ (5E) อยู่ในระดับค่อนข้างดี และนักเรียนมีเจตคติต่อ
วทิ ยาศาสตร์หลังเรียนอยู่ในระดับมีทีด่ ตี อ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ จากการทบทวนงานศึกษาขา้ งตน้ โดยมากอาจกล่าว
ได้ว่าเทคนิคการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบการสืบเสาะหาความรู้มีผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิด้านการ
เรยี นของนักเรยี นทดี่ ีโดยเฉพาะอย่างย่ิงในวิชาทางด้านวทิ ยาศาสตร์

29

บทท่ี 3
วิธกี ำรดำเนินวจิ ยั

เพอื่ ทาการศึกษาและวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เรือ่ ง การสบื พนั ธแ์ุ ละการขยายพันธุ์พืช ซง่ึ
เป็นเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ตาม
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5 ขัน้ ) ซง่ึ มีข้นั ตอนการดาเนินการวจิ ยั ดงั ตอ่ ไปนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัยและการพัฒนา
3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4. สถิติทดสอบและการวเิ คราะห์ข้อมลู

1. ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง

1.1 ประชากร
เป็นนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ซ่งึ มี 3 ห้องเรียน โรงเรียนวัดรตั นาราม อาเภอไชยา จังหวดั

สุราษฎรธ์ านี สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 จานวน 112 คน
1.2 กล่มุ ตวั อย่าง
การสุ่มกลุม่ ตวั อย่างอาศยั วิธกี ารสุม่ แบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling) ดว้ ยวธิ ีการสมุ่

ตัวอยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเปน็ นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรยี นวัดรตั นาราม
อาเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 จานวนนักเรยี นเท่ากับ 38 คน

2. เครอื่ งมือท่ีใช้ในกำรวิจัยและกำรพัฒนำ

การศึกษาคร้ังน้ีแบง่ เครอื่ งมือวจิ ัยออกเปน็ 2 สว่ น คือ
2.1 แบบฝึกทกั ษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5 ข้นั ) เร่ือง การสืบพันธ์ุและการ
ขยายพันธ์ุพชื ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 จานวน 7 ชุด ประกอบดว้ ย

แบบฝึกทกั ษะที่ 1 สว่ นประกอบของพชื ดอก
แบบฝึกทักษะท่ี 2 หนา้ ทแี่ ละสวนประกอบต่างๆ ของดอก
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 3 ฉนั คือส่วนใดของพชื
แบบฝึกทักษะท่ี 4 รู้จักส่วนประกอบและหนา้ ที่ของพชื ดอก
แบบฝกึ ทักษะที่ 5สว่ นประกอบของดอกและโครงสร้างท่เี กี่ยวข้องกับการสืบพนั ธ์ุของพืชดอก
แบบฝกึ ทักษะท่ี 6 การขยายพนั ธพ์ุ ชื และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
แบบฝึกทักษะที่ 7 พชื แตล่ ะชนิดนยิ มขยายพันธ์ไุ ด้อย่างไร

30

ขน้ั ตอนการพฒั นาแบบฝึกทักษะการเรยี นรสู้ ามารถดาเนินการดังต่อไปน้ี
2.1.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หรือหลักการท่ีเกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะเรื่อง การสืบพันธ์ุและ

การขยายพันธพุ์ ืช
2.1.2 ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะโดยใช้ข้อมูลจากเอกสาร หนังสือ เวบไซด์ ตลอดจน

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2551 วิชาวิทยาศาสตร์
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 และหนังสือเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

2.1.3 คัดเลือกแบบฝึกทักษะ โดยใช้ทักษะที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้เร่ือง
การสบื พันธุแ์ ละการขยายพนั ธุพ์ ชื และมีความเหมาะสมกับนกั เรียน

2.1.4 ออกแบบฝึกทักษะ เร่ืองการสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืช โดยกาหนดทักษะตาม
กระบวนการสบื เสาะหาความรู้

2.1.5 กาหนดสื่อการสอนเร่ืองการสืบพันธ์ุและการขยายพันธุ์พืชผ่านใบความรู้ ซ่ึงใน
การศึกษาคร้งั นไ้ี ดจ้ ดั ทาใบความรอู้ อกเป็น 4 ใบความรู้ ประกอบดว้ ย

ใบความรทู้ ี่ 1 เรอ่ื งสว่ นประกอบของพืช
ใบความรู้ที่ 2 เรอ่ื งการแบง่ ชนดิ ของดอกไม้
ใบความรู้ท่ี 3 เรอ่ื งกระบวนการสบื พันธ์ุของพชื ดอก
ใบความรทู้ ี่ 4 เรอ่ื งการสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศของพชื
2.16 จดั ลาดบั เรอื่ งทจ่ี ะสอนใหเ้ ปน็ ไปตามลาดับ และกาหนดรายละเอียดของแต่ละทกั ษะให้
มคี วามเหมาะสมกบั เวลาท่สี อน
2.1.5 สรา้ งแบบฝกึ ทักษะกระบวนการเรยี นรู้ของเรอื่ งการสบื พันธุ์และการขยายพันธุ์พืช โดย
มีการวางแผนการสอน กาหนดทักษะ กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ กาหนดกิจกรรมทางการเรียนการสอน
และผลิตสือ่ การเรยี นการสอนโดยใช้ใบความรู้
2.1.6 นาแบบฝึกทกั ษะการเรียนรู้ท่ีได้ไปใช้กับกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2.2 แบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนในกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5
ขน้ั ) เรื่อง การสบื พนั ธ์ุและการขยายพนั ธ์ุพืช ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นแบบทดสอบลักษณะข้อสอบปรนัย
ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ เป็นแบบทดสอบซ่ึงใช้ในการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และ
ทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) โดยมีกระบวนการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังต่อไปน้ี
2.2.1 ข้ันตอนการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ โดยศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธ์ิจากเอกสารที่เกี่ยวข้องและประเมินทักษะตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5 ข้ัน) เร่ือง การ
สืบพันธ์ุและการขยายพนั ธุพ์ ชื
2.2.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ ทมี่ ีความสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม
2.2.3 ตรวจสอบความถกู ต้องของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์
2.2.4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิมาใช้ทดสอบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และทดสอบ
หลงั เรยี น (Post-test) จานวน 38 คนซึ่งเปน็ กลุม่ ตวั อยา่ งทใ่ี ช้ในการศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2561

31

3. กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

การทดลองใช้แบบฝึกทกั ษะการเรยี นรตู้ ามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง การสบื พันธุแ์ ละการ
ขยายพนั ธพ์ุ ืช ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ประกอบด้วยขน้ั ตอนดังตอ่ ไปน้ี

3.1 ทาการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์
จานวน 20 ข้อโดยใชเ้ วลาทดสอบ 40 นาที

3.2 ดาเนินการจัดการเรียนรู้โดยการทดลองสอนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบฝึกทักษะการ
เรียนรตู้ ามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง การสบื พันธ์แุ ละการขยายพันธุ์พืช ซึ่งกาหนดระยะเวลาในการ
ทดสอบทง้ั สนิ้ 10 คาบๆ ละ 1 ชั่วโมง สปั ดาหล์ ะ 2 คาบ

3.3 หลังจากเสร็จสิ้นการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหา
ความรู้ เร่อื ง การสบื พนั ธ์ุและการขยายพนั ธพ์ุ ืช ผู้วจิ ัยจงึ ทาการทดสอบหลงั เรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่ม
ตวั อยา่ งโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์จิ านวน 20 ข้อโดยใช้เวลาทดสอบ 40 นาที

3.4 ตรวจคะแนนของกลุ่มตัวอย่างจากแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิและนาผลที่ได้จากการเก็บข้อมูลมา
วิเคราะห์และอภปิ รายผลการศึกษาโดยใช้วิธีการทางสถิติ โดยทดสอบความแตกต่างกับของคะแนนผลสัมฤทธ์ิ
เฉลยี่ กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น

4. สถิตทิ ดสอบและกำรวิเครำะหข์ อ้ มลู

เพ่อื การวเิ คราะหข์ ้อมูลในการศึกษาครัง้ นผี้ ู้วิจัยเลอื กใชส้ ถติ ิท่ีแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ
4.1 สถิติเชงิ พรรณนา (Discriptive Statistics) ได้แก่

4.1.1 คา่ เฉลี่ย (Mean) เพื่อพรรณนาค่ากลางของคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของ
นกั เรียนซึง่ สามารถคานวณได้ดงั สตู รต่อไปน้ี

̅∑

โดยที่ ̅ คอื คา่ เฉล่ียของคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของกลมุ่ ตัวอย่างนักเรยี น
คือ คะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน คนท่ี i = 1 ,2 ,…..,
คอื ขนาดของกลมุ่ ตัวอย่าง ในการศึกษาคร้ังน้จี านวนกลุ่มตัวอยา่ งเป็นนักเรยี นจานวน 38

คน หรอื = 38
4.1.2 ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) เพอ่ื สถิตในการพรรณนา

ขนาดการกระจายตวั ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นที่มีค่าออกจากค่ากลาง โดยคานวณได้จากสูตรดังน้ี

√∑ ̅

โดยท่ี คอื คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

32

̅ คอื คา่ เฉลย่ี ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของกล่มุ ตัวอยา่ งนักเรียน
คอื คะแนนผลสมั ฤทธิ์ของนักเรยี น คนท่ี i = 1 ,2 ,…..,
คือ ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง

4.2 สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ในการศึกษาคร้ังนี้ใช้สถิติดังกล่าวน้ีเพ่ือการวิเคราะห์
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนท่ีเป็นตัวแทนโดยผลทางสถิติสามารถนามาใช้ในการ
สรุปเพ่ือการอ้างอิงถึงนักเรียนท้ังหมด (ประชากร) ว่ามีนัยสาคัญทางสถิติหรือไม่ เนื่องจากการศึกษาครั้งน้ีมี
วตั ถุประสงค์เพอื่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์กิ อ่ นและหลังเรยี นโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้ (5 ขั้น) เรื่อง การสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืชว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ จึง
เลือกใช้ t-statistics เพ่ือการทดสอบสมมติฐานทางสถติ ิ ดังสมมติฐานตอ่ ไปนี้

คือ สมมติฐานหลักซ่ึงอธิบายได้ว่าระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึก
ทักษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5 ข้ัน) เรื่อง การสืบพันธุ์และการขยายพันธ์ุพืช ไม่
แตกตา่ งกัน

คือ สมมติฐานรองซ่ึงอธิบายได้ว่าระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึก
ทักษะการเรยี นรู้ตามกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5 ขน้ั ) เรอื่ ง การสืบพันธแุ์ ละการขยายพันธุพ์ ืช ไม่เทา่ กนั

โดยท่ี คือ คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้ (5 ขน้ั )

คือ คะแนนเฉลย่ี ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรียนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะการเรยี นร้ตู ามกระบวนการสบื เสาะ
หาความรู้ (5 ข้นั )

สาหรับการคานวณค่า t-statistics สามารถคานวณได้โดยใช้สตู รดังต่อไปน้ี

̅̅ ()

√ ()()

โดยที่ คอื คา่ การแจกแจงของสถิติทดสอบที (t-statistics)
̅ คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนก่อนเรียนด้วย

แบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
̅ คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนหลังเรียนด้วย

แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรูต้ ามกระบวนการสบื เสาะหาความรู้
คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างนักเรียน

กอ่ นเรยี นด้วยแบบฝึกทักษะการเรยี นรูต้ ามกระบวนการสบื เสาะหาความรู้
คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างนักเรียน

หลงั เรียนด้วยแบบฝึกทกั ษะการเรียนร้ตู ามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้

33

คือ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนก่อนเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ตาม
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้

คือ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ตาม
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้

คือ คา่ องศาแห่งความอิสระ

34

บทที่ 4
ผลกำรศกึ ษำ

ผลการศึกษาสามารถแบง่ รายละเอยี ดออกได้เป็น 2 สว่ น ประกอบด้วย ส่วนแรก ผลสมั ฤทธทิ์ างการ
เรยี นของนักเรยี นรายบุคคลจากการจัดการเรยี นการสอน เรื่อง การสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืช โดยใช้แบบ
ฝกึ ทักษะการเรยี นรูต้ ามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่วนทีส่ อง ผลการทดสอบทางสถิติเพ่ือเปรียบเทียบ
ความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลังเรียน

1. ผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรยี นของนกั เรยี น

ก่อนจดั การเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การสบื พันธแ์ุ ละการขยายพันธพ์ุ ชื โดยใชแ้ บบฝึก
ทักษะการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5/3 ทาแบบ
ทดสอบผลสมั ฤทธ์ิก่อนเรยี นจานวน 20 ขอ้ หลงั จากได้ทาการจัดการเรยี นการสอนเสร็จส้ินแล้วผู้วิจัยได้ดาเนิน
การทดสอบโดยให้นกั เรียนทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธหิ์ ลงั เรียนจานวน 20 ข้อ ปรากฏผลคะแนนราย บุคคลดัง
ภาคผนวกซง่ึ สามารถสรปุ ผลการทดสอบผลสมั ฤทธ์ิกอ่ นและหลังเรยี นแสดงได้ดังรายละเอยี ดตารางที่ 4.1

ตำรำงที่ 4.1 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียน

ลาดับนกั เรียน คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรยี น สว่ นต่าง
( เต็ม 20 คะแนน) ( เตม็ 20 คะแนน )
4
1 10 14 4
4
2 10 14 4
2
3 10 14 4
4
4 14 18 3
4
5 10 12 5
4
6 10 14 5
2
7 10 14 3

8 14 17

9 11 15

10 10 15

11 10 14

12 11 16

13 15 17

14 14 17

35

15 10 14 4
16 11 16 5
17 10 14 4
18 11 16 5
19 10 15 5
20 11 15 4
21 12 16 4
22 14 17 3
23 13 17 4
24 12 17 5
25 17 20 3
26 14 17 3
27 12 15 3
28 16 19 3
29 14 18 4
30 16 19 3
31 15 19 4
32 13 15 2
33 13 16 3
34 12 15 3
35 11 15 4
36 11 15 4
37 13 16 3
38 17 19 2

คะแนนเฉลี่ย 12.29 15.95 3.66

จากข้อมูลในตารางที่ 4.1 แสดงผลการศึกษาของคะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนรู้ของนักเรยี น เรือ่ ง
การสบื พันธแุ์ ละการขยายพนั ธ์พุ ชื โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเรียนรูต้ ามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ พบวา่ ผล
สมั ฤทธก์ิ ารเรียนรขู้ องนักเรยี นหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นท้ังหมด 38 คน นักเรียนที่มีผลสมั ฤทธก์ิ ารเรียนเพ่ิม
ขน้ึ สงู สดุ คือ นักเรียนลาดับท่ี 10, 12, 16 และ 18 โดยมคี ะแนนเพม่ิ ขึน้ 5 คะแนน ในขณะเดียวกนั นักเรียนท่ี
มผี ลสมั ฤทธิ์การเรยี นเพิ่มขึ้นต่าสดุ คอื นักเรียนลาดับที่ 5, 13, 32 และ 38 โดยมีคะแนนเพ่ิมข้ึนเพียง
2 คะแนน

36

2. ผลกำรทดสอบควำมแตกต่ำงระหว่ำงผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรศึกษำก่อนและหลังเรียน

เพอื่ ทดสอบความเหมือน/แตกตา่ งกันของผลสัมฤทธิก์ ารเรยี นระหวา่ งก่อนเรยี นและหลังเรียนของ
นกั เรียนในวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สถิติท่ีผู้วิจัยเลือกใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน คา่ สงู สุด คา่ ตา่ สดุ และการทดสอบ t-statistics ซึง่ แสดงผลดังตารางต่อไปนี้

ตำรำงท่ี 4.2 ผลการเปรยี บเทยี บสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นและหลงั เรียนโดยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้

ผลการวัด Maximum Minimum Mean t-statistics

ก่อนเรยี น 17 10 12.29 7.92

หลังเรยี น 20 12 15.95 (0.000)

จากข้อมลู ในตาราง 4.2 แสดงผลทางสถิติของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของกอ่ นและหลงั เรยี น ผลการ

ศกึ ษา พบวา่ คะแนนเฉลี่ยตอ่ หัวของหวั ขอ้ เรื่องการสืบพันธแุ์ ละการขยายพันธพุ์ ืชของนักเรียนสูงขนึ้ จากเดมิ

คะแนนเฉลย่ี ต่อหวั 12.29 คะแนนก่อนเรียนเพิ่มขนึ้ เปน็ 15.95 คะแนนหลังเรียน โดยคะแนนต่าสดุ กอ่ นเรยี น

เทา่ กับ 10 คะแนนและทค่ี ะแนนตา่ สุดหลังเรียน เท่ากบั 12 คะแนน ในส่วนคะแนนสงู สุดท่ีนกั เรยี นทาได้กอ่ น

เรียน เท่ากบั 17 คะแนน ในสว่ นของคะแนนสูงสุดทน่ี ักเรียนทาได้หลงั เรยี น เทา่ กบั 20 คะแนน

ผลการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบคะแนนความร้กู ่อนและหลงั เรียน โดยใช้ t-statistics พบว่ามีการปฏเิ สธ

สมมติฐานหลัก ( ) ซง่ึ สามารถอธิบายความหมายได้วา่ ระดบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อน

และหลังเรยี น เรอ่ื ง การสืบพันธแุ์ ละการขยายพนั ธ์ุพืชด้วยแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรตู้ ามกระบวนการสืบ

เสาะหาความรู้ (5 E) ของนักเรียนกล่มุ ที่ศึกษาไมเ่ ทา่ กันที่ระดับความเชื่อมน่ั 99%

37

บทท่ี 5
สรุปผลและข้อเสนอแนะ

1. สรุปผลกำรศกึ ษำ

เพือ่ พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรียนในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5
การจดั การเรียนการสอนโดยวิธกี ารแบบดงั้ เดิม อาทิ การเรียนการสอนแบบฟังบรรยาย (Lecture based
learning) ซ่งึ อาศยั การเน้นผู้สอนเปน็ ศนู ย์กลาง (Teacher-centered) เป็นวธิ ีการที่ใช้กนั อย่างก้าวขวางตั้งแต่
อดตี จนปัจจุบัน ทัง้ นเ้ี พ่ือสง่ เสริมการเรยี นรู้จากประสบการณ์ของผู้เรยี นรปู แบบการจดั การเรียนรู้ตามกระบวน
การสบื เสาะหาความรู้เปน็ วิธกี ารหน่ึงที่มีความนา่ สนใจและสามารถประยุกตใ์ ช้กับการจัดการเรียนการสอนใน
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ได้ โดยในการศึกษาครง้ั น้ีผ้วู จิ ยั ได้ทาการศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์
เรอ่ื ง การสบื พันธ์ุและและการขยายพนั ธุพ์ ชื ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ดว้ ยการจดั การเรียนร้โู ดยใช้
กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5 E) เสริมดว้ ยแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้ กรณีศึกษาโรงเรียนวัดรตั นาราม
อาเภอไชยา จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 2 โดยทาการ
ศกึ ษาในช่วงภาคเรียนที่1ปกี ารศึกษา2561

ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียน ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรยี นดว้ ย
แบบฝกึ ทักษะการเรยี นรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง การสืบพันธุแ์ ละและการขยายพันธพุ์ ืช โดยใช้กระบวนการ
สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) มผี ลสมั ฤทธ์สิ งู กวา่ ก่อนเรยี นทกุ คนซึ่งเปน็ จานวนท้ังหมด 38 คนโดยมี
นักเรยี นจานวน 4 คนมคี ะแนนเพม่ิ ขึ้นโดยเพมิ่ ขึน้ สูงสดุ 5 คะแนนและมีนักเรียนจานวน 4 คนมคี ะแนนเพ่ิมขน้ึ
โดยเพ่ิมข้นึ น้อยสุดเพียง 2 คะแนน ท้ังนีน้ กั เรยี นไดท้ าการทดสอบมีคะแนนเฉล่ยี ต่อหวั ก่อนเรยี นเท่ากบั 12.29
คะแนน ในส่วนของคะแนนเฉล่ียต่อหัวหลงั เรยี นเท่ากับ 15.95 คะแนน จากการทดสอบทางสถิตดิ ้วย
t–statistics ยนื ยนั วา่ ผลสมั ฤทธิ์ก่อนเรยี นและผลสัมฤทธิ์หลงั เรียนไม่เท่ากนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ จงึ
สามารถสรปุ ได้ว่าการใชเ้ ทคนิคการสอนดว้ ยกระบวนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการ
เรียนร้กู ับวิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การสืบพันธุ์และและการขยายพนั ธพ์ุ ืช มีผลทาให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของ
นักเรยี นเพ่มิ ขน้ึ เนื่องจากแบบฝกึ ทักษะถือเป็นสื่อการสอนท่ชี ่วยใหน้ ักเรยี นได้เข้าใจเน้ือหาวชิ าทางวิทยาศาสตร์
ท่ีเป็นนามธรรมให้เข้าใจเป็นรูปธรรมมากย่ิงข้ึน และยังกอ่ ให้เกิดการเรยี นรู้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพมากย่ิงข้ึนเมื่อ
ใช้เทคนคิ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผา่ นกระบวนการกระตุ้นใหน้ ักเรยี นเกดิ ความสนใจในการ
เรียนรู้ รจู้ ักสารวจและคน้ หาไดด้ ้วยตนเอง แล้วนาส่งิ ที่คน้ พบมาอธิบายพร้อมขยายความรตู้ อ่ ยอดจากความรู้
เดมิ และมีการประเมินผลการเรยี นรู้วา่ นกั เรียนมคี วามรู้อะไรบา้ ง ซง่ึ สอดคลอ้ งกับหลายงานวจิ ัยทีป่ ระยกุ ตใ์ ช้
เทคนิคการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) กบั รายวิชาวิทยาศาสตร์กบั นักเรยี นระดับประถมศกึ ษา ดงั เชน่ วร
ภา บางสาลี พรชยั ทองเจือ และปิยมนัส วรวิทย์รตั นกุล (2560) สุนสิ า ช้างพาลี วิรังรอง แสงอรณุ เลศิ และ
ภาคนิ อนิ ทร์ชดิ จุ้ย (2560) และ อาดลี ะห์ เจ๊ะแม ณฐั นี โมพันธ์ และมัฮดี แวดราแม (2561) โดยทั้งสาม

38

ผลการศึกษาพบวา่ นักเรยี นมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น เนือ่ งจากมีพฒั นาการทางการ
เรียนหลังจากได้รบั การจัดการเรียนรโู้ ดยการสบื เสาะหาความรู้ (5E)

2. ข้อเสนอแนะ

2.1 กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เป็นส่ือการสอน
ยังคงเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเน้ือหาวิชาทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสืบพันธุ์และและการ
ขยายพันธุ์พืช ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซ่ึงสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนกับเน้ือหา
อ่ืนๆได้ เพ่ือเปน็ การเพิ่มผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์

2.2 เพื่อส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึนและให้ครอบคลุมกับนักเรียนทุกคน การประยุกต์ใช้
แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้ ผวู้ ิจยั ควรพิจารณาถงึ ความแตกตา่ งของระดับความรู้ความสามารถของนักเรียนแต่ละ
คนในระดบั ชน้ั เพือ่ สามารถสรา้ งแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้ได้อยา่ งเหมาะสม

2.3 ในการศึกษาครั้งต่อไปของกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ควรมีการพัฒนาการ
สรา้ งเคร่ืองมือหรือนวัตกรรมทส่ี ่งเสริมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์มากยิ่งข้ึน เช่น ชุดกิจกรรม ชุดการสอน ใบ
งาน ใบความรู้ แบบสะเต็มศกึ ษา ฯลฯ

39

บรรณานกุ รม

กุณฑรี เพช็ รทวพี รเดช (2550) สดุ ยอดวิธีสอนวทิ ยาศาสตร์นาไปสู่ การจดั การเรียนรู้ของครยู คุ
ใหม.่ กรงุ เทพฯ: อักษรเจริญทัศน์

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2552). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551.
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั ทิศนา แขมมณี (2551)
รปู แบบการเรยี นการสอน: ทางเลอื กท่หี ากหลาย. พมิ พ์คร้ังที่5. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ:
โรงพิมพ์ครุ สุ ภา ลาดพร้าว.

ทรงวุฒิ สธุ าอรรถ. (2544). การจัดกระบวนการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ดว้ ยเทคนคิ Science
Show. การศึกษานอก โรงเรยี น, 4, 10-11

ธชั วฒุ ิ กงประโคน และ จริ ดาวรรณ หนั ตลุ า. (2558) . การศึกษาความเข้าใจธรรมชาตขิ อง
วทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ในการเรียนรเู้ รื่องแรงและความดนั โดยใช้
กระบวนการสบื เสาะหาความร้ทู เี่ น้นบ่งช้ีธรรมชาติของวิทยาศาสตรแ์ ละประวัติ
วิทยาศาสตร์,วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, 38(3), 10-19.

พัชรินทร์ ศรพี ล นพมณี เช้ือวัชรนิ ทร และเชษฐ์ ศิรสิ วสั ด์ิ (2556) การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการ
เรยี นและเจตคติตอ่ วิชาเคมีของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีได้รับการสอนโดยใช้
รูปแบบวัฏจักร, วารสารการศกึ ษาและการพัฒนาสังคม, 9 (2), 71-82.

วรภา บางสาลี พรชัย ทองเจือ และปิยมนสั วรวิทย์รัตนกุล .(2560). การพัฒนาความสามารถใน
การคิดเชงิ วทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านวงั พรม อาเภอวงั
ทองจงั หวัดพิษณุโลก, วารสารมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ บัณฑติ วทิ ยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม, 11(1), 105-119.

วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วถิ สี ร้างการเรยี นรู้เพ่ือศษิ ยใ์ นศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ิสดศรี-
สฤษด์ิวงศ.์

วิจารณ์ พานิช (2556). การสร้างการเรียนรสู้ ู่ศตวรรษท่ี21. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ิสยามกมั มาจล.
สุดารัตน์ ดวงเงนิ และนวิ ฒั น์ ศรสี วัสด์ิ (2554). ผลของปฏิบตั ิการทดลองวทิ ยาศาสตร์สืบเสาะแบบ

เปิดทีม่ ตี ่อความสามารถในการใหเ้ หตผุ ลเชิงวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
เรื่องสมบัตแิ ละปฏิกริ ิยาของสารละลายกรดเบส สาหรบั นกั เรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษา
ตอนต้นปีที่ 1. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, 34(1), 87-97.

40

สุนิสา ชา้ งพาลี วิรังรอง แสงอรณุ เลิศ และภาคิน อินทร์ชดิ จุ้ย (2560) การสอนแบบสบื เสาะหา
ความรู้ 7 ขนั้ โดยใช้ชุดปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน เพื่อเสริมสร้างผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6,วารสารบณั ฑิต
วจิ ยั , 8(2), 83-99.

สุนยี ์ เหมะประสิทิธ์. (2544). การศกึ ษาข้อมูลทีจ่ า เป็นเพ่อื การพฒั นาหลักสูตรปริญญาการศึกษา
ดษุ ฏบี ณั ฑิตสาขาวิชาการประถมศึกษา. มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร.

เสาวลักษณ์ หล้าสงิ ห.์ (2558). การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและเจตคติตอ่ วทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้
การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5E ด้วยส่อื ประสม เรอ่ื งระบบประสาทและอวัยวะรับ
ความรู้สกึ สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ศึกษาศาสตรม์ หาบัณฑิต, สาขาวิชาการ
สอนวทิ ยาศาสตร์,คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลยั บูรพา

สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา (2560) แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2560-2579. กรงุ เทพฯ:
พมิ พล์ กั ษณ์

อาดลี ะห์ เจะ๊ แม ณัฐนี โมพนั ธ์ และมฮั ดี แวดราแม (2561) ผลของการจัดการเรยี นรโู้ ดยการสบื
เสาะหาความรู้ (5Es) ท่มี ตี อ่ ความเขา้ ใจธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการ
เรียนและเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 , วารสาร
มหาวทิ ยาลัยนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ สาขามนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ 5(1), 11-23.

อุไรวรรณ ปานีสงค์ จติ นวนแก้ว และสุมาลี เลยี่ มทอง (2560). การจัดการเรยี นรู้โดยใช้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เสรมิ ดว้ ยเทคนิคการจดั แผนผงั มโนทัศนเ์ ร่อื งชวี ติ กับ
ส่งิ แวดล้อมท่มี ผี ลตอ่ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหแ์ ละผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของ
นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4, มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตรบ์ ัณฑติ วิทยาลยั ,
มหาวิทยาลัยราชภฏั พบิ ูลสงคราม, 11(1), 134-147.

Bybee, R., & Landes, N. M. (1990). Science for life and living: An elementary school
science program from Biological Sciences Improvement Study (BSCS). The
American Biology Teacher, 52(2), 92-98.

Canton, J. (2006), The Extreme Future: The Top Trends that Will Reshape the
World for the Next5, 10 and 20 Years, New York: Dutton.

Joyce, B. and Weil, M. (1992). Models of Teaching. (3 rd ed). Englewood Cliffs, N.J.:
Prentice- Hall.

Karplus, R., & Thier, H. (1967). A New Look at Elementary School Science. Chicago:
Rand-McNally.

41

McComas, W.F., (2004). Keys to Teaching the Nature of Science: The Science
Teacher, v. 71, p. 24-27.

Saylor, J.G. and J Galen. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and
Learning. New York : Holt,Rinehart and Winston.

42

ภาคผนวก

43

ภาคผนวก ก

แบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้
เรื่อง การสบื พนั ธแุ์ ละการขยายพนั ธ์พุ ืช

แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้

เรือ่ ง การสบื พันธุ์และการขยายพันธ์พุ ชื
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5

ของ
........................................................

ช้นั ..........................

โรงเรยี นวดั รัตนาราม
อาเภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี

สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานเี ขต 2

สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร


Click to View FlipBook Version