The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาจิตวิทยาบุคลิกภาพ และการปรับตัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sulyanee.lud138, 2022-10-14 02:01:40

จิตวิทยาจิตวิทยาบุคลิกภาพและการปรับตัว

จิตวิทยาจิตวิทยาบุคลิกภาพ และการปรับตัว

Keywords: จิตวิทยาบุคลิกภาพ และการปรับตัว

เรอ่ื ง จิตวิทยาบคุ ลิกภาพและการปรบั ตวั

จดั ทาโดย
นางสาวซลู ยานี ลดู ิง
รหสั นกั ศึกษา 6406510138
สาขาภาษาไทย หอ้ ง5

เสนอ
อาจารย์ เขมินตธ์ ารากรณ์ บวั เพ็ชร

วิชา จิตวิทยาสาหรบั ครู 600-106
ภาคเรยี นท่ี 1 ปี การศึกษา 2565

มหาวิทยาลยั หาดใหญ่

ท่ีมาของบคุ ลิกภาพ

ความหมายของบคุ ลิกภาพ

บุคลิกภาพ หมายถึง ทกุ ส่ิงทกุ อย่างท่ีประกอบขึ้นในตัวบุคคล ทั้งแบบแผนของ
พฤติกรรม เป็ นลักษณะเฉพาะตวั ของบคุ คล ซึ่งมีท้ังลักษณะภายนอก คือ ส่วนที่มองเห็นได้
ชดั เจน เชน่ รปู ร่าง หนา้ ตา กิริยามารยาท การแตง่ กาย วิธีการพดู การยืน นงั่ เป็ นตน้ และ
ลกั ษณะภายใน คือ ส่วนท่ีมองเห็นไดย้ าก แตอ่ าจจะทราบไดจ้ ากการอนมุ าน เชน่ สติปัญญา
ความถนดั อารมณ์ คา่ นยิ ม ความสนใจ เป็ นตน้

องคป์ ระกอบของบคุ ลิกภาพ

ปัจจบุ ันในวงวิชาการของไทยมีผสู้ นใจศึกษาเร่ืองราวของบคุ ลิกภาพอย่างกวา้ งขวาง
สาหรับการวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของบคุ ลิกภาพ จึงขอยกตวั อย่างของศาสตราจารยส์ มุ น
อมรวิวัฒน์ แห่งคณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศักดา ป้ันเหน่งเพ็ชร์, 2552
หนา้ 6-9) ท่านไดศ้ ึกษาและวิเคราะหอ์ งค์ประกอบของบคุ ลิกภาพ ประกอบดว้ ย 3 ประการ
ดงั นี้

1.รปู ลกั ษณ์ (Appearance)

รปู ลักษณ์ คือ สิ่งที่เราสามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาในตวั บคุ คลหน่ึง ต้ังแต่ศีรษะจรด
ปลายเทา้ ไมว่ ่าจะเป็ นรปู รา่ งหนา้ ตา ทรงผม สผี ิว หรือการแตง่ หนา้ รวมไปถึงสีสนั แบบของ
เส้ือผา้ ท่ีแสดงใหเ้ ห็นถึงสไตล์ และรสนิยมของผสู้ วมใส่ ตลอดจนถึงความเหมาะสมกับ
กาละเทศะดว้ ย ดังนั้นรปู ลักษณ์เป็ นองค์ประกอบส่วนสาคัญของบุคลิกภาพในการสรา้ ง
ความประทับใจคร้ังแรก (First Impression) แก่ผพู้ บเห็น ซ่ึงเก่ียวขอ้ งอย่กู ับสาระสาคัญใน
ทางดา้ นรปู ลกั ษณเ์ ป็ นสว่ นมาก

2.การกระทา (Performance)

การกระทา หมายถึง การแสดงออกโดยพฤติกรรมของแต่ละบคุ คล ไม่ว่าจะเป็ นดา้ น
การแสดงออกทางสีหนา้ สายตา อากัปกิริยาต่างๆ รวมไปถึงมารยาททางสังคมท่ีสาคัญ
เช่น การยืน เดิน นัง่ สิ่งเหล่าน้ีเป็ นสิ่งที่บุคคลตอ้ งเรียนรู้ และพัฒนาตน การกระทาน้ัน
รวมถึงความสามารถในการส่ือสารทง้ั ในส่วนที่เป็ นวจนภาษา (Verbal Language) และอาวจน
ภาษา (Non Verbal Language) เพื่อเสริมบคุ ลิกภาพของบคุ คลใหโ้ ดดเดน่ มากขนึ้

3.ศกั ยภาพ (Potentiality)

ศักยภาพของคนสามารถมองไดจ้ ากวิธีคิด และทกั ษะในการกระทาสิ่งตา่ งๆ โดยมาก
มีพื้นฐานจากภมู หิ ลงั และ ประสบการณ์ ทกั ษะที่สาคญั ท่ีสดุ คือ คณุ คา่ แห่งความเป็ นมนษุ ยท์ ี่
ดี เชน่ ความมมี นษุ ยธรรม ความซื่อสตั ยส์ จุ ริต เป็ นตน้ ดงั นนั้ ผทู้ ่ีมบี คุ ลกิ ภาพท่ีดคี วรจะตอ้ ง
เป็ น “คนดี”ของสังคมดว้ ยเช่นกัน ซึ่งเป็ นคณุ สมบัติสาคัญท่ีจะพิสจู นค์ วามมีบคุ ลิกภาพที่ดี
ของบคุ คลอยา่ งแทจ้ รงิ

ประเภทของบคุ ลิกภาพ

ในการจาแนกประเภทของบุคลิกภาพนั้น นักจิตวิทยาหลายกล่มุ ก็แบ่งไวใ้ นหลาย
รปู แบบแตกต่างกันออกไปตามพ้ืนฐานแนวคิดของแต่ละกล่มุ โดยมีประเภทการแบ่งต่างๆ
ดงั นี้

1.การแบ่งตามประเภทลกั ษณะพฤติกรรม

คารล์ กสุ ตาฟ จงุ (Carl Gustav Jung) ไดแ้ บง่ บคุ ลิกภาพของบคุ คลออกตามลกั ษณะ
พฤตกิ รรม เป็ น 2 ประเภท คอื

ประเภทที่ 1 ประเภทชอบแสดงตัว (Extrovert) ไดแ้ ก่ บคุ คลที่มีบคุ ลิกภาพชอบ
แสดงออก (Show off) เป็ นบคุ คลท่ีเปิ ดเผย กลา้ แสดงออก ชอบงานสงั คม การสงั สรรค์
และสนใจเร่ืองราวของผอู้ น่ื มคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเอง สามารถปรับตวั ไดด้ ี

ประเภทท่ี 2 ประเภทชอบเก็บตวั (Introvert) เป็ นลกั ษณะทีเ่ งยี บเฉย เก็บตวั ขอ้ี าย
ไม่ชอบและไมส่ นใจเรื่องของผอู้ ่ืน ชอบความเงยี บสงบ ไม่ว่นุ วาย เป็ นคนไม่ค่อยพดู จะ
คิดและฝันเองตามลาพงั เมอื่ ประสบปัญหามกั จะหลกี เล่ียง

2. การแบ่งตามลกั ษณะบคุ ลิกภาพ

สามารถแบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ออกเป็ น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ บุคลิกภาพ
ภายนอกและบคุ ลกิ ภาพภายใน

1) บคุ ลกิ ภาพภายนอก (External Personality)

บคุ ลิกภาพภายนอก หมายถึง ลักษณะภายนอกของบุคคลที่สามารถสังเกตได้
โดยตรงจากการมองเห็นดว้ ยตา เช่น รปู ร่างหนา้ ตา ส่วนประกอบต่างๆของร่างกาย
โครงสร้างร่างกาย รวมถึงสขุ ภาพอนามัยของบุคคล รสนิยมในการแต่งกาย เส้ือผา้
เครื่องประดับ นอกจากน้ันบคุ ลิกภาพภายนอกยังรวมถึง การใชภ้ าษาในการสื่อสาร การ
สนทนา และกริยาทา่ ทางที่แสดงออกตอ้ งมคี วามเหมาะสมกบั กาละเทศะ

2) บคุ ลิกภาพภายใน (Internal Personality)

บคุ ลิกภาพภายใน หมายถึง ลักษณะภายในของบคุ คลซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้
ดว้ ยตา แตร่ บั รไู้ ดจ้ ากการสนั นษิ ฐานจากพฤตกิ รรมของคนผนู้ น้ั เชน่ ทศั นคติ ความสามารถ
ความสนใจ สตปิ ัญญา อารมณ์ ความถนดั และแรงจงู ใจ เป็ นตน้

บคุ ลิกภาพทัว่ ไปของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยบคุ ลิกภาพภายนอกและบคุ ลิกภาพภายใน
โดยส่วนใหญจ่ ดุ เรม่ิ ตน้ ในการสรา้ งความประทบั ใจแกผ่ พู้ บเห็นนนั้ จะเริ่มทล่ี กั ษณะภายนอกท่ี
เหมาะสม เช่น รปู ร่างหนา้ ตา ผิวพรรณท่ีสะอาด การแต่งกายที่เหมาะสม รวมถึงการ
แสดงออกทางอากัปกริยาต่างๆ ดว้ ย แต่การแสดงออกภายนอกนั้นก็ตอ้ งอาศัยลักษณะ
ภายในทีด่ งี าม เกดิ ขนึ้ จากภายในเพ่อื นาไปสกู่ ารแสดงบคุ ลกิ ภาพที่เหมาะสมแกผ่ พู้ บเห็น

3. การแบ่งตามลกั ษณะโครงสรา้ งรา่ งกาย

วลิ เลียม เชลดอน (William Scheldon) นกั จติ วิทยาชาวอเมรกิ นั ศึกษาลกั ษณะรปู รา่ ง
ของบคุ คลที่มีผลเก่ียวขอ้ งกับอปุ นิสัย เพื่อการรจู้ ักผอู้ ื่นก่อนที่จะสรา้ งสัมพันธภาพ ไดแ้ บ่ง
ประเภทของบคุ ลิกภาพของบคุ คลตามลกั ษณะโครงสรา้ งของรา่ งกายได้ 3 ประเภทคอื

1) ประเภทอว้ นฉ ุ (Endomorphy) ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีมีลักษณะโครงสรา้ งของร่างกาย
อว้ นเต้ีย ลงพงุ กลา้ มเน้ือและโครงสรา้ งของกระดกู ไม่แข็งแรง เป็ นคนชอบสนกุ สนานร่ืน
เรงิ ชอบเขา้ สงั คม จจู้ ้ี ขบี้ ่น เสียงดงั ฟังชดั โกรธงา่ ย หายเร็ว ชอบกินจุ ชอบทาอะไรงา่ ยๆ
และไมช่ อบพธิ ีการย่งุ ยาก

2) ประเภทสมส่วน (Mesomorphy) ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีมีบคุ ลิกภาพภาพนอกในลกั ษณะ
สมสว่ น ลาตวั ตรง ไหลก่ วา้ ง กลา้ มเนอ้ื และโครงสรา้ งกระดกู แขง็ แรง คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว
กระฉับกระเฉง พลังมาก ส่วนใหญ่ชอบเล่นกีฬา และชอบร่วมกิจกรรมสังคม ส่วน
บคุ ลกิ ภาพภายในมคี วามอดทน เดนิ หนา้ สปู่ ัญหา

3) ประเภทผอมบาง/ผอมสงู (Ectomorphy) ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีมีบคุ ลิกภาพภายนอก
ในลักษณะผอมสงู ช่วงไหล่ห่อ เอวเล็กเอวบาง สะโพกเล็ก กลา้ มเนื้อนอ้ ย ไวต่อการรสู้ ึก
และไมช่ อบเขา้ สงั คม สว่ นบคุ ลิกภาพภายใน เป็ นคน ใจนอ้ ย อ่อนไหวงา่ ย ต่นื เตน้ งา่ ย และไม่
ชอบการเปลย่ี นแปลง

ความสาคญั ของบคุ ลกิ ภาพ

นกั ปราชญค์ นสาคัญของโลก นามว่า เพลโต (Plato) แนวคิดท่ีว่า “ในโลกแห่งความ
เป็ นจริง มนษุ ยก์ ็ดาเนินชีวิตใกลเ้ คียงกับตัวละคร เนื่องจากแต่ละคนมีหลายบทบาทหนา้ ท่ี
เช่น เป็ นบิดา-มารดา เป็ นสามี-ภรรยา เป็ นบุตร เป็ นผบู้ ริหาร เป็ นผบู้ ังคับบัญชา และ
ผใู้ ตบ้ ังคับบัญชา ฯลฯ บทบาทตามหนา้ ที่เหล่าน้ี เปรียบไดเ้ สมือนกับหนา้ กากแต่ละอันท่ีเรา
หยิบมาสวม เมื่อเราตอ้ งดาเนินชีวิตในหนา้ ที่ และในบทบาทที่ต่างๆกนั ถา้ เราแสดงออกผิด
บทบาท หนา้ ที่ เราก็จะไมเ่ ป็ นทีย่ อมรบั ของสงั คม แตถ่ า้ เราแสดงออกไดถ้ กู ตอ้ ง และเหมาะสม
กบั บทบาทก็เหมือนหยิบหนา้ กากอันที่ถกู ตอ้ งมาสวม แลว้ เล่นตามบทบาท เราก็จะเป็ นท่ียก
ย่องชนื่ ชม มคี นปรมมอื ให”้

จากแนวคิดดังกล่าว ก่อให้เกิดความสนใจและชี้ให้เห็นความสาคัญเก่ียวกับ
บคุ ลิกภาพและการพัฒนาบคุ ลิกภาพ โดยเฉพาะเมื่อเราตอ้ งดาเนินชีวิตอย่ใู นสังคม การ
แสดงออกทางบุคลิกภาพใหเ้ หมาะสมกับบทบาทหนา้ ที่ที่แต่ละคนไดร้ ับในฐานะการเป็ น
สมาชิกคนหน่ึงในสังคม เป็ นสิ่งท่ีจาเป็ นและมีความสาคัญ การพัฒนาบุคลิกภาพจึงเป็ น
ความรทู้ ีต่ อ้ งพฒั นาอย่เู สมอตามยคุ สมยั ทีเ่ ปลยี่ นแปลงไป

ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อบคุ ลกิ ภาพ

“มนษุ ยท์ ่ีเกิดจากไขใ่ บเดยี วกนั ท่ีเรยี กว่า ฝาแฝดนนั้ ถึงดอู ย่างผวิ เผนิ จะคลา้ ยกนั แต่
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดเราก็สามารถแยกออกไดว้ ่าใครเป็ นใคร” เพราะในความ
เหมอื นกนั นนั้ ก็มคี วามแตกตา่ งแฝงอยู่ ในทางจติ วิทยาก็คอื ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ซึ่ง
บคุ คลแต่ละคนมีความแตกต่างกันท้ังบคุ ลิกภาพและความสามารถในการปรับตัว โดยมี
สาเหตเุ นอื่ งมาจากปัจจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งอนั ประกอบดว้ ย 3 ประการ ไดแ้ ก่ ดา้ นพนั ธกุ รรม ดา้ น
สภาพแวดลอ้ ม และกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม

ปัจจยั ดา้ นพนั ธกุ รรม (Heredity)

บุคคลจะได้รับลักษณะบางอย่างจากพ่อแม่เป็ นลักษณะท่ีมีตัวพันธุกรรมเป็ น
ตวั กาหนด โดยถ่ายทอดผา่ นมาทางเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ สเปิ รม์ (Sperm) ของเพศชาย และไข่
(Ovum) ของเพศหญงิ ในภาวะปกติเซลลส์ ืบพนั ธจ์ุ ะมโี ครโมโซม(Chromosome) อย่ใู นนวิ เครียส
(Nucleus) จานวน 23 โครโมโซม เมื่อปฏิสนธิจะเกิดชีวิตใหม่ซ่ึงเป็ นเซลล์ร่างกาย เรียกว่า
Zygote มีโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 โครโมโซม และมีพัฒนาการต่อไปจนเป็ นร่างกายมนษุ ย์
โครโมโซมจะมโี ครงสรา้ งที่ซับซอ้ นประกอบไปดว้ ยยีน (Genes) จานวนมาก ยีนเป็ นตวั พื้นฐาน

สาคญั ในการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมใหแ้ กบ่ คุ คล แตล่ ะยีนประกอบดว้ ย DNA จะเป็ น
ตวั กาหนดลกั ษณะกายภาพใหแ้ ก่บคุ คล เชน่ สีผม สีตา ลกั ษณะโครงสรา้ งของร่างกาย และ
ลักษณะเสน้ ผม เป็ นตน้ แตล่ กั ษณะดงั กล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสภาพแวดลอ้ มใน
ครรภ์ เชน่ ภาวะโภชนาการ ผลของรงั สีทไี่ ดร้ บั และยาทแ่ี มใ่ ชต้ อนตง้ั ครรภ์ นอกจากนกี้ ็เป็ น
สภาพแวดลอ้ มขณะคลอด เช่น การขาด ออกซิเจนหรืออันตรายต่าง ๆ ที่ทารกไดร้ ับขณะ
คลอด เมื่อทารกคลอดแลว้ สิ่งแวดลอ้ ม เช่น พ่อแม่ และบคุ คลท่ีเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งรวมทั้ง
สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็มีบทบาทในการกาหนดบุคลิกภาพของเด็กด้วย ท้ัง
พันธกุ รรมและส่ิงแวดลอ้ มจะร่วมกนั ในการกาหนดบุคลิกลกั ษณะของบคุ คล ลกั ษณะตา่ ง ๆ
ทถี่ า่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม ไดแ้ ก่

1) ลกั ษณะทางกาย เชน่ สีของตา ลกั ษณะของผม จมกู ปาก สีของผิว สดั ส่วน
และโครงสรา้ งของรา่ งกาย

2) ความบกพร่องทางกายและโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคโลหิตไหลไม่
หยดุ ความบกพรอ่ งทางดา้ นการไดย้ ินและเห็น เป็ นตน้

3) ความพิการทางสมองและปั ญญาอ่อน เช่น โรค Down’s Syndrome หรือ
Mongolism เกิดจากโครงสรา้ งของโครโมโซมท่ผี ดิ ปกตทิ าใหส้ มองพกิ าร เชาวป์ ัญญาตา่ มาก

4) ความผิดปกติทางจิต เชน่ ในโรคจิตเภท จิตแพทยม์ ีความเห็นว่า โรคนอี้ าจไดร้ ับ
อิทธพิ ลของพนั ธกุ รรมและสงิ่ แวดลอ้ ม

5) บคุ ลิกภาพ พนั ธกุ รรมก็อาจมอี ิทธิพลตอ่ บคุ ลิกภาพไม่ลกั ษณะใดก็ลกั ษณะหนงึ่
เชน่ ขอ้ี าย เก็บตวั เปิ ดเผย เป็ นตน้

6) สติปัญญา จากการศึกษาพบว่า สติปัญญามีพันธกุ รรมเป็ นตัวกาหนด และ
พบว่าลกั ษณะความบกพร่องทางสตปิ ัญญาหลายอย่าง เกิดเนอื่ งมาจากยีนสแ์ ละโครงสรา้ ง
ของโครโมโซมผดิ ปกติ ระดบั เชาวป์ ัญญาของลกู จะใกลเ้ คียงกบั ระดบั เชาวป์ ัญญาของพ่อแม่
จริง เป็ นตน้

ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ ม (Environment)

สิ่งแวดลอ้ ม หมายถึง สภาพแวดลอ้ มที่อย่รู อบๆตวั มนษุ ย์ เป็ นปัจจยั ที่มีอิทธิพลสาคัญมาก
ปัจจัยหน่ึงท่ีทาใหบ้ คุ คลมีแตกตา่ งกัน สภาพแวดลอ้ มมีอิทธิพลต่อบคุ คลท้ังก่อนเกิด ขณะ
เกิด และหลงั เกิด

1) สภาพแวดลอ้ มกอ่ นคลอด หรือส่ิงแวดลอ้ มกอ่ นเกิด หมายถึง สภาพตา่ งๆ
ภายในครรภม์ ารดาท่ีบคุ คลไดร้ ับนับต้ังแต่ปฏิสนธิจากสเปิ รม์ และไข่ อันเป็ นเซลลส์ ืบพันธ์ุ
ของบิดาและมารดา โดยปกติเป็ นสภาพท่ีดี แต่อาจมีสารบางอย่างทาใหเ้ กิดอันตรายจาก
กระแสโลหิตจากแม่ผ่านรกไปกระทบกระเทือนเด็กในมดลกู การดแู ลสขุ ภาพของมารดา
ระหว่างการตงั้ ครรภ์ อายขุ องมารดา ส่ิงต่างๆเหล่าน้ีมีผลทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงแบบ
แผนการเจริญเตบิ โตตอ่ ทารก ทงั้ อยา่ งถาวรและชวั่ คราว

การรบั ประทานอาหารของมารดาในขณะตงั้ ครรภ์

ตามธรรมชาติของผหู้ ญิงต้ังครรภ์จะตอ้ งการสารอาหารมากกว่าปกติ เพื่อการ
เจริญเตบิ โตของทารกในครรภ์ อาหารที่รับประทานควรเป็ นอาหารท่ีมคี ณุ ค่าทางโภชนาการ
อย่างครบถ้วน ทารกจะไดร้ ับประโยชน์อย่างเพียงพอในการบารงุ สขุ ภาพร่างกายให้
เจริญเติบโตแข็งแรง แต่ถา้ มารดาขาดแคลนสารอาหารเพราะความยากจน หรือไม่ดแู ล
สขุ ภาพอย่างดพี อก็จะทาใหเ้ กดิ ผลตอ่ พฒั นาการของทารกเป็ นอยา่ งมาก

ยาและสารกระตนุ้ ทางเคมี

เมื่อหญิงมีครรภ์ตอ้ งรับประทานยาประเภทต่างๆ ตอ้ งไดร้ ับคาแนะนาจากแพทย์
อย่างใกลช้ ิด เน่ืองจากยาบางประเภทจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ ดังน้ันมักมีการแนะนาให้
รับประทานสารบางอย่างใหน้ อ้ ยลงหรือหยดุ รับประทาน เชน่ ชา กาแฟ นา้ อัดลม หรือ ผงชู
รสในขณะที่ตง้ั ครรภ์ เพือ่ ความปลอดภยั และสขุ ภาพท่ดี ขี องทารกที่จะเกดิ มา

การสบู บหุ รแ่ี ละการดื่มสรุ า

ในระหว่างตั้งครรภม์ ารดาควรละเวน้ การสบู บหุ ร่ีเป็ นอย่างย่ิง สารนิโคตินมีผลต่อ
ภาวะเคมใี นเลือดของทารก ทาใหท้ ารกมนี า้ หนกั ตวั นอ้ ยกว่าปกติ และมปี ัญหาเรื่องระบบการ
หายใจ หรือรนุ แรงถึงขน้ั ปัญญาอ่อน

มารดาตอ้ งมีสขุ ภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไขเ้ จ็บ เนื่องจากมารดาและทารก
ติดต่อกันทางสายรก ถา้ มารดาเกิดการเจ็บป่ วยแมเ้ พียงปวดศีรษะเป็ นไขธ้ รรมดา ทารกก็
ตอ้ งไดร้ บั ผลกระทบไปดว้ ย

อารมณข์ องมารดา

งานวิจัยพบว่า หากมารดามีอารมณเ์ ครียดเป็ นเวลายาวนานในขณะตง้ั ครรภ์ ทารก
อาจเกดิ การแทง้ หรอื มรี ะดบั สตปิ ัญญาตา่ กว่าปกติ

อายขุ องมารดา

หากมารดามีอายนุ อ้ ยเกินไป ระดับฮอร์โมนจะยังพัฒนาไม่เต็มท่ี อาจจะพบปัญหา
ทารกตวั เล็กเกินไป คลอดก่อนกาหนด คลอดยาก หรือเกิดการแทง้ แตถ่ า้ มารดามีอายุมาก
เกนิ ไปอาจจะมกี ารผา่ เหลา่ ไดง้ า่ ย เชน่ ปัญญาอ่อน ดาวนซ์ ินโดรม

2) สภาพแวดลอ้ มระหว่างคลอด การไดร้ ับความกระทบกระเทือนจาก

การคลอด เช่น คลอดยากตอ้ งใชค้ ีมคีบหัวเด็ก หรือใชเ้ ครื่องดดู ออกมา อาจเกิด Head
injury อาจทาใหป้ ัญญาอ่อน หรือเป็ นโรคลมชักได้ การที่ทารกติดอย่ใู นช่องเชิงกรานนาน
ทาใหเ้ กิดภาวะความบกพร่องทางระดบั สติปัญญา (Manta Retardation) ได้ หรือจากอบุ ตั เิ หตุ
ขณะคลอด

3) สภาพแวดลอ้ มหลงั คลอด เมื่อทารกคลอดออกมาจากครรภม์ ารดา

ประสบการณท์ ี่แตล่ ะคนไดร้ ับจะมีความแตกตา่ งกนั ตง้ั แตส่ ภาพตอนคลอด สภาพของถิ่นที่
อย่อู าศัย สภาพภมู อิ ากาศ และภมู ปิ ระเทศตลอดจนการอบรบเล้ียงดแู ละวัฒนธรรมประเพณี
ท่ีบคุ คลตอ้ งเรียนรจู้ ากสงั คม ดงั นนั้ ทกุ สิ่งทกุ อย่างท่เี กิดขน้ึ รอบๆตวั ของบคุ คลจึงมอี ิทธิพล
ต่อบคุ ลิกภาพท้ังส้ิน การอบรมเล้ียงดู และทัศนคติของพ่อแม่เป็ นสิ่งสาคัญต่อพัฒนาการ
ของลกู มาก การท่ีเด็กจะเติบโตขน้ึ มามีบคุ ลกิ ภาพ ลกั ษณะอย่างใดนนั้ นอกจากจะขนึ้ อยกู่ บั
พนั ธกุ รรมแลว้ การอบรมเล้ียงดเู ป็ นปัจจยั หนง่ึ ท่ีมคี วามสาคญั มาก ถา้ เด็กไดร้ บั การเลีย้ งดู
มาอย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม จะสง่ ผลใหเ้ ขามบี คุ ลกิ ภาพทดี่ ี มกี ารปรบั ตวั ตอ่ ปัญหาตา่ ง ๆ

ปัจจยั ดา้ นกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม

1) กระบวนการขดั เกลาทางสงั คม

กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมหรือบางครงั้ เรียกวา่ สงั คมประกิต (Socialization) เป็ น
กระบวนการเรียนรกู้ ฏเกณฑต์ ่างๆท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ในฐานะที่เป็ น
สมาชกิ ของสงั คม การขดั เกลาทางสงั คมมี 2 วธิ ี คอื การขดั เกลาโดยตรง เชน่ การอบรมสงั่
สอนของบิดามารดา การศึกษาความรจู้ ากครอู าจารย์ เป็ นตน้ การขดั เกลาโดยออ้ ม เช่น
การรับขอ้ มลู ขา่ วสารผ่านส่ือมวลชน การสังเกตพฤติกรรมผอู้ ื่น การเลียนแบบพฤติกรรม
ของดารา ศิลปิ น เป็ นตน้

2) สภาพภมู ิศาสตร์

สภาพภมู ิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อชีวิตความเป็ นอย่ขู องประชาชนใน
ทอ้ งถ่ินนนั้ ๆ รวมถึงมีผลตอ่ รสนยิ มและอปุ นิสัยในการดาเนินชวี ิต ทาใหค้ นแตล่ ะพ้ืนที่มีการ
อปุ โภค บริโภคที่แตกตา่ งกนั ออกไป จึงสง่ ผลตอ่ บคุ ลิกภาพของบคุ คล เชน่ คนท่ีอย่พู ื้นท่ีภาค
อีสานของประเทศไทย สภาพภมู ิประเทศแหง้ แลง้ คนมีการบริโภคแบบประยกุ ตส์ ่ิงตา่ งๆทอ่ี ยู่
รวบตวั อย่งู า่ ย กนิ งา่ ย และมคี วามอดทน

3) สภาพการเมืองการปกครอง

ระบอบการปกครองท่ีแตกต่างกัน เช่น ประชาธิปไตยที่ใหค้ วามอิสระกับระบบการ
ควบคุมอย่างเขม้ งวด เช่น สังคมนิยม หรือเผด็จการ ทาให้ประชาชนแต่ละประเทศมี
บุคลิกภาพท่ีแตกต่างกัน เช่น ประชาชนในประเทศท่ีปกครองแบบประชาธิปไตย มักมี
บคุ ลิกภาพแบบแสดงความคิดเห็น เคารพเสียงส่วนร่วม และฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น ส่วน
ประชาชนในประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการมักมีบคุ ลิกภาพท่ีตอ้ งเชื่อฟังและปฏิบัติตาม
คาสงั่ อย่างเคร่งครดั

4) สภาพเศรษฐกิจ

สภาพเศรษฐกิจแตล่ ะยคุ สมยั สง่ ผลตอ่ การประกอบอาชพี ไมว่ ่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็ น
แบบใดยอ่ มมผี ลกระทบตอ่ บคุ ลกิ ภาพของคนในสงั คมนน้ั ทงั้ ดา้ นลบและดา้ นบวก เชน่ เอารดั
เอาเปรียบ ชิงดีชิงเด่น ตวั ใครตวั มนั ประหยัดอดออม มีความเสียสละ เป็ นตน้ อีกท้ังบคุ คล
จะมคี วามแตกตา่ งกนั ในระดบั ชน้ั ทางสงั คมดว้ ย

5) วฒั นธรรมประเพณีในสงั คม

บคุ ลิกภาพของคนท่ีอย่ตู า่ งวฒั นธรรมกนั จะมคี วามแตกตา่ งมากกว่าความคลา้ ยคลงึ
กัน สังเกตไดจ้ ากคนในสังคมตะวันออก ดว้ ยลักษณะวัฒนธรรมประเพณีจะแสดงถึงความ
สภุ าพ อ่อนโยน การใหค้ วามเคารพผอู้ าวโุ สกว่า และไม่ค่อยกลา้ แสดงออก ส่วนในสังคม
ตะวนั ตกนน้ั จะเชอื่ มนั่ ในตนเอง และกลา้ แสดงความคิดเห็น เป็ นตน้

6) สถานภาพและบทบาทของบคุ คล

สังคมไดก้ าหนดใหส้ มาชิกในสังคมมีสถานภาพและบทบาทท่ีแตกต่างกัน สถานภาพ
และบทบาทมีผลตอ่ บคุ ลิกภาพ เชน่ สงั คมไทยมีความคาดหวังใหเ้ พศหญิงเป็ นกลุ สตรี ผชู้ าย
ตอ้ งมีความเขม้ แขง็ เด็กตอ้ งมสี มั มาคารวะตอ่ ผใู้ หญ่ ฯลฯ นอกจากนน้ั ภาพพจนข์ องอาชีพก็
มผี ลตอ่ บคุ ลกิ ภาพ เชน่ นายแพทยค์ วรมรี ะดบั สตปิ ัญญาทสี่ งู จึงสามารถเรียนจบได้ และควร
มจี รรยาบรรณในการรกั ษาคนไข้ หากแพทยก์ ระทาผดิ สงั คมจะประฌามมากกว่าอาชพี อนื่

สรปุ ไดว้ ่า การที่บคุ คลแตล่ ะบคุ คลมบี คุ ลิกภาพท่ีแตกตา่ งกนั นนั้ เป็ นผลมาจากปัจจยั
หลายๆอยา่ งทง้ั พนั ธกุ รรม สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และการอบรมเล้ียงดทู ี่เป็ นปัจจยั สาคญั การ
ทาความเขา้ ใจและใหก้ ารยอมรบั ไดว้ ่า บคุ คลแตล่ ะคนนน้ั เป็ นผคู้ นท่ีมาจากความแตกตา่ งและ
ความหลากหลายจากปัจจัยดงั กล่าวขา้ งตน้ ดงั นนั้ หากเรายอมรับและเขา้ ใจไดว้ ่า คนแต่ละ
คนไม่เหมือนกัน มนุษย์ทกุ คนมีความแตกต่างกัน การลดความคาดหวังให้ทกุ คนเป็ น
เหมือนกัน ทกุ คนมีลักษณะเฉพาะตวั เอง หากเขา้ ใจในบริบทดงั กล่าวได้ พยายามเรียนรกู้ ัน
ปรบั ตวั เขา้ หากนั บคุ คลก็จะอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

ความสาคญั ของทฤษฎจี ิตวิทยาบคุ ลกิ ภาพ

ในปัจจบุ ันแมว้ ่าจะมีการศึกษาบคุ ลิกภาพในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ก็ตอ้ งยอมรับว่าไม่มี
ทฤษฏีใดทฤษฎีหน่ึงที่จะมาอธิบายบคุ ลิกภาพของมนษุ ยไ์ ดอ้ ย่างชัดเจนท้ังหมด ในยคุ แรก
ของการศึกษาทฤษฎีบคุ ลิกภาพนน้ั มกั ไดร้ บั อิทธิพลมาจากจิตแพทยเ์ ป็ นสว่ นใหญ่ ส่วนระยะ
ต่อๆ มาเริ่มมีบคุ คลที่มีความสามารถในการศึกษาวิชาชีพอ่ืนๆ เขา้ มามีอิทธิพลต่อทฤษฎี
บคุ ลกิ ภาพเชน่ กนั

ทฤษฎจี ิตวิทยาบคุ ลกิ ภาพ กลม่ ุ คณุ ลกั ษณะ
ทฤษฏีคณุ ลักษณะ กล่าวว่า บคุ ลิกภาพเป็ นส่ิงที่สามารถทาความเขา้ ใจ และ

ระบคุ ณุ สมบัติขนั้ พ้ืนฐานท่ีทาใหเ้ กิดพฤติกรรมมนษุ ย์ และนับรวมไปถึงองค์ประกอบของ
พฤติกรรม ที่แสดงใหเ้ ห็นถึงความอดทน พ้ืนฐานจิตใจ และรวมถึงพฤติกรรมในสภาวะ
เหตกุ ารณต์ า่ งๆ นกั จติ วทิ ยา 2 ทา่ นท่ีสาคญั คือ

กอรด์ อน ออลพอรต์ (Gordon Allport)
โครงสร้างบุคลิกภาพประกอบดว้ ย อปุ นิสัย (Traits) บุคลิกภาพถูกกาหนดจาก
อปุ นสิ ยั หรือเป็ นการทางานของอปุ นสิ ยั และในเวลาเดยี วกนั พฤตกิ รรมของบคุ คลจะเกิดจาก
แรงจงู ใจ หรือแรงขบั จากอปุ นสิ ัย ซึ่งสะทอ้ นใหเ้ ห็นบคุ คลไดเ้ ท่าๆ ทาใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมและ
กระบวนการทางานของอปุ นิสัยต่างๆ ไดช้ ัดเจนข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอปุ นิสัยที่อย่ภู ายใน
ตัวเอง ซ่ึงอปุ นิสัยนี้เกิดมาจากการทางานของอินทรีย์ (Organism) นัน่ เองออลพอร์ตให้
ความหมายของคาว่า “บคุ ลิกภาพ” คือ ระบบการทางานท้ังหมดซ่ึงอย่ภู ายในของแต่ละ
บคุ คลเป็ นหลกั การของระบบทางกาย และจิตที่มีพลงั ในตวั บคุ คล การปรับตวั ของบคุ คลตอ่
สิ่งแวดลอ้ มไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ออลพอร์ตใหค้ วามสาคัญในเรื่องระบบการแปรพลัง
(Dynamic Organization) ท่ีจะตอ้ งมีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลา ระบบการ
เปล่ียนแปลงน้ีจะมีการเชอ่ื มโยงและเก่ียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบอ่ืนๆ ท้ังทางร่างกายและจิตใจ
(Psychophysical) ท่ีทาใหเ้ กิดการหล่อหลอมความเป็ นอันหน่ึงอันเดียวกนั ของบคุ คล และเป็ น
การกาหนด (Determine) แนวทางในการแสดงพฤตกิ รรมของบคุ คล

โครงสรา้ งบคุ ลกิ ภาพ

มีองคป์ ระกอบอปุ นิสยั (Traits) เจตนารมณ์ ( Intentions ) และตน (The
Propium หรอื Self) มีรายละเอีดยดงั น้ี

1. อปุ นิสยั (Traits) เป็ นตวั กาหนดแนวโนม้ ในการตอบสนองของบคุ คลตอ่ ส่ิงเรา้

และชี้นาพฤติกรรมของบคุ คล อปุ นิสัยจะสังเกตไดจ้ ากพฤติกรรมที่ปรากฏออกมา (Overt
Behavior) ถือว่าเป็ นศนู ย์กลางของระบบจิตที่มีลักษณะเฉพาะ และลักษณะพิเศษของแต่ละ
บุคคล ทาใหเ้ กิดความสามารถท่ีจะทาหนา้ ท่ีต่อสิ่งเรา้ ใหเ้ กิดความสมดลุ ในรปู ของการ
ปรับตัวและการแสดงออกทางพฤติกรรม ออลพอร์ต ไดอ้ ธิบายใหเ้ ห็นถึงความแตกต่าง
ระหว่างอปุ นิสัย (Traits) กับคาอ่ืนๆ ที่มีความหมายใกลเ้ คียงกัน คือ อปุ นิสัย (Traits) และ
นิสัย (Habits) ว่า ทั้งสองต่างก็เป็ นตัวกาหนดแนวโนม้ ของพฤติกรรม โดยท่ีอปุ นิสัยจะมี
ความหมายกวา้ งกว่านิสัย ทั้งนี้เพราะอปุ นิสัยจะทาหนา้ ที่เชื่อมโยง หรือรวบรวมนิสัยตา่ งๆ
ต้ังแต่ 2 ลักษณะขึ้นไป ส่วนอปุ นิสัยกับเจตคติ (Attitudes) น้ันมีความหมายที่คลา้ ยคลึงกัน
มาก เพราะทง้ั สองตา่ งก็เป็ นไปตวั กาหนดแนวโนม้ ในการตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ตา่ งๆ

อปุ นิสยั จะแบ่งออกเป็ น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ อปุ นสิ ยั สามญั (Common Traits) และอปุ นสิ ยั
เฉพาะตวั (Personal Disposition Traits)

1.1 อปุ นิสยั สามญั หมายถึง บคุ ลิกภาพทัว่ ๆ ไปที่เหมือนกับคนอ่ืนๆ ท่ีสามารถ
นามาเปรียบเทียบกันไดส้ ่วนหน่ึง โดยเฉพาะผทู้ ี่อย่ใู นวัฒนธรรมเดียวกัน และเผ่าพันธ์ุ
เหมอื นกนั ก็จะทาใหบ้ คุ คลมบี คุ ลิกภาพเหมอื นกนั ไดส้ ว่ นหนง่ึ สว่ นใหญซ่ ่ึงไดแ้ กค่ า่ นยิ มตา่ งๆ
หรือลกั ษณะรวมๆ ของบคุ คลในแตล่ ะวฒั นธรรม เชน่ คนไทยใจดี คนอเมริกนั อิสระ คนจีนมี
ความขยัน เป็ นตน้

1.2 อปุ นิสยั เฉพาะตวั หมายถึง เอกลกั ษณข์ องแตล่ ะบคุ คลท่เี ป็ นลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ี
ไม่สามารถนามาเปรียบเทียบกับระหว่างคนสองคนได้ อปุ นิสยั เฉพาะตวั แบ่งออกเป็ น 3
ระดบั คือ อปุ นิสัยสาคัญ อปุ นิสัยสาคัญหรืออปุ นิสัยร่วม และอปุ นิสัยทตุ ิยภมู ิ ซ่ึงทางาน
ตามความสาคญั ที่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การแสดงพฤตกิ รรมของบคุ คลดงั นคี้ ือ

1.2.1 อปุ นิสัยสาคัญ (Cardinal Disposition Traits) จะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อ
พฤติกรรมเกือบทกุ ดา้ นของบคุ คล เป็ นลกั ษณะเดน่ ที่แสดงออกชดั เจนเหนือพฤติกรรมอ่ืนๆ
ที่ไม่สามารถปิ ดบังซ่อนเรน้ ได้ เป็ นอปุ นิสัยที่มากาหนดอารมณ์ ความรสู้ ึก และชี้นาวิถีทาง
ชวี ิต ควบคมุ แรงจงู ใจตา่ งๆ เพ่ือใหบ้ คุ คลเกิดพลงั ในการแสดงพฤติกรรมทง้ั หมดของบคุ คล
เชน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมคี วามกลา้ หาญ เป็ นอปุ นสิ ยั ท่โี ดดเดน่ ท่ีมอี ยใู่ นพระองค์
จนเป็ นท่ปี ระจกั ษโ์ ดยทวั่ ไป เป็ นตน้

1.2.2 อปุ นิสยั ศนู ยก์ ลาง หรอื อปุ นิสยั รว่ ม (Central Disposition Traits) เป็ นกลมุ่
ของอปุ นิสัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีอย่ภู ายในตัวบุคคล เป็ นอปุ นิสัยท่ีสังเกตไดง้ ่าย
เช่นเดียวกัน เป็ นสิ่งที่มัน่ คงอย่ใู นบคุ ลิกภาพ แต่อาจแสดงออกมาเพียงเล็กนอ้ ย แต่ก็เป็ น
คณุ ลักษณะท่ีมีความสาคัญในการควบคมุ พฤติกรรมของบคุ คล เช่น ความทะเยอทะยาน
การแขง่ ขนั ความซ่ือสตั ย์ การตรงตอ่ เวลา และความเมตตากรณุ า ลกั ษณะเหลา่ นจ้ี ะควบคมุ
พฤตกิ รรมของบคุ คลในสถานการณต์ า่ งๆ

1.2.3 อปุ นิสยั ทตุ ิยภมู ิ (Secondary Traits) เป็ นคณุ ลักษณะที่อย่บู ริเวณรอบนอก
(Peripheral) ที่ผลกั ดนั ใหบ้ คุ คลแสดงออกโดยทวั่ ไป เป็ นลกั ษณะที่มอี ย่มู ากในตวั บคุ คล ไดแ้ ก่
ความสนใจ และปฏิกิริยาตอบสนองต่อส่ิงเรา้ ต่างๆ เช่น เมื่อบคุ คลชอบสิ่งใดส่ิงหน่ึง เขาก็
มกั จะแสดงความคิดเห็นที่ดที ่ีมตี อ่ ส่ิงนนั้ ๆ ทาใหเ้ ขาเกิดความชอบ และสนใจ หรือเป็ นเจตคติ
ซ่ึงบางครง้ั เรยี กอปุ นสิ ยั ชนดิ นว้ี ่า เป็ นอปุ นสิ ยั เชงิ เจตคติ (Attitudinal Traits)

2. เจตนารมณ์ (Intentions) เป็ นความตั้งใจของบคุ คลที่จะกา้ วไปขา้ งหนา้

หรือแสวงหาเป้ าหมายเพื่ออนาคต เป็ นสิ่งที่จะช่วยใหบ้ คุ คลเขา้ ใจบคุ ลิกภาพของบคุ คลได้
มากกว่าการคน้ หาอดตี หรอื ประวตั คิ วามเป็ นมาของบคุ คล เชน่ ความหวงั ความปรารถนา
ความใฝ่ ฝัน ความทะเยอทะยานและการวางแผน เป็ นตน้

3. “ตน” (The Propium หรือ Self) ออลพอรต์ จะใชค้ าว่า “Proprium” แทน

คาว่า “Self” ซ่ึงหมายถึง ลักษณะเฉพาะของบคุ คล เขาเปรียบว่า ถา้ บคุ ลิกภาพของมนษุ ย์
เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ประกอบไปด้วย ราก กิ่ง ใบ ก้าน เปลือก “ The Propium” ก็จะ
เปรียบเสมือนแก่นของตน้ ไม้ และอธิบายว่า ลกั ษณะตา่ งๆ ที่ประกอบเป็ นบคุ ลิกภาพของแต่
ละบคุ คล จะมีทั้งส่วนกาย จิต สังคม อารมณ์ มีจดุ ร่วมและจดุ รวม หรือ “The Propium” ถา้
จดุ ร่วมและจดุ รวมน้ีสามารถประสานสัมพันธ์ กันไดอ้ ย่างเหมาะสม ก็จะทาใหบ้ คุ คลน้ันมี
บคุ ลิกภาพท่ีสมบรู ณ์ (Healthy Personality)

ขน้ั ตอนของการพฒั นาการทางบคุ ลิกภาพ (Stage of Personality

Development) แบ่งพฒั นาการของชีวิตเป็ น 5 ขน้ั ไดแ้ ก่

1. วยั เริ่มแรกของทารก (Early Infancy) เป็ นระยะแรกเกิด โดยในระยะเร่ิมแรกของ
ชีวิต ทารกยังไมม่ ีความรสู้ ึกเกี่ยวกบั ตนเพราะทารกไม่สามารถแยก “ตวั ฉัน” (Me) ออกจาก
ส่งิ แวดลอ้ มรอบ ๆ ตวั ได้

2. วยั เริ่มแรกของตวั ตน (The Early Self) เป็ นระยะ 3 ปี แรกของชีวิต เด็กจะเร่ิม
รู้สึกเก่ียวกับร่างกายของตนเอง (Sense of Bodily Self) เด็กจะมีพัฒนาการและการ
เจริญเติบโตทางดา้ นร่างกายและการทางานของอวัยวะตา่ งๆ เป็ นระยะท่ีเด็กจะสารวจ และ
จัดการส่ิงต่างๆ รอบๆ ตัว โดยการรับรสู้ ิ่งเรา้ ต่างๆ จากอวัยวะสัมผัสและเม่ือทารก
เจริญเตบิ โตขน้ึ ก็จะมวี ฒุ ิภาวะมากขนึ้ เด็กจะเริ่มรบั รถู้ ึงรา่ งกายของตนมากขนึ้ เชน่ “ฉันเป็ น
คนอ่อนแอ” “ฉันเป็ นคนน่าเกลียด” “ฉันเป็ นสวยงาม” “ฉันเป็ นคนมีจิตใจเขม้ แข็ง” “อดทน”
เป็ นตน้ และการรับรเู้ กี่ยวกบั ร่างกาย จะเร่ิมกอ่ ตวั เป็ นศนู ยก์ ลางของ “ตน” (The Propium)
และสรา้ งความรสู้ ึกนกึ คดิ เกย่ี วกบั ตนเอง (Self-Concept) ไปตลอดชวี ิต

3. ระยะ 4 – 6 ขวบ (Four to Six) เป็ นระยะของเด็กทีม่ คี วามรสู้ ึกเก่ียวกบั ตนเองใน
ลกั ษณะตา่ งๆ คือ มีความรสู้ ึกเป็ นเจา้ ของ (The Extension of Self) มีความรสู้ ึกแขง่ ขนั และมี
แบบแผนมากขนึ้ ในระยะนี้ คือ การยึดตวั เองเป็ นศนู ยก์ ลาง (Egocentric) เชน่ “น่เี ป็ นของฉัน”
“บา้ นของฉัน” “ของๆ ฉัน” เป็ นตน้ ความร้สู ึกเป็ นเจา้ ของท่ียึดตัวเองเป็ นศนู ยก์ ลาง ทาให้
เด็กรสู้ ึกอบอ่นุ ความรสู้ ึกนท้ี าใหบ้ คุ คลพฒั นาคณุ ลกั ษณะรวมๆ ในวัยตอ่ มา เชน่ ความรสู้ ึก
ท่ีมตี อ่ สว่ นรวม สงั คมและประเทศชาตใิ นท่ีสดุ

4. ระยะ 6 – 12 ปี (Six to Twelve) เป็ นระยะท่ีเด็กเขา้ โรงเรียน และพัฒนา
สติปัญญามากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความรสู้ ึกของความเป็ นเอกลักษณ์ในตนเอง มโนภาพ
แห่งตนและความรสู้ ึกเป็ นเจา้ ของ ก็จะพัฒนามากข้ึน ทาใหเ้ ด็กรสู้ ึกมีคณุ ค่าในตนเองมาก
ย่ิงขน้ึ เด็กจะเรียนรถู้ ึงส่ิงใหมๆ่ และสามารถเลือกสรรสิ่งตา่ งๆ เด็กเร่ิมรสู้ ึกว่าตนเองมีพลงั
ใหม่ๆ ในตนเองเกิดข้ึนและไดค้ น้ พบตนเองในแง่มมุ อื่นๆ การมีเหตผุ ลในตนเอง (Self as
Relational Copper)

5. ระยะวยั รน่ ุ (Adolescence) เป็ นระยะตงั้ แตอ่ ายุ 12 – 21 ปี วยั นบี้ คุ คลจะมปี ัญหา
ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ ปัญหาการเลียนแบบ การเลือกอาชพี รวมทงั้ ปัญหาในการเลือกเป้ าหมาย
ของชีวิต เขาจึงเรียนรวู้ ่าจะตอ้ งมีการวางแผนเพื่อไปถึงจดุ ม่งุ หมายระยะยาว (Propriety

Striving) ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั แรงจงู ใจในภายใน ซ่ึงถือว่า เป็ นศนู ยก์ ลางของการมีชวี ิตอยู่ และเป็ น
จดุ กาเนิดของการพัฒนา มโนธรรม (Conscience) ท่ีทาใหเ้ กิดความแตกต่างระหว่างมนษุ ย์
กับสัตว์ ออลพอร์ตไดอ้ ธิบาย ขน้ั ตอนการพัฒนามโนธรรมว่า จะเร่ิมจากการที่เด็กจะรับรู้
มโนธรรม ในแงข่ องการกลัวการถกู ลงโทษ (Authoritarian Conscience) จากพ่อแม่เขาจะรสู้ ึก
ผิดหากขัดขืนต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แต่เมื่อเด็กมีวฒุ ิภาวะมากขึ้นก็จะมีการรับรเู้ กี่ยวกับ
สง่ิ แวดลอ้ มและบคุ คลอืน่ เปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ โดยมคี วามรสู้ กึ ในเรอ่ื งมโนธรรม โดยความ
เช่ือฟังจากสังคม และจะเปลี่ยนมาเป็ นวิธีการสรา้ งมาตรฐานภายในตัวเองซึ่งถือว่า เป็ น
จดุ เริ่มตน้ ในการสรา้ งกฎเกณฑข์ องตนเอง (Self-Generated Rules) และโดยความเป็ นจริงแลว้
ชีวิตของบคุ คลจะถกู หล่อหลอมความเป็ น “ตน” โดยกระบวนการทางานตามขนั้ ตอนต่างๆ
ร่วมกัน พัฒนาการของบคุ คลท่ีหล่อหลอมรวมกันจนเขา้ ส่วู ฒุ ิภาวะจะมีพัฒนาการเรื่อง
ตา่ งๆ ไดอ้ ย่างสมดลุ

เรยม์ อนด์ บี แคทเทลล์ (Raymond B. Cattell) อธิบายว่าบคุ ลิกภาพเป็ นเร่ืองของ
พฤตกิ รรมทงั้ หมดของบคุ คล ซ่ึงแคทเทลล์ เรียกว่า ลกั ษณะนสิ ยั (Traits) โดยลกั ษณะนสิ ยั ที่
ประกอบขนึ้ เป็ นบคุ ลิกภาพนนั้ ประกอบดว้ ยลกั ษณะนิสัยทีซ่อนอย่ภู ายใน (Source Traits)และ
ลักษณะนิสัยส่วนผิว (Surface Traits) เป็ นพฤติกรรมท่ีปรากฏออกมาใหเ้ ห็นภายนอกหรือ
แสดงออกมาอยา่ งผวิ เผินนน้ั เอง

โครงสรา้ งบคุ ลิกภาพของแคทเทล

ทฤษฎีบคุ ลิกภาพของแคทเทล มโี ครงสรา้ งบคุ ลิกภาพประกอบดว้ ย อปุ นิสยั (Traits)
หน่วยพลงั (Ergs) เมตะเอิรก์ (Metaergs) สงั กปั อดุ หนนุ (Subsidiation) และตวั ตน (The
Self ) ซึ่งมีรายโดยละเอียดดงั น้ี

1. อปุ นิสยั ( Traits )

เป็ นส่วนท่ีสาคัญท่ีสดุ ท่ีแคทเทลถือว่า อปุ นิสัย คือ “โครงสรา้ งของจิต” ( Mental
Structure ) เป็ นตัวกระทาใหพ้ ฤติกรรมของบคุ คลคงที่ และแคทเทลมีแนวความคิดเหมือน
อัลลพ์ อรต์ ( Allport ) ว่า บคุ คลแตล่ ะคนมอี ปุ นสิ ยั ร่วมหรือสามญั ลกั ษณะ (Common Traits)
ดว้ ยกันทั้งนน้ั เช่น การมีประสบการณ์ทางสังคมอย่างเดียวกัน ส่วนที่เป็ นเอกลักษณ์หรือ
วิสามัญลักษณะ (Unique Traits) หมายถึง อุปนิสัยท่ีมีอยู่เฉพาะในบุคคลแต่ละคน ซ่ึง
คลา้ ยคลึง อปุ นิสยั ร่วมเป็ นคณุ ลกั ษณะต่างๆ ท่ีมีอย่ใู นบคุ คลทวั่ ไป เชน่ ความสามารถ การ
อย่รู ่วมกนั เป็ นกลมุ่ สติปัญญาและความเชอื่ มนั่ ในตนเอง สว่ นอปุ นสิ ยั ที่เป็ นเอกลกั ษณจ์ ะเป็ น
ลกั ษณะทป่ี รากฏขนึ้ ในส่วนของเจตคตแิ ละความสนใจเฉพาะของแตล่ ะบคุ คล

อปุ นิสยั มี 2 ชนิด คือ

ลักษณะนิสัยของบคุ คลท่ีแสดงออกมาอย่างเปิ ดเผยอปุ นิสัยตน้ ตอเป็ นโครงสรา้ งท่ี
แทจ้ ริงซ่ึงถือเป็ นรากฐานของบุคลิกภาพและเป็ นตัวท่ีกาหนดการแสดงออกของอปุ นิสัย
พ้ืนผิวหลายๆ แบบ จึงเป็ นสิ่งจาเป็ นที่จะตอ้ งศึกษาเมื่อพบปัญหาเก่ียวกับพัฒนาการ
บคุ ลิกภาพ อาการเจ็บปวดทางกายหรือโรคทางกายท่ีมีสาเหตเุ นื่องมาจากจิตใจและความ
เปลย่ี นแปลงในบรู ณาการของบคุ ลกิ ภาพ (Dynamic Integration ) นอกจากนอี้ ปุ นสิ ยั ตน้ ตอยงั
เป็ นผลของพันธกุ รรม และส่ิงแวดลอ้ มผสมกัน ซึ่งอาจเรียกอปุ นิสัยตน้ ตอว่าเป็ นอปุ นิสัย
แมบ่ ท (Constitution Traits)

1.2 อปุ นิสยั ตน้ ตอ (Source Traits) แบ่งออกเป็ น 3 แบบตามการแสดงออก คือ
อปุ นิสัยแรงขบั (Dynamic Traits) ไดแ้ ก่ อปุ นิสัยท่ีเก่ียวขอ้ งกับแรงจงู ใจ และความสนใจของ
บคุ คลเพ่ือนาไปส่จู ดุ มงุ่ หมาย อปุ นสิ ยั เกี่ยวกบั ความสามารถ (Ability Traits) ไดแ้ ก่ อปุ นิสัยท่ี
เป็ นตัวกาหนดความสามารถของบคุ คลใหท้ างานไปส่จู ดุ ม่งุ หมาย และอปุ นิสัยทางลักษณะ
อารมณ์ (Temperament Traits) ไดแ้ ก่ อปุ นิสัย ที่เป็ นตัวกาหนดความสามารถของบคุ คลให้
ทางานไปสจู่ ดุ มงุ่ หมาย อปุ นสิ ยั ทางอารมณ์ (Temperament Traits) ไดแ้ ก่ อปุ นสิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง
กบั การตอบสนองทาง ดา้ นโครงสรา้ งเป็ นความเร็วของพลงั เป็ นตน้

เป็ นอปุ นิสัยตน้ ตอหรือแรงขบั ดนั ท่ีมีมาแต่กาเนิดท้ังในกายและในจิตใจ ทาใหบ้ คุ คลมี
ปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งโดยจงใจหรือเอาใจใส่ต่อวัตถใุ ดวัตถหุ น่ึงมากกว่าวัตถปุ ระเภทอ่ืน
และแสดงประสบการณ์เฉพาะของอารมณ์ต่อวัตถปุ ระเภทนั้น ๆ เป็ นจดุ เริ่มตน้ ของการ
กระทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงเพ่ือไปใหถ้ ึงจดุ ม่งุ หมายของกิจกรรมน้ัน ๆ ของตนมากกว่ากิจกรรม
ประเภทอื่น ๆ แคทเทลล์ ไดก้ าหนดคานิยามของคาว่า หนว่ ยพลงั มีหนา้ ที่ 4 อย่าง คือ การ
ตอบสนองการรบั รู้ (Perceptual Response) การตอบสนองทางอารมณ์ (Emotional Response)
การกระทาท่ีนาไปส่จู ดุ ม่งุ หมาย(Instrumental Acts Leading to the Goal ) และจดุ มงุ่ หมายท่ีทา
ใหไ้ ดร้ บั ความพอใจ (The Goal Satisfaction Itself)

3. เมตะเอิรก์ (Metaergs)

เป็ นอปุ นิสัยตน้ ตอที่เก่ียวกบั แรงขบั ซ่ึงไดร้ ับการขดั เกลาจากส่ิงแวดลอ้ มและปรากฏ
ในพฒั นาการเมตะเอิรก์ ตา่ งจากหนว่ ยพลงั คือ หนว่ ยพลงั มมี าแตก่ าเนดิ แตเ่ มตะเอิรก์ เกดิ ขน้ึ
ภายหลงั และพฒั นามาจากแรงจงู ใจ ไดแ้ ก่ เจตคติ (Attitude) ความสนใจ (Interest) และ ความ
อ่อนไหวทางอารมณ์ (Sentiment) ความอ่อนไหวทางอารมณ์มีความสาคัญท่ีสดุ ในเม
ตะเอิรก์ ความอ่อนไหวทางอารมณก์ ็คือ โครงสรา้ งของอปุ นสิ ยั ที่เก่ียวกบั แรงขบั ซึ่งเกิดจาก
ส่ิงแวดลอ้ ม ทาใหบ้ ุคคลมีความเอาใจใส่ต่อวัตถุบางอย่าง ตลอดจนร้สู ึกและสามารถ
ตอบสนองไดใ้ นสถานการณเ์ ฉพาะความอ่อนไหวทางอารมณ์จะมีความมนั่ คงและถาวรกว่า
เจตคติและความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณป์ รากฏอย่ใู นชว่ งพฒั นาการตอนตน้
มากกว่าวยั อื่นๆ เจตคติ ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณจ์ ะไมแ่ ยกออกจากกนั และ
มีการทางานเก้ือกลู กนั สาหรับความอ่อนไหวทางอารมณท์ ่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ความสนใจในอาชพี
ความสนใจในกีฬาและเกมต่าง ๆ ความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่
ในชว่ งพฒั นาการตอนตน้ มากกวา่ วัยอื่นๆ เจตคติ ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์
จะไม่แยกออกจากกนั และมีการทางานเกื้อกลู กนั สาหรับความอ่อนไหวทางอารมณท์ ่ีสาคัญ
ไดแ้ ก่ ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมตา่ งๆ ความสนใจในเร่ืองศาสนา ความ
สนใจทางดา้ นเครื่องจักรกล ความรักชาติ โครงสรา้ งของหน่วยพลังย่อยและอารมณ์
ความรสู้ ึกตอ่ ตนเอง

4. สงั กปั อดุ หนนุ (Subsidiation)

ถา้ เราศึกษาอปุ นสิ ยั ท่ีสมั พนั ธก์ บั จานวนหนงึ่ เราจะพบว่ามเี ป้ าหมายสดุ ทา้ ยซ่ึงบคุ คล
สามารถจะไปไดโ้ ดยการผ่านเป้ าหมายย่อยๆ ไปเป็ นลาดับ หรืออาจเรียกว่าเป้ าหมายย่อย
เหล่านน้ั เป็ นเคร่ืองมือที่จะนาไปสเู่ ป้ าหมายสดุ ทา้ ย อปุ นสิ ยั ท่ีทาใหบ้ คุ คลบรรลเุ ป้ าหมายแรก
ไดแ้ ก่ อปุ นสิ ยั ทงั้ หลายที่จะมาอดุ หนนุ อปุ นสิ ยั ท่ีทาใหบ้ รรลเุ ป้ าหมายสดุ ทา้ ยหรือใกลเ้ คียงกบั
เป้ าหมายสดุ ทา้ ย การแบ่งระหว่างหน่วยพลัง ความอ่อนไหวทางอารมณ์ เจตคติ และความ
สนใจน้ันถา้ จะพดู ใหเ้ ขา้ ใจง่ายก็คือลกู โซ่ของการอดุ หนนุ (Subsidiation Chain) ทั้งหมดเป็ น
อปุ นิสัยท่ีเกี่ยวกับแรงขับ โดยความสนใจเป็ นส่ิงท่ีอดุ หนนุ เจตคติ (Subsidiary to Attitude)
รวมทั้งเป็ นส่ิงอุดหนุนความอ่อนไหวทางอารมณ์ ซ่ึงก็เป็ นสิ่ง ท่ีอุดหนุนหน่วยพลัง
(Subsidiary to Eggs) ดว้ ย และตามปกติแลว้ ปฏิกิริยาซ่ึงกันและกันระหว่างอปุ นิสัยที่เกี่ยวกับ
แรงขบั มีความซับซอ้ นมากการตรวจสอบการกระทาใด ๆ จะแสดงใหเ้ ห็นเป็ นลกู โซ่ของการ
อดุ หนนุ ทเี่ ชอื่ มโยงหนว่ ยพลงั แต่ ละอย่าง และความอ่อนไหวทางอารมณแ์ ละเจตคตไิ ว้

5. ตวั ตน (The Self)

เป็ นส่วนหน่ึงของความอ่อนไหวทางอารมณ์ ตัวตนเป็ นส่ิงสาคัญมากเพราะเจตคติ
เกือบท้ังหมด จะสะทอ้ นใหเ้ ห็นตวั ตนนนั่ เอง ตวั ตนจะเกี่ยวขอ้ งกับการแสดงออกของหนว่ ย
พลังหรือความอ่อนไหวทางอารมณอ์ ่ืน ๆ ตวั ตนมีบทบาทในการบรู ณาการบคุ ลิกภาพและ
ตัวตนน้ียังเก่ียวขอ้ งกับหน่วยพลังที่เก่ียวกับคณุ ธรรม (Superego) และตัวตนตามอดุ มคติ
(Ideal Self) ซึ่งทั้งสองน้ีไดม้ าจากอิทธิพลทางสังคม นอกจากน้ีตัวตนยังมีอิทธิพลควบคมุ
อปุ นสิ ยั ท่ีเก่ียวกบั แรงขบั ใหป้ ฏิบตั งิ านร่วมกนั เรียกว่า ตัวตนทางโครงสรา้ ง (Structural Self)
หรือตวั ตนที่เกิดจากแรงขบั (Drive Self) หรือเกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์ของหน่วยพลัง
(Ego Sentiment) การทางานของอปุ นิสัยที่เกี่ยวกับแรงขบั อันใดก็ตามจะแสดงตวั ออกมานนั้
จะตอ้ งขน้ึ อย่กู บั ว่าอปุ นิสยั นนั้ เหมาะสมกับตวั บคุ คลหรือไม่ ถา้ อปุ นสิ ยั นนั้ ๆ ไม่สามารถเขา้
กบั ตวั ตนไดก้ ็จะทาใหเ้ กิดลกั ษณะอาการโรคจติ โรคประสาทในบคุ คลได้

ทฤษฎจี ิตวิทยาบคุ ลกิ ภาพ กลม่ ุ จิตวิเคราะห์

นักจิตวิทยาคนสาคัญของแนวคิดกล่มุ จิตวิเคราะห์ คือ ซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund
Freud) เป็ นจิตแพทยแ์ ห่งกรงุ เวียนนา

โครงสรา้ งบคุ ลิกภาพ

ฟรอยด์ (Freud) กลา่ วว่า บคุ ลิกภาพประกอบดว้ ย จิตของมนษุ ยม์ โี ครงสรา้ ง
ของจิตเป็ น 3 ส่วน Id, Ego and Superego เป็ นพลังผลักดนั ใหบ้ คุ คลมีพฤติกรรมต่าง ๆ กัน
จนกลายเป็ นลกั ษณะของบคุ คลจะทางานสมั พนั ธก์ นั ไมแ่ ยกจากกนั อยา่ งเด็ดขาด

อิด (Id) หมายความถึง ความปรารถนา ความตอ้ งการของมนษุ ย์ เป็ นแหล่งรวม
พลังงานท่ีมีพลังต่อบุคลิกภาพมนษุ ย์ Id ประกอบดว้ ยทกุ ส่ิงท่ีไดร้ ับการถ่ายทอดมาจาก
พันธกุ รรมดั้งเดิม แรงกระตนุ้ ท่ีมนษุ ยม์ ีมาตั้งแต่แรกเกิด จัดเป็ นสัญชาตญาณขน้ั พื้นฐาน
ของมนษุ ย์ ส่ิงเหล่านี้รวมถึงความตอ้ งการของร่างกาย ความปรารถนาทางเพศ และแรง
กระตนุ้ ความกา้ วรา้ ว ตามทรรศนะของ Freud พลังของ Id เป็ นพลังระดับจิตใตส้ านึก และ
ทางานตามหลกั การแห่งความสขุ (Principle of Pleasure) คือ มีความปรารถนาที่จะเกิดข้ึนใน
ทนั ทที นั ใดเพ่ือใหต้ อบสนองพึงพอใจทงั้ หมด
มี 2 แนวทาง ซ่ึง Id สามารถปลดปลอ่ ยความเครยี ดโดยตนเอง คอื

แนวทางท่ีหน่ึง การสะทอ้ นผ่านปฏิกริยาอย่างงา่ ยของร่างกาย เช่น การ
จาม ซ่ึงบางครง้ั ก็สามารถลดความเครยี ดลงได้

แนวทางที่สอง การใชค้ วามปรารถนาที่ตอ้ งการความสาเร็จ โดยผา่ นความ
ปรารถนาทตี่ อ้ งการความสาเร็จ Id จะทาใหเ้ กิดจนิ ตนาการทางความคดิ เป็ นรปู วตั ถุ ซึ่งจะทา

ใหเ้ กิดความพอใจ ต่อความตอ้ งการน้ัน และจะเป็ นการช่วยลดความเครียดไดบ้ า้ ง ตาม
ทรรศนะของ Freud ความฝันก็เป็ นแนวทางอย่างหน่ึง เขา้ ใจถึงสัญลกั ษณต์ ่าง ๆ ซ่ึงใชแ้ ทน
ความฝันกอ่ นจึงจะสามารถแปลความหมายหรอื ทานายความฝันทเ่ี กดิ จากจิตใตส้ านกึ ได้

อีโก้ (Ego) เป็ นระดบั จิตสานกึ บางส่วน ทาหนา้ ท่ีตามหลกั การแห่งความจริง (Reality
Principle) เพ่ือทาใหเ้ กิดความพอใจตอ่ ความตอ้ งการของ Id เชน่ ถา้ บคุ คลมีความหิว Ego จะ
ช่วยทาใหแ้ ต่ละบคุ คลรจู้ ักแสวงหาอาหารมาไดอ้ ย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดความเครียดที่
เกิดขนึ้ จากความหิวมาจาก Id ถา้ ปราศจาก Ego อิดจะตอ้ งแสวงหาอาหาร หรือวัตถอุ ่ืนเพ่ือ
ตอบสนองความพอใจตอ่ ความตอ้ งการนนั้

Ego เป็ นส่วนที่มีความสาคญั ของบคุ ลิกภาพ ทาหนา้ ที่ตดั สินใหส้ ญั ชาตญาณ
เกิดความรสู้ ึกพอใจ ใชส้ าหรับพิจารณาการตดั สินใจและอาศัยหลักการท่ีเหมาะสม รวมทั้ง
ความมีเหตผุ ลจนสามารถระลึกนกึ ถึงประสบการณท์ ี่ผ่านมาเป็ นส่วนชว่ ยชี้นาพฤติกรรมให้
ไดร้ ับความสขุ หรือความพึงพอใจสงู สดุ และขจัดความเจ็บปวดใหม้ ีนอ้ ยท่ีสดุ โดยรจู้ กั เลือก
แนวทางท่ีเหมาะสมที่สดุ เพื่อใหบ้ รรลเุ ป้ าหมายในระยะยาว

ซเู ปอรอ์ ีโก้ (Superego) เป็ นระดบั จิตท่ีอย่ใู นจิตสานึกเป็ นบางส่วน มีหนา้ ที่ควบคมุ
การแสวงหาความสขุ ของ Id จากแรงกระตนุ้ Super ego ยอมให้ Id แสวงหาความสขุ ภายใต้
เงอื่ นไขท่ีแนน่ อน Super ego เป็ นเรื่องเก่ียวกบั ศีลธรรม มโนธรรม สามารถจะบอกไดว้ ่า การ
กระทาใดถกู หรือผิดและจะยอมใหแ้ รงกระตนุ้ ของ Id ไดร้ ับการตอบสนองเป็ นความสขุ ก็
เฉพาะการกระทาที่ถกู ตอ้ งทางดา้ นศีลธรรม มโนธรรม ไม่เหมือนกับ Ego ท่ียินยอมให้ Id
กระทาได้ เม่ือเป็ นสิ่งที่ปลอดภัยหรือมีความเป็ นไปได้ Super ego เป็ นสิ่งท่ีเกิดจากการมี
ประสบการณ์ โดยไดร้ ับการถ่ายทอด ฝึ กอบรม มาจากพ่อแม่ จากการสอนทางดา้ น
ศีลธรรมของสถานศึกษา หรือจากการเรียนรเู้ มื่ออย่เู ป็ นสมาชิกของสังคมที่เป็ นมาตรฐาน
สาหรบั ยึดถือและปฏิบตั ขิ องบคุ คลในสงั คม

พฒั นาการบคุ ลกิ ภาพตามแนวคิดของ Freud

Freud เชอ่ื วา่ บคุ ลกิ ภาพมกี ารพฒั นาตามลาดบั ขนั้ ตอนเหมอื นพฒั นาการดา้ น
อ่ืนๆ เร่ิมตน้ จากวัยทารกจนกระทัง่ วัยชรา หากในแต่ละช่วงวัยไดร้ ับการตอบสนองที่
เหมาะสม พัฒนาการทางบคุ ลิกภาพก็จะมีการพัฒนาเป็ นไปตามปกติ แต่หากไม่สามารถ
ตอบสนองไดอ้ ยา่ งเหมาะสมทงั้ สภาวะท่ีมากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป อนั เกิดขนึ้ ไดจ้ ากการที่พ่อ
แมด่ แู ลลกู ไมเ่ พียงพอหรือสรา้ งความคับแคน้ ใจใหล้ กู อย่างหนกั จะเกิดสภาวะท่ีเรียกว่า “การ
ตดิ ตรึง (Fixation)” ทาใหบ้ คุ คลนนั้ แสวงหาความพอใจในร่างกายส่วนนนั้ ๆ ตอ่ ไปอีกเมอื่ เป็ น
ผใู้ หญ่ จะสง่ ผลตอ่ บคุ ลกิ ภาพของบคุ คล พฒั นาการทางบคุ ลิกภาพมี 5 ขนั้ ดงั น้ี

ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั ปาก (Oral Stage) พัฒนาการบคุ ลิกภาพของมนษุ ยใ์ นขนั้ นี้

เริ่มตง้ั แตแ่ รกเกิดจนถึงหนงึ่ ขวบ ความสขุ หรือความพึงพอใจของวยั ทารกอย่ทู ่ีการไดด้ ดู นม
มารดา หากไดร้ ับการตอบสนองมากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไปก็จะทาใหเ้ กิดการตรึงแน่นของ
พฤติกรรม (Fixation) เช่น ชอบดดู น้ิว ดดู ปากกา ดินสอ กัดเล็บ พดู มาก ปากจัด จะมี
บคุ ลิกภาพท่ียอมตามผอู้ น่ื คอยพึ่งพาอาศัยบคุ คลอ่ืน ไมม่ คี วามเป็ นตวั ของตวั เอง ไมม่ ีความ
มนั่ ใจ มกั จะมองโลกในแงด่ หี รือรา้ ยจนเกินไป บคุ ลิกภาพในการชอบรับเกิดจากการถกู เอาใจ
มากเกินไป เรียกว่า The Oral receptive Character ทาใหก้ ลายเป็ นการพึ่งพาผอู้ ื่นในการหา
ความสขุ

ขน้ั ที่ 2 ขนั้ ทวารหนกั (Anal Stage) อย่ใู นระยะ 2 –3 ขวบ ความสขุ

ท่ีไดร้ บั จากทางปากจะเปลี่ยนมาเป็ นบริเวณขบั ถ่าย เด็กเร่ิมพฒั นาความพรอ้ มทางกลา้ มเนอื้
ขบั ถ่ายใหแ้ ข็งแรงขึ้น ปัญหาเร่ืองการฝึ กขบั ถ่าย ถา้ ครอบครัวมีการเขม้ งวดกวดขนั มาก
เกินไปหรือนอ้ ยเกินไปอาจกอ่ ใหเ้ กิดความวิตกกงั วล ส่งผลใหเ้ ป็ นคนเจา้ ระเบียบเกี่ยวกบั การ
รักษาความสะอาดของร่างกาย ละเอียดละออ หรือเป็ นไปในทิศทางตรงกันขา้ มคือ ไม่มี
ระเบยี บ ทาความสกปรกและจะมปี ฏิกริ ยิ าท่ีตอ่ ตา้ นสงั คม ขดั ขนื ดอ้ื ดงึ ตระหนถ่ี ่ีเหนยี ว หรอื
มบี คุ ลิกภาพแบบเผด็จการ ตอ้ งการมอี านาจมาก ใจแคบ มอี คติ

ข้ันที่ 3 ข้ันอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อยู่ในระยะ 3 – 6 ขวบ

ความสขุ จะเลื่อนจากอวัยวะขบั ถ่ายมาเป็ นอวัยวะเพศ เด็กตอ้ งการความใกลช้ ิดจากพ่อแม่
หรือคนเล้ียงดู เพื่อเป็ นแบบในการปรับตวั เด็กชายและเด็กหญิงจะเริ่มสนใจอวัยวะเพศของ
ตนเองมากขน้ึ มคี วามอยากรอู้ ยากเห็นเรื่องความแตกตา่ งทางเพศทางดา้ นกายวิภาค

ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั แอบแฝง (Latency Stage) อย่ใู นระยะ 6 – 12 ขวบ เป็ น

ระยะก่อนที่จะพฒั นาถึงวยั หนมุ่ สาว การใหค้ วามสาคญั กบั ความรสู้ ึกทางเพศไดล้ ดลง ความ
สนใจทางเพศไม่ปรากฎออกมาใหเ้ ห็นอย่างเด่นชัด เด็กมักจะร่วมกล่มุ ดาเนินกิจกรรมท่ี
เหมาะสมกับเพศของตนเอง เช่น เด็กชายมักเล่นฟุตบอลหรือจับกล่มุ กับเด็กชาย ส่วน
เด็กหญิงก็จะเล่นขายของหรือจับกล่มุ กับเด็กหญิง วัยน้ีจะกระทาในสิ่งที่สังคมยอมรับตาม
เพศของตน และเร่มิ ใชค้ วามคิดอยา่ งมเี หตผุ ล

ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ความสนใจและพึงพอใจทางเพศ (Genital Stage) อย่ใู น

ระยะ 12 –15 ขวบ เป็ นระยะหนมุ่ สาว เริ่มมคี วามสนใจในเพศตรงขา้ ม เป็ นระยะพฒั นาเขา้ สู่
วัยผใู้ หญ่ ถา้ บุคคลมีพัฒนาการมาถึงข้ันที่ 5 และมีสขุ ภาพจิตดี มีลกั ษณะสาคัญ 2
ประการ คือ

1. สามารถรกั ไดอ้ ย่างแทจ้ ริง มีความเอื้อเฟ้ื อเผ่ือแผ่ ใกลช้ ิดสนิทสนม เชื่อถือ
ไวว้ างใจ พงึ พอใจในความสขุ ของบคุ คลทต่ี นรกั รวมทงั้ ความรกั ในเรอื่ งทางเพศดว้ ย

2. สามารถทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เต็มความสามารถและศักยภาพของ
ตน ทาใหช้ วี ิตมคี ณุ ค่า มคี วามหมายและมคี วามหวงั

ทฤษฎีจิตวิทยาบคุ ลิกภาพ กลม่ ุ พฤติกรรมนิยม

ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขดว้ ยการกระทาของสกนิ เนอร์ (Operant Conditioning Theory)

สกินเนอรไ์ ดแ้ บ่ง พฤติกรรมของสิง่ มีชีวิตไว้ 2 แบบ คือ

1. Respondent Behavior คือ พฤติกรรมหรือการตอบสนองท่ีเกิดข้ึนโดยอัตโนมัติ
หรือเป็ นปฏิกิริยาสะทอ้ น (Reflex) ซ่ึงส่ิงมีชวี ิตไมส่ ามารถควบคมุ ตวั เองได้ เชน่ การกระพริบ
ตา นา้ ลายไหล

2. Operant Behavior คือ พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมชี ีวิตเป็ นผกู้ าหนด หรือเลือกท่ีจะ
แสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็ นพฤติกรรมท่ีบคุ คลแสดงออกในชีวิตประจาวัน เช่น กิน นอน
พดู เดนิ ทางาน ขบั รถ

การเรียนรตู้ ามแนวคิดของสกินเนอร์ เกิดจากการเช่อื มโยงระหว่างสิ่งเรา้ กบั การ
ตอบสนองเชน่ เดยี วกนั แตส่ กนิ เนอรใ์ หค้ วามสาคญั ตอ่ การตอบสนองมากกว่าสง่ิ เรา้ จงึ มคี น
เรียกว่าเป็ นทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบ Type R นอกจากน้ีสกินเนอร์ใหค้ วามสาคัญต่อการ
เสริมแรง (Reinforcement) ว่ามผี ลทาใหเ้ กดิ การเรียนรทู้ ี่คงทนถาวร ยิ่งขนึ้ ดว้ ย สกนิ เนอรไ์ ด้
สรปุ ไวว้ ่า อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนองขน้ึ อย่กู บั ผลของการกระทา คือ การ
เสริมแรง หรือการลงโทษ ทงั้ ทางบวกและทางลบ

สกินเนอรไ์ ดอ้ ธิบาย คาว่า "พฤติกรรม" ว่าประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ
3 ตวั คือ ว่าประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ตวั คือ

1. Antecedents คือ เงอ่ื นไขนาหรือสงิ่ เรา้ ทกี่ ระตนุ้ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม (สง่ิ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ
ข้ึนก่อน) ทกุ พฤติกรรมตอ้ งมีเง่ือนไขนา เช่น วันน้ีต้องเขา้ เรียนบ่ายโมง พฤติกรรมเราถกู
กาหนดดว้ ยเวลา

2. Behavior คือ พฤตกิ รรมที่แสดงออก

3. Consequence หรอื ผลกรรมเกิดขน้ึ หลงั การทาพฤตกิ รรม เป็ นตวั บอกว่าเรา

จะทาพฤติกรรมนน้ั อีกหรือไม่ ดงั นน้ั ไม่มีใครท่ีทาอะไรแลว้ ไมห่ วังผลตอบแทน ซึ่งเรียกยอ่ ๆ
ว่า A-B-C ซ่ึงทง้ั 3 จะดาเนนิ ตอ่ เนอ่ื งไป ผลที่ไดร้ บั จะกลบั กลายเป็ นสิ่งทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ก่อนอนั
นาไปสกู่ ารเกิดพฤตกิ รรมและนาไปสผู่ ลทไ่ี ดร้ บั ตามลาดบั

หลกั การและแนวคิดท่ีสาคญั ของสกนิ เนอร์

1. การวดั พฤติกรรมตอบสนอง

สกินเนอร์ เห็นวา่ การศึกษาจิตวิทยาควรจากดั อย่เู ฉพาะพฤตกิ รรมท่ีสามารถ
สังเกตเห็นไดอ้ ย่างชัดเจน และพฤติกรรมท่ีสังเกตไดน้ ั้นสามารถวัดไดโ้ ดยพิจารณาจาก
ความถ่ีของการตอบสนองในชว่ งเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือพิจารณาจากอัตราการ ตอบสนอง
(Response rate) นนั่ เอง

2. อตั ราการตอบสนองและการเสริมแรง

สกินเนอร์ เช่ือว่าโดยปกติการพิจารณาว่าใครเกิดการเรียนรหู้ รือไม่เพียงใด
น้ันจะสรปุ เอาจากการเปล่ียนแปลงการตอบสนอง (หรือพดู กลับกันไดว้ ่าการท่ีอัตราการ
ตอบสนองไดเ้ ปลี่ยนไปนัน้ แสดงว่าเกิดการเรียนรขู้ น้ึ แลว้ ) และการเปลี่ยนแปลงอัตราการ
ตอบสนองจะเกิดขึ้นไดเ้ ม่ือมีการเสริมแรง (Reinforcement) น้ันเอง สิ่งเรา้ นี้สามารถทาให้
อัตราการตอบสนองเปล่ียนแปลง เราเรียกว่าตวั เสริมแรง (Reinforcer) ส่ิงเรา้ ใดท่ีไมม่ ีผลตอ่
การเปล่ียนแปลงอตั ราการตอบสนองเราเรยี กว่าไมใ่ ชต่ วั เสริมแรง (Nonreinforcer)

3. ประเภทของตวั เสรมิ แรง

ตวั เสริมแรงนนั้ อาจแบ่งออกไดเ้ ป็ น 2 ลกั ษณะคอื อาจแบง่ เป็ นตวั เสริมแรงบวกกบั ตวั
เสริมแรงลบ หรืออาจแบ่งไดเ้ ป็ นตวั เสริมแรงปฐมภมู กิ บั ตวั เสริมแรงทตุ ยิ ภมู ิ

3.1 ตวั เสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcer) หมายถึง ส่ิงเรา้ ชนิดใด
ชนิดหนึ่ง ซ่ึงเมื่อไดร้ ับหรือนาเขา้ มาในสถานการณน์ น้ั แลว้ จะมีผลใหเ้ กิดความพึงพอใจ และ
ทาใหอ้ ตั ราการตอบสนองเปลย่ี นแปลงไปในลกั ษณะเขม้ ขน้ ขนึ้ เชน่ อาหาร คาชมเชย ฯลฯ

3.2 ตวั เสริมแรงลบ (Negative Reinforcer)หมายถึง ส่ิงเรา้ ชนิดใดชนิด
หนึ่ง ซ่ึงเม่ือตัดออกไปจากสถานการณ์น้นั แลว้ จะมีผลใหอ้ ัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปใน
ลกั ษณะเขม้ ขน้ ขน้ึ เชน่ เสียงดงั แสงสวา่ งจา้ คาตาหนิ รอ้ นหรอื เย็นเกนิ ไป ฯลฯ

3.3 ตวั เสรมิ แรงปฐมภมู ิ (Primary Reinforcer) เป็ นสิ่งเรา้ ท่จี ะสนอง

ความตอ้ งการทางอินทรีย์โดยตรง เช่น เมื่อเกิดความตอ้ งการอาหาร อาหารก็จะเป็ นตัว
เสริมแรงปฐมภมู ทิ ่ีจะลดความหิวลง เป็ นตน้

3.4 ตวั เสรมิ แรงทตุ ิยภมู ิ

โดยปกติแลว้ ตวั เสริมแรงประเภทน้ีเป็ นส่ิงเรา้ ท่ีเป็ นกลาง (Natural Stimulus) สิ่งเรา้ ที่
เป็ นกลางน้ี เมื่อนาเขา้ ค่กู ับตัวเสริมแรงปฐมภมู ิบ่อย ๆ เขา้ สิ่งเรา้ ซึ่งแต่เดิมเป็ นกลางก็
กลายเป็ นตัวเสริมแรง และจะมีคณุ สมบัติเช่นเดียวกับตัวเสริมแรงปฐมภมู ิ เราเรียกตัว
เสริมแรงชนิดน้ีว่า ตัวเสริมแรงทตุ ิยภมู ิ ตัวอย่างเช่น การทดลองของสกินเนอร์ โดยจะ
ปรากฎว่า เมื่อหนกู ดคานจะมีแสงไฟสว่างขนึ้ และมีอาหารตกลงมา แสงไฟซึ่งแตเ่ ดิมเป็ นสิ่ง
เรา้ ท่ีเป็ นกลาง ต่อมาเมื่อนาเขา้ ค่กู ับอาหาร (ตัวเสริมแรงปฐมภมู ิ) บ่อย ๆ แสงไฟก็จะ
กลายเป็ นตวั เสริมแรงปฐมภมู เิ ชน่ เดยี วกบั อาหาร แสงไฟจึงเป็ นตวั เสริมแรงทตุ ยิ ภมู ิ

ทฤษฎีบคุ ลิกภาพแบบมนษุ ยนิยม แนะนาเรื่องคณุ ค่าของการใหค้ วามเคารพตนเอง
และบคุ คลอน่ื โดยปราศจากเงอื่ นไข ซึ่งหลกั การนจี้ ะนาการปรบั เปลย่ี นบคุ ลกิ ภาพทดี่ กี วา่

อบั ราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) Maslow มีทรรศนะเหมือนกับ Freud ในแง่
ของความเชื่อเกี่ยวกับการจงู ใจมนษุ ย์ แตท่ รรศนะของ Maslow มีเหตผุ ลท่ีมาความแตกต่าง
จากทรรศนะของ Freud ตรงท่มี คี วามเชอื่ ในพลงั อานาจสง่ิ ที่บคุ คลมมี าตง้ั แตแ่ รกเกดิ ลว้ นแต่
เป็ นการจงู ใจในทางลบ แต่ Maslow มีความเห็นว่า จดุ อ่อนในสิ่งที่บคุ คลมีมาต้ังแต่แรกเกิด
ควรจะจัดใหเ้ ป็ นแนวทางบวก ควรจะไดร้ ับการสนับสนนุ ใหเ้ กิดการจงู ใจ เพื่อใหม้ นษุ ย์
สามารถมีชวี ิตอย่รู อดได้ จดั เป็ นพลงั อานาจท่ีดที ี่สดุ และเป็ นการจงู ใจที่จะตอ้ งกระทาในทนั ที
Maslow มีความเห็นว่า ถา้ ตราบใดท่ีมนษุ ยย์ ังมีความอดอยากหิวโหยอยู่ ส่ิงท่ีมีความสาคัญ
ท่ีสดุ สาหรับเขาก็คือ อาหารนนั่ เอง ลาดับขน้ั ความตอ้ งการของมาสโลวเ์ ป็ นท่ีรจู้ ักกนั อย่าง
แพร่หลาย ไดม้ ีการเสนอแนะว่า เมื่อมนษุ ยไ์ ดร้ ับความตอ้ งการขน้ั พ้ืนฐานจนเป็ นท่ีพึงพอใจ
แลว้ มนษุ ยก์ ็จะมคี วามตอ้ งการในลาดบั ขนั้ ทสี่ งู ตอ่ ไปใหป้ รากฏเห็นอย่เู สมอ

Maslow มีแนวความเช่ือว่า พฤติกรรมของมนษุ ย์ทกุ รปู แบบ
เกิดข้ึนจากแรงจงู ใจของตัวเอง แรงจงู ใจที่แตกต่างกันทาให้บคุ คลมี
บคุ ลิกภาพไม่เหมือนกนั การแบ่งแรงจงู ใจแบบหยาบๆ ตามแนวคิดน้ี แบ่ง
ออกเป็ น 2 ประเภท ไดแ้ ก่

- แรงจงู ใจท่ีเกิดจากความขาดแคลน (Deficiency Motives)

หมายถึง แรงจงู ใจขั้นพ้ืนฐานของมนุษย์ ความตอ้ งการทางสังคม หรือ การ
ตอบสนองทางอารมณแ์ ละจิตใจ ยกตวั อยา่ งเชน่ การมหี นา้ มีตาในสงั คม การไดร้ บั คาชม ยก
ย่องชมเชยจากผอู้ ่ืน การเรียกรอ้ งความสนใจ แตห่ ากมีมากเกินไปจะนาไปส่ภู าวะของโรคจิต
โรคประสาทได้

- แรงจงู ใจที่เกดิ จากความประสงคเ์ พ่ือความเจรญิ วฒั นะ (Being Motives)

หมายถึง แรงจงู ใจที่สงู ข้ึนจากความตอ้ งการข้ันพื้นฐาน แรงจงู ใจประเภทนี้ทาให้
มนษุ ยม์ ีความแตกตา่ งจากสัตวป์ ระเภทอ่ืน โดยสามารถฝึ กฝนตน ทาใหต้ นเองมีคณุ ค่า ท้ัง
ตอ่ ตนเอง ตอ่ ผอู้ ื่น และตอ่ สงั คม รวมถึงความมีศักดิศ์ รีในตนเอง สามารถสรา้ งความมนั่ คง
และเตบิ โตใหแ้ กบ่ คุ คล

ดงั นน้ั การศึกษามนษุ ยต์ ามแนวคิดนี้จะตอ้ งศึกษาท้ังหมดของตัวบคุ คล ไม่วิเคราะห์
เฉพาะส่วนย่อยเทา่ นน้ั มนษุ ยม์ คี วามตอ้ งการทงั้ หมด 5 ขนั้ โดยธรรมชาตจิ ะตอบสนองความ
ตอ้ งการจากขนั้ ตา่ สดุ ไปหาขน้ั สงู สดุ เมอื่ ไดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการในขนั้ หนง่ึ จนเป็ น
ทพ่ี อใจแลว้ ก็จะเกดิ ความตอ้ งการในขน้ั สงู ตอ่ ไป ความตอ้ งการทงั้ 5 ขน้ั มดี งั น้ี

ขน้ั ที่ 1 ความตอ้ งการดา้ นสรีระ (Physiological Needs) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการเพื่อ
ตอบสนองความหิว ความกระหาย ความตอ้ งการขนั้ นตี้ อบสนองแรงขบั ทางกาย เพื่อความ
อยรู่ อดของชวี ติ เชน่ นา้ อาหาร เครื่องนงุ่ ห่ม ท่อี ย่อู าศัย ฯลฯ

ขน้ั ท่ี 2 ความตอ้ งการความมนั่ คงปลอดภยั (Safety Needs) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการ
เกี่ยวกบั ความปลอดภยั มีเคร่ืองยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ปราศจากความสญู เสียและภยันตราย
ท้ังปวง เช่น เราตอ้ งการอย่บู า้ นท่ีมีสภาพบา้ นที่มนั่ คง ไม่มีขโมยมารบกวน การทาประกัน
ชีวิตหรือการออมเงนิ สาหรับเหตกุ ารณไ์ ม่คาดฝัน เป็ นตน้ ความตอ้ งการขนั้ น้ีจะเกิดขนึ้ เมื่อ
ความตอ้ งการดา้ นสรีระไดร้ บั การตอบสนองจนเป็ นทพี่ อใจแลว้

ข้ันท่ี 3 ความต้องการความรกั หรือสงั คม (Belongingness or Social Needs)
ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการสัมพันธก์ ับผอู้ ่ืน ความตอ้ งการเป็ นเจา้ ของ และมีเจา้ ของความรักใน
รปู แบบต่างกัน เช่น ความรักระหว่างค่รู ัก พ่อ-แม่-ลกู สามี-ภรรยา ความตอ้ งการไดร้ ับ
ความชมเชยจากผอู้ ่ืน เป็ นผไู้ ดร้ ับความไวว้ างใจจากผอู้ ่ืน หรือการไดเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของกล่มุ
ตา่ งๆ เป็ นตน้

ขนั้ ที่ 4 ความตอ้ งการนิยมนบั ถือในตนเอง (Esteem Needs) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการ
นบั ถือตนเอง ความภมู ิใจในตนเอง และใหผ้ อู้ ่นื ยกย่องนบั ถือในตวั เรา ความตอ้ งการมเี กยี รติ
มศี กั ดศ์ิ รี

ขนั้ ท่ี 5 ความตอ้ งการพฒั นาศกั ยภาพในตนเอง (Self-Actualization) เป็ นความ
ตอ้ งการขน้ั สงู สดุ ของมนษุ ย์ ซึ่งยากต่อการบอกไดว้ ่าคืออะไร เพียงกล่าวไดว้ ่า เป็ นความ
ตอ้ งการพฒั นาตนเองตามศักยภาพท่ีตนเองมอี ยอู่ ยา่ งสงู สดุ

ดงั นน้ั Maslow เชอ่ื วา่ ความตอ้ งการตามลาดบั ขนั้ นจ้ี ะมลี กั ษณะเฉพาะตวั แต่ละคน และ
ก่อใหเ้ กิดบคุ ลิกภาพที่แตกตา่ งกนั การท่ีจะพฒั นาตนไปถึงขนั้ สงู สดุ สามารถเกิดขนึ้ ไดก้ บั ทกุ
คนโดยไม่จาเป็ นตอ้ งมีสติปัญญาท่ีฉลาดลา้ เลิศ เพราะสติปัญญาเป็ นเพียงองคป์ ระกอบหนง่ึ
เท่านน้ั และการพฒั นาตนไปถึงขน้ั สงู สดุ ก็มิไดห้ มายความว่า บคุ คลตอ้ งเป็ นคนสมบรู ณแ์ บบ
เพราะมนษุ ยย์ อ่ มมรี กั โลภ โกรธ หลง อนั เป็ นกเิ ลสตณั หาอย่แู ทบทกุ คน

การวดั และการประเมนิ บคุ ลกิ ภาพ

บคุ คลแต่ละคนมีความเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางประการท่ีค่อนขา้ งคงรปู ในช่วง
ระยะเวลาหน่ึง ซ่ึงมีหลายมิติ และอาจมีการแสดงออกแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ตาม
สภาพแวดลอ้ ม หรือตามวิธีการปรับตวั ของแตล่ ะคน ซ่ึงสิ่งเหลา่ นถี้ ือว่าเป็ นความสามารถที่
ไมเ่ ท่ากนั ดงั นน้ั บางคนอาจมีลกั ษณะเปลี่ยนแปลงยาก บางคนมีการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว
ทั้งที่ใชร้ ะยะเวลาเท่ากัน การเปลี่ยนแปลงไดห้ รือไม่ไดด้ ังกล่าวเราสามารถทาการสังเกต
หรือวัดไดท้ งั้ ทางตรง และทางออ้ ม เชน่ ความถนดั ความเฉลียวฉลาด ความอดทนตอ่ การ
จดั การปัญหา หรอื ลกั ษณะนสิ ยั ทอี่ ย่ลู ึกลงไป เป็ นตน้

วิธีการวดั และประเมินบคุ ลิกภาพสามารถทาไดห้ ลายวิธี ไดแ้ ก่

1. การวดั และประเมินบคุ ลิกภาพแบบทวั่ ไป

2, การวดั และการประเมินบคุ ลิกภาพทางจิตวิทยา

1. วิธีการวดั และการประเมินบคุ ลิกภาพแบบทว่ั ไป

1. การสงั เกต เป็ นวิธีการประเมินบคุ ลิกภาพโดยธรรมชาติ ตามสภาพความเป็ น
จริงท่ีปรากฎ มกี ารบนั ทึกพฤติกรรมโดยใชแ้ บบบันทึกการสงั เกต การประเมินบคุ ลิกภาพท่ี
มีความเป็ นปรนยั ควรไดม้ าจากการสงั เกตโดยตรง ภายใตเ้ งอ่ื นไขหรือสภาวการณท์ ี่บคุ คล
มีปฏิสัมพันธ์ แต่เราไม่อาจสังเกตพฤติกรรมของบคุ คลไดต้ ลอดช่วงเวลาของบคุ คลน้ัน
ดงั นนั้ การสรปุ พฤตกิ รรมจงึ ตอ้ งกระทาดว้ ยความรอบคอบ ตรวจสอบในหลายสถานการณ์
จนกว่าจะพบว่าเป็ นบคุ ลิกภาพท่ีแทจ้ ริง เพราะแตล่ ะสถานการณอ์ าจมีความจากดั ที่จะทาให้
เกิดพฤติกรรม หรือกล่าวไดว้ ่าสิ่งเรา้ ในสถานการณน์ น้ั ไม่อาจทาใหเ้ กิดพฤติกรรมท้ังหมด
ของบคุ คลนน้ั ได้ อย่างไรก็ตามขอ้ สงั เกตทน่ี า่ สนใจคือ ความลาเอียง (Bias) ท่เี กิดขนึ้ จากการ
สงั เกต รวมทงั้ บคุ ลกิ ภาพหรอื สถานะของผสู้ งั เกตเองที่อาจมอี ิทธิพลตอ่ ผถู้ กู สงั เกตจนทาให้
พฤตกิ รรมทส่ี งั เกตไดค้ ลาดเคลือ่ นไปจากความเป็ นจรงิ ได้

2. การสมั ภาษณ์ เป็ นวิธีการศึกษาบคุ ลิกภาพดว้ ยการซกั ถาม ทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู
โดยตรง การสัมภาษณม์ ีหลายรปู แบบตงั้ แตป่ ระเภทไม่เป็ นทางการ (Informal) คือไม่กาหนด
โครงสรา้ งการถาม แตเ่ ป็ นการแลกเปลยี่ นความคิดเห็นทวั่ ๆ ไป

3. แบบสอบถาม หรอื การใชแ้ บบทดสอบ เป็ นวิธีการศึกษาบคุ ลิกภาพดว้ ยการให้
ค่าคะแนนหรือประเมินลักษณะของตนเอง (Self report inventory) ในลักษณะของพิจารณา
การแสดงพฤติกรรมของตนว่าจะโตต้ อบต่อสถานการณต์ ่าง ๆ อย่างไร อาจมีตัวเลือกให้
ตอบเป็ นขอ้ ความ หรือตวั เลือกเป็ นลาดบั ค่าคะแนน หรือใหต้ อบลกั ษณะจริง ไมจ่ ริง ใช่ ไมใ่ ช่
วิธีการน้ีมักใชว้ ัดบคุ ลิกภาพท่ีเป็ นการวัดเฉพาะประเด็นท่ีผวู้ ัดสนใจ เช่น การวัดแรงจงู ใจ
ความคิด ทัศนคติ หรือความรสู้ ึก ตัวอย่างเช่นคณุ มีความเครียดมากแค่ไหน หรือคณุ
สขุ ภาพจติ ดหี รือไม่ หรือแบบวดั ความสขุ ในตวั คณุ เป็ นตน้

2. วิธีการวดั และการประเมินบคุ ลกิ ภาพทางจิตวิทยา

สาหรับแบบวัดบคุ ลิกภาพตามแนวจิตวิทยา ( Psychological test) มีมากมายหลายชดุ
บางชดุ มีความเป็ นปรนยั มีลกั ษณะใหเ้ ลือกตอบ เชน่ แบบวัดบคุ ลิกภาพ 16PF หรือแบบวัด
MBTI ท่ีจะมีขอ้ คาถาม และตวั เลือกใหเ้ ลือกตอบตามที่ตนเองประเมินจากการแสดงออกของ
ตน โดยนกั จิตวิทยาพยายามคน้ หาวิธีการตา่ ง ๆ ท่ีจะสามารถอธิบายบคุ ลิกภาพของบคุ คล
ใหช้ ดั เจน

การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอก

บุคลิกภาพเป็ นภาพรวมของบุคคลแต่ละบุคคลท่ีแสดงใหผ้ อู้ ื่นเห็นแลว้ ทาใหเ้ กิด
ความรสู้ ึกประทับใจหรือไม่ประทับใจ ซ่ึงบคุ ลิกภาพเป็ นสิ่งที่เปล่ียนแปลงไดห้ ากไดร้ ับการ
พัฒนา ทาความเขา้ ใจ และแก้ไข บุคลิกภาพเป็ นสิ่งที่ได้จากการสะสมประสบการณ์
สภาพแวดลอ้ มและการอบรมสงั่ สอนของครอบครวั โดยบคุ ลกิ ภาพสามารถแสดงออกไดท้ าง
สีหนา้ ท่าทาง คาพดู หรือกิริยามารยาท ซ่ึงหากคนที่มีบุคลิกภาพท่ีดีจะทาใหไ้ ดร้ ับการ
ยอมรับจากสังคม ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ เป็ นผทู้ ี่มีกิริยามารยาทไม่สภุ าพอ่อนโยน จิตใจแคบ
ไมม่ มี นษุ ยสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ื่น จะไมไ่ ดร้ บั การยอมรับจากคนในสงั คม ดงั นนั้ จึงสามารถกล่าวได้
ว่าบุคลิกภาพมีความสาคัญอย่างยิ่งท่ีจะช่วยทาใหบ้ ุคคลประสบความสาเร็จหรือความ
ลม้ เหลวในอาชพี ได้

การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายใน

บคุ ลิกภาพภายใน คือลักษณะภายในของบคุ คลแต่ละคนท่ีไม่สามารถสังเกตเห็นได้
ในทันที แมจ้ ะเป็ นส่ิงที่มองไม่เห็น จับตอ้ งไม่ได้ เช่นความคิด ทัศนคติ อปุ นิสัยใจคอ หรือ
คณุ ธรรมจริยธรรม เชน่ ความซ่ือสัตย์ ความเมตตาแตเ่ ราสามารถรับรสู้ ่ิงต่าง ๆเหล่านี้ได้
ผ่าน การแสดงออก คาพดู แต่อาจตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการทากิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
พอสมควร

องคป์ ระกอบของการปรบั ตวั

การปรับตวั ท่สี าเร็จจาเป็ นจะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบทง้ั หมด 10 ประการ ไดแ้ ก่

1) การเขา้ ใจและรจู้ กั ตนเอง การรขู้ ดี ความสามารถของตนเอง ยอมรับ
จดุ บกพร่องของตนเอง และเขา้ ใจขอ้ จากดั ของตนเอง เป็ นเครอ่ื งมอื สาคญั ในการคดั แยกส่ิงที่
บคุ คลสามารถทาไดอ้ อกจากสิ่งที่บคุ คลไม่สามารถทาได้ เมื่อบคุ คลไม่บังคับหรือหลอกลวง
ตนเองใหท้ าในส่ิงที่ยังไม่มีศักยภาพหรือความพรอ้ มมากพอท่ีจะบรรลผุ ลสาเร็จได้ ความ
ลม้ เหลวในการปรับตัวย่อมเกิดข้ึนนอ้ ยลง การยอมรับว่าตนเองยังขาดศักยภาพและยังมี
ขอ้ จากดั เป็ นบนั ไดขนั้ แรกท่จี ะนาบคุ คลไปสกู่ ารพฒั นาศักยภาพและลดทอนขอ้ จากดั ดงั กลา่ ว
ในอนาคต

2) การยอมรบั และช่ืนชมในตวั ตนของตนเอง การปรับตัวท่ีดีคือการ
อัพเกรดเวอร์ชัน่ ใหม่ที่ดีขึ้นของตนเอง ไม่ใช่การเปล่ียนแปลงตนเองไปเป็ นแบบใครคนอ่ืน
เนอื่ งจากคนทกุ คนลว้ นแลว้ แตม่ คี ณุ ค่าเฉพาะตวั ดว้ ยกนั ทง้ั สิ้น

3) การควบคมุ ตนเอง ในทกุ สังคมย่อมมีวัฒนธรรมที่เกี่ยวขอ้ งกับการ
แสดงออกทางท้ังในดา้ นความคิด พฤติกรรม อารมณ์ และทัศนคติ ที่เหมาะสมและเป็ นท่ี
ปรารถนา ซ่ึงบคุ คลไดร้ ับความคาดหวังใหป้ ฏิบัติตาม เปรียบเทียบไดก้ ับบา้ นเมืองท่ีผคู้ น
เคารพกฎหมาย กฎหมายก็มคี วามเขม้ แขง็ บา้ นเมืองนนั้ ก็ยอ่ มสงบสขุ ปราศจากผรู้ า้ ย ทาให้
การพฒั นาสามารถเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง แตบ่ า้ นเมอื งทปี่ ระชาชนไมเ่ คารพกฎหมาย ความ
ว่นุ วาย แกง่ แย่งชงิ ดี เส่ือมโทรม ยอ่ มเกดิ ขน้ึ ตามมา

4) บคุ ลิกที่สอดประสานกนั กบั อารมณแ์ ละความคิด บคุ คลที่สามารถ
ปรบั ตวั ไดด้ ี มกั มกี ระบวนการทางานของความคิด ความปรารถนา ความรสู้ ึก อารมณ์ แรง
กระตนุ้ และการกระทาสามัคคีเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่พดู อย่างแต่ปฏิบัติขัดแยง้ ไปอีก
ทาง หรือคดิ แบบหนงึ่ แตก่ ลบั แสดงออกทางอารมณอ์ ีกแบบหนงึ่ เป็ นตน้

5) มีเป้ าประสงคท์ ่ีชดั เจนเหมาะสม บคุ คลที่มีเป้ าประสงคใ์ นการทาสิ่ง
ต่างๆ อย่างชัดเจนมักไม่เสียเวลาไปอย่างไรจดุ หมาย แต่จะมีการวางแผนเพื่อบรรลสุ ่ิงท่ี
ม่งุ หวัง มีทิศทางท่ีค่อนขา้ งชัดในการดารงชีวิตในแต่ละวัน พรอ้ มจะเรียนรแู้ ละหรือสรรหา
วธิ ีการใหมๆ่ เพอ่ื บรรลเุ ป้ าหมาย

6) มีความรบั ผิดชอบ ความรับผิดชอบต่อความคิด การดารงชีวิต และ
การกระทาของตนเอง คือองคป์ ระกอบหนงึ่ ของวฒุ ิภาวะ และบคุ คลที่จะประสบความสาเร็จ

ในการปรับตวั ได้ ตอ้ งเป็ นผมู้ วี ฒุ ิภาวะ คดิ ถึงผลของการกระทาของตนและรบั ผิดชอบ
สิง่ ท่ีเกดิ ขน้ึ อนั เป็ นผลสบื เนอ่ื งมาจากการกระทาของตนได้

7) ฟมู ฟักพฤติกรรมที่น่าปรารถนา เชน่ กลา้ หาญ พึ่งพาตนเองได้

ไมผ่ ลดั วนั ประกนั พรงุ่ ไมข่ เี้ กียจ ไมต่ ดั สินคนอ่ืนโดยไมม่ ขี อ้ มลู หลกั ฐาน ใฝ่ รู้ มหี วั ใจเปิ ดกวา้ ง
มศี ักยภาพในการปรับตวั

8) ปราศจากอาการป่ วยทางกายท่ีทาให้การตอบสนองต่อสิ่งเร้า
บกพรอ่ ง บคุ คลที่ไมส่ ามารถปรับตวั ไดอ้ ย่างเหมาะสมจะแสดงออกอย่างรนุ แรงและ (มกั จะ)
รวดเร็วเมอื่ ประสบพบเจอกบั ส่ิงเรา้ ส่วนหนงึ่ เป็ นเพราะอาการป่ วยทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ร่างกายทาให้
ความสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมและการแสดงออกของตนเองถดถอยลง

9) สนกุ สนานกบั ความสนใจท่ีหลากหลาย การมีความสนใจหลากหลาย
นอกจากจะเป็ นการขยายขอบเขตความคิดและจินตนาการแลว้ ยังเป็ นการสรา้ งช่วงเวลา
ผ่อนคลายจากงานท่ีทาอย่เู ป็ นกิจวัตร และในบางครั้งยังเป็ นการเพิ่มเติมทักษะการคิดแบบ
ใหมๆ่ ท่ชี ว่ ยทาใหม้ ที กั ษะการปรบั ตวั ในอนาคตดขี น้ึ

10) ยอมรบั ความเป็ นจริง สงั คมแตล่ ะสงั คมที่เราอาศัยอย่ยู ่อมมีความแตกต่าง
กนั ในแงค่ วามคิด ความเช่ือ และค่านิยม จริงอย่วู ่าในสังคมยุคโลกาภิวัตนน์ ี้ไม่มีสังคมใดที่มี
วัฒนธรรมบริสทุ ธิ์ ตา่ งก็ไดไ้ ดร้ ับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอ่ืนทง้ั สิ้น แตก่ ารที่บคุ คลพยายาม
บังคับใชค้ ่านิยมท่ีแตกต่างผิดแผกจากค่านิยมเดิมของสังคมท่ีตนอาศัยอย่อู ย่างผิดจังหวะ
เวลา ย่อมทาใหก้ ารปรับตวั เป็ นเรื่องยาก การยอมรับความเป็ นจริงของสงั คมท่ีตนอาศัยอยู่
จึงเป็ นอีกหนงึ่ กญุ แจดอกสาคญั ที่จะทาใหก้ ารปรบั ตวั ประสบผลสาเร็จ

เกยี รติบตั ร


Click to View FlipBook Version