กฎหมายสำ หรับ รั ครู
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)เล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อใช้เป็นตำ ราประกอบรายวิชา PC62501 คุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าและเรียบ เรียงจากตำ รา บทความเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายสำ หรับครู โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจตลอดจนประยุกต์ใช้ความรู้ทั้งทางทฤษฎีและวิธีปฏิบัติพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น เนื้อหาของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้มีขอบเขต โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 บท ประกอบ ด้วย ความหมายและความสำ คัญของกฎหมายสำ หรับครูหรือกฎหมายการศึกษา พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2)พ.ศ.2545 พระราชบัญญัติการ ศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547(หมวด6) ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ระเบียบว่าด้วย การแต่งกายของครู คำ นำ 28 พฤศจิกายน 2565
สารบัญ เรื่อง หน้า คำ นำ ก สารบัญ ข บทที่ 9 กฎหมายสำ หรับครู 1 ความหมายและความสำ คัญของกฎหมายสำ หรับครูหรือกฎหมายการศึกษา 1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2)พ.ศ.2545 2 พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 13 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 (หมวด6) 16 ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาพ.ศ.2548 22 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา 26 ระเบียบว่าด้วยการแต่งกายของครู 28 บทสรุป 32 บรรณานุกรม ค
กฎหมายสำ หรับครู ความหมายของกฎหมายสำ หรับครูหรือกฎหมายการศึกษา สุธาบดี สัตตบุศย์ (2525:11) ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายไว้ว่า กฎหมาย หมายถึง “กฎเกณฑ์ทั้งหลายซึ่งใช้บังคับความประพฤติของมนุษย์ระหว่างกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และกฎดังกล่าวสภาพบังคับโดยรัฐ อธิปไตยผู้ใดฝ่าฝืนย่อมถูกลงโทษ” กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่รัฐกำ หนดขึ้น เพื่อบังคับให้มีการประพฤติปฏิบัติ ตาม หากผู้ใดละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามก็จะได้รับโทษ กฎหมายคือเครื่องมือ ของรัฐในการดำ เนินงานด้านต่าง ๆ และเป็นเรื่องที่มี ความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำ วันและการดำ เนินงานของทุกคน โดยเฉพาะผู้มีหน้า ที่เกี่ยวกับการจัด การศึกษา ย่อมต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำ เนิน งานด้วย
องค์ประกอบของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2พ.ศ.2545) มีทั้งหมด 9 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 บททั่วไป (ความมุ่งหมายและหลัก การ) หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา หมวด 3 ระบบการศึกษา หมวด 4 แนวการ จัดการศึกษา หมวด 5 การบริหารและการจัดการศึกษา หมวด 6 มาตรฐานและการประกัน คุณภาพการศึกษา หมวด 7 ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา หมวด 8ทรัพยากร และการลงทุนเพื่อการศึกษาหมวด9เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาแลบทเฉพาะกาล รวมทั้งหมด 78 มาตราซึ่งเนื้อหาของบทบัญญัติต่างๆสาระสำ คัญของแต่ละหมวด มีดังนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2) พ.ศ.2542 หมวด 1 บททั่วไป ( มาตรา 6 - มาตรา 9 ) บัญญัติเกี่ยวกับความมุ่งหมายและหลัก การ 1.1 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำ รงชีวิตสามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำ นึกที่ถูกต้องเกี่ยว กับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ มีเสรีภาพความเคารพ กฎหมาย ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจน อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่ง ตนเองมีความริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง 1.2 การจัดการศึกษาให้ยึดหลัก ดังนี้ 1.2.1 เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำ หรับประชาชน 1.2.2 ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา 1.2.3 การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 2
1.3 การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลัก ดังนี้ 1.3.1 มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ 1.3.2 มีการกระจายอำ นาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.3.3 มีการกำ หนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภท การศึกษา 1.3.4 มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนา ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 1.3.5 ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา 1.3.6 การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น หมวด 2 สิทธิแธิละหน้าน้ที่ท ที่ างการศึกษา ( มาตรา 10 - มาตรา 14 ) 2.1 การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ น้อยกว่าสิบสิงปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 2.1.1 การจัดการศึกษาสำ หรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นพิเศษ 2.1.2 การศึกษาสำ หรับคนพิการ ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และ ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำ นวยความสะดวกสื่อบริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดในกฎกระทรวงต่อการจัดการศึกษาสำ หรับบุคคลซึ่งมีความ สามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดยคำ นึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น 2.2 บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษา ภาคบังคับตามมาตรา ๑๗ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนให้ได้รับการศึกษานอกเหนือจาก การศึกษาภาคบังคับตามความพร้อมของครอบครัว 3
2.3 นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กร ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น มี สิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎกระทรวง 2.4 บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ ดังต่อไปนี้ 2.4.1 การสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและการให้การศึกษา แก่บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล 2.4.2 เงินอุดหนุนจากรัฐสำ หรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความ ดูแลที่ครอบครัวจัดให้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำ หนด 2.4.3 การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำ หรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมายกำ หนด 2.5 บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ซึ่งสนับสนุนหรือจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีสิทธิได้รับ สิทธิประโยชน์ตามควรแก่กรณี 2.5.1 การสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูบุคคลซึ่งอยู่ในความ ดูแลรับผิดชอบ 2.5.2 เงินอุดหนุนจากรัฐสำ หรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายกำ หนด 2.5.3การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำ หรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมายกำ หนดหมวด3 ระบบการศึกษา ( มาตรา 15 - มาตรา 21 ) 4
หมวด 3 ระบบการศึกษา ( มาตรา 15 - มาตรา 21 ) 3.1 การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการ ศึกษาตามอัธยาศัย 3.1.1 การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำ หนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะ เวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำ เร็จการศึกษาที่ แน่นอน 3.1.2 การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำ หนด จุดมุ่งหมาย รูป แบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไข สำ คัญของการสำ เร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้อง กับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม 3.1.3 การศึกษาตามอัธยาศัยเป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพ แวดล้อม สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่นๆ สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ให้มีการ เทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ ไม่ว่า จะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือจากประสบการณ์การทำ งาน 3.2 การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาระดับ อุดมศึกษา 3.2.1 การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับ อุดมศึกษา การแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎ กระทรวง 3.2.2 การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็นสองระดับ คือ ระดับต่ำ กว่าปริญญา และระดับ ปริญญา การแบ่งระดับหรือการเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย ให้เป็น ไปตามที่กำ หนดในกฎกระทรวง 5
3.3 ให้มีการศึกษาภาคบังคับจำ นวนเก้าปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์ และวิธีการนับอายุให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎกระทรวง 3.4 การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานให้จัดในสถานศึกษาดังต่อไปนี้ 3.4.1 สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ ของสถาบันศาสนา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของเด็กพิการและเด็กซึ่งมีความต้องการพิเศษ หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เรียกชื่ออย่างอื่น 3.4.2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่น 3.4.3 ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้ จัด 3.5 การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัยหรือหน่วยงานที่เรียก ชื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวกับสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา กฎหมายว่าด้วยการจัด ตั้งสถานศึกษานั้นๆและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3.6 การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐสถานศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ ทั้งนี้ให้เป็นไป ตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3.7 กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตาม ความต้องการและความชำ นาญของหน่วยงานนั้นได้ โดยคำ นึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของ ชาติ ดังนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำ หนดในกฎกระทรวง หมวด 4 แนวการจัดจัการศึกษา ( มาตรา 22 - มาตรา 30 ) 4.1 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำ คัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มศักยภาพ 6
4.2 การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำ คัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม ของแต่ระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ 4.2.1 ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองและสังคมได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและ ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4.2.2ความรู้ด้านทักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ เรื่องการจัดการการบำ รุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง สมดุลยั่งยืน 4.2.3 ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทยและการประยุกต์ ใช้ภูมิปัญญา 4.2.4 ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษอย่างถูกต้อง 4.2.5 ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพและการดำ รงชีวิตอย่างมีความสุข 4.3 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำ เนินการจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำ นึงถึงความแตก ต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ และการ ประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทำ ได้ คิดเป็น ทำ เป็น รักการอ่านและเกิดความรู้อย่างต่อเนื่อง 4.4 รัฐต้องส่งเสริมการดำ เนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกศาสตร์ อุทยาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ 4.5 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ ประพฤติการสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการ เรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา 7
4.6ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำ หนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อ ความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของชาติ การดำ รงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจน เพื่อการศึกษาต่อให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำ สาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ ในวรรคหนึ่ง 4.7 หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสำ หรับบุคคลตามมาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ต้องมีลักษณะหลากหลายตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้าน ความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงามและความรับผิดชอบ สำ หรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่งและวรรคสอง แล้ว ยังมีความมุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพขั้นสูงและการค้นคว้า วิจัย เพื่อ พัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาสังคม 4.8 ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบัน สังคมอื่น ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการ จัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ข้อมูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรร ภูมิปัญญาและ วิทยาการต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธี การสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์พัฒนาระหว่างชุมชน 4.9 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งการส่งเสริม ให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา หมวด 5 การบริหริารและการจัดจัการศึกษาของรัฐรั ( มาตรา 31 – 46 ) 5.1 กระทรวงมีอำ นาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำ กับดูแลการศึกษาทุกระดับและ ทุกประเภทกำ หนดนโยบายแผนและมาตรฐานการศึกษาสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ส่งเสริมและประสานงานการศาสนาศิลปะวัฒนะธรรมและทรัพยากรเพื่อการศึกษารวมทั้งการ ติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาและราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำ หนดให้ เป็นอำ นาจหน้าที่ของกระทรวงหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวง 8
5.2 การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงให้มีองค์กรหลักที่เป็นคณะบุคคลในรูปสภาหรือ ในรูปคณะกรรมการจำ นวนสี่องค์กรได้แก่สภาการศึกษาคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคณะ กรรมการอาชีวศึกษาและคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือให้คำ แนะนำ แก่รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีและมีอำ นาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำ หนด 5.2.1 สำ นักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่พิจารณาเสนอแผนการศึกษา แห่งชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและกีฬากับการศึกษาทุกระดับสนับสนุน ทรัพยากรเพื่อการศึกษาและให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายและกฎกระทรวงในพระราชบัญญัติ ดังนี้ 5.2.2 คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนามาตรฐาน และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติการสนับสนุนทรัพยากรการติดตามตรวจสอบและการประเมิน ผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 5.2.3คณะกรรมการอาชีวศึกษามีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนามาตรฐานและ หลักสูตรการอาชีวศึกษาทุกระดับที่สอดคล้องกับความต้องการ ตามแผนพนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติการส่งเสริมประสานงานการจัดการอาชีวศึกษาของรัฐ และเอกชนการสนับสนุนทรัพยากรการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการอาชีวศึกษา โดยคำ นึงถึงคุณภาพและความเป็นเลิศทางวิชาชีพ 5.2.4 คณะกรรมการอุดมศึกษามีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนาและมาตรฐานการ อุดมศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ แผนการศึกษาแห่งชาติการสนับสนุนทรัพยากรการติดตามตรวจสอบและการประเมินผลการ จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาโดยคำ นึงถึงความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของ สถานศึกษาระดับปริญญา 5.3 การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำ นึงถึงปริมาณ สถานศึกษาจำ นวนประชากรวัฒนธรรมและความเหมาะสมโดยเช่นการจัดในรูปแบบการศึกษา นอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยในการจัดการศึกษาทางไกลสำ หรับบุคคลที่มีความสามารถ พิเศษและการจัดการศึกษาสำ หรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางกายจิตใจสติปัญญาอารมณ์การ ศึกษาหรือมีร่างกายพิการทุรพลภาพ 5.4 การบริหารการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิจัดการศึกษาในระดับใด ระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อมความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่นโดย สอดคล้องกับนโยบายงบประมาณอุดหนุนและมาตรฐานการศึกษาที่กระทรวงกำ หนด 9
5.5 การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชนให้มีการกำ กับติดตามการประเมินคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาจากรัฐและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพและมาตรฐานศึกษา เช่นเดียวกับการสถานศึกษาของรัฐเป็นนิติบุคคลสามารถจัดการศึกษาได้ทุกระดับทุกประเภทการ ศึกษาตามที่กฎหมายกำ หนดโดยรัฐกำ หนดนโยบายและมาตรฐานการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วน ร่วมของเอกชนในด้านการศึกษาการจัดการศึกษาโดยเฉพาะในระดับปริญญาดำ เนินกิจการได้โดย อิสระสามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเองมีความคล่องตัวมีเสรีภาพวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำ กับดูแลของสภาสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนรัฐ ต้องให้การสนับสนุนด้านเงินอุดหนุนการลดยอลหรือการยกเว้นภาษีและสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่ เป็นประโยชน์ในการทางการศึกษาแก่สถานศึกษาเอกชนตามความเหมาะสมรวมทั้งส่งเสริมและ สนับสนุนด้านวิชาการให้สถานศึกษาเอกชนมีมาตรฐานและสามารถพึ่งตนเองได้จำด้จำนวนกรรมการ คุณสมบัติหลักเกณฑ์วิธีการสรรหาการเลือกประธานกรรมการและกรรมการวาระการดำ รงตำ แหน่ง และการพ้นจากตำ แหน่งให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎกระทรวง หมวด 6 มาตรฐานและการประกันกัคุณคุภาพการศึกษา ( มาตรา 47 – 51 ) 6.1 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาทุกระดับคือ ระบบการประกันคุณภาพภายในและระบบการประกันคุณภาพภายนอกโดยมีสำ นักงานรับรอง มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาเป็นองค์การมหาชนทำ หน้าที่พัฒนาเกณฑ์วิธีการประเมิน คุณภาพภายนอกและประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 6.2 การประกันคุณภาพภายในให้สถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในซึ่งถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษาที่ต้องดำ เนินงานอย่างต่อเนื่องมีการจัดการทำ รายงานประจำ ปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยต่อสาธารณะชนเพื่อนำ ไปสู่การพัฒนา คุณภาพและฐานการศึกษาและรองรับการประกันคุณภาพภายนอกต่อไป 10
6.3 การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาต้องให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสาร หลักฐานต่างๆ รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องที่จะให้ข้อมูลเพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกหากในกรณีที่ผล การประเมินภายนอกไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำ หนดให้สำ นักงานรับรองมาตรฐานและการ ประเมินคุณภาพการศึกษาจัดทำ ข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้ สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำ หนดในการประเมินคุณภาพภายนอกของ สถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุก ๆ ห้าปีนับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้ายและต้อง จัดให้มีการประเมินภายนอกครั้งแรกของการศึกษาทุกแห่งภายใน 6 ปีนับแต่วันที่พระราช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2545 มีผลบังคับใช้ หมวด 7 ครูครูณาจารย์แย์ละบุคบุลากรทางการศึกษา ( มาตรา 52 - 57 ) 7.1 ส่งเสริมกระบวนการผลิตการพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาครูประจำ การ ให้มีคุณภาพและบริการที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพขั้นสูงโดยจัดตั้งองค์กรอิสระคุณรับผิด ชอบโดยเฉพาะมีการจัดสรรงบประมาณและจัดตั้งกองทุนพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากร ทางการศึกษา 7.2 มีองค์กรวิชาชีพครูทำ หน้าที่กำ หนดมาตรฐานวิชาชีพออกและเพิกถอนใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพและพัฒนาวิชาชีพครูผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารทางการศึกษายกเว้นผู้ ที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัยผู้บริหารการศึกษาระดับเนื้อเขตพื้นที่การศึกษาวิทยากรพิเศษและ บุคลากรทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 7.3 การบริหารงานบุคคลยึดหลักกระจายอำ นาจสู่เขตพื้นที่การศึกษาและมีกฎหมายว่าด้วย เงินเดือนค่าตอบแทนที่เหมาะสมรวมทั้งกองทุนส่งเสริมผู้สร้างสรรค์ผลงานดีเด่นรางวัลเชิดชู เกียรติคุณ 7.4 การพัฒนามาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพให้กับคณาจารย์และบุคลากรทางการ ศึกษาและนอกจากนี้หน่วยงานทางการศึกษาระดับทรัพยากรบุคคลในชุมชนมีส่วนร่วมในการ จัดการศึกษาโดยนำ ประสบการณ์ความรอบรู้ความชำ นาญและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเพื่อใช้ ประโยชน์ทางการศึกษาและยกย่องเชิดชูผู้ที่ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา 11
หมวด 8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ( มาตรา 58 – 62) 8.1 ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณการเงินและทรัพย์สินทั้งจากร้านเอกชนบุคคล และองค์กรต่างๆมาใช้จัดการศึกษาโดยการจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษาและระดมทรัพยากรโดยการใช้ มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีตามความเหมาะสมและเป็นไปตามกฎหมาย 8.2 ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลมีอำ นาจปกครองดูแลและจัดการผลประโยชน์จากทรัพย์สินราย ได้จากการบริหารและเก็บค่าทำ เนียมการศึกษาที่ไม่ขัดแย้งกับภารกิจหลับอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษา ของรัฐได้มาทั้งจากผู้อุทิศให้หรือซื้อหรือแลกเปลี่ยนจากรายได้ของสถานศึกษาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถาน ศึกษาบรรดารายได้และผลประโยชน์ต่างๆของสถานศึกษาของรัฐดังกล่าวไม่เป็นไปตามรายได้ที่ต้องส่ง กระทรวงการคลังสถานศึกษาของรัฐที่ไม่เป็นนิติบุคคลสามารถนำ รายได้และผลประโยชน์ต่างๆค่าใช้จ่าย ในการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้นนั้นได้ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำ หนด 8.3 รัฐศาสตร์งบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาโดยจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลแก่ผู้ เรียนภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดสรรทุนในรูปของกองทุนกู้ยืมและแก่ผู้เรียนที่มาจากครอบครัว รายได้น้อยจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายดำ เนินการตามนโยบายแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติและ ภารกิจของสถานศึกษามีอิสระในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาจัดสรรเงินอุดหนุน ทั่วไปแก่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐจัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ให้สถานศึกษาเอกชนจัดตั้งกองทุนเพื่อ พัฒนาการศึกษาและจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคลครอบครัวและองค์กรต่างๆ 8.4 ให้มีระบบตรวจสอบติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารงบประมาณใช้จ่าย งบประมาณการศึกษาสอดคล้องกับการจัดการศึกษาได้ทางการศึกษาหรือไม่ หมวด 9เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ( มาตรา63 - 69) รัฐจะต้องจัดสรรคลื่นความถี่สื่อตัวนำ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำ เป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียงและ การสื่อสารโดยอื่นเพื่อประโยชน์สำ หรับการศึกษาทุกรูปแบบ 9.2 ให้มีการพนาส่งเสริมสนับสนุนการผลิตผู้ผลิตพัฒนาผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาโดยรัฐส่งเสริม สนับสนุนให้มีขีดความสามารถในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาโดยเปิดให้มีการแข่งขัน อย่างเสรีรวมทั้งให้มีการติดตามตรวจสอบประเมินผลการใช้เทคโนโลยีมีการพัฒนาบุคคลทั้งด้านผู้ผลิตผู้ ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่เหมาะสมเพื่อให้เป็นผู้ผลิตและเป็นผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและผู้ เรียนมีสิทธิ์ 9.3 ผู้เรียนมีสิทธิ์ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหา ความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต 9.4 เราต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางทำ หน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนส่งเสริมและประสานงานวิจัย การพัฒนาและการใช้รวมทั้งการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษา 12
พระราชบัญบัญัติญักติารศึกษาภาคบังบัคับคัพ.ศ.2545 พระบาทสมเด็จพระปรมินมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเก้าโปรดกับมอมให้ ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษาพระราชบัญญัตินี้มีปลดบัญญัติ บางประการเกี่ยวกับการจำ กัดสิทธิ์และสิทธิเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 และ มาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชชนะจากไทยบัญญัติให้กระทำ ได้โดยอาศัยอำ นาจตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายจึงทรงพระกรุณาปลดเก้าโปรดกับมอมให้ตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นไว้โดยคำ แนะนำ และ ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่าพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ.2545 มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ขึ้นให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประถมศึกษาพ.ศ.2523 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้การศึกษาภาคบังคับหมายความว่าการศึกษาขั้นนี้เป็นขั้นปีที่หนึ่งชั้นปีที่ เก้าของการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ “ สถานศึกษา ”หมายความว่าสถานศึกษาที่จัดการศึกษาภาคบังคับ “ ผู้ปกครอง ” หมายความว่าบิดามารดาหรือบิดาหรือมารดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำ นาจปกครองหรือผู้ปกครอง ตามประมวลกฎหมายเพลงและพาณิชย์และหมายความรวมถึงบุคคลที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจำ หรือที่เด็ก อยู่รับใช้การงาน “ เด็ก ”หมายความว่าเด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ ๗ จนถึงอายุย่างเข้าปีที่ ๑๖ เว้นแต่เด็กที่สอบได้ชั้นปี ที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับแล้ว “ คณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ”หมายความว่าคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายขั้นพื้น ฐาน “ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ”หมายความว่าคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่า ด้วยการศึกษาแห่งชาติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหมายความว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีในสถาน ศึกษาอยู่ในสังกัด 13
“ พนักงานเจ้าหน้าที่ ” หมายความว่าผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “ รัฐมนตรี ” หมายความว่ารัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตร 5ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วแต่ละพื้นที่ประกาศรายละเอียด เกี่ยวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาและการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่างสถานศึกษาที่อยู่ใน เกณฑ์การศึกษาภาคบังคับโดยให้ปิดประกาศไว้ ณ สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษาสำ นักงานองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นและสถานศึกษารวมทั้งต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็กรับรู้ก่อนเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี มาตรา 6 ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเมื่อผู้ปกครองร้องขอให้สถานศึกษามีอำ นาจผ่อนผันให้ เด็กได้เข้าเรียนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ศึกษาขั้นพื้นฐานกำ หนด มาตรา7ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำ นาจเข้าไปสถานที่ใดใดในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นเด็กไม่ได้เข้าเรียน นักศึกษาตามมาตราให้มาตรา 5 ให้ดำ เนินการให้เด็กนั้นได้เข้าเรียนในสถานศึกษานั้นแล้วรายงานให้คณะ กรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วแต่กรณีทราบในกรณีที่ไม่สามารถดำ เนินการ ให้เด็กได้เข้าเรียนตามวรรคหนึ่งได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รายงานให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นท้องที่ที่พบเด็กแล้วแต่กรณีเพื่อดำ เนินการให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษา มาตรา 8 ในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำ ตัวแกบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องบัตรประจำ ตัวพนักงานเจ้า หน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำ หนด มาตรา 9 ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำ นวยความสะดวกตามสมควรมาตรา 10 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา อความในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย มาตรา 11 ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครองมีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำ นักงานเขตพื้นที่ การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วแต่กรณีภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่เด็กมาอาศัยอยู่เว้นแต่ผู้ ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับผู้นั้นการแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำ หนด มาตรา 12 ให้กระทรวงศึกษาธิการคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษา จัดการศึกษาเป็นพิเศษสำ หรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญาอารมณ์สังคมการสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุกพลภาพหรือเด็กซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาสหรือเด็กที่มี ความสามารถพิเศษให้ได้รับการศึกษาภาคบังคับด้วยรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมรวมทั้งการได้รับสิ่งอำ นวย ความสะดวกสื่อบริการและความช่วยเหลืออื่นใดตามความจำ เป็นเพื่อประกันโอกาสและความเสมอภาคในการได้ รับการศึกษาภาคบังคับ วามในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย 14
มาตรา13 ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตราหกต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท มาตรา14 ผู้ใดไม่อำ นวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตราเก้าต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท มาตรา 15ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรกระทำ ด้วยประการใดใดอันเป็นเหตุให้เด็กได้เรียนในสถานศึกษา ตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท มาตรา 16ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท มาตรา17ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานให้คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติทำ หน้าที่แทนคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรา18ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาให้คณะกรรมการการประถมศึกษา กรุงเทพมหานครและคณะกรรมการประถมศึกษาอำ เภอหรือคณะกรรมการประถมศึกษาอำ เภอแล้วแต่กรณีทำ หน้าที่แทนคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาและให้สำ นักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานครสำ นักงานการ ประถมศึกษาอำ เภอหรือสำ นักงานการประถมศึกษาอำ เภอแล้วแต่กรณีทำ หน้าที่แทนสำ นักงานเขตพื้นที่การ ศึกษา มาตรา19ให้บรรดากฎกระทรวงประกาศระเบียบข้อบังคับและคำ สั่งที่ออกจากตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษายังคงใช้บังคับได้ต่อไป เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา20ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้รับอำ นาจแต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่กับมีอำ นาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ประกาศนั้นเมื่อได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ อความในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย 15
หมวด 6 วินัยและการรักษาวินัย มาตรา 82 ข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องรักษาวินัยที่บัญญัติเป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติไว้ ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ มาตรา83ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องสนับสนุนการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความ บริสุทธิ์ใจและมีหน้าที่วางรากฐานให้เกิดระบอบการปกครองเช่นว่านั้น มาตรา 84ข้าราชการครูและบุคลาการทางการศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสมอภาค และเที่ยงธรรม มีความวิริยะ อุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ดูแลเอาใจใส่รักษาประโยชน์ ของทางราชการ และต้องปฏิบัติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัดห้ามมิให้ อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำ นาจและหน้าที่ราชการของตน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม หา ประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เป็นความผิดวินัยอย่าง ร้ายแรง มาตรา 85ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราบชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของ รัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนและไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ความในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ( หมวด6 ) 16
การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 86 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตาม กฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบาย ของรัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางและหน่วย งานการศึกษามติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล ประมาทเลินเล่อ หรือขาดการเอาใจใส่ ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 87 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติตามคำ สั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งใน หน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยงแต่ถ้าเห็น ว่าการปฏิบัติตามคำ สั่งนั้นจะทำ ให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทาง ราชการจะเสนอความเห็นเป็นหนังสือภายในเจ็ดวัน เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำ สั่งนั้นก็ได้และ เมื่อเสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันเป็นหนังสือปฏิบัติตามคำ สั่งเดิมผู้อยู่ใต้บังคับ บัญชาจะต้องปฏิบัติตามการขัดคำ สั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำ สั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งใน หน้าที่ราชการโดยชอบกฎหมายและระเบียบทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ อย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 88 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องตรงต่อเวลา อุทิศเวลาของตนให้แก่ทาง ราชการและผู้เรียนจะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรมได้การละทิ้งหน้าที่ หรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือการทอดทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่มีตุผลอัน สมควรโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการเป็นความผิด อย่างร้ายแรง มาตรา 89 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน ชุมชน สังคม มีความสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้เรียนและระหว่างราชการ ด้วยกันหรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ต้อนรับ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เรียนและประชาชน ผู้มาติดต่อราชการการกลั่นแกล้ง ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงผู้เรียน หรือประชาชนผู้มา ติดต่อราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง พิ่มข้อความในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย 17
มาตรา 90 ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กลั่นแกล้ง กล่าวหาหรือร้องเรียนผู้อื่นโดย ปราศจากความจริง การกระทำ ตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัย อย่างร้ายแรง มาตรา 91 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กระทำ การหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำ การหา ประโยชน์อันอาจทำ ให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำ แหน่งหน้าที่ ราชการของตน การกระทำ ตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกระธรรมโดยมีความมุ่งหมายจะให้เป้นการซื้อขายหรือให้ได้ รับตำ แหน่งหรือวิทยฐานะใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นการกระทำ อันมีลักษณะเป็นการให้ หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิประโยชน์อื่น เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับการบรรจุแต่งตั้งโดยมิ ชอบหรือเที่ยงธรรม เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 92 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทาง วิชาการของู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำ เอาผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือจ้างวานใช้ผู้อื่นทำ ผลงาน ทางวิชาการเพื่อไปใช้นำ เสนอขอปรับปรุงการกำ หนดตำ แหน่ง การเลื่อนตำ แหน่ง การเลื่อน วิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น การฝ่าฝืนหลักการดังกล่าวนี้เป็นความผิดวินัย อย่างร้ายแรง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ร่วมดำ เนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่น โดยมิชอบ หรือรับจัดผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ เพื่อให้ผู้อื่นนำ ผลงานนั้นไป ใช้ประโยชน์ในการดำ เนินการตามวรรคหนึ่ง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 93 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่เป็นกรรมการผู้จัดการหรือผู้จัดการหรือ ดำ รงตำ แหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท มาตรา 94ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติ หน้าที่ และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน โดยไม่อาศัยอำ นาจและหน้าที่ราชการ ของตนแสดงการฝักใฝ่ ส่งเสริม เกื้อกูลสนับสนุนบุคคล กลุ่มบุคคล หรือพรรคการเมืองใด 18
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำ เนินการใด ๆ อันมี ลักษณะเป็นการทุจริตโดยการซื้อสิทธิหรือขายเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้อง ถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือการเลือกตั้งอื่นที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริมการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย รวมทั้งจะต้องไม่ให้การส่งเสริม สนับสนุน หรือชักจูงผู้อื่นกระทำ การในลักษณะ เดียวกัน การดำ เนินการที่ฝ่าฝืนหลักการดังกล่าว เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 95 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษา เกียรติศักดิ์ของตำ แหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำ การใด ๆ อันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่ว การกระทำ ผิดอาญาจนได้โทษจำ คุก หรือโทษที่หนักกว่าจำ คุกโดยคำ พิพากษาถึงที่สุดให้จำ คุก หรือให้รับโทษที่หนักกว่าการจำ คุก เว้นแต่เป็นโทษที่ได้รับจากการทำ ผิดที่ได้กระทำ โดยประมาท หรือความผิดลุโทษ หรือกระทำ การอื่นใดอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่ว เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เสพยาเสพติดหรือสนับสนุนผู้อื่นเสพยาเสพติด เล่น การพนันเป็นอาจิณหรือกระทำ การล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดู และรับผิดชอบของตนหรือไม่ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา 96 ให้ผู้บังคับบัญชามี่หน้าที่เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย ป้องกันมิ ให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำ ผิดวินัยและดำ เนินการทางวินัยแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีกรณีอันมี มูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำ ผิดวินัย การเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยให้กระทำ โดยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ ดีการฝึกอบรมการสร้างขวัญและกำ ลังใจการจูงใจหรือการอื่นใดในอันที่จะเสริมสร้างและพัฒนา เจตคติจิตสำ นึกและพฤติกรรมของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปในทางที่มีวินัย การป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำ ผิดวินัยให้กระทำ โดยการเอาใจใส่สังเกตการณ์และ ขจัดเหตุที่อาจก่อให้เกิดการกระทำ ผิดวินัยในเรื่องอันอยู่ในวิสัยที่จะดำ เนินการป้องกันตามควรแก่ กรณีได้ 19
เมื่อปรากฏกรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดกระทำ ผิดวินัย โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้วให้ผู้บังคับบัญชาดำ เนินการทางวินัยทันทีเมื่อมีการกล่าวหา โดยปรากฏตัวผู้กล่าวหาหรือกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดกระทำ ผิดวินัยโดยยังไม่มีพยานหลักฐานให้ผู้บังคับบัญชารีบดำ เนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้น ว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำ ผิดวินัยหรือไม่ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำ ผิดวินัยจึงจะยุติเรื่องได้ถ้าเห็นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำ ผิดวินัยก็ให้ดำ เนินการทางวินัย ทันที การดำ เนินการทางวินัยแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำ ผิดวินัยให้ ดำ เนินการตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 ผู้บังคับบัญชาผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรานี้และตามหมวดเจ็ดหรือมีพฤติกรรมปกป้อง ช่วยเหลือเพื่อมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัยหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่สุจริตให้ ถือว่าผู้นั้นกระทำ ผิดวินัย มาตรา 97 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ ทางวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ผู้นั้นเป็นผู้กระทำ ผิดวินัยจะต้องได้รับโทษทางวินัยเว้นแต่มี เหตุผลอันควรงดโทษตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 โทษทางวินัยมี 5 สถานคือ 1. ภาคทัณฑ์ 2. ตัดเงินเดือน 3. ลดเงินเดือน 4. ปลดออก 5. ไล่ออก ผู้ใดโดนลงโทษปลดออก ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับบำ เหน็จบำ นาญเสมอนว่าเป็นผู้ลาออกจากราชการ ( คำ ว่าเงินเดือน แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ 7 แห่งคำ สั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 16/2560 เรื่อง การบริหารงานบุคลากรของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ) 20
มาตรา 98 การลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ทำ เป็นคำ สั่งวิธีการออกคำ สั่ง เกี่ยวกับการลงโทษให้เป็นไปตามระเบียบของ ก.ค.ศ. ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสม กับความผิดและมิให้เป็นไปโดยพยาบาท โดยอคติหรือโดยโทสจริต หรือลงโทษผู้ที่ไม่มีความ ผิด ในการคำ สั่งลงโทษให้แสดงว่าผู้ถูกลงโทษกระทำ ผิดวินัยในกรณีใด ตามมาตราใด และมี เหตุผลอย่างใดในการกำ หนดสถานโทษเช่นนั้น 21
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนในหลักสูตรให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อสนองความสนใจและเพื่อส่งเสริมการ พัฒนาบุคลิกภาพทางอุปนิสัยของนักเรียนและนักศึกษาให้เหมาะสมกับสังคมในระบบ ประชาธิปไตยและเพื่อให้ได้การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศและลักษณะ ทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นสมบัติของชาติที่ได้สร้างสรรค์ไว้ให้ซึ่งตนเองมีส่วนเป็นเจ้าของเพื่อ ปลูกฝังให้บังเกิดความรักประเทศชาติยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาศัยอำ นาจตามความในข้อ 23 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 กระทรวงศึกษาธิการจึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่าระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอก สถานศึกษาพ.ศ. 2529 ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไปข้อสามให้ยกเลิกระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนนิสิตและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาพ.ศ.๒๕๐๔ ข้อ 3 บรรดาระเบียบข้อบังคับและคำ สั่งอื่นใดในส่วนที่กำ หนดไว้แล้วในระเบียบนี้หรือซึ่งขัด แย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน ข้อ 4 ในระเบียบนี้นักเรียนศึกษาหมายความว่าบุคคลซึ่งกำ ลังรับการศึกษาในสถานศึกษาสถาน ศึกษาหมายความว่าโรงเรียนวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สังกัดหรืออยู่ในความ ควบคุมดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ “ หัวหน้าสถานศึกษา ” หมายความว่าครูใหญ่อาจารย์ใหญ่ผู้อำ นวยการโรงเรียนผู้อำ นวยการ วิทยาลัยหรือตำ แหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นในลักษณะเดียวกันและให้หมายความรวมถึงผู้จัดการของ โรงเรียนเอกชนด้วย ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอก สถานศึกษา พ.ศ.2529 22
“การพานักเรียนนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา” หมายความว่าการที่ครูอาจารย์หรือผู้ที่เป็น หัวหน้าสถานศึกษาของสถานศึกษาพานักเรียนและนักศึกษาไปเป็นหมู่คณะจะเป็นเวลาเปิด ทำ การสอนหรือไม่ก็ตามแต่ไม่หมายความรวมถึงการเดินทางไกลและการอยู่ค่ายพักแรมของลูก เสือยุวกาชาดและเนตรนารีและการพานักเรียนนักศึกษาไปนอกสถานที่ตามระเบียบแบบแผน หรือคำ สั่งในทางราชการ ข้อ 5 การพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาจำ แนกเป็นสามประเภทคือหนึ่งการพา ไปนอกสถานศึกษาและไม่ค้างคืนสองการพาไปนอกสถานศึกษาและค้างคืนสามการพาไปนอก ราชอาณาจักร ข้อ 6 การพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาทุกประเภทให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ต้องได้รับอนุญาตก่อนแบบการขออนุญาตให้ใช้ตามที่กำ หนดไว้ในระเบียบ 2. สถานศึกษาตามข้อห้าให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าสถานศึกษาว่าควรจะได้รับอนุญาตจากผู้ ปกครองหรือไม่แต่การพาไปตามข้อ 5 (2) และ(3) จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเป็น หนังสือตามแบบที่กำ หนดไว้ท้ายระเบียบนี้ 3. ให้หัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้ควบคุมและต้องมี ครูหรืออาจารย์อื่นๆเป็นผู้ช่วยผู้ควบคุมและดูแลรับผิดชอบในการเดินทางโดยถือเกณฑ์ นักเรียนและนักศึกษา 20 คนต่อครูอาจารย์ 1 คนถ้านักเรียนและนักศึกษาหญิงไปด้วยให้มีครู หรืออาจารย์หญิงควบคุมไปด้วยตามความเหมาะสม 4.พวกควบคุมและผู้ช่วยควบคุมต้องช่วยกันควบคุมนักเรียนและนักศึกษาให้อยู่ในระเบียบวินัย และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างดีให้การเดินทางเป็นไปโดยมีระเบียบอันเหมาะสมแก่ กาลเทศะและยานพาหนะที่ใช้เดินทางทั้งนี้เพื่อความเรียบร้อยและปลอดภัย ห้ามผู้ควบคุมผู้ช่วยผู้ควบคุมเสพหรือชักชวนให้พนักงานขับรถหรือผู้ขับเรือเสพสุราหรือของ มึนเมาอย่างอื่นขณะเดินทาง 5.ผู้ควบคุมและผู้ช่วยควบคุมควรจะได้รับการอบรมเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยตามโอกาส อันควร 6.ให้หัวหน้าสถานศึกษาพิจารณาเส้นทางที่จะเดินทางเลือกยานพาหนะที่อยู่ในสภาพใหม่ มั่นคงแข็งแรงและก่อนออกเดินทางให้ตรวจสอบสภาพของยานพาหนะที่จะใช้ให้เรียบร้อยควร ดูรถที่มีเครื่องดับเพลิงติดอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัยควรเดินทางโดยรถไฟฟ้าหรือใช้รถยนต์ โดยสารของบริษัทขนส่งจำ กัด 23
1.ให้พิจารณาเลือกพนักงานขับรถหรือผู้ขับเรือที่มีประวัติความประพฤติดีมีความสำ นานสุขุม รอบคอบรู้เส้นทางที่จะไปดีโดยคำ รับรองของเจ้าของหรือตัวแทนของเจ้าของยานพาหนะนั้น 2.ในการเดินทางโดยใช้ทางหลวงให้ขอความร่วมมือไปยังตำ รวจทางหลวงถ้าเดินทางโดยรถไฟ ให้ขอความร่วมมือจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเรื่องขอความร่วมมือไปยังกรมเจ้าท่าหรือ ตำ รวจน้ำ หรือเดินทางโดยทางน้ำ เพื่อจะเอารถหรือเรือนำ ทางให้และเพื่อขอคำ แนะนำ หรือขอ ความช่วยเหลือร่วมมืออื่นๆที่จำ เป็น 3.ให้หัวหน้าสถานศึกษาจัดให้มีแผ่นป้ายข้อความในลักษณะแสดงให้เห็นว่ายานพาหนะนั้น ใช้บรรทุกนักเรียนและนักศึกษา 4.ในการเดินทางนักเรียนและนักศึกษาต้องแต่งเครื่องแบบแต่ในบางโอกาศให้หัวหน้าสถาน ศึกษาพิจารณาการแต่งกายให้ความถูกต้องเหมาะสมเหมาะสม ข้อ 7 ผู้พิจารณาอนุญาตให้พานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษามีดังนี้ 1.หัวหน้าสถานศึกษาสำ หรับการพาไปตามข้อ (5) 2.ผู้อำ นวยการการประถมศึกษาจังหวัดหรือผู้อำ นวยการการรับประถมศึกษากรุงเทพมหานคร สำ หรับสถานศึกษาในสังกัดสำ นักงานการประถมศึกษาจังหวัดหรือสำ นักงานการประถมศึกษา จากกรุงเทพมหานครแล้วแต่กรณีสำ หรับการพาไปตามข้อห้าสามอาทิตย์บดีกรมเจ้าสังกัดหรือ หัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรมสำ หรับสถานศึกษาในส่วนกลางผู้ว่า ราชการจังหวัดสำ หรับสถานศึกษาซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของจังหวัดสำ หรับการพาไปตาม พ่อห้าสี่กระทรวงศึกษาธิการสำ หรับการพาไปตามข้อ 5 (2) ผู้พิจารณาอนุญาตตาม ( 3 ) และ ( 4 )อาจมอบหมายให้ผู้ดำ รงตำ แหน่งอื่นอนุญาตแทนได้ ในการพิจารณาอนุญาตให้ผู้มีอำ นาจอนุญาตพิจารณาถึงความเหมาะสมกาลเทศะและฤดูกาล เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วย ข้อ 8 ในการขออนุญาตพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาให้ส่งคำ ขออนุญาตถึงผู้ มีอำ นาจอนุญาตก่อนเวลาออกเดินทางไม่น้อยกว่า 15 วันและให้แนบโครงการที่จะไปนอก สถานศึกษาประกอบการพิจารณาด้วย 24
ข้อ 9 การเดินทางในเวลากลางคืนมีสาเหตุหลายประการที่ทำ ให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจึงควร เดินทางเฉพาะกลางวันเท่านั้นเว้นแต่เป็นการเดินทางโดยรถไฟ ข้อ 10 ในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุการณ์อื่นที่แก้ไขได้โดยยากให้ผู้ควบคุมหรือผู้ได้รับ มอบหมายหรือบุคคลอื่นใดที่เป็นไปตามแต่กรณีแห่งความจำ เป็นรายงานให้ผู้บังคับบัญชาผู้ อนุญาตหรือผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นขึ้นไปทางโทรเลขโทรศัพท์ทราบทันทีหากใช้เวลาเดินทาง ไม่มากให้รีบเดินทางไปรายงานให้ทราบด้วยตนเองและรายงานเป็นตัวหนังสืออีกครั้งภายใน กำ หนดเจ็ดวันนับแต่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์นั้นขึ้น ข้อ 11 การพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษาตามข้อห้าสถานศึกษาต้องวางระเบียบ กำ หนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติไว้กลับให้หัวหน้าสถานศึกษากำ หนดค่าใช้จ่ายในการเดิน ทางได้เท่าที่จำ เป็น ข้อ 12 การพระนางเลยนะสาไปนอกสถานศึกษาตามระเบียบนี้ให้เป็นไปด้วยความสมัครใจ เพื่อการศึกษาเท่านั้นมิใช่พาไปเพื่อทดสอบสมรรถภาพหรือจัดกิจกรรมอื่นๆเพื่อเป็นการวัดผล ให้คะแนนถ้าเป็นไปได้ให้ตาศาลศาลหรือบริเวณใกล้เคียงกับสถานศึกษามากที่สุดเพื่อไม่ให้ เป็นการบังคับให้นักเรียนนักศึกษาที่ขาดทรัพย์จำ เป็นต้องเลือกเดินทางไปด้วย ข้อ 13 การพานักเรียนนักศึกษาตามข้อ ( 2 ) และ ( 3 ) เมื่อพากลับมาแล้วให้สถานศึกษา รายงานผลการ พาไปนอกสถานศึกษาต่อผู้สั่งอนุญาตตามแบบท้ายระเบียบนี้ครูอาจารย์และผู้ควบคุมนักเรียน และรักษาให้ถือว่าไปปฏิบัติราชการให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ ข้อ 14 ครูอาจารย์หรือผู้ควบคุมนักเรียนและนักศึกษาให้ถือว่าไปปฏิบัติราชการให้เบิกค่าใช้ จ่ายในการเดินทางได้ ข้อ 15 ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามระเบียบนี้ 25
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียน และนักศึกษา พ.ศ.2558 อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2548รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงวางระเบียบว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ.2558 ” ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น ข้อ3 ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ.2543 ข้อ 4ในระเบียบนี้ “ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา” หมายความว่า ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำ นวยการอธิการบดี หรือหัวหน้า ของโรงเรียน หรือสถานศึกษา หรือตำ แหน่งที่เรียกชื่ออย่าง อื่นของโรงเรียนหรือสถานศึกษานั้น “การกระทำ ผิด” หมายความว่า การที่นักเรียนหรือนักศึกษา ประพฤติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษา หรือของกระทรวงศึกษาธิการ หรือกฎกระทรวง ว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา“การลงโทษ” หมายความว่าการลงโทษนักเรียน หรือนักศึกษาที่กระท าความผิด โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการสั่งสอน ข้อ 5 โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำ ผิดมี 4 สถาน ดังนี้ ( 1 ) ว่ากล่าวตักเตือน ( 2 ) ทำ ทัณฑ์บน ( 3 ) ตัดคะแนนประพฤติ ( 4 ) ทำ กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ข้อ6ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้งหรือลงโทษด้วยความ โกรธหรือด้วยความพยาบาท โดยคำ นึงถึงอายุนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของ พฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะ แก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำ นึกในความผิดและกลับประพฤติ ตนในทางที่ดีต่อไปให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษาหรือผู้ที่บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา มอบหมายเป็นผู้มีอำ นาจในการลงโทษนักเรียนนักศึกษา 26
ข้อ 7 การว่ากล่าวตักเตือน ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำ ความผิดไม่ร้ายแรง ข้อ 8การทำ ทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพ นักเรียนหรือนักศึกษา ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา หรือกรณี ทำ ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษา / ฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา / ได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้วแต่ยังไม่เข็ดหลาบการทำ ทัณฑ์บนให้ทำ เป็นหนังสือ และ เชิญบิดามารดา หรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำ ทัณฑ์บนไว้ด้วย ข้อ 9 การตัดคะแนนความประพฤติให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความ ประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำ หนด และให้ทำ บันทึกข้อมูลไว้เป็น หลักฐาน ข้อ 10 ทำ กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำ ความผิด ที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ข้อ 11 ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และให้มีอำ นาจ ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ 27
ระเบียบว่าด้วยการแต่งกายของครู ครูชาย 1. แต่งกายสากลเสื้อเชิ้ตผูกเนคไท 2. เสื้อกางเกงให้ใช้แบบศรีสุภาพ 3. ใส่เสื้อชุดพระราชทานหรือเสื้อซาฟารี 4. เครื่องแบบลูกเสือ ครูสตรี 1. เสื้อกระโปรงให้ใช้แบบสีและสุภาพ 2. โรงเรียนเอกชนอาจกำ หนดเครื่องแบบของครูโดยเฉพาะโรงเรียนของตนเองได้ 3. เครื่องแบบลูกเสือหรือเนตรนารีในการสอนเกี่ยวกับปฏิบัติการเช่นพละศึกษาฝึกงานในโรง ฝึกงาน ปฏิบัติการอาหารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ครูจะแต่งชุดให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานได้เช่นชุดกีฬา ชุดหมีหรืออื่นๆเป็นต้นการแต่งกายหมายถึงการแต่งผมการแต่งหน้าครูจะต้องแต่งให้เหมาะสมกับ สภาพของอาชีพครูโดยไม่ไว้ผมให้ยาวรุงรังหรือแต่งผมแต่งหน้าเช่นนายแบบนางแบบหรือผู้ ประกอบวิชาชีพที่สังคมรังเกียจนิยมแต่งจะต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของการเป็นครูซึ่งจะ เป็นตัวอย่างที่ดีของสิทธิ์ต้องแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อยและควรประหยัดมีเครื่องประดับพอสมควร ครูสตรีพึ่งระวังในการใช้เสื้อผ้าที่ บางเกินควรแบบไม่เหมาะสมเช่นข้อความในลึกสี่ไม่สุภาพมี ลวดลายศรีสุชาติเสื้อไม่มีแขนกระโปรงสั้นมาก กระโปรงผ่าข้างสูงเกินไปจนดูน่าเกลียดไม่สวม รองเท้าแตะเข้าสอนเป็นต้น 28
เครื่องแบบข้าราชการครูซึ่งเป็นข้าราชการครูมีสิทธิ์แต่งเครื่องแบบข้าราชการเหมือนข้าราชการ พลเรือนกระทรวงอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการครูสังกัดสปช.ในภูมิภาคจะแต่งเครื่องแบบกัน มากด้วยเห็นว่าเป็นการประหยัดและสามารถควบคุมในเรื่องระเบียบวินัยได้มากเพราะเมื่อแต่ง เครื่องแบบข้าราชการแล้วในระหว่างเวลาราชการห่างออกมาทำ ธุระส่วนตัวจะเป็นสิ่งที่สังเกตแก่ ผู้พบเห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บังคับบัญชาทำ ให้ข้าราชการปฏิบัติงานในหน้าที่ในสถานที่ทำ งาน ของโอนเต็มเวลาราชการได้มากขึ้นแต่หากข้าราชการครูให้แต่งเครื่องแบบการมาทำ งานสาย หรือการกลับบ้านก่อนเวลาหรือออกไปทำ ธุระส่วนตัวในเวลาราชการก็ไม่มีผู้รู้จักและทำ ให้ความ สนใจ 29
เครื่องแบบข้าราชการครูแบ่งเป็น 2 ประเภท ก. เครื่องแบบปฏิบัติการ ข. เครื่องแบบพิธีการ ก.เครื่องแบบปฏิบัติการ มี 2 แบบ คือ 1. เครื่องแบบสีกากีคอตั้ง ( เสื้อคอเชิ้ต แขนสั้น ) 2. เครื่องแบบสีกากีคอพับ ( คอฮาวาย แขนสั้น ) เครื่องแบบนี้ประกอบด้วยหมวกมี 2 แบบทรงหม้อตาลกับหมวกแก๊ปทรงอ่อนสีกากีส่วนข้าราชการหญิงมี 3 แบบเพิ่มหมวกหนีบสีกากีเสื้ออินทรธนูกางเกงหรือกระโปรงเข็มขัดรองเท้าสีดำ หรือน้ำ ตาลสูงไม่เกิน 10 เซนติเมตรชายชนิดผูก หญิงคัทชูถุงเท้าเครื่องหมายแสดงสังกัดกระทรวงรายชื่อและตำ แหน่งการแต่ง เครื่องแบบตามข้อ 2 ไม่ต้องติดบนอินทรธนูเครื่องหมายชั้นของเครื่องแบบดังนี้ ข้าราชการครูระดับ 1 ติดขีดชั้นจัตวา ข้าราชการครูระดับ 2 ติดขีดชั้นตรี ข้าราชการครูระดับ 3 - 4 ติดขีดชั้นโท ข้าราชการครูระดับ 5 - 6 ติดขีดชั้นเอก ข้าราชการครูระดับ 7 ขึ้นไป ติดขีดขั้นพิเศษ ข.เครื่องแบบพิธีการมี 5 แบบซึ่งใช้ในพิธีต่างวาระกันเครื่องหมายฉันแตกต่างไปจากเครื่องหมายแบบ ปฏิบัติการ 1.เป็นชั้นๆเช่นเดียวกันหนึ่งเครื่องแบบปกติสีกากีคอตั้งแขนยาวผูกเนคไทสีดำ สอดไส้ในเสื้อใต้กระดุม เสื้อเม็ดที่ 2 2.เครื่องแบบปกติขาวเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวกางเกงสีขาวติดแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามที่ตนได้รับ พระราชทาน 3.เครื่องแบบครึ่งยศเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวกางเกงสีดำ ติดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามที่ตนได้รับ พระราชทาน 4.เครื่องแบบเต็มยศแต่งเหมือนข้อสามใส่สายสะพายห้าเครื่องแบบสโมสรมีลักษณะแต่งพิเศษใช้ใน เวลามีงานราตรีสโมสรปัจจุบันแต่งเครื่องแบบเต็มยศ เครื่องแบบพิธีการหญิงใช้เสื้อขาวโคแบะ กระโปรงสีขาวหรือกระโปรงสีดำ แล้วแต่กรณีผูกเน็คไทดำ ส่วน อื่นแตงเช่นเดียวกับข้าราชการชายการแต่งเครื่องแบบตามข้อ2,3,4นั้นเป็นการแต่งในพระราชพิธีที่สำ คัญ สำ คัญซึ่งพระมหากษัตริย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายแต่งกายตามข้อใดก็จะมีหมายกำ หนดการให้ข้าราชการที่ ไปร่วมในพระ 30
ราชพิธีแต่งกายแบบเดียวกันการแต่งกายเครื่องแบบข้าราชการนั้นจะต้องติดเครื่องหมายที่ กระทรวงที่ปกเสื้อดำ เครื่องหมายแต่ละกระทรวงและอักษรย่อของกระทรวง 31
บทสรุป กฎหมายการศึกษาเป็นกฎหมายชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องมีลักษณะของกฎหมายเช่นเดียวกับกฎ หมายทั่วๆไปกล่าวคือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำ หนดความประพฤติของบุคคล ซึ่งผู้มีอำ นาจ ในประเทศกำ หนดขึ้นและใช้บังคับให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม มีลักษณะ สำ คัญประกอบด้วย (มานิตย์ จุมปา, 2548) ต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับเป็น มาตรฐานของสังคม ต้องเป็นการกำ หนดความประพฤติของบุคคล ต้องมีสภาพบังคับ ต้องมี กระบวนการที่แน่นอนในการดำ เนินการ ให้เป็นไปตากฎ กฎเกณฑ์ในกฎหมาย สำ หรับ กฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ตามรูปแบบเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร กำ หนดตามศักดิ์ของ กฎหมายได้ สิ่งที่ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง1)การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้2)การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทาราชการและหน่วยงานการศึกษามติรัฐมนตรีหรือนโยบาย ของรัฐบาลประมาทเลินเล่อหรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ 3 ) การขัดคำ สั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำ สั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดย ชอบด้วยกฎหมาย 4) ละทิ้งหน้าที่หรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเวลา เกินกว่า 15 วัน 5) การกลั่นแกล้งดูหมิ่นเหยียดหยามกดขี่หรือข่มเหงผู้เรียน หรือประชาชนผู้ มาติดต่อราชการอย่างร้ายแรง 6) กระทำ โดยมีความมุ่งหมายจะให้เป็นเป็นการซื้อขายหรือให้ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำ รงตหรือวิทยฐานะใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 7) คัดลอกหรือลอกเลียน ผลงานทางวิชาการของผู้เรียนโดยมิชอบ 8)เข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำ เนินการใดๆอันมีลักษณะ เป็นการทุจริตโดยการซื้อสิทธิหรือขายเสียงในการเลือกตั้ง 32
บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2548). รวมกฎหมายการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุ สภาลาดพร้าว วิไล ตั้งจิตสมคิด. (2557). ความเป็นครู. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์ สุวิชัย ศิริกุลวัฒนา. (2521). กฎหมายครูกฎหมายการศึกษาความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย และ ระเบียบ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : หจก.คุณพิณอักษรกิจ อำ ไพ อินทรประเสริฐ. (2537). กฎหมายการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว กฎหมายสำ หรับครู. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565. จากhttp://www.thaischool.in.th/_files_school/30113921/other กฎหมายที่เกี่ยวกับครูและวิชาชีพครู. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565. จาก https://coggle.it/diagram/WY2D1eaoXgAB-fAY/t ค