เอกสารประกอบ
HOME - BASED LEARNING
เ ด็ ก ป ฐ ม วั ย ใ น ช่ ว ง โ ค วิ ด - 1 9
วันจันทร์ ที่ 7 มีนาคม 2565
ส า ร บั ญ
Home - Based Learning คือ ?
วิจัยที่เกี่ยวข้อง
เรียนอย่างไรให้เหมาะสม
มีส่วนร่วมในการเรียน HBL
อย่างไรให้ดีขึ้น ?
จัดกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนา
เด็กในสถานการณ์โควิด -19
Play and learn at home
อย่างไรให้ได้ผล ?
1 Home - Based Learning คือ ?
Home based learning คือ การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่บ้าน โดยใช้
3 องค์ประกอบ ได้แก่
1. E- learning (การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิ กส์)
2. E-mail (จดหมายอิเล็กทรอนิ กส์)
3. Assignment(การมอบหมายงาน) ซึ่งจะนำมาประยุกต์ให้เข้ากับเนื้ อหา
โดยมองที่ผู้เรียนเป็นหลัก
ความเป็นมาหรือที่มาของ Home based learning
ประเทศที่ใช้ Home based learning มาก่อนที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย คือ
ประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศมาตรการจำกัดเสรีภาพการใช้ชีวิต
นอกบ้านที่เรียกว่า circuit Braker หรือ มาตรการตัดวงจรทั่วประเทศ
ระหว่างวันที่ 8 เมษายน 2563 - 4 พฤษภาคม 2563 และได้ขยายเวลาล่าสุดไป
จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของ โควิด-19
ซึ่งคำสั่งนี้ มีผลให้ร้านค้า ภาคธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต้องหยุดให้
บริการ รวมทั้งโรงเรียนทุกระดับชั้น ต้องหยุดการเรียนการสอนที่โรงเรียน
จากนั้ นก็มีประกาศให้สถาบันการศึกษาต้องเปลี่ยนเข้าสู่การเรียนการสอน
แบบ HBL หรือ Home based learning อย่างเต็มรูปแบบ โดยระหว่างนี้
โรงเรียนทุกแห่งยังมีครูประจำอยู่ที่โรงเรียนจำนวนหนึ่ ง ไว้คอยให้คำปรึกษา
สถาบันการศึกษาของสิงคโปร์ได้ทำจดหมายถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อชี้แจง
และแจ้งถึงแนวทางการเรียนรู้แบบ HBL ได้อย่างประสบความสำเร็จ และยัง
เน้ นการให้ความรู้กับเด็กและผู้ปกครองในการทำความเข้าใจวิธีการ ขั้นตอน
และการทำงานร่วมกันในการเรียนรู้แบบ Home based learning จนมั่นใจว่า
ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการทำงานและเรียนรู้แบบ HBL อย่างแท้จริง ดังนั้ น
จึงมีการนำการเรียนการสอนแบบ Home based learning มาประยุกต์ใช้ใน
ประเทศไทยอย่างแพร่หลาย เนื่ องจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นเดียวกันกับ
ประเทศสิ งคโปร์
Home - Based Learning คือ ? (ต่อ) 2
โรคโควิด-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรง จากการแพร่กระจายไปในหลาย
ประเทศทั่วโลกแล้วนั้ น สถานศึกษาดำเนิ นการป้องกันตามมาตรฐานของ
กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดหนึ่ งในวิธีการรับมือคือ Social distancing
หรือการเพิ่มระยะห่างระหว่างสังคม เพื่อป้องกันการระบาดจากคนสู่คน
ซึ่งมาตรการ Social Distancing ทำให้มีการนำระบบการเรียนการสอนแบบ
work from home เพื่อดำเนิ นการเรียนการสอนต่อไปอย่างต่อเนื่ อง ภายใต้
วิกฤตโรคระบาดนี้
นำ Home based learning มาใช้ช่วง โควิด-19
เมื่อสถานการณ์ โรคระบาดคือจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของวงการการศึ กษาทั่ว
โลก เราจึงต้องปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้โดยการนำ Home based
learning มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่บุคคลอื่น
หรือใครๆก็สามารถนำไปใช้ได้โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น อาจยืดหยุ่นตามบริบท
ของครอบครัว บุคคลและสถานที่ อาจไม่จำเป็นต้องให้ครบทุกกิจกรรม แต่
ให้เกิดการเรียนรู้สม่ำเสมอเป็นไปตามพัฒนาการช่วงวัย เพื่อให้การเรียนรู้
สนุกสนานสำหรับเด็กทุกคน จึงเน้ นการจัดกิจกรรมและการเรียนรู้ด้าน
ทักษะมากกว่าเนื้ อหา โดยการที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้นั้นต้องอาศัยหลายๆสิ่ง
เช่น การออกแบบรูปแบบแนวทางว่าเรียนอย่างไรให้เหมาะสมอาศัยวิจัยที่
เกี่ยวข้องมาเชื่อมโยง เพื่อให้เกิดความน่ าเชื่อถือและสามารถนำมาพัฒนาต่อ
ยอดในประเทศไทย
3 ง า น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง
Home-Based Learning ทางเลือกการศึ กษายุค
COVID-19 /ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
ภายหลังจากที่มีการปรับเวลาเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2563 ของกระทรวง
ศึกษาธิการ เพื่อสอดรับกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย จากเดิม
วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 โดยไม่มีการปิดเทอม
เล็ก เพื่อให้นั กเรียนมีเวลาเรียนเพียงพอตามหลักสูตรการศึกษาที่ใช้ใน
ปัจจุบัน คนเป็นพ่อแม่จำนวนไม่น้ อยที่รู้สึกเครียดทันที เพราะนอกจากตัว
เองต้องประสบปัญหา WFH (Work from Home) ต้องจัดสรรเวลาทำงานที่
บ้านแล้ว ยังต้องจัดสรรเวลาในการดูแลลูกที่ปิดเทอมยาวนานอีกต่างหาก
นี่ ยังไม่นั บรวม กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านช่วง
ชั้นนั กเรียนต้องสอบเข้าโรงเรียนอื่นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 หรือ 4 ซึ่งก็ต้องเลื่อนไปด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดความไม่แน่ นอนในชีวิต
และสร้างความอึดอัดคับข้องใจทั้งครอบครัว
แม้ล่าสุดจะมีแนวทางในการให้เปิดรับสมัครผ่านออนไลน์ และวางกรอบ
เวลาในส่วนของโรงเรียนสังกัดสำนั กงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น
ฐาน แต่ความกังวลใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองในครั้งนี้ ค่อนข้างหนั กหน่ วง
เพราะนอกจากจะต้องรับมือกับสถานการณ์COVID-19 จัดการเรื่องความ
ปลอดภัย ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และยังต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ปฏิบัติ
ตัวอย่างเคร่งครัด ทำงานที่บ้าน บางคนอาจถึงกับรายได้ลด หรือต้องออก
จากงาน
และเมื่อต้องดูแลลูกด้วย แม้จะเต็มใจและอยากอยู่ใกล้ลูก แต่ดูเหมือน
สถานการณ์ต่างๆที่รุมเร้า ประมาณต้องดูแลทั้งบ้าน งาน ครอบครัว สามีและ
ภรรยา อาหาร ต้องรัดเข็มขัดเรื่องรายได้ แล้วต้องดูแลลูกที่ต้องเติบโตขึ้นทุก
วัน
จึงไม่แปลกใจที่คนเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองจำนวนมากจะอึดอัดคับข้องใจ และ
กังวลใจไปซะทุกเรื่อง
ง า น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ( ต่ อ ) 4
อย่ากระนั้ นเลย เมื่อต้องเจออุปสรรคก็ต้องพร้อมจะเผชิญปัญหาทุกเมื่อ เพราะ
สถานการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราครอบครัวเดียว แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น
กับคนทั้งโลก และเป็นปัญหาที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการพร้อมเผชิญปัญหา และตั้งสติให้ได้ไวที่สุด จากนั้ นก็
วางแผนรับมือกับทุกปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างใน
ทันที หรือต้องทำให้ได้ดีทั้งหมด ค่อยๆ ปรับตัว และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้
กำลังใจสำคัญที่สุด ถ้าตั้งตัวได้เร็ว มองวิกฤติเป็นโอกาสได้เร็ว ก็จะทำให้เรา
ลุกจากปัญหาได้เร็วเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองยุคนี้ เรื่องการศึกษาของลูกดู
เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สุด
พ่อแม่ผู้ปกครองเตรียมตัวรับมือกับการศึกษาของลูกที่ต้องเรียนออนไลน์ กัน
บ้างแล้ว สำหรับเด็กโตไม่น่ าเป็นปัญหา เพราะเขาสามารถจัดการตัวเองได้ ขอ
เพียงให้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมก็พอ
แต่ถ้าเป็นเด็กเล็ก ก็เป็นเรื่องของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ต้องเตรียมตัววางแผน
เรื่องนี้ ให้พร้อม
กระนั้ นก็ตาม เรื่องการเรียนผ่านออนไลน์ ปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อแม่ผู้
ปกครองอย่างเดียวไม่ได้ เป็นเรื่องที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต้อง
ทำงานร่วมกับพ่อแม่ด้วย โดยมีนโยบายของภาครัฐที่ต้องเข้ามาช่วยจัดการ
มีตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่น่ าสนใจ ซึ่งได้มีการเตรียมการณ์ และวางแผน
ก่อนหน้ านี้
5 ง า น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ( ต่ อ )
รัฐบาลสิ งคโปร์ประกาศมาตรการจำกัดเสรีภาพการใช้ชีวิตนอกบ้านที่เรียกว่า
Circuit Breaker หรือมาตรการตัดวงจรทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 8 เมษายน
2563 - 4 พฤษภาคม 2563 และล่าสุดได้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน
2563 เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งคำสั่งนี้ มีผลให้
กิจการร้านค้า ภาคธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต้องหยุดให้บริการ
รวมทั้งโรงเรียนทุกระดับชั้นต้องหยุดการเรียนการสอนที่โรงเรียน
จากนั้ นก็มีประกาศให้สถาบันการศึกษาต้องเปลี่ยนเข้าสู่การเรียนการสอน
แบบ HBL (Home-Based Learning) อย่างเต็มรูปแบบ โดยระหว่างนี้ โรงเรียน
ทุกแห่งยังมีครูประจำอยู่ที่โรงเรียนจำนวนหนึ่ งไว้คอยให้คำปรึกษาเด็กที่เรียน
หนั งสือที่บ้าน หากต้องการคำปรึกษาจากครูอีกด้วย
ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาของสิงคโปร์ได้ทำจดหมายถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อ
ชี้แจงและแจ้งถึงแนวทางของการเรียนรู้แบบ HBL ซึ่งต้องมีการประสานงาน
ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว พร้อมทั้งส่งกำหนดตารางหรือกิจวัตรประจำ
วันของเด็ก รวมถึงตั้งเป้าหมายระยะสั้นร่วมกับเด็กในการเรียนรู้แต่ละวัน
ตลอดจนงานต่างๆ ที่เด็กต้องทำให้เสร็จในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้ นๆ โดยให้
พ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เด็กทำตามตารางที่กำหนดไว้
เรียกว่าเป็นตารางเรียนที่กำหนดไว้ว่าเด็กต้องเรียนอะไรบ้าง และมี Link ของ
วิชานั้ นๆ ให้เด็กๆ ได้เรียนตามบทเรียนที่ครูได้วางแผนไว้ก่อนหน้ านี้
แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างข้อตกลงการใช้งานอุปกรณ์หน้ าจอ (Screen
Devices) ร่วมกับเด็ก เวลาใดเป็นเวลาที่ควรใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อเรียนรู้
แบบ HBL และกำหนดช่วงเวลาพักขณะเรียน โดยลดเวลาพักการใช้งาน
อุปกรณ์หน้ าจอ ให้เด็กทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อละสายตาจากหน้ าจอ
ที่น่ าสนใจก็คือ ครูจะต้องมีการวางแผนและเตรียมการจัดการเรียนรู้ รวมถึง
การจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ของบทเรียนไว้อย่างครบถ้วน
ง า น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ( ต่ อ ) 6
และต้องไม่เพียงวางแผนจัดการเรียนการสอนวิชาการอย่างเดียว แต่ให้มี
กิจกรรมที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนบ้าง เพื่อให้
เด็กได้มีปฏิสั มพันธ์ทางสั งคม
การจัดการเรียนรู้แบบ HBL ของสิงคโปร์นั้ น ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กระดับชั้นประถมศึกษา ที่ยังต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ในการทำ
กิจกรรมต่างๆ และภาครัฐก็มองว่าการเรียนรู้สำหรับเด็กในภาวการณ์วิกฤติ
เช่นนี้ ควรเป็นทั้งการเรียนรู้แบบ Online และ Offline ดังนั้ นไม่ใช่ทุก
กิจกรรมการเรียนรู้จะต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เสมอไป
ด้วยเหตุนี้ สิงคโปร์จึงเตรียมการสนั บสนุนการทำงานของผู้ปกครองเพื่อช่วย
ให้เด็กเรียนรู้แบบ HBL ได้อย่างประสบความสำเร็จ และยังเน้ นการให้ความรู้
กับเด็กและผู้ปกครอง ในการทำความเข้าใจวิธีการ ขั้นตอน และการทำงาน
ร่วมกันในการเรียนรู้แบบ HBL จนมั่นใจว่าทุกฝ่ายมีความพร้อมในการทำงาน
และเรียนรู้แบบ HBL อย่างแท้จริง
และหากพบว่ามีปัญหาใดติดขัดสามารถขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนได้
ทันที
สรุปแล้ว การจัดการเรียนรู้แบบ HBL ของสิงคโปร์สะท้อนวิธีคิดและมุมมอง
ในการจัดการศึกษาที่เน้ นการเรียนรู้ของเด็กหรือผู้เรียนและครอบครัวเป็น
ตัวตั้ง ความพร้อมของเด็ก ทั้งในแง่ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเข้าถึง
อุปกรณ์และ Platform การเรียนรู้ต่างๆ ตลอดจนความพร้อมของครูและพ่อ
แม่ ผู้ปกครองที่เป็นผู้ช่วยเด็กในการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์และการจัด
เรียนรู้แบบ HBL
ประการสุดท้ายการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้เพียงพอสำหรับบุคลากรและ
เด็กนั กเรียนทุกคนมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสื่อการเรียนรู้ทุกรูปแบบที่ใช้
ในแต่ละบทเรียน รวมถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือ Tablet หรือแม้แต่ซิ
มการ์ด สำหรับการเข้าถึง Internet ที่มีเพียงพอสำหรับนั กเรียนทุกคน
7 ง า น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ( ต่ อ )
เรื่องนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญมาก นายออง เย คุง รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ร้อยละ 98 ของครอบครัวชาวสิงคโปร์ที่มีลูก
กำลังเรียนหนั งสือ เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ และมีอินเทอร์เน็ ตใช้
งานที่บ้าน และรัฐบาลสิงคโปร์ก็พร้อมจัดหาแล็ปท็อปและแท็บเล็ตให้
นั กเรียนผู้มีรายได้น้ อย ให้มีอุปกรณ์สื่อสารเหล่านี้ ไว้ใช้เรียนหนั งสือที่บ้าน
ล่าสุดรัฐบาลสิงคโปร์จัดหาแล็ปท็อปและแท็บเล็ต 12,500 เครื่อง ให้นั กเรียน
ที่มีฐานะยากจนยืมใช้เป็นอุปกรณ์ การเรียนระหว่างที่รัฐบาลมีคำสั่ งให้ปิด
โรงเรียน ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ ยังจัดหาอุปกรณ์เชื่อมต่อ
อินเทอร์เน็ ต ให้นั กเรียนยืมอีก 1,200 ชุด
ทั้งหมดนี้ คือการเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษาในระดับประถมศึกษา
ขึ้นไปของประเทศสิงคโปร์ที่กำลังเผชิญกับปัญหา COVID-19 ที่กำลังกลับมามี
ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาเฉพาะหน้ าก็ต้องแก้ไข แต่ขณะเดียวกันปัญหาเรื่องการศึกษาก็ต้อง
ดำเนิ นต่อไป เพราะเด็กก็ยังต้องเติบโตและเรียนรู้ ก็ถือโอกาสให้เรียนรู้ใน
บริบทของสั งคมที่กำลังเผชิญสถานการณ์ วิกฤติ
นี่ ก็เป็นตัวอย่างให้วงการศึกษาบ้านเราได้เรียนรู้ และเตรียมวางแผนรับมือให้
เหมาะสม
เพราะในโลกยุคหลัง COVID-19 นี้ HBL จากที่เคยเป็นการศึกษา “ทางเลือก”
อาจจะแปรเป็น “ทางหลัก” ก็เป็นไปได้ !
เ รี ย น อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม 8
ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด เราควรเปลี่ยนให้ทุกๆที่กลายเป็น
โรงเรียน เพราะการเรียนรู้ยังต้องดำเนิ นอยู่แม้นั กเรียนไม่สามารถไปโรงเรียน
ตามปกติ ในหลายประเทศที่ประกาศมาตรการปิดโรงเรียน รัฐบาลมักจะออก
มาตรการด้านการเรียนรู้มารองรับ ด้วยการเรียนทางไกลรูปแบบต่างๆ โดย
พิจารณาจากเงื่อนไขความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความพร้อมของพ่อแม่ และความ
พร้อมตามช่วงวัยของเด็ก
สำหรับประเทศไทย ความท้าทายในการเปลี่ยนครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การแก้ไข
ปัญหาเฉพาะหน้ าในสถานการณ์โควิด-19 เท่านั้ น แต่ควรเป็นการ “เปลี่ยน
วิกฤติให้ เป็นโอกาส” ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้ดีกว่าเดิม
ดังนั้ น มาตรการการเรียนรู้ของไทยจึงไม่ควรปรับแค่กระบวนการเรียนรู้ใน
ห้องเรียน แต่ต้องปรับใหญ่ทั้งระบบการเรียนรู้ที่ต้องสอดคล้องกันและ
เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของเด็ก โดยควรดำเนิ นการ ดังนี้
1. กระชับหลักสูตร ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 และสื่อสาร
ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทราบ หลักสูตรการศึกษาพื้นฐานของไทยใน
ปัจจุบัน เน้ นเนื้ อหามาก ครูจำเป็นต้องใช้เวลาเยอะเพื่อสอนได้ครบถ้วน และไม่
เอื้อให้นั กเรียนมีส่วนร่วม (Active Learning) เท่าที่ควร และหากยังใช้
หลักสูตรเดิมในการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ครูจะต้องใช้
เวลาสอนมากขึ้นเพื่อสอนให้ครบถ้วน การปรับหลักสูตรให้กระชับควบคู่ไปกับ
จัดลำดับความสำคัญ รวมทั้งผ่อนคลายตัวชี้วัดเรื่องโครงสร้างเวลาเรียนจะ
สามารถช่วยลดความกดดัน โดยยังคงคุณภาพขั้นต่ำไว้ได้ ตัวอย่างของ มลรัฐ
Alberta ประเทศแคนาดา ได้กระชับหลักสูตรโดยเน้ นเนื้ อหาจำเป็นตาม
มาตรฐานของแต่ละช่วงวัย เพื่อให้ครูสามารถนำไปวางแผนการสอนและใช้เวลา
ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งออกคู่มือหลักสูตรฉบับย่อสำหรับผู้ปกครอง เพื่อ
สื่ อสารให้เข้าใจถึงหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไป
9
เ รี ย น อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ( ต่ อ )
หลักสูตรแกนกลางไทยจัดประเภทตัวชี้วัดแล้ว แต่ต้องเพิ่มความชัดเจนใน
การสื่อสารแก่ครูและผู้ปกครอง หลักสูตรแกนกลางของไทยกำหนดตัวชี้วัด
“ต้องรู้” และ “ควรรู้” ในแต่ละสาระวิชาแล้ว แต่ต้องเพิ่มความชัดเจน โดยระบุ
เนื้ อหาจำเป็นของแต่ละช่วงวัย และเปิดให้ครูมีอิสระในการจัดการเรียนรู้เนื้ อหา
ส่วนอื่นๆ ตามความเหมาะสม ในขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการควรให้
ศึกษานิ เทศก์ทำหน้ าที่เป็นโค้ชให้แก่ครู โดยให้คำแนะนำในการเลือกตัวชี้วัด
และเนื้ อหานอกเหนื อจากส่วนที่จำเป็นเพื่อให้เหมาะกับบริบทและสถานการณ์
ของพื้นที่ อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการควรออกคู่มือหลักสูตรฉบับย่อสำหรับผู้
ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจบทบาทใหม่ และสามารถติดตามการเรียนรู้
ของเด็กได้
นอกจากนี้ โรงเรียนต้องไม่ละเลยการให้ความรู้แก่นั กเรียนแต่ละช่วงวัยในการ
ป้องกันตนเองจากโรคระบาด ซึ่งองค์กรอนามัยโลกได้จัดทำคู่มือไว้แล้ว
2. เพิ่มความยืดหยุ่นของโครงสร้างเวลาเรียนและความหลากหลายของรูป
แบบการเรียนรู้ ความยืดหยุ่นในการใช้เวลาและการเลือกรูปแบบการเรียนจะ
ทำให้ครูสามารถออกแบบหน่ วยการเรียนรู้ที่เหมาะสมและส่งเสริมการเรียนรู้
รายบุคคล (personalized learning) ได้ ดังตัวอย่างของมลรัฐ Alberta
ประเทศแคนาดา ซึ่งมีแนวทางสนั บสนุนให้ครูจัดการเรียนรู้ด้วยแบบผสม
ผสาน (blended learning) โดยแนะนำการกำหนดจำนวนชั่วโมงการเรียนรู้รูป
แบบต่างๆ ได้แก่
ชั่วโมงเรียนรู้ผ่านจอสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย โดยคำนึ งถึงพัฒนาการด้าน
ร่างกาย (ปัญหาด้านสายตา) และพัฒนาการด้านสังคม (ปฏิสัมพันธ์กับผู้
อื่น)
ชั่วโมงการเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้านจากการทำใบงาน ชิ้นงาน ค้นคว้าด้วย
ตัวเอง
ชั่วโมงที่ครูและนั กเรียนทำกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน
10
เ รี ย น อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ( ต่ อ )
ส่วนในกรณีของสหรัฐอเมริกา พบว่า ให้ความสำคัญต่อการตอบสนองของผู้
เรียนแต่ละคนแตกต่างกัน โดยจัดทำฐานข้อมูลของสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ที่ครู
และนั กเรียนสามารถเข้าถึงได้อย่างอิสระโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยัง
เปิดช่องให้หน่ วยงานอื่นๆ และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด
ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการสนั บสนุนการเรียนรู้ของเด็ก ในขณะที่
นิ วซีแลนด์เตรียมชุดการเรียนรู้พื้นฐานให้นั กเรียน ซึ่งประกอบด้วยคู่มือ
ออนไลน์ และชุดการเรียนรู้ (สื่อแห้ง) เพื่อให้นั กเรียนทุกคนทั้งที่สามารถเข้า
ถึงและไม่สามารถเข้าถึงระบบเรียนออนไลน์ สามารถใช้เรียนรู้ได้
ในกรณีของไทย แม้หลักสูตรแกนกลางของไทยเปิดให้มีความยืดหยุ่นในการ
กำหนดชั่วโมงเรียน แต่ก็ยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับโครงสร้างเวลาเรียนที่ค่อน
ข้างแข็งตัว ดังนั้ นหากกระทรวงศึกษาธิการช่วยผ่อนคลายโครงสร้างเวลา
เรียนลง และเปิดช่องทางการสื่อสารให้ครูได้สอบถามข้อสงสัย ก็จะช่วยสร้าง
ความมั่นใจให้แก่ครูออกแบบการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ กระทรวง
ศึ กษาธิการยังสามารถเปิดให้เอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านระบบการเรียนรู้และสื่อการเรียนรู้ เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนา
แลกเปลี่ยนเครื่องมือและเทคนิคใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย
และเหมาะสมกับเด็กมากขึ้น
3. ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ และสอนอย่างมีแผนที่เหมาะสม ใน
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ครูจะต้องเตรียมความพร้อมก่อนการสอนแบบใหม่ วิธี
การหนึ่ งคือ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการเรียนรู้
ฐานสมรรถนะหลังการระบาดของโควิดสิ้ นสุดลง ทั้งนี้ ควรเริ่มต้นโดยการ
จัดกลุ่มตัวชี้วัดให้เป็นหน่ วยการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้แผนการเรียนรู้มีความ
ยืดหยุ่นตามสถานการณ์การระบาด เช่น ครูสามารถออกแบบหน่ วยการเรียนรู้
หน่ วยละ 2 สัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการประเมินสถานการณ์การ
ระบาด ทั้งนี้ หากครูสามารถออกแบบหน่ วยการเรียนรู้แต่ละหน่ วยให้ร้อยเรียง
กันอย่างเป็นระบบทั้งเทอมหรือทั้งปี ก็จะช่วยให้นั กเรียนสามารถพัฒนาตนเอง
ตามศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น และได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็น
ทักษะจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในอนาคต
11 เ รี ย น อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ( ต่ อ )
ในทางปฏิบัติ การจัดหน่ วยการเรียนรู้สามารถจัดตามเนื้ อหาหรือตามประเด็น
ที่น่ าสนใจ และยังสามารถบูรณาการข้ามวิชาหรือในวิชาเดียวกัน หลังจากนั้ น
ครูควรกำหนดคำถามสำคัญของแต่ละหน่ วย และวางแผนการติดตามการเรียน
รู้ตามตัวชี้วัดด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติอย่างชัดเจน เลือกสื่อการเรียนรู้ที่
เหมาะสมกับเด็ก และสื่อสารกับพ่อแม่ให้ทราบถึงบทบาทที่จะเปลี่ยนไป
เนื่ องจาก การเสริมทักษะออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ตั้งคำถาม เลือกใช้สื่อ
อย่างเหมาะสมจะทำให้ครู ออกแบบหน่ วยการเรียนรู้ได้มีคุณภาพมากขึ้ น
ดังนั้ นกระทรวงศึกษาธิการควรจะสนั บสนุนการเพิ่มทักษะเหล่านี้ ตามความ
ต้องการของครูในแต่ละพื้นที่ โดยอาจจะเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญในภาครัฐ
ภาคเอกชนและประชาสังคม ช่วยพัฒนาศักยภาพครูให้ตรงกับทักษะที่ต้องการ
และสนั บสนุนให้มีการเพิ่มทักษะให้แก่ศึกษานิ เทศก์ เพื่อเป็น “โค้ชหน้ างาน”
ให้แก่ครูต่อไป
4. ยกระดับการประเมินเพื่อการพัฒนา (formative assessment) เพื่อไม่ให้
เด็กเสียโอกาสพัฒนาความรู้และทักษะ เมื่อนั กเรียนไปโรงเรียนตามปกติไม่ได้
ครูกับนั กเรียนก็จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันลดลง ทำให้ครูไม่สามารถติดตาม
พัฒนาการของนั กเรียนได้เต็มที่ อาจทำให้ไม่สามารถรู้ปัญหาของนั กเรียนได้
ทันเวลา โดยเฉพาะความรู้ด้านภาษาและการคำนวณ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อ
การเรียนรู้ระยะยาว การประเมินเพื่อพัฒนาจึงไม่สามารถลดหรือละทิ้งไปได้ทั้ง
การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning) ของเด็ก เพื่อให้ครู
ทราบถึงกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก โดยจะสามารถให้ feedback กับเด็กและ
ปรับแผนการเรียนรู้ได้ตรงตามสถานการณ์ และการประเมินซึ่งทำให้เกิดการ
เรียนรู้(assessment as learning) ของเด็ก โดยครูเปิดโอกาสให้เด็กย้อน
คิดถึงกระบวนการเรียนของตนเอง กระบวนการนี้ จะทำให้เด็กมีความรับผิด
ชอบและเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้น รวมถึงเมื่อเด็กเข้าใจตนเองก็
จะเป็นโอกาสที่จะวางแผนการเรียนรู้ของตนเองร่วมกับผู้ปกครองและครูได้
เ รี ย น อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ( ต่ อ ) 12
การประเมินเพื่อพัฒนาทั้ง 2 ลักษณะจึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่าง
เด็ก ผู้ปกครองและครูมากขึ้น วิธีหนึ่ งที่ทำได้คือ การประเมินเพื่อพัฒนาอย่าง
ไม่เป็นทางการรายบุคคล (personalized check-ins) เพื่อติดตามการเรียนรู้
สุขภาพกายและสุขภาพจิตของนั กเรียน โดยให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ในกรณีของเด็กโต อาจจะเพิ่มการประเมินตนเองและการประเมินเพื่อน (self &
peer assessment) เข้าไปด้วย ซึ่งจะมีประโยชน์ ในการช่วยฝึกทักษะการ
สะท้อนคิดให้เด็กได้อีกทางหนึ่ งด้วย
การประเมินเพื่อพัฒนาจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่
เหมาะสม คือ
(1) มีการเสริมศักยภาพครูในการใช้และออกแบบเครื่องมือประเมิน
(2) มีการให้เอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการประเมินเข้า
มาร่วมพัฒนาเครื่องมือการประเมินใหม่ๆ และ
(3) มีการเปิดเวที (platform) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูกับผู้เชี่ยวชาญ
5. การประเมินเพื่อรับผิดรับชอบ (assessment for accountability) ยังคง
ควรไว้ แต่ควรให้น้ำหนักการประเมินโอกาสทางการเรียนของเด็ก มากกว่า
การวัดความรู้ด้วยคะแนนสอบ สถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันทำให้ต้องใช้
รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ดังนั้ น คุณภาพการศึกษาที่เด็กจะได้
รับในแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้คะแนนวัดความรู้หรือทักษะ
แบบเดียวกันเพื่อให้เกิดความรับผิดรับชอบได้ มิฉะนั้ นก็อาจส่งผลให้เกิดความ
เหลื่อมล้ำมากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรปรับเกณฑ์ข้อสอบวัดความรู้
(test-based) มาสู่การให้น้ำหนั กกับตัวชี้วัดที่ไม่ใช่ด้านวิชาการ (non-
academic measure) มากขึ้น เช่น อัตราการเข้าเรียน (attendance rate) หรือ
อัตราการออกกลางคัน (drop-out rate) เป็นต้น โดยการเก็บข้อมูลตัวชี้วัด
เหล่านี้ ที่สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อลดภาระครู เช่น ใช้ระบบ Google
Classroom บันทึกการใช้งาน ซึ่งจะช่วยทำให้เขตพื้นที่สามารถติดตามและ
ให้การสนั บสนุนโรงเรียนได้ตรงกับความต้องการมากขึ้นด้วย
13 มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น H B L
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ดี ขึ้ น ?
Self Regulation คือ การกำกับตัวเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และ
ทักษะต่างๆ โดยมีแรงจูงใจที่กระทำด้วยตนเองและมีกลวิธีในการ
เรียน กระบวนการรู้คิดทางปัญญาที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม
ซึ่งครอบครัวหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้
HBL ได้ดียิ่งขึ้น ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ
มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น H B L 14
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ดี ขึ้ น ? ( ต่ อ )
15 มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น H B L
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ดี ขึ้ น ? ( ต่ อ )
มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น H B L 16
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ดี ขึ้ น ? ( ต่ อ )
17
จัดกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนา
เด็กในสถานการณ์โควิด -19
• การเรียนรู้ที่บ้าน
รศ.ดร อรพรรณ บุตรกตัญญู (2563) จากสถานการณ์ covid-19 ทำให้
เกิดมาตรการในการปิดเมืองงดการเดินทางเพื่อหยุดการแพร่กระจายของ
เชื้อโรครวมทั้งมีแนวปฏิบัติในการทำงานที่บ้านและปิดสถานพัฒนาเด็ก
ปฐมวัยทำให้การเรียนรู้ที่บ้านมีความจำเป็นโดยประเทศต่างๆมีการใช้คำ
ศัพท์ของการเรียนรู้ที่บ้านต่างกันออกไป เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา เรียก
ว่า remote Learning ประเทศสิงคโปร์เรียกว่า Home based Learning
ส่วนในประเทศไทยเรียกว่า Learn from home โดยทางสถานะการพัฒนา
เด็กปฐมวัยสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองทางออนไลน์ ในสถานการณ์
ต่างๆจัดส่งตารางกิจกรรม สื่อ อุปกรณ์ของเล่นหรือจัดส่งทางไปรษณีย์
หรือมีการเชิญผู้ปกครองมารับ หรือการเยี่ยมบ้านโดยเน้ นการทำกิจกรรมที่
สัมพันธ์กับวิถีชีวิตในครอบครัวและมีความสมดุล ให้เด็กมีโอกาสช่วย
ทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การพักผ่อน การเล่นอิสระการเล่านิ ทาน
รวมทั้งกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาโดยเฉพาะการฟังและการพูดที่
นำไปสู่ การพัฒนาการอ่านและการเขียนรวมทั้งทำกิจกรรมการเรียนรู้ตาม
หลักสูตรของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างไรก็ตามสิ่ งสำคัญคือการจัด
ตารางกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมประจำวันที่มีความสม่ำเสมอสำหรับ
เด็กที่บ้าน ในการจัดโปรแกรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กที่มีความพร้อม
ต่างกันอาจมีแนวทางของการมีจัดกิจกรรม ดังนี้
จัดกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนา 18
เด็กในสถานการณ์โควิด -19 (ต่อ)
1. การจัดโปรแกรมการเรียนรู้ของเด็กโดยผู้ปกครอง เด็กที่ครอบครัว
มีความพร้อมสูง อาจเปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกวิธีการดูแลเด็กที่
บ้านด้วยตนเองที่บ้าน สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอาจเป็นผู้ให้คำปรึกษา
2. การจัดโปรแกรมการเรียนรู้ออนไลน์ เป็นการจัดตารางกิจกรรม
รายละเอียดและวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดจนรายการอุปกรณ์ ของ
เล่นเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยให้
ผู้ปกครองได้มีบทบาทหลักในการสนั บสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก
ที่บ้านจากความสนั บสนุนของคุณครู
3. การจัดโปรแกรมการเรียนรู้กึ่งออนไลน์ โดยจัดตารางกิจกรรมราย
ละเอียดและวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทางออนไลน์ และจัดสื่อการเรียนรู้
ส่ งที่บ้านหรือให้ผู้ปกครองมารับหรือมีการส่ งเสริมการเรียนรู้ของเด็กทั้งที่
บ้านและที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยเป็นการจัดที่เน้ นการมีพื้นที่ของเด็ก
แต่ละคนตามหลักการเว้นระยะห่างทางสั งคม
4. การจัดโปรแกรมการเรียนรู้ออฟไลน์ โดยมีการเยี่ยมบ้านจัดเตรียม
ตารางกิจกรรมรายละเอียดและวิธีการจัดกิจกรรมและจัดสื่ อการเรียนรู้ให้
แก่เด็ก 1-2 สัปดาห์ต่อครั้งที่ผู้ปกครองเป็นผู้ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่
บ้านหรือเป็นการให้เด็กในครอบครัวที่ขาดความพร้อมสถานพัฒนาเด็ก
ปฐมวัยควรรับเด็กมาดูแลและส่ งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้แต่ยังคงยึด
หลักการเว้นระยะห่างทางสั งคมเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อและรักษา
มาตรฐานการรักษาสุขอนามัยส่ วนบุคคล
19 จัดกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนา
เด็กในสถานการณ์โควิด -19 (ต่อ)
ตัวอย่างการเรียนรู้แบบออนไลน์
P.E.R.M.A for Home Based Learning
P.E.R.M.A คืออะไร คือ องค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดี well-being
ประกอบด้วย
Positive Emotion อารมณ์เชิงบวก
Engagement รู้สึกว่าสิ่งที่ทำท้าทายแต่ไม่ยากหรือง่ายเกินไปดี
Relationship ความสัมพันธ์เชิงบวก
Meaning รู้ความหมายคุณค่าของสิ่งที่ทำ
Accomplishment พูดถึงความสำเร็จ
6 เทคนิคสำหรับผู้ปกครองช่วยดูแลนักเรียนระหว่าง HBL
1.จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
2. ชวนเด็กๆทำ to do List
3. ช่วงตั้งเป้าหมายและพูดคุยวิธีการที่จะตามเป้าหมาย
4. สร้างข้อตกลงร่วมกันเช่นใช้คอมพิวเตอร์นอกเวลาเรียนไม่เกิน 2 ชั่วโมง
ต่อวัน
5. กระตุ้นให้เด็กมองโลกอย่างเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
6. มีเวลาพักผ่อน
20
จัดกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนา
เด็กในสถานการณ์โควิด -19 (ต่อ)
ตัวอย่างกิจกรรม HBL โดยใช้ P.E.R.M.A
มอบหมายงานที่เชื่อมกับชีวิตนั กเรียน
ex.1 วิชาคณิตศาสตร์ จดบันทึก รายรับรายจ่ายประจำวัน
ex.2 วิชาศิลปะวาดรูปมุมที่แสงตกกระทบในบ้านที่เราชอบ
ex.3 วิชาภาษาอังกฤษ ร้องเพลงสากลที่ชอบ + พร้อมหาคำแปล
ตัวอย่างกิจกรรม HBL โดยใช้ P.E.R.M.A
งานที่ทำให้นั กเรียนได้มีปฏิสั มพันธ์
ex.1ครอบครัวสัมภาษณ์เพื่อเอาข้อมูลบางอย่าง ทำให้พูดคุยกันมากขึ้นได้รู้
เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเข้าใจมากขึ้น
ex.2 เล่าเรื่องที่เรียนในแต่ละวันให้ผู้ปกครองฟัง ให้ผู้ปกครองร่วมให้
คะแนนงาน ผู้ปกครองรู้ว่านั กเรียนกำลังทำอะไรอยู่ช่วย support ,ผู้
ปกครองเห็นความสามารถ , นั กเรียนและทบทวนสิ่งที่เรียนไป
ตัวอย่างกิจกรรมHBL โดยใช้ P.E.R.M.A
- จด Diary เขียน 3 เรื่องที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน
-ถอนเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อยในแต่ละวัน เด็กได้สัมผัสความสำเร็จ ,
ก้าวหน้ าในการเรียนรู้, มีกำลังใจในการพัฒนาตัวเองต่อ
21
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ?
เมื่อสถานการณ์ โรคระบาดคือจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของวงการการศึ กษา
ทั่วโลก ครูและนั กเรียนต้องปรับรูปแบบการเรียนรู้มาเป็นออนไลน์ เท่าที่จะ
ทำได้ หนึ่ งในคำถามยอดฮิตท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ นอกเหนื อจาก
เรื่องอุปกรณ์ เครื่องมือและอินเทอร์เน็ ตแล้ว การจัดการเรียนการสอนให้
เด็กปฐมวัยจะมีทิศทางอย่างไร ในเมื่อเด็กยังเล็กมาก การมีปฏิสัมพันธ์กับ
ผู้คน การพัฒนาด้านอารมณ์ และสังคมสำหรับเด็กวัยนี้ จะทำได้อย่างไร
เมื่อไม่ได้เจอครูในห้องเรียนจริง
เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของครูปฐมวัยที่ต้องเพิ่มบทบาทเป็น “นั ก
ออกแบบหลักสูตรและกิจกรรม” ที่มีความยืดหยุ่น ปรับให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์ ที่สำคัญคือ ครูและพ่อแม่ต้องเป็นทีมเดียวกันอย่างเหนี ยวแน่ น
ไม่ต่างอะไรกับการจูงมือประคองให้เด็กเดิน พวกเขาจะก้าวเดินได้อย่าง
มั่นใจ ไม่ล้มลงกลางทาง เมื่อมีคนคอยประคองทั้งซ้ายและขวา
การใช้เทคโนโลยีกับเด็กปฐมวัยอาจไม่ใช่สิ่ งจำเป็นเท่าการเรียนรู้ที่มี
การลงมือปฏิบัติ และหลากหลาย แล้วในสถานการณ์แบบนี้ ครูจะจัดการ
เรียนการสอนให้เด็กปฐมวัย โดยร่วมมือกับพ่อแม่อย่างไรให้เกิด
ประสิ ทธิภาพสูงสุด
1. เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
เด็กปฐมวัยชอบเรียนรู้ผ่านการเล่น การลงมือปฏิบัติ งานหลักของเด็กวัยนี้
จึงเป็นการเล่น เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
2. ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม ต้องพัฒนาควบคู่กันไป
การเล่นบทบาทสมมติเป็นหนึ่ งในกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์
และสังคมที่ดีมาก เด็กมักเล่นเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อไม่ได้อยู่ที่
โรงเรียน เด็กไม่ได้เจอเพื่อนคนอื่นๆ ครูควรส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้โอกาส
นี้ เล่นบทบาทสมมติกับเด็ก โดยอาจจะเล่นเป็นลูกค้าให้ลูกๆ ที่สวมบทบาท
เป็นเชฟตัวน้ อย
22
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
3. ตั้งเป้าหมายสิ่ งที่อยากให้เด็กเรียนรู้ และกำหนดระยะเวลา
ครูอาจตั้งเป้าหมายสำหรับเด็กเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่งเด็กแต่ละ
คนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ในเรื่องเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเขายังต้องเสริมทักษะใน
ด้านไหน กิจกรรมบางอย่างอาจต้องมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น การ
ส่ งชุดของเล่นเสริมพัฒนาการไปให้แต่ละบ้าน
4. ครูต้องสื่อสาร ให้ความรู้กับผู้ปกครองเป็นระยะ
พูดคุยกับผู้ปกครองถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กๆ ที่บ้าน โดยปรับ
ให้ยืดหยุ่นได้ตามตารางของผู้ปกครอง บางครอบครัวผู้ปกครองอาจต้อง
ทำงานตอนเช้า แต่พอจะมีเวลาว่างตอนบ่าย ก็ใช้เวลาช่วงนี้ จัดกิจกรรมให้
เด็กๆ ตามที่ครูเตรียมไว้ให้
5. ติดตามประเมินพัฒนาการเด็ก โดยให้ผู้ปกครองช่วยจดบันทึก
เด็กปฐมวัยจะมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ปกครองคือคน
ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กที่สุด ให้ครูแนะนำผู้ปกครองช่วยจดบันทึกพัฒนาการเหล่า
นั้ นไว้ เพื่อนำมาใช้ปรับรูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กต่อไป
6. ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
เด็กวัยนี้ ไม่ควรอยู่หน้ าจอนานเกินไป เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ยังไม่ควรให้อยู่
หน้ าจอ เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ไม่ควรอยู่หน้ าจอนานเกิน 1-2 ชั่วโมงต่อวัน
ครูใช้เทคโนโลยีเพื่อสื่อสารกับเด็ก สร้างปฏิสัมพันธ์ เช่น ฟังนิ ทาน
ออกกำลังกาย ทำสิ่งประดิษฐ์ โดยมีผู้ปกครองคอยให้ความช่วยเหลืออย่าง
ใกล้ชิด
23
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
บทบาทของพ่อแม่
1.ทำความรู้จักธรรมชาติของเด็ก
ธรรมชาติของเด็กจะมีพัฒนาการที่ดีผ่านการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งในช่วง 0-6 ปี
สมองของเด็กจะเติบโตและพัฒนาเร็วที่สุดในการเรียนรู้ในช่วงนี้ ส่งผลอย่างยิ่งต่อ
คุณภาพของเด็กก่อนจะก้าวเข้าสู่การเรียนหน้ าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการสรรหา
วิธีการเสริมสร้างพัฒนาการของลูกๆเพื่อกระตุ้นและส่ งเสริมพัฒนาการของเซลล์
สมองรวมถึงความฉลาดในด้านต่างๆให้กับลูก
2. 6 ปีแรกแห่งการพัฒนาสมองในเด็ก
สมองเป็นอวัยวะที่มีความสัมพันธ์ต่อความฉลาดทางสติปัญญา IQ และความ
ฉลาดทางอารมณ์ EQ ซึ่งนั บเป็นช่วงสำคัญที่จะเร่ง กระตุ้นสมองทั้งซีกซ้ายและซีก
ขวาของเด็ก ให้มีการพัฒนามากที่สุด อายุ 2 ขวบพัฒนาสมองซีกขวาได้ดีพร้อมเปิด
รับการเรียนรู้อยู่แล้ว อายุ 3 ขวบขึ้นไป การเรียนรู้ด้วยสมองซีกซ้ายนั้ นเด็กจะต้อง
ใช้สมาธิและความพยายามมากกว่าซีกขวาเนื่ องจากใช้กระบวนการคิดที่มากกว่า
นั้ นเอง
3. เรียนรู้ด้วยการเล่นช่วยพัฒนาศั กยภาพ
การพัฒนาสมองและศักยภาพของเด็กช่วง 6 ปีแรกจำเป็นต้องหาสิ่งที่สามารถ
ดึงดูดความสนใจของพวกเขาให้ได้นั่ นคือการเล่นคือกระบวนการเรียนแบบหนึ่ งที่
ช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กเล็กได้เป็นอย่างดีอีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ทำให้พวกเขา
ได้เพลิดเพลินและสนุกสนานด้วยเพราะไม่รู้สึ กว่าถูกบังคับแต่อย่างใดซึ่งการเล่น
ผ่านสื่ อกิจกรรมต่างๆของเด็กจะช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้และฝึกแก้ไขปัญหาตั้งแต่
ยังเล็กๆ
โดยหลักสูตรที่จัดโดย Play and Learn จะช่วยให้เด็กๆได้เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่าน
สื่อการสอนที่่ออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก ให้พวกเขาได้
ฝึกฝนทักษะต่างๆทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์รวมถึง
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รับรส และการสัมผัสด้วย
24
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home สำหรับเด็กปฐมวัย ได้แก่
1. ดูภาพยนตร์ สารคดี หรือการ์ตูน
ในปัจจุบันมีบริการตรีมมิ่งมากมาย netflix , Hulu และ Disney โดย
สามารถเชื่อมต่อกับทีวีเพื่อให้ลูกคุณได้ดูอย่างจุใจ ทำให้เด็กมีความ
เพลิดเพลินและได้รับความรู้
2. พับกระดาษ
การพับกระดาษเป็นวิธีเบสิ คและเป็นศิ ลปะอย่างดีเพราะสามารถพับได้
หลากหลายแบบ เช่น ดาว นก เครื่องบิน ทำให้ลูกๆสร้างจินตนาการสุดล้ำได้
3. ทำการ์ดต่างๆ
ช่วงใกล้จะถึงวันสงกรานต์หรือวันสำคัญต่างๆสามารถชวนลูกๆมาทำ
การ์ดเพื่อเขียนอวยพรถึงคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ด้วยการวาดรูปการใช้สี
ต่างๆโดยสอนให้เขาหัดเขียนและหัดทำการในรูปแบบต่างๆ
4.เข้าครัวทำอาหารง่ายๆ
ครัวเป็นเรื่องที่เด็กๆหลายคนชอบเพราะเด็กจะตื่นตาตื่นใจกับอุปกรณ์
ทำครัวก่อนอื่นต้องถามก่อนว่าเขาอยากทำอะไรแต่ต้องให้เขาเป็นผู้ช่วยจิ๋ว
เพราะเขาจะได้รู้สึ กสนุกสนานเพลิดเพลิน
25
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home สำหรับเด็กปฐมวัย ได้แก่ (ต่อ)
5. ต่อจิ๊กซอว์
การต่อจิ๊กซอว์ เต็มไปด้วยปริศนาสำหรับเด็กทุกวัยทำให้เด็กได้สนุกกับ
ปริศนาต่างๆและการคิดของเด็กจะพัฒนาขึ้น
6.ต่อ legos
เพื่อให้ลูกมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์และช่วยเสริม
พัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี
7. การเล่านิทาน
เพื่อทำให้เด็กมีอารมณ์ร่วมในการฟังนิ ทานเพิ่มการเรียนรู้ด้วยการให้เขา
หัดอ่านและดูรูปไปพร้อมกับการฟังนิ ทาน
8.จัดบ้าน
สามารถสอนให้เขาจัดห้องนอนตามแบบที่เขาชอบและรู้จักโครงสร้างของ
บ้านอีกด้วย
26
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home ตัวอย่าง 7 วัน 7 กิจกรรม
กิจกรรมที่ 1 หาบ้านให้กระบองเพชร
กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรม Outdoor ที่เด็กจะได้รู้จักวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้
ในการปลูกต้นไม้ ได้รู้จักชีววิทยาของพืชอวบน้ำ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถ
สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกได้รู้จักกับสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ เพื่อให้เขาให้คุณค่า
กับการเล่นที่ใส่ใจกับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืช ว่าพืชเป็นสิ่งมีชีวิต เรากำลังเพาะ
พันธุ์พืชที่เราต้องใส่ใจเขาในฐานะที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ ง อาหารของพืชที่ต้อง
ได้จากดิน ปุ๋ย น้ำ แสงแดด การสอนลูกให้ใส่ใจกับสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ ทำให้
คาแรกเตอร์ของการใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้ อยๆ ติดตัวลูกไป ขณะทำกิจกรรมลูก
จะเห็นว่า ดิน หิน ทุกเม็ดมีคุณค่าต่อการก่อกำเนิ ดพืชมาได้ ซึ่งเวลาการ
เติบโตของไม้อวบน้ำก็เป็นเหมือนช่วงเวลาการเติบโตของลูกเช่นเดียวกัน
จุดเด่นของการทำกิจกรรมลักษณะนี้ คือการวางแผน เตรียมอุปกรณ์ และ
ลงมือทำทีละขั้นตอน ซึ่งจะได้ฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การใส่ใจจดจ่อ
การกำกับตัวเองให้อยู่นิ่ งกับการทำงานทีละขั้นตอนจนกว่างานจะบรรลุเป้า
หมาย ซึ่งแต่ละขั้นนั้ นไม่ง่าย ทำอย่างไรที่จะทำให้ลูกใส่ใจจดจ่อ และรับผล
ความสำเร็จร่วมกันทั้งครอบครัว รวมถึงเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เป็นการ
สร้างลักษณะนิ สัยของการรับผิดชอบได้
27
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home ตัวอย่าง 7 วัน 7 กิจกรรม (ต่อ)
กิจกรรมที่ 2 นิทรรศการครอบครัว
กิจกรรมนี้ เป็นการสร้างช่วงเวลาที่สมาชิกครอบครัวจะได้นั่ งและทบทวน
ความทรงจำที่มีร่วมกันผ่านการดูภาพถ่าย พร้อมสื่อสารความในใจที่ไม่กล้า
พูดผ่านการเขียนการ์ด ฝึกความกล้าแสดงออกที่จะพูดความรู้สึกข้างในของ
เด็ก
แนวคิดของกิจกรรมนี้ คือ การดึงความทรงจำ ความรู้สึกในช่วงเวลาดีๆ
ที่ครอบครัวมีร่วมกันขึ้นมาใช้ พ่อกับแม่ควรให้เวลาคุยกับลูกอย่างใจเย็น
มากกว่ามุ่งทำผลงานให้สำเร็จ
รูปแบบของกิจกรรม คือการใช้ภาพถ่ายความทรงจำที่ลูกจะต้องเป็นผู้
เลือกเอง สิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรใช้คำถามถามลูกว่า ภาพนี้ เราไปที่ไหน
มีใครอยู่ในภาพบ้าง เรากำลังทำกิจกรรมอะไร สิ่งที่ลูกประทับใจมากที่สุด
คืออะไร หากเขาประทับใจแบบนี้ เขาอยากจัดวางภาพนี้ ลงตรงส่วนไหนของ
กรอบรูปนี้
28
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home ตัวอย่าง 7 วัน 7 กิจกรรม (ต่อ)
กิจกรรมที่ 3 ลังกระดาษแปลงกาย : เกมฟุตบอล
แนวคิดของกิจกรรมนี้ คือ การทำสิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนขึ้น ต้องใส่ใจจดจ่อ
(Attention) มากขึ้น เกมนี้ มีการทำชิ้นงานที่ซับซ้อน ต้องวางแผนงานมากกว่า
กิจกรรมที่ผ่านมา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้เข้าใจเรื่องการทำงาน
ให้สำเร็จไปทีละขั้นกว่าจะสำเร็จเป็นงานชิ้นใหญ่ได้ เช่น การทำกล่อง ทำ
ประตูฟุตบอล ทำสนาม ทำไม้หมุน ทำหุ่น ให้แข็งแรง เราอาจจะวางแผนใน
การทำกล่องชิ้นนี้ ให้สำเร็จใน 3-5 วัน แต่ละวันให้เห็นความสำเร็จไปทีละขั้น
กิจกรรมนี้ ช่วงเวลาของการค่อยๆ ประดิษฐ์ จึงมีความสำคัญพอๆ กับการได้
เล่นสนุกร่วมกัน
กิจกรรมที่ 4 ลังกระดาษแปลงกาย : เกมเขาวงกต
แนวคิดของเกมนี้ คือ การนำวัสดุเหลือใช้ที่มีในบ้านมาทำเป็นของเล่น
คุณพ่อคุณแม่ต้องชวนลูกสังเกตว่าที่บ้านเรามีของเหลือใช้อะไรบ้าง เช่น
กล่องกระดาษ แก้วน้ำพลาสติก กระดาษสี เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ว่าวัสดุเหลือใช้
สามารถนำกลับมาใช้ได้
การเล่นเกมนี้ เด็กต้องใช้เซนส์เรื่องความสมดุล (Sense of balance) เพื่อ
เลี้ยงลูกบอลให้ไปถึงเส้นชัยให้ได้ ต้องกำกับอารมณ์ของตนเอง ไม่หงุดหงิด
หากหงุดหงิด คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนคิดให้เขากำกับอารมณ์ตนเองได้
แม้ว่าจะแพ้ และเป็นการฝึกให้เด็กใช้ร่างกายในการทรงตัวทั้งแขน ขา ทำให้
เด็กได้ใช้ร่างกายมากกว่ากิจกรรมอื่นๆ
29
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
การที่ให้เด็กสามารถออกแบบกติกาเองได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่อย่าง
เดียว เป็นการฝึกความมั่นใจให้กับเขา กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นได้
คุณพ่อคุณแม่ต้องใจกว้างพอ เปิดโอกาสให้ลูกมีสิทธิที่จะพูด เขียน ฟัง
สิ่งที่ลูกจะพูด รอคอย เริ่มต้นการสนทนาที่ดี
30
PLAY AND LEARN AT HOME
อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ? ( ต่ อ )
กิจกรรม Play and Learn At Home ตัวอย่าง 7 วัน 7 กิจกรรม (ต่อ)
กิจกรรมที่ 5 หุ่นเงาโรงเล็ก
การนำเรื่องเล่า นิ ทาน มาทำให้เป็นภาพ เมื่อใช้แสงไฟส่องไปที่เงาจะเกิด
ความมหัศจรรย์ เห็นความสร้างสรรค์ การทำกิจกรรมนี้ สิ่งที่น่ าใส่ใจคือ การ
ให้เวลากับนิ ทาน ให้ลูกเข้าใจเรื่องราวของนิ ทาน เข้าใจตัวละคร และเนื้ อหา
การเรียนรู้ของนิ ทาน ฝึกการวางแผน จินตนาการ กำกับตัวเอง จัดการ
อารมณ์ เด็กจะได้เรียนรู้ถึงสุนทรียะของแสง สี รูปทรง
กิจกรรมที่ 6 นิทานสี่ มิติ
การเล่านิ ทานเป็นช่วงเวลาของการส่งเสริมความเข้าใจในชีวิต เช่น
คุณธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมของตัวละครผ่านนิ ทาน พ่อแม่ควร
คัดสรรนิ ทานเข้าบ้านที่จะส่งเสริมให้ลูกได้เข้าใจเรื่องราว บริบท พัฒนาการ
ของตัวละคร เช่น บางเรื่องสอนเรื่องความรับผิดชอบ ความกตัญญู การเคารพ
ต่อสิ่งแวดล้อม หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมที่ 7 ร้องเพลง
นอกจากการสร้างสรรค์กิจกรรมขึ้นมาใหม่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ที่เล่น
ดนตรีเป็นอาจนำเครื่องดนตรีมาเล่น ร้องเพลง เพื่อให้เกิดความบันเทิง อาจ
จะร้องให้ลูกฟังก่อน เหมือนการเล่านิ ทานที่พ่อแม่ร้องให้ลูกฟังก่อน ทั้งนี้
การใช้คำ การเรียบเรียงภาษา
บ ร ร ณ า นุ ก ร ม
www.ignitethailang.org
www.mappalearning.co.th
www.tdri.or.th/2020/05
www.tonklachiangmail.com
www.backoffice.onec.go.th
www.kklocal.go.th
FB : Life Eaucation Thailand
www.mgronline.com/gol /dotail /
ส แ ก น Q R C O D E ทำ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น
แ ล ะ รั บ เ กี ย ร ติ บั ต ร
เ กี ย ร ติ บั ต ร จ ะ ถู ก ส่ ง ไ ป ยั ง E - m a i l . ข อ ง ท่ า น