รายงาน ปริศนาคำทาย กลุ่มที่ ๖ คณะจัดทำ นางสาววันวิสาข์ มุณี รหัสนักศึกษา ๖๒๐๔๐๐๒๐๑๕ นางสาวฤทัยรัตน์ เสนาคง รหัสนักศึกษา ๖๒๐๔๐๐๒๐๒๓ นายสิทธิโชค บุญทอง รหัสนักศึกษา ๖๒๐๔๐๐๒๐๓๑ นางสาวเสาวณีย์ คงพัฒ รหัสนักศึกษา ๖๔๐๔๐๐๒๗๐๘ ว่าที่ร.ต.ธนากร ท้าวกัลยา รหัสนักศึกษา ๖๔๐๔๐๑๘๒๑๗ เสนอ อาจารย์ดร. สง่า วงค์ไชย วิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภูมิปัญญาทางภาษากับการสอน (CTH ๓๑๐๘) ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
ค ำน ำ รำยงำนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรำยวิชำ ภูมิปัญญำทำงภำษำกับกำรสอน (CTH ๓๑๐๘) จัดท ำขึ้นเพื่อศึกษำภูมิปัญญำทำงภำษำของคนไทย เรื่อง “ปริศนำค ำทำย” มีเนื้อหำเกี่ยวกับ ควำมหมำยและควำมเป็นมำของปริศนำค ำทำย ลักษณะโครงสร้ำงของปริศนำค ำทำย โอกำสและ วิธีกำรเล่น กำรแบ่งหมวดหมู่ของปริศนำค ำทำย คุณค่ำที่ได้รับจำกปริศนำค ำทำย กำรน ำปริศนำค ำ ทำยมำใช้สอนในวิชำภำษำไทย กำรจัดท ำรำยงำนฉบับนี้คณะผู้จัดท ำได้ศึกษำ ค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูลจำกหนังสือและ บทควำมต่ำง ๆ เพื่อน ำมำประกอบกำรท ำรำยงำน โดยหวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำรำยงำนฉบับนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้อ่ำน ไม่ว่ำจะเป็นนักเรียน หรือนักศึกษำที่มีควำมสนใจในเรื่องปริศนำค ำทำย จะสำมำรถน ำไปต่อยอดเพื่อศึกษำเพิ่มพูนควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ต่อไปได้ในอนำคต คณะผู้จัดท ำขอขอบพระคุณอำจำรย์ผู้เรียบเรียงหนังสือและบทควำมทุกท่ำน ที่ทำงคณะ ผู้จัดท ำได้น ำเนื้อหำมำเป็นแนวทำงประกอบในรำยงำนฉบับนี้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งที่ลืมไม่ได้นั้นก็คือ ท่ำนอำจำรย์ ดร. สง่ำ วงค์ไชย ที่คอยให้ควำมรู้และแนะน ำ ด้วยควำมเมตตำเอำใจใส่เป็นอย่ำงดี เรื่อยมำหำกมีข้อผิดพลำดประกำรใดคณะผู้จัดท ำรำยงำนขอน้อมรับค ำชี้แนะและจะน ำไปแก้ไขให้ ถูกต้องต่อไป คณะผู้จัดท ำ
สำรบัญ เรื่อง หน้ำ ประวัติควำมเป็นมำของปริศนำค ำทำย ๑ ควำมหมำยของปริศนำค ำทำย ๒-๓ โครงสร้ำงปริศนำค ำทำย ๔-๕ ลักษณะของปริศนำค ำทำย ๖-๙ ประเภทของปริศนำค ำทำย ๑๐-๒๒ โอกำสและวิธีกำรเล่น ๒๓-๒๔ คุณค่ำของปริศนำค ำทำย ๒๕-๒๖ กำรน ำปริศนำค ำทำยมำใช้ในกำรสอนวิชำภำษำไทย ๒๗-๓๐ บรรณำนุกรม ๓๑
ประวัติความเป็นมาของปริศนาคำทาย ในการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบปริศนาคำทาย อันเป็นวรรณกรรมประเภทมุขปาฐะ ซึ่งวรรณกรรมมุขปาฐะดังกล่าวมี ปรากฏอยู่ทั่วไปในทุกภูมิภาค นั่นคือชาวไทยได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้พูดจาสื่อสารกัน ซึ่งเป็นสำนวนภาษาถิ่นนั้น ๆ ในทำนอง เดียวกันปริศนาคำทายก็เป็นโวหารประเภทหนึ่งที่ผูกเป็นกลอนสัมผัสกันตามฉันทลักษณ์ที่นิยมในภูมิภาคนั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการ ทดสอบเชาว์ปัญญากัน โดยเฉพาะเด็ก ๆ จะนิยมเล่นปริศนาคำทายกันมากกว่าผู้ใหญ่ (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๖, น. ๕๓) การเล่นผะหมีนี้แพร่หลายในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิตและกวีในประเทศจีน ถือกันว่าเป็นการ ประลองปัญญาและฝึกสมอง ความเป็นมาของปริศนาคำทายตามคำกล่าวของ (บุปผา บุญทิพย์, ๒๕๔๓, น. ๖๙-๗๑) ได้กล่าว ไว้ดังนี้ ในสมัยโบราณ การลองภูมิปัญญาว่าผู้นั้นจะมีความเฉลียวฉลาดหรือไม่เพียงไร วิธีหนึ่งก็คือ การทายปริศนาหรือการทายปัญหา อาจเป็นปริศนาที่ถามตรง ๆ บ้างหรือผูกเป็นแยบยลบ้างสุดแต่ละคิด กัน มีทั้งปัญหาทางโลกและทางธรรม มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่เล่าถึงการแก้ปัญหาและผู้ทายปริศนาได้ถูกต้อง ไว้มากมายหลายเรื่องด้วยกัน บางครั้งอาจท้าทายมีเดิมพันกันถึงชีวิต เช่น พระพรหมจะถูกตัดพระเศียร พระขันฑกุมารทายปัญหาได้ถูกต้อง ดังนั้น พระพรหมจึงถูกตัดพระเศียร (อันเป็นตำนานของประเพณี สงกรานต์) บางเรื่องอาจเป็นการใช้ปริศนาเป็นสื่อสวาทเครื่องมือหาคู่ เช่น เจ้าเมืองมีพระธิดาองค์เดียว อยากได้ลูกเขยที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม เจ้าเมืองจึงผูกปริศนาขึ้นมา เมื่อชายใดแก้ปริศนานั้นได้ถูกต้อง ก็จะได้อภิเษกกับ พระราชธิดา และได้ครองบ้านเมืองด้วย ปริศนาคำทายมีอยู่ทั่วทุกชาติทุกภาษา สำหรับประเทศไทยพบว่าเริ่มมีการเล่นทายปริศนาในสังคม ชั้นสูง ดังที่ (นพคุณ คุณาชีวะ, ๒๕๑๙, น. ๑-๒) กล่าวว่า ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอราธิราชเจ้าฟ้าวชิราวุธมกุฎราชกุมารอยู่นั้น ได้ทรงพระ นิพนธ์ปริศนาขึ้น ในบางโอกาสให้ข้าในพระองค์คิดตอบเล่นกันเป็นการภายในพระองค์ ต่อมาเมื่อมีงานฤดู หนาวที่วัดเบญจมบพิตรใน สมัยรัชกาลที่ ๕ นั้นทรงจัดให้มีการทายปริศนาขึ้น ปรากฏว่ามีผู้สนใจคิดตอบ กันมากจึงได้ทรงจัดให้มีการทาย ปริศนาขึ้นอีกในงานปีต่อ ๆ มาการเล่นทายปริศนานั้นใน ขั้นแรกทรงเรียกว่า “ผะหมี” เป็นคำภาษาจีนตาม คำอธิบายของ พระเจนจีนอักษรว่า “ผะ” แปลว่า ดี “หมี” แปลว่า คำอำพราง ก็คือ การแก้ปัญหาหรือการตีคำ อำพรางให้ชัดเจน ๑ ปริศนาคำทายนั้นไม่มีผู้ใดสามารถสืบได้ว่าผู้ใดเป็นผู้คิดค้นเป็นผู้เริ่มต้นที่สำนวนภาษาและปริศนา คำทายแต่เมื่อศึกษารูปแบบการสร้างคำสร้างสำนวนเหล่านั้นแล้วพบว่ามีกฎเกณฑ์แบบแผนแม้ว่าจะเป็น ปริศนาคำทายที่เกิดอยู่ตามภูมิภาคกันต่างสังคมการหรือต่างยุคสมัยกันแต่กฎเกณฑ์แบบแผนได้มีโครงสร้าง พร้อมกันโดยทั่วไป (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๖, น. ๕๓)
ปริศนา มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ว่าสิ่งหรือถ้อยคำที่ปลูกขึ้นเป็นเงื่อนงำ เพื่อให้แก้ให้ทาย (น. ๖๗๓) ในทางคติชนวิทยา ปริศนา คือ ศิลปะการใช้ภาษาอย่างหนึ่งที่มีลักษณะการใช้ถ้อยคำซับซ้อน เพื่อสร้างความฉงน ให้แก่ผู้ฟัง เป็นการกำหนดคำถามขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบคำถามนี้มักเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบ ปริศนาเป็นการพูดที่แสดงให้ เห็นความเฉลียวฉลาดของผู้ถามและท้าทายไหวพริบของผู้ตอบ จึงเป็นการใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับเชาว์ปัญญาของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ปริศนาจึงเท่ากับเป็นความรู้ที่คนในสังคมกำหนดขึ้นมาตั้งแต่โบราณ มีการถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานด้วยวิธีการหาและตอบแบบมุขปาฐะ ทำให้ได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย (ประพนธ์ เรืองณรงค์ และ เสาวลักษณ์ อนันตศานต์,๒๕๔๕,น. ๕) ความหมายของปริศนาคำทาย ปริศนาคำทาย เป็นข้อมูลชนิดมุขปาฐะเป็นส่วนใหญ่ จะมีที่เป็นอมุขปาฐะอยู่บ้าง เช่น ปริศนาภาพ หรือปริศนาที่เป็นท่าทางให้ผู้ทายทาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมุขปาฐะ ซึ่งใช้ วิธีการเปรียบเทียบและการเปรียบเทียบเป็นผลให้ผู้ฟัง หรือผู้ทายเกิดความคิด ความสัมพันธ์ทางปัญญา เกิดการเปรียบเทียบและมีสังกัป ในเรื่องของความเหมือนและ ความแตกต่าง ปริศนาคำทายอาจช่วยฝึกความคิดก่อให้เกิดการเรียนรู้ความเข้าใจและเกิด ความสนุกขบขัน (บุปผา บุญทิพย์, ๒๕๔๗, น. ๖๙) ๒ ปริศนา เป็นรูปแบบย่อยรูปแบบหนึ่งของคติชนประเภทวรรณกรรมมุขปาฐะ เรียกว่า เป็นวัฒนธรรม ของภาษา เป็นแบบแผนที่นำมาใช้ในสถานการณ์บางสถานการณ์ ในสังคมต่าง ๆ ถือว่าการทายปริศนา เป็นระบบสื่อสารของ สังคม เป็นประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิม และแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง เข้าไปมีบทบาท อยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งการแพร่กระจายของ ปริศนาคำทายจะแพร่ไปในลักษณะมุขปาฐะเป็นส่วนมาก ความสำคัญของการทายปริศนา คือ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสามัญสำนึกหรือความเฉลียวฉลาด เชาวน์ ปัญญา และไหวพริบของผู้ถามและผู้ตอบ หากพิจารณาในแง่ของคติชนวิทยาแล้ว ปริศนา ไม่ใช่เป็นเพียง ถ้อยคำที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อสร้างความฉงนสนเท่ห์หรือทดสอบเชาวน์ปัญญาเท่านั้น แต่เน้นการกำหนด ความคิดและกระบวนการของความคิดของมนุษย์ที่แสดงออกมาในลักษณะของคำอุปมาเปรียบเทียบด้วย การผูกถ้อยคำเป็นปริศนาให้ผู้อื่นทาย เป็นการใช้ภาษาที่ฉลาดหลักแหลม และเป็นวัฒนธรรมด้าน ภาษาอย่างหนึ่ง ปริศนามีบทบาทสำคัญต่อสังคมมากไม่แพ้ข้อมูลคติชนชนิดอื่น ๆ เพราะเป็นเครื่องมือ บันทึกภาพชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ นอกจากนี้ยังให้ความรู้และความคิด เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรากฏการณ์ต่าง ๆ อีกด้วย (เสาวลักษณ์, ๒๕๔๙, น. ๒๐๗) คำปริศนาคือสิ่งหรือถ้อยคำที่ผูกขึ้นเป็นเงื่อนงำเพื่อให้แก้ให้ทาย (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕) ฉะนั้นปริศนาคำทายจึงหมายถึงถ้อยคำที่ผูกเป็นเงื่อนงำเพื่อให้แก้ให้ถ่ายระหว่างบุคคลใน สังคมเดียวกันหรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเครือญาติมิตรสหายโดยมุ่งที่จะทดสอบเชาว์ปัญญาและ สนุกสนานปริศนาคำทายนิยมเล่นกันมากในหมู่เด็ก ๆ (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๖, น. ๕๓)
จากลักษณะทางความหมายของคำที่พบในปริศนาคำทาย (รุ่งอรุณ ทีฆชุณหเถียร, ๒๕๓๒, น. ๙๓) กล่าวว่า เป็นกลวิธีการ เปรียบเทียบทางภาษาที่ต้องอาศัยการตีความ และการสร้างจินตนาการ ความเปรียบที่ปรากฏในปริศนาการไขปริศนาต้องอาศัยความ ช่างสังเกต ความเข้าใจ ความช่างจด ช่างจำ และไหวพริบในการมองสิ่งสองสิ่งที่ต่างกัน มองในมุมที่ต่างกัน แต่ต้องค้นหาความ คล้ายคลึงกัน หรือลักษณะร่วมจากของสิ่งสองสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกัน ความหมายของปริศนาคำทาย สุวรรณา งามเหลือ (๒๕๕๒) กล่าวว่า ความหมายประจำรูปของคำที่นำมาเล่นในปริศนาคำทาย เป็นการตั้งปริศนาถามโดยยึดความหมายตามตัวอักษรซึ่งอยู่ในรูปภาษาเป็นหลัก และเป็นความหมายที่พบได้ ในพจนานุกรม หรือเป็นที่รู้และเข้าใจกันโดยทั่วไป เช่น “อะไรเอ่ย กลางคืนหัวตั้ง กลางวันหัวตก” คำตอบคือ ค้างคาว ปริศนาคำทายนี้บอกลักษณะพฤติกรรมของค้างคาว โดยเลือกใช้คำแบบความหมายตรง สื่อให้เห็น ลักษณะบางประการของค้างคาว ส่วนความหมายในบริบทของคำคือ การเล่นกับความหมายในเชิงเปรียบเทียบ โดยใช้ภาพพจน์เพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ได้แก่ คน สัตว์ และสิ่งของ เช่น เปรียบเทียบกับคน “อะไรเอ่ย เกิดมาน่าเวทนา มีตารอบตัว” คำตอบคือ สับปะรด “อะไรเอ่ย เจ้าสาวอยู่ในเรือนหนาม ไม่งามก็หอม” คำตอบคือ ทุเรียน “อะไรเอ่ย พอสาวอยู่กับแม่ พอแก่ตามผัว” คำตอบ หญ้าเจ้าชู้ เป็นต้น ๓
ในการศึกษาโครงสร้างของปริศนาคำทายของไทย พบว่ามีแบบแผนเป็นระบบจนไม่น่าเชื่อว่าปริศนาคำทายจะเป็นผลผลิต ทางภูมิปัญญาของเด็ก ๆ เพราะเด็กเล่น เด็กใช้ทายกัน ย่อมเชื่อได้ว่าเด็กสร้าง เด็กคิดคำปริศนา ดังจะเห็นได้ว่ามีคำปริศนาที่เกิดขึ้น ใหม่ ๆ ในปัจจุบันจำนวนหนึ่ง เช่น อะไรเอ่ยยิ่งตัดยิ่งยาว (ถนน) ใส่แว่นเกี่ยวกับอะไร (หู) อะไรเอ่ยยิ่งต่อยิ่งสั้น (บุหรี่) จะเห็นได้ว่าคำ ปริศนาสมัยใหม่ไม่ค่อยจะประณีตในสำนวนโวหารมากนัก และขาดสัมผัสคล้องจอง หากนำคำปริศนาคำทายทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลาง มาศึกษาเปรียบเทียบกฎเกณฑ์และวิธีผูกค้ำปริศนา พบว่ามีรูปแบบและหลักเกณฑ์เดียวกัน ต่างแต่ว่าภาษาถิ่นสำนวนท้องถิ่นเท่านั้น ๔) จุดบอดจุดสะดุดใจ คือส่วนที่อธิบายลักษณะเพิ่มเติมเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งอาจทำให้ผู้ชาย สับสน หรือเกิดความสนใจยิ่งขึ้น ๕) บทสรุป คือส่วนที่เน้นคำถามให้ชัดเจน อธิบายจุดบอด หรือเป็นตอนสรุปคำถาม เช่น กินกันวุ่นวาย หรือ ใครทายได้จะได้แหวน หรือ ปากแดงเสียเว้ย ฯลฯ ๖) คำเฉลย คือคำตอบ ผู้ที่ทายจะสงวนไว้บอกภายหลัง (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๖, น. ๕๔) ๔ โครงสร้างของปริศนาคำทาย วิธีผูกคำปริศนาอย่างเป็นระบบนี้ เราสามารถเห็นโครงสร้างของคำปริศนาไทยว่ามีส่วนประกอบสำคัญ ๖ ส่วน แต่โดยทั่วไปอาจจะมีองค์ประกอบไม่ครบ ๖ ส่วนก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับคำปริศนานั้น ๆ ว่ามีลักษณะเด่นมาก น้อยเพียงใด หากมีลักษณะเด่นมาก ก็สามารถสร้างเงื่อนงำปิดได้มาก (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๖, น. ๕๔) โครงสร้างของปริศนาคำทาย ดังนี้ ๑) อารัมภบท อารัมภบทเป็นการเริ่มต้นของปริศนา ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะใช้ภาษาถิ่นของภูมิภาคนั้น ๆ ภาคกลาง อะไรเอ่ย (อะไรเอ่ย กะลาซีกเดียว ลอยข้ามทะเลพระจันทร์) ภาคเหนือ อะหยังเก๊าะ (อะหยังเกาะ ไม้คานโก่ง ข้ามทุ่งสามแสน - รุ้ง) ภาคอีสาน อันหยังเกาะ หรือ แม่นอีหยัง หรือ เจ้าว่าหยัง มักอยู่ท้ายเนื้อความ ภาคใต้ ไอ้ไหรหา (ไอ้ไหรหา กลางวันอยู่ถ้ำ ค่ำ ๆ ออกเรียง : ดาว) ๒) บอกสมญา คือส่วนที่เป็นปริศนาคำทาย โดยนำสัญลักษณ์เด่น ๆ ของตัวปริศนามาสร้าง เช่น พระจันทร์ ใช้สัญลักษณ์ว่า "กะลาซีกเดียว" (พระจันทร์เสี้ยว) รุ้งกินน้ำ ใช้ลักษณะเด่น คือ โค้งเหมือน ไม้คาน ดาว ใช้ลักษณะเด่นคือสุกสว่างบนท้องฟ้า ฯลฯ ๓) พรรณนาลักษณะ คืออธิบายลักษณะรูปพรรณสัณฐานของตัวปริศนา ขยายความให้เห็นตัวปริศนา ว่ามีลักษณะอย่างไร ดังตัวอย่าง ลอยข้ามทะเล (พรรณนาคุณสมบัติของพระจันทร์) ข้ามทุ่งสามแสน (พรรณนาคุณสมบัติของรุ้ง) หรือ กาตอดก็เหมิด (พรรณนาคุณสมบัติของดาว) หรือ คำ ๆ ออกเรียง (พรรณนาคุณสมบัติของดาว) เป็นต้น
การผูกปริศนาคำทายคำทายของไทยมีรูปแบบเฉพาะ หากพิจารณาในด้านโครงสร้างของคำทายจะ ประกอบไปด้วย ๓ ส่วน (พรรณเพ็ญ เครือไทย, ๒๕๔๒, น. ๑) ดังนี้ ๑) ส่วนนำ โดยทั่วไปจะขึ้นต้นด้วยคำถาม เพื่อให้ผู้ฟังสนใจและเตรียมพร้อมสำหรับหาคำตอบ ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นก็จะใช้ศัพท์ ภาษาตามถิ่นของตน เช่น ภาคกลาง - อะไรเอ่ย สี่ตีนเดินมา หลังคามุงกระเบื้อง (เต่า) ภาคเหนือ – อะหยังเอ้าะ บิดหางร้องโอ๊ก (หน่อไม้) ภาคใต้ - ไอ้ไหรหาหรือกาย กินทางปาก ขี้ทางพุง (ครกสีข้าว) ภาคอีสาน - แม่นหยังหรือแม่นหยังเอ่ย บักน้อย ๆ ถือแพแดงลอดพุ่ม (มดแดง) ส่วนโครงสร้างของปริศนาคำทาย (structure of riddle) อาจดูจาก คำขึ้นต้น คำถาม หรือคำทาย และดูจากประโยคคำตอบ (บุปผา บุญทิพย์, ๒๕๔๗, น. ๘๕) คือ ขั้นต้นปัญหาหรือ ปริศนา ด้วย คำ หรือ ประโยคว่า - อะไรเอ่ย สำหรับปริศนาภาคกลาง - ไอ้ไหรหา สำหรับปริศนาภาคใต้ - แม่นยังเอ่ย หรือ แม่นหยังบ่ สำหรับปริศนาภาคอีสาน ๕ โครงสร้างของปริศนาคำทาย ๒) ส่วนเนื้อหา คือ ตัวปริศนา จะบอกถึงลักษณะของสิ่งที่ต้องการจะให้ทาย อาจจะเป็นรูปร่างลักษณะ กิริยาอาการ กลิ่น สี ประโยชน์ใช้สอย หรือ ความหมาย เช่น - อะหยังเอ้าะ แต่บแป๊บเท่าใบต้น กินเจ็ดวันบ่เสี้ยง (ลิ้น) - อะไรเอ่ย เรากลืนมันเราอยู่ มันกลืนเราเราตาย (น้ำ) ๓) ส่วนลงท้าย คือส่วนขยาย บอกใบ้คำตอบ เร่งเร้าให้คิดทายหรือให้กำลังใจ ให้รางวัลแก่ผู้ตอบ ส่วนนี้อาจ มีหรือไม่มีก็ได้เช่น - อะไรเอ่ย งูอยู่ในหนอง คาบทองเอามาให้ น้ำแห้งทองหาย เป็นอะไรทายมา (ตะเกียง)
ลักษณะของปริศนาคำทาย ปริศนาคำทายมีองค์ประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ ปริศนา และคำเฉลย ปริศนาเป็นส่วนที่อธิบายหรือบอกใบ้คำเฉลย แต่ใน ขณะเดียวกัน คำอธิบายในปริศนาก็ลวงให้ผู้ฟังหลงทางด้วย ลักษณะที่ทั้ง "แนะ" และ "ลวง" ดังกล่าวทำให้ปริศนาคำทายมีความ น่าสนใจ กล่าวคือ เมื่อแรกได้ยินข้อปริศนา คนฟังมักถูกลวงให้คิดผิดทาง จนเกิดความฉงนงงงวย แต่เมื่อได้ทราบคำเฉลยแล้ว ก็จะคิด ได้ถูกแนวทาง ปริศนาที่ดูเหมือนลึกลับและน่าฉงนนั้น ก็กลับกลายเป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ไม่มีอะไรชวนสงสัย ลักษณะดังกล่าว ทำให้ ปริศนาคำทายสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก นอกจากลักษณะเด่นดังกล่าวแล้ว ปริศนาคำทายมีลักษณะเด่นทาง เนื้อหาและลักษณะเด่นทางภาษาที่น่าสนใจดังนี้ ปริศนาคำทายนั้นมีเนื้อหาหลากหลาย แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถสรุปลักษณะเด่นทางเนื้อหาได้เป็น ๓ ประการ คือ เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา และเนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ ๑. เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื้อหาส่วนใหญ่ของปริศนาคำทายของไทยเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้พืชพรรณ ธรรมชาติ ความใส่ใจและช่างสังเกต ทำให้ผู้คิดปริศนาสามารถนำลักษณะเด่นที่น่าสนใจของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาผูกขึ้นเป็นปริศนา ดังในตัวอย่างต่อไปนี้ อะไรเอ่ย ต้นเท่าลำเรือ ใบห่อเกลือไม่มิด (เฉลย : ต้นมะขาม) ปริศนานี้เกิดจากการสังเกตธรรมชาติ ทำให้เห็นลักษณะที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันของต้นมะขาม กล่าวคือ ลำต้นใหญ่มาก แต่ใบ เล็กมากจนไม่สามารถห่อเกลือได้ ๒. เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา นอกเหนือจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวแล้ว คนไทยยังใส่ใจต่อภาษาที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ด้วยความใส่ใจดังกล่าว ทำให้ สังเกตเห็นลักษณะที่น่าสนใจบางอย่าง ที่สามารถนำมาผูกเป็นปริศนาได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ อะไรเอ่ย เจ๊กขาย ไทยเขียน (เฉลย : เทียนไข) ปริศนานี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยใส่ใจต่อภาษา ทำให้สังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเสียงในภาษา ๒ กลุ่ม คือ "ไทยเขียน" และ "เทียนไข" ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากการผวนคำอันเป็นลักษณะการเล่นกับภาษาที่โดดเด่นอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมไทย ปริศนาผะหมี หรือโจ๊กเป็นปริศนาที่ให้ความสำคัญกับภาษาเป็นอย่างยิ่ง ปริศนากลุ่มนี้ผูกขึ้นจากการสังเกตคำต่าง ๆ จนทำให้เห็นว่า คำเหล่านั้นมีลักษณะเด่นบางอย่างร่วมกัน ซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็นปริศนาได้และนำคำต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันมารวมเป็น หมวดหมู่ เพื่อใช้เล่นทายดังในตัวอย่างนี้ ๖ ลักษณะเด่นทางเนื้อหา นามนางยักษ์ รักพระ อภัยท่าน (ผีเสื้อสมุทร) นามแหล่งธาร ขานไข กว้างใหญ่แสน (มหาสมุทร) นามนาวา ค้าของ ล่องข้ามแดน
ลักษณะของปริศนาคำทาย ๓. เนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ เนื้อหาของปริศนาคำทายสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ ไม่ได้อิงกับความรู้ตามแบบแผน ลักษณะดังกล่าวทำให้ ปริศนาคำทายต่างจากปัญหาทั่ว ๆ ไป และปัญหาทางวิชาการ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างนี้ ปัญหาวิชาการ : สองบวกสอง ได้อะไร (คำตอบ : สี่) ปริศนาคำทาย : สองบวกสอง ได้อะไร (เฉลย : กระต่าย พูดพร้อมยกมือที่ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสอง ข้างขึ้นไปวางไว้เหนือศีรษะ) จะเห็นว่า คำถามทั้งสองมีเนื้อความเหมือนกัน แต่ปัญหาวิชาการมีเนื้อหาอิงกับความรู้ทางคณิตศาสตร์ ในขณะที่ปริศนาคำทายอิงกับ ความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ ในตัวอย่างแรกซึ่งเป็นคำถามเชิงวิชาการนั้น ผู้ฟังต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาว่า เมื่อรวมจำนวน "สอง" กับ "สอง" ผลลัพธ์จะได้เท่าไร คำตอบคือ "สี่" ในทางตรงกันข้ามสำหรับปริศนาคำทายนั้น ใช้แนวคิดนอกกรอบ ในการผูกปริศนา กล่าวคือ "สอง" ในปริศนานี้ มิได้หมายถึง ตัวเลขในทางคณิตศาสตร์ แต่หมายถึง จำนวนนิ้วมือ และ "บวก" ในที่นี้ มิได้ต้องการทราบผลรวมของจำนวนนิ้วมือ หากแต่ต้องการทายว่า อากัปกิริยาที่เกิดจากการรวมมือทั้งสองที่ชูสองนิ้วเข้าด้วยกัน สามารถตีความถึงอะไรได้บ้าง"สอง" ในที่นี้คือ "สองนิ้ว" ซึ่งสื่อถึง "หูกระต่าย" ปัญหาวิชาการ : อะไรอยู่ใต้สะพานพุทธ (คำตอบ : แม่น้ำเจ้าพระยา) ปริศนาคำทาย : อะไรเอ่ยอยู่ใต้สะพานพุทธ (เฉลย : สระอุ) ปัญหาวิชาการข้างต้นนั้นอิงกับความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น คำตอบที่ถูกต้องคือ แม่น้ำเจ้าพระยา ในทางกลับกัน ปริศนาคำทายที่ใช้ คำถามเดียวกัน ไม่ได้สร้างขึ้นจากพื้นความรู้ตามแบบแผนอย่างปัญหาวิชาการ หากแต่มุ่งที่จะถามลักษณะ ที่เกี่ยวกับรูปเขียนของคำว่า "สะพานพุทธ" เป็นสำคัญ สำหรับเนื้อหาหลักของปริศนาผะหมีและโจ๊กนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ในการจัดหมวดหมู่คำ ต่าง ๆ ในภาษาไทย ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การจัดหมวดหมู่โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมทางภาษานับได้ว่า เป็นความคิดสร้างสรรค์อย่าง หนึ่ง ดังตัวอย่างนี้ ดารานำ งามแท้ เล่นแม่เบี้ย (มะหมี่) ช่วยชมเชียร์ ภูษา ผ้าลายสี (มัดหมี่) อาหารจีน กินได้ หลายเส้นดี (บะหมี่) ลพบุรี มีนาม เด่นอำเภอ (บ้านหมี่) (ประสิทธิ์ ประสิว) ลักษณะเด่นอีกส่วนหนึ่งของปริศนาคำทายคือ ลักษณะเด่นทางภาษา ภาษามีส่วนประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ รูปภาษา และความหมาย ดังนั้นในการพิจารณาลักษณะเด่นทางภาษาของปริศนาคำทาย จึงควรพิจารณาใน ๒ ส่วนดังกล่าว ๑. ลักษณะเด่นทางรูปภาษา ๒. ลักษณะเด่นทางความหมาย ๗ ลักษณะเด่นทางภาษา
ลักษณะของปริศนาคำทาย ลักษณะเด่นทางรูปภาษาของปริศนาคำทายมีหลายอย่าง อาทิเช่น การเล่นเสียงสัมผัส การซ้ำคำ และการใช้คำผวน ๑. การเล่นเสียงสัมผัส : การเล่นเสียงสัมผัสเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของปริศนาคำทายไทย ปริศนา "อะไรเอ่ย" มักจะมีลักษณะเป็น ร้อยแก้ว ที่มีสัมผัสคล้องจอง สัมผัสที่ใช้มีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ สัมผัสที่พบมากคือ สัมผัสสระ ดังเช่นในตัวอย่างต่อไปนี้ อะไรเอ่ย หน้างอคออ่อน กินก่อนทุกวัน (เฉลย : ทัพพี) ในปริศนานี้มีเสียงสัมผัสสระระหว่างคำว่า "งอ" กับ "คอ" และระหว่างคำว่า "อ่อน" กับ "ก่อน" นอกจากนี้ยังมีเสียงสัมผัสพยัญชนะ ระหว่างคำว่า "กิน" กับ "ก่อน" นอกจากปริศนา "อะไรเอ่ย" แล้ว โคลงทายและปริศนาผะหมีก็เน้นการเล่นเสียงสัมผัส บทปริศนาของ ปริศนาทั้งสองนี้ จะแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งโคลง กลอน กาพย์ และฉันท์ ดังนั้น จึงมีการใช้เสียงสัมผัสคล้องจอง ตามแบบแผนฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใช่นาคาตัวนิดพิษเหลือหลาย (งูสามเหลี่ยม) สตรีร้ายขายหน้าท่านว่าชั่ว (หญิงสามผัว) บุรุษร้ายใครไม่ทำให้ต่ำตัว (ชายสามโบสถ์) มากหัวมากหน้าภูผาใด (เขาสามมุข) (พังเพย ใจรักธรรม) ในปริศนานี้มีการเล่นเสียงสัมผัสสระระหว่างคำต่อไปนี้ นิด-พิษ หลาย-ขาย ร้าย-ขาย หน้า-ว่า ชั่ว-ตัว ทำ-ต่ำ ไม่-ให้ ตัว-หัว หน้า-ผา นอกจากนี้มีเสียงสัมผัสพยัญชนะระหว่างคำต่อไปนี้ เหลือ-หลาย ต่ำ-ตัว และ ภู-ผา ๒. การซ้ำคำ : การซ้ำคำ คือ การนำคำที่ได้ใช้ไปแล้วมาใช้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง การซ้ำคำจะทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะ ดังตัวอย่างนี้ อะไรเอ่ย สี่สายยานโตงเตง ข้างนอกร้องเพลง ข้างในร้องไห้ (เฉลย : เปล) ตัวอย่างปริศนาข้อนี้มีการซ้ำคำว่า "ข้าง" และ "ร้อง" ทำให้เกิดโครงสร้างคู่ขนานกันระหว่าง "ข้างนอกร้องเพลง" กับ "ข้างในร้องไห้" อะไรเอ่ย ดำแล้วขาว ยาวแล้วสั้น มั่นแล้วคลอน (เฉลย : ผม สายตา ฟัน) ในตัวอย่างนี้ มีการซ้ำคำว่า "แล้ว" ซึ่งอยู่ตรงกลางของคำใบ้ในปริศนา การซ้ำในลักษณะนี้ ทำให้เกิดโครงสร้างคู่ขนานกัน ระหว่างคำใบ้ ทุกชุด นอกจากนี้คำที่ประกอบในคำใบ้แต่ละชุด มีลักษณะที่เป็นคู่ตรงข้ามกันคือ ดำ-ขาว ยาว-สั้น มั่น-คลอน ๓.การใช้คำผวน : คำผวนเป็นลักษณะการเล่นกับเสียงที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยดี การผวนคำมีหลักคือคำที่นำมาผวนนั้นต้องมีอย่างน้อย ๒ พยางค์ ในการผวนนั้น ให้คงเสียงพยัญชนะต้นของแต่ละพยางค์ไว้ จากนั้นสลับเสียงสระและพยัญชนะของพยางค์หน้าและพยางค์ หลัง เช่น "ตาลาย" ผวนได้เป็น "ตายลา" ในกรณีที่คำนั้น มีมากกว่า ๒ พยางค์ พยางค์กลางจะคงเสียงเดิมไว้ เช่น "หมูกินขี้กา" ผวนได้ เป็น "หมากินขี้กู" ส่วนใหญ่คำที่ผวนแล้วนั้น มักไม่มีความหมายอะไร แต่ก็มีในบางครั้งที่คำที่ผวนแล้วนั้น ไปตรงกับคำที่มีความหมาย มะนาวอะไรเอ่ย อยู่นอกโลก (เฉลย : มะนาวต่างดุ๊ด - มนุษย์ต่างดาว) คำผวนในปริศนาข้อนี้อยู่ในส่วนคำเฉลย กล่าวคือ ก่อนจะได้คำเฉลยที่ถูกต้องจะต้องมีการผวนคำก่อน ๑ ชั้น คำเฉลยว่า "มะนาวต่างดุ๊ด" นั้นไม่มีความหมาย แต่เมื่อผวนเป็น "มนุษย์ต่างดาว" จึงจะได้สิ่งที่เป็นไปตามที่ปริศนาบอกใบ้ คือ "อยู่นอกโลก" ๘ ลักษณะเด่นทางรูปภาษา
ลักษณะของปริศนาคำทาย นอกจากลักษณะเด่นทางด้านรูปภาษาแล้ว ปริศนาคำทายยังมีลักษณะเด่นทางความหมายหลายประการ เช่น การใช้ความเปรียบ การ ใช้ความกำกวม และการใช้ความขัดแย้ง ๑. การใช้ความเปรียบ : การใช้ความเปรียบเพื่อเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งว่า เหมือนกับอีกสิ่งหนึ่งนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การอุปมา โดยสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนั้น มักจะมาจากคนละกลุ่มกัน แต่มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งคล้ายกัน ตัวอย่างเช่น "ความรักเหมือนยาพิษ" เป็นการเปรียบเทียบความรักว่า มีคุณสมบัติบางอย่างราวกับเป็นยาพิษ อาจหมายความว่า ทั้งสองสิ่งสามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานได้ ในปริศนาคำทายส่วนใหญ่มีการใช้ความเปรียบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ อะไรเอ่ย หีบขาวใส่ผ้าเหลือง กุญแจทั้งเมืองไขไม่ออก (เฉลย : ไข่) ในตัวอย่างนี้มีการเปรียบเทียบ "ไข่" ว่าเป็น "หีบสีขาว" และเปรียบเทียบ "ไข่แดง" ซึ่งอยู่ในเปลือกไข่ว่าเป็น "ผ้าสีเหลืองที่บรรจุอยู่ในหีบ" ๒. การใช้ความกำกวม : ความกำกวม คือ ลักษณะที่รูปภาษาหนึ่งสามารถตีความความหมายได้มากกว่า ๑ ความหมาย ตัวอย่างเช่น "ตากลม" สามารถตีความว่าหมายถึง ดวงตาที่มีลักษณะกลม และในขณะเดียวกันก็สามารถตีความได้อีกว่าเป็นกริยาหมายความว่า "ผึ่งลม" ปริศนาคำทายใช้ความกำกวมในการลวงให้ผู้ฟังตีความผิด และหันเหความสนใจของผู้ฟัง ทำให้ไม่สามารถเดาคำเฉลย ที่ถูกต้องได้ ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงการใช้ความกำกวมในปริศนาคำทาย อะไรเอ่ย อยู่ข้างหน้า (เฉลย : หู) ในตัวอย่างนี้ "ข้างหน้า" เป็นส่วนที่กำกวม กล่าวคือ สามารถตีความได้มากกว่า ๑ ความหมาย ความหมายแรกคือ "ด้านหน้า" ซึ่งเป็น การมอง "ข้างหน้า" ในฐานะคำประสม ส่วนอีกความหมายหนึ่งคือ "ด้านข้างของใบหน้า" ความหมายนี้ เกิดจากการพิจารณา "ข้างหน้า" ในฐานะที่เป็นวลี โดยทั่วไปความหมายของ "ข้างหน้า" ในฐานะที่เป็นคำประสม เป็นสิ่งที่ใช้บ่อยกว่า ดังนั้น ผู้ฟังจึงมักหลง คิดว่า ผู้ทายปริศนาต้องการถามว่า "สิ่งใดอยู่ที่ด้านหน้า" มากกว่า แต่เมื่อได้ฟังคำเฉลย จึงได้ทราบว่า ปริศนานี้ต้องการถามว่า "สิ่งใดที่ อยู่ด้านข้างของใบหน้า" ๓. การใช้ความขัดแย้ง : ความขัดแย้งที่พบในปริศนาคำทาย มักมีลักษณะที่เมื่อได้พิจารณาโดยถ้วนถี่จะพบว่า แท้จริงแล้วมิใช่ความ ขัดแย้ง เป็นเพียงสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้ง ลักษณะเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า "อรรถวิภาค" (paradox) การใช้ความขัดแย้งในลักษณะดังกล่าว ก่อให้เกิดความเข้าใจว่า สิ่งที่บรรยายไว้ในปริศนานั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อผู้ฟังหลงคิดเช่นนั้นก็ไม่สามารถเดาคำตอบได้ ดังตัวอย่างนี้ อะไรเอ่ย ยิ่งตัด ยิ่งยาว (เฉลย : ถนน) ในปริศนานี้คือ "ยิ่งตัด" ดูเหมือนจะมีความหมายขัดแย้งกับ "ยิ่งยาว" ทั้งนี้เพราะการตัดหมายถึง การทำให้วัตถุขาดออกจากกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ทำให้สิ่งนั้นสั้นลง ดังนั้น เมื่อ "ยิ่งตัด" ผลที่ตามมาควรจะเป็น "ยิ่งสั้น" เมื่อปริศนาบอกใบ้ว่า "ยิ่งตัด ยิ่งยาว" จึงดู เหมือนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันและเป็นไปไม่ได้ แต่คำว่า "ตัด" นั้นเมื่อใช้กับสิ่งของบางอย่าง เช่น "เสื้อ" หรือ "ถนน" แล้ว จะมีความหมาย ว่า "ผลิต สร้าง ทำให้เกิดขึ้น" เมื่อใช้ "ยิ่งตัด" กับ "ถนน" แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ "ยิ่งยาว" ดังนั้น "ยิ่งตัด ยิ่งยาว" จึงไม่ได้ขัดแย้งกัน และเป็นไปได้ ๙ ลักษณะเด่นทางความหมาย
ประเภทของปริศนาคำทาย การแบ่งปริศนาคำทายอาจแบ่งได้หลายวิธี แล้วแต่จะมุ่งศึกษาหรือใช้เกณฑ์ใด ในการพิจารณา แบ่งประเภท เช่น แบ่งตาม ลักษณะโครงสร้างหรือรูปแบบ แบ่งตามเนื้อหาของปริศนาคำทาย เป็นต้น ถ้าพิจารณาอย่างกว้างๆ เราอาจจะใช้เกณฑ์ในการแบ่ง ปริศนาคำทายได้เป็น ๒ เกณฑ์ คือ การแบ่งโดยใช้คำถามหรือตัวปริศนาเป็นเกณฑ์ มีลักษณะคำถามจะเปรียบสิ่งที่ต้องการทายกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็น คน หรือสัตว์ เช่น เปรียบกับส่วนหัว ส่วน ขา เป็นต้น ปริศนาหมวดนี้แบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ ๑.๑ ส่วนที่เกี่ยวกับรูป (form) เช่น ชนิดที่มีส่วนหนึ่ง แต่ขาดส่วนหนึ่ง มีปากไม่มีฟัน กินข้าวทุกวันได้มากกว่าคน (หม้อข้าว) ชนิดที่ขาดหลายส่วน ไม่มีคอไม่มีหัว มีแต่หน้าถึงเวลาตีได้ตีเอา (กลอง) หัวสองหัว ตั๋วมีตั๋วเดียว (ไม้คาน) สองหูสี่ตา เบื่อหนักหนา เอาขาไว้ที่หู (แว่นตา) ๑.๒ ส่วนที่เกี่ยวกับอาการ (function) เช่น เกิดเพราะไฟ สลายเพราะลม (ควันไฟ) ชอบมากับฝนเวลาอยู่ข้างบน ชอบเสียงดัง (ฟ้าร้อง) ขาขึ้นขึ้นได้ ขาลงลงไม่ได้ ฉีกท้ายแดง (มะระ) ๑.๓ ส่วนที่เกี่ยวกับรูปและอาการ รูปผิดปกติกับอาการปกติ เช่น สามขาเดินมา หลังคามุงสำลี (คนแก่ผมหงอกถือไม้เท้า) สองตีนเกินมา หลังคามุงจาก (ไก่) แปดตีนเดินมา หลังคามุงส้างสี (ปู) (แปดตีนเดินมา หลังคามุงสังกะสี) สิบหูสองขา ทำฤทธา เอาขาแยงหู (ปิ่นโต) ๑๐ ๑. เปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิต
ประเภทของปริศนาคำทาย หมวดนี้ รวบรวมปริศนาคำทายที่เปรียบสิ่งที่ต้องการทายกับสัตว์ตัวเดียวและเปรียบเทียบกับส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้าย กับลักษณะของสัตว์ ปริศนาของไทยหมวดนี้จำแนกได้ ดังนี้ ๒.๑ สัตว์ที่ไม่ระบุชื่อ เช่น สี่หูสี่หาง ปากกว้างเหลือล้น กินคนทุกคืน (มุ้ง) บิดหางร้องโอ๊ก (หน่อไม้) ตัวดำ ฟันขาว หางยาวที่สุด ขึ้นบ่าป่าทรุด (ขวาน) ๒.๒ แมลง เช่น หึ่ง ๆ เหมือนผึ้งภุมรา เอกบาทาจะเร ๆ (ลูกข่าง) ๒.๓ สัตว์ปีก เช่น นกกระปูดตูดแดง น้ำแห้งก็ตาย (ตะเกียง) บินมายิบๆ นกกระจิบก็ไม่ใช่ (แดด) นกกดตาแดง น้ำแห้งก็ตาย (ตะเกียง) ๒.๔ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ช้างน้อยลอยน้ำมา มีงาในท้อง (ลอบดักปลา) ค่างก้าไม่ใช่ค่าง นั่งห้อยหางปางลำภู (ดอกลำพู) ควายใต้ต้นเขือ ไคไปกะเถือไคมาก้าเถือ (หินลับมีด) ๒.๕ สัตว์ในนิยาย เช่น หน้าสั้นๆ หางยาวเป็นมังกร ชอบกินหญ้าในดงดอน อาบน้ำในลำธาร (ขวาน) ปริศนาของอังกฤษหมวดนี้ ส่วนใหญ่ จะเปรียบสิ่งที่ต้องการทายกับสัตว์จำพวกกบ นก กระต่ายป่า หมู แกะ แพะ วัว และม้าส่วน ปริศนาของไทย เปรียบสิ่งที่ต้องการทายกับสัตว์ต่างชนิดกัน ไปบ้าง เช่น เปรียบกับ กา เป็ด แมงดา ช้าง เป็นต้น ๓.๑ เปรียบกับสัตว์ที่ไม่ระบุชื่อ เช่น สัตว์สี่ตีนกินสัตว์ตีนเดียว สัตว์หัวเขียวกินสัตว์หน้าคว่ำ (เต่ากินเห็ด) เป็ดกินหอย ต้นทายปลายบอก (เต่า เป็ด) สัตว์ไม่มีตีนเดินได้ สัตว์ไม่มีไส้กินคน (งู ปลิง เครื่องบิน) (สัตว์ไม่มีตีนเดินได้ สัตว์ไม่มีไส้กินคน) ๓.๒ สัตว์ที่ระบุชื่อ เช่น กาดำกระโดดลงน้ำ กลายเป็นกาขาว (เม็ดแมงลัก) หมูสามตัวขึ้นดอยสามม่อน ตั๋วขึ้นก่อนลงทุน (หม้อนึ่ง ไหข้าว ฝาปิด) (หมูสามตัวขึ้นเขาสามลูก ตัวขึ้นก่อนลงทีหลัง) ๑๑ ๒. เปรียบเทียบกับสัตว์ตัวเดียว ๓. เปรียบเทียบกับสัตว์หลายตัว
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนาหมวดนี้ จะเปรียบสิ่งที่ต้องการกับบุคคลเพียงคนเดียวซึ่งอาจจะใช้รูปร่างลักษณะ หรือ อาการเป็นตัวเปรียบ หมวดนี้ จำแนกได้ ดังนี้ ๔.๑ เปรียบกับรูป เช่น มาจากเมืองแขก ตีไม่แตก ฟันไม่เข้า (เงา) เมื่อเด็กนุ่งผ้าขาว เมื่อสาวนุ่งผ้าเขียว แก่ทีเดียวนุ่งผ้าแดง (พริก) ไอ้ขาวนอนในปัก คนไม่ผลักไม่ยกขึ้น (ครกตำข้าว) (ไอ้ขาวนอนในปลัก คนไม่ผลักไม่ลุกขึ้น) ๔.๒ เปรียบกับอาการ เช่น เมื่อเด็กนุ่งผ้า เมื่อชราเปลือยกาย (ต้นไผ่) หน้าแล้งอยู่ถ้ำ หน้าน้ำอยู่ทุ่ง (ข้าวเปลือก) นั่งเท้าแขนอ่อน กินก่อนพระ (ทัพพี) นางอยู่ในห้อง ใครเข้าไปต้องขนพองวาว (แม่ไก่ฟัก) (นางอยู่ในห้อง ใครเข้าไปต้องขนพองวาว) ๔.๓ เปรียบกับรูปผิดปกติ และ อาการผิดปกติ เช่น มีฟันมากมาย แต่กินอะไรไม่ได้ (หวี) ๔.๔ เปรียบกับเทวดา เช่น พระอินทร์ ตกลงมาขาฉีก (ใบตาล) ปริศนาหมวดนี้ จะเปรียบสิ่งที่ต้องการทายกับบุคคลจำนวนมาก มีทั้งที่เป็น หญิง ชาย หรือ พระ ชี ละมีวัยต่าง ๆ กัน ปริศนาหมวดนี้ แบ่งเป็น ๕.๑ เปรียบกับบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น ขาไปสองคน มืดฟ้ามัวฝน กลับมาคนเดียว (คนกับเงา) นางชีเกิดลูกทางข้าง นางช้างเกิดลูกทางหม่อมนางยมหอมไม่มีลูก (ข้าวโพด กล้วย ตะไคร้) (นางชีเกิดลูกทางข้าง นางช้างเกิดลูกตรงกระหม่อม นางยมหอมไม่มีลูก) เถ่าสองเถ่า แลนออกนอกชาน (ขี้มูก) (เฒ่าสองเฒ่า แล่นออกนอกชาน) ๕.๒ เปรียบเทียบกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันในครอบครัว เช่น ลูกสัปดล เล่นก้นแม่ (ลูกกุญแจ) โลกวันวี แม่มันพีหลุ้นตุ้น (ไนปั่นฝ้าย) (ลูกมันแกว่ง แม่มันอ้วนขึ้น) ๑๒ ๔. เปรียบกับบุคคลคนเดียว ๕. เปรียบกับบุคคลหลายคน
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนาหมวดนี้ส่วนใหญ่ จะนำพืชพันธุ์ไม้ที่มีอยู่รอบตัว มาเปรียบเทียบ กับสิ่งที่ต้องการทาย ปริศนาหมวดนี้ แบ่งเป็น ๖.๑ เปรียบกับต้นไม้ยืนต้น เช่น ต้นเป็นสายยาวหรู ดูเป็นเส้น ดอกหางเห็นน่ายล บนเวหา (ว่าว) ใบหยัก ๆ ลูกรักเต็มคอ มะละกอก็ไม่ใช่ (ต้นตาล) ต้นเขียว ใบเรียว ชี้ฟ้า (ไม้ไฝ่) ๖.๒ เปรียบกับพืชล้มลุก เช่น จั๊กจี้จั๊กเจ่า หญ้างอกขึ้นเขา จั๊กเจ่าขึ้นไข่ จั๊กจีดขี้ไหล (เหา) เห็ดกระด้าง อยู่ข้างดอย กอยบ่หัน (หู) (เห็ดกระด้าง อยู่ข้างดอย มองไม่เห็น) ๖.๓ เปรียบกับดอกไม้ เช่น ดอกไม้ยักษ์โบราณ บานเท่ากระด้ง เมื่อฝนตกแดดออก หุบเท่ากระบอก เมื่อแดดไม่ออกหรือฝนไม่ตก (ร่ม) ๖.๔ เปรียบกับผลไม้ เช่น ลูกกินได้ ใบแก้ร้อน ใบอ่อนใช้สูบ (ใบจาก) สุกไม่หอม งอมไม่หล่น (ดาว) (สุกไม่หอม งอมไม่หล่น) ปริศนาหมวดนี้ นพคุณ คุณาชีวิต (๒๕๑๙, หน้า ๔๒) ใช้ว่าเปรียบกับสิ่งซึ่งหมายถึง สิ่งไม่มีชีวิต โดยเปรียบสิ่งที่ต้องการ ทายกับสิ่งไม่มีชีวิต อาจจะเป็นสิ่งในธรรมชาติ หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ได้ แบ่งเป็น ๗.๑ เปรียบสิ่งในธรรมชาติ เช่น เหล็กแดงแทงอยู่ใต้หญ้า คนทั้งพารามาหาเหล็กแดง (ขมิ้น) (เหล็กแดงแทงอยู่ใต้หญ้า คนทั้งพารามาหาเหล็กแดง) ๗.๒ เปรียบกับบ้าน เช่น ประตูปิด หลังคาเปิด (คอกวัวคอกควาย) เรือนสองเสา หญ้าคาสองตับ นอนไม่หลับลุกขึ้นร้องเพลง (ไก่ขัน) ขนตกสิบหา หลังคาไม่เปียก (ใบบัว ใบบอน) (ฝนตกสิบห่า หลังคาไม่เปียก) ๗.๓ เปรียบกับเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น โต๊ะสามขา เจ้าพระยาขึ้นขี่ สวมหมวกกำมะหยี่ สูบบุหรี่ปุ๋ยๆ (กาน้ำเดือด) หีบน้อยใส่ผ้าเหลือง คนทั้งเมืองไขไม่ออก (ไข่) นารีมีรู ทองคำเข้าอยู่ ในรูนารี (ตุ้มหู) (นารีมีรู ทองคำเข้าอยู่ ในรูนารี) ๑๓ ๖. เปรียบกับพืชพันธุ์ ๗. เปรียบกับสิ่ง
ประเภทของปริศนาคำทาย เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง หรือเปรียบกับหลายสิ่งและการเปรียบจะมีลักษณะขัดกันอย่างเด่นชัดจนทำให้ ผู้ตอบเกิดไขว้เขวคิดถึงสิ่งอื่นที่ไกลจากคำตอบ จำแนกเป็น ๘.๑ เปรียบกับรูป เช่น ยิบๆเหมือนไข่ปูนา ใครไม่มีปัญญา ไขไม่ออก (ตัวหนังสือ) ยุ่งเหมือนใยบัว มีตัวอยู่กลาง (แมงมุม) ต้นเท่าเข็ม ใบเต็มทุ่งนา (ผักแว่น) (ต้นเท่าเข็ม ใบเต็มทุ่งนา) ๘.๒ เปรียบกับอาการ เช่น ไปเท่าบิ้งนา มาเท่าแม่ไก่ (แห) (ไปเท่าบิ้งนา มาเท่าแม่ไก่) ๘.๓ เปรียบกับสี เช่น สุกเหมือนดาว ขาวเหมือนฟ้า ดำเหมือนกา ด่าไม่ฟัง ดังเหมือนปืน (มะปราง มะไฟ มะเกลือ มะดัน มะตูม) ตัวดำเหมือนกา บินมาเหมือนนก มีหนามที่อก เขาเรียกว่านกอะไร (แมงเหนี่ยง) หรือ รูปและอาการ จำแนกเป็น ๙.๑ รายละเอียดเกี่ยวกับรูป เช่น ทางโน้นก็ฟ้า ทางนี้ก็ฟ้า เรือชะล่าแล่นกลาง (กระสวยทอผ้า) ฝั่งโน้นก็ตลิ่ง ฝั่งนี้ก็ตลิ่ง มีกิ่งอยู่ตรงกลาง (เต้าปูน) สี่มุมสี่แคร่ สี่แม่จัตุรัส ผู้คนเงียบสงัด ฆ่าฟันกันตายเหลือแต่นายสองคน (หมากรุก) ๙.๒ รายละเอียดเกี่ยวกับรูปและอาการ เช่น หลังคาติดกับตัว โผล่หัวออกนอกชายคา (เต่า) หัวแหลมท้ายแหลม ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทร มนุษย์ชมว่าอร่อยนัก (กุ้ง) หัวเหลี่ยมท้ายเหลี่ยมอยู่ในคงคา คนโง่ว่าปลา คนมีปัญญาว่าไม่ใช่ (ลอดช่อง) ๑๐.๑ ตำแหน่งของสี เช่น เขียวชอุ่ม พุ่มไสว ไม่มีใบมีแต่เม็ด (ฝน) ๑๐.๒ การเปลี่ยนสีไปตามลำดับเวลา เช่น ขาวยามค่ำ ต่ำยามนอน (คนตาขาว ศีรษะ) ดำแล้วขาว ยาวแล้วสั้น มั่นแล้วคลอน (ผม ตา ฟัน) ๑๔ ๘. รายการเปรียบเทียบ ๙. รายละเอียดเกี่ยวกับรูป ๑๐. รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของสี รูป
ประเภทของปริศนาคำทาย ๑๑.๑ รายละเอียดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น ขยุก ๆ เอาน้ำเข้า เขย่าๆเอาน้ำออก (บ้วนปาก) ขึ้นโกร้ง ลงแกร็ก ทายเด็ก ๆ คนเฒ่าอย่าบอก (คนขึ้นตาล) ๑๑.๒ รายละเอียดเกี่ยวกับการเห็น เช่น นอนคว่ำเห็นลาย นอนหงายเห็นตับ นอนตะแคงเห็นแดงวับ ๆ (เสื่อ ตับหญ้าคา ตะเคียง) แหวกม่านเจอมุ้ง แหวกมุ้งเจอไหม แหวกไหมเจอเม็ด (ข้าวโพด) ๑๑.๓ รายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำหรือเหตุผลที่แย้งกัน เช่น ยิ่งเก็บยิ่งเก่า ยิ่งใช้ยิ่งใหม่ (ถนน) กดหัวท้องป่อง (สาแหรก) ไม่สานก็ถี่ ไม่คลี่ก็คลาย ไม่ใช้ก็ทิ้ง (ผม) ปริศนาในหมวดนี้จะเป็นการผูกคำปริศนาโดยการเล่นคำ สำนวน คำพ้อง หรือตัวสะกดการันต์ จำแนกเป็น ๑๒.๑ ปริศนาที่เกี่ยวกับคำผวน เช่น โบสถ์ไหนไม่มีพระ (ใบโหนด) สองหนำ สามหนำ เข้าหนำเดียว (ข้าวเหนียวดำ) ๑๒.๒ ปริศนาที่เกี่ยวกับตัวสะกด เช่น หน้าขาวๆตัวยาวศอก พอตัดขนออก ยาวแค่วา (ขวาน) ตัดหัวตัดหางเหลือกลางวาเดียว (กวาง) ๑๒.๓ ปริศนาที่เกี่ยวกับคำพ้อง เช่น ชื่ออยู่บนฟ้า กายาอยู่ในน้ำ (ปลาดาว) ชื่อเป็นกริยา ไปๆมาๆไม่อยู่กับที่ (ปลาไหล) สีอะไรทำให้คนรบกัน (สีดา) ๑๕ ๑๑. รายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำ ๑๒. รายละเอียดเกี่ยวกับภาษา
ปริศนา คำตอบ อะไรเอ่ยรถยนต์ก็ไม่ใช่ รถไฟก็ไม่เชิง วิ่งเตลิดเปิดเปิงอยู่กลางป่า กิ้งกือ อะไรเอ่ยคนสามแสน หามแกนไม้ประดู่ กิ้งกือ อะไรเอ่ยเขียวเหมือนพระอินทร์ บินเหมือนนก ศรปักอก นกก็ไม่ใช่ แมลงทับ อะไรเอ่ยเรือนสองเสา หญ้าคาสองตับ นอนไม่หลับลุกขึ้นร้องเพลง ไก่ อะไรเอ่ยวิ่งโทง ๆ มีธงข้างหลัง สุนัข อะไรเอ่ยสี่ตีนเดินมาหลังคามุงกระเบื้อง เต่า อะไรเอ่ยตีนเป๋อ ๆ คะเย่อกินใบไผ่ ช้าง อะไรเอ่ยแหวนกับแหวนชนกันที่หันอากาศ เกิดเป็นสัตว์ประหลาด ชอบกินหญ้า วัว อะไรเอ่ยชื่อเหมือนคนตายมีปีกบินได้ หากินกับดอกไม้ ผีเสื้อ นกอะไรไม่ใช่ของเรา นกเขา อะไรเอ่ยมัจฉาหนึ่งหน้ายาวราวสักฟุต ปลาม้า มัจฉาหนึ่งชื่อบอกเป็นฝรั่ง ปลาทู มัจฉาหนึ่งดุร้ายใคร ๆ ชัง ปลาเสือ มัจฉาหนึ่งถูกขังไม่ดิ้นรน ปลากระป๋อง อะไรเอ่ยชื่ออยู่บนฟ้ากายาอยู่ในน้ำ ปลาดาว อะไรเอ่ยชื่ออยู่ป่ากายาอยู่ในน้ำ ปลาเสือ อะไรเอ่ยชื่ออยู่ในครัว ตัวอยู่ในดิน แมงกระชอน อะไรเอ่ย แบกขวานขึ้นหมาก แบกขวากขึ้นเขา นกเภาตีอู่ ตีนทู่ลงน้ำ นกหัวขวาน เม่น ตะแกรงช้อนกุ้ง และช้าง อะไรเอ่ย สองสกุณา มีนามเรียกว่า ขังไว้ไม่อยู่ คู้ไว้ไม่เข้า ปักษีนั้นเล่า นกออก นกนางแอ่น อะไรเอ่ย ตัวดำเหมือนกา บินมาเหมือนนก สี่ปีกตีหก เจาะต้นไม้ตาย แมลงภู่ ประเภทของปริศนาคำทาย การแบ่งโดย ใช้คำตอบ หรือ คำไข เป็นเกณฑ์การจัดแบ่งประเภทของ ปริศนาคำทาย โดย ใช้คำตอบเป็นเกณฑ์นี้ ยังไม่มี การจัดแบ่งไว้ ผู้เขียนจึงจัดแบ่งเป็นประเภท หรือหมวด ไว้ดังนี้ ปริศนาคำทายหมวดสัตว์ ๑๖
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ แค่เท่าแค่ยังแลไม่เห็น (ใต้) ตา ตัดโคนก็ไม่ตาย ตัดปลายก็ไม่เน่า ผม อุ้มลุ้มเต้าฮังต่อ เจ้ามันผ่อบ่หัน (เหนือ) หัว อยู่คนละซีดโลก ไม่มีวันเข้าหากัน หู ยาวแล้วสั้น ตา ไม่ใหญ่ ไม่กว้าง แต่บังโลกมิด (ใต้) เปลือกตา ต่ำกว่าฟ้า แต่ตาแลไม่เห็น (ใต้) คิ้ว ข้างล่างกะชน ข้างบนกะชน ยับกันลง หรอยยังรุ่ง (ใต้) ขนตา อยู่ข้างหน้า สุดตามองเห็น จมูก มาหลังไปก่อน ฟัน แต๊บแป๊บเต้าใบตัน กิ๋นเจ็ดวันบ่เสี้ยง (เหนือ) ลิ้น หัวหยำแหยะ แปะก้นมีแฮง (อีสาน) ปาก เวลาเรานั่งมันนอน เวลาเรานอนมันยืน หัวแม่ตีน ตาไอ้ไหร่เห้อตัวใหญ่เฒ่าทัม (ใต้) ตาตุ่ม อะไรเอ่ย หล่นดังตุ้บ แมลงวันโห่ฮิ้ว อุจจาระ ไก่แม่ขาว จับฮาวลาบซาบ (เหนือ) ฟัน จอกหลอกคือฮังนก ฝนตกบ่ฮั่ว (อีสาน) จักกะแร้ ไอ้ไหรหา โหยข้างหน้าสุดตาแลเห็น (ใต้) จมูก ทุกคนต้องมี และทุกคนต้องลืม (ใต้) ตา อะไรเอ่ย กอไฝ่ทั้งกอ หาข้อไม่พบ ผม ๑๗ ปริศนาคำทายหมวดอวัยวะในร่างกาย
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ กลางวันเก็นใส่กระทาย กลางคืนกระจายเต็มท้องฟ้า ดาว เขียวเมื่อเห็น เย็นสะเด็ด มีแต่เม็ดไม่มีใบ ฝน คนจับไม่ได้เพราะไม่มีตัวตน แต่ถ้ามันจับคน หน้ามืดตามัว ลม ตัวแดงๆกินหญ้าแห้งหมดทุ่ง ไฟป่า ตัวยาวหลายวา กายาเจ็ดสี กินวารีเป็นอาหาร สายรุ้ง น้ำขึ้นก็หด น้ำลดก็โผล่ ตอ ผีอะไรไม่น่ากลัว เป็นแสงสลัวเทื่อยามใกล้ค่ำ ผีตากผ้าอ้อม พร้อมตั๊วกลางนา ไฟลามมาไม่ไหม้ จอมปลวก มะพร้าวครึ่งซีก ไม่มีปีกข้ามทะเลพ้น พระจันทร์ เรากลืนมันเราอยู่ มันกลืนเราเราตาย น้ำ ขึ้นจากยอดเขาเขียว กินคนเดียว เมาหมดทั้งเมือง ราหูอมจันทร์ เอาออกแล้วใหญ่ เอาใส่แล้วเล็ก บ่อน้ำ อยู่ในดิน เวลากินต้องชัก บ่อน้ำ หินแดง แสงดี หนีเข้าถ้ำ พระอาทิตย์ สูงสล้างกว้างตลอด มีแต่ยอดไม่มีใบ ภูเขา เขียวชะอุ่ม พุ่มไสว ไม่มีใบมีแต่เม็ด ฝน สูงเทียมยอดฟ้า ต่ำกว่าหญ้านิดเดียว ภูเขามีหญ้าขึ้น อะไรเอ่ย เช้ามาเย็นกลับ ดวงอาทิตย์ อะไรเอ่ย มาจากเมืองแขกตี ไม่แตกฟันไม่เข้า เงา เห็ดดอกน้อย ยองปูขอบเขียว กินคนเดียว บานโตตึงบ้าน (เหนือ) จันทรุปราคา ปริศนาคำทายหมวดปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น น้ำ ไฟ ฟ้าร้อง จันทรคราส สุริยคราส เป็นต้น ๑๘ ปริศนาคำทายหมวดปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ เมื่อน้อยนุ่งเสื้อยาว เป๋นสาวนุ่งเสื้อก้อม (เหนือ) มะเขือ อะไรเอ่ย สุกไม่หอม งอมไม่หล่น แห้งคาต้น คนกินไม่ได้ ฝักข้าวโพด อะไรเอ่ย ต้นเท่าลำเรือ ใบห่อเกลือไม่มิด ต้นสน อะไรเอ่ย ต้นเท่าครก ใบปรกดิน ตะไคร้ อะไรเอ่ย แก่เรียกห้าว สาวเรียกอ่อน มะพร้าว อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว ต้นกล้วย อะไรเอ่ย ใบเป็นหยัก ลูกรักเต็มคอ ต้นมะละกอ ดอกอะไรเอ่ย ไม่เคยหวั่นไหว สู้แสงแดดได้ ดอกทานตะวัน ดอกอะไรเอ่ย หอมชวนชม ช่างสวยสม มีหนามแหลม ดอกกุหลาบ ดอกอะไรเอ่ย มีสีขาวกลิ่นหอม กลีบเรียวยาวงานแฉล้ม จำปี ดอกอะไรเอ่ย ชอบขึ้นตามตม ดอกใหญ่ใบกลม คนนิยมบูชา ดอกบัว ยามน้อยนุ่งเตี่ยวขาว เฒ่ามานุ่งเตี่ยวแดง (เหนือ) พริก อะไรเอ่ย ต้าเท่าครกใบปรกดิน ตะไคร้ ไอ้ไหรหา ค่างก่าไม่ใช่ค่าง นั่งห้อยหูหางอยู่บางลำพู (ใต้) ดอกลำภู ไอ้ไหรหา โหยในหนาม ม่งามกะหอม (ใต้) ทุเรียน ไอ้ไหรหา ต้นเท่าโพน โลกโหยนไปไกล (ใต้) ต้นยาง ไอ้ไหรหา ต้นเท่าหม้อ เป็นโลกช่อเดียว (ใต้) กล้วย ต้นสูงหมาข้าม ต้นต่ำหมาดัน (อีสาน) มะขาม มะดัน อะไรเอ่ย มีจุก มีเกศ มาจากเมืองเทศ มีตารอบตัว สับปะรด อะไรเอ่ย หอมตลอดปี นารีชอบใช้ หัวหอม ๑๙ ปริศนาคำทายหมวดพืช
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ กาอะไรอยู่ในวัด กาสาวพัสตร์ ข้างล่างเท่าล้อเกวียน ข้างปลายเท่าเล่มเทียน โบสถ์ เข้าแปด ออกสิบเอ็ด เข้าพรรษา คนซื้อไม่อยากให้ คนขายไม่ต้องการ คนต้องการไม่รู้ตัว โลง แค่คืบหัวหงอก แค่ศอกต้องแหงน แค่แขนต้องแบก เทียน ธูป คัมภีร์ ชาวนาก็ไม่ใช่ ชาวไร่ก็ไม่เชิง หว่านพืชไม่ดี หนีตำรวจเปิดเปิง นักพนัน เช้าๆสีข้างโป่ง ตะวันโด่งสีข้างยุบ พระบิณฑบาต บ้านสี่เสา เอาผ้าขาวมุงหลังคา เมรุเผาศพ ไปเมืองโน้นเมืองนี้ นั่งเก้าอี้ตัวเดียว ลิเก พระตาดีจูงพระตาบอด พระตาดีไปไม่รอด พระตาบอดจูงพระตาดี พระสงฆ์ พระธรรม ไม่มีเมีย มีแต่ลูก ไม่มีข้าวปลูกมีแต่ข้าวกิน พระ สี่มุมสี่แง่ สี่แคร่จัตุรัส ผู้คนแออัด ฆ่าฟันกันตายเหลือแต่นายสองคน หมากรุก ไอ้ไหรหา คั่วแล้ว แกงกินหล่าว ยังเตโลกแก้ว ปล้ำโหย โครงเครง (ใต้) รูปหนังตะลุง หัวเป็นหนาม ถามบ่ปาก (เหนือ) พระพุทธรูป เอายำยุไปใส่ยำยะ เอายำยะไปใส่ฮูหนัง (เหนือ) คนกินหมาก อะไรเอ่ย ปั้นให้แข็ง แยงเข้าหว่างขา (อีสาน) หางโจงกระเบน สี่สายยานโตงเตง ข้างนอกร้องเพลง ข้างในร้องให้ กล่อมเด็กในเปล อะไรเอ่ย ไปบ่กลับ หลับบ่ตื่น ฟื้นบ่มี หนีบ่พ้น (อีสาน) คนตาย พระอะไรจูบผู้หญิงได้ พระเอก สีอะไรที่พระรามชอบ สีดา ๒๐ ปริศนาคำทายศาสนา สังคมประเพณี และวัฒนธรรม
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ สองขาทับ ขยับขาเข่า มือหนึ่งเกา มือหนึ่งแกวก (เหนือ) คนทอผ้า ไอ้ไหรเห้อ สิบตีนยันธรณี สามหางยาวรี สี่เข่าชี้ฟ้า (ใต้) คนไถนา พระพายไม่ใช่ลม ข้างใน กลมๆ กินได้ (ใต้) พระ-บาตร ตัวยาวเกือบวา มีฟันซี่เดียว กินดินเป็นอาจิณ จอบ อีหลุดตุดตู้ แล่นลงรูปิดหางไม่มิด (ใต้) กระบวยตักน้ำ อะไรเอ่ย นกกระปูดตาแดง น้ำแห้งก็ตาย ตะเกียงน้ำมัน ไอ้ไหรเหอ ทองคำ ทำพู ใส่รูนารี (ใต้) ทองหู อะไรเอ่ย สองตา สองขาเกี่ยวหู (อีสาน) แว่นตา อะไรเอ่ย แม่นางคออ่อน กินก่อนทุกวัน ทัพพี อะไรเอ่ย สี่ตีนชี้ฟ้า อ้าปากกินคน มุ้ง อะไรเอ่ย กะริดติ๊ดตี มีขนลุกขี้สองเส้น จักรเย็บผ้า อะไรเอ่ย กดหัวพุงป้ง สาแหรก อะไรเอ่ย สีซุ้มสี่เสา สีซุ้มนกเขา สีเสานางนอน มุ้ง อะไรเอ่ย ฝ่ายโน้นก็เขา ฝ่ายนี้ก็เขา เรือสำเภา แล่นตรงกลาง หูกทอผ้า อะไรเอ่ย แม่กรุก ลูกกรัก แม่ฟัก ลูกไข กุญแจ อะไรเอ่ย ดำเหมือนจรกา มีตาข้างเดียว ทะนาน (ทำจากกะลามะพร้าว) อะไรเอ่ย ต้นเท่าลำหวาย ลูกกระจายทั่วแม่น้ำ แห อะไรเอ่ย พอแรกได้หนู เขาถูเขาไถ พอหนูผอมลงเขาทิ้งหนูไป สบู่ อะไรเอ่ย กลมเหมือนพระจันทร์ ดันท้องสาวๆ แก่ๆ เฒ่าๆ ดันมั่ง ห่าง ๆ กระด้งฝัดข้าว อะไรเอ่ย หุบเท่ากระบอก ถอกเท่ากระด้ง ร่ม ปริศนาคำทายหมวดอาชีพ อาหารการกิน ผลิตผล ตลอดจน วัสดุเครื่องใช้ ๒๑ ปริศนาคำทายอาชีพ อาหารการกิน
ประเภทของปริศนาคำทาย ปริศนา คำตอบ วัดอะไรที่น้ำท่วมไม่ถึง วัดดอน วัดอะไรเอ่ย ที่ไม่มีพระอยู่ วัดพระแก้ว วัดอะไรเอ่ย ที่ไม่ยุ่งเหยิง วัดเลียบ วัดอะไรเอ่ย ที่มีแต่เช้าไม่มีเย็น วัดอรุณ จังหวัดอะไรมีชื่อเป็นใหญ่ในรัฐบาล นครนายก เมืองไหรที่มองไม่เห็น เมืองลับเเล เมืองไหรใหญ่แต่ไม่เก่า เชียงใหม่ คลองอะไรที่เล็กที่สุด คลองหลอด จังหวัดอะไรที่อยู่สูงที่สุด นครสวรรค์ จังหวัดอะไรไปไม่ถึง เลย แม่น้ำอะไรไม่มีบรรดาศักดิ์ แม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดอะไรตัดพยางค์ออกแปลว่าญาติผู้ใหญ่ พัทลุง ปริศนา คำตอบ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีหัวไม่มีหาง วงกลม ไปหา มาทิ้ง ไม้เช็ดขี้ พ่อให้มาตั้งแต่เกิด สั้นบ้างยาวบ้าง พอมีเมียก็เอาไปใช้ นามสกุล ยิบยิบเหมือนไข่ปูนา บ่มีปัญญาไข่บ่ออก (เหนือ) ตัวหนังสือ ห่อเดียวมีแสนตัว (เหนือ) รังมดแดง กอไผ่น้อย หนามหนา ผู้ใดทายได้ ปัญญาดีกว่าเพื่อน(อีสาน) หนังสือ ลายเหมือนแม่ไก่ฟัก ถ้าไม่ทักไม่ออก (ใต้) อ่านหนังสือ ข้างโน้นก็หัว ข้างนี้ก็หัว เด็กกลัวขอให้อุ้ม (ใต้) หัวสะพาน แท้บแพ้บเท่าแผ่นสาด คนทึงเมืองลากบ่ไหว (เหนือ) ถนน หัวเดียวมีแสนปาก (เหนือ) รังปลวก ขุดบ่ได้บ่เอามา ขุดบ่ได้ก็เอามา (เหนือ) การบ่งหนาม หนักอะหยัง หนักแล้วหนักเล่า ไผยกบ่ได้ (เหนือ) บ้านตำหนัก ปริศนาที่ไม่สามารถจัดเข้าไว้ในประเภทใดได้ เนื่องจากมีจำนวนน้อย หรือมีลักษณะก้ำกึ่งกัน จึงนำมารวมไว้ด้วยกันและเรียก โดยรวมว่าประเภทเบ็ดเตล็ด ๒๒ ปริศนาคำทายหมวดสถานที่ ปริศนาคำทายหมวดเบ็ดเตล็ด
สำหรับการเล่นทายปริศนาของไทยมีอยู่ทั่วทุกท้องถิ่น ลักษณะการเล่นจะคล้ายๆกันเพียงแต่จะแตกต่างตรงการใช้ถ้อยคำ ที่เป็นภาษาถิ่นในการสร้างปริศนา พรรเพ็ญ เครือไทย (๒๕๔๒:๔) กล่าวว่า เดิมการเล่นทายปริศนาของไทย นิยมเล่นกันในลักษณะ เป็นเหมือนกับลิเกหรือละคร เล่นกันในงานนักขัตฤกษ์จนถึงงานศพ องค์ประกอบสำคัญในการเล่น คือ “โรง” ซึ่งปลูกยกพื้นมี ขนาดความสูงพอประมาณ กั้นมู่ลี่เป็นส่วนหน้าโรงและหลังโรง หน้าโรงเปิดโล่ง ขึงลวดเป็นชั้น ๆ ห่างกันราว ๑ ฟุต สำหรับแขวน ปัญหา มีนายโรงผู้คิดปัญหาและดำเนินการ มีเจ้าหน้าที่สำหรับให้สัญญาณ แจกรางวัล มีแผ่นปัญหาหรือปริศนาที่เขียนอย่างชัดเจน แขวนไว้ที่ราวลวด มีอุปกรณ์ให้สัญญาณ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กลอง และมีของรางวัล วิธีการเล่น นายโรงจะต้องคิดปัญหาหรือปริศนาขึ้นจำนวนหนึ่งให้มากพอสำหรับการเล่นตลอดคืนเขียนปัญหาลงใน กระดาษสีต่าง ๆ แล้วนำไปติดไว้ตามราวลวดหน้าโรง จากนั้นนายโรงจะประกาศเชิญชวนให้ผู้ดูร่วมเล่นทายปัญหา พร้อมทั้งชี้แจง กติกาการเล่นและรายละเอียดต่าง ๆ ผู้ที่ต้องการเล่นจะต้องแจ้งให้นายโรงทราบ นายโรงก็จะตีกลอง ๑ ครั้ง เป็นสัญญาณว่าให้ ทายได้ ถ้าทายถูก นายโรงจะกดกริ่งเป็นสัญญาณ แล้วให้จับสลากของรางวัล ซึ่งมักเป็นของชิ้นเล็ก เช่น ขนม น้ำอัดลม เงิน เป็นต้น สำหรับการเล่นปริศนาคำทายของไทยเราในสมัยต่อ ๆ มา ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทุกท้องถิ่น ลักษณะการเล่นก็คล้ายๆกัน เพียงแต่ เรียกชื่อการเล่นผิดเพี้ยนกันไปตามท้องถิ่น เช่น ภาคกลางเรียกว่า เล่นอะไรเอ่ย หรือ ทายอะไรเอ่ย ภาคเหนือ เรียกว่า เล่นตวาย ปัญหา หรือ เปสสนา ภาคอีสาน เรียกว่า คำทวย ภาคใต้ เรียกว่า เล่นทายหรือทายปัญหา การตั้งคำปริศนาโดยทั่วไปมักจะขึ้นต้น คำทายด้วยคำถาม “อะไรเอ่ย” เหมือนกันแต่ก็มีบางที่อาจจะเอาไว้ตอนท้าย ดังนี้ ภาคเหนือ อาจขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วยคำทายว่า “อะหยังเอ้าะ” หรือ “อะหยัง” เช่น อะหยังเอ้าะ เมื่อน้อยนุ่งเสื้อยาว เป็นสาวนุ่งเสื้อก้อม คำตอบ มะเขือ สี่ตีนปกขึ้นฟ้า อ้าปากกินคน อะหยัง คำตอบ มุ้ง ภาคกลาง ขึ้นต้นคำทายว่า “อะไรเอ่ย” เช่น อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว คำตอบ ต้นกล้วย อะไรเอ่ย ผักสี่บาท พาดข้างรั้ว คำตอบ ตำลึง ภาคอีสาน ไม่นิยมนำคำถามไว้ข้างหน้า แต่นิยมลงท้ายด้วยคำถามว่า “แม่นหยัง” หรือ “แม่นอีหยัง” เช่น ห้อยอยู่หลัก ตักกะเต็ม บ่ตักกะเต็ม แม่นหยัง คำตอบ มะพร้าว คนสามร้อย ฆ่าเด็กบ่ตาย แม่นหยัง คำตอบ เงา ภาคใต้ขึ้นต้นคำทายว่า “การั่ย” หรือ “ไอ้ไหรหา” เช่น ไอ้ไหรหา อยู่ในร่มเท่าแข้ง ออกกลางแจ้งเท่าด้ง คำตอบ ร่ม ไอ้ไหรหา พระอินทร์ ตกลงมาขาฉีก คำตอบ ใบตาล วิธีเล่นทายปริศนานั้นโดยทั่วไป ก็จะแบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย ผลัดกันถาม (ทาย) ผลัดกันตอบ หากตอบไม่ได้ก็อาจจะมีการบอกใบ้กัน บ้างแต่ถ้าตอบไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องยอมแพ้ ใน ภาคกลาง วิพุธ โสภวงศ์ (๒๕๑๖, หน้า๑๗) ได้อธิบายการเล่นปริศนาคำทายในสมัยก่อนไว้ว่า จะเล่นตอนกลางคืน โดยผู้เล่นจะจับไม้สั้นไม้ยาว เพื่อตกลงกันว่าใครจะเป็นฝ่ายทายก่อน เมื่อผู้ตอบตอบถูกก็จะได้เป็นผู้ถามต่อไป หากไม่มีผู้ใดตอบได้ ถูกต้องผู้ถามจะถามว่า “ตอบได้ไหม ตอบไม่ได้กูจะขายละนา” โดยผู้ตั้งปริศนาจะเลือกวิธีขาย ดังนี้ “ยายแก่ขายขนมครก หมอยแกดก ให้ไอ้...(ชื่อผู้ตอบไม่ได้ สาง สางหรือไม่สาง” ผู้ตอบไม่ได้จะรับว่า “สาง” แล้วผู้ถามก็จะเฉลย โอกาสและวิธีการเล่น ๒๓
ใน ภาคใต้ภิญโญ จิตต์ธรรม เล่าว่า มีวิธีการเล่นดังนี้ คือ ผู้ทาย จะขึ้นต้นปริศนา ผู้เล่นแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายละกี่คนก็ แล้วแต่ การถามมักมี คำถามในตัว ถ้าไม่มีคำถามในตัวจะต่อท้ายว่า สูว่าอ้ายไหร = คุณว่าอะไร หรือ อ้ายไหรหา = อะไรเอ่ย เช่น ปริศนา คำตอบ ไอ้ไหรหา หนังหุ้มขน ขนหุ้มโดก โดกหุ้มเนื้อ เนื้อหุ้มน้ำ น้ำรูแก้ว (โดก=กระดูก) มะพร้าว ไอ้ไหรหา ต้นเท่าครก โลกดกเหมินแสน (โลก=ลูก) (เหมือน=หมื่น) ต้นลาน ไอ้ไหรหา เมื่อแกรองนอน เมื่อออนต้มจุ้ม (แก=แก่) (ออน=อ่อน) ไม้ไผ่ ไอ้ไหรหา สี่ตีนกินน้ำบอสูง (บอ=บ่อน้ำ) กระรอก ไอ้ไหรหา ต้นเท่าสายปิ้ง แตกกิ่งราหร้า (ปิ้ง=จับปิ้ง) (ราหร้า=ไม่เป็นระเบียบ) สาหร่าย ภาคอีสาน นั้น สาร สาระทัศนานันท์ กล่าวว่า การถามปัญหา ผู้ทายจะกล่าวคำทายขึ้นแล้วต่อท้ายคำถามด้วยคำว่า “แม่นหยัง” ซึ่งหมายความว่า คืออะไร โอกาสที่จะเล่นทายปัญหานี้ ได้แก่ เวลาอยู่ว่างๆบางทีเล่นจนดึกดื่น สำหรับการเล่นปริศนาคำทายใน ภาคเหนือ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ตายตัว อาจจะแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายอย่างชัดเจน โดยฝ่าย หนึ่งเป็นผู้ทาย อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ตอบก็ได้ หรืออาจจะล้อมวงกันแล้วช่วยๆกันถาม ช่วยกันตอบ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จำนวนผู้เล่นก็ไม่จำกัด สำหรับกติกาที่ตั้งขึ้นมาเพื่อความสนุกสนานก็คือ หากผู้ใดทายไม่ได้ ก็จะถูกปรับด้วยการ ให้ดื่มน้ำ หรือเขกเข่า เป็นต้น โอกาสและวิธีการเล่น ๒๔
การทายปัญหาเป็นที่นิยมของคนทุกชาติทุกภาษา การคิดปัญหาผูกเป็นปริศนาคำทายมาทายกันนอกจากจะเกิดความ สนุกสนานบันเทิงใจ แล้วยังได้ทั้งความรู้ เชาวน์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ ปริศนาคำทายจึงทรงคุณค่าในตัวเอง ซึ่งพอจะประมวล คุณค่าของปริศนา ได้ดังนี้ ๑. ปริศนาคำทายให้ความสนุกสนานและความเพลิดเพลิน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดให้แก่ผู้เล่น แม้ว่าในการเล่นจะต้อง ใช้ความคิด แต่ก็เป็นการใช้ความคิดที่ชวนเพลิดเพลิน ผ่านกระบวนการสังเกต วิเคราะห์ถ้อยคำที่นำมาผูกเป็นปริศนา ปริศนาบางบท ชวนให้ขบขัน เพราะถ้อยคำที่นำมาใช้ชวนให้คิดเป็นสองแง่ แต่เมื่อเฉลยแล้วไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ เช่น “อะไรเอ่ย สองกลีบหนีบกันแน่น แม่แฉล้มนอนอมกล้วย” คำตอบก็คือ ข้าวต้มมัด หรือปริศนาของภาคใต้ว่า “นอนแคงแยงน้ำขาวออก” คำตอบว่า คนให้ลูกกินนม เป็นต้น ๒. ปริศนาคำทายให้ความรู้ในเรื่องสำนวน ภาษา รวมทั้งภาษาถิ่นด้วย เพราะปริศนาคำทายในแต่ละท้องถิ่นจะมีการใช้ภาษา ถิ่น การใช้คำซึ่งมีสัมผัสคล้องจอง ไพเราะ ปริศนาคำทายที่มีคำไขอย่างเดียวกัน จะใช้คำทายที่แตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่น เช่น “ต้นเท่าครก ลูกดกเต็มคอ” (กลาง) “น้ำทุ่งน้อย ห้อยปลายหลัก ตักก็เต๋มบ่ตักก็เต๋ม” (เหนือ) “ไอ้ไหรหา หนังหุ้มขน ขนหุ้มโดก โดกหุ้มเนื้อ เนื้อหุ้มน้ำ น้ำรุแก้ว” (ใต้) “ห้อยอยู่หลักบ่ตักก็เต็ม” (อีสาน) คำเฉลย ก็คือ มะพร้าว จะเห็นได้ว่าการเลือกใช้คำในการผูกปริศนาแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่น แต่แนวความคิดในการมอง ธรรมชาติเป็นไปในแนวเดียวกัน ๓. ปริศนาคำทายช่วยฝึกสมอง ฝึกความมีปฏิภาณไหวพริบ ความช่างคิด ช่างสังเกต เพราะปริศนาจะผูกปัญหาไว้ด้วยการ เปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้ผู้ทายต้องคิด ซึ่งบางครั้งตัวปริศนาเป็นเรื่องง่ายๆใกล้ๆตัว แต่ผู้ทายอาจ มองข้ามไปหรือคิดไกลเกินไปก็ได้ เช่น ปริศนาว่า อะไรเอ่ยอยู่บนกระดาษ เฉลยว่า ซาลาเปา ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นตัวหนังสือ หรือภาพวาด หรือปริศนาว่า อะไรเอ่ยอยู่ใต้สะพานพุทธ บางคนก็อาจจะคิดไปถึงแม่น้ำหรือเรือ ซึ่งคำเฉลยก็คือ สระอุ ดังนี้เป็นต้น ผู้เล่นปริศนาคำทายจึงต้องเป็นคนช่างคิด และมีปฏิภาณ จึงจะเล่นปริศนาคำทายได้อย่างสนุกสนาน ๔. ปริศนาคำทายเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น การจับปลา การปรุง อาหาร การเกษตร การทอผ้า รวมทั้งความรู้ในเรื่องของธรรมชาติ สัจธรรม และการเรียนรู้ทางด้านภาษาอีกด้วย ดังเช่น ปริศนาคำ ทายว่า อะไรเอ่ย คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ คำตอบว่า โลงศพ ซึ่งตัวคำถามแสดงให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบใน วันหนึ่ง หรือปริศนาคำทายว่า ต้นอะไรเอ่ยมีสองกอ คำตอบว่า ต้นกก ซึ่งเป็นการเรียนรู้เรื่องการสะกดคำในภาษาไทยไปพร้อม ๆ กับเรื่องธรรมชาติ ๕. ปริศนาคำทายเป็นเครื่องสะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ค่านิยม ความคิด ความเชื่อ ของกลุ่มชนซึ่งเป็นเจ้าของ ปริศนาคำทาย ดังนี้ ๕.๑ สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของกลุ่มชน โดยเฉพาะอารมณ์ขันที่จะมีแฝงอยู่ในตัวคำทาย เสียงของคำที่เลือกมาใช้ เช่น อะไรเอ่ย จั๊กจี้จั๊กเจ่า หญ้างอกขึ้นเขา จั๊กเจ่าขึ้นไข่ จั๊กจีดขี้ไหล หรือใช้คำที่มีความหมายแฝงมีลักษณะชี้นำให้ผู้ทายเข้าใจผิดไป ในทางหนึ่ง แต่คำเฉลยกลับเป็นอีกอย่างหนึ่งทำให้เกิดอารมณ์ขัน เช่น อะไรเอ่ยบ้างสั้น บ้างยาว สาวๆต้องใช้เมื่อได้แต่งงาน คำถาม ใช้คำให้คิดสองแง่สองมุม แต่คำเฉลยคือ นามสกุล ดังนี้ เป็นต้น คุณค่าของปริศนาคำทาย ๒๕
๕.๒ สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคม ได้แก่ การประกอบอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพทำนา เช่น “อะไร เอ่ยปากหนึ่งกินหญ้า ปากหนึ่งกินดิน ปากหนึ่งพูดร่ำไป” คำตอบก็คือ ควาย ไถ และคนไถนา เป็นต้น การเลี้ยงเด็ก สมัยก่อนเลี้ยง ด้วยนมแม่ นอนเปลเห่กล่อม ดังปริศนาว่า “อะไรเอ่ย ตะลุ่มพุ่มพู มีรูน้ำไหล บ่อน้อย ค่อยใส่ น้ำไหลเข้ารู” เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี เรื่องของการทอผ้า การคมนาคม และการดำรงชีวิต ๕.๓ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณี ได้แก่ ความเชื่อในเรื่องพุทธศาสนา การใส่บาตร การรดน้ำ พระพุทธรูป เช่น ทายว่า “ดอกอะไรเอ่ย อยู่ในถ้ำ ฝนตกพรำปีละหน” คำตอบก็คือ พระพุทธรูป สรงน้ำปีละครั้ง ๕.๔ สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมด้านต่าง ๆ ของคนในสมัยก่อน ได้แก่ นิยมกินหมาก เล่นหมากรุก เช่น ทายว่า “อะไรเอ่ยสี่มุมสี่ แคร่ สี่แม่จัตุรัส ผู้คนเงียบสงัด ฆ่าฟันกันตาย เหลือแต่นายสองคน” ตอบว่า คนเล่นหมากรุก เป็นต้น ๖.ปริศนาคำทาย มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม จะเห็นได้จากความนิยมในการเล่นปริศนาคำทายที่ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน มีการผูกปริศนาใหม่ๆขึ้นเล่นกันหลายโอกาสและสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์มี การผูกปริศนาใหม่ๆขึ้นตามความคิดและสภาพสังคม เช่น “ปาอะไรขึ้นเขาได้” คำเฉลยว่า “ปาเจโร” ซึ่งเป็นยี่ห้อรถยนต์ที่มีใช้กัน อยู่ทั่วไป เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความคิดทางภาษาและการคมนาคมในปัจจุบัน จึงทำให้การเล่นปริศนาคำทายแพร่หลายและสืบ ทอดต่อไป คุณค่าของปริศนาคำทาย ๒๖
การนำปริศนาคำทายไปใช้ในการสอนภาษาไทย ๑. การเลือกใช้คำในปริศนาคำทายของไทยมีการใช้คำในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ คำภาษาปาก หมายถึง ภาษาที่ใช้พูดกันในหมู่คนใกล้ชิดกันเพื่อให้เข้าใจง่าย อาจจะมีคำไม่สุภาพ คำหยาบ ปนอยู่ด้วย ปริศนาคำทายซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากท้องถิ่น จึงมีคำภาษาปากปะปนอยู่มาก ดังจะแยกเป็นข้อ ๆ ดังนี้ คำภาษาชาวบ้าน เป็นภาษาที่ไม่เป็นทางการ เป็นคำที่ชาวบ้านใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน แต่คนในสังคมชั้นสูงจะมอง ว่าเป็นคำหยาบ ไม่สุภาพ เช่น ขี้เยี่ยว ตีน ตูด บัก ไอ้อี่ เช่น กินฝั่ง ไปขี่ฝังนั้น คำตอบคือ อิ้ว คำหยาบคำด่า เป็นคำที่ใช้แล้วถูกตำหนิว่าเป็นคนไม่มีวัฒนธรรม เป็นคนชั้นต่ำ ปริศนาคำทายที่ใช้คำหยาบ คำด่านี้ ผู้ถามจงใจจะใช้ถ้อยคำเพื่อให้เห็นภาพพจน์เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น แม่นหยัง ผู้หญิงกาย ผู้ชายเด้า เข้าบ่เข้ากะลูบเบิ่ง คำตอบคือ คนลับมืด คำสองแง่-สองง่ามม การใช้คำประเภทนี้เจตนาที่จะจูงใจให้ผู้ตอบคิดสองแง่สองมุม ตีความหมายไปในทางหยาบโลน ทางเพศ เป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ทาย ซึ่งความเป็นจริงคำตอบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศเลย เช่น ซกงกกกขน แม่นหยัง คำตอบ คือเขาวัว เขาควาย คำที่ไม่มีความหมาย ไม่มีคำแปลในพจนานุกรม สามารถสื่อความหมายโดยสำนึกของผู้ส่งสาร และผู้ส่งสาร ช่วยให้ เข้าใจในรูปลักษณะ การใช้คำเหล่านี้เป็นการลวงผู้ตอบให้สับสน เช่น ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง คำตอบคือ มะเดื่อ การซ้ำคำและการซ้ำความ คือ การใช้คำ คำเดียวหลายต่อหลายครั้งในคำถามเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อเน้นความหมายหรือ รูปร่าง อาการของสิ่งของที่กล่าวถึง เช่น ยิ่งเก็บยิ่งเก่า ยิ่งใช้ยิ่งใหม่คำตอบคือ ถนน คำเสริมบทหรือคำขยายที่ทำให้มองเห็นภาพชัดเจน คำเหล่านี้จะช่วยผู้ตอบ ให้มองเห็นภาพของสิ่งที่จะกล่าวได้ชัดเจน มากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำที่นำมาขยายคำที่อยู่ข้างหน้า เช่น ต่องแหล่งอยู่ข้างฝา เหลียวหากะบ่อเห็น คำตอบคือตุ้มหู คำแสดงอาการ คือ คำที่ช่วยให้ความหมายและความเข้าใจในด้านกิริยาอาการ เช่น วิ่งโทง ๆ มีธงอยู่ข้างหลัง คำตอบ คือ สุนัข คำเลียนเสียงธรรมชาติได้แก่ เสียงสิ่งของตกจากที่สูง เสียงร้อง เสียงสิ่งของกระทบกัน เช่น ตกดังตุ๊บ หมาไล่ตะครุบ แมลงวันตอมหึ่ง คำตอบคือ อุจจาระ ๒๗ ลักษณะการใช้ภาษา
การนำปริศนาคำทายไปใช้ในการสอนภาษาไทย ลักษณะการใช้โวหาร การใช้โวหาร (Figures of Speech) หรือที่บางคนใช้คำว่า ภาพพจน์คือ การใช้คำที่ทำให้เกิดมโนทัศน์หรือ จินตนาการ ได้ชัดเจนมากกว่าการใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา ปริศนาคำทายแม้จะไม่ใช้เป็นวรรณกรรมในรูปของร้อยกรองหรือร้อยแก้ว แต่ในการ ผูกปริศนาคำทายบางบท มีการใช้ภาพพจน์เพื่อให้ผู้ตอบเกิดจินตนาการหรือเห็นภาพของสิ่งที่กล่าว ถึงได้อย่างชัดเจนโดยใช้ ภาพพจน์ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ภาพพจน์อุปมา (Simle) เป็นการเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมย โดยนำของสองสิ่งมาเปรียบเทียบว่าเหมือนกัน เพื่อ ต้องการไขคำตอบปริศนาคำทาย ใช้เชื่อม ว่าเหมือน หรือ คือ ในภาษาอีสานซึ่งหมายความว่า เหมือน เช่นกัน เช่น ดำคือหมีตีก้น จังกัด คำตอบคือ ลิ่ว ภาพพจน์อัปลักษณ์(Metaphor) ปริศนาคำทายใช้ภาพพจน์ประเภทนี้เปรียบเทียบโดยนัย กล่าวคือ ผู้ถามคำถามจะ นำสิ่งต่าง ๆ ได้แก่ส่วนของบุคคล พืช สัตว์สิ่งของ นำสิ่งธรรมชาติมาเปรียบเทียบในสิ่งที่นำมาทาย ผู้ตอบต้องใช้ความคิดเชื่อมโยง เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง เช่น สี่ตีนชี้ฟ้า อ้าปากกินคน คำตอบคือ มุ้ง ภาพพจน์ปฏิภาค (Paradox) คือ ข้อความที่มีความหมายชัดเจนในลักษณะที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ภาพพจน์ ประเภทที่จงใจให้ผู้ตอบเกิดความรู้สึกแปลกใจ เช่น ยิ่งตัดยิ่งยาว คำตอบคือ ถนน ภาพพจน์บุคลาธิษฐาน (Personification) คือ การเปรียบเทียบโดยการนำสิ่งที่ไม่มีชีวิต หรือมีชีวิตมากล่าวถึง แต่ไม่ใช่ คน การปลูกปริศนาคำทายโดยใช้ภาพพจน์ประเภทนี้ไม่ได้พิจารณาจากตัวคำถามโดยตรงแต่พิจารณา จากคำตอบที่เป็นสิ่งที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต แต่ไม่ใช่คนและนำมาผูกปริศนาโดยเปรียบเทียบให้สิ่งนั้นแสดงกริยาอาการ ประหนึ่งว่าเป็นคน เช่นเมื่อน้อยถือแพร ขาว ใหญ่เป็นสาวเธอแพรแหล่ เฒ่าแก่แล้วถือแพรแดงแป่งๆ คำตอบคือ พริก ๒๘ ลักษณะการใช้โวหาร
การนำปริศนาคำทายไปใช้ในการสอนภาษาไทย การเล่นภาษาในปริศนาคำทาย ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเชาว์ทางภาษามีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้ คำผวน คือ คำตั้งแต่สองโดยมีคำแรกกับคำท้ายจะอ่านย้อนกลับสระและตัวสะกดกันโดยใช้พยัญชนะต้นคงเดิม ทำให้ได้ ความหมายใหม่ซึ่งมีลักษณะดังนี้ คำผวนในตัวคำถาม คือการใช้คำผวนคำในตัวคำถามเดียวกันตกปุ๊กช้างซี่ บ่ให้ว่าขี้ช้าง คำตอบคือมะเฟือง คำผวนจำตัว คำถาม ซึ่งอาจผวนทั้งหมดของคำถามหรือเพียงบางส่วนหรือนำไปเป็นคำตอบ เช่น จีนทำไทยเขียน คำตอบคือ เทียนไข ผวนจากคำตอบ คำตอบครั้งแรก ยังไม่ได้ความหมายที่ต้องการจะต้องผวนคำอีกครั้งเสียก่อน เช่น ผู้หญิงชอบสีอะไร คำตอบคือ สีมา - สามี คำพ้องเสียง คือ การนำคำที่มีเสียงเดียวกัน อาจจะมีรูปเดียวกัน หรือต่างกันมาตั้งคำถามเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจผิด ให้กับผู้ตอบ เช่น ไก่เก้าขามีกี่ตัว คำตอบคือ หนึ่งตัว ฟ้องเสียงโดยการตัดพยางค์คือ ตัดพยางค์แรกของคำตอบมาตั้งเป็นคำถามทำให้ผู้ตอบเข้าใจผิดโดยเข้าใจว่าสิ่งที่ตั้ง คำถามนั้น เป็นความหมายของคำที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เช่น ลักอะไรไม่ถูกจับ คำตอบคือลักยิ้ม แปลความหมายคำถาม คือคำถามจะถามสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่คำตอบไม่ได้เป็นไปตามความจริงของสิ่งที่ถาม คำตอบจะใช้ การแปลความจากคำถาม ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของปัญหาเชาว์ทางภาษา เช่นอะไรเอ่ย อยู่หน้าโรงเรียน คำตอบคือ สระโอ ปริศนาคำท้ายของไทยแบ่งช่วงจังหวะออกเป็น สองช่วงจังหวะ สามช่วงจังหวะ และสี่ช่วงจังหวะซึ่งจำนวนพยางค์แต่ละช่วงมีดังนี้ ๑. ปริศนาคำทายที่มีสองช่วงจังหวะ มีจำนวนพยางค์และการส่งสัมผัสดังนี้ ๔.๑.๑ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ ในแต่ละช่วงจังหวะสองพยางค์เท่ากัน โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกส่งสัมผัสไป ยังคำแรกของช่วงจังหวะที่สองของช่วงจังหวะที่สอง เช่น สี่บาทพาดรั้วคำตอบคือ ตำลึง ๔.๑.๒ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์แต่ละช่วงจังหวะสามพยางค์เท่ากัน โดยคำที่สามของช่วงจังหวะแรกส่งสัมผัสไปยังคำ แรกหรือคำที่สองของช่วงจังหวะที่สอง เช่น สูงกว่าน้ำ ต่ำกว่าเรือ คำตอบคือ ฟองน้ำ ๔.๑.๓ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์แต่ละช่วงจังหวะสี่พยางค์เท่ากัน พบว่ามีอยู่จำนวนมากในทุกภาค โดย โดยคำ สุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัสไปยังคำแรก หรือคำที่สองของช่วงจังหวะที่สอง เช่น เช้าเช้าเข้าถ้ำ ค่ำค่ำออกเที่ยว คำตอบคือ ดวงดาว ๔.๑.๔ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์แต่ละช่วงจังหวะห้าพยางค์เท่ากัน โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรก จะส่งสัมผัสไป ยังคำแรก หรือคำที่สามของช่วงจังหวะที่สอง เช่น ตัดโคนไม่ตาย ตัดปลายไม่เน่า คำตอบคือ ผม ๒๙ ลักษณะการเล่นภาษา ลักษณะช่วงจังหวะ พยางค์ และสัมผัส
การนำปริศนาคำทายไปใช้ในการสอนภาษาไทย ๔.๑.๕ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์แต่ละช่วงจังหวะหกพยางค์เท่ากัน โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัสไปยังคำ แรก หรือคำที่สองของช่วงจังหวะที่สอง หรือ สาม เช่น เขียวชอุ่มพุ่มไสว ไม่มีใบมีแต่เม็ด คำตอบคือ ฝน ๔.๑.๖ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์แต่ละช่วงจังหวะเจ็ดพยางค์เท่ากัน โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัสไปยังคำ แรกหรือคำที่สี่ของช่วงจังหวะที่สอง เช่น แดดส่องจ้าเดินทางมาสองคน มืดฟ้ามัวฝนจะเดินอยู่คนเดียว คำตอบคือ เงา ๔.๑.๗ ปริศนาคำทายที่มีจำพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะสองพยางค์กับสามพยางค์แต่ละ ช่วงจังหวะ ไม่ส่งสัมผัสกัน นอกจากบาง บทที่จะส่งสัมผัสจะ ส่งไปยังคำแรกหรือคำที่สามของช่วงจังหวะที่สอง เช่น รอยยาว แต่เท้ากลม คำตอบคือ รอยเกวียน ๔.๑.๘ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะสามพยางค์กับสี่พยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัส ไปยังคำแรกหรือคำที่สองหรือสามของช่วงจังหวะที่สอง เช่น ก้นชี้ฟ้า หน้าถะแลดดิน คำตอบคือ หอย ๔.๑.๙ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะสี่พยางค์กับห้าพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัส ไปยังคำแรกหรือคำที่สองของช่วงจังหวะที่สอง เ โคนอยู่ทางนี่ ปลายชี้ไปฝั่งโน้น คำตอบคือ คันเบ็ด ๔.๑.๑๐ ปริศนาคำทายที่มีจำพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะห้าพยางค์กับหกพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัสไป ยังคำแรก หรือคำที่สอง หรือคำที่สามของช่วงจังหวะที่สอง เช่นหีบน้อยใส่ผ้าเหลือง คนเมืองไขไม่ออก ติดตอบคือ ไข่ ๔.๑.๑๑ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะหกพยางค์กับเจ็ด โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่งสัมผัสไปยัง คำแรก หรือคำที่สี่ ของช่วงจังหวะที่สอง เช่น นั่งยองยองมองกระเก้า เข้าไม่เข้าเอามือลูบคลำดูคำตอบคือ ลับมีด ๔.๑.๑๒ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะเจ็ดพยางค์กับแปดพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกจะส่ง สัมผัสไปยังคำแรกหรือคำที่สาม ของช่วงจังหวะที่สอง เช่น แต่ยังน้อยห่มผ้าสีขาวใหญ่ เป็นสาวห่มผ้าสีเขียวจ้อย คำตอบคือ หน่อไม้ไผ่ ๔.๑.๑๓ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะสามพยางค์กับห้าพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกมักจะส่ง สัมผัสไปยังคำที่สองหรือคำที่สาม ของช่วงจังหวะที่สอง เช่น สูงกว่าฟ้า ต่ำกว่าหญ้า นิดเดียว คำตอบคือ ภูเขา ๔.๑.๑๔ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะสี่พยางค์กับหกพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะแรกมักจะส่ง สัมผัสไปยังคำที่สอง ของช่วงจังหวะที่สอง เช่น สี่ตีนเดินมา หลังคามุงสังกะสีคำตอบคือ ปู ๔.๑.๑๕ ปริศนาคำทายที่มีจำนวนพยางค์ในแต่ละช่วงจังหวะห้าพยางค์หกพยางค์กับเจ็ดพยางค์โดยคำสุดท้ายของช่วงจังหวะ แรกมักจะส่งสัมผัสไปยังคำที่สองของช่วงจังหวะที่สอง เช่น ซกงบคือหัวม้า ไปค้าสามปีบ่เห็นฮอย คำตอบคือ เรือ ๓๐ ลักษณะช่วงจังหวะ พยางค์ และสัมผัส
๓๑ บรรณานุกรม บุปผา บุญทิพย์. (๒๕๔๓). คติชาวบ้าน. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพ ฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ประเทือง คล้ายสุบรรณ์. (๒๕๒๙). ปริศนาคำทาย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สารการพิมพ์. ประทีบ ทองเปลว. (๒๕๔๖). คำทายอะไรเอ่ย ฉบับไทยแท้. กรุงเทพฯ: ไพลินบุ๊คเน็ต จำกัด ประพนธ์ เรืองณรงค์. (๒๕๔๑). วรรณกรรมภาคใต้. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง พรรณเพ็ญ เครือไทย. (๒๕๔๑). ปริศนาคำทายล้านนา. เชียงใหม่: โครงการวิจัยทางคติชนวิทยา ภิญโญ จิตต์ธรรม. (๒๕๑๘) ปริศนาบททาย. สงขลา: วิทยาลัยสงขลา.ศูนย์วิจัยล้านนาคดี สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ราตรี เพรียวพานิช. (๒๕๔๗). การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย. กรุงเทพ ฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. รุ่งอรุณ ทีฆชุณหเถียร. (๒๕๓๒). ปริศนาคำทาย : การวิเคราะห์กลวิธีในการใช้ภาษา (รายงานการ วิจัย). ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น สุนันท์ อุดมเวช. (๒๕๒๔). คติชนวิทยา. เพชรบุรี: ศูนย์หนังสือวิทยาลัยครู อุดม รุ่งเรืองศรี. (๒๕๒๔). โวหารลานนา. พิมพ์ครั้งที่ ๓ . เชียงใหม่: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.