คน
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดท ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ
รายวิชา อารยธรรมโลก เพื่อศึกษาความรู้ในเรื่องของชุดฮันบก
และเพื่อให้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องชุดฮันบกได้มาศึกษาความรู้ใน
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมา
ของชุดฮันบก ผ้าที่น มาตัดชุดฮันบก ส่วนประกอบของชุดฮันบก
ทรงผมของสตรีเมื่อสวมชุดฮันบก ชุดฮันบกกับเทศกาลส คัญ
ผู้จัดท หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดท หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
เล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องชุดฮันบก
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ำำำ
ำำำำ
สาระส คัญ
ชุดฮันบกเป็นมาอย่างไร ?
ผ้าที่น มาใช้ตัดชุด “ฮันบก”
ส่วนประกอบของชุดฮันบก
ทรงผมของสตรีเมื่อสวมชุดฮันบก
ชุดฮันบกกับเทศกาลส คัญ
ำำำ
ชุดฮันบกเป็นมาอย่างไร ?
ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์นักโบราณคดีเชื่อว่ารูปแบบเครื่องแต่งกาย
ของคนเกาหลีมาจากเครื่องแต่งกายของพวกไซเธียนในช่วงยุคส ริด
ำ
สมัยสามอาณาจักร หรือสามก๊ก
1) อาณาจักรโคกูรยอ (37 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.668)
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ท ให้นัก
โบราณคดีได้ข้อมูลใหม่ ๆ และ
ท ร า บ ถึ ง ต้ น ก เ นิ ด ข อ ง ชุ ด ฮั น บ ก
คือ หลักฐานจากหลุมฝังศพและ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสมัยโคกู
รยอ ช่วง 3 -8 ปีก่อนคริสตกาล
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบของเครื่อง
แต่งกายของคนเกาหลีในสมัยนั้นได้
อย่างชัดเจน โดยจะมีรูปแบบการ
แ ต่ ง ก า ย ที่ เ ห มื อ น กั บ พ ว ก ช น เ ผ่ า
เร่ร่อนแถบเอเชียเหนือทั่ว ๆ ไป
ชุดฮันบกกษัต และพระมเหสี
ในสมัยอาณาจักรโคกูรยอตอนต้น ไม่ว่าจะ
เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงต่างก็สวมเสื้อคลุมที่
เรียกว่า ‘ชอกอรี’ โดยตัวเสื้อจะยาวเลย
เอวลงมา จะคาดและผูกด้วยเชือกไหมหรือ
แถบคาดรอบเอว และสวมกางเกงขายาว ที่
เรียกว่า ‘บาจี’ ที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
แตกต่างเพียงแค่การจัดแต่งทรงผม
ำ์ยำ
และต่อมาผู้หญิงเริ่มที่จะมีการสวมใส่กระโปรงมีจีบรวบตัว เรียกว่า ชีมา ทับ
กางเกงอีกชั้นหนึ่ง รูปแบบการแต่งกายในแต่ละระดับชนชั้นหรืออาชีพไม่ค่อย
แตกต่างกันชัดเจนเท่าไหร่นัก จะมีก็เพียงแค่ผู้ที่ท งานใช้แรงมักจะสวมใส่
เสื้อ ชอกอรีที่สั้นกว่าและมีแขนที่กว้างมากกว่า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายใน
ขณะที่ท งาน
ชุดฮันบกสุภาพบุรุษชนชั้นสูง
ชุดฮันบกสตรีชนชั้นสูง
ชุดฮันบกนางก นัลรับใ
ำ้ชำำ
2) อาณาจักรแพ็กเจ (18 ปีก่อนคริสตกาล- ค.ศ. 660)
ชุดฮันบกในช่วงสมัยอาณาจักรแพ็กแจจะมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกับ
สมัยโคกูรยอมากนัก แต่จะมีลวดลาย สีสันมากขึ้น
ชุดล ลององ ชาย อง หญิง
ชุดฮันบกของชนชั้นสูง
ชุดฮันบกนาง าหลวงและ
ขุนนางในราชส นัก
ำำ้ข์ค์ค
3) อาณาจักรชิลลา (57 ปีก่อนคริสตกาล- ค.ศ.654)
ชาวแพ็กเจและชิลลาก็ลักษณะการสวมใส่เสื้อผ้าคล้าย ๆ กับ ชาวโคกูรยอ
ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก จนตั้งแต่ช่วงกลางไปจนถึงช่วงตอนปลายสมัย
สามก๊ก ก็เริ่มมีการแบ่งเครื่องแต่งกายตามล ดับชนชั้น และมีการสวมใส่
มงกุฎ หมวกรูปกรวย และหมวกประดับแตกแต่งด้วยขนนก เป็นต้น
ชุดพิธีการของกษัตริ
ชุดฮันบกอง ชาย อง หญิง
ชุดฮันบกของชนชั้นสูง
ำ์ค์ค์ย
สมัยอาณาจักรโครยอ (ค.ศ.918- ค.ศ.1392)
ในขณะที่ชุดฮันบกลักษณะรูปแบบที่ปรากฏให้เห็นกันในปัจจุบันนั้น
ได้รับอิทธิพลมาจากมองโกล ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งส คัญ
ของชุดฮันบก เนื่องด้วยในราชวงศ์โครยอตอนปลายได้มีการท สนธิ
สัญญาสันติภาพกับจักรวรรดิมองโกล ในศตวรรษที่ 13 โดยการให้
องค์ชายวังคี เสด็จไปเมืองปักกิ่งและอภิเษกกับองค์หญิงมองโกล
ซึ่งต่อมาพระองค์ได้กลับมาเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าคงมินแห่งโครยอ ส่ง
ผลท ให้มีการรับเอาศิลปะ วัฒนธรรม รวมไปถึงรูปแบบของเสื้อผ้าเครื่องแต่ง
กาย อย่างเสื้อชอกอรีของสตรีที่มีการออกแบบให้มีสัดส่วนที่ต่างไปจากเดิม
ำำำ
จุดส คัญ คือ การปรับตัวเสื้อให้มีความยาวที่สั้นลง และแขนเสื้อที่
ปรับให้แคบและเพิ่มให้มีความโค้งเล็กน้อย และที่ส คัญคือมี “
โอซโกรึม” เพิ่มเข้ามาเพื่อใช้ผูกเสื้อให้ติดกันเป็นโบว์บริเวณหน้าอก
แ ท น ก า ร ใ ช้ แ ถ บ ชิ้ น ผ้ า ห รื อ เ ส้ น ไ ห ม ที่ ค า ด ทั บ เ สื้ อ ช อ ก อ รี ที่ เ อ ว เ ห มื อ น
เมื่อสมัยก่อน
มีการใช้แถบชิ้นผ้าหรือเส้นไหมคาดทับเสื้อชอกอรีบริเวณเอว เพื่อ
ยึดติดกับตัวเสื้อชอกอรี หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนมาใช้โอซโกรึม
โอซโกรึม
แถบชิ้น าหรือเ น
ไหมคาดทับเสื้อ
การผูกโอซโกรึม
ำ้ส้ผ
ำ
องค์หญิงโนกุก หรือ “สมเด็จพระราชินีโนกุก
แทจาง" เป็นองค์หญิงจากมองโกลที่ถูกก หนด
ให้อภิเษกกับองค์ชายวังคีแห่งโครยอ
ภ า ย ใ ต้ ส น ธิ สั ญ ญ า สั น ติ ภ า พ ข อ ง ม อ ง โ ก ล
ราชวงศ์หยวน แม้ในตอนแรกทั้งสองจะอาศัยอยู่
ที่ปักกิ่ง แต่ต่อมาองค์ชายวังคีก็ได้กลับมาขึ้น
ครองราชสมบัติ เป็นพระเจ้าคงมินแห่งโครยอ
ท ให้อาณาจักรโครยอหรือเกาหลีในสมัยนั้นได้
รั บ เ อ า เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ท า ง ศิ ล ป วั ฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ วิ ถี ชี วิ ต
ของชาวมองโกลเข้ามา เป็นบ่อเกิดที่ส คัญของรูป
แบบชุดฮันบกในสมัยโชซอนต่อมาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าพระนางจะเป็นองค์หญิงมองโกลแต่
พ ร ะ น า ง ก็ ส นั บ ส นุ น โ ค ร ย อ แ ล ะ ส า มี ข อ ง พ ร ะ น า ง
เสมอมา และหลังจากอภิเษกมา 15 ปี พระนาง
ก็ ไ ด้ ท ร ง พ ร ะ ค ร ร ภ์ แ ต่ จ า ก ภ า ว ะ แ ท ร ก ซ้ อ น ที่
เกี่ยวข้องกับการคลอดบุตรท ให้พระนางเสียชีวิต
ลงในปี ค.ศ.1365
ำำำำ
สมัยอาณาจักรโชซอน (ค.ศ.1392-1910)
ในช่วงยุคอาณาจักรโชซอนเป็นจุดหักเหที่
ส คัญของการเปลี่ยนแปลงฮันบก แม้จะค่อยๆมี
การเปลี่ยนไปอย่างทีละเล็กละน้อยก็ตาม อย่างเสื้อ
ชอกอรีของสตรีมีการท ให้สั้นลงและให้กระชับกับ
ผู้สวมใส่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ถึงกลางศตวรรษที่ 17 เสื้อชอกอรีมีขนาดตัวเสื้อ
ยาวมากสุดถึง 78 เซนติเมตร (วัดตั้งแต่ไหล่ลงมา) แต่พอในปี ค.ศ.1650
สตรีได้เริ่มมีการตัดเย็บและสวมใส่ชอกอรีที่สั้นและสั้นลงเรื่อยๆ จนถึง ช่วง
ปลายศตวรรษที่ 19 เหลือความยาว (ที่วัดจากไหล่ลงมา) แค่เพียงประมาณ
20 เซนติเมตรเท่านั้น
ชุดฮันบกกษัตริ
ชุดฮันบกของสตรีในราชวง
ำ์ศ์ยำ
เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ใ น ส มั ย โ ช ซ อ น น อ ก เ ห นื อ จ า ก ที่ มี
ก า ร แ บ่ ง รู ป แ บ บ ข อ ง เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ต า ม ว ร ร ณ ะ
ตามฐานะทางสังคม หรืออาชีพแล้ว ยังมีชุดที่
เ ป็ น เ ค รื่ อ ง แ บ บ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ พิ ธี ก ร ร ม ต่ า ง ๆ ใ น
ความเชื่อของลัทธิขงจื้ออีกด้วย เช่น ชุดในพิธี
แต่งงาน ชุดส หรับไว้ทุกข์ให้กับผู้ตาย และชุดใน
พิธีต่างๆของราชส นัก
ช่วงยุคปลายของอาณาจักรโชซอน เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง
ทางสังคมที่ดีขึ้น ผู้คนเริ่มมีการศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ มีสติ
ปัญญามากกว่าเมื่อก่อน ท ให้เริ่มไม่พอใจกับระบบขุนนางและเริ่มมี
การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมากขึ้น
ำำำ
ท ให้เริงโรมที่เป็นสถานที่ให้ความบันเทิงได้รับความนิยมมากของพวก
ขุนนาง และชายหนุ่มที่มีฐานะเข้าสังสรรค์ดื่มกินและสนทนาทางการเมืองกันใน
ช่วงนี้เองสตรีในเริงโรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ - (กีแซง)” มีการแข่งขันกัน
สูงเพื่อให้ตนมีชื่อเสียง และได้รับเลือกให้ปรนนิบัติขุนนางชั้นสูง
“ - (กีแซง)” ส่งผลให้ชุดฮันบกเริ่มมีการปักลวดลายให้สวยงาม
มากขึ้น ประกอบกับเริ่มมีการเดินทางติดต่อค้าขาย
และไปศึกษาหาความรู้ในต่างประเทศ รวมไปถึงการ
เข้ามาของพวกมิชชันนารี และทางการทูตกับเปอร์เซีย
จีนและญี่ปุ่น ท ให้มีผ้าชนิดต่าง ๆ ที่มีลวดลายและ
สีสันสวยงามมาใช้ในการตัดเย็บชุดฮันบกมากขึ้น รวม
ถึงเครื่องประดับต่างๆที่เข้ามาจากต่างประเทศ
ำำ
และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โชซอนถูกต่างชาติเข้ามารุกราน
มากมายเพื่อเรียกร้องสิทธิพิเศษทางการค้า และเข้ามาเพื่อพยายาม
เผยแพร่ศาสนาคริสต์อีกเป็นจ นวนมาก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ได้รับการ
ยอมรับ จึงมีค สั่งให้สังหารมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสหลายคน และเมื่อ
ฝรั่งเศสทราบข่าวจึงตัดสินใจบุกหวังจะยึดเมืองโชซอน ต่อมาก็เกิด
เหตุการณ์ Gapsin Coup ค.ศ.1884 และ Gabo Reform ค.ศ.1894
ซึ่งขณะนั้นปกครองโดยพระเจ้าโกจง แห่งราชวงศ์โชซอน เป็นเหตุการณ์
ค ว า ม ขั ด แ ย้ ง - ต่ อ สู้ อ ย่ า ง รุ น แ ร ง ร ะ ห ว่ า ง ขุ น น า ง กั บ พ ร ะ ร า ชิ นี ที่ พ ร ะ น า ง ท ร ง
ต้องการพัฒนาประเทศตามแบบตะวันตกและต้องการเปิดประเทศ ซึ่งขัดแย้ง
กับขุนนางที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านไปด้วยดี แต่
ญี่ ปุ่ น ที่ ก ล า ย เ ป็ น ช า ติ ที่ มี อิ ท ธิ พ ล ม า ก ขึ้ น อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว ห ลั ง ก า ร ป ฏิ รู ป
การเมืองและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ในสมัยเมจิ ค.ศ.1868 ก็มีความคิดที่จะ
ครอบครองโชซอน และเข้ามารุกรานอย่างต่อเนื่อง
ำำ
ท ให้หญิงสาวชาวโชซอนเริ่มน “ (ชาง-อท)”,“
(ซึลชีมา) หรือ (ซือแกชีมา)” หรือ “ (นออูล)”มา
ใช้เพื่อปิดบังใบหน้ากันเป็นจ นวนมาก และหันกลับมาสวมใส่
เสื้อชอกอรีที่ยาวขึ้น แม้แต่เหล่ากีแซงเองก็เริ่มหันมาปกปิดเรือน
ร่างและหน้าตาเช่นเดียวกัน เพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกข่มเหง
รังแกโดยทหารญี่ปุ่น หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาคุกคามประเทศ
ชาง-อท ซึลชีมา หรือ ซือแกชีมา นออูล
ยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1910–1945)
และ สงครามเกาหลี (1950 -1953)
ในช่วงยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น ผู้ที่มีฐานะ และอยู่ในชนชั้น
สูงเริ่มมีความต้องการที่จะสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทันสมัยมาก
ขึ้น จึงมีการออกแบบปรับสไตล์ของฮันบกใหม่มาใช้ โดยมีการ
จับคู่กระโปรงชีมาที่สั้นกว่าเมื่อก่อนสวมกับเสื้อชอกอรีสีขาว
ำำำ
ขณะนั้นมีวัฒนธรรมของชาวตะวันตกได้เข้ามา บวกกับการ
ติดต่อซื้อขายสินค้า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอื่นๆของชาวตะวันตกใน
เกาหลีสมัยนั้น ท ให้เกิดค่านิยมการแต่งกายแบบชาวตะวันตก
ส่งผลให้การสวมใส่ฮันบกจากเดิมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตามกระแส
แฟชั่น และหันไปสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบชาวตะวันตกกันมากขึ้นและการ
สวมใส่ฮันบกในชีวิตประจ วันก็ได้เริ่มเลือนหายไปในปี 1960 จะสวมใส่กัน
ก็ต่อเมื่อเป็นวันเทศกาลหรือในโอกาสพิเศษ เช่น วันแต่งงาน วันปีใหม่
ำำ
ผ้าที่น มาใช้ตัดชุด “ฮันบก”
มีอ มากมายหลายชนิด วยกัน ไ แ า าน
า าย ามัสลิน าไหม าแพร การเลือกชนิด
ของ าในการตัดเย็บ จะเลือกโดยค นึงถึงสภาพ
ภูมิอากาศ เ นชุดฮันบกที่จะสวมใ ในฤดูหนาว
มักใ าที่ทอจาก าย เ น น และสีสันที่ อมจาก
สีที่ไ จากพืชผล หรือวัสดุจากธรรมชาติที่อ ใก
เขตที่พักอาศัย หา าย ใ สีที่คงทน
สีของชุดฮันบกได้รับการตัดสินตาม "ทฤษฎีห้า
สี" ซึ่งหมายถึงทฤษฎีของหยินและหยางและธาตุ
ทั้งห้า ได้แก่ โลหะ ไฟ ไม้ และดิน องค์
ประกอบทั้งห้านี้แสดงด้วยต แหน่งและสี
ชุ ด ฮั น บ ก มั ก ใ ช้ สี ที่ เ กิ ด ขึ้ น ต า ม
ธรรมชาติอย่างโดดเด่น โดยสีพื้น
ฐานของชุดฮันบกประกอบด้วยสีแดง
สีด สีฟ้า สีขาว และสีเหลือง สี
เ ห ล่ า นี้ ห า ไ ด้ ง่ า ย ก ว่ า จ า ก สี ย้ อ ม ข อ ง
ผลไม้หรือผักธรรมชาติในสมัยก่อน
นอกจากนี้สีของชุดฮันบกยังบ่งบอกถึงสถานะทาง
สังคม เช่น ผู้สูงอายุนิยมใส่โทนสีสุภาพ เด็ก ๆ จะสวม
ชุดที่สว่างกว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีสีเขียวหรือสี
แดง ในเวลาเดียวกัน สาวโสดมักจะสวมเสื้อชิมาสีแดง
กับจอโกริสีเหลือง
ำำำ้นำ้ห่ง้ลู่ย้ด้ย้ต็ป้ฝ้ผ้ช่ส่ชำ้ผ้ผ้ผ้ผ้ฝ้ผ่ป้ผ่ก้ด้ดู่ย
ส่วนประกอบของชุดฮันบก
หลัก ๆ แล้วชุดฮันบกจะประกอบไปด้วย
(ชอกอรี) เสื้อคลุมที่ยาวเลยเอวลงมา
(พาจี) กางเกงส หรับผู้ชาย
(ชีมา) กระโปรงส หรับผู้หญิง
ำำ
ผู้หญิงจะใส่กระโปรงและชอกอรี (เสื้อคลุม) ลักษณะเฉพาะของกระโปรงคือ
เ ป็ น เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ท่ อ น ล่ า ง ที่ มี ข อ ง ผู้ ห ญิ ง มี ค ว า ม ก ว้ า ง แ ล ะ จั บ จี บ ต า ม
ธรรมชาติ ชอโกรีเป็นเสื้อคลุมตัวบนที่คนเกาหลีสวมใส่กันมาแต่โบราณ โดย
จะเป็นเสื้อคลุมเปิดด้านหน้าแล้วผูกโกรึม (โบว์ยาว) เพื่อยึดตัวเสื้อไว้ด้วยกัน
เป็นชุดฮันบกพื้นฐานที่ทุกเพศทุกวัยสวมใส่กันตลอดเวลา
ชอโกรี (เสื้อคลุม) : เป็นเครื่อง
แต่งกายท่อนบนที่คนเกาหลีสวม
ใ ส่ ม า เ ป็ น เ ว ล า ย า ว น า น แ ล ะ เ ป็ น
เสื้อ พื้นฐานที่ผู้คนทุกเพศทุก
วัยสวมใส่
กระโปรง : ชุดของผู้หญิง
ที่สวมใส่ด้านล่าง
ซือแกชีมา : สิ่งที่ผู้หญิงใช้คลุมเมื่อออกไป
ข้างนอก หากผู้หญิงแสดงใบหน้าของพวกเธอ
ต่ อ ผู้ ช า ย ที่ ไ ม่ ใ ช่ ค ร อ บ ค รั ว จ ะ ถื อ ว่ า เ ป็ น ก า ร
กระท ที่ไม่สุภาพ ดังนั้นจึงต้องใช้กระโปรง
คลุมเพื่อปิดบังใบหน้าเมื่อออกจากบ้าน
ผำำ้
โนรีแก เครื่องประดับร่างกายของสตรีซึ่งใช้แขวน
ที่ โ บ ว์ เ สื้ อ ฮั น บ ก ห รื อ ใ ช้ ห้ อ ย ที่ เ อ ว ก ร ะ โ ป ร ง มี
หลากหลายรูปร่าง และท มาจากหลากหลายวัสดุ
เช่น ทอง เงิน หยก อ พัน
พีนยอ คือปิ่นปักผมทั่วไปของผู้หญิง โดยใช้
เป็นเครื่องประดับประจ ตัว ขนาดของปิ่นและ
วัสดุที่ท จะขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ใช้
เนื่องจากชุดฮันบกไม่มีกระเป๋าจึงมีการท กระเป๋าใส่ของแยกออกมา
โ ด ย ที่ ก ร ะ เ ป๋ า ผ้ า จ ะ มี ก า ร ปั ก ล ว ด ล า ย ที่ ส ว ย ง า ม เ พื่ อ ปั ด เ ป่ า เ ค ร า ะ ห์ ร้ า ย แ ล ะ
ภาวนาให้มีความสุข กระเป๋าผ้าทรงกลมจะเรียกว่า ‘ทูรูจูมอนี’ และกระเป๋าผ้า
ทรงสี่เหลี่ยมจะเรียกว่า ‘ควีจูมอนี’
ำำำำำ
โชบาวี เป็นหมวกที่ผู้หญิงใช้ใส่กันความหนาว
มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ท ร ง ก ล ม เ พื่ อ ห่ อ หุ้ ม ร อ บ ใ บ ห น้ า
เด็กผู้หญิงมักใส่ในงานเลี้ยงวันเกิดครบหนึ่งขวบ
รองเท้าส หรับผู้หญิง
ทังฮเย รองเท้าของผู้หญิงชาวเกาหลีในสมัยก่อน ด้าน
นอกหุ้มบุด้วยผ้าไหม มีการแกะสลักประดับลวดลาย
บริเวณจมูกและส้นของรองเท้าเป็นรองเท้าหนังที่สวมใส่
ในหมู่สตรีชั้นสูงในช่วงสมัยโชซอนมีสีสันให้เลือกสวม
ใส่มากมาย โดยเฉพาะสีแดง
อุนฮเย เป็นรองเท้าหนังที่สวมใส่กันในสมัยโช
ซอนของสตรีชนชั้นสูงที่แต่งงานแล้ว ด้านหน้าจะ
ตกแต่งลวดลายคล้ายจะงอยปาก และที่ด้านหลังส้น
รองเท้าจะท เป็นลวดลายก้อนเมฆ
ก๊ดชิน เป็นรองเท้าที่มีลวดลายสวยงามของดอกไม้ที่ปักลง
ไป เป็นรองเท้าหนังที่สวมใส่กันตั้งแต่ในสมัยโชซอน จนถึง
ปัจจุบันร่วมกับชุดฮันบก ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการเพิ่มส้นให้สูง
ขึ้นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มบุคลิกภาพให้กับผู้สวมใส่ให้ดูดีมีสง่า
ำำ
ผู้ชายจะใส่กางเกงและชอกอรี (เสื้อคลุม) บางครั้งจะใส่แพจา
(เสื้อกั๊กบุส ลี) ไว้บนเสื้อคลุม บริเวณชายกางเกงจะมีสายที่ใช้ผูก
ชายกางเกงกับข้อเท้า เพื่อจัดแต่งทรงกางเกง เรียกว่า 'แทนิม'
ส่ ว น ช อ ก อ รี จ ะ เ ป็ น เ สื้ อ ท่ อ น บ น ที่ ค น เ ก า ห ลี ทุ ก เ พ ศ ทุ ก วั ย ใ ส่ กั น
เมื่อผู้ชายออกไปข้างนอกจะสวมเสื้อคลุมตัวนอกที่เรียกว่า 'โพ'
ทับชอกอรีและกางเกง
ชอกอรี : เป็นเสื้อผ้า แพจา : เป็นเสื้อที่
พื้ น ฐ า น ส่ ว น บ น ที่ ผู้ ค น ส ว ม ใ ส่ ไ ด้ ทั้ ง ช า ย แ ล ะ
มักสวมใส่ทุกเพศทุกวัย หญิง โดยมีลักษณะเป็น
เสื้อกั๊กสั้นสวมทับชอกอรี
แทนิม : สายผูกข้อเท้า
ที่กางเกงท ให้สะดวกใน พาจี : กางเกงมีความยาว
การสวมใส่ คลุมถึงข้อเท้า ที่ปลาย
พ า จี จ ะ มี ส า ย ผู ก ข้ อ เ ท้ า
เรียกว่า แทนิม ( )
ำำ
ทูรูมากี : เป็นเสื้อนอกคล้ายเสื้อโค้ตมี
ลักษณะเป็นเสื้อคลุมตัวยาว ใส่เมื่อต้อง
ออกไปข้างนอก ในสมัยก่อนพวกขุนนาง
จะต้องใส่ตลอดเวลา
คัด : เป็นหมวกที่ผู้ชายใน
สมัยโชซอนใส่ตอนออกไปนอก
บ้าน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ฮึก
ริบ’ หมวกนี้จะสามารถใส่ได้
เฉพาะชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
ชองจากวาน : หมวกที่ชนชั้นผู้น ทาง
สังคมในสมัยโชซอนใช้ใส่ภายในบ้าน
ำ
รองเท้าส หรับผู้ชาย
ฮึกพีฮวา เป็นรองเท้าบูทที่ท จากหนังสีด มัก
สวมใส่ในงานราชพิธีต่างๆของทางราชส นักร่วม
กับเครื่องแบบราชพิธี
ม๊คฮวา เป็นรองเท้าบูททรงสูงของผู้ชายเกาหลีในสมัยโช
ซอนอีกประเภทหนึ่ง ผู้ที่สวมใส่มักเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน
และทหารที่มีระดับสูงกว่าขั้น 4 ขึ้นไป นอกจากนี้รองเท้า
บูทม๊คฮวายังถูกสวมใส่โดยกษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ระดับ
สูงของโชซอน โดยจะสวมใส่ร่วมกับเครื่องแบบขุนนาง
หรือชุดว่าราชการขององค์กษัตริย์
ฮึกพีฮเย หรือ ฮึกฮเย เป็นรองเท้าหุ้มส้นสีด
ที่สวมใส่โดยข้าราชบริพารร่วมกับชุดเครื่องแบบ
ขุนนาง และสวมใส่ร่วมกับชุดฮันบกทั่วไปของ
คนในชนชั้นระดับขุนนาง
ฮเแทซาฮเย มักสวมใส่กันในช่วง
ฤดูแล้ง เป็นรองเท้าที่สวมใส่กันในหมู่
ผู้สูงอายุ และเด็กที่อยู่ในตระกูลชั้นสูง
รวมไปถึงกษัตริย์
ำำำ
ำำ
บัลมัคชิน เป็นรองเท้าอีกหนึ่งแบบซึ่งในอดีตที่
ผ่านมามักสวมใส่กันในหมู่ผู้สูงอายุที่มีฐานะ รวย
ตัวปลายจมูกรองเท้ามีการเย็บให้เชิดขึ้นเล็กน้อย
น๊คพีฮเย รองเท้าหนังกวาง
รองเท้าที่สวมใส่ในผู้ชายและผู้หญิงที่มีชื่อเรียกเหมือนกัน
จิพชิน รองเท้าแตะแบบดั้งเดิมของเกาหลีท มา
จ า ก เ ส้ น ฟ า ง ที่ ม า ส า น กั น ช า ว เ ก า ห ลี ส ว ม ใ ส่
รองเท้าฟางสานนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
มยอค-ชิน หรือ ดุงกูนีชิน รองเท้าบูทฟางสาน มักสวม
ใส่ในฤดูหนาวและในเขตพื้นที่ที่มีหิมะปกคลุม
นามัคชิน เป็นรองเท้าแบบหุ้มส้นดั้งเดิม ซึ่งได้จาก
การเจาะแกะสลัก เหลาและเกาท่อนไม้ทั้งท่อน
โกมูชิน เป็นรองเท้ายางที่เป็น
รองเท้าแบบดั้งเดิมของชาวเกาหลี เป็น
รองเท้าหุ้มส้น มีลักษณะเป็นส้นเตี้ย
ร
ำำ่
ทรงผมของสตรีเมื่อสวมชุดฮันบก
ในสมัยราชวงศ์โชซอน มีทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการประดับผม
ปลอมที่ถักเปีย เรียกว่า “คาเช” โดยมีที่มาจากสมัยราชวงศ์โครยอการแต่งกาย
ทั้งชาย หญิงเป็นไปในรูปแบบราชส นักมองโกล แต่พอเข้าสู่ช่วงราชวงศ์โชซอน
องค์ปฐมราชาพระเจ้าแทโจก็ให้ยกเลิกการแต่งกายของผู้ชาย โดยใช้รูปแบบของ
ราชส นักชาวฮั่น แต่ผู้หญิงยังคงทรงผมของราชวงศ์โครยอไว้และพัฒนาเรื่อยมา
ทรงผมสตรีสมัยราชวงศ์โชซอนตอนต้น ทรงผมสตรีสมัยราชวงศ์โครยอ
ำำ
การประดับผมด้วยคาเช เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งคือ ยิ่งสวยงามและใหญ่
เพียงไหน ก็จะสื่อให้เห็นถึงความสูงศักดิ์นั้นๆ เป็นที่นิยมในหมู่สตรีฝ่ายใน
สตรีชนชั้นสูงและสตรีทั่วๆ ไป มีหลายทรง ดังนี้
ทรงแทซู เป็นทรงที่ใช้ในพระราชพิธีคู่กับชุด
จ อ ก อึ ย ห รื อ ชุ ด ชี จ อ ก อึ ย ข อ ง พ ร ะ ม เ ห สี แ ล ะ พ ร ะ
ชายารัชทายาท (เซจาบิน) โดยสวมเป็นมงกุฎที่
เรียกว่า “ชิลจอกกวัน” ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก
ราชส นักมองโกล
ทรงออยอ-มอรี เป็นทรงปรกติของสตรีฝ่ายใน ตั้งแต่
พระมเหสีลงมาจนถึงพระสนม ลักษณะทรงใช้ผมคาเช
พันรอบศีรษะ ตรงส่วนบนรองด้วย “ออ-ยอมจกดูรี”
ลักษณะคล้ายหมอนเล็กๆ รองอยู่ ประดับด้วยปิ่นกลม
และปิ่นลายผีเสื้อ ในช่วงต้นราชวงศ์โชซอน ทรงนี้ยัง
คงคล้ายกันกับทรงผมสมัยราชวงศ์โครยอ
ทรงตอกูจีมอรี เป็นทรงพิธีการของสตรีฝ่ายใน ใช้
กับชุดวอนซัม ตั้งแต่พระมเหสี พระสนม องค์หญิง
พระชายา และนางในระดับสูง ลักษณะทรงผมเป็นเช่น
เดียวกับทรงออ-ยอมอรี แต่ด้านหลังติด “ตอกูจี” ที่
ท จากไม้สลักเป็นทรงดังภาพขึ้นครองราชสมบัติ
เป็นพระเจ้าคงมินแห่งโครยอ
ำำ
ทรงออนจึนมอรี เป็นทรงปรกติของสตรีที่
แต่งงานแล้ว ใช้ได้ทั่วไป ลักษณะคล้ายกันกับ
ทรงออ-ยอมอรี แต่ไม่มี “ออ-ยอมจกดูรี”
ทรงทือเรมอรี เป็นทรงผมส หรับกีแซง
ห รื อ ห ญิ ง น า ง โ ล ม ลั ก ษ ณ ะ ท ร ง ผ ม ใ ช้ ค า เ ช
ประดับวนไปมา เล็กบ้างใหญ่บ้าง
ทรงชอบจีมอรี การน ผมจริงของสตรีม้วนไว้
ตรงท้ายศีรษะแล้วเสียบปิ่น โดยปิ่นนี้หากเป็นพระ
มเหสี พระพันปีจะเป็นปิ่นทองลายหงส์ พระสนม
องค์หญิง สตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ก็ลดหลั่นลงมาตาม
ศักดิ์ นางในชั้นสูงและสตรีผู้ดีทั่วไปใช้หยกหรือ
เงิน ส่วนกลางศีรษะประดับเครื่องประดับที่เรียกว่า
“ชอบจี” เป็นที่คาดท จากผมปลอม ส่วนตรง
กลางเป็นเครื่องประดับตามฐานันดร
ำำำ
ทรงแซอังมอรี เป็นทรงผมของเหล่าสตรีในฝ่ายในชั้นนางใน
ระดับกลางลงมา ตลอดจนหมอหญิงและคนงานต่างๆ โดยรวบผมที่
ถักเปียไว้แล้วผูกด้วยริบบิ้นผ้าที่เรียกว่า “แทงกี”
ทรงตาฮึนมอรี เป็นทรงผมส หรับเด็กผู้หญิงกระทั่งผู้หญิงวัยสาวที่
ยังไม่ได้แต่งงาน ถักเป็นเปียยาวแล้วผูกด้วยริบบิ้น “แทงกี” ตรงปลายผม
ำ
ชุดฮันบกกับเทศกาลส คัญ
พิธีแต่งงาน เป็นพิธีที่ส คัญและใหญ่ที่สุดของครอบครัวเพราะเป็นขั้น
ต อ น แ ร ก ข อ ง ก า ร เ ริ่ ม เ ป็ น ค ร อ บ ค รั ว ดั ง นั้ น ใ น วั น แ ต่ ง ง า น เ จ้ า บ่ า ว แ ล ะ เ จ้ า
สาวจะสามารถใส่ชุดแต่งงานงดงามที่เคยใส่กันในพระราชวังได้
ชุดเจ้าสาว ในวันแต่งงาน เจ้าสาวจะใส่
ฮวัลอดหรือวอนซัมสีแดง (ชุดที่เจ้าสาวหรือ
สุภาพสตรีชั้นสูงในพระราชวังสวมใส่) ที่
ศีรษะ ประดับด้วยมงกุฎฮวากวานหรือหมวก
ชกดูรี ปล่อยแทงกี (ริบบิ้นผูกผม) ยาวลงมา
และสวมรองเท้ากดชิน (รองเท้าลายดอกไม้)
ำำ
โดทูรักแทงกี
(แถบ ายาว)
อัพแทงกี (ริบบิ้นผูกผม)
หมวกชกดูรีและมงกุฎฮวากวาน
พัดฮนซอน
ผ้
ชุดเจ้าบ่าว ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะใส่ ดัลรยอง ชุดควัน
บ ก ห รื อ ชุ ด ข อ ง ข้ า ร า ช ก า ร ที่ เ ค ย ใ ส่ กั น ใ น ส มั ย โ ช ซ อ น ใ ส่
หมวกซาโม คาดเอวด้วยกักแด (เข็มขัดของข้าราชการ) และ
สวมรองเท้าหุ้มข้อยาวที่เรียกกว่า มกฮวา
ดัลรยอง (ชุดของขุนนาง)
ซาโม (หมวกของขุนนาง)
กักแด (เข็มขัดของขุนนาง)
ฮยูแบ ( า กแปะห าอกชุดขุนนาง)
ซาซอน (พัดบังห าเ า าว)
่บ้จ้น้นัป้ผ
โทลชันชี เป็นการจัดงานเลี้ยงฉลองครบ 1 ขวบหรือวันเกิดครั้งแรกให้
กับเด็กที่พึ่งเกิดใหม่ ซึ่งพิธีนี้เป็นวัฒนธรรมของเกาหลีที่ท สืบทอดกันมา
นานเนื่องจากสมัยโบราณของเกาหลีนั้นมีภัยสงคราม ความเป็นอยู่ที่ยาก
ล บาก ยังไม่มีระบบการแพทย์ที่ดีและมีอากาศที่หนาวจึงท ให้เด็กแรก
เกิดมีอัตราการเสียชีวิตสูงเด็กที่อยู่รอดมาจนถึง 1 ขวบนั้นถือว่าเป็นเด็ก
ที่แข็งแรงและโชคดีมากๆ พ่อแม่จึงจัดงานวันเกิดให้อย่างเต็มที่เพื่อ
เ ป็ น ก า ร ฉ ล อ ง วั น เ กิ ด แ ล ะ เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม ดี ใ จ ที่ เ ด็ ก อ ยู่ ร อ ด สุ ข ภ า พ
สมบูรณ์ นอกจากนั้นยังเป็นพิธีแสดงความเคารพต่อเทพที่คอยปกป้อง
เด็กทารก
ำำำ
เทศกาลชูซอก เป็นเทศกาลส คัญของเกาหลี จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ
ผลการเก็บเกี่ยว มีการท พิธีไหว้พระจันทร์ และขอพรให้ได้ผลดีส หรับปีถัด
ไป นอกจากนี้ยังถือเป็นวันครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้ากัน เพื่อไหว้ขอบคุณ
เทพเจ้า ไหว้บรรพบุรุษ เคารพญาติผู้ใหญ่ และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวซึ่งใน
ช่วงเทศกาลคนเกาหลีจะสวมชุดฮันบก
ใ น ช่ ว ง เ ช้ า ข อ ง วั น เ ท ศ ก า ล จ ะ มี ก า ร เ ดิ น ท า ง ไ ป
เยี่ยมญาติผู้ใหญ่ และมีของติดไม้ติดมือไปฝาก
ญาติผู้ใหญ่ด้วย เช่น ผลไม้ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์
เพื่อสุขภาพ เป็นต้น สิ่งที่ต้องเตรียมมาเพื่อ
ไ ห ว้ ข อ บ คุ ณ บ ร ร พ บุ รุ ษ ข้ า ว ที่ เ ก็ บ เ กี่ ย ว ม า
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเค้กข้าวเกาหลี
ำำำ
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้
ชุดฮันบกในอดีตถือเป็นสิ่งส คัญของคนเกาหลีอย่างมาก เนื่องจากใน
อดีตชุดฮันบกถือว่าเป็นเสื้อผ้าประจ วันที่ทุกคนใส่กัน ตั้งแต่กษัตริย์ คนที่
มีชนชั้นสูง ไปจนถึงคนชนชั้นแรงงาน ชุดฮันบกในสมัยนั้นเป็นเหมือนสิ่งที่
วัดและบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของผู้ที่สวมใส่อยู่ว่าเป็นชนชั้นไหนของ
สังคมนั้น ส่วนในปัจจุบันนี้จากการเข้ามาของชาติตะวันตก และชาติอื่นส่ง
ผลให้อารยธรรม วัฒนธรรมการสวมชุดฮันบกก็เปลี่ยนไปเมื่อชาวตะวันตก
และชาติอื่นๆ ได้น วัฒนธรรมต่าง ๆ เข้ามาเผยเเพร่ การใส่เสื้อผ้าหรือชุด
ฮันบกของคนเกาหลีจึงเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถ
เ ห็ น ค น เ ก า ห ลี ส ว ม ชุ ด ฮั น บ ก แ บ บ เ ป็ น กึ่ ง ท า ง ก า ร ห รื อ แ บ บ ท า ง ก า ร ไ ด้ เ เ ค่ ใ น
ช่วงเทศกาลดั้งเดิมและการเฉลิมฉลองวันส คัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด
วันแต่งงาน หรือ วันเทศกาลชูซอก
ดังนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งที่เป็นอารยธรรมหรือวัฒนธรรมต่างๆ ที่
เคยเป็นอยู่ก็จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วย แต่ยังคงเหลือไว้แค่บางสิ่งบาง
อย่างเพียงเท่านั้น โดยชุดฮันบกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย
จนถึงปัจจุบัน จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อ
ให้เข้ากับยุคสมัยและการใช้งานในชีวิตประจ วันเพียงเท่านั้น
ำ
ำำำำ
บรรณานุกรม
ดวงธิดา ราเมศวร์. ประวัติอารยธรรมอาเซีย เกาหลี. พิมพ์ครั้งที่ 1
กรุงเทพฯ : แพรธรรม. (2555).
แทลเลนท์ แมสมีเดีย. ต้นก เนิดอารยธรรมเกาหลี. กรุงเทพฯ : แทลเลนท์
แมสมีเดีย. (2551).
มัลลิกา พงศ์ปริตร และ พวงนิล ค ปังสุ์. หน้าต่างสู่โลกกว้าง : เกาหลี.
กรุงเทพฯ : หน้าต่างสู่โลกกว้าง. (2549).
https://ที่เกาหลีมีอะไร.blogspot.com/2018/03/blog-post.html
(สืบค้น 4 มกราคม พ.ศ.2565)
https://seoulrooms.blogspot.com2014/11/blog-post_30
(สืบค้น 4 มกราคม พ.ศ.2565)
https://www.dek-d.com/nugirl (สืบค้น 5 มกราคม พ.ศ.2565)
h t t p s : / / w w w . b a r e o - i s y s s . c o m / w r i t e r - k a r u n t e e / ฮั น บ ก /
(สืบค้น 4 มกราคม พ.ศ.2565)
https://hmong.in.th/wiki/Hanbok (สืบค้น 5 มกราคม พ.ศ.2565)
https://yyingpmdn.wordpress.com/ประเทศเกาหลี/การแต่งกายประจ
ชาติ/ (สืบค้น 6 มกราคม พ.ศ.2565)
http://www.nfm.go.kr/k-box/ui/hanbok/introduce.do
(สืบค้น 6 มกราคม พ.ศ.2565)
https://pantip.com/topic/37564745 (สืบค้น 14 มกราคม พ.ศ.2565)
https://th.pngtree.com (สืบค้น 18 มกราคม พ.ศ.2565)
https://th.lovepik.com (สืบค้น 18 มกราคม พ.ศ.2565)
ำำำ
จัดท โดย
นางสาวเตชนา กาญจนอนันต์
รหัสนักศึกษา 63121108031
นักศึกษาชั้นปีที่ 2
คณะครุศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ำ