แบบฝึกสมรรถนะและการคิด
วชิ าภาษาไทย รหสั วชิ า ท31102 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี
สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15
ชอ่ื ....................................นามสกุล.......................................
ช้ันม.4/........... เลขที่ .....................
คานา
แบบฝึกสมรรถนะการคดิ วชิ าภาษาไทย รหัสวชิ า ท 31102 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4 เล่มน้ี
จัดทาข้ึนเพ่ือใชใ้ นการจดั การเรียนรรู้ ายวิชาพนื้ ฐานกล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทยตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
การนาเสนอเนอ้ื หาประกอบดว้ ยใบความรู้ซ่ึงมีเน้ือหาเกี่ยวกับหลกั เกณฑก์ ารใชภ้ าษาให้
ถูกต้องและหลกั การใช้ทกั ษะทางภาษาตลอดจนหลักการวิเคราะหว์ จิ ารณว์ รรณคดี และยงั มีใบงานใน
การฝึกปฏบิ ัตทิ ักษะทางด้านภาษาและวรรณคดใี ห้มีระสิทธิภาพ อนั จะทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจภาษาและ
วรรณคดี มีความชานาญในการใชท้ ักษะภาษามากยิง่ ขนึ้
หวังเป็นอย่างยิง่ วา่ เเบบฝกึ สมรรถนะการคดิ วชิ าภาษาไทยนีจ้ ะมปี ระโยชนแ์ ก่การจัดการ
เรียนรู้วิชาภาษาไทยทีจ่ ะทาให้ผู้เรียนไดร้ บั ความรอู้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
ผู้จัดทา
ครูวราภรณ์ รัตนกาญจน์
ครูบญุ ญฤทธิ์ รัตนรตั
ปส.นวพล ดาพิทักษ์
สารบญั หนา้
คานา 1
มงคลสูตรคาฉันท์ 7
การเขยี นบันทกึ 11
คาภาษาต่างประเทศในภาษาไทย 14
18
คาภาษาบาลี - สันสกฤต 20
คาภาษาเขมร 22
คาภาษาจีน 24
คาภาษาญ่ปี ่นุ 26
คาภาษาชวา – มลายู 33
คาภาษาอังกฤษ 40
มหาชาติหรอื มหาเวสสนั ดรชาดก 48
วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภมู ปิ ัญญาทางภาษา
บรรณานุกรม
๑
มงคลสูตรคำฉนั ท์
วรรณคดีคำสอน เร่ืองมงคลสูตร เป็ นบทพระรำชนิพนธใ์ นพระบำทสมเด็จพระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั โดย
พระองคท์ รงนำหลกั ธรรมทีเ่ ป็นภำษำบำลีจำกพระไตรปิ ฎกมำปลและเรียบเรียงโดยใชค้ ำประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์
กล่ำวถึงส่ิงทจ่ี ะนำควำมเจริญหรือสิริมงคลมำสู่ชีวติ ซ่ึงเป็ นมงคลอนั สูงสุด ๓๘ ประกำร ประกอบดว้ ยหลกั ปฏบิ ตั เิ พอื่
พฒั นำตนเอง คนรอบขำ้ ง สงั คม และพฒั นำจิต เพอ่ื ควำมหลุดพน้ เขำ้ สู่นิพพำน กำรนำหลกั มงคลสูตรไปตดั สินใจ
แกไ้ ขปัญหำและปฏบิ ตั ิในกำรดำเนินชีวติ ทำใหพ้ บกบั ควำมเจริญรุ่งเรืองในชีวติ
วธิ ีการอ่าน เขยี น และสะกด ในภำษำบำลี มีหลกั กำรกวำ้ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. พยญั ชนะทีเ่ ขียนไวโ้ ดด ๆ โดยไม่มีสระ ใหอ้ ำ้ นออกเสียง "สระ อะ" เสมอ เช่นตป อ่ำนวำ่ ตะ-ปะ
สติ อ่ำนวำ่ สะ-ติ
นโม อ่ำนวำ่ นะ-โม
ภควำ อ่ำนวำ่ ภะ-คะ-วำ
อำจริย อ่ำนวำ่ อำ-จะ-ริ-ยะ
อรหโต อ่ำนวำ่ อะ-ระ-หะ-โต
๒. กำรสะกดในภำษำบำลี ทำ่ นใช้ "พนิ ทุ ( ฺ )" เขียนไวใ้ ตต้ วั พยญั ชนะ มีหลกั ในกำรเขียนและอ่ำนดงั น้ี
๒.๑ พยญั ชนะทีใ่ ชพ้ นิ ทุ หรือจดุ ( ฺ )ไวใ้ ต้ จะใชเ้ ป็นตวั สะกด เสมอ เช่น
ภิกขุ อ่ำนวำ่ ภกิ -ขุ
อนิจจตำ อ่ำนวำ่ อะ-นิด-จะ-ตำ
อภิญญำ อ่ำนวำ่ อะ-ภนิ -ยำ
เวสโส อ่ำนวำ่ เวด-โส
๒.๒ ถำ้ พยญั ชนะตวั หนำ้ ไม่มีสระอยดู่ ว้ ย ทำ่ นใชพ้ นิ ทหุ รือจุด ( ฺ ) ท่อี ยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั หลงั เป็นไมห้ นั
อำกำศ เสมอ เช่น
ขนติ อ่ำนวำ่ ขนั -ติ
ตสส อ่ำนวำ่ ตดั -สะ
ปจจตต อ่ำนวำ่ ปัด-จดั -ตงั
สมมำสมพทุ ธสส อ่ำนวำ่ สำ-มำ-สำ-พดุ -ธดั -สะ
๒
๒.๓ บำงคร้งั ใชพ้ นิ ทุ หรือจุดไวใ้ ตพ้ ยญั ชนะเพอ่ื ใหเ้ ป็นตวั ควบกล้ำ ในกรณีน้ี นิยมอ่ำนออกเสียก่ึง
มำตรำ เช่น
ตสมำ อ่ำนวำ่ ตดั -สมำ (เสียง สะ หนำ้ มำ อ่ำนออกก่ึงมำตรำ หรือ อ่ำนอยำ่ งเร็ว)
พรูถะ อ่ำนวำ่ พรู-ถะ (เสียง พะ หนำ้ รูอ่ำนออกเสียงก่ึงมำตรำคลำ้ ยตวั ควบกล้ำ)
ยำตรำ อ่ำนวำ่ ยำด-ตรำ (เสียง ตะ หนำ้ รำ ออกเสียงก่ึงมำตรำ)
ภวตวนตรำโย อ่ำนวำ่ ภะ-วดั -ตวนั -ตะ-รำ-โย (เสียง ตะ หนำ้ รำ ออกเสียงก่ึงมำตรำ)
กตวำ อ่ำนวำ่ กตั - ตวำ ( เสียง ตะ หนำ้ วำ ออก ก่ึงมำตรำ )
พยำธิ อ่ำนวำ่ พยำ - ธิ ( เสียง พะ หนำ้ ยำ ออกก่ึงมำตรำ )
พรำหมณ อ่ำนวำ่ พรำม - มะ - ณะ ( เสียง พะ หนำ้ รำ ออกเสียงก่ึงมำตรำ )
๓. ภำษำบำลีใช้ "นิคคหิต" ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นตวั วงกลมเลก็ ๆ อยบู่ นตวั อกั ษร) เม่ือประกอบเขำ้ กบั ตวั อกั ษรแลว้ นิยม
อ่ำนออกเสียงดงั น้ี
๓.๑ ถำ้ อกั ษรตวั ท่ีมีนิคคหิตอยดู่ ว้ ยน้นั มีสระผสมอยู่ นิยมอ่ำนออกเสียงตวั นิคคหิตเป็นตวั ง สะกด (แม่กง)
เช่น
สุคตึ อ่ำนวำ่ สุ-คะ-ตงิ
วสิ ุ อ่ำนวำ่ ว-ิ สุง
เสตุ อ่ำนวำ่ เส-ตงุ
กำตุ อ่ำนวำ่ กำ-ตงุ
๓.๒ ถำ้ อกั ษรตวั ทมี่ ีนิคคหิตอยดู่ ว้ ยน้นั ไม่มีสระผสมอยู่ นิยมอ่ำนออกเสียงตวั นิคคหิตเป็ นสระ องั เสมอ
เช่น
มย อ่ำนวำ่ มะ-ยงั
อรห อ่ำนวำ่ อะ-ระ-หงั
พทุ ธ อ่ำนวำ่ พดุ -ทงั
ธมม อ่ำนวำ่ ทำ-มงั
สงฆ อ่ำนวำ่ สงั -คงั
๓
แบบฝึ กท๑ี่
เรื่อง มงคลสูตรคาฉันท์
คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี
1. นักเรียนได้ขอ้ คดิ อะไรบ้ำง จำกกำรศึกษำเร่อื ง มงคลสูตรคำฉันท์
2. นักเรียนนำขอ้ คดิ จำกกำรศกึ ษำเรอื่ ง มงคลสตู รคำฉันท์ ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั อย่ำงไร
3. มงคล 38 ประกำร ในข้อใดท่ีเป็นขอ้ ปฏิบัตใิ นกำรสรำ้ งชีวติ
4. มงคล 38 ประกำร ในข้อใดทเี่ ปน็ กำรฝึกใจโดยตรง
5. เรอ่ื ง มงคลสูตรคำฉันท์ มีคุณคำ่ ด้ำนวรรณศิลป์อย่ำงไร จงอธบิ ำย
6. จงอธบิ ำยคณุ ค่ำด้ำนสังคมและวัฒนธรรมเรอื่ ง มงคลสูตรคำฉันท์
๔
แบบฝึกท่ี๒
คำช้ีแจง ให้นักเรยี นเลือกบทประพันธท์ นี่ ักเรียนปฏบิ ัติในชวี ติ ประจำวนั จำกเรื่องมงคลสูตรมำ๑ บท
บทประพนั ธ์
กำรถอดควำม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คณุ ค่ำในบทประพนั ธ์
----------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------
๕
แบบฝกึ ท่ี๓
กำรนำควำมรคู้ วำมคิดไปใชต้ ดั สนิ ใจแกป้ ญั หำในกำรดำเนนิ ชวี ติ
คำชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนหำข่ำวจำกหนังสอื พิมพ์ ท่ีเปน็ ประเด็นปัญหำทีน่ ่ำสนใจในสงั คมกลมุ่ ละ ๑ ขำ่ ว จำกนั้น
เขียนวธิ กี ำรแก้ไขปญั หำในกำรดำเนินชวี ิต
เร่ือง...............................................................................................................................................................
ประเดน็ ปัญหำ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
วธิ ีกำรแกไ้ ขปัญหำ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.
แบบทดสอบก่อนเรยี น
๖
แบบทดสอบ
คำช้แี จง : ให้นกั เรยี นเลือกคำตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. กำรปฏบิ ตั ติ ำมมงคลสตู รในข้อใด ที่มนษุ ยป์ ถุ ุชนทำได้ 6. “อีกหนึ่งวินัยอัน นรเรยี นและเชี่ยวชำญ” จำก
ยำกยงิ่ ขอ้ ควำมในมงคลสูตรข้ำงต้น ตรงกบั พฤติกรรมในขอ้ ใด
ก. ควำมได้สดบั มำก และกำหนดสุวำที ก. ปวีณำไม่เคยมำโรงเรยี นสำยเลยสักวัน
ข. สำรวมวรินทรีย์ และสรุ ำบเ่ มำมล ข. อุษำช่วยเหลอื งำนพอ่ แม่ กอ่ นมำโรงเรียนทกุ วัน
ค. ยนิ ดี ณ ของตน บม่ ิโลภทยำนปอง ค. กนกขวัญและอำทิตย์ชวนกนั ไปค้นคว้ำควำมรใู้ น
ง. เห็นแจง้ ณ สี่องค์ พระอรยี สจั อนั หอ้ งสมุดอยเู่ สมอ
ง. แม้โรงเรียนกับบำ้ นของเบญจวรรณจะอยู่ไกลกนั มำก
2. มงคล 38 ประกำร เกิดขึน้ ได้อย่ำงไร แต่เขำก็ไม่เคยท้อแท้ในกำรเดินทำงมำโรงเรียน
ก. เทวดำทูลถำมพระพทุ ธเจ้ำถึงสิง่ ทเี่ ป็นมงคล
ข. พระพุทธเจ้ำทรงตรสั สั่งสอนแกเ่ หลำ่ สำวก 7. หน้ำทข่ี องลูกท่ดี ี สอดคลอ้ งกบั มงคลสูตรข้อใดมำกที่สุด
ค. พทุ ธสำวกต้องกำรหลักในกำรดำเนินชีวิต
ง. พระพทุ ธเจ้ำทรงคน้ พบควำมจรงิ ในกำรดำเนินชวี ิต ก. อีกคำเพรำะบรรสำน ฤดแิ ห่งประชำชน
3. “เทวำมนุษย์ท่ัว พหภุ พประเทศในหม่ืนจักรวำลได้ ข. อีกรคู้ ุณำของ นรผู้ประคองตน
ดำริห์สิ้น จริ ังกำล” จิรงั กำล มคี วำมหมำยวำ่ อยำ่ งไร
ค. หนง่ึ กรำบและบูชำ อภิบูชนยี ์ชน
ก. เวลำช้ำนำน ข. ควำมสงสัย
ค. กำรรอคอย ง. ควำมทุกข์ทรมำน ง. ควำมไม่ประมำทใน พหธุ รรมะโกศล
4. “ทุกๆ วัน สนั ตจิ ะนำอำหำรทเี่ หลือจำกโรงอำหำร 8. “จิตใครผไิ ด้ตอ้ ง วรโลกะธรรมศรี
ของโรงเรียนมำให้สุนขั และแมวจรจัดท่อี ำศัยอยู่ แลว้ ย่อมบ่พงึ มี จะประหวน่ั ฤกังวลั ”
บรเิ วณนอกโรงเรยี น เพรำะเขำเหน็ ว่ำ สนุ ัขและแมว
เหล่ำน้ี ไม่ได้รบั กำรดูแลจำกผใู้ ดเลย” กำรกระทำของ โลกะธรรมศรี หมำยถึงข้อใด
สนั ติ ตรงกับหลักมงคลสตู ร 38 ประกำร ในขอ้ ใด ก. สิ่งท่ีมนุษยพ์ ึงปรำรถนำและไมพ่ ึงปรำรถนำ
ก. อีกหนึง่ วนิ ัยอัน นรเรยี นและเชยี่ วชำญ ข. ส่งิ ที่มนษุ ยก์ ำหนดได้และกำหนดไม่ได้
ข. กอบกรรมะอนั ไร้ ทุษะกล้วั และมัวมล ค. โลกที่ทำใหม้ นษุ ยร์ แู้ จง้ เห็นจริง
ค. ควำมงดประพฤตบิ ำป ง. โลกทสี่ งบสขุ
ง. ใหท้ ำน ณ กำลควร
9. มงคลในข้อใดที่มีควำมสำคญั น้อยท่ีสุด ขณะท่ีกำลังอยู่
5. มงคลในขอ้ ใดท่สี อนใหม้ คี วำมสนั โดษ ในวยั เรยี น
ก. ยนิ ดี ณ ของตน ก. หนึ่งกรำบและบชู ำ อภิบูชนีย์ชน
ข. อีกหมน่ั ประพฤตคิ วร ณ สภำวะแห่งตน ข. ควำมไดส้ ดบั มำก และกำหนดสุวำที
ค. กำรงำนกระทำไป บ่มยิ ุง่ และสับสน ค. ให้ทำน ณ กำลควร และประพฤติสุธรรมศรี
ง. เพยี รเผำกิเลสลำ้ ง มละโทษะยำยี ง. หนึ่งคบกะบณั ฑติ เพรำะจะพำประสบผล
10. แนวคิดสำคญั ของมงคลสตู ร เป็นอยำ่ งไร
ก. ควำมเจริญในชวี ิตถอื ว่ำเป็นมงคลอันประเสรฐิ ยิง่
ข. ควำมเจรญิ ในชีวิตเกิดจำกกำรปฏิบตั ิของตนเองท้งั ส้ิน
ค. ควรใช้ควำมรู้ของตนเองในทำงที่ถูกตอ้ ง
ง. มงคลในพระพุทธศำสนำคอื หลกั ธรรมคำสอน
๗
กำรเขยี นบนั ทกึ
กำรเขยี นบนั ทกึ คอื กำรเขยี นบนั ทกึ ข้อมลู ทเ่ี ป็นประสบกำรณ์ ควำมรู้ หรือขอ้ ควำมสำคญั ในกำรจดบนั ทึก ตอ้ งบอก
แหล่งท่ีมำ หรอื วนั เวลำท่จี ดบันทกึ ไว้ด้วย
๑. ประเภทของกำรเขยี นบนั ทึก มี ๒ ประเภท ดงั นี้
๑.๑ กำรเขยี นบนั ทกึ เหตกุ ำรณป์ ระจำวัน เป็นกำรเขียนเรือ่ งรำวสว่ นตวั หรือเหตุกำรณท์ เี่ กดิ ขน้ึ หรือที่พบ
เห็นจำกกำรเดินทำงในแต่ละวัน เพ่ือเตือนควำมจำ แสดงควำมรูส้ ึก และข้อคิดเห็น
๑.๒ กำรเขยี นบันทึกควำมรู้ เป็นกำรเขยี นเรอื่ งรำวทไี่ ดพ้ บเห็นเรื่องใดเรื่องหนง่ึ เพอ่ื เปน็ กำรบนั ทึกควำมรู้
เตอื นควำมจำ บรรยำยควำมรู้สึก หรอื เเสดงข้อคิดเหน็
กำรเขียนบนั ทกึ เหตกุ ำรณ์
สง่ิ ท่ตี อ้ งมีในกำรเขยี นบันทึกเหตกุ ำรณ์ คือ
๑. วนั เดือน ปี ทีบ่ ันทกึ
๒. แหล่งท่ีมำของเรอื่ งรำวทไี ด้พบเหน็ มำ
๓. เรอ่ื งรำวทีพ่ บเหน็ มำ โดยสรุปย่อสำระสำคัญดว้ ยสำนวนภำษำของตน ซ่ึงอำจจะเเสดงขอ้ คดิ เห็นดว้ ย
กำรเขียนบนั ทกึ เหตกุ ำรณ์จำกกำรคน้ คว้ำเพือ่ บันทึกควำมรู้เป็นกำรสร้ำงนสิ ัยรักกำรอ่ำนและกำรเเสวงหำควำมรู้เพ่ิมเตมิ
จำกสื่อต่ำงๆ นอกจำกน้ยี ังเป็นกำรฝกึ ยอ่ ควำมปอ้ งกันกำรหลงลมื และประหยดั เวลำด้วย
๒. ข้อควรปฏบิ ตั ใิ นกำรเขยี นบนั ทึก
๒.๑ ทำควำมเข้ำใจกับเรอื่ งรำว โดยเรยี งลำดับควำมคิดและเนื้อเรอื่ งให้เข้ำใจงำ่ ย
๒.๒ บนั ทึกด้วยสำนวนภำษำของตนเอง ใหอ้ ่ำนง่ำยและเปน็ ระเบยี บ
๒.๓ บันทกึ เฉพำะสำระสำคัญ เช่น ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เมื่อไหร่ ทำไม
๒.๔ ฝึกบันทึกอยำ่ งรวดเรว็ เช่น ใช้เคร่ืองหมำยและอักษรยอ่ ขีดเส้นใต้หวั ขอ้ และประเด็นสำคัญ
๘
๓. วธิ ีกำรเขียนบนั ทกึ
๓.๑ ลำดับควำมให้เช่อื มโยงต่อเน่อื งกนั ไม่วกวน เชน่
ตอนบ่ำยง่วงนอนเพรำะดทู ีวีจนดกึ จึงนัง่ สปั หงก หนลู ชี วนไปเล่นว่งิ ไลจ่ บั เลยหำยง่วง เลิกเรียนแล้วกลับบำ้ น
และช่วยคุณเเมท่ ำกบั ข้ำว กลำงคืนทำกำรบำ้ นเสร็จ แลว้ รบี เข้ำนอน
๓.๒ ลำดับเหตกุ ำรณ์ เช่น
วนั ท่ี ๑ มกรำคม ๒๕๕๐
เวลำ ๑๐.๐๐ น. เสียงรอ้ งเพลงดังรบกวนขณะท่ฉี นั กำลงั ดูหนงั สอื
เวลำ ๑๐.๓๐ น. เสยี งร้องเพลงดงั กวำ่ เดมิ จึงตะโกนถำมและบอกให้ลดเสียง
เวลำ ๑๑.๑๐ น. เสียงรอ้ งเพลงดังมำกขึ้นเหมอื นจงใจจะเเกลง้ ฉันเลยหยุดดูหนงั สือ ไปทำงำนอน่ื เเทน
๓.๓ กำรเชือ่ มโยง เช่น
ตอนสำยเสียงร้องเพลงดัง เวลำตอ่ มำกเสียงรอ้ งเพลงดังมำกขึ้น ตอ่ มำจึงหยุดดูหนังสือ
๓.๔ กำรเนน้ ใจควำมสำคญั เชน่
เริ่มเรื่อง ร้องเพลงเสียงดงั ตะโกนถาม ผล เสียงร้องเพลงดงั ข้นึ
สรุป เลกิ ดูหนังสือ หันไปทางานอื่น ผล เหตกุ ำรณ์สงบ
๙
กำรเขยี นบันทึกควำมรู้
ตวั อยำ่ งกำรเขียนบนั ทกึ ควำมรูจ้ ำกเรือ่ งที่อำ่ น
ทำไมต้องฉดี วัคซีนปอ้ งกันโรคพิษสุนัขบ้ำรอบสะดอื
แต่เดิม สถำนเสำวภำรักษำโรคพิษสุนัขบ้ำด้วยกำรฉีดวัคซีนที่ทำจำกไขสันหลังกระต่ำย ต่อมำเปลี่ยนเป็น
สมองสัตว์โดยเฉพำะสมองแกะและหนูทดลองวัคซีนชนิดน้ี ได้รับกำรคิดค้นมำเพ่ือใช้ฉีดเข้ำใต้ผิวหนัง โดยต้องฉีดถึง
๑๔-๒๑ เขม็ ดงั น้ันบริเวณที่จะฉดี ยำต้องมพี ้นื ทีม่ ำกและไม่เกิดกำรอกั เสบไดง้ ่ำย พนื้ ท่หี น้ำทอ้ งรอบสะดือจงึ เปน็ บริเวณ
ที่เหมำะสมท่ีสุดในกำรฉีดวัคซีน แต่วัคซีนท่ีทำจำกสมองสัตว์ ทำให้หลำยคนมีอำกำรแพ้อย่ำงรุนแรง จึงมีกำรคิดค้น
วคั ซนี ขนึ้ ใหม่ โดยทำจำกเซลล์เพำะเล้ียง ซ่ึงมีประสิทธิภำพสงู และไม่ทำให้เกิดอำกำรแพ้ใช้วิธฉี ีดเข้ำกล้ำมเน้ือท่ีหัวไหล่
และฉดี เพยี ง ๕ เข้มเทำ่ นนั้
สถำนเสำวภำเลิกใช้วัคซีนท่ีฉีดรอบสะดือมำตั้งเเต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๓๕ กระทรวง
สำธำรณสุขกำหนดให้โรงพยำบำลท่วั ประเทศใช้เฉพำะวัคซีนท่ีทำจำกเซลล์เพำะเล้ียงเท่ำนัน้ เพรำะฉะน้ันต้งั แต่ปี พ.ศ.
๒๕๓๕ เปน็ ตน้ มำ ในประเทศไทยจะไม่มใี ครถูกฉดี วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคพษิ สุนขั บ้ำทร่ี อบสะดอื อีก
ตั้งคำถำมและตอบคำถำมจำกเรื่อง
๑. เรอ่ื งทอี่ ำ่ นมีชอื่ เรือ่ งว่ำอย่ำงไร = ทำไมต้องฉดี วัคซนี ป้องกันโรคพษิ สนุ ัขบำ้ รอบสะดือ
๒. เร่อื งทอ่ี ำ่ นเป็นเรอ่ื งรำวเกยี่ วกบั อะไร = กำรรกั ษำโรคพษิ สนุ ขั บำ้
๓. เพรำะเหตุใด จงึ ต้องฉดี วัคซนี ปอ้ งกนั โรคพษิ สนุ ัขบำ้ รอบสะดือ =เพรำะเป็นบริเวณที่มีพื้นท่ีมำกและไม่เกิด
อำกำรอกั เสบได้งำ่ ย
๔. ปัจจุบันยังมีกำรฉดี วคั ซีนปอ้ งกันโรคพษิ สุนขั บำ้ รอบสะดอื อย่หู รือไม่ เพรำะเหตุใด = ไมม่ ี เพรำะมกี ำรคิดค้นวัคซีน
ข้นึ มำใหม่ ใชฉ้ ดี เขำ้ กล้ำมเน้ือที่หวั ไหล่เเทน
เรียบเรยี งคำตอบและจดบนั ทกึ
เรื่อง ทำไมตอ้ งฉีดวัคซีนป้องกนั โรคพิษสนุ ขั บำ้ รอบสะดอื เป็นเร่ืองเกย่ี วกับกำรรักษำโรคพษิ สนุ ัขบ้ำ ซึ่งสำเหตุที่
ต้องฉีดวคั ซีนรอบสะดือ เพรำะเป็นบริเวณทม่ี ีพืน้ ท่ีมำกและไม่เกดิ อำกำรอักเสบได้ง่ำย แต่ปัจจบุ ันไมม่ ีกำรฉีดวัคซีนรอบ
สะดือแล้ว เพรำะไดม้ กี ำรคิดคน้ วัคซนี ขนึ้ มำใหม่ ใช้ฉีดเข้ำท่กี ล้ำมเนอ้ื ทห่ี วั ไหลแ่ ทน
๑๐
กำรเขยี นบันทึกจำกกำรอำ่ น
ปลำวำฬเป็นสัตว์จำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ดังน้ัน มันจึงมีปอดแทนที่จะมีเหงือกสำหรับหำยใจใต้น้ำได้เช่นปลำ
ธรรมดำ ปลำวำฬต้องโผล่ข้ึนมำสูดดมหำยใจใหม่ทุกๆ ๒๐ นำที จมูกของปลำวำฬอยู่ตอนส่วนบนของหัว เพ่ือควำม
สะดวกในกำรสูดอำกำศเมือ่ โผลข่ ึ้นบนผวิ นำ้ ในขณะดำน้ำจะมกี ลำ้ มเนือ้ พิเศษปดิ รูจมกู ของมันไว้เพือ่ ป้องกันไมใ่ หน้ ำ้ เข้ำ
จมูกของปลำวำฬติดต่อกับปอดโดยตรง ส่วนปำกของมันนัน้ ไม่มีทำงติดต่อกับปอดและจมูกของมันเลย ท้ังนี้เพ่ือจะกัน
ไมใ่ หน้ ำ้ เข้ำสูป่ อดในขณะท่ีมนั อำ้ ปำก ใต้น้ำ
เน่อื งจำกปลำวำฬตอ้ งโผล่ข้นึ มำหำยใจบนผิวนำ้ เสมอๆ นเ่ี อง ทำใหน้ กั ลำ่ ปลำวำฬสำมำรถติดตำมแหล่งที่อยู่
ของมันได้ ขณะที่ปลำวำฬโผล่ข้ึนบนผิวน้ำ จะมีน้ำพุ่งข้ึนมำเป็นฝอยคล้ำยน้ำพุ ซึ่งท่ีจริงไม่ใช้น้ำท่ีปลำวำฬพ่นออกมำ
ตำมท่ีคนส่วนมำกเข้ำใจกัน แต่ในลมหำยใจออกของปลำวำฬมีไอน้ำปนอยู่ด้วย เม่ือไอน้ำนี้กระทบกับควำมเย็นของ
อำกำศบริเวณน้ันเข้ำ จงึ รวมตัวกนั เปน็ หยดนำ้ เลก็ ๆ พงุ่ ออกมำเป็นฝอยคล้ำยน้ำพุ
บนั ทึกจำกกำรอำ่ น
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
…ค…าภ…าษ…าต่า…งป…ระ…เท…ศใ…นภ…าษ…าไ…ทย……………………………………………………………
……………………………………ค…าท…ม่ี …าจา…กภ…าษ…าต…่าง…ปร…ะเ…ทศ............................................
๑๑
คำภำษำตำ่ งประเทศในภำษำไทย
สำเหตุท่ีทำให้ภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำปะปนในภำษำไทย ได้แก่ สภำพทำงภูมิศำสตร์ คือกำรมีอำณำเขต
ใกลเ้ คียงกัน ทำใหม้ กี ำรติดต่อสอื่ สำรกนั โดยกำรเจรญิ สัมพนั ธไมตรีระหวำ่ งประเทศ กำรตดิ ต่อค้ำขำยระหวำ่ งกนั และ
กำรรับเอำวัฒนธรรมประเพณีต่ำง ๆ และควำมคิดควำมเช่ือทำงศำสนำ จึงมีกำรยืมคำในภำษำต่ำง ๆ มำใช้มำกมำย
เช่น ภำษำบำลี สนั สกฤต ภำษำเขมร จีน พม่ำ ชวำ มลำยู องั กฤษ เปน็ ตน้
คำยืมจำกภำษำเขมร
ไทยกับเขมรมีควำมสัมพนั ธ์กันมำนบั พันปี ต่ำงถ่ำยทอดวัฒนธรรมและอำรยธรรมซึ่งกันและกนั ใน
สมัยโบรำณ ไทยรับเอำ “อักษรขอมบรรจงและขอมหวัด” มำใช้ ไทยถือว่ำศักด์ิสิทธ์ิ จึงมักบันทึกเรื่องรำวเก่ียวกบั
ศำสนำลงบนแผ่นหิน ใบลำน ใช้ตัวอักษรขอมเขียนคำถำอำคมต่ำง ๆ ปรำกฏตำมพระพิมพ์ เหรียญพระ
เครอ่ื ง ตะกรุด ผำ้ ยันต์ต่ำง ๆ
คำยืมจำกภำษำจนี
ไทยกับจีนมีควำมสัมพันธ์กันทำงกำรทูตและกำรค้ำขำยมำต้ังแต่สมัยสุโขทัยสืบมำจนถึงปัจจุบัน ชำว
ไทยมำทำมำหำกินในประเทศไทย แตง่ งำนกบั คนไทยจนกลำยเป็นพลเมืองไทย เชอื้ สำยจีนเป็นจำนวนมำก มกี ำรผสม
ทำงด้ำนวัฒนธรรมประเพณีต่ำง ๆ ตลอดมำ คำยืมในภำษำจีนส่วนใหญ่เป็นสำเนียงแต้จ๋ิว มักเป็นคำเรียกสิ่งของ
เครอื่ งใช้ อำหำร พืช ผกั ผลไม้ รวมท้งั คำทเ่ี กี่ยวกับวฒั นธรรมจนี ไทยนยิ มนำคำจำกภำษำจนี มำใช้ในภำษำพูด ไม่นยิ ม
ใช้ในภำษำเขียน
คำยืมจำกภำษำอังกฤษ
คนในโลกยอมรับภำษำอังกฤษเป็นภำษำกลำงและนิยมใช้กันมำกท่ีสุด ไทยเร่ิมติดต่อกับชำติตะวันตกที่พูด
ภำษำอังกฤษมำตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยำโดยทำงกำรค้ำ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๕๕ ในสมัยสมเด็จพระเอกำทศรถ ในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นมีทูตจำกประเทศทำงตะวันตกมำเจรจำเร่ืองกำรค้ำกับรัฐบำลไทย พ่อค้ำชำวอังกฤษ
ชอ่ื Hunter เขำ้ มำค้ำขำยเปน็ คนแรกในกรงุ เทพฯ
ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระน่งั เกล้ำเจ้ำอยหู่ ัว เร่ิมมีคณะทูตสอนศำสนำเข้ำมำ และได้นำวิทยำกำร
ใหม่ ๆ เชน่ กำรพมิ พ์ กำรแพทย์ เข้ำมำเผยแพร่ คำภำษำอังกฤษจงึ เร่ิมปรำกฏในเอกสำรภำษำไทยต้งั แต่สมัยรัชกำลท่ี
๓ มำกมำย เชน่ ชื่อชนชำติ ชือ่ บคุ คล ชอื่ ยศ, บรรดำศกั ด์ิ ชื่อประเทศ ช่อื เมือง ชือ่ ศำสนำ เป็นตน้
ในสมยั รัชกำลท่ี ๔ มีคำยมื ภำษำอังกฤษปรำกฏมำกขึน้ ในเอกสำรประเภทจดหมำยเหตุ
พระรำชหตั ถเลขำ พงศำวดำร และคำสำมญั คำเรียกเครือ่ งมอื เครื่องใช้ เรยี กทะเลมหำสมุทรก็มำกข้ึนดว้ ย
สมัยรัชกำลท่ี ๕ ภำษำอังกฤษขยำยวงกว้ำงออกไปสู่ประชำชน เพรำะมีโรงเรียนสอนภำษำอังกฤษ
และวชิ ำกำรต่ำง ๆ มีศพั ทท์ ำงวทิ ยำศำสตร์ พฤกษศำตร์ สัตวศำสตร์เกดิ ข้ึนมำกมำย
หลงั สงครำมโลกครง้ั ที่ ๒ คำยมื ภำษำอังกฤษหลงั่ ไหลเขำ้ มำในภำไทยอย่ำงกวำ้ งขวำง เพรำะมนี ักเรยี นไทยไป
เรียนศึกษำในประเทศแถบยุโรป และอเมริกำ กำรเดินทำงระหว่ำงประเทศ กำรส่ือสำร กำรติดต่อค้ำขำย และกำร
ขยำยตัวของอุตสำหกรรมกำรค้ำในโลก ตลอดท้ังกำรรับเอำวัฒนธรรมตะวันตกด้ำนต่ำง ๆ เช่น ด้ำนบันเทิง
กีฬำ แฟช่ัน กำรแต่งกำย เป็นไปอย่ำงรวดเร็ว ในโลกยุคโลกำภิวัตน์ ภำษำอังกฤษเข้ำมำมีอิทธิพลต่อภำษำไทยเป็น
อย่ำงมำก เรำนำมำใช้ในชีวิตประจำวันมำกขึ้น เรำมีคำยืมภำษำอังกฤษทุกรปู แบบ ทั้งคำทับศัพท์ คำแปลศัพท์ และ
ศัพท์บัญญัติ กำรยืมคำภำษอังกฤษมำใช้ในภำษำไทยช่วยเปิดและขยำยโลกทัศน์ด้ำนวิชำกำร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี
๑๒
และวตั ถนุ ิยมแกค่ นไทย ทำให้เกดิ คำ่ นิยมใหมว่ ่ำ “ภำษำอังกฤษเป็นภำษำของผู้มกี ำรศึกษำ มคี วำมทันสมยั และอยู่ใน
สงคมชน้ั สูง”
คำยมื จำกภำษำชวำ – มลำยู
ภำษำชวำ – มลำยู ท่ียืมมำใช้ส่วนใหญ่เป็นคำ ๒ พยำงค์หรือมำกกว่ำ ส่วนมำกเป็นคำหมำยถึงพืช สัตว์
ส่ิงของ สถำนที่ และศิลปวัฒนธรรม หรือคำกริยำท่ีมีควำมหมำยเฉพำะ เช่น กระดังงำ ทุเรียน มังคุด น้อยหน่ำ งู
กะปะ หอกกะพง ปลำกุเลำ โลมำ ลิงอุรังอุตัง กอและ กริช กำยำน ปำเต๊ะ สลัก ว่ำว จับป้ิง ฆ้อง
บหุ งำรำไป ประทดั โสรง่ โกดงั มสั ยดิ เบตง ภูเก็ต ตะเบะ๊
คำยืมจำกภำษำโปรตุเกส
ตั ว อ ย่ ำ ง ค ำ ท่ี ยื ม ม ำ จ ำ ก ภ ำ ษ ำ โ ป ร ตุ เ ก ส ไ ด้ แ ก่ ค ำ ว่ ำ ก ร ะ ด ำ ษ ( สั น นิ ษ ฐ ำ น ว่ ำ เ พี้ ย น ม ำ ก
จำก “กรำตสั ”) กะละแม กะละมงั (ขนม)ปงั ปนั้ เหนง่ หลำ เหรียญ บำทหลวง เลหลงั สบู่
คำยืมจำกภำษำเปอร์เชยี
ตัวอย่ำงคำที่ยืมมำจำกภำษำเปอร์เชีย เช่น คำว่ำ กุหลำบ (มำจำกคำว่ำ Gul Gol แปลว่ำ กุหลำบ, ดอกไม้
ทว่ั ไปสีแดง เตมิ suffix - ab เป็น กลุ ลำพ แปลวำ่ น้ำกหุ ลำบหรือน้ำดอกไม้เทศ ไทยนำมำใชแ้ ทนดอกไม้ขนำดย่อม
มี ก ล่ิ น ห อ ม น อ ก จ ำ ก น้ี ยั ง มีค ำ อ่ื น ๆ เ ช่ น เ ก ด ค ำ ร ำ ว ำ น ชุ ก ชี ต ำ ด เ ยี ย ร บั บ ต ร ำ ต ร ำ ชู ฝ รั่ง
รำชำวดี ศำลำ สนม สักหลำด สหุ รำ่ ย อง่นุ
คำยมื จำกภำษำอำหรบั
ตัวอย่ำงคำทีย่ มื มำจำกภำษำอำหรบั ไดแ้ ก่ กะลำสี โกหรำ่ น (พระคัมภรี ก์ ุรอำน) ระยำ (กำรลงโทษโดยใชก้ อ้ น
หินขว้ำงใหต้ ำยเพรำะทำผดิ ประเพณี ไทยนำมำใชใ้ นควำมหมำยวำ่ ช่ัวช้ำเลวทรำม)
คำยมื จำกภำษำทมฬิ – มลำยู
ตัวอย่ำงคำท่ียืมมำจำกภำษำทมิฬได้แก่คำว่ำ กะไหล่ กุลี กำนพลู กำมะหยี่ จงกลนี ตรียัมปวำย
ปะวะหล่ำ อำจำด กะละออม กะหรี่ (แกงแขกชนิดหน่ึง) ตัวอย่ำงคำที่ยืมมำจำกภำษำมลำยู ได้แก่คำว่ำ กว้ำน
พลำย เพลำะ ฝำละมี กำมะลอ สะบำ้ สมิง กระแจะ ตวัก
อิทธพิ ลของภำษำตำ่ งประเทศในภำษำไทย
1. ทำให้คำในภำษำไทยมหี ลำยพยำงคเ์ น่ืองจำกกำรยมื คำภำษำต่ำงประเทศมำใช้ เชน่
ภำษำเขมร เช่น เผดจ็ เสวย กงั วล บำเพ็ญ ถนน
ภำษำจนี เช่น ตะหลวิ ก๋วยเตี๋ยว เลำ่ เตง เอยี้ มจนุ๊
ภำษำอังกฤษ เช่น คลินิก สนุกเกอร์ เนกไท แคชเชยี ร์
ภำษำบำลี-สันสกฤต เชน่ ปรชั ญำ กรฑี ำ อคั นี วทิ ยำ พร ประเสริฐ
2. ทำให้คนไทยมีเสียงควบกล้ำมำกข้นึ เช่น จนั ทรำ นทิ รำ ทรำนซสิ เตอร์ เอนทรำนซ์ และเพิ่มเสียงควบกล้ำซึ่งไม่
มใี นภำษำไทย เช่น ดรัมเมเยอร์ ดร๊ำฟ เบรก บรอนซ์ บลอ็ ก ฟรี แฟลช ฟลอโชว์ ฟลูออรนี
3. ทำให้คำไทยมีตัวสะกดมำกข้ึน ปกติคำไทยแท้ ตัวสะกดจะตรงตำมมำตรำ ซึ่งมีเพียง 8 แม่ แต่คำยืมจำก
ภำษำตำ่ งประเทศจะสะกดไมต่ รงตำมมำตรำ ดงั ตัวอยำ่ ง
แมก่ ก เช่น สุข เมฆ เชค็ สมคั ร
๑๓
แม่กด เช่น กฎ รฐั กอลฟ์ ฤทธ์ิ พุทธ
แมก่ น เช่น เพญ็ เพียร สญู บอล คณุ กุศล
แม่กบ เช่น รูป โลภ กรำฟ กอล์ฟ
4. ทำให้คำในภำษำไทยมีคำศัพทม์ ำกขนึ้ สำมำรถเลือกใชไ้ ด้ตำมควำมเหมำะสม เช่น
น้ำ - อทุ ก วำรี คงคำ สำคร ธำร ชล ชโลธร
ผู้หญิง - นงเยำว์ นง
ครำญ อิตถี สตรี กลั ยำ สุดำ สมร วนดิ ำ
พระอำทิตย์ - สรุ ิยำ รพี รวิ ภำกร
ดอกไม้ - มำลี บุปผำ บหุ งำ
ผวั - สวำมี สำมี ภรำดำ
เมยี - ภรรยำ ภริยำ ชำยำ มเหสี
๑๔
คำภำษำบำลี
หลักสงั เกตคำที่มำจำกภำษำบำลี
๑. เสียงสระในภำษำบำลมี ี ๘ เสียง คอื อะ อำ อิ อี อุ อู เอ โอ
๒. พยญั ชนะบำลีมี ๓๓ ตวั (ยกเวน้ ศ ษ) ซึ่งแบ่งตำมวรรคได้ดงั น้ี
๓. พยัญชนะวรรค แถวท่ี ๑ แถวท่ี ๒ แถวที่ ๓ แถวที่ ๔ แถวท่ี ๕
วรรคกะ (คอ) ก ขคฆ ง
วรรคจะ (เพดำน) จ ฉชฌ ญ
วรรคฏะ (ปมุ่ เหงือก) ฏ ฐ ฑฒ ณ
วรรคตะ (ฟนั ) ต ถทธ น
วรรคปะ (ริมฝปี ำก) ป ผพภ ม
เศษวรรค ย ล ร ว ส ห ฬ อ (ศ ษ)
นิคหติ ใชเ้ ป็นตัวสะกดเท่ำนัน้
- บำลถี อื วำ่ เป็นเสียง ง สะกด เชน่ พทุ ธ อำ่ นวำ่ พุด - ทัง
- สนั สกฤตถอื วำ่ เปน็ เสยี ง ม สะกด เชน่ พทุ ธ อำ่ นว่ำ พุด - ทำ
๓. หลกั เกณฑ์กำรใช้ตัวสะกดตวั ตำมในภำษำบำลมี หี ลกั เกณฑท์ ีแ่ น่นอนตำยตวั ดังน้ี
๓.๑ พยัญชนะแถวที่ ๑ ของทกุ วรรคเป็นตัวสะกด พยัญชนะแถวท่ี ๑ หรือ ๒ ของทกุ วรรค
เปน็ ตัวตำม เช่น ทุกข์ อิจฉำ วัตถุ
๓.๒ พยัญชนะแถวที่ ๓ ของทุกวรรค เปน็ ตัวสะกด พยัญชนะแถวที่ ๓ หรอื ๔ ของทุกวรรค เปน็ ตัวตำม เชน่ อคั คี
อัชฌำสยั มชั ฌมิ ำ พยัคฆ์
๓.๓ พยัญชนะแถวที่ ๕ ของทกุ วรรคเป็นตวั สะกด พยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ หรือ ๕ ของทกุ วรรคเปน็ ตวั ตำม เช่น สงฆ์
สญั ญำ สันติ สมั ผสั
๔. พยญั ชนะตัวสะกดตวั สำมในภำษำบำลี เมื่อนำมำใชใ้ นภำษำไทยบำงท่ีตดั ออกเสยี ตัวหนง่ึ เช่น นิจจ = นจิ เขตต
= เขต ยตุ ติ = ยุติ รัชชกำล = รัชกำล วชิ ชำ = วชิ ำ
๕ พยัญชนะวรรค ฏะ นยิ มตัดตัวสะกดเดมิ แล้วใชต้ วั ตำมสะกดแทน
เช่น รฏั ฐบำล = รัฐบำล วุฑฒิ = วฒุ ิ
๖. บำลีนยิ มใช้ ฬ เชน่ กีฬำ โอฬำร อำสำฬหบูชำ
๗. สังเกตกำรใช้ ณ ในภำษำบำลี จะใช้ ณ นำหนำ้ พยัญชนะวรรค ฏะ (ฏ ฐ ฑ ฒ ณ)
เช่น กณั ฑ์ บณั ฑิต
๘. คำทีใ่ ชพ้ ยญั ชนะซอ้ น ๒ ตวั
เชน่ เมตตำ ใช้ ตต นิพพำน ใช้ พพ ปจั จุบัน ใช้ จจ
๙. ใชร้ ปู พยญั ชนะซอ้ น ญห ณห มห เช่น ปัญหำ ตณั หำ เสมหะ
๑๐. คำสว่ นใหญ่ที่ขน้ึ ต้นดว้ ย ปฏิ เช่น ปฏบิ ตั ิ ปฏิเสธ เป็นตน้
๑๕
แบบฝกึ ท่ี๑
คำท่ีมำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำบำล)ี
คำชี้แจง : จงตอบคำถำมต่อไปนีใ้ หถ้ ูกต้อง (ขอ้ ละ 5 คะแนน)
๑. จงเขยี นหลกั กำรสังเกตคำที่มำจำกภำษำบำลีพรอ้ มยกตวั อย่ำงคำ
๑.๑ .........................................................................................................................................................
๑.๒ .........................................................................................................................................................
๑.๓ .........................................................................................................................................................
๑.๔ .........................................................................................................................................................
๑.๕ .........................................................................................................................................................
๒. สระบำลีมี......................ตวั ไดแ้ ก่...................................................................................................................
๓. จงอธบิ ำยหลักกำรสังเกตตัวสะกดและตวั ตำมของภำษำบำลี พร้อมยกตวั อยำ่ งประกอบ
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................
คำภำษำสันสกฤต
หลกั สงั เกตคำทีม่ ำจำกภำษำสนั สกฤต
๑. สระในภำษำสนั สกฤตมี ๑๔ เสียง ไดแ้ ก่ อะ อำ อิ อี อุ อู เอ โอ เอ เอำ
๒. พยญั ชนะสนั สกฤตม ๓๕ ตัว (ตำมพยญั ชนะวรรคของบำลี) รวม ศ ษ
๓. ตัวสะกดตัวตำมไมม่ ีหลกั เกณฑท์ ี่แน่นอนตำยตวั เหมือนภำษำบำลี เช่น อคั นี มกุ ดำ นิตยำ อำทิตย์
๔. นิยมใช้ ฑ เช่น ครฑุ กรีฑำ
๕. ใช้ ศ ษ เช่น ศีรษะ เกษตร รัศมี พศิ วำส อัศจรรย์ สนั โดษ
(ยกเวน้ ศึก ศอก เศกิ เศร้ำ เปน็ คำไทยแท้)
๖. คำในสนั สกฤตใช้ ร (รอ เรผะ) ใช้ในภำษำไทยเปน็ รร (รอหัน)
เช่น ครภ์ = ครรภ์ ธรม = ธรรม
๗. สนั สกฤตใช้ ร เปน็ ตวั ควบกลำ้ เช่น สงกรำนต์ มำตรำ สตรี เครำะห์ ปรีดำ
๘. คำภำษำสนั สกฤตมกั มีตวั สะกดเปน็ ตัวควบกล้ำ เช่น สมัคร บุตร เนตร
๙. คำภำษำสนั สกฤตมักมีตัวกำรนั ต์อยูห่ ลังพยญั ชนะท่ีเป็นตัวสะกดท่ไี ม่ตอ้ งกำรออกเสยี ง
เช่น สงั สรรค์ พักตร์ ลักษณ์
๑๐. คำภำษำสันสกฤตมกั ใชต้ วั ร เปน็ ตวั กำรันต์ เช่น อินทร์ ศำสตร์
๑๑. คำที่ใชร้ ูปพยญั ชนะซ้อน เช่น ปรำชญ์ ใช้ ช + ญ อำทติ ย์ ใช้ ต + ญ แพทย์ ใช้ ท + ย
๑๒. คำที่ใชพ้ ยัญชนะซ้อนในรปู ส+ด ส+ต ส+ถ เช่น วัสดุ พสิ ดำร สตรี สถำน สถำปนำ
๑๓. คำทีใ่ ช้ ฑ โดยไม่มี ณ นำอยขู่ ้ำงหน้ำ เช่น ครุฑ กรฑี ำ
๑๖
ตวั ตัวอย่ำงคำที่มำจำกภำษำบำลี-สนั สกฤต
บำลี ทัพพี บัญญตั ิ อปุ ถมั ภ์ รำชนิ ี กตกิ ำ ลัทธิ ญำติ
สนั สกฤต ปรำรถนำ วกิ ฤต เทศนำ พยำยำม อำทิตย์ ฤกษ์ ครรภ์
คำ ควำมหมำยของคำ
อปุ ถัมภ์ กำรค้ำจนุ กำรคำ้ ชู กำรสนับสนนุ กำรเล้ียงดู
ลัทธิ คติควำมเช่อื ถอื ควำมคิดเหน็ และหลกั กำรท่มี ีผูน้ ิยมนบั ถอื และ
ปฏบิ ตั ติ ำมสบื เน่ืองกันมำ
วิกฤติ อย่ใู นข้ันล่อแหลมต่ออันตรำย
ฤกษ์ ครำวหรอื เวลำทก่ี ำหนดหรือคำดวำ่ จะให้ผล
จลำจล ควำมปนั่ ป่วนวนุ่ วำยไมม่ ีระเบียบ
๑๗
แบบฝกึ ท่ี 2
คำทมี่ ำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำสนั สกฤต)
คำช้แี จง : จงตอบคำถำมต่อไปนใ้ี ห้ถูกต้อง
๑. จงเขยี นหลักกำรสังเกตคำทม่ี ำจำกภำษำสันสกฤตพรอ้ มยกตัวอยำ่ งคำ (๕ คะแนน)
๑.๑ .........................................................................................................................................................
๑.๒ .........................................................................................................................................................
๑.๓ .........................................................................................................................................................
๑.๔ .........................................................................................................................................................
๑.๕ .........................................................................................................................................................
๒. สระสันสกฤตมี......................ตัว
ไดแ้ ก่..............................................................................................................................................................................
๓. ให้นกั เรยี นเลอื กคำต่อไปนเ้ี ติมลงในตำรำงใหถ้ ูกตอ้ ง
กีฬำ บรรทกุ ตน้ ไม้ ระฆัง สัจจะ ปฏบิ ัติ ปฏสิ นธิ ศรี ษะ บรรณำรักษ์ ทฤษฎี อคั คี
เดก็ บลั ลังก์ สวน อักษร ฤทธ์ิ ครุฑ มะม่วง มะนำว
คำไทยแท้ ภำษำบำลี ภำษำสนั สกฤต
๔. ให้นกั เรียนอธิบำยว่ำคำตอ่ ไปนเี้ ปน็ ภำษำบำลหี รือสันสกฤตเพรำะเหตใุ ด
คำศัพท์ ภำษำ เหตผุ ล
วศิ วกรรม
ปญั ญำ
บรรจง
มธั ยม
๑๘
คำภำษำเขมร
หลกั สังเกตคำทมี่ ำจำกภำษำเขมร มีลักษณะ ดงั นี้
๑. มักมพี ยญั ชนะต้นลกั ษณะเหมอื นคำควบกลำ้ บำงคำอำ่ นออกเสยี งเรยี งกนั โดยออกเสยี ง อะ พยำงคแ์ รกเชน่ คำวำ่
เสด็จ ผกำ บำงคำอำจอำ่ นออกเสยี งแบบอักษรนำ เชน่ คำว่ำ ฉลอง แสวง ฉบงั
๒. มักมพี ยญั ชนะ จ ร ล ญ เปน็ ตัวสะกด เชน่ คำว่ำ อำนำจ ควร กังวล อัญเชญิ
๓. มักมีคำพยำงคแ์ รกประสมสระ อำ เช่น คำวำ่ ตำหนิ ทำเนียบ ชำนำญ
๔. คำท่มี ำจำกภำษำเขมรไม่มรี ูปวรรณยกุ ต์ เชน่ คำว่ำ สรง ฉลำด
ตัวอยำ่ งคำที่มำจำกภำษำเขมร
เจริญ เผชิญ โปรด ประมูล
สมควร ตำบล เสด็จ กระทรวง
แถลง บรรทัด กรำบ กำลงั เจริญ โฉนด ประชุม แผนก ระเบียบ บวช เฉลย สะเทิน เสบียง กรรแสง ขจร พนม ถวำย
ประกวด เพญ็ เชลย สนอง สงบ....
คำภำษำเขมร ควำมหมำยของคำภำษำเขมร
แถลง บอกเลำ่ อธบิ ำยหรือแจง้ ใหท้ รำบเปน็ ทำงกำร
โฉนด หนังสอื สำคัญของทำงรำชกำรแสดงกรรมสิทธท์ิ ดี่ ิน
เสบยี ง อำหำรท่ีจะเอำไปกนิ ระหว่ำงเดินทำงไกล
กรรแสง ส่งเสียงร้อง
สรวล หัวเรำะ รำชำศพั ท์ใชว้ ่ำ ทรงพระสรวล
สะเทนิ ครง่ึ ๆ กลำง ๆ กำ้ กงึ่
เผดจ็ ตัด ขจัด ขำด
เชลย ผทู้ ี่ถกู ฝำ่ ยตรงขำ้ มจับตัวได้
...
....................
๑๙
แบบฝกึ ท่ี ๔
คำทมี่ ำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำเขมร)
คำช้แี จง : จงตอบคำถำมต่อไปนใี้ หถ้ ูกต้อง
๑. คำท่ีมำจำกภำษำเขมรมีลักษณะอย่ำงไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๒. ให้นักเรยี นยกตัวอยำ่ งคำทย่ี มื มำจำกภำษำเขมร จำนวน ๑๐ คำ
๓. ให้นักเรยี นแตง่ ประโยคคำทม่ี ำจำกภำษำเขมร 4ประโยค พร้อมขีดเสน้ ใตค้ ำภำษำเขมร
ประโยคท่ี ๑ ........................... = ........................................................................................................................
ประโยคท่ี ๒ ........................... = ........................................................................................................................
ประโยคที่ ๓ ........................... = ........................................................................................................................
ประโยคท่ี ๔ ........................... = ........................................................................................................................
๒๐
คำภำษำจนี
คำทม่ี ำจำกภำษำจีนมลี กั ษณะ ดังนี้
๑. คำทีม่ ำจำกภำษำจีนส่วนใหญ่มีพยัญชนะต้นเปน็ อักษรกลำง
๒. มักประสมสระเสยี งสัน้ เชน่ /เอยี ะ/ /อัวะ/
๓. มกั มีรูปและเสียงวรรณยุกตต์ รีและจัตวำเป็นส่วนใหญ่
ตวั อย่ำงคำทีม่ ำจำกภำษำจีน
อำหำร : ซำลำเปำ เฉำก๊วย กว๋ ยเตี๋ยว พะโล้ โอเล้ียง เกก๊ ฮวย
ผกั ผลไม้ : กยุ ชำ่ ย แปะก๊วย ข้ึนฉ่ำย คะน้ำ ไชเ้ ทำ้ ตงั้ โอ๋
ของใช้ : กอเอ้ียะ ซำเลง้ เกำ้ อ้ี โตะ๊ เอี๊ยม เข่ง
คำเรียกญำติ : เตยี้ เฮีย กง๋ เจ๊ ตี๋ มว่ ย (หมวย)
คำอื่น ๆ : ปำหี่ ซินแส โหงวเฮง้ ฮวงจยุ้ กก๊ .
คำ ควำมหมำยของคำ
กยุ ชำ่ ย ชื่อไมล้ ม้ ลุกคล้ำยตน้ หอมหรือกระเทียมใบแบนกลิน่ ฉนุ กินได้
ตง้ั โอ๋ ชือ่ ไม้ลม้ ลุกใบเล็กหนำกล่ินหอมกินไดเ้ ปน็ พรรณไมต้ ่ำงประเทศ
กอเอ๊ยี ะ แผน่ ขีผ้ ึง้ ปดิ แผลชนิดหนงึ่ แบบจนี
เขง่ ภำชนะสำนอย่ำงหน่ึงมีรูปและขนำดต่ำง ๆ
เชน่ เข่งลำไย เข่งปลำทู
ปำหี่ กำรแสดงกลหรือกำยกรรมของนักแสดงเรร่ ่อนตำมทตี่ ่ำงๆ
ซินแส หมอ ครู
๒๑
แบบฝึกที่ ๕
คำท่ีมำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำจนี )
คำชี้แจง : จงตอบคำถำมตอ่ ไปน้ีให้ถกู ตอ้ ง
๑. คำทีม่ ำจำกภำษำจีนมลี ักษณะอย่ำงไร
............................................................................................................................................................................................
............................................................................ ............................................................................
๒. ใหน้ ักเรยี นยกตัวอย่ำงคำท่ียืมมำจำกภำษำจีน จำนวน ๑๕ คำ
๒๒
คำภำษำญี่ป่นุ
คำ ควำมหมำยของคำ
สุกียำก้ี ช่อื อำหำรแบบญป่ี นุ่ ชนิดหนึง่ ประกอบดว้ ยเน้อื สัตว์เต้ำหูและผักบำง
ชนิด, ไทยนำมำดดั แปลงโดยใช้เนือ้ สัตว์ผักตำ่ ง ๆ ว้นุ เส้นและไข่
เป็นต้น ลวกในน้ำ ซุป กินกบั น้ำจ้มิ , บำงทีเรยี กสัน้ ๆ วำ่ สุก้ี
กิโมโน เครอ่ื งแต่งกำยประจำชำตญิ ่ปี นุ่ เป็นเสอ้ื ยำวหลวมแขนกว้ำงมี
ผ้ำคำดเอว, โดยปรยิ ำยใช้เรียกเส้ือสตรที ีม่ ลี ักษณะเช่นน้ัน
คำรำเต้ ศิลปะกำรตอ่ สปู้ อ้ งกนั ตัวดว้ ยมือเปลำ่ โดยกำรใช้อวยั วะตำ่ ง ๆ
เช่น มือเทำ้ ศอกศีรษะที่ฝกึ จนแขง็ แกรง่ แล้วมแี พรห่ ลำยในญ่ีปนุ่ และ
เกำหลี
ซำบะ ชื่อปลำทะเลขนำดกลำงลำตัวกลมยำวเรียวไปทำงคอดหำงมลี วดลำยสี
น้ำเงนิ เข้มเปน็ เสน้ ทแยงหยักเรียงขนำนชิดกันเป็นระเบยี บอยู่เหนอื
เสน้ ขำ้ งตัว
ยูโด ศลิ ปะกำรต่อสแู้ ละป้องกันตวั อย่ำงหนงึ่ ของชำวญ่ปี ุน่ โดยชำนะไม่ตอ้ ง
ใช้อำวธุ
๒๓
แบบฝึกท่ี๖
คำที่มำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำญปี่ นุ่ )
คำช้ีแจง : จงตอบคำถำมตอ่ ไปนใ้ี หถ้ ูกต้อง
๑. คำท่ีมำจำกภำษำญ่ีปุ่นมีลักษณะอยำ่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๒. ใหน้ กั เรียนยกตวั อย่ำงคำที่ยืมมำจำกภำษำญ่ีปนุ่ จำนวน ๑๕ คำ (๑๕ คะแนน)
๒๔
ภำษำชวำ - มลำยู
คำทมี่ ำจำกภำษำชวำ - มลำยมู ีลกั ษณะ ดังนี้
๑. สว่ นใหญเ่ ปน็ คำทม่ี ี ๒ พยำงค์ เชน่ คำว่ำ โนรี บูด
๒. เปน็ คำทไ่ี ม่มเี สียงพยญั ชนะควบกล้ำ เชน่ คำวำ่ ภูเกต็ เบตง
๓. เป็นคำท่ีไมม่ ีรูปวรรณยกุ ต์ เม่ือไทยรับคำมำใช้จึงมกี ำรใชร้ ปู และเสียงวรรณยุกตใ์ ห้เข้ำกบั ภำษำของตนเอง
ตวั อยำ่ งคำที่มำจำกภำษำชวำ-มลำยู
ผลไม้ : ทุเรยี น น้อยหนำ่ มังคดุ
สตั ว์ : กะปะ กะพง กเุ ลำ โลมำ อุรงั อตุ ัง
คำอ่นื ๆ : กำยำน โกดัง กริช มสั ยิด รองเงง็ อังกะลุง
คำ ควำมหมำยของคำ
กำยำน วัตถุหอมชนิดหนงึ่ เกิดจำกยำงใสกล่ินหอมทอ่ี อกจำกเปลือกของ
ต้นกำยำน
โกดงั โรงเก็บสนิ คำ้
กริช อำวธุ ชนิดหน่งึ เปน็ ของชำวชวำและมลำยูมีลักษณะดำ้ มโค้งมกั ทำ
เป็นรูปหวั สตั ว์คล้ำยมดี ๒ คมปลำยแหลม
มัสยดิ สถำนท่ีซ่งึ ชำวมุสลิมใช้เป็นท่ปี ระกอบศำสนกิจ
อังกะลุง ชื่อเครอ่ื งดนตรีอย่ำงหนงึ่ ของชวำใช้เขย่ำใหเ้ กิดเสียง
๒๕
แบบฝกึ ท่ี ๗
คำทมี่ ำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำชวำ-มลำย)ู
คำชี้แจง : จงตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ใหถ้ กู ต้อง
๑. ลกั ษณะของคำภำษำชวำ-มลำยูเปน็ อย่ำงไร (๕ คะแนน)
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๒. ใหน้ กั เรียนหำคำภำษำชวำ-มลำยูมำแตง่ ประโยคภำษำละ ๓ คำ (๕ คะแนน)
ประโยคที่ ๑ ........................... = ........................................................................................................................
ประโยคท่ี ๒ ........................... = ........................................................................................................................
ประโยคท่ี ๓ ........................... = ........................................................................................................................
ผลไม้ สัตว์ ช่อื สถำนที่
๒๖
คำทีม่ ำจำกภำษำตำ่ งประเทศ (คำภำษำองั กฤษ)
หลกั สังเกตคำที่มำจำกภำษำองั กฤษ มลี ักษณะดงั น้ี
๑. เป็นคำหลำยพยำงค์
๒. มคี ำท่ีมีเสยี งควบกล้ำบำงตัวทไ่ี มม่ ีในภำษำไทย เช่น บล (bl) ดร (dr) ฟล (fl) ฟร (fr) ทร (tr) จึงทำใหไ้ ทยมีคำทมี่ ี
เสยี งควบกลำ้ ใชเ้ พ่ิมขน้ึ เช่น คำว่ำ เบรก ฟรี
๓. มกั จะเตมิ ไม้ทัณฑฆำต (อ)์ ทพ่ี ยัญชนะตวั สุดทำ้ ย หรือพยัญชนะที่อยู่ระหว่ำงคำ เพ่อื ไม่ใหอ้ อกเสยี ง เชน่ คำว่ำ เกยี ร์
ฟลิ ม์
๔. มตี ัวสะกดที่ภำษำไทยไมม่ ี เชน่ ฟ ล ซ ช ส ศ เมอื่ ไทยนำมำใชจ้ ะเปลย่ี นกำรออกเสยี ง ใหง้ ำ่ ยขน้ึ เชน่ ball ไทยจะ
เปลี่ยนเสียง ล เป็นเสยี ง น อำ่ นว่ำ บ็อน
golf ไทยจะเปล่ยี นเสียง ฟ เปน็ เสียง บ อ่ำนวำ่ กอ๊ บ
gas ไทยจะเปล่ียนเสยี ง ส เป็นเสยี ง ต อำ่ นวำ่ แก็ด
ตวั อย่ำงคำที่มำจำกภำษำอังกฤษ
อำหำร : ซปุ สลดั แฮมเบอร์เกอร์ แซนดว์ ชิ กำแฟ
ผักผลไม้ : พลมั บรอกโคลี แอปเปิล แคร์รอต
กฬี ำ : เทนนิส แบดมินตัน ฟตุ บอล วอลเลย์บอล สเกต
ดนตรี : เปยี โน ไวโอลนิ กตี ำร์ แซก็ โซโฟน ฟลูต
ของใช้ : คตั เตอร์ ชอลก์ โซฟำ เน็กไท เชติ้
คำอนื่ ๆ : แคปซลู โบนสั ฟตุ เคำน์เตอร์ ออฟฟิศ วติ ำมิน
คำ ควำมหมำยของคำ
ชอล์ก สิ่งทใ่ี ช้เขียนกระดำนดำมลี กั ษณะเปน็ แทง่ สขี ำวทำจำกแคลเซยี มซัลเฟต,
เม่อื ผสมด้วยดินสีหรือสสี ำเรจ็ รูปมสี ตี ำ่ ง ๆ เรียกว่ำชอลก์ สี
แคปซลู หลอดเลก็ ๆ ทำด้วยสำรที่ไม่เป็นพษิ และละลำยได้งำ่ ยใช้บรรจุยำ
โบนสั เงนิ พิเศษทร่ี ฐั วสิ ำหกจิ องคก์ ำร บริษทั หำ้ งร้ำนเปน็ ต้นจำ่ ยให้เป็นบำเหน็จ
รำงวลั แกพ่ นกั งำนเจำ้ หน้ำทีข่ องตนนอกเหนือจำกเงินเดือนคำ่ จำ้ ง
ออฟฟิศ สำนักงำน ท่ที ำกำร
๒๗
แบบฝึกที่ ๘
เรือ่ ง คำทม่ี ำจำกภำษำต่ำงประเทศ (คำภำษำองั กฤษ)
คำช้ีแจง : จงตอบคำถำมตอ่ ไปนีใ้ ห้ถกู ต้อง
๑. ลักษณะของคำภำษำองั กฤษเปน็ อย่ำงไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๒. ใหน้ กั เรยี นเขียนคำท่มี ำจำกองั กฤษตำมหมวดหมตู่ อ่ ไปนมี้ ำหมวดละ ๔ คำ
ผลไม้ อำหำร ดนตรี ของใช้
๒๘
แบบฝกึ ที่ ๙
เรอื่ ง ทบทวนคำทม่ี ำจำกภำษำต่ำงประเทศ
คำชีแ้ จง : ให้นักเรียนจับคู่คำต่อไปนี้
ไทย (ท.) บำลี (ป.) สนั สกฤต (ส.) ชวำ-มลำยู (ชว.)
จีน (จ.) ญ่ีปนุ่ (ญ.) อังกฤษ (อ.) เขมร (ข.)
ท่ี คำ ตอบ ท่ี คำ ตอบ ท่ี คำ ตอบ
๑ อชั ฌำสยั
๒ โปรด ๑๑ กำยำน ๒๑ ใหม่
๓ มะม่วง
๔ กรีฑำ ๑๒ ปรำรถนำ ๒๒ ประมูล
๕ อศั จรรย์
๖ วติ ำมิน ๑๓ เดิน ๒๓ เมตตำ
๗ กฬี ำ
๘ กว๋ ยเตี๋ยว ๑๔ ปำห่ี ๒๔ ศำสตร์
๙ ปัจจบุ ัน
๑๐ ตำบล ๑๕ ควร ๒๕ โอเลย้ี ง
๑๖ หลำน ๒๖ เศรำ้
๑๗ เผชญิ ๒๗ กระทรวง
๑๘ ภริยำ ๒๘ สุกย้ี ำกี้
๑๙ เสด็จ ๒๙ กิโมโน
๒๐ องั กะลงุ ๓๐ วอลเลยบ์ อล
๒๙
แบบทดสอบ
เรื่อง คำภำษำตำ่ งประเทศในภำษำไทย
๑. เหตใุ ดจงึ มีกำรยมื คำภำษำต่ำงประเทศมำใชใ้ นภำษำไทย
ก. เพรำะในปัจจบุ นั มีคนนิยมใชก้ นั มำก
ข. เพรำะมีวทิ ยำกรเขำ้ มำเผยแพร่ในประเทศไทย
ค. เพรำะมีกำรตดิ ตอ่ ระหวำ่ งประเทศท้งั ดำ้ นกำรทูต กำรคำ้ ขำย
ง. เพรำะภำษำตำ่ งประเทศมีมำกจึงตอ้ งนำมำใชใ้ นประเทศไทยบำ้ ง
๒. ขอ้ ใดเป็ นคำท่มี ำจำกภำษำต่ำงประเทศทกุ คำ
ก. เกำเหลำ ขำ้ วเปล่ำ ข. บนั ได แกว้ น้ำ
ค. ทเุ รียน มะขำม ง. กลั ปังหำ กีตำร์
๓. ขอ้ ใดกล่ำวถึงขอ้ สงั เกตลกั ษณะของคำทมี่ ำจำกภำษำเขมรไดถ้ กู ตอ้ ง
ก. เป็นคำทสี่ ะกดตรงตำมมำตรำ ข. มกั มีประวสิ รรชนียเ์ ป็ นส่วนใหญ่
ค. มีวรรณยกุ ตห์ ลำกหลำย ง. มกั จะเป็ นคำควบกล้ำ
๔. ขอ้ ใดเป็นคำท่มี ำจำกภำษำเขมร
ก. ปวง ข. ประชำ ค. สฤษฏ์ ง. ถวำย
๕. ขอ้ ใดเป็นคำทีม่ ำจำกภำษำองั กฤษทุกคำ
ก. คอนเสิร์ต แทก็ ซ่ี นอต ข. เกียร์ ดีเซล จบั กงั
ค. ทีวี บดั กรี ชอลก์ ง. จำระบี เรดำห์ สกั หลำด
๖. ขอ้ ใดเป็นคำท่มี ำจำกภำษำจนี ทกุ คำ
ก. โบตน๋ั กยุ ช่ำย เทม็ ปรุ ะ ข. คะนำ้ ทอ้ สึนำมิ
ค. ก๋วยเต๋ยี ว โจก๊ โอเล้ียง ง. จบั เล้ียง ซำโยนำระ โหวงเฮง้
๗. ขอ้ ใดเป็นคำที่มำจำกภำษำเขมรทุกคำ
ก. ยโู ด จรวด บรรทม ข. โควตำ ธำมรงค์ โก๋แก่
ค. กำเนิด บนั ได ตรัส ง. บะหมี่ ตำรวจ คำรำเต้
๘. “กปั ตนั ทีมฟตุ บอลของไทยไดร้ ับแรงเชียร์จำกแฟนคลบั อยำ่ งแน่นอน” มีคำทมี่ ำจำกภำษำองั กฤษกี่คำ
ก. ๔ คำ ข. ๕ คำ ค. ๖ คำ ง. ๗ คำ
๙. “ก๋งของฉนั ชอบกิน แป๊ ะซะ พะโล้ ก๋วยจบั๊ แต่ไม่ชอบกิน เตำ้ ทงึ เตำ้ หู้ เตำ้ ส่วน” ชื่ออำหำรท่ีกล่ำวถึงมำจำกภำษำ
ใด
ก. ไทยแท้ ข. จีน ค. ชวำ ง. เขมร
๓๐
๑๐. ขอ้ ใดเป็นคำทีม่ ำจำกภำษำเขมร
ก. กระทรวง ข. กระดงั งำ ค. กปั ตนั ง. เกำเหลำ
ค. เขมร ง. ไทย
๑๑. คำวำ่ “สำแหรก” เป็นคำท่ีมำจำกภำษำใด
ก. จีน ข. องั กฤษ
๑๒. ประโยคใดมีคำท่มี ำจำกภำษำจีน ข. ฉนั ไม่ชอบเดินคนเดียวตอนเยน็
ก. อยำ่ ลืมปิ ดไฟทุกคร้ังกอ่ นนอน ง. มีพระหอ้ ยคอแลว้ รูส้ ึกเป็นสิริมงคล
ค. คุณครูบอกใหจ้ ดั โตะ๊ และเกำ้ อ้ีใหเ้ รียบรอ้ ย
๑๓. คำวำ่ “นีออน” เป็นคำท่มี ำจำกภำษำใด ค. เขมร ง. องั กฤษ
ก. จีน ข. ญี่ป่ นุ
๑๔. “นำยทรงกลดเป็ นนกั เรียนท่ีไดร้ ับโควตำจำกมหำวทิ ยำลยั เชียงใหม่” คำทขี่ ดี เสน้ ใต้ เป็นคำท่มี ำจำกภำษำใด
ก. องั กฤษ ข. จนี ค. เขมร ง. ญ่ีป่ นุ
๑๕. ขอ้ ใดมีคำท่มี ำจำกภำษำเขมรมำกที่สุด
ก. คุณครูบอกวำ่ หำ้ มนกั เรียนหญงิ ใส่กระโปรงส้นั มำโรงเรียน
ข. กลุ่มเขำทำงำนสำเร็จไดด้ ีเพรำะมีกำรประชุมวำงแผนล่วงหนำ้
ค. ในหลวงเสด็จพระรำชดำเนินทรงเปิ ดสะพำนพระรำม ๘
ง. คุณพอ่ ของเพอ่ื นฉนั เป็นตำรวจออกตรวจทุกวนั
๑๖. ช่ืออำหำรชนิดใดเป็นคำทีม่ ำจำกภำษำจนี
ก. สุก้ียำก้ี ข. บะหมี่ ค. สำคู ง. ซีฟ้ดู
๑๗. ชื่อกีฬำประเภทใดเป็นคำท่ีมำจำกภำษำองั กฤษ
ก. เทควนั โด ข. เปตอง ค. ฟตุ บอล ง. ตะกรอ้
ง. มะไฟ
๑๘. ชื่อผลไมช้ นิดใดเป็นคำทม่ี ำจำกภำษำเขมร
ก. นอ้ ยหน่ำ ข. สตรอเบอร์ร่ี ค. ขนุน
๑๙. “คุณพอ่ ชวนคุณแม่ไปกินบะหม่ีฮ่องเตท้ ีเ่ ยำวรำช” คำที่ขดี เสน้ ใตเ้ ป็นคำทีม่ ำจำกภำษำใด
ก. จนี ข. ญีป่ ่ นุ ค. องั กฤษ ง. ชวำ-มลำยู
อ่ำนบทรอ้ ยกรองแลว้ ตอบคำถำมขอ้ ๒๐
บนั ดำลลงบนั ได บนั ทกึ ใหด้ ูจงดี
รื่นเริงบนั เทงิ มี บนั ลือลนั่ สนนั่ ดงั
๒๐. คำวำ่ “บนั ” ท่ีปรำกฏในบทรอ้ ยกรองขำ้ งตน้ เป็นคำท่ีมำจำกภำษำใด
ก. องั กฤษ ข. จีน ค. เขมร ง. ชวำ-มลำยู
๓๑
สังเครำะหข์ อ้ คิดจำกวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกตใ์ ช้
นิทำนม้ำมงคล
ม้ำทรงพระรำชำพระองค์หนึง่ มีคนเล้ยี งชอื่ สิริทัต เปน็ คนขำเดยี้ ง เดินกะโผลกกะเผลก เวลำคนเลีย้ งม้ำจูงม้ำ
แกกเ็ ดนิ กะเผลกตำมลกั ษณะของคนขำเด้ียง ม้ำเดนิ ตำมหลัง เหน็ เจำ้ นำยเดินอยำ่ งนัน้ จึงกระทำตำมบำ้ ง
จนวันหนงึ่ พระรำชำทรงสังเกตเหน็ ม้ำเดินผดิ ปกติ จงึ รบั ส่ังใหต้ ำมสัตวแพทยม์ ำตรวจว่ำม้ำป่วยเป็นโรคอะไร
สัตวแพทย์ตรวจเช็คอำกำรโดยละเอยี ดกไ็ ม่พบอะไรผดิ ปกติ พระรำชำรบั ส่งั ว่ำ มนั ตอ้ งมสี ิ ไมอ่ ย่ำงนน้ั ม้ำข้ำมนั จะ
เดนิ ขำเดย้ี ง อย่ำงนนั้ ได้อย่ำงไร ตรวจดูใหด้ ีอีกครงั้ ซิ สตั วแพทยก์ ็ตรวจโดยละเอยี ดอีกกไ็ มพ่ บสำเหตุ มนึ อยตู่ ั้งนำน
พลันสำยตำเหลอื บเหน็ คนเลยี้ งม้ำโขยกเขยกเข้ำมำ ก็นกึ ได้ จงึ กรำบทูลพระรำชำให้ลองเปลยี่ นคนเลย้ี งมำ้ ดู ม้ำ
อำจจะอำกำรดขี น้ึ กไ็ ด้ เม่ือเปลย่ี นคนเล้ยี งม้ำใหเ้ ป็นคนขำดีแลว้ สักพักเท่ำนัน้ มำ้ ของพระรำชำก็เดินเป็นปกติ ไม่
เดินขำเด้ียงอกี ตอ่ ไป
เลำ่ นทิ ำนเรอื่ งนแี้ ล้ว ผูแ้ ต่งคมั ภีร์ก็สรปุ วำ่ ... นี่แหละคอื อทิ ธิพลของกำรอยใู่ กล้ชดิ กัน มำ้ ขำไม่เด้ียง แตค่ นเลยี้ ง
ขำเดี้ยง ม้ำกเ็ ลยเดินตำมคนเลี้ยงท่ีขำเดีย้ ง นำนวนั เขำ้ ก็เลยกลำยเป็นมำ้ ขำเดย้ี งไปดว้ ย
ทม่ี า : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11543
บทกลอนมงคลชวี ิต
อย่ำคบมิตรท่ีพำลสนั ดำนช่วั จะพำตวั เนำ่ ดิบจนฉบิ หำย
แม้ควำมคดิ ชัว่ ช้ำอย่ำกลำ้ กรำย เป็นมิตรร้ำยภำยในทุกขใ์ จครนั
ควรคบหำบัณฑิตเปน็ มิตรไว้ จะช่วยให้พน้ ทกุ ขส์ บสขุ สนั ต์
ควำมคิดดีเลิศล้ำย่ิงสำคัญ ควรคบกนั อยำ่ เขวทุกเวลำ
ทม่ี า : http://www.krubanchang.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538687950&Ntype=1
๓๒
แบบทดสอบหลังเรียน
คำชีแ้ จง : ใหน้ ักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. กำรปฏิบตั ิตำมมงคลสตู รในขอ้ ใด ท่มี นษุ ย์ปถุ ุชนทำ 6. “อีกหน่ึงวินยั อัน นรเรยี นและเช่ียวชำญ” จำก
ได้ยำกยิง่ ขอ้ ควำมในมงคลสูตรขำ้ งตน้ ตรงกับพฤติกรรมในขอ้
ก. ควำมได้สดับมำก และกำหนดสวุ ำที ใด
ข. สำรวมวรนิ ทรีย์ และสุรำบ่เมำมล ก. ปวีณำไมเ่ คยมำโรงเรียนสำยเลยสกั วัน
ค. ยินดี ณ ของตน บ่มิโลภทยำนปอง ข. อุษำช่วยเหลืองำนพ่อแม่ กอ่ นมำโรงเรยี นทุกวัน
ง. เหน็ แจ้ง ณ ส่ีองค์ พระอรยี สจั อัน ค. กนกขวัญและอำทติ ยช์ วนกนั ไปค้นควำ้ ควำมรู้ใน
2. มงคล 38 ประกำร เกิดขนึ้ ไดอ้ ย่ำงไร หอ้ งสมดุ อยู่เสมอ
ก. เทวดำทูลถำมพระพุทธเจ้ำถึงสิง่ ทีเ่ ปน็ มงคล ง. แม้โรงเรยี นกับบ้ำนของเบญจวรรณจะอยไู่ กลกนั
ข. พระพทุ ธเจำ้ ทรงตรสั สั่งสอนแกเ่ หลำ่ สำวก มำก
ค. พุทธสำวกต้องกำรหลกั ในกำรดำเนนิ ชวี ิต แต่เขำก็ไมเ่ คยท้อแท้ในกำรเดนิ ทำงมำโรงเรยี
ง. พระพุทธเจำ้ ทรงค้นพบควำมจริงในกำรดำเนิน
ชวี ิต 7. หน้ำทข่ี องลูกท่ดี ี สอดคล้องกบั มงคลสูตรขอ้ ใดมำก
3. “เทวำมนษุ ย์ทว่ั พหภุ พประเทศในหม่นื จักรวำลได้ ทส่ี ดุ
ดำริห์สน้ิ จิรงั กำล” จิรงั กำล มคี วำมหมำยว่ำ ก. อีกคำเพรำะบรรสำน ฤดแิ หง่ ประชำชน
อย่ำงไร ข. อีกร้คู ณุ ำของ นรผ้ปู ระคองตน
ก. เวลำช้ำนำน ข. ควำมสงสัย ค. หนง่ึ กรำบและบชู ำ อภิบูชนยี ช์ น
ค. กำรรอคอย ง. ควำมทุกข์ทรมำน ง. ควำมไมป่ ระมำทใน พหุธรรมะโกศล
4. “ทกุ ๆ วนั สนั ติจะนำอำหำรทีเ่ หลอื จำกโรงอำหำร 8. “จิตใครผไิ ด้ตอ้ ง วรโลกะธรรมศรี แล้วย่อมบ่พงึ มี
ของโรงเรยี นมำใหส้ นุ ขั และแมวจรจดั ทีอ่ ำศยั อยู่ จะประหวั่นฤกังวัล” โลกะธรรมศรี หมำยถงึ ขอ้ ใด
บริเวณนอกโรงเรียน เพรำะเขำเหน็ ว่ำ สนุ ขั และ ก. สงิ่ ที่มนษุ ย์พึงปรำรถนำและไม่พงึ ปรำรถนำ
แมวเหลำ่ น้ี ไมไ่ ดร้ ับกำรดูแลจำกผูใ้ ดเลย” กำร ข. สิ่งที่มนษุ ย์กำหนดไดแ้ ละกำหนดไม่ได้
กระทำของสันติ ตรงกบั หลกั มงคลสูตร 38 ประกำร ค. โลกที่ทำใหม้ นุษย์ร้แู จง้ เห็นจรงิ
ในข้อใด ง. โลกทสี่ งบสุข
ก. อีกหนึง่ วินัยอนั นรเรยี นและเชี่ยวชำญ 9. มงคลในขอ้ ใดท่ีมีควำมสำคญั น้อยที่สุด ขณะที่กำลัง
ข. กอบกรรมะอันไร้ ทุษะกลวั้ และมัวมล อย่ใู นวยั เรียน
ค. ควำมงดประพฤตบิ ำป ก. หนึง่ กรำบและบชู ำ อภิบูชนีย์ชน
ง. ใหท้ ำน ณ กำลควร ข. ควำมไดส้ ดับมำก และกำหนดสวุ ำที
5. มงคลในขอ้ ใดทีส่ อนให้มีควำมสนั โดษ ค. ให้ทำน ณ กำลควร และประพฤติสุธรรมศรี
ก. ยินดี ณ ของตน ง. หนง่ึ คบกะบัณฑิต เพรำะจะพำประสบผล
ข. อกี หม่ันประพฤตคิ วร ณ สภำวะแห่งตน 10. แนวคิดสำคญั ของมงคลสตู ร เป็นอยำ่ งไร
ค. กำรงำนกระทำไป บ่มิยุง่ และสับสน ก. ควำมเจริญในชีวติ ถือว่ำเป็นมงคลอนั ประเสรฐิ ยิ่ง
ง. เพียรเผำกเิ ลสล้ำง มละโทษะยำยี ข. ควำมเจรญิ ในชวี ิตเกิดจำกกำรปฏบิ ัติของตนเอง
ทง้ั สน้ิ
ค. ควรใช้ควำมรขู้ องตนเองในทำงท่ีถูกตอ้ ง
ง. มงคลในพระพุทธศำสนำคอื หลักธรรมคำสอน
๓๓
มหำชำตหิ รอื มหำเวสสันดรชำดก
มหำชำติหรอื เวสสันดรชำดก เปน็ พระชำตทิ ่ยี ิ่งใหญ่พระชำติสดุ ทำ้ ยของพระพทุ ธเจำ้ กอ่ นจะประสูตเิ ป็น
เจำ้ ชำยสิทธัตถะและตรสั รเู้ ป็นพระพทุ ธเจำ้ ทรงบำเพญ็ ทำนบำรมีซง่ึ เป็นบำรมสี ูงสดุ ยำกท่ีผใู้ ดจะกระทำ กำรศกึ ษำ
เร่ืองมหำชำตหิ รือเวสสันดรชำดกนั้นจำเป็นจะต้องอำ่ นใหถ้ กู ตอ้ งเพือ่ นำไปวเิ ครำะห์และวิจำรณส์ ำมำรถทำให้ผ้อู ่ำนได้
ขอ้ คิดจำกเนอ้ื เรอื่ ง สำมำรถนำมำประยุกตใ์ ชใ้ นกำรดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั ได้
มหำชำตหิ รอื เวสสันดรชำดก
มหำชำติ เปน็ ชำตทิ ย่ี งิ่ ใหญข่ องพระโพธสิ ตั วท์ ี่ไดเ้ สวยพระชำติเป็นพระเวสสันดรและเป็นพระชำติสุดทำ้ ยก่อน
จะตรสั รู้เป็นพระสัมมำสัมพทุ ธเจำ้ คนไทยรู้จักและคุ้ยเคยกับมหำชำติมำตัง้ แตส่ มัยสุโขทยั ดังท่ปี รำกฏในหลกั ฐำน
ในจำรึกนครชุม และในสมัยอยุธยำก็ได้มีกำรแต่งและสวดมหำชำติคำหลวงในวันธรรมสวนะ ส่วนกำรเทศน์
มหำชำติเป็นประเพณีท่ีสำคัญในทุกท้องถนิ่ และมีควำมเชื่อกนั วำ่ กำรฟังเทศน์มหำชำติจบภำยในวันเดียวจะไดร้ บั
อำนสิ งสม์ ำก
ผ้แู ตง่
-สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำ กรมพระปรมำนชุ ิตชิโนรส
-พระบำทสมเด็จพระจอมเกลำ้ เจ้ำอยหู่ วั
-กวสี ำนักวดั ถนน
-กวีวัดสงั ขจำย
-พระเทพโมลี (กลิ่น)
-เจ้ำพระยำพระคลงั (หน)
ลกั ษณะคำประพนั ธ์
ควำมเรยี งร้อยแกว้ ร่ำยยำว กลบท กลอนพื้นบำ้ น
จุดมงุ่ หมำยในกำรแตง่
เพอื่ ใชใ้ นกำรสวด เทศนำสั่งสอน
ควำมเปน็ มำ
มหำชำติหรอื เวสสันดรชำดกนเ้ี ป็นเร่อื งใหญจ่ ดั รวมไวใ้ นมหำนิบำตชำดกรวมเรือ่ งใหญ่ 10 เรอื่ งทเี่ รยี กกันวำ่ ทศ
ชำติ แต่อีก 9 เร่ือง ไมเ่ รียกวำ่ มหำชำติ คงเรียกแตเ่ วสสนั ดรชำดกเรื่องเดียวว่ำ มหำชำติ ขอ้ น้สี มเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์
เธอกรมพระยำดำรงรำชำนุภำพโปรดประทำนอธบิ ำยว่ำ พุทธศำสนิกชนชำวไทยตลอดจนประเทศใกล้เคยี งนบั ถอื กนั มำแต่
โบรำณว่ำเร่ืองมหำเวสสันดรชำดก สำคญั กว่ำชำดกอนื่ ๆ ด้วยปรำกฏบำรมขี องพระโพธิสตั วบ์ ริบูรณใ์ นเรอื่ งมหำเวสสนั ดร
ชำดกท้งั 10 บำรมี
อำนสิ งส์กำรฟังเทศนม์ หำชำติ กำรตั้งใจฟังเทศนม์ หำชำติให้จบเพยี งวนั เดียวครบบรบิ รู ณ์ ทงั้ 13
กัณฑ์จะเปน็ เหตุให้สำเร็จควำมปรำรถนำทุกประกำรดังนี้
1. เมื่อตำยจำกโลกน้ีแลว้ จะมโี อกำสได้พบพระพทุ ธเจ้ำ พระนำมวำ่ ศรอี ริยเมตไตย ในอนำคต
2. เมื่อดบั ขนั ธ์ไปเกดิ ในสุคติโลกสวรรค์ จะเสวยทพิ ยสมบัติมโหฬำร
3. เมื่อตำยไปแล้วจะไม่ตกนรก
๓๔
4. เมือ่ ถึงยุคพระพทุ ธเจ้ำพระนำมวำ่ ศรีอรยิ เมตไตย จะไดจ้ ุติไปเกิดเป็นมนุษย์
5. ได้ฟังธรรมตอ่ หนำ้ พระพักตรข์ องพระพทุ ธองค์ จะได้ดวงตำเหน็ ธรรมเป็นพระอรยิ บุคคล ในบวร
พุทธศำสนำ
มลู เหตกุ ำรณ์เลำ่ เร่อื งมหำชำติ
คมั ภรี ธ์ ัมมบทขทุ ทกนิกำยกล่ำววำ่ เรอ่ื งเวสสันดรชำดกเปน็ พุทธดำรสั ที่สมเด็จพระบรมศำสดำตรัส
แก่ภิกษสุ งฆข์ ณี ำสพสองหม่ืนรปู และพระประยูรญำตทิ น่ี โิ ครธำรำมหำวิหำรในนครกบิลพัสดุ์ ในครำวเสดจ็
โปรดพระเจำ้ สทุ โธทนะพทุ ธบิดำ และพระวงศศ์ ำกยะบรรดำพระประยูรญำตไิ ม่ปรำรถนำจะทำควำมเคำรพ
พระองค์ ดว้ ยเห็นว่ำอำยุนอ้ ยกวำ่
พระองค์ทรงทรำบควำมคดิ น้ีจึงทรงแสดงยมกปำฏหิ ำริย์ โดยเสดจ็ ขึ้นเบอ้ื งนภำอำกำศแล้วปล่อยให้
ฝนุ่ ละอองธลุ ีพระบำทตกลงสู่เศียรของพระประยูรญำติทั้งหลำย พระประยูรญำติจึงได้ละท้ิงทฐิ ิแลว้ ถวำย
บังคมพระพุทธเจ้ำ ขณะน้นั ไดเ้ กดิ ฝนโบกขรพรรษ พระภิกษุทง้ั หลำยเห็นเป็นอศั จรรย์จึงได้ทูล
ถำม พระพุทธเจำ้ จึงตรัสวำ่ ฝนชนิดน้เี คยตกมำแล้วในอดีต แล้วจงึ ทรงแสดงธรรมเรื่องมหำเวสสันดร
ชำดก หรือเรอื่ งมหำชำติให้แกพ่ ระภิกษแุ ละพระประยูรญำติ
มหำเวชสันดรชำดก เปน็ ชำดกทมี่ คี วำมสำคัญมำกกว่ำชำดกอืน่ ๆ เพรำะพระบำรมีของพระโพธสิ ตั ว์
ได้บำเพ็ญบริบูรณใ์ นพระชำติน้ี มหำเวสสันดรชำดกทัง้ 10 บำรมี คือ
ทำนบำรมี = ทรงบรจิ ำคทรัพย์สนิ ช้ำง มำ้ รำชรถ พระกุมำรท้งั สองและพระมเหสี
ศีลบำรมี = ทรงรกั ษำศีลอยำ่ งเคร่งครัดระหว่ำงทรงผนวชอยู่ ณ เขำวงกต
เนกขมั มบำรมี = ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลำทีป่ ระทับ ณ เขำวงกต
ปญั ญำบำรมี = ทรงบำเพ็ญภำวนำมยั ปัญญำตลอดเวลำท่ีทรงผนวช
วิรยิ ำบำรมี = ทรงปฏบิ ตั ิมิได้ย่อหย่อน
สัจจบำรมี = ทรงลน่ั พระวำจำยกกุมำรใหช้ ชู ก เมอื่ พระกุมำรหลบหนีกท็ รงตดิ ตำมให้
ขันตบิ ำรมี = ทรงอดทนตอ่ ควำมยำกลำบำกต่ำง ๆ ขณะทเี่ ดินทำงมำยังเขำวงกต และตลอดเวลำท่ี
ประทบั ณ ทนี่ น่ั แม้แตต่ อนท่ีทอดพระเนตรเหน็ ชชู กเฆี่ยนตีพระกมุ ำรอย่ำงทำรณุ พระองคก์ ็ทรงขม่ พระทัยไว้
ได้
เมตตำบำรมี = เมอื่ พรำหมณเ์ มืองกลิงครำษฎร์ มำทลู ขอชำ้ งปัจจยั นำค เน่ืองจำกเมืองกลงิ ครำษฎร์ฝน
แล้ง ก็ทรงพระเมตตำประทำนให้ และเมอื่ ชูชกมำทูลขอสองกมุ ำร อำ้ งว่ำตนได้รบั ควำมลำบำกต่ำง ๆ
พระองคก์ ม็ เี มตตำประทำนใหด้ ว้ ย
อุเบกขำบำรมี = เมื่อทรงเห็นสองกุมำรถูกชูชกเฆี่ยนตี วงิ วอนใหพ้ ระองคช์ ว่ ยเหลอื ทรงบำเพญ็ อเุ บกขำ คือ
ทรงวำงเฉย เพรำะทรงเห็นวำ่ ไดป้ ระทำนเป็นสิทธ์ขิ ำดแก่ชูชกไปแล้ว
อธษิ ฐำนบำรมี = คอื ทรงตงั้ มนั่ ที่จะบำเพญ็ บำรมีเพอื่ ให้สำเร็จโพธิญำณเบอื้ งหน้ำก็มิไดท้ รงยอ่ ทอ้ จนพระ
อนิ ทร์ต้องประทำนควำมชว่ ยเหลอื ต่ำง ๆ เพรำะพระทัยอันแนว่ แนข่ องพระองค์
เนอื้ เรอ่ื ง
หลงั จำกสมเด็จพระสมั มำสมั พทุ ธเจำ้ ทรงแสดงยมกปำฏหิ ำรย์ ทำใหพ้ ระประยูรญำติละทฐิ ิยอมถวำย
บงั คม ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษ พระภกิ ษทุ งั้ หลำยจึงได้ทูลถำมพระพุทธเจ้ำ พระพุทธองคต์ รสั เลำ่ ว่ำ ฝน
ชนิดน้เี คยตกมำแลว้ ในอดีต พระองค์จงึ ทรงแสดงธรรมเร่ืองมหำเวสสนั ดรชำดก หรอื เร่อื งมหำชำติ ทั้ง 13
กัณฑ์ ตำมลำดับ ดงั น้ี
๓๕
กณั ฑ์ท่ี 1 ทศพร พระอินทร์ประสำทพรแก่พระนำงผุสดี กอ่ นท่ีจะจตุ ลิ งมำเป็นพระรำชมำรดำของ
พระเวสสันดร แต่ปำงกอ่ นน้ันผสุ ดีเทวเี สวยชำตเิ ปน็ อัครมเหสขี องพระอนิ ทร์ เม่อื จะส้ินพระชนมำยจุ ึงขอ
กัณฑท์ ศพรจำกพระอนิ ทรไ์ ด้ 10 ประกำร ท้ังยังเคยโปรยผงจนั ทรแ์ ดง ถวำยพระวิปสั สพี ุทธเจ้ำและอธิฐำน
ใหไ้ ด้เกดิ เป็นมำรดำพระพุทธเจำ้ ดว้ ย พร 10 ประกำรนั้นมดี งั น้ี
1. ขอใหเ้ กิดในกรุงมทั ทรำช แคว้นสีพี
2. ขอให้มีดวงเนตรคมงำมและดำขลับด่ังลูกเนอื้ ทรำย
3. ขอให้ค้ิวคมขำดัง่ สรอ้ ยคอนกยงู
4. ขอให้ได้นำม "ผุสด"ี ดังภพเดิม
5. ขอใหพ้ ระโอรสเกรกิ เกียรตทิ ส่ี ุดในชมพูทวปี
6. ขอให้พระครรภ์งำม ไมป่ อ่ งนูนดั่งสตรสี ำมัญ
7. ขอใหพ้ ระถนั เปล่งปล่งั งดงำมไมย่ ำนคล้อยลง
8. ขอใหเ้ สน้ พระเกศำดำขลบั ตลอดชำติ
9. ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธดิ์ ุจทองคำธรรมชำติ
10. ขอใหไ้ ดป้ ลดปลอ่ ยนกั โทษทีต่ อ้ งอำญำประหำรได้
กัณฑ์ที่ 2 หิมพำนต์ พระนำงผุสดจี ตุ ิลงมำเปน็ รำชธดิ ำของพระเจ้ำมัททรำช เมือ่ เจริญชนม์ได้ 16
ชนั ษำ จงึ ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกับพระเจ้ำกรงุ สญชัยแห่งสีวริ ัฐนคร ตอ่ มำได้ประสูตพิ ระโอรสนำมวำ่
"เวสสนั ดร" ในวนั ทป่ี ระสูตนิ นั้ ได้มนี ำงช้ำงฉนั ททันตต์ กลกู เป็นช้ำงเผือกขำวบรสิ ทุ ธิ์จงึ ได้นำมำไวใ้ นโรงชำ้ งตน้
คู่บำรมี ใหน้ ำมว่ำ "ปัจจัยนำค" เมื่อพระเวสสันดรเจรญิ ชนม์ 16 พรรษำ พระรำชบิดำกย็ กรำชสมบตั ิให้
ครอบครองและทรงอภิเษกกับนำงมทั รี พระรำชธดิ ำรำชวงศ์มัททรำช มีพระโอรสชื่อ ชำลี พระธดิ ำชื่อกัณ
หำ พระองคไ์ ดส้ รำ้ งโรงทำน บริจำคทำนแกผ่ เู้ ข็ญใจ ต่อมำพระจ้ำกำลงิ คะแห่งนครกลิงครำษฎร์ ได้ส่ง
พรำหมณม์ ำขอพระรำชทำนช้ำงปัจจยั นำคเพ่ือให้ฝนตกในบำ้ นเมอื งท่ีแห้งแล้งกันดำร พระองค์จึง
พระรำชทำนชำ้ งปัจจยั นำคให้แกพ่ ระเจ้ำกำลงิ คะ ชำวกรงุ สญั ชยั ไมพ่ อใจท่พี ระรำชทำนชำ้ งค่บู ้ำนคู่เมอื ง
ไป จงึ เนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร
กณั ฑท์ ี่ 3 ทำนกัณฑ์ พระเวสสันดรทรงมหำสัตตสดกทำน คือ กำรแจกทำนครั้งย่ิงใหญก่ อ่ นท่ีพระ
เวสสันดรพร้อมดว้ ยพระนำงมทั รี ชำลีและกณั หำออกจำกพระนคร จงึ ทลู ขอพระรำชทำนโอกำสบำเพญ็ มหำ
สตั ตสดกทำน คอื กำรใหท้ ำนครง้ั ยง่ิ ใหญ่ อันไดแ้ ก่ ช้ำง ม้ำ รถ โคนม นำรี ทำสี ทำสำ รวมทง้ั สุรำ
บำน อย่ำงละ 700
กณั ฑท์ ี่ 4 วนประเวศน์ เป็นกัณฑ์ท่ีสีก่ ษตั ริย์เดนิ ทำงสเู่ ขำวงกต เมือ่ เดินทำงถึงนครเจตรำชท้ังส่ี
กษัตรยิ ์จงึ แวะเข้ำประทับหน้ำศำลำพระนคร กษตั รยิ ์ผคู้ รองนครเจตรำชจึงทลู เสด็จครองเมอื ง แต่พระ
เวสสนั ดรทรงปฏิบัติ กษัตริย์เจตรำชจงึ มอบหมำยใหพ้ รำนเจตบุตรผู้มีควำมเชย่ี วชำญชำนำญป่ำเป็นผู้รักษำ
ประตปู ำ่ ไม้ กษตั ริย์ทง้ั 4 พระองคป์ ลอดภัย และเมื่อเสดจ็ ถงึ เขำวงกตได้พบอำศรม ซ่งึ ท้ำววษิ ณกุ รรม
เนรมติ ตำมพระบญั ชำของพระอนิ ทร์ กษัตรยิ ์ท้งั สจ่ี ึงทรงผนวชเป็นฤำษีพำนกั ในอำศรมสืบมำ
กัณฑ์ท่ี 5 ชชู ก ในแควน้ กำลิงคะมพี รำหมณแ์ กช่ ่อื ชูชกพำนกั ในบำ้ นทนุ วฐิ ะเที่ยวขอทำนตำมเมือง
ตำ่ ง ๆ เมอื่ ไดเ้ งินถงึ 100 กหำปณะ จงึ นำไปฝำกไว้กับพรำหมณ์ผัวเมยี แลว้ ออกเดนิ ทำงขอทำนต่อไป เม่ือ
เหน็ ว่ำชชู กหำยไปนำนจงึ ไดน้ ำเงินไปใชเ้ ปน็ กำรส่วนตัว เมื่อชูชกเดินทำงมำทวงเงนิ คืนจงึ ยกนำงอมิตดำลกู
สำวใหแ้ ก่ชูกชก นำงอมติ ดำเมื่อมำอยู่ร่วมกับชูชกไดท้ ำหนำ้ ทีข่ องภรรยำท่ดี ี ทำใหช้ ำยในหมู่บ้ำนเปรยี บเทยี บ
กบั ภรรยำของตน หญิงในหมบู่ ำ้ นจึงเกลยี ดชงั และรุมทำรำ้ ยทบุ ตีนำงอมติ ดำ ชูชกจึงเดินทำงไปทลู ขอกัณหำ
ชำลเี พ่ือมำเป็นทำสรับใช้ เมอื่ เดินทำงมำถึงเขำวงกตก็ถูกขดั ขวำงจำกพรำนเจตบุตรผู้รักษำประตปู ่ำ
๓๖
กัณฑท์ ี่ 6 จุลพน พรำนเจตบุตรหลงกลชูชก ทไี่ ดช้ ูกลกั พรกิ ขิงใหพ้ รำนดู อำ้ งว่ำเปน็ พระรำชสำสน์
ของพระเจ้ำกรงุ สญชยั จะนำไปถวำยพระเวสสนั ดร พรำนเจตบุตรจึงตอ้ นรับและเล้ียงดชู ูชกเป็นอย่ำงดีและได้
พำไปยังต้นทำงที่จะไปอำศรมฤำษี
กณั ฑ์ที่ 7 มหำพน เมอื่ ถึงอำศรมไดพ้ บกบั อจุตฤำษี ชูกชกใช้คำรมหลอกลอ่ จนอจุตฤำษีให้ทีพ่ กั หน่งึ
คืนและบอกเสน้ ทำงไปยังอำศรมพระเวสสนั ดร พรอ้ มพรรณนำหมู่สตั ว์และพรรณไมต้ ำมเสน้ ทำงให้ชูชกฟัง
กณั ฑ์ท่ี 8 กัณฑก์ ุมำร เปน็ กณั ฑท์ ่ีพระเวสสนั ดรทรงใหท้ ำนสองโอรสแก่เฒำ่ ชชู ก พระนำงมัทรีฝัน
รำ้ ยเหมอื นบอกเหตุแห่งกำรพลัดพรำก รุง่ เช้ำเมื่อพระนำงมัทรเี ข้ำปำ่ หำอำหำรแล้ว ชชู กจงึ เข้ำเฝ้ำทูลขอสอง
กุมำร สองกุมำรลงไปซ่อนตวั อยู่ท่สี ระ พระเวสสันดรจึงเสดจ็ ตดิ ตำมหำสองกุมำรแลว้ มอบให้แกช่ ูชก
กัณฑ์ที่ 9 กัณฑม์ ัทรี พระนำงมัทรเี ดินเข้ำไปหำผลไม้ในปำ่ ลกึ จนคลอ้ ยเย็นจึงเดนทำงกลับ
อำศรม แตม่ เี ทวดำแปลงกำยเป็นเสอื นอนขวำงทำงจนคำ่ เมอ่ื กลบั ถงึ อำศรมไมพ่ บโอรสธิดำและพระ
เวสสนั ดรได้กลำ่ วว่ำนำงนอกใจ พระนำงมัทรจี ึงออกเทยี่ วหำโอรสธดิ ำและกลบั มำส้ินสติตอ่ เบื้องพระ
พักตร์ พระองค์ทรงตกพรทยั ลืมตนว่ำเปน็ ดำบสจึงทรงเขำ้ อมุ้ พระนำงมัทรีและทรงกันแสง เมื่อพระนำงมัทรี
ฟ้ืนจึงถวำยบงั คมประทำนโทษ พระเวสสันดรจึงบอกควำมจริงวำ่ ได้ประทำนโอรสธดิ ำแกช่ ูชกแล้ว หำกชีวิต
ไมส่ ิ้นคงจะได้พบกนั พระนำงมัทรจี งึ ได้ทรงอนโุ มทนำในปิยบตุ รทำนนัน้
กณั ฑ์ที่ 10 สักรบรรพ พระอนิ ทรเ์ กรงว่ำพระเวสสันดรจะประทำนพระนำงมัทรีให้แก่ผู้ท่ีมำขอ จงึ
แปลเปน็ พรำหมณ์เพือ่ มำทูลขอพระนำงมัทรี พระเวสสันดรจงึ ประทำนให้พระนำงมัทรกี ย็ ินดีอนุโมทนำเพ่ือ
รว่ มทำนบำรมใี หส้ ำเร็จพระสมั โพธิญำณ เปน็ เหตุใหเ้ กดิ แผ่นดนิ ไหวสะทำ้ น พระอนิ ทรใ์ นร่ำงพรำหมณจ์ ึง
ฝำกพระนำงมทั รไี ว้ยงั ไมร่ บั ไป แล้วตรัสบอกควำมจริงและถวำยคืนพร้อมถวำยพระพร 8 ประกำร
กัณฑ์ที่ 11 มหำรำช เมื่อเดินทำงผำ่ นป่ำใหญช่ ูชกจะผกู สองกุมำรไว้ที่โคนตน้ ไม้ สว่ นตนเองปนี ขน้ึ
ไปนอนต้นไม้ เหลำ่ เทพเทวดำจงึ แปลงร่ำงลงมำปกป้องสองกมุ ำรจนเดินทำงถงึ กรงุ สพี ี พระเจ้ำกรุงสีพีเกิด
นมิ ิตฝนั ตำมคำทำนำยนน้ั นำมำยงั ควำมปีติปรำโมทย์ เมอ่ื เสด็จลงหน้ำลำนหลวงตอนรุ่งเช้ำ ทอดพระเนตร
เห็นชูชกและกมุ ำรทงั้ สองพระองค์ ทรงทรำบควำมจรงิ จึงพระรำชทำนค่ำไถค่ นื ต่อมำชูชกกถ็ งึ แก่ควำมตำย
เพรำะกินอำหำรมำกเกินขนำดจนไมย่ อ่ ย พระชำลจี งึ ไดท้ ูลขอให้ไปรับพระบดิ ำพระมำรดำนิวัตพิ ระนคร ใน
ขณะเดยี วกันเจ้ำนครลิงครำษฏร์ไดค้ นื ช้ำงปจั จัยนำคแก่นครสีพี
กณั ฑ์ท่ี 12 ฉกษัตรยิ ์ พระเจำ้ กรงุ สญชยั ใช้เวลำ 1 เดอื น กับ 23 วัน จงึ เดนิ ทำงถงึ เขำวงกต เสยี ง
โหร่ อ้ งของทหำรทั้ง 4 เหล่ำ ทำให้พระเวสสันดรทรงคดิ ว่ำเปน็ ข้ำศึกมำโจมจนี ครสพี ี จงึ ชวนพระนำงมัทรีขึ้น
ไปแอบดทู ่ียอดเขำ พระนำงมทั รีทรงมองเหน็ กองทัพพระรำชบิดำจงึ ได้ตรัสทูลพระเวสสนั ดร และเมอื่ ทง้ั หก
กษตั ริยไ์ ด้พบกนั ทรงกนั แสงสดุ ประมำณ รวมทัง้ ทหำรเหล่ำทัพทำให้ป่ำใหญส่ นนั่ ครั่นครนื พระอนิ ทร์จึงได้
ทรงบันดำลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมำประพรมกษัตรยิ ์ให้หำยเศรำ้ โศกและฟ้ืนพระองค์
กัณฑ์ที่ 13 นครกณั ฑ์ พระเจ้ำกรุงสญชยั ตรสั สำรภำพผิด พระเวสสนั ดรจึงทรงลำผนวชพรอ้ มท้งั
พระนำงมัทรี และเสด็จกลบั ส่สู พี ีนคร เม่ือเสด็จถึงจงึ รบั สง่ั ใหช้ ำวเมอื งปล่อยสัตวท์ กี่ ักขัง ครนั้ ยำมรำตรีพระ
เวสสันดรทรงปรวิ ิตกวำ่ รงุ่ เช้ำประชำชนจะแตกตื่นมำรบั บริจำคทำน พระองค์จะประทำนสงิ่ ใดให้แก่
ประชำชน ทำ้ วโกสยี ์ไดท้ รำบจงึ บนั ดำลใหม้ ีฝนแก้ว 7 ประกำร ตกลงมำในนครสีพสี งู ถึงหนำ้ แขง้ พระ
เวสสนั ดรจงึ ทรงประกำศใหป้ ระชำชนมำขนเอำไปตำมปรำรถนำ ที่เหลือใหข้ นเข้ำพระคลงั หลวง
ในกำลตอ่ มำพระเวสสันดรเถลิงรำชสมบัติปกครองนครสพี ีโดยทศพิธรำชธรรม บำ้ นเมืองรม่ เย็นเปน็ สุขตลอด
พระชนมำยุ
๓๗
ลองทำดู
กำรวิเครำะห์และวิจำรณ์จำกเร่ืองท่อี ำ่ น
กัณฑ์ท่ี....................เรอื่ ง....................................................
1. เรอื่ งย่อ/วเิ ครำะห์และวิจำรณ์เรื่อง
2.รปู แบบในกำรแต่ง
………………………………………………………………………………………………….........................
………………………………………………………………………………………………………………….
3.เนือ้ หำและกลวิธใี นเรือ่ ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
4.จุดม่งุ หมำยในกำรแต่ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
๓๘
ลองทำดู
คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นวงกลม ลอ้ มรำยชื่อบำรมที ง้ั ๑๐ ท่ีพระเวสสันดร ทรงบำเพ็ญตำมท่ีปรำกฏในเรื่องมหำ
เวสสันดรชำดก จำกน้ันนำมำเตมิ ลงในชอ่ งว่ำงให้ถูกต้องตำมเนอ้ื เรอ่ื งและควำมหมำย
ม น ขั เ อ ำ อ น
บ ท ำ น ข สั ธิ ษ
ศี ล ว ก ติ จ ษ ท
ร พ บ ขั ง จ ฐ ำ
ดเ เมตตำป
อุ วิ ริ ย เ ท น ว
ข ว ปั ญ ญ ำ ณ น
ง มี ท ำ ณ ส ด ต
1. ทรงบำเพญ็ ภำวนำตลอดเวลำท่ที รงผนวช
2. เมอ่ื สองกุมำรหนี พระองค์ ก็ทรงติดตำมมำให้ชูชกตำมสัญญำ
3. ทรงบรจิ ำคทรพั ย์สนิ ชำ้ งมำ้ รำชรถ พระกมุ ำรทง้ั สอง และพระมเหสี
4. ทรงวำงเฉยเมื่อเห็นสองกมุ ำรถูกเฆ่ยี นตี
5. ทรงปฏบิ ัตธิ รรมอย่ำงสมำ่ เสมอโดยมิไดย้ ่อหย่อน
6. ทรงครองเพศบรรพชิต ตลอดเวลำทปี่ ระทับอยู่ ณ เขำวงกต
7. ทรงรักษำศลี อยำ่ งเครง่ ครัด ตลอดระยะเวลำที่ทรงผนวช
8. ทรงประทำนช้ำงปัจจยั นำค ใหพ้ รำหมณ์จำกเมืองกลงิ ครำษฎร์
9. ทรงต้งั มัน่ ท่ีจะบำเพญ็ ทำนบำรมี เพ่อื ให้สำเร็จพระโพธญิ ำณ
10. ทรงอดทนตอ่ ควำมยำกลำบำกต่ำงๆ ขณะทเ่ี ดินทำงไปยงั เขำวงกต
๓๙
ลองฝกึ ดู
คำชีแ้ จง ให้นักเรียนศึกษำวรรณคดเี ร่ือง มหำชำติหรือมหำเวสสนั ดรชำดก และตอบคำถำมใหถ้ ูกต้อง
1. ให้นักเรยี นพจิ ำรณำขอ้ ควำมที่กำหนดให้ แลว้ ระบวุ ำ่ เปน็ ลกั ษณะของมหำชำติที่เป็นสำนวนภำษำถิน่ ใด
1.1 ใชเ้ ทศน์ในงำนบุญสำคญั ท่ีเรียกว่ำบุญผะเหรด หรือบญุ พระเวส ในกำรเทศน์ จะเทศน์ พระมำลัยหมน่ื
มำลัยแสนและสังกำสดว้ ย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
1.2 กรมศกึ ษำธกิ ำรนำมำรวบรวมและพมิ พเ์ ป็นเล่มสำหรับใชเ้ ป็นแบบเรยี นภำษำไทย เรยี กว่ำมหำ
เวสสันดร อันประกอบดว้ ยกณั ฑ์ ต่ำงๆ ทม่ี ีผูแ้ ต่ง6 ท่ำน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ใช้คำง่ำยๆไม่เน้นกำรพรรณนำควำมอยำ่ งพิสดำร แต่มกี ำรเลน่ คำทต่ี ้นวรรค สำนวนที่นำ่ สนใจไดแ้ ก่
มหำชำติสำนวนสรอ้ ยสงั กร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.4 เนน้ กำรพรรณนำควำมเชน่ เรอื่ งอำหำร พรรณไม้ ภูมิประเทศ สำนวนทีน่ ำ่ สนใจ คอื พระมหำชำดก
ฉบบั วัดมัชฌิมำวำส
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. มหำชำติหรอื มหำเวสสันดรชำดกที่ปรำกฏหลำยสำนวนในแต่ละทอ้ งถ่นิ น้ัน สะท้อนควำมนิยมในสังคมไทย
อยำ่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
3. มหำชำตหิ รอื มหำเวสสันดรชำดกเปน็ วรรณกรรมพน้ื บ้ำนทีแ่ สดงให้เหน็ ถึงภูมปิ ญั ญำทำงภำษำอย่ำงไร จง
อธิบำยใหช้ ัดเจน
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๔๐
รวบรวมวรรณกรรมพน้ื บ้ำนและอธิบำยภมู ิปญั ญำทำงภำษำ
วรรณกรรมพื้นบำ้ น หมำยถึง วรรณกรรมท่ีถ่ำยทอดอยู่ในวิถีชีวิตชำวบ้ำน โดยครอบคลุมวรรณกรรมที่
ถ่ำยทอดโดยวธิ กี ำรบอกเลำ่ และทเ่ี ขียนเปน็ ลำยลกั ษณอ์ ักษร แบ่งออกเป็น
๑. นิทำนพื้นบ้ำน หมำยถงึ เรื่องเลำ่ ทสี่ บื ทอดตอ่ ๆ กันมำ เชน่ นิทำนจกั รๆวงศๆ์ นิทำนศำสนำ นทิ ำน
คติ นทิ ำนอธิบำยเหตุ นทิ ำนเร่อื งสัตว์ นิทำนเรอ่ื งผี มุขตลกนิทำนเร่อื งโม้ นิทำนเข้ำแบบ
๒. ตำนำนพ้ืนบ้ำน หมำยถึง เร่ืองเล่ำเกี่ยวกับประวัติควำมเป็นมำของสถำนท่ี บุคคล ศำสนวัตถุ
และศำสนสถำนท่ีสำคัญๆ ในท้องถ่ินต่ำงๆ และเร่ืองเล่ำท่ีอธิบำยควำมเป็นมำของควำมเช่ือและพิธีกรรมใน
ทอ้ งถ่ินตำ่ งๆ
๓. บทสวดหรือบทกล่ำวในพิธีกรรม หมำยถึง คำสวดที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมต่ำงๆ เช่น บททำขวัญ
คำบชู ำ คำสมำ คำเวนทำน บทสวดสรภญั ญ์ คำถำบทอำนสิ งส์ บทประกอบกำรรักษำโรคพน้ื บ้ำน คำให้พร คำ
อธษิ ฐำน ฯลฯ
๔. บทร้องพนื้ บำ้ น หมำยถึง คำรอ้ งที่ถำ่ ยทอดสืบต่อกนั มำในโอกำสต่ำงๆ เช่น บทกลอ่ มเด็ก บทร้อง
เล่น บทเกี้ยวพำรำสี บทจอ๊ ย คำเซ้งิ ฯลฯ
๕. สำนวน ภำษิต หมำยถึง คำพูดหรือคำกล่ำวที่สืบทอดกันมำ มักมีสัมผัสคล้องจองกัน เช่น โวหำร
คำคม คำพังเพย คำอุปมำอปุ ไมย คำขวญั
คติพจน์ คำสบถสำบำน คำสำปแชง่ คำชม คำคะนอง ฯลฯ
๖. ปรศิ นำคำทำย หมำยถึง คำหรอื ขอ้ ควำมท่ีตั้งเปน็ คำถำม คำตอบ ที่สบื ทอดกนั มำ เพ่อื ใหผ้ ้ตู อบได้
ทำยหรือตอบปญั หำ เชน่ คำทำย ปญั หำเชำวน์ ผะหมี
๗. ตำรำ หมำยถึง องค์ควำมรู้ที่มีกำรเขียนบันทึกในเอกสำรโบรำณ เช่น ตำรำโหรำศำสตร์ ตำรำดู
ลกั ษณะคนและสัตว์ ตำรำยำ ฯลฯ
ควำมหมำยและลักษณะของภมู ปิ ัญญำทำงภำษำ
ภูมิปัญญำ ตรงกับศัพท์ภำษำอังกฤษว่ำ “Wisdom” หมำยถึง ควำมรู้ควำมสำมำรถ วิธีกำรผลงำนที่
คนไทยได้ค้นคว้ำ รวบรวม และจัดเป็นควำมรู้ ถ่ำยทอด ปรับปรุง จำกคนรุ่นหน่ึงมำสู่คนอีกรุ่นหน่ึง จนเกิด
ผลิตผลที่ดี งดงำม มีคุณค่ำ มีประโยชน์ สำมำรถนำมำแก้ปัญหำและพัฒนำวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้ำน แต่ละ
ชุมชนไทย ล้วนมีกำรทำมำหำกินท่ีสอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำท่ีมีควำมรู้ มีฝีมือทำงช่ำง สำมำรถคิด
ประดิษฐ์ ตัดสนิ ใจแก้ปัญหำของชำวบำ้ นได้ ผู้นำเหล่ำน้ี เรียกวำ่ ปรำชญ์ชำวบ้ำน หรือผ้ทู รงภมู ปิ ัญญำ
ภูมิปัญญำทำงภำษำ หมำยถึง ควำมฉลำดของบรรพบุรุษที่ต้องกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด
ประสบกำรณ์ไวใ้ นภำษำและวรรณกรรมต่ำง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมำยเพอื่ ตอ้ งกำรสัง่ สอนใหข้ ้อคิด คติเตือนใจและ
ใช้เป็นแนวทำงในกำรดำเนินชวี ิตอยำ่ งมีควำมสุขในสงั คม
ลักษณะของภมู ิปญั ญำทำงภำษำ แบ่งประเภทตำมขอ้ มูลทำงคตชิ นวิทยำ
คำว่ำ คติชน นั้น ดร.ก่ิงแก้ว อัตถำกร ให้คำอธิบำยว่ำ คือผลผลิตทำงวัฒนธรรมท่ีคติชนวิทยำสนใจ
นำมำศึกษำ ส่วนคำว่ำ คติชนวิทยำ น้ัน ดร.ก่ิงแก้ว อัตถำกร ให้คำจำกัดควำมว่ำ คติชนวิทยำคือ วิชำซึ่งว่ำ
๔๑
ด้วยกำรศึกษำคตชิ นหรอื ผลผลิตทำงวัฒนธรรมของกลุ่มชน ผลผลิตทำงวัฒนธรรมน้ีเป็นมรดกที่รบั ทอดกันมำ
ทัง้ ภำยในชนกลุม่ เดยี วกัน และที่แพรก่ ระจำยไปส่ชู นตำ่ งกลุ่มด้วย
สรุปได้ว่ำ วิชำคติชนวิทยำ เป็นวิชำท่ีศึกษำปรำกฏกำรณที่เกิดขึ้นจำกวิถีชีวิตหรือควำมเป็นอยู่ของ
มนุษย์ตลอดจนผลผลิตหรือกำรสร้ำงสรรค์ต่ำงๆ จำกอดีตมำจนปัจจุบันของมนุษย์ในสังคมหนึ่งๆ โดยภูมิ
ปญั ญำทำงภำษำทเ่ี ปน็ คตชิ นน้ัน รวมถงึ ขอ้ มูลประเภททเ่ี ปน็ มุขปำฐะ (Verbal) ได้แก่ ขอ้ มลู ทีใ่ ช้ถ้อยคำเป็นส่ือ
ในกำรสืบทอดโดยวธิ ีกำรบอกเลำ่ ซึ่งแบง่ แยกย่อยต่อไปไดอ้ ีก ดังนี้
๑. คำกลำ่ ว (Folklore) ซงึ่ มีหลำยประเภท เช่น สำนวน คำพังเพย ภำษิต และสภุ ำษิต ในพจนำนุกรม
ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๔๒ ไดใ้ ห้ควำมหมำยไว้ดังนี้
สำนวน (๒๕๔๒ : ๑๑๘๗) น. ถ้อยคำทเ่ี รียบเรยี ง โวหำร บำงทีก่ ็ใช้วำ่ สำนวนโวหำร เช่น สำร
คดีเรอ่ื งนี้สำนวนโวหำรดี; คดี เชน่ ปดิ สำนวน; ถอ้ ยคำท่ีไมถ่ กู ไวยำกรณ์ แตร่ บั ใชเ้ ปน็ ภำษำที่ถูกต้อง กำรแสดง
ถ้อยคำออกมำเป็นข้อควำมพิเศษเฉพำะภำษำหนึ่งๆ หรือหนังสือแบบหนงึ่ ๆ ลักษณนำม กำรใช้เรียกข้อควำม
รำยหนง่ึ ๆ เชน่ ขอ้ ควำมสำนวนหนงึ่ บทควำม ๒ สำนวน ในคติชนวทิ ยำจะใช้สำนวนในควำมหมำยวำ่ ถ้อยคำ
ท่ีเรียบเรียงไม่ถูกไวยำกรณ์ แต่รับใช้เป็นภำษำท่ีถูกต้อง เป็นกำรแสดงถ้อยคำออกมำเป็นข้อควำมพิเศษของ
ภำษำไทย เช่น กำ้ มใหญ่ แก้เผด็ เฒ่ำหวั งู
คำพังเพย (๒๕๔๒ : ๗๗๙) น. ถ้อยคำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้วโดยกล่ำว
เปน็ กลำงๆ เพ่อื ใหต้ คี วำมเขำ้ กบั เร่ือง หลวงวิจติ รวำทกำรไดอ้ ธบิ ำยเพิ่มเตมิ วำ่ คำพงั เพยคลำ้ ยสภุ ำษิต เพรำะมี
ลักษณะติชม หรือแสดงควำมคิดเห็นด้วย และทองสืบ ศุภะมำรค (๒๕๑๒) ให้ควำมเห็นว่ำ คำพังเพย เป็น
ถ้อยคำท่ีแสดงควำมจรงิ ไม่ไดส้ อนโดยตรง อำจเป็นคำพงั เพยแท้ เป็นสำนวน หรือเป็นคำขวัญก็ไดเ้ ชน่ ตัวอย่ำง
คำพังเพยแท้ ได้แก่ พดู ไปสองไพเบยี้ น่ิงเสียตำลึงทอง ตวั อยำ่ งคำพงั เพยคำขวัญ ได้แก่ กรงุ ศรอี ยุธยำไมส่ ิ้นคน
ดี จงทำดี จงทำดี ชำติเสือต้องไว้ลำย ชำติชำยต้องไว้ช่ือ ตัวอย่ำง คำพังเพยสำนวน (จะมีลักษณะพูดถึง
สภำพกำรณ์ตำงๆ ทีส่ ะทอ้ นภำพสงั คม) ไดแ้ ก่ เปน็ หญำ้ แพรกต้องแหลกไปก่อน
ภำษิต (๒๕๔๒: ๘๒๓) น. ถ้อยคำหรือข้อควำมท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้ว มีควำมหมำย
เป็น คติ (ส.) ในทำงคติชนวิทยำ ต้องกำรในควำมหมำยที่เป็นคำกล่ำวที่เป็นคติชวนฟัง จะดีหรือไม่ยังไม่แน่
เช่น น้ำขน้ึ ให้รบี ตกั
สุภำษิต (๒๕๔๒: ๑๒๐๖) น. ถ้อยคำหรือข้อควำมท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้ว มี
ควำมหมำยเป็นคติสอนใจ เช่น รักยำวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ (ส; ป. สุภำษิต = ถ้อยคำท่ีกล่ำวดีแล้ว) ในทำง คติ
ชนวิทยำ ต้องกำรควำมหมำยในลักษณะเป็นข้อควำมที่เน้นคำสอน เป็นควำมจริงท่ีพิสูจน์ได้ เชื่อถือได้ เป็น
ข้อควำมทส่ี น้ั ๆ แต่กินควำมลกึ ซง้ึ เชน่ แพ้เปน็ พระ ชนะเปน็ มำร นำ้ เชย่ี วอย่ำขวำงเรือ ควำมพยำยำมอยทู ีไ่ หน
ควำมสำเร็จอย่ทู ่ีนน่ั
๒. นิทำน (Tale) เป็นคำมำจำกภำษำบำลี หมำยถึง คำเล่ำเรื่อง แต่นิทำนในควำมหมำยทำงคติชน
วิทยำยังมีลักษณะเฉพำะอีก ดังน้ี นิทำนพ้ืนบ้ำนหรือนิทำนพื้นเมือง ตำมแนวคติชนวทิ ยำจะหมำยถึงต้องเปน็
เร่ืองท่ีเล่ำสืบต่อกันมำเป็นมรดกทำงวฒั นธรรม ส่วนใหญ่ถ่ำยทอดดว้ ยวิธีมุขปำฐะ (Verbal) ปัจจุบันนิทำนได้
บันทึกไว้เป็นลำยลักษณ์มำกขึ้น มีผู้แบ่งประเภทของนิทำนไว้ต่ำงๆ กัน เช่น กุหลำบ มัลลิกะมำส แบ่งเป็น ๕
ประเภท ใหญ่ๆ ดงั น้ี
๒.๑ เทพนิยำย (Fairy Tale)
๔๒
๒.๒ นิทำนทอ้ งถิ่น (Legend) ไดแ้ บ่งยอ่ ยอีก ดังน้ี
๒.๒.๑ นทิ ำนอธิบำย
๒.๒.๒ ควำมเช่ือ
๒.๒.๓ เกย่ี วกับสมบัติท่ฝี ังไว้
๒.๒๔ วีรบรุ ษุ
๒.๒.๕ คตสิ อนใจ
๒.๒.๕ นกั บวช
๒.๓ นทิ ำนตำนำน (Myth)
๒.๔ นทิ ำนเรอื่ งสัตว์ (Animal Tale) ไดแ้ บ่งย่อยอกี ดังนี้
๒.๔.๑ สัตวส์ อนคติธรรม
๒.๔.๒ เรอื่ งสัตว์ทเ่ี ล่ำซ้ำไม่รจู้ บ
๒.๕ นทิ ำนตลก (Jest Tale)
๓. บทเพลง (Folksong) กิ่งแก้ว อัตถำกร บอกว่ำ เพลง (Song) ต้องมีเสียงผู้ร้อง (Voice) ประกอบ
เป็นส่วนใหญ่ โดยจะมีดนตรีหรือไม่ก็ตำม ส่วนในพจนำนุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้
ควำมหมำยของเพลงว่ำ หมำยถงึ สำเนยี งขับร้อง ทำนองดนตรี กระบวนวธิ รี ำดำบรำทวน เป็นตน้ ช่อื กำรร้อง
แก่กัน มีช่ือต่ำงๆ เชน่ เพลงปรบไก่ เพลงฉอ่ ย เป็นตน้
กิ่งแก้ว อัตถำกร แบ่งเพลงพ้ืนเมืองโดยเอำเพลงภำคกลำงของ สุมำมำลย์ เรืองเดช เป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น ๓
ประเภท ดงั น้ี
๓.๑ เพลงสำหรับเดก็ เพลงเด็ก
๓.๒ เพลงประกอบกำรเล่นพื้นเมอื ง
๓.๓ เพลงประกอบพธิ ี
๔. ปริศนำคำทำย (Riddle) ประวัติกำรเล่นปรศิ นำคำทำย ไม่มีใครรู้ว่ำชำติใดท่ีคิดผูกปรศิ นำมำทำย
ก่อน รู้แต่ว่ำมีมำนำนแล้วและมีเล่นกันทุกชำติ ทุกสังคม สันนิษฐำนว่ำน่ำจะเกิดจำกนสิ ัยที่ชอบถำมซอกแซก
ของคน จึงไดผ้ กู ปริศนำจำกสงิ่ ทพี่ บเหน็ ในชวี ิตประจำวนั เอำมำทำยเล่นกัน ในวรรณกรรมของไทยปรำกฏกำร
ทำยปริศนำจำก เรื่องพระมโหสถ พระวิธูรบัณฑิต สรรพสิทธิ์คำฉันท์ ศรีธนญชัย ตำนำนวันสงกรำนต์ และ
นิทำนมุขปำฐะ เรอ่ื งนกกระจำบ เป็นวรรณกรรมชำวบ้ำนจงั หวัดชลบุรี
๕. ควำมเชอื่ (Folk – Belief) คนไทยมีควำมเช่ือทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับศำสนำและควำมเชื่อเก่ียวกับวิญญำณ
เป็นส่วนใหญ่ ควำมเช่ือเป็นวัฒนธรรมพ้ืนบ้ำนประเภทหน่ึงที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดและแนวปฏิบัติของคนใน
สงั คม เปน็ กำรปลูกฝงั สบื ตอ่ กนั มำหลำยช่ัวอำยุคน โดยผ้ปู ลูกฝังยังคงประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตำมควำมเชื่อนน้ั ๆ อยู่ให้
เห็นเปน็ ต้นแบบและเป็นทีย่ อมรบั ของคนในสังคมน้นั ๆ
๖. ภำษำถ่ิน (Dialect) คือ ภำษำทีแ่ ตกแยกยอ่ ยออกมำจำกภำษำมำตรฐำนของภำคกลำง (Standard
Dialect) ตำมทอ้ งถนิ่ ท่อี ยตู่ ำมสภำพภมู ิประเทศทใี่ กล้ชนชำตใิ ดก็รบั เอำอิทธิพลของภำษำชองชำตนิ นั้ มำปะปน
ทำใหว้ งศพั ท์และสำเนียงแตกต่ำงจำกภำษำมำตรฐำนภำคกลำงในประเทศไทย เชน่ ภำคเหนือจะมีภำษำพม่ำ
มอญ ชำวเขำ ไทใหญ่ เข้ำมำปน ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสำน) จะมีภำษำญวน ลำว ฝรั่งเศส และเขมร
เข้ำมำปน ภำคใต้จะมีภำษำมลำยู ชวำ เข้ำมำปน บำงครั้งยังมีภำษำต่ำงประเทศอื่นๆ เข้ำมำปนตำมกำลสมัย
ดว้ ย เชน่ ภำษำทมิฬ อำหรับ อยี ปิ ต์และคำทเ่ี ขำ้ มำพรอ้ มๆ กบั ศำสนำ ข้อสงั เกต เมอ่ื ลองเทยี บคำภำษำถ่ินทุก
ภำคของไทย มีหลำยคำทต่ี รงกัน ควำมหมำยอยำ่ งเดยี วกนั และหลำยคำทอี่ อกเสยี งต่ำงกนั ภำษำถ่ินยงั ได้รวม
๔๓
เอำวัฒนธรรมกำรพูดจำ (Folk Speech) และกำรตั้งช่ือ (Naming) เช่น ชื่อบ้ำนนำมเมืองที่มีควำมเช่ือเข้ำไป
ด้วย
ลักษณะของภูมิปัญญำทำงภำษำ แบง่ ตำมลักษณะของภำษำไทย
๑. เชำวน์ปญั ญำไหวพริบในกำรสร้ำงคำ
เม่ือไทยเรำเริ่มคิดค้นอักษรไทยข้ึน เรำได้สร้ำงคำข้ึนใช้โดยเลียนแบบธรรมชำติบ้ำง ขอยืมคำจำก
ภำษำอ่ืนมำใช้บ้ำง คิดคำขึ้นมำเองเพ่ือใช้เรียกชื่อให้ตรงกันบ้ำงไหม คำท่ีคิดขึ้นในสมัยแรกๆ เป็นคำเดียวโดด
เช่น โค ฝน วิว หมอน พร้ำ คำบ ฝุ่น กิน ข้ำว ดู งำม ฯลฯ ต่อมำเรำเห็นว่ำคำที่คิดขึ้นไม่พอใช้จึง ได้สร้ำงคำ
ข้ึนมำใหมโ่ ดยวธิ กี ำรตำ่ งๆ เช่น
นำคำไทยมำเรยี งต่อกนั เป็นคำประสม เชน่ น้ำใจ ชำวสวน นักเรียน
นำคำที่มคี วำมหมำยใกลเ้ คียงกนั มำซอ้ นกันเปน็ คำซ้อนเพือ่ ควำมหมำย เช่น รกั ใคร่ บำ้ นเรือน ดแู ล
นำคำท่ีมเี สยี งใกลเ้ คยี งกันมำซอ้ นกนั เป็น คำซ้อนเพื่อเสียง เชน่ งนุ งง โยเย จวนเจยี น เกะกะ ฯลฯ
นำคำเดียวกนั มำใชส้ องคร้ังกลำยเป็นคำซ้ำ เช่น แดงๆ เขียวๆ เหลอื งๆ
๒. ควำมร่ำรวยและควำมหลำกหลำยในกำรใชถ้ ้อยคำ
คนไทยยงั เกิดแนวคดิ ใหม่นำคำที่คิดขึ้นมำกมำยนน้ั มำจับกล่มุ ใหม่ สำหรบั คำทอี่ อกเสยี งเหมือนกันแต่
เขยี นต่ำงกัน ก็เรยี กช่ือว่ำ คำพ้องเสยี ง เชน่ กำน กำร กำล กำฬ กำรณ์ กำนท์ สัน สรร สรรค์ สรรพ์ สนั ท์ สัน
(ทกุ คำทย่ี กตวั อยำ่ งมำจะมคี วำมหมำยท้ังน้นั )
ส่วนคำท่เี ขียนเหมือนกันแต่อำ่ นต่ำงกนั เรำเรยี กชอ่ื ว่ำ คำพอ้ งรปู เชน่ อ่ำนว่ำ ครุ (ค ควบกล้ำกบั ร)
หรอื คะ-รุ กรี อำ่ นวำ่ กรี (ก ควบกลำ้ กับ ร)หรือ กะ-รี
คำอีกกลมุ่ หน่งึ มคี วำมหมำยเหมอื นกนั แตเ่ ขียนตำ่ งกัน เรำเรยี กวำ่ คำพอ้ งควำมหมำย เชน่
คำทแ่ี ปลว่ำ งำม ไดแ้ ก่ โศภำ โศภนิ โสภำ โสภี ตรู ประไต สุนทร เฉดิ ฉัน ไฉไล ประอร เพรศิ เพำพะงำ เพรำ
อะเคือ้ จรูญ ลออ
คำทแ่ี ปลว่ำ พระอำทิตย์ ไดแ้ ก่ สรุ ิยะ สุริยำ สรุ ยิ ัน สุริยน สรุ โิ ย อำภำกร ทนิ กร ทพิ ำกร ทิวำกร ภำษุ ภำส กร
รพี รำไพ รวิ รวี รงั สมิ ำ สหัสรังสี
๓. ภำษำไทยเปน็ ภำษำมีวรรณยกุ ต์
นับเปน็ เอกลกั ษณข์ องภำษำไทยอย่ำงหนงึ่ ที่เรำมีวรรณยุกตใ์ ช้ เพรำะกำรใส่วรรณยกุ ตใ์ นคำใดๆ จะทำใหค้ ำน้ัน
เกิดควำมหมำยใหม่ เชน่ เสือ เสอ่ื เสอื้ , ไก ไก่ ไก้ ไก๊ ไก๋ , ฟำง ฟำ่ ง ฟ้ำง เป็นต้น
๔. ภำษำไทยนยิ มใชค้ ำสมั ผัสคล้องจอง คนไทยเปน็ คนเจ้ำบัดสำนวน เรำจงึ คดิ ค้นคำสมั ผัสขน้ึ มำใช้ท้ัง
สัมผัสสระ และ สัมผัสอักษร (สัมผัสพยัญชนะ) โดยใช้เพลงในกำรละเล่นของเด็กไทย ปริศนำคำทำย สำนวน
ไทย คำพังเพย สุภำษิต บทร้อย
กรอง บทเพลง ท้ังสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร (สัมผัสพยัญชนะ) สัมผัสสระ คือ คำที่ใช้สระตัวเดียวกัน ถ้ำมี
ตัวสะกดต้องใช้ตัวสะกดตัวเดียวกันด้วย เช่น มอง ปองรอง สัมผัสอักษร คือ คำท่ีใช้อักษรตัวเดียวกันถ้ำมี
ตัวสะกดใช้ตัวสะกดต่ำงกันได้ ตัวอย่ำงกำรใช้สัมผัสสระ กำรละเล่น จ้ำจ้ีมะเขือเปรำะ กะเทำะหนำ้ แวน่ พำย
เรอื อกแอ่น… ปริศนำคำทำย อะไรเอย่ สต่ี นี เดินมำ หลังคำมุงกะเบื้อง สำนวนไทย ชักน้ำเขำ้ ลกึ ชักศึกเขำ้ บ้ำน
คำพังเพย คบคนใหด้ หู นำ้ ซอื้ ผำ้ ให้ดูเนื้อ สุภำษติ ปลูกไมตรีอย่ำรู้ร้ำงสรำ้ งกุศลอย่ำร้โู รย บทร้อยกรอง จำขน้ึ ใจ
ในวิชำดีกว่ำจด จำไม่หมดจดไว้ดูเป็นครูสอน จดและจำเป็นวิชำเป็นถำวร เป็นอำภรณ์เกียรติคุณนุกูลกำล
๔๔
(กลอนสุภำพหรือกลอนแปด) บทเพลง โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มำเว้ำรักสำวคำดวง โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลำ
ล่วง อกพเ่ี ปน็ หว่ งรกั เจ้ำดวงเดือนเอย
๕. ภำษำไทยใช้ลักษณนำม ลกั ษณนำมในภำษำไทยถือเป็นเอกลักษณ์ของชำตไิ ทย ที่ภำษำอืน่ ไม่มีใช้
จึงนับถือว่ำเป็นควำมช่ำงคิดของคนไทยท่ีใช้คำลักษณะนำม ที่สำมำรถบอกลักษณะของส่ิงของน้ันๆได้ เช่น
ข่ำว ใช้ลักษณนำมว่ำ กระแส ยำ ใช้ลักษณนำมว่ำ ขนำน กำพย์ กลอนคำประพันธ์ คำถำ บทควำม ใช้
ลักษณะนำมว่ำ บท พร ภัย เหตุผล ใช้ลักษณนำมว่ำ ประกำร ปี่ ขลุ่ย ใช้ลักษณนำมว่ำ เลำ ทัพ ทหำร ใช้
ลกั ษณนำม กอง จำก พลุ ปลำย่ำง ลูกปืน ใชล้ กั ษณนำมวำ่ ตับ เชือก ลวด สำยไฟฟำ้ ใช้ลักษณนำมว่ำ ขด
๖. ภำษำไทยเป็นภำษำมีระดับ คนไทยนิสัยประจำชำติท่ีแตกต่ำงจำกชำติอ่ืน คือ กำรมีสัมมำคำรวะ
ยกย่องเกียรติ อ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยเหตุน้ีกำรใช้ภำษำจึงมีควำมแตกต่ำงกันในแต่ละดับของชนช้ัน เช่น
พระมหำกษัตรยิ ์ เชอื้ พระวงศ์ ใช้วำ่ เสวย พระภกิ ษุ ใชว้ ำ่ ฉัน บุคคลระดบั สงู ผูม้ ีกำรศกึ ษำ ใชว้ ่ำ รับประทำน
บคุ คลระดบั กลำง บุคคลทัว่ ไป ใช้วำ่ กิน บคุ คลระดับต่ำ ชนช้ันกรรมกร ใชว้ ำ่ ยดั แดก ฯลฯ ในกำรนำภำษำไป
ใช้แต่ละโอกำส หรือสถำนกำรณ์จะแตกต่ำงกนั ไป เชน่ ภำษำพูดธรรมดำ ใชว้ ่ำ บอก เลำ่ ภำษำพดู ท่สี ภุ ำพ ใช้
ว่ำ แจ้ง กล่ำว ภำษำเขยี น ใชว้ ่ำ ชี้แจง แสดง ตวั อยำ่ งท่ยี กมำนี้ แสดงใหเ้ หน็ ภูมปิ ญั ญำทำงภำษำของคนไทยใน
กำรคิดคน้ ถอ้ ยคำขึน้ ใชใ้ หม้ คี วำมแตก ตำ่ งกนั ตำมบรบิ ทของกำรใชค้ ำ และควำมเหมำะสมกับสภำพสงั คมไทย
๗. ภำษำมีกำรผวนคำ กำรผวนคำเปน็ กำรนำคำมำสับที่ สับเสยี ง เพอ่ื ให้เกิดควำมหมำยใหม่หรืออำจ
ไม่มีควำมหมำยเลย แต่แสดงถึงควำมมีอำรมณ์ขันและสนุกสนำนของไทยในกำรสร้ำงคำใหม่เท่ำน้ัน คำผวน
บำงคำเมื่อสับท่ี สับเสียงแล้ว อำจมีควำมหมำยไปในทำงท่ีหยำบโลนหรือส่อเจตนำทำงเพศ แต่ถือว่ำเป็นกำร
เล่นคำเพื่อควำมสนุกสนำนในหมู่คนใกล้ชิดคำผวนน้ีไม่ควรนำมำ ใช้ในท่ีสำธำรณะชน เช่น บันได ผวนว่ำ ไป
ดนั ,ตีนแตก ผวนวำ่ แดกตนี ,หมมี ำ ผวนว่ำ หมำมี,สวสั ดี ผวนวำ่ สวีดัด ฯลฯ
๘. ภมู ปิ ัญญำไทยในบทประพันธ์และใชว้ รรณศิลปใ์ นงำนประพันธ์ คนไทยเปน็ เจ้ำบทกลอนชอบเรียง
ร้อยถ้อยคำให้เกิดเสียงไพเรำะ เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง ซ่ึงแสดงถึงภูมิปัญญำไทยอนั
ยอดเยีย่ มในกำรใชถ้ อ้ ยคำ ทำให้เกดิ ควำมงำมและเกดิ ภำพพจน์ในภำษำ เชน่ คำประพันธต์ อ่ ไปน้ี “ บ้ำนสร้ำง
น้ำทุ่งสว่ำงขึ้นอีกคร้ังเมื่อเกือบจะใกล้ยำมสี่ พระจันทร์คร่ึงดวงหลังฝนเหือดมีสีแดงปนจึงเจือแสงเข้มข้ึนกว่ำ
ธรรมดำ หยำดน้ำค้ำงซ่ึงค้ำงบนปลำยไม้และหญ้ำวำววับนัยน์ตำ เป็นประกำยดูประหนึ่งท้องทุ้งดำษด้วย
เพชร…
เสียเจำ้ รำวร้ำวมณรี ุ่ง มงุ่ ปรำรถนำอะไรในหลำ้
มิหวงั กระทงั่ ฟำกฟำ้ ซบหน้ำติดดนิ กนิ ทรำย
จะเจ็บจำไปถึงปรโลก ฤำรอยโศกรู้รำงจำงหำย
จะเกดิ กชี่ ำติมำตรมตำย อย่ำหมำยว่ำจะให้หวั ใจ
(อังคำร กลั ยำณพงศ์)
๔๕
แบบฝกึ
กำรรวบรวมวรรณกรรมพ้นื บ้ำนและอธบิ ำยภมู ิปัญญำทำงภำษำ
วรรณกรรมพ้นื บำ้ น
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
ภมู ิปัญญำทำงภำษำ
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..…………………………
๔๖
แบบทดสอบ
คำชแี้ จง ให้นกั เรียนเลือกคำตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. ข้อใดตอ่ ไปน้ี กล่ำวไม่ถูกต้อง เกย่ี วกับเร่อื ง มหำ ค. กำรใหอ้ ภยั แก่ผู้ทที่ ำควำมผดิ
เวสสันดรชำดก ง. ควำมสขุ ของมนุษย์คอื กำรได้ในสิ่งที่ปรำรถนำ
ก. มหำเวสสันดรชำดกท่ีแปลเป็นภำษำไทยเล่มแรก 6.กำรฟังเทศน์มหำชำติจะไดร้ ับอำนิสงส์อยำ่ งไร
คอื มหำชำติคำหลวง
ข. อนิ เดียฝำ่ ยเหนอื ใชค้ ำประพนั ธ์ประเภทฉนั ทแ์ ต่ง ก. เม่ือตำยจำกโลกนีไ้ ปแลว้ จะได้พบพระศรอี ำริยพ์ ทุ ธเจำ้
มหำเวสสันดรชำดกเป็นภำษำบำลี ในอนำคต
ค. มผี ู้สนั นิษฐำนว่ำ กำรแปลเรือ่ ง มหำเวสสนั ดรชำดก ข. เมอ่ื เกดิ ใหม่ในชำตหิ นำ้ จะได้เกดิ เปน็ เทวดำ
มมี ำตงั้ แต่สมยั สุโขทยั เป็นรำชธำนี ค. เมอ่ื ตำยไปจะไดข้ ้ึนสวรรคช์ ้นั สงู สดุ
ง. เรือ่ งมหำชำติ มีทม่ี ำจำกเหตกุ ำรณ์ครง้ั ทีพ่ ระพทุ ธ- ง. เมื่อเกดิ ใหม่ในชำติหนำ้ จะไดอ้ ยูบ่ นสวรรคช์ ัน้ ดำวดึงส์
องคป์ ระทับอยู่ทนี่ ิโครธำรำมมหำวิหำร
2.ฝนโบกขรพรรษ มีควำมสำคญั อย่ำงไร 7. มหำเวสสนั ดรชำดกมคี ุณค่ำดำ้ นปัญญำและควำมคิดอย่ำงไร
ก . เปน็ ต้นเหตใุ ห้มีกำรเทศนพ์ ระมหำเวสสนั ดรชำดก ก. กำรทำบุญจะตอ้ งทำด้วยจำนวนเงินที่มีค่ำมำกเทำ่ น้นั
ข. มกี ำรบวงสรวงให้ตกในพิธสี ำคัญของกรุงกบิลพสั ด์ุ ข. กำรทำบญุ ตอ้ งอธษิ ฐำนจติ ใหม้ ัน่ คงในคุณควำมดี
ค. กำรทำบำปตอ้ งไมม่ ำกจนเกินไป
ค. พระพทุ ธองค์บนั ดำลใหต้ กเพอื่ ยตุ ิสงครำมระหวำ่ ง ง. กำรทำบำปตอ้ งไม่ทำให้ผอู้ ่ืนเดอื ดร้อน
พระญำติ
ง. เป็นกำรแสดงยมกปำฏิหำริย์ของพระพทุ ธองค์ให้ 8. ลักษณะของมหำชำติภำคกลำงแตกตำ่ งจำกภำคใตอ้ ย่ำงไร
ก. มหำชำตภิ ำคใตเ้ นน้ กำรพรรณนำควำมนอ้ ยกว่ำภำคกลำง
พระประยรู ญำตลิ ะทฐิ มิ ำนะ ข. มหำชำตภิ ำคใตไ้ ม่เน้นลักษณะเฉพำะ
ค. มหำชำติภำคกลำงเนน้ กำรพรรณนำควำมน้อยกว่ำภำคใต้
3. “เม่อื บรู พนมิ ติ ปรำกฏแก่พระผสุดีเทพกัญญำ เป็นเหตุ ง. มหำชำติภำคกลำงไม่นยิ มเลน่ คำและเล่นเสียงสัมผสั
จะจุติ สน้ิ พระชนมพรรษำนริ ำศ ร้ำงจำกทพิ ย 9.“ผู้ใดจกั มำกลำงไพรเขยี วปำ่ ไม้ ผูใ้ ดพอ้ ยจกั มำผ่ำไมไ้ ว้
สถำน” จำกขอ้ ควำมขำ้ งต้น จุติ มคี วำมหมำยวำ่
อยำ่ งไร หอื้ เปน็ หลวั ผู้ใดจักมำชว่ ยกูพ้ ่ตี มุ้ หวั นำงหนนุ หมอน
และห่มผ้ำ ผู้ใดพ้อยจกั มำตกั น้ำชว่ ยหน้ำแม่อดุ ม...”
ก. เกิด ข. ตำย จำกบทมหำชำติข้ำงต้นมีลักษณะอย่ำงไร
ค. เคลื่อน ง. ล่องลอย
ก. มคี วำมไพเรำะ และใช้คำอยำ่ งอลงั กำร
4. กณั ฑ์มหำพนใหข้ อ้ คิดตรงกบั สุภำษิตสำนวนไทยว่ำ ข. มกี ำรพรรณนำควำมท่ีชัดเจน
อยำ่ งไร ค. มีกำรใช้คำท่มี ีลกั ษณะเฉพำะของทอ้ งถิน่
ง. มกี ำรใชค้ ำง่ำยๆ ไม่เนน้ กำรพรรณนำควำมอยำ่ งพิสดำร
ก. หนำ้ เนอื้ ใจเสือ
ข. อย่ำไวใ้ จทำง อยำ่ วำงใจคน
ค. ปำกปรำศรยั นำ้ ใจเชอื ดคอ
ง. คบคนใหด้ ูหน้ำ ซือ้ ผ้ำให้ดเู นอ้ื
5. ข้อคิดใดที่ไมป่ รำกฏในเร่ือง มหำเวสสนั ดรชำดก
ก. ทำดีได้ดี ทำช่ัวไดช้ ่ัว
ข. กำรเคำรพนบั ถอื ผู้ท่มี คี วำมรู้
๔๗
10. มหำเวสสันดรชำดกมอี ิทธิพลตอ่ สังคมไทยอย่ำงไร
ก. เป็นแนวทำงในกำรปฏิบัติตนใหเ้ จริญก้ำวหน้ำ
ข. เป็นแนวทำงในกำรปฏบิ ัตติ นใหร้ ่ำรวย
ค. เปน็ แนวทำงในกำรบำเพญ็ ตนอยำ่ งผเู้ สยี สละ
ง. เป็นแนวทำงในกำรบำเพญ็ ตนให้มญี ำณแกก่ ล้ำ