The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำนานในจังหวัดพัทลุง1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-17 13:28:53

ตำนานในจังหวัดพัทลุง1

ตำนานในจังหวัดพัทลุง1

ตำนำนในจังหวดั พัทลงุ

E-Book สือ่ กำรเรยี นรสู้ ำรสนเทศวิชำภำษำไทย

ตำนำนในจงั หวดั พัทลงุ

สำรบญั หน้ำ

เรือ่ ง ๓
ตำนำน เขำอกทะลุ ๕
ตำนำน เขำปเู่ ขำยำ่ ๙
ตำนำน นำยแรง ๑๒
ตำนำน วัดเขำอ้อ
ตำนำน พระนำงเลอื ดขำว
อำ้ งองิ

-๑-

ตำนำน เขำอกทะลุ

ชายผู้หนึ่งชื่อนายเมือง เป็นพ่อค้าช้าง ตะแกมีเมียสองคน เมียหลวงชื่อนาง
ศิลา และมีลูกสาวชื่อนางย่ีสุ่น ส่วนเมียน้อยชื่อนางบุปผา และมีลูกชายชื่อนางชัง
กั้ง ลักษณะนิสัยของนายชังกั้งตรงกับชื่อคือเป็นคนเกกมะเหรก ดื้อดึง และมุทะลุ
ฝ่ายเมียหลวงและเมียน้อยก็ไม่ลงรอยกัน มักทะเลาะด่าทอและตบตีกันเสมอ วัน
หนึ่งนายเมืองเดินทางไปค้าขายต่างถิ่น นางย่ีสุ่นลูกสาวไม่อยู่บ้านเช่นกัน นางมัก
อาศัยเรือสาเภาเดินทางหนีไปค้าขายถึงต่างแดน ฝ่ายนายชังก้ังนั้นก็ไม่อยู่ติดบ้าน
นางบุปผา ผู้เป็นแม่ก็มิได้เป็นห่วง เพราะเอือมระอายากที่จะตักเตือนส่ังสอนลูก
ภายในบ้านจึงเหลือแต่เมียหลวงและเมียน้อย ต่างก็ทางานคนละอย่าง คือเมีย
หลวงน่ังทอผ้าหรือทอหกู อยใู่ ต้ถุนบ้าน และเมียน้อยตาข้าวโพดโดยใช้สากตาลงไป
ในครก ชาวใต้เรยี กการตาข้าววา่ “ซ้อมสาร” ในชว่ งหนึ่งต่างเกิดปากเสียงกันอย่าง
รนุ แรง ถึงกับบนั ดาลโทสะออกมาอย่างไมย่ ้ังคิด นั่นคือ เมียหลวงใช้กระสวยทอผ้า
ซึ่งชาวใต้เรียกว่า “ตรน” ฟาดศีรษะเมียน้อยอย่างเต็มแรงจนเป็นแผลแตกเลือด
ไหลแดนฉาน ฝ่ายเมียน้อยก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางจึงใช้สากตาข้าวกระทุ้งหน้าอก

-๒-

เมียหลวงอย่างแรงจนอกทะลุ ในทีส่ ุดท้ังคู่ทนความเจ็บปวดไม่ไหวถึงแก่ความตาย
และกลายเป็นภูเขา นั้นคือเมียหลวงเป็น “เขาอกทะลุ” ส่วนเมียน้อยเป็น “เขาหัว
แตก” ซึ่งทางการเรยี กว่า “เขาคหู าสวรรค”์ ฝ่ายนายเมืองกลบั จากการค้าช้าง เมื่อ
พบเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเสียใจและตรอมใจ ในที่สุดก็ถึงแก่ความตายกลายเป็น
“เขาเมือง หรือ เขาชัยบุรี” ซึ่งมีลักษณะคล้ายช้างหมอบ ฝ่ายลูกสาวเมื่อขึ้นจาก
เรือสาเภาและเห็นเหตุการณ์วิปโยคเช่นน้ัน นางย่ิงโศกเศร้าเสียใจเลยถึงแก่ความ
ตายเช่นกัน และกลายเป็น “เขาชัยเสน” ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือสาเภา ศพสุดท้าย
คือนายชังกั้งกลายเป็น “ภูเขาชังกั้ง หรือเขากัง” ปัจจุบันอยู่ในเขตโรงพยาบาล
พัทลุง

วดิ โี อ เรอื่ งตำนำนเขำอกทะลุ

https://youtu.be/PUwOA3UVmfA

-๓-

ตำนำน เขำปู่ เขำยำ่

มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยก่อนมีคนเพียงสองคนอยู่กินด้วยกนั คือ ปู่กับย่า อาศัย
อยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ต่อมามีลูกด้วยกัน 5 คน คือ โต๊ะบุญ แต่เป็นมุสลิมพูด
ภาษาไทยไม่ได้ คนที่ 2 ชื่อ ป้าเจ้เป็นมุสลิม คนที่ 3 ชื่อป้าแหร้ เป็นมุสลิม คนที่ 4
ชื่อไชยบรุ ี คนนี้เป็นไทยพุทธ สามารถพูดจากับพ่อแม่รู้เรือ่ ง คนที่ 5 ชื่อญาโฮ้ง คน
นี้เป็นคนจีนพูดภาษาไทยไม่ได้ พ่อแม่จึงมีลูกที่พูดถึง 3 ภาษา คือ ไทย จีน มลายู
เกิดความหนักใจเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ปู่กับย่าเลยหนีไปอยู่ที่ปัตตานี ลูกเกิด
ความคิดถึงก็ชวนกันออกติดตามผ่านเมืองสงขลาจนไปพบปู่และย่า ปู่กับย่าทนคา
ออ้ นวอนของลูกไม่ได้กก็ ลบั มาอยู่ที่เดิม ฝ่ายโต๊ะบุญ ป้าเจ้ ป้าแหร้ ญาโฮ้ง ปรึกษา
กันว่า พวกเขาทั้ง 4 คนพูดจากับพ่อแม่ไม่รู้เรื่อง ก็เลยมอบทรัพย์สมบัติให้ไชยบุรี
แล้วพากันไปอยู่ที่อื่น ต่อมาไชยบุรีได้ครองเมือง เรียกว่าเมืองไชยบุรี เมื่อบุคคล
ท้ังหมดถึงแก่กรรมแล้วกก็ ลายเป็นธาตุหิน คือ เขาปู่ เขายา่ ป้าแหร้ อยู่ในท้องที่กึ่ง
อาเภอศรีบรรพต เขาชัยบุรี (เขาเมือง) เขาป้าเจ้ เขาโต๊ะบุญ อยู่ในท้องที่อาเภอ
เมืองพัทลุง จงั หวัดพัทลุง เขาพญาโฮ้ง อยู่ในอาเภอกงหรา จงั หวดั พทั ลุง

-๔-

วดิ โี อ เรอื่ งตำนำนเขำปู่ เขำยำ่

https://youtu.be/EvkUn5HOMoo

-๕-

ตำนำนนำยแรง

กาลคร้ังหนึ่งในเมืองพัทลุง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาช้า
นาน แต่ยังไม่มีลูก ทั้งสองพยายามบนบานส่ิงศักด์ิสิทธิ์เพื่อให้มีลูก แต่ทาอย่างไร
ก็ไม่สามารถมีลูกได้ จึงพากันไปหาท่านสมภารที่วัด ท่านสมภารจึงแนะนาให้ไป
หยิบก้อนกรวดที่ริมบ่อน้ามาก้อนหนึ่ง ให้นาไปห่อผ้าขาวไว้ใต้หมอนแล้วตั้งจิต
อธิษฐานขอลูก ไม่ช้าภรรยาก็ตั้งครรภ์ กินอาหารได้มากผิดปกติ ย่ิงท้องแก่ย่ิงต้อง
เพิ่มอาหารมากขึ้น เมื่อคลอดทารกเป็นผู้ชายชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู เพราะทารก
โตเกือบเท่าเด็ก 1 ขวบ กินนมแม่อยู่ตลอดเวลา เด็กคนนี้โตวันโตคืน กินอาหารจุ
น้านมของแม่ไม่พอเล้ียงต้องต้มข้าวให้กินมื้อละ 1 กระทะ กินกล้วยคร้ังละ 10 หวี
ในที่สุดพ่อแม่ต้องยากจนลง จึงคิดที่จะฆ่าลูกชายเพราะไม่สามารถจะเล้ียงต่อไป
ได้

เช้าวันหนึ่งพ่อจึงชวนลูกชายไปตัดฟืนในป่า พ่อลงมือโค่นต้นยางขนาดใหญ่
พอต้นยางใกล้จะล้มก็เรียกลูกให้เข้ามารับ จึงถูกต้นยางล้มทับจมลงไปในดิน พ่อ

-๖-

คิดว่าลูกคงตายแลว้ จึงกลับบ้าน ตกตอนเย็นลูกชายกลับแบกต้นยางกลบั มาวางไว้
ที่หน้าบ้าน ชาวบ้านแตกตื่นกนั มาดู ต่างเรยี กชือ่ เดก็ ชายคนนี้วา่ “นายแรง”

ครั้งหนึ่งมีเรือสาเภาเข้ามาค้าขาย พ่อแม่คิดจะฆ่านายแรงอกี จึงได้ฝากนาย
แรงไปกับเรือสินค้า เรือแล่นออกสู่ทะเลเป็นเวลาหลายวัน อาหารที่มีอยู่จึงไม่พอ
กิน พ่อค้าจึงหลอกให้นายแรงลงจบั ปลาโลมาแล้วแลน่ เรือหนีไป แต่นายแรงยังโชค
ดีได้พบเรือที่จมอยู่ใต้ท้องน้า จึงกู้เรือน้ันขึ้นแล้วนั่งเรือกลับบ้าน พ่อแม่ของนาย
แรงเกิดสานึกผิดที่คิดจะฆ่าลูก ก็เลยเต็มใจเล้ียงลูกถึงจะประสบกับความยากจน
นายแรงสงสารพ่อแม่ที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่ยากจน จึงรับอาสาทางานทุก
อย่าง ไม่ว่าชาวบ้านจะขอความช่วยเหลือในเรื่องอะไร เพื่อแลกกับอาหารมาเล้ียง
พ่อแม่

วันหนึ่งนายแรงจับโจรที่เข้ามาปลน้ วัวควายในหมู่บ้านได้ถึง 4 คน ทาใหโ้ จร
กลุ่มอื่นๆ หวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาปล้นในหมู่บ้านนี้อีก นายแรงจึงเป็นที่รักของ
ชาวบ้านทั่วไป ไดน้ าวัวควายมาใหน้ ายแรงนาไปเล้ยี ง นายแรงนาววั ไปเล้ยี งไว้ที่เชิง
เขาลูกหนึ่ง ปจั จบุ ันเรียกว่า “เขาหลักโค” (อาเภอกงหรา จังหวัดพัทลงุ ) ไดน้ าไกไ่ ป
เล้ียงไว้ที่เขาลูกหนึ่ง เรียกว่า “เขาหลักไก่” (อาเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) นาควาย
ไปเล้ียงไว้ที่เกาะใหญ่ เรียกสถานที่นั้นว่า “คอกควายนายแรง” (ตาบลนาโหนด
อาเภอเมืองพัทลุง) หมู่บ้านที่นายแรงอยู่มักมีช้างป่าออกมาอาละวาดทาลาย
เรือกสวนไร่นาชาวบ้าน มีจ่าโขลงตัวหนึ่งมีความดุร้ายมาก ออกมาถอนต้นไม้ พัง
บ้านเรือนราษฎรอยู่เสมอ นายแรงรับอาสาจับช้างตัวน้ันแล้วโยนไปตกที่จังหวัด
สงขลากลายเปน็ เขาลกู หนึง่ เรียกวา่ “เขาลูกชา้ ง” (ปัจจุบนั เรียกเขารปู ชา้ ง)

เมื่อพ่อแม่นายแรงเสยี ชีวิตแลว้ นายแรงได้ยา้ ยไปอยทู่ ี่ “เขาหลักโค” (ตาบล
นาโหนด อาเภอเมืองพัทลุง) นายแรงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อแลน (ตะกวด) วันหนึ่งๆ
กินไม่ต่ากว่า 10 ตัว วันหนึ่งนายแรงไปหาแลนที่ตะแพนเขาปู่-เขาย่า ได้เจอแลน

-๗-

ยักษ์ตัวหนึ่ง นายแรงจึงขว้างด้วยมีดอีโต้ เรียกที่น้ันว่า “ทุ่งอ้ายโต้” แลนแล่นผ่าน
บ้านลานแยะ บ้านพังดาน บ้านปากเลน เขาโต๊ะบุญ บ้านพังโย ทางที่แลนวิ่งผ่าน
กลายเป็นคลอง ชาวบา้ นเรียกวา่ “คลองหว้ ยแลน” แลนยกั ษ์แลน่ ลอดเข้าไปทางใต้
เขาพนมวังก์ ไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหินทางดา้ นทิศตะวันตกของเขาเมือง นายแรงขุด
ดว้ ยจอบโดยมีหมาช่วยขุดคุ้ยหนิ ชาวบ้านเรียกตรงน้ันว่า “หินรอยหมากัด” จนถึง
เวลาเที่ยงวันนายแรงยังจับแลนยักษ์ตัวนั้นไม่ได้ จึงใช้ให้หมาไปเอาข้าวห่อที่บ้าน
เขาหลักโค ตนเองขุดต่อไปมีก้อนหินมหึมากีดขวางด้ามจอบ นายแรงจึงดันหินน้ัน
ให้ออกห่างไปทางดา้ นทิศตะวันตก กลายเป็นเขาอีกลูกหนึง่ ชาวบ้านเรียกว่า “เขา
รุน” ส่วนหินที่เกิดจากการขุดคุ้ย ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้จอบนายแรง” เมื่อนายแรง
จับแลนยักษ์ได้ก็ฟาดกับเขาอีกลูกหนึ่ง เลือดแลนยักษ์ไหลอาบหน้าผาเป็นสีแดง
ฉาน จึงเรียกเขาลูกน้ันว่า “เขาแดง” (อาเภอเมืองพัทลุง) นายแรงนามีดอีโต้ที่
ชาแหละแลนไปล้างเลือดที่คลองแห่งหนึ่ง คลองนี้จึงเรียกว่า “คลองอ้ายโต้” นา
หนังแลนไปตากท่กี ลางทุ่งนาทางทศิ ตะวันตกของเขาพนมวังก์ ทีน่ ้ันจึงเรียกว่า “ทุ่ง
ขึงหนัง” (อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง) ไปเอาตะไคร้ที่เขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้าน
เรียกเขานี้ว่า “เขาไคร” (อาเภอกงหรา จังหวดั พัทลงุ ) นายแรงมกั จะเดินทางไปเอา
สง่ิ ของทีต่ นต้องการในที่ไกลๆ เพราะเขาไปมารวดเรว็ จึงไปตาน้าพริกที่อาเภอปาก
พะยูนที่ตรงน้ันจึงเรียกว่า “บางน้าชุบ” นาเนื้อแลนไปจิ้มกินที่เขาอีกลูกหนึ่ง
ชาวบ้านเรียกว่า “เขาจุ้มโจ้” นายแรงนาเนื้อแลนที่เหลือไปฝากหมาตัวเอง แต่
พบว่าหมาขาดใจตายเสียแล้ว ที่คอยังมีข้าวห่อแขวนอยู่ ภายหลังกลายเป็นหิน
ชาวบ้านเรียกว่า “เขาหัวหมา” (อาเภอเมืองพัทลุง) ต่อมานายแรงเป็นห่วงควายที่
นาไปเล้ียงไว้ที่เกาะใหญ่ จึงออกเดินทางไปเกาะใหญ่ ได้หุงข้าวต้มไก่ที่แหลมแห่ง
หนึ่ง ต่อมาเรียกว่า “แหลมไก่ฟู่” (อาเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) ลมพัดจัดไม่
สามารถหุงข้าวต้มไก่ได้ จึงเลื่อนไปหุงที่ริมเนิน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็ทิ้งหม้อ
ข้าวหม้อแกงไว้ท่ีน้ัน เรียกที่นั้นว่า “ควนต้ังหมอ้ ” (อาเภอปากพะยูน จังหวัดพทั ลุง)

-๘-

ต่อมาเมืองขึ้นของไทยทางมลายูเกิดแข็งเมือง นายแรงอาสาไปรบศึกคร้ังนี้ด้วย
นายแรงเป็นกองหน้าบุกตะลุยข้าศึกจนได้รับชัยชนะ นายทัพฝ่ายไทยเห็นว่านาย
แรงมีฝีมือยอดเย่ียมมีกาลังมาก จึงแต่งต้ังให้เป็นเจ้าเมือง คร้ังน้ันทางเมือง
นครศรีธรรมราชกาหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลมิ ฉลอง
ใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างกน็ าเงนิ ทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมือง
ที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมี
ความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจานวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือ
สาเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดนิ ทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกาลงั เดนิ ทาง
เรือสาเภาถูกคลื่นลมชารุด จึงเข้าจอดเรือทีช่ ายฝั่งหาดทรายแห่งหนึง่ เพื่อซ่อมแซม
เรือ พอไดท้ ราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุเสร็จ
แล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง ส่ังให้
ลูกเรือตัดหวั ของตนไปวางไว้ท่ียอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจาใจตัดหัว
เจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคาสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาแก้วแสน”
เสียงเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง” ก้อนหินที่ปิดทับอยู่บนยอดเขาเรียกว่า “หัวนายแรง”
ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ที่เขาเก้าเส้ง
(อาเภอเมืองสงขลา) มาจนทุกวันนี้

วดิ ีโอ เรอ่ื งตำนำนนำยแรง

https://youtu.be/LYF_WtzhaKU

-๙-

ตำนำน วดั เขำออ้

ตานานกล่าวว่าก่อนที่จะมาเป็นวัดเขาอ้อเป็นสานักเขาอ้อมาก่อนเล่ากันว่า
จุดกาเนิดของสานักเขาอ้อนี้ แต่เดิมเป็นที่บาเพ็ญพรตของพราหมณ์มาหลายรุ่น
อันเนื่องจากภายในถ้าบนเขาอ้อน้ันเป็นทาเลที่ดีมาก ตัวเขาอ้อเองก็ต้ังอยู่บน
เส้นทางสัญจรของชุมชนในอดีตเมืองที่เจริญในละแวกน้ันได้แก่ สทิงปุระ หรือ
สะทิงพาราณสีซึ่งก็คืออาเภอสทิงพระในปัจจุบัน ประวัติของเมืองสทิงปุระนั้น
เกี่ยวข้องกับพราหมณ์อยู่มาก แม้กระท่ังในสมัยศรวี ิชัยทีศ่ าสนาพุทธแผ่อทิ ธิพลท่ัว
แหลมาลายู ในบริเวณสว่นน้ัน (เขตเมืองพัทลุงในปัจจบุ ัน) ยังเปน็ ฐานที่ม่ันสดุ ท้าย
ของพราหมณ์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกว่าเป็นเมืองที่มีชุมชนหนาแน่นที่สุด
ในขณะนั้น ต่อมามีพราหมณผ์ ู้ทรงวิทยาคุณ (ฤาษี) คณะหนึ่งได้ไปบาเพ็ญพรตอยู่
ทีถ่ ้าบนเขาออ้ บาเพญ็ พรตจนเกิดอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามตาราอาถรรพ์เวท (พระเวท
อันดับ ๔ ของคัมภีร์พราหมณ์) แล้วได้ถ่ายทอดวิชาน้ันต่อ ๆ กันมา พร้อมกันน้ันก็
ได้จัดต้ังสานักถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้สนใจ ซึง่ ตามวรรณะแล้วพราหมณ์มีหน้าที่
ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เชื้อพระวงศ์ หรือวรรณะกษัตริย์และลูกหลานผู้นา เพื่อ
จะให้นาไปเป็นความรู้ในการปกครองคนต่อไป สานักเขาอ้อสมัยน้ันจึงมีฐานะ

-๑๐-

คล้าย ๆ สานักทิศาปาโมกข์ของพราหมณ์ผู้ทรงคุณพราหมณ์ผู้ทรงคุณดังกลา่ วได้
ถ่ายทอดวชิ าต่าง ๆ ให้พราหมณาจารย์สืบทอดต่อ ๆ กันมาซึ่งเท่าที่สืบค้นรากฐาน
ก็พบว่าวิชาที่ถ่ายทอดให้คณาศิษย์นอกจากวิชาในเรื่องการปกครองตามตารา
ธรรมศาตร์แล้ว ก็ยังมีเรื่องพิธีกรรมฤกษ์ยามการจัดทัพตามตาราพิชัยสงคราม
ตลอดจนไปถึงไสยเวท และการแพทย์ตามตานานบอกวิชาสองสายสืบทอดโดย
พราหมณาจารย์ผู้เฒ่าสองคน ซึ่งสืบทอดกันคนละสายตลอดมา การสืบทอดวิชา
ของสานักเขาอ้อได้ดาเนินเช่นนั้นไป จนกระท้ังมาถึงพราหมณ์รุ่นสุดท้ายและได้
เห็นว่าไม่มีผู้รับสืบทอดต่อแล้ว ประกอบกับเล็งเห็นว่าเมื่อส้ินท่านแล้วสถานที่แห่ง
นั้นเป็นสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ พราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทหลายคนได้ฝังร่างไว้ที่น้ัน
สถานที่น้ันจึงสาคัญเกินที่จะปล่อยให้รกร้างไปได้พราหมณ์ผู้เฒ่าท่านนั้นจึงได้เล็ง
หาผู้ที่จะมาสืบทอด และรักษาสถานที่สาคัญน้ันไว้ ประกอบกับขณะน้ันอิทธิพล
ทางพุทธศาสนาได้แผ่เข้ารายล้อมเขตเมืองพัทลุงแล้วบริเวณข้าง ๆ ในบริเวณเขา
อ้อก็มีวัดอยู่หลายวัด มหาพราหมณ์ท้ัง ๒ ท่านเล็งเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าพุทธ
ศาสนาจะยั่งยืนและแผ่อิทธิพลในดินแดนแถบนี้ การที่จะฝากอะไรไว้กับผู้ที่ยั่งยืน
และมีอิทธิพลน่าจะเป็นการดีกว่า ท่านเลยตัดสินใจนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่งมาจาก
วัดน้าเล้ียวให้มาอยู่ในถ้าแทนท่านจากนั้นก็มอบคัมภีร์พระเวทศักด์ิสิทธิ์ ของ
บูรพาจารย์พราหมณ์พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาทางไสยเวทให้ รวมทั้งวิชาทางการ
แพทย์แผนโบราณแก่ท่านพระภิกษุรูปแรก ที่พราหมณ์ผู้เฒ่านิมนต์มามีนามว่า
"ทอง" (วดั เขาออ้ มลี กั ษณะพิเศษที่มกั จะมเี จ้าอาวาสที่ชื่อทองติดต่อกันมาหลายสิบ
รูป) ซึง่ ต่อมาเจ้าอาวาสของวัดเขาออ้ ทกุ รปู ก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาตามคัมภีร์
ศักด์ิสิทธิ์ของบูรพาจารย์พราหมณ์สืบต่อกันมา ทาให้เป็นผู้ทรงคุณวิเศษในด้าน
ไสยเวทวิทยาคมเปน็ ทีป่ ระจักษ์มาทุกยคุ ทกุ สมัย ด้วยเหตผุ ลดังกล่าววัดเขาอ้อจึงมี
ชื่อเสียงในทางไสยเวทและการแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับว่าน
ภายหลงั จึงมีพธิ ีแช่วา่ น พิธีกรรมทางไสยเวทหลายอย่างขึน้ ที่นน่ั จนลือเลือ่ งไป

-๑๑-

วดิ โี อ เรอื่ งตำนำนวัดเขำออ้

https://youtu.be/aIFIu0Rk9G0

-๑๒-

ตำนำน พระนำงเลอื ดขำว

ตานานนางเลือดขาวที่เป็นคาบอกเล่าของชาวบ้าน ตอนต้นกล่าวถึง
สงครามในอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทาให้ชาวอินเดียอพยพหนีภัยมาขึ้น
ฝ่ังทางด้านตะวันตกของแหลมมลายู บริเวณเมืองท่าปะเหลียน จังหวัดตรัง แล้ว
ข้ามแหลมมายังอาเภอตะโหมด และอาเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ขณะนั้นตา
สามโมกับยายเพชร สองผัวเมีย ชาวบ้านพระเกิด จึงเดนิ ทางไปขอบตุ รีชาวอนิ เดีย
ที่ถ้าไม้ไผ่ตง บ้านตะโหมด นามาเล้ียงไว้ชื่อว่า "นางเลือดขาว” เพราะเป็นคนผิว
ขาวกว่าชาวพื้นเมือง ต่อมาได้เดนิ ทางไปขอบตุ รชายชาวอนิ เดียที่ถ้าไม้ไผ่เสรี่ยง ให้
ชื่อว่า "กุมาร”หรือ "เจ้าหน่อ” เมื่อท้ังสองเจริญวัยตายายจึงให้แต่งงานกัน แล้ว
อพยพไปตั้งบ้านที่บางแก้ว เมื่อตายายถึงแก่กรรมกุมารกับนางเลือดขาวได้นาอัฐิ
ไปไว้ที่ถ้าคูหาสวรรค์ หลังจากนั้นท้ังสองได้สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ในวัด
เขียนบางแก้ว และวัดสทัง เมื่อเดินทางไปใดก็สร้างวัดที่นั่น เชน่ ได้เดินทางไปลังกา
กับคณะทูตเมืองนครศรีธรรมราชก็ไดน้ าพระบรมสารรี ิกธาตุ มาบรรจุไว้ท่เี จดีย์วัด
เขียนบางแก้ว สรา้ งวดั พระพุทธสหิ งิ ค์ วัดพระงาม วดั ถ้าพระพุทธที่เมืองตรัง สรา้ ง
วัดแม่อยู่หัวที่อาเภอเชียรใหญ่ นครศรีธรรมราช สร้างวัดเจ้าแม่ (ชะแม) วัดเจดีย์

-๑๓-

งาม วัดท่าคุระ หรือวัดเจ้าแม่อยู่หัว ตาบลคลองรี อาเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
เป็นต้น เมื่อข่าวความงามของนางเลือดขาวทราบไปถึงกษัตริยก์ รุงสุโขทัย จึงโปรด
ให้พระยาพิษณุโลก มารับนางเลือดขาวเพื่อชุบเล้ียงเป็นมเหสี แต่นางมีครรภ์แล้ว
จึงไม่ได้ยกเป็นมเหสีหลังจากนางคลอดบุตรพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงขอบุตรไว้แล้ว
ให้พระยาพิษณโุ ลก นานางเลือดขาวกลับไปส่งถึงเมืองพทั ลุง ต้ังแต่นั้นมาคนทว่ั ไป
ก็เรียกว่า "เจ้าแม่อยู่หัว เลือดขาว” หรือ "นางพระยาเลือดขาว”หรือ "พระนาง
เลือดขาว” นางได้อยกู่ ินกับพระกมุ ารจนอายไุ ด้ ๗๐ ปี ทั้งสองก็ถงึ แก่กรรม เจ้าฟา้
คอลาย ผู้เป็นบุตรได้นาศพไปประกอบพิธีฌาปนกิจศพที่บ้านพระเกิด เส้นทางที่
นาศพไปจากบา้ นบางแก้วถึงบ้านพระเกิดเรียกวา่ "ถนนนางเลือดขาว”

วิดีโอ เรอ่ื งตำนำนพระนำงเลอื ดขำว

https://youtu.be/PUNwmvfjx_k

อ้ำงองิ

ตานานในจังหวัดพัทลุง สืบค้นจาก
https://www.mculture.go.th/phatthalung/ewt_news.php
https://www.sator4u.com/paper/319
https://www.sator4u.com/paper/47
https://www.bloggang.com/viewdiary.php
https://www.gotoknow.org/posts/418378

ผู้จดั ทำ

นำงสำวซิลมี ขุนนยุ้
นำงสำวโสรญำ เบ็ญละโตะ๊
นำงสำวอำรมี ะ เกตแุ กว้


Click to View FlipBook Version