The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรื่องที่ 1 ทุเรียน..

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-09-18 10:37:15

เรื่องที่ 1 ทุเรียน..

เรื่องที่ 1 ทุเรียน..

ทเุ รยี น

ทเุ รยี น เป็ นไมผ้ ลในวงศฝ์ ้าย (Malvaceae) ในสกลุ ทเุ รยี น
(Durio)[2][1] (ถงึ แมว้ า่ นักอนุกรมวธิ านบางคนจัดใหอ้ ยใู่ นวงศท์ เุ รยี น
(Bombacaceae)[3] กต็ าม[1]) เป็ นผลไมซ้ ง่ึ ไดช้ อื่ วา่ เป็ นราชาของผลไม ้
[4][5][6] ผลทเุ รยี นมขี นาดใหญแ่ ละมหี นามแข็งปกคลมุ ทว่ั เปลอื ก อาจมี
ขนาดยาวถงึ 30 ซม. และอาจมเี สน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางยาวถงึ 15 ซม. โดย
ทวั่ ไปมนี ้ำหนัก 1-3 กโิ ลกรัม ผลมรี ปู รถี งึ กลม เปลอื กมสี เี ขยี วถงึ น้ำตาล
เนอ้ื ในมสี เี หลอื งซดี ถงึ แดง แตกตา่ งกนั ไปตามสปีชสี ์

ทเุ รยี นเป็ นผลไมท้ มี่ กี ลน่ิ เฉพาะตวั ซง่ึ เป็ นสว่ นผสมของสารระเหยที่
ประกอบไปดว้ ยเอสเทอร์ คโี ตน และสารประกอบกำมะถนั บางคนบอก
วา่ ทเุ รยี นมกี ลน่ิ หอม ในขณะทบ่ี างคนบอกวา่ มกี ลน่ิ เหม็นรนุ แรงจนถงึ ขนั้
สะอดิ สะเอยี น ทำใหม้ กี ารหา้ มนำทเุ รยี นเขา้ มาในโรงแรมและการขนสง่
สาธารณะในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ทเุ รยี นเป็ นผลไมท้ ม่ี นี ้ำตาลสงู ทงั้
ยงั อดุ มไปดว้ ยกำมะถนั และไขมนั จงึ ไมเ่ หมาะสำหรับผปู ้ ่ วยเป็ น
เบาหวาน

ทเุ รยี นเป็ นพชื พน้ื เมอื งของบรไู น อนิ โดนเี ซยี และมาเลเซยี และเป็ น
ทรี่ จู ้ ักในโลกตะวนั ตกมาประมาณ 600 ปีมาแลว้ ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19
นักธรรมชาตวิ ทิ ยาชาวองั กฤษ อลั เฟรด รัสเซล วอลเลซ ไดพ้ รรณนาถงึ
ทเุ รยี นวา่ “เนอ้ื ในมนั เหมอื นคสั ตารด์ อยา่ งมาก รสชาตคิ ลา้ ยอาลมอนด”์
เนอื้ ในของทเุ รยี นกนิ ไดห้ ลากหลายไมว่ า่ จะหา่ ม หรอื สกุ งอม ในเอเชยี
ตะวนั ออกเฉยี งใตม้ กี ารนำทเุ รยี นมาทำอาหารไดห้ ลายอยา่ ง ทงั้ เป็ น
อาหารคาวและอาหารหวาน แมแ้ ตเ่ มล็ดกย็ งั รับประทานไดเ้ มอ่ื ทำใหส้ กุ

30 ชนดิ มอี ยา่ งนอ้ ย 9 ชนดิ ทร่ี ับประทานได ้แตม่ เี พยี ง Durio
zibethinus เพยี งชนดิ เดยี วเทา่ นัน้ ทไ่ี ดร้ ับความนยิ มทว่ั โลก จนมตี ลาด
เป็ นสากล ในขณะทเุ รยี นชนดิ ทเ่ี หลอื มขี ายแคใ่ นทอ้ งถน่ิ เทา่ นัน้ ทเุ รยี น
มสี ายพันธปุ์ ระมาณ 100 สายพันธใุ์ หผ้ บู ้ รโิ ภคเลอื กรับประทาน นอกจาก
นย้ี งั มรี าคาสงู อกี ดว้ ย สว่ นในประเทศไทยพบทเุ รยี นอยู่ 5 ชนดิ

ประวตั ิ

ทเุ รยี นเป็ นทร่ี จู ้ ักและบรโิ ภคในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตต้ งั้ แตย่ คุ กอ่ น
ประวตั ศิ าสตร์ แตใ่ นโลกตะวนั ตกทเุ รยี นกลบั เป็ นทรี่ จู ้ ักมาเพยี ง 600 ปี
แรกสดุ ชาวยโุ รปรจู ้ ักทเุ รยี นจากบนั ทกึ ของนกิ โกเลาะ ดา กอนตี
(Niccolò Da Conti) ผทู ้ เี่ ขา้ ไปทอ่ งเทยี่ วในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ้ น
ชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15[10] การซ์ อี า ดอื ออรต์ า (Garcia de Orta) แพทย์
ชาวโปรตเุ กสไดบ้ รรยายถงึ ทเุ รยี นใน Colóquios dos Simples e Drogas
da India (การสนทนาเกย่ี วกบั เรอ่ื งทวั่ ไปและยาจากอนิ เดยี ) ทตี่ พี มิ พใ์ น
ปี พ.ศ. 2106 ใน Herbarium Amboinense (พรรณไมจ้ ากอมั บน) ซงึ่ เขยี น
ขนึ้ โดยนักพฤกษศาสตรช์ าวเยอรมนั เกออรค์ เอเบอรฮ์ ารท์ รมุ ฟียสุ
(Georg Eberhard Rumphius) ซงึ่ ตพี มิ พใ์ นปี พ.ศ. 2284 มหี วั ขอ้ เกย่ี วกบั
ทเุ รยี นทมี่ รี ายละเอยี ดมาก สกลุ ทเุ รยี น (Durio) มอี นุกรมวธิ านทซี่ บั ซอ้ น
เห็นไดจ้ ากการลบและการเพมิ่ พชื หลาย ๆ ชนดิ ลงไปในสกลุ นต้ี งั้ แตร่ มุ
ฟียสุ ตงั้ สกลุ ทเุ รยี นขน้ึ มา[11] ชว่ งแรกของการศกึ ษาอนุกรมวธิ านของ
ทเุ รยี นนัน้ มคี วามสบั สนระหวา่ งทเุ รยี นกบั ทเุ รยี นเทศเป็ นอยา่ งมาก
เพราะผลของทงั้ สองชนดิ นเ้ี ป็ นผลไมส้ เี ขยี วมหี นามเหมอื นกนั [10] มี
บนั ทกึ ทนี่ ่าสนใจทวี่ า่ ชอื่ ภาษามลายขู องทเุ รยี นเทศคอื durian Belanda
(ดเู รยี นเบอลนั ดา) ซง่ึ แปลวา่ ทเุ รยี นดตั ช[์ 12] ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18
โยฮนั น์ อนั โทน ไวนม์ นั น์ (Johann Anton Weinmann) ไดพ้ จิ ารณา
ทเุ รยี นไปเป็ นสมาชกิ ของวงศ์ Castaneae ซง่ึ มรี ปู รา่ งคลา้ ยกบั กระจับมา้

ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 ชาวโปรตเุ กสไดน้ ำทเุ รยี นชนดิ D. zibethinus
เขา้ มาสซู่ ลิ อนและนำเขา้ มาอกี หลายครัง้ ในภายหลงั ในทวปี อเมรกิ ามี
การปลกู ทเุ รยี นเชน่ กนั แตจ่ ำกดั อยแู่ คใ่ นสวนพฤกษศาสตรเ์ ทา่ นัน้ ตน้
กลา้ ตน้ แรกถกู สง่ จากสวนพฤกษศาสตรห์ ลวงเมอื งควิ มาสโู่ อกสุ ต์
แซง็ ต-์ อารอม็อง (Auguste Saint-Arroman) แหง่ ดอมนิ กี าในปี พ.ศ.
2427[13]

ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้มกี ารเพาะปลกู ทเุ รยี นในทอ้ งถนิ่ มามาก
กวา่ ศตวรรษ ตงั้ แตช่ ว่ งหลงั ของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18 และปลกู ในเชงิ
พาณชิ ยใ์ นกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20[10] ใน My Tropic Isle (เกาะเมอื ง
รอ้ นของฉัน) ของเอ็ดมนั ด์ เจมส์ แบนฟีลด์ (Edmund James Banfield)
นักประพันธแ์ ละนักธรรมชาตวิ ทิ ยาชาวออสเตรเลยี กลา่ ววา่ ในตอนตน้
ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 เพอื่ นของเขาจากประเทศสงิ คโปรส์ ง่ เมล็ดทเุ รยี น
มาให ้เขาปลกู และดแู ลบนเกาะเขตรอ้ นของเขานอกชายฝั่งตอนเหนอื
ของรัฐควนี สแ์ ลนด[์ 14]

ในปี พ.ศ. 2492 อ.ี เจ.เอช. คอรเ์ นอร์ (E. J. H. Corner) นัก
พฤกษศาสตรช์ าวองั กฤษ ไดต้ พี มิ พ์ The Durian Theory, or the Origin
of the Modern Tree (ทฤษฎที เุ รยี นหรอื ตน้ กำเนดิ ของตน้ ไมย้ คุ ใหม)่
ทฤษฎขี องเขากลา่ วถงึ การแพรก่ ระจายเมล็ดพันธโุ์ ดยสตั ว์ (เป็ นการลอ่
ใหส้ ตั วเ์ ขา้ มากนิ ผลและลำเลยี งเมล็ดไปในกระเพาะของสตั ว)์ เกดิ ขนึ้

กอ่ นวธิ อี นื่ ในการแพรก่ ระจายเมล็ดพันธุ์ และบรรพบรุ ษุ ดงั้ เดมิ ของสกลุ
ทเุ รยี นไดใ้ ชว้ ธิ นี ใ้ี นการแพรก่ ระจายเมล็ดพันธเุ์ ป็ นวธิ แี รกสดุ โดยเฉพาะ
ในทเุ รยี นแดงทเ่ี ป็ นตวั อยา่ งผลไมโ้ บราณของพชื ดอก[15]

ตงั้ แตช่ ว่ งตน้ ของชว่ งปี พ.ศ. 2533 ความตอ้ งการทเุ รยี นภายใน
ประเทศและในระดบั สากลในพน้ื ทข่ี องสมาคมประชาชาตแิ หง่ เอเชยี
ตะวนั ออกเฉยี งใตเ้ พมิ่ ขน้ึ อยา่ งมาก บางสว่ นนัน้ เกดิ จากความมงั่ คง่ั ที่
เพมิ่ ขนึ้ ในเอเชยี [10]

ประวตั ทิ เุ รยี นในประเทศ
ไทย

ในหนังสอื เกยี่ วกบั ประเทศไทยสมยั อยธุ ยา ทเี่ ขยี นขนึ้ โดยซมี ง เดอ
ลา ลแู บร์ (Simon de la Loubère) หวั หนา้ คณะราชทตู จากประเทศ
ฝร่ังเศสในสมยั นัน้ ตพี มิ พเ์ มอ่ื พ.ศ. 2336 ตอนหนง่ึ ไดร้ ะบเุ รอ่ื งเกย่ี วกบั
ทเุ รยี นไวว้ า่ “ดเู รยี น (Durion) หรอื ทชี่ าวสยามเรยี กวา่ “ทลู เรยี น”
(Tourrion) เป็ นผลไมท้ น่ี ยิ มกนั มากในแถบน.ี้ ..”[16]

จากหลกั ฐานดงั กลา่ ว แสดงใหเ้ ห็นวา่ มกี ารปลกู ทเุ รยี นในภาคกลาง
ของประเทศไทยตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยา สว่ นจะเขา้ มาจากทไ่ี หน และโดยวธิ ี
ใด ไมป่ รากฏหลกั ฐาน แตน่ ่าเชอ่ื ถอื ไดว้ า่ เป็ นการนำมาจากภาคใตข้ อง
ประเทศไทยน่ันเอง[16]

ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ พระยาแพทยพ์ งศาวสิ ทุ ธาธบิ ดี (สนุ่ สนุ ทรเวช)
ไดก้ ลา่ วถงึ การแพรก่ ระจายพันธขุ์ องทเุ รยี นจากจังหวดั นครศรธี รรมราช

มายงั กรงุ เทพมหานคร ตงั้ แตป่ ระมาณ พ.ศ. 2318 ในระยะตน้ เป็ นการ
ขยายพันธดุ์ ว้ ยเมล็ดและพัฒนามาเป็ นการปลกู ดว้ ยกง่ิ ตอน จากพันธดุ์ ี 3
พันธุ์ คอื อบี าตร ทองสกุ และการะเกด สำหรับผทู ้ หี่ ากง่ิ ตอนจากพันธดุ์ ี
ทงั้ 3 พันธไุ์ มไ่ ด ้จงึ ใชเ้ มล็ดจากทงั้ 3 พันธนุ์ ัน้ ปลกู ทำใหเ้ กดิ ทเุ รยี น
ลกู ผสมขนึ้ มากมาย ซงึ่ รายชอ่ื พันธทุ์ เุ รยี นเทา่ ทร่ี วบรวมไดจ้ ากเอกสาร
ได ้มถี งึ 227 พันธ[ุ์ 16]

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ทเุ รยี นเป็ นไมผ้ ลยนื ตน้ ไมผ่ ลดั ใบ ลำตน้ ตรง สงู 25-50 เมตรขนึ้ กบั
ชนดิ [10] แตกกง่ิ เป็ นมมุ แหลม ปลายกงิ่ ตงั้ กระจายกง่ิ กลางลำตน้ ขนึ้ ไป
เปลอื กชนั้ นอกของลำตน้ สเี ทาแก่ ผวิ ขรขุ ระหลดุ ลอกออกเป็ นสะเกด็ ไม่
มยี าง ใบเป็ นใบเดยี่ ว เกดิ กระจายทว่ั กงิ่ เกดิ เป็ นคอู่ ยตู่ รงกนั ขา้ มระนาบ
เดยี วกนั กา้ นใบกลมยาว 2–4 ซม. แผน่ ใบรปู ไขแ่ กมขอบขนานปลายใบ
ใบเรยี วแหลม ยาว 10-18 ซม. ผวิ ใบเรยี บลน่ื มไี ขนวล ใบดา้ นบนมสี ี
เขยี ว ทอ้ งใบมสี นี ้ำตาลเสน้ ใบดา้ นลา่ งนูนเดน่ ขอบใบเรยี บ ดอกเป็ น
ดอกชอ่ มี 3-30 ชอ่ บนกง่ิ เดยี วกนั เกดิ ตามลำตน้ และกง่ิ กา้ นยาว 1–2

ซม. ลกั ษณะดอกสมบรู ณเ์ พศ มกี ลบี เลยี้ งและมกี ลบี ดอก 5 กลบี (บาง
ครัง้ อาจมี 4 หรอื 6 กลบี ) มสี ขี าวหอม ลกั ษณะดอกคลา้ ยระฆงั มชี ว่ ง
เวลาออกดอก 1-2 ครัง้ ตอ่ ปี ชว่ งเวลาออกดอกขนึ้ กบั ชนดิ สายพันธุ์ และ
สถานทปี่ ลกู เลย้ี ง โดยทวั่ ไปทเุ รยี นจะใหผ้ ลเมอ่ื มอี ายุ 4-5 ปี โดยจะออก
ตามกงิ่ และสกุ หลงั จากผสมเกสรไปแลว้ 3 เดอื น ผลเป็ นผลสดชนดิ ผล
เดย่ี ว อาจยาวมากกวา่ 30 ซม. เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางอาจยาวกวา่ 15 ซม. มี
น้ำหนัก 1-3 กก.[10] เป็ นรปู รถี งึ กลม เปลอื กทเุ รยี นมหี นามแหลมเมอ่ื แก่
ผลมสี เี ขยี ว เมอ่ื สกุ มสี นี ้ำตาลออ่ น แตกตามแตล่ ะสว่ นของผลเรยี กเป็ นพู
เนอ้ื ในมตี งั้ แตส่ เี หลอื งออ่ นถงึ แดง ขน้ึ กบั ชนดิ [10] เนอ้ื ในจะนม่ิ กงึ่ ออ่ น
กง่ึ แข็ง มรี สหวาน เมล็ดมเี ยอ่ื หมุ ้ กลมรี เปลอื กหมุ ้ สนี ้ำตาลผวิ เรยี บ เนอ้ื
ในเมล็ดสขี าว รสชาตฝิ าด

การขยายพันธุ์

ดอกทเุ รยี นมขี นาดใหญ่ ออ่ นนุ่ม และมนี ้ำตอ้ ยมาก มกี ลนิ่ แรง เปรยี้ ว
เหมอื นเนย โดยทว่ั ไปเกสรจะผสมโดยคา้ งคาวบางชนดิ ทก่ี นิ น้ำตอ้ ยและ
เรณู[17] จากการศกึ ษาในประเทศมาเลเซยี ในชว่ งปี พ.ศ. 2513 การผสม

เกสรของทเุ รยี นเกอื บทงั้ หมดเกดิ จากคา้ งคาวผลไมถ้ ้ำ (Eonycteris
spelaea)[10] แตก่ ารศกึ ษาในปี พ.ศ. 2539 ในทเุ รยี น 2 ชนดิ คอื D.
grandiflorus และ D. oblongus เกสรผสมโดยนกกนิ ปลี สว่ น D.
kutejensis ผสมโดยผงึ้ หลวง, นก และ คา้ งคาว[18] ในการปลกู เลย้ี งเพอื่
การคา้ นยิ มขยายพันธดุ์ ว้ ยการเสยี บยอด[19]

การเพาะปลกู และการคา้

ทเุ รยี นเป็ นพชื พน้ื เมอื งของอนิ โดนเี ซยี , มาเลเซยี และบรไู น แต่
สำหรับแนวคดิ ทวี่ า่ ทเุ รยี นเป็ นพชื พน้ื เมอื งของฟิลปิ ปินสด์ ว้ ยหรอื ไมน่ ัน้

ยงั คงเป็ นทโี่ ตแ้ ยง้ กนั อย[ู่ 10] ทเุ รยี นนัน้ ขน้ึ ไดด้ ใี นดนิ รว่ นซยุ หรอื ดนิ รว่ น
ปนทราย ชอบแสงแดด ชอบน้ำปานกลาง สามารถเจรญิ เตบิ โตในพน้ื ทๆี่
มภี มู อิ ากาศแบบรอ้ นชนื้ และจะชะงักหยดุ เจรญิ เตบิ โตเมอ่ื อณุ หภมู เิ ฉลย่ี
ต่ำกวา่ 22 °C (72 °F)[11] ทเุ รยี นจะใหผ้ ลผลติ หลงั การปลกู 5-6 ปี ชว่ ง
อายทุ ใี่ หผ้ ลผลติ สงู ประมาณ 10 ปีขน้ึ ไป

ศนู ยก์ ลางความหลากหลายทางระบบนเิ วศของทเุ รยี นนัน้ อยทู่ ่ี
เกาะบอรเ์ นยี ว ซงึ่ มที เุ รยี นรับประทานไดอ้ ยา่ ง D. zibethinus, D. dulcis,
D. graveolens, D. kutejensis, D. oxleyanus และ D. testudinarum ซงึ่ มี

ขายเฉพาะในตลาดทอ้ งถน่ิ เทา่ นัน้ ในบรไู น ทเุ รยี นชนดิ D. zibethinus
ไมม่ กี ารปลกู เชงิ การคา้ เพราะผบู ้ รโิ ภคนยิ มรับประทานทเุ รยี นชนดิ อนื่
มากกวา่ อยา่ งชนดิ D. graveolens, D. kutejensis และ D. oxleyanus ชนดิ
เหลา่ นมี้ กี ารกระจายพันธทุ์ วั่ บรไู นรว่ มกบั ชนดิ อนื่ ๆ อยา่ ง D.
testudinarum และ D. dulcis ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความหลากหลายทาง
ระบบนเิ วศทส่ี งู มาก[26]

ถงึ แมว้ า่ ทเุ รยี นจะไมม่ ถี นิ่ กำเนดิ ในไทยแตก่ ส็ ามารถปลกู ไดใ้ นทกุ
พน้ื ทข่ี องประเทศ ประเทศไทยเป็ นหนงึ่ ในผสู ้ ง่ ออกหลกั ในการสง่ ออก
ทเุ รยี น จากผลผลติ 781,000 ตนั ทผี่ ลติ ไดใ้ นประเทศไทย จากผลผลติ
รวมทว่ั โลก 1,400,000 ตนั และในปี พ.ศ. 2542 มกี ารสง่ ออกถงึ 111,000
ตนั [27] ประเทศมาเลเซยี และประเทศอนิ โดนเี ซยี เป็ นอนั ดบั รองลงมา
แตล่ ะประเทศมผี ลผลติ ประมาณ 265,000 ตนั ซงึ่ ในจำนวนน้ี มาเลเซยี
สง่ ออกผลผลติ 35,000 ตนั [27] ในประเทศไทย จังหวดั จันทบรุ มี กี ารจัด
งานมหกรรมทเุ รยี นโลกในตน้ เดอื นพฤษภาคมทกุ ปี แคเ่ พยี งจันทบรุ ี
จังหวดั เดยี วกม็ ผี ลผลติ ถงึ ครง่ึ หนง่ึ ของผลผลติ รวมในประเทศไทย
[28][29] ในประเทศฟิลปิ ปินส์ ศนู ยก์ ลางการปลกู ทเุ รยี นอยทู่ จ่ี ังหวดั
ดาเวา เทศกาลคาดายาวนั (Kadayawan) เป็ นการเฉลมิ ฉลองประจำปีใน
เมอื งดาเวาทม่ี สี งิ่ ทเี่ ป็ นลกั ษณะเดน่ ของเมอื งอยา่ งทเุ รยี นรวมอยดู่ ว้ ย
สถานทอ่ี น่ื ทม่ี กี ารปลกู ทเุ รยี นกม็ ี กมั พชู า, ลาว, เวยี ดนาม, พมา่ , อนิ เดยี ,
ศรลี งั กา, แครบิ เบยี น, รัฐฟลอรดิ า, รัฐฮาวาย, ปาปัวนวิ กนิ ,ี โพลนิ เี ซยี ,
มาดากสั การ,์ ตอนใตข้ องจนี (เกาะไหหลำ), ตอนเหนอื ของออสเตรเลยี ,
และสงิ คโปร์

มกี ารนำทเุ รยี นเขา้ สอู่ อสเตรเลยี ในตอนตน้ ของชว่ งปี พ.ศ. 2503 และ
มกี ารนำเขา้ ตน้ พันธุ์ (ขยายพันธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ) ครัง้ แรกในปี พ.ศ.
2518 มกี ารนำทเุ รยี นชนดิ D. zibethinus มากกวา่ 30 พันธแุ์ ละทเุ รยี น 6
ชนดิ เขา้ มาในประเทศออสเตรเลยี หลงั จากนัน้ [30] ประเทศจนี เป็ น
ประเทศผนู ้ ำเขา้ หลกั มกี ารซอื้ ถงึ 65,000 ตนั ในปี พ.ศ. 2542 ตามมาดว้ ย
ประเทศสงิ คโปร์ 40,000 ตนั และประเทศไตห้ วนั 5,000 ตนั ในปีเดยี วกนั
สหรัฐอเมรกิ ามกี ารนำเขา้ ทเุ รยี น 2,000 ตนั สว่ นมากอยใู่ นรปู แบบแชเ่ ย็น
และประชาคมยโุ รปมกี ารนำเขา้ 500 ตนั [27]

ทเุ รยี นเป็ นผลไมท้ มี่ ผี ลผลติ เป็ นฤดกู าล ไมเ่ หมอื นผลไมเ้ มอื งรอ้ นอนื่
ๆ อยา่ งเชน่ มะละกอ ซงึ่ หาทานไดต้ ลอดปี ในมาเลเซยี ตะวนั ตกและ

สงิ คโปร์ ปกตแิ ลว้ ฤดกู าลของทเุ รยี นจะอยเู่ ดอื นมถิ นุ ายนถงึ สงิ หาคม ซง่ึ
ตรงกบั มงั คดุ [10] ในไทยฤดกู าลของทเุ รยี นในภาคตะวนั ออก คอื เดอื น
เมษายนถงึ มถิ นุ ายน และภาคใตค้ อื เดอื นมถิ นุ ายนถงึ สงิ หาคม ทเุ รยี นจะ
มรี าคาสงู กวา่ เมอ่ื เทยี บกบั ผลไมช้ นดิ อนื่ เชน่ ในสงิ คโปร์ ซงึ่ มคี วาม
ตอ้ งการในทเุ รยี นสายพันธทุ์ ม่ี คี ณุ ภาพสงู เชน่ D24 เป็ นตน้ มผี ลใหร้ าคา
ทวั่ ไปอยทู่ ี่ S$8 ถงึ S$15 (192-360 ฿) ตอ่ กโิ ลกรัม เมอื่ ชง่ั ทงั้ ผล[22] หรอื
เมอื่ เฉลยี่ น้ำหนักประมาณ 1.5 กก. ผลทเุ รยี นหนง่ึ ผลจะมรี าคา S$12 ถงึ
S$22 (288-528฿)[22] สว่ นทร่ี ับประทานไดข้ องทเุ รยี นนัน้ คอื เยอื่ หมุ ้
เมล็ดหรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ “เนอื้ ” หรอื “พ”ู ซง่ึ มนี ้ำหนักเพยี ง 15-30% ของ
น้ำหนักรวมของผล[10] แตถ่ งึ กระนัน้ ผบู ้ รโิ ภคจำนวนมากในสงิ คโปรก์ ็
ยงั เต็มใจทจี่ ะจา่ ยเงนิ ราว ๆ S$75 (1,800฿) ในการซอ้ื ทเุ รยี นหนง่ึ ครัง้
จำนวนครงึ่ โหลเพอื่ ไปแบง่ กนั ทานในครอบครัว[22]
ในฤดกู าลของทเุ รยี นนัน้ สามารถพบทเุ รยี นไดใ้ นซเู ปอรม์ ารเ์ กต็ ของชาว
ญปี่ ่ นุ เป็ นหลกั ขณะทท่ี างตะวนั ตกสว่ นมากจะขายในตลาดของชาว
เอเชยี

พชื สงวน

ทเุ รยี นเป็ นหนงึ่ ในพชื สงวน 11 ชนดิ ตามพระราชบญั ญัตพิ ันธพุ์ ชื พ.ศ.
2518 และฉบบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 ในมาตรา 30 กำหนด
ไวว้ า่ หา้ มมใิ หผ้ ใู ้ ดสง่ ออกซง่ึ พชื สงวน เวน้ แตไ่ ดร้ ับอนุญาตเป็ นหนังสอื
จากรัฐมนตรี และเฉพาะเพอื่ ประโยชนใ์ นการทดลอง หรอื วจิ ัยในทาง

วชิ าการเทา่ นัน้ ผใู ้ ดฝ่ าฝื นตอ้ งระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ สามปี หรอื ปรับไม่
เกนิ สพี่ ันบาท หรอื ทงั้ จำทงั้ ปรับ[31] ทงั้ นเ้ี นอ่ื งมาจากเกรงวา่ หากพันธุ์
พชื ทดี่ เี หลา่ นถ้ี กู นำไปปลกู ในตา่ งประเทศแลว้ กจ็ ะกลบั มาเป็ นคแู่ ขง่
ทางการคา้ ได[้ 32]
















Click to View FlipBook Version