อัพภูตรส
คือ (รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้นึก
แปลกใจ เอะใจอย่างหนัก ตื่นเต้นนึกไม่ถึงว่าเป็นไปได้เช่นนั้น
ตัวอย่างบทประพันธ์
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน
เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็ นวง ประตูลั่นมั่นคงฃอบรั้วกั้น
กองไฟสว่างดังกลางวัน
จึงร่ายมนตรามหาสะกด หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู
ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู เสื่อมหมดอาถรรพณ์ ที่ฝังอยู่
คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ
ถอดความได้ว่า
นำดาบที่เคยรบมาร่ายมนตร์เสกคาถา และลงจาก เรือนรีบไปบ้านขุนช้าง
เมื่อมาถึงก็เห็นคนนอน หลับ กันหมด ประตูปิ ดสนิท มีกองไฟสว่างอยู่หน้าบ้าน
พลายงามรีบมาที่หน้าประตู ร่ายมนตร์สะกดพวกผี พรายของขุนช้าง ผู้คนใน
บ้านต่างง่วงหลับด้วย มนตร์ของพลายงาม
ศานติรส
คือ (รสแห่งความสงบ)อันเป็นอุดมคติของเรื่อง เช่น ความสงบสุขในแดนสุขาวดี
ในเรื่อง วาสิฏฐี อันเป็นผลมุ่งหมายทางโลกและทางธรรม เป็นผลให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง
เกิดความสุขสงบ ในขณะได้เห็นได้ฟังตอนนั้นด้วย (บาลีเรียกรสนี้ว่า สมะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ตอน พลายแก้วบวชเณร
ครั้นว่ามาถึงวัดส้มใหญ่ เอาข้าวของตั้งไว้ศาลาหน้า
แม่พาพลายแก้วผู้แววตา ไปกราบไหว้วันทาท่านสมภาร
ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็ นแก่นสาร
ด้วยขนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ
ถอดความได้ว่า
จากนั้นทองประศรีเรียกนายดำที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ให้มาแบกลูกชาย อีกทั้ง
ยังให้คนเอาร่มกั้นร่วมเดินทางไปวัดส้มใหญ่ เอาสิ่งของทั้งหลายวางไว้ที่ศาลา
จากนั้นนางทองประศรีพาพลายแก้วไปกราบสมภาร “ท่านเจ้าขาดิฉันพาลูกมา
บวช ช่วยเสกสวดสอน วิชาการอ่านเขียน ให้ได้ร่ำเรียนตั้งแต่เยาว์
ด้วยขุนไกรผู้บิดา ได้จากไปแล้วจะได้รับส่วนแห่งบุญ”
โวหาร
จินตภาพ
เป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในจินตนาการ มี 3 ลักษณะ ได้แก่
1.จินตภาพด้านภาพ (แสง สี)
2.จินตภาพด้านเสียง
3.จินตภาพด้านเคลื่อนไหว (นาฏการ)
จินตภาพด้านภาพ (แสง สี )
รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้
ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็ นดี
วันนั้นแพ้กูเมื่อดำนั้น ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็ นผี
แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไมได้
ถอดความได้ว่า
รูปร่างน่าเกลียด ใจคอโหดเหี้ยม ไม่รู้ว่าแม่วันทองไปรักขุนช้างได้อย่างไร
ท้าวความถึงตอนที่ขุนช้างดำน้ำเพื่อพิสูจน์โทษเมื่อเป็นคดีกับตน พลายงามโกรธ
มากและจะฆ่าขุนช้างให้ตาย แต่มารดาห้ามและขอชีวิตไว้
จินตภาพด้านเสี ยง
อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี
พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา
อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า
เข้าห้วงหวนละห้อยคอยเวลา จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร
เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข
น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา
ถอดความได้ว่า
เสียงฆ้องตีบอกเวลาจากวัง ลอยมาตามลมได้ยินถึงบ้าน นับได้เป็นเวลาตีสาม
เป็นเวลาที่จะได้ปลดปล่อยความชั่วร้าย เมื่อท้องฟ้ าเต็มไปด้วยดวงดาวและดวงจันทร์
สว่างไม่มีเมฆบดบัง จึงได้นำเหล้าและอาหารไปเซ่นให้ผีพรายกิน เอาขมิ้นมาทาตาม
ตัว ลงยันต์ที่อกและเอาสิ่งมงคลมาใส่หัว เป่ ามนตร์คาถา เพื่อให้หลงมนตร์ที่เป่ าลงไป
จินตภาพด้านเคลื่อนไหว
ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้ าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ลงยันต์ ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
ถอดความได้ว่า
เสียงฆ้องตีบอกเวลาจากวัง ลอยมาตามลมได้ยินถึงบ้าน นับได้เป็นเวลาตี
สาม เป็นเวลาที่จะได้ปลดปล่อยความชั่วร้าย เมื่อท้องฟ้ าเต็มไปด้วยดวงดาวและ
ดวงจันทร์สว่างไม่มีเมฆบดบัง จึงได้นำเหล้าและอาหารไปเซ่นให้ผีพรายกิน เอา
ขมิ้นมาทาตามตัว ลงยันต์ที่อกและเอาสิ่งมงคลมาใส่หัว เป่ ามนตร์คาถา เพื่อให้
หลงมนตร์ที่เป่ าลงไป
ภาพพจน์
อุปมา
คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่งโดยใช้คาเชื่อมที่มี
ความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “เหมือน” เช่นคาว่า ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ
ประดุจ เฉก ปาน ประหนึ่ง เพียง เพี้ยง เช่น
“...จะเสียแรงไปว่าพยายาม แม่จะเปรียบเนื้อความให้เข้าใจ
นางพิมพริ้มเพราดังจันทรา เอ็งเหมือนเต่านาอยู่ต่้าใต้ ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
อุปลักษณ์
คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติบางประการร่วมกัน
มักใช้คาว่า “คือ” และคำว่า “เป็น” แต่ในบางครั้งก็อาจไม่มีคาที่สื่อให้เห็นการใช้
อุปลักษณ์ โดยตรงเหมือนอุปมาแต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้ผู้อ่านและผู้ฟังทำความ
เข้าใจเอง เช่น
“... คิดแล้วจึงว่าช่างน่าหัว แค้นนักที่มาลักมาลอบชม
เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง หิ่งห้อยฤๅจะแข่งแสงพระจันทร์
มาหลงตัวหลงห้องไม่เห็นสม มายกยอให้นิยมเหมือนเย้ยกัน
มิใช่ยูงจะมาย้อมไม่เห็นขัน อย่าปั้ นน้้าให้หลงตะลึงตา ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
บุคคลวัต หรือบุคลาธิษฐาน
คือ การสมมติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการความรู้สึกเหมือน มนุษย์ หรือเป็นการ
เปรียบโดยนาสิ่งที่ไม่มีชีวิต หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์มากล่าวถึงราวกับเป็นมนุษย์
เช่น
“... ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา
สีหมอกดีใจจะไปทัพ หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา
จะไปได้ฤๅว่าท่านหย่อนแรง เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้งดัง
บอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
อติพจน์
คือ การเปรียบเทียบที่เกินความเป็นจริง มิได้เป็นการโกหกหลอกลวง
แต่เป็ นการเปรียบเทียบเพื่อให้เนื้อความที่ผู้ประพันธ์ สื่อออกมามีความหนักแน่น
ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
“... ลาวทองน้องรักประจักษ์จิต สะอื้นออกปากว่าน้้าตานอง
จะจากอกเหมือนตกเมรุมาศ ดังคมกริชกรีดทรวงออกเป็ นสอง
พ่อครองเมียอยู่ไม่ถึงปี จะกลิ้งตายกายขาดลงเป็นผี ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
นามนัย
คือ การใช้คำหรือวลี ที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มาแสดงความหมายแทนสิ่งนั้นทั้งหมด เช่น
“... ญาติกาหาไหนมีใครเล่า จะเป็ นความถามไถ่ในบุริน
เขาจะเรียกค่าฤชาตุลาการ ถ้าแพ้ลงคงปรับทับทวี
จะส่งข้าวปลาหมดคงอดสิ้น เงินแต่เท่าปี กริ้นก็ไม่มี
จะผูกมัดรัดประจานไม่ควรที่ เลือดเนื้อเท่านี้เป็นเงินทอง ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
สั ทพจน์
คือ การเปรียบเทียบโดยใช้คาเลียนเสียงของสิ่งต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี
เสียงสัตว์หรือเสียงในธรรมชาติ เช่น
“...นกเขาเงื้อมเขาแล้วเคล้าคู่ จู้ฮุกกูจู้ฮุกกเูฝ้าคูขัน
อัญชันจับกิ่งต้นชิงชัน ไก่ป่ าวิ่งกรากกระต๊ ากลั่น
เข้ากินขุยคุ้ยเขี่ยตัวเมียเคียง เบญจวรรณจับเจ่าเถาวัลย์เปรียง
ตัวผู้ขันเอกอีเอ๊ กวิเวกเสียง เห็นคนเลี่ยงลัดแลงเข้าแฝงกอ ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
สั ญลักษณ์
คือ การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง เป็นการสร้างจินตภาพซึ่งใช้รูปธรรม
ชักนาไปสู่ความหมายอีกชั้นหนึ่ง ส่วนใหญ่มักเป็นที่เข้าใจกันในสังคม
(ธเนศ เวศร์ภาดา, 2549) ในวรรณคดีไทยโบราณมีการใช้สัญลักษณ์ อย่างเป็น
ระบบใน “บทอัศจรรย์3” โดยใช้สัญลักษณ์ จากธรรมชาติมา พรรณนาการร่วมรัก
ของตัวละครอย่างประณีตเป็น “ขนบ” ทางวรรณศิลป์ ของไทยประการหนึ่ง เช่น
“... ค่อยขยับจับเขยื้อนแต่น้อยน้อย ฝนปรอยฟ้ าลั่นสนั่นเปรี้ยง
ลมพัดซัดคลื่นสาเภาเอียง ค่อยหลีกเลี่ยงแล่นเลียบตลิ่งมา
พายุหนักชักใบได้ครึ่งรอก ทอดสมอรอท้ายเป็ นหลายครา
สมพาสพิมดุจริมแม่น้้าตื้น ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว
แต่เกลือกกลอกกลับกลิ้งอยู่หนักหนา เภตราหยุดเล่นเป็นคราวคราว
ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว พอออกอ่าวก็พอจมล่มลงไป ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
ปฏิพากษ์
คือ การใช้ถ้อยคาที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมา กล่าวอย่าง
กลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้าหนักมากยิ่งขึ้น เช่น
“... อกเอ๋ยเกิดเข็ญเป็นสตรี ไม่รักอายร่ายชมภิรมย์ไป
เสียแรงรูปงามนามก็เพราะ ที่ดีดีสิ้นในดินแดน
พอที่จะเป็ นสุขไม่สุขได้ เพราะไม่ครองใจจึงได้แค้น
ละมุนเหมาะใจชั่วนี้เหลือแสน ชั่วเล่าใครจะแม้นก็ไม่มี ...”
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน, 2555)
ข้อคิดที่ได้รับ
๑. ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดีเราจึงควรมีความกตัญญูต่อบิดา
มารดาผู้ที่ให้กำเนิดเรามา
๒. การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสมัยก่อนเด็กผู้ชายจะเรียนหนังสือที่วัด
๓. วัดเป็นสถานที่ผูกพันกับชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
๔. ในสมัยก่อนจะมีการมัดจุกโกนจุกและนุ่งโจงกระเบนผูกขวัญรับขวัญ
ปกิณกะ
คำศัพท์ ความหมาย
อัปลักษณ์
อรชร ลักษณะไม่งาม ลักษณะชั่ว
พระราชดำรัส ตัวผอมๆบางๆ (ในความหมายว่าน่าดู สวย)
พระราชประสงค์ คำพูดของกษัตริย์
กระบือ กาสร
ตำหนัก ความต้องการของกษัตริย์
คราวเคราะห์ ควาย
อลหม่าน
กริ้ว ที่พัก / ที่อยู่ของเจ้านาย
ทวาร เวลาที่ความโชคร้ายมาเยือน
วุ่นวาย สับสน
โกรธ (เป็นราชาศัพท์)
ประตู รู ช่อง
ปกิณกะ
กำเนิด / บังเกิด เกิด
ตั้งครรภ์
ท้าว มีท้อง
สหัสนัยน์ ผู้เป็ นใหญ่
ปี ขาล ผู้มีดวงตา ๑๐๐๐ ดวง, เป็นนามหนึ่งของพระอินทร์
เวลาตกฟาก หนึ่งในปีนักษัตร มีรูปเสือเป็นสัญลักษณ์
เจดีย์ เวลาคลอด เวลาเกิด
เศรษฐี
อาภัพ สิ่งก่อสร้างในวัดสำหรับเก็บอัฐิ(กระดูก)
ศีรษะล้าน คนรวย คนมั่งมี คนมั่งคั่ง
บัดสี
ไม่มีโชค เคราะห์ร้าย
พนาสณฑ์ หัวล้าน ผมบางหรือไม่มีผม มี ๗ ประเภท
น่ารังเกียจ
ป่ า
จัดทำโดย
1. นางสาวอานีตา วาสนารักษ์ 406501008
406501009
2. นางสาวซูฟียานา วาเลาะแต 406501011
3. นางสาวนินูซีลา นิเล๊าะ 406501016
4. นายอาลามีน สะแปะอิง 406501023
406501024
5. นางสาวนูรีด้า ตะวัน 406501026
6. นางสาวมาดีฮะห์ มะมิงเลาะ 406501030
406501044
7. นายพิสิฐ นุ้ยแม้น
8. นางสาวอูลญา ดอเลาะ
9. นางสาวฟาตีฮะ มามุ