The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nk5331203029, 2021-11-23 04:20:01

E-book อ.จรัส

E-book อ.จรัส

เคร่อื งมอื การบริหารจัดการสถานศกึ ษาสมัยใหม่

School management tools in the modern age

เครอื่ งมอื การบรหิ ารจดั การ
สถานศกึ ษาสมยั ใหม่

School management tools in
the modern age

นายทวิ ตั ถ์ ศริ ปิ ระภา รหสั นักศึกษา 6419050009
คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศลิ ปะศาสตร์
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา

การบรหิ าร (Administration) ผู้บรหิ าร

องคป์ ระกอบของผ้บู รหิ ารท่ดี ี ประเภทคนแยกตามฐาน

การพฒั นาฐานกายของผู้บรหิ าร



การพฒั นาฐานใจของผู้บรหิ าร

ทฤษฎีและการบริหารจัดการศึกษา “การบริหารการศึกษา” หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคล
หลายคนร่วมกันดาเนินการ เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมในทุกๆ ด้าน นับแต่
ในการบริหารสถานศึกษา ผู้บริหารควรมีหลักและ บคุ ลกิ ภาพ ความรู้ ความสามารถ เจตคติ พฤติกรรม คณุ ธรรม เพื่อให้มีค่านิยม
กระบวนการบริหาร การบริหารการศึกษา หลักการแนวคิดในการ ตรงกันกับความต้องการของสังคม โดยกระบวนการต่างๆ ที่อาศัยควบคุม
บริหาร ภาพรวมของการบริหารทั้งน้ีเพ่ือให้การจัดการบริหาร สงิ่ แวดลอ้ มให้มผี ลต่อบุคคล และอาศัยทรัพยากร ตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่าง
สถานศึกษามีความเหมาะสม ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าว เหมาะสม เพื่อให้บุคคลพัฒนาไปตรงตามเป้าหมายของสังคมท่ีตนดาเนินชีวิต
เพ่ือให้เกดิ ความเขา้ ใจและมุมมองในการ บริหารสถานศึกษาย่ิงข้นึ ต่อไป อยู่(ภาวิดา ธาราศรสี ทุ ธิ, 2542: 6)

คาว่า “การบริหาร” (Administration) ใช้ใน คาว่า “สถานศึกษา” หมายความ ว่าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
ความหมายกว้าง ๆ เช่น การบริหารราชการ อีกคาหน่ึง คือ “ การ โรงเรยี น ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและตามอัธยาศัย ศูนย์
จัดการ” (Management) ใช้แทนกันได้กับคาว่า การบริหาร ส่วนมาก การเรียน วิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน สถาบันหรือสถานศึกษาที่เรียกช่ืออย่างอื่น
หมายถงึ การจัดการทางธุรกจิ มากกวา่ โดยมีหลายท่านไดร้ ะบดุ งั นี้ ของรัฐท่ีมีอานาจหน้าท่ีหรือมี วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา ตามกฎหมาย
Peter F. Drucker : คือ ศิลปะในการทางานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับ ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติและตาม ประกาศกระทรวง (พระราชบัญญัติ
ผ้อู น่ื (ภาวดิ า ธาราศรีสทุ ธิ, 2542: 2) ระเบียบขา้ ราชการครู และบคุ ลากรทางการศึกษา, 2547 : 23)
Herbert A. Simon : กล่าวว่าคือ กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป
ร่วมมือกันดาเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลาย
อยา่ งรว่ มกนั (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 2)

การบริหาร หมายถึง ศิลปะในการทาให้ส่ิงต่าง ๆ ได้รับการ
กระทาจนเป็น ผลสาเร็จ กล่าวคือ ผู้บริหารไม่ใช้เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็น
ผู้ใช้ศิลปะทาให้ผู้ปฏิบัติทางานจนสาเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ผู้บริหาร
ตัดสินใจเลอื กแล้ว (Simon)

การบริหาร คอื กระบวนการทางานร่วมกับผู้อื่นเพ่ือให้เกิดผล
สัมฤทธติ์ ามเปา้ หมายอยา่ งมีประสิทธิภาพ

การบริหาร คือ การทางานของคณะบุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป
ท่ีรวมปฏิบัติการใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายร่วมกนั (Barnard)

การบริหารเป็ นทงั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ กระบวนการบริหารการศึกษา

การ บริหารเป็นสาขาวิชาท่ีมีการจัดการระเบียบ จาก หลกั การบริหารทว่ั ไป 14 ขอ้ ของ Fayol ทาให้
ตอ่ มา Luther Gulick ได้นามาปรับต่อยอดเป็นทร่ี ้จู ักกันดใี นตัวอักษรย่อ
อย่างเป็นระบบ คือมีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่พึงเช่ือถือได้ อันเกิดจา ท่ีวา่ “POSDCoRB” กลายเปน็ คัมภรี ์ของการจัดองคก์ ารในต้นยุคของ
ศาสตรก์ ารบริหารซ่ึงตวั ยอ่ แตล่ ะ ตัวมคี วามหมายดังนี้
การคน้ คว้าเชิงวิทยาศาสตร์ เพ่ือประโยชน์ในการบริหาร โดยลักษณะ P – Planning หมายถงึ การวางแผน
O – Organizing หมายถงึ การจัดองคก์ าร
นี้ การบริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science) เป็นศาสตร์สังคม ซ่ึงอยู่กลุ่ม S – Staffing หมายถงึ การจดั คนเขา้ ทางาน
D – Directing หมายถึง การสงั่ การ
เดียวกับวิชาจิตวิทยา สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์แต่ถ้าพิจารณาการ Co – Coordinating หมายถงึ ความร่วมมอื
R – Reporting หมายถึง การรายงาน
บริหารในลักษณะของการปฏิบัติท่ีต้อง อาศัยความรู้ ความสามารถ B – Budgeting หมายถงึ งบประมาณ

ประสบการณ์และทักษะของผู้บริหารแต่ละคน ท่ีจะ ทางานให้บรรลุ

เป้าหมาย ซึ่งเป็นการประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีไปรับใช้

ในการปฏิบัติงานเพ่ือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม

ก า ร บ ริ ห า ร ก็ จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ศิ ล ป์ ( Arts) (ที่ ม า

:http://www.kunkroo.com/admin1.html,) ปัจจัยสาคัญการ

บรหิ ารทส่ี าคญั มี 4 อย่าง ทเ่ี รียกว่า 4Ms ไดแ้ ก่

1. คน (Man)

2 เงนิ (Money)

3. วัสดุสงิ่ ของ(Materials)

4. การจัดการ (Management)

ความหมายของทฤษฎี เทยเ์ ลอร์ ก็คือผลผลิตของยคุ อตุ สาหกรรมในงานวิจัยเร่อื ง “Time and
ทางการบริหารการศกึ ษา Motion Studies” เวลาและการเคล่ือนไหว เชอ่ื วา่ มีวิธีการการทาง
วทิ ยาศาสตรท์ จี่ ะบรรลวุ ตั ถุประสงคเ์ พยี งวิธเี ดยี ว ทีด่ ีทสี่ ุด เขาเชอื่ ในวธิ ีแบ่ง
ทฤษฎี หมายถงึ แนวความคดิ หรือความเช่อื ท่เี กิดข้นึ งานกันทา ผปู้ ฏิบัติระดับลา่ งตอ้ งรับผดิ ชอบต่อระดับบน เทยเ์ ลอร์ เสนอ
อยา่ งมีหลักเกณฑม์ กี ารทดสอบและการสงั เกต จนเปน็ ท่แี น่ใจ ทฤษฎี ระบบการจ้างงาน(จ่ายเงิน)บนพืน้ ฐานการสร้างแรงจูงใจ สรุปหลัก
เป็น เซท(Set) ของมโนทัศนท์ ีเ่ ชอ่ื มโยงซึ่งกนั และกนั เปน็ ขอ้ สรุปอยา่ ง วิทยาศาสตรข์ องเทยเลอรส์ รุปงา่ ยๆประกอบดว้ ย 3 หลักการดงั น้ี
กว้างทพ่ี รรณนาและอธบิ ายพฤตกิ รรมการบริหารองคก์ รการทาง ศึกษา
อย่างเป็นระบบ ถา้ ทฤษฎีไดร้ บั การพสิ ูจน์บอ่ ย ๆ ก็จะกลายเป็น 1. การแบง่ งาน (Division of Labors)
กฎเกณฑ์ ทฤษฎเี ป็นแนวความคดิ ท่ีมเี หตผุ ลและสามารถนาไปประยุกต์ 2. การควบคุมดูแลบงั คบั บญั ชาตามสายงาน (Hierarchy)
และปฏบิ ัตไิ ด้ ทฤษฎมี บี ทบาทในการใหค้ าอธิบายเกย่ี วกับปรากฏทัว่ ไป 3. การจา่ ยค่าจ้างเพ่ือสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment)
และชีแ้ นะการวิจัย

ทฤษฎที างการบริหารและววิ ัฒนาการการบรหิ ารการศึกษา
ระยะที่ 1 ระหว่าง ค.ศ. 1887 – 1945 (ภาวดิ า ธาราศรีสุทธิ, 2542:
10) ยคุ นกั ทฤษฎกี ารบริหารสมัยดัง้ เดมิ (The Classical organization
theory) แบง่ ยอ่ ยเปน็ 3 กลุม่ ดงั น้ี
1.กลุ่มการจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตรข์ องเทยเ์ ลอร์ (Scientific
Management) ของเฟรดเดอริก เทยเ์ ลอร์ (Frederick Taylor)
ความมงุ่ หมายสูงสุดของแนวคดิ เชงิ วิทยาศาสตรค์ ือ จดั การบริหารธุรกจิ
หรือโรงงานใหม้ ปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผลสูงสุด Taylor มองคนงาน
แตล่ ะคนเปรยี บเสมือนเครือ่ งจักรทสี่ ามารถปรบั ปรุงเพ่ือเพม่ิ ผลผลิต
ขององค์การได้ เจา้ ของตารับ “The one best way” คอื ประสิทธภิ าพ
ของการทางานสงู สดุ จะเกดิ ข้นึ ได้ต้องขนึ้ อยู่กับสิ่งสาคญั 3 อย่างคอื
1.1 เลือกคนทม่ี ีความสามารถสงู สุด (Selection)
1.2 ฝึกอบบรมคนงานให้ถกู วิธี (Training)
1.3 หาสิ่งจงู ใจใหเ้ กิดกาลังใจในการทางาน (Motivation)

2. กลุ่มการบริหารจัดการ(Administration Management) หรือ 3. ทฤษฎบี รหิ ารองค์การในระบบราชการ(Bureaucracy) มาจากแนวคิด
ทฤษฎีบริหารองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Organization ของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ที่กล่าวถึงหลักการบริหารราชการ
Theory ) ของ เฮนรี ฟาโยล (Henri Fayol) บิดาของทฤษฎีการ ประกอบด้วย
ปฏิบัติการและการจัดการตามหลักบริหาร ท้ัง Fayol และ Taylor จะเน้น 3.1 หลักของฐานอานาจจากกฎหมาย
ตัวบคุ ลปฏิบตั งิ าน + วธิ กี ารทางาน ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแต่ก็ไม่ 3.2 การแบ่งหน้าทีแ่ ละความรบั ผดิ ชอบ ทตี่ อ้ งยดึ ระเบียบกฎเกณฑ์
มองด้าน “จิตวิทยา” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 17) Fayol ได้เสนอ 3.3 การแบง่ งานตามความชานาญการเฉพาะทาง
แนวคิดในเรื่องหลักเก่ียวกับการบริหารท่ัวไป 14 ประการ แต่ลักษณะที่ 3.4 การแบง่ งานไมเ่ กย่ี วกบั ผลประโยชน์ส่วนตวั
สาคญั มดี งั นี้ 3.5 มรี ะบบความมนั่ คงในอาชพี
2.1 หลักการทางานเฉพาะทาง (Specialization) คอื การแบ่งงานให้เกดิ
ความชานาญเฉพาะทาง จะอย่างไรก็ตามระบบราชการก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซ่ึงในด้าน
2.2 หลักสายบังคบั บญั ชา เรมิ่ จากบังคับบัญชาสงู สดุ สรู่ ะดบั ต่าสดุ ข้อเสีย คือ สายบังคับบัญชายืดยาวการทางานต้องอ้างอิงกฎระเบียบ จึง
2.3 หลกั เอกภาพของบังคับบญั ชา (Unity of Command) ชักช้าไม่ทันการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน เรียกว่า ระบบ “Red tape” ในด้าน
2.4 หลักขอบข่ายของการควบคมุ ดูแล (Span of control) ผู้ดูแลหนึง่ คน ข้อดี คือ ยึดประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก การบังคับบัญชา การเลื่อนข้ัน
ต่อ 6 คนทจ่ี ะอย่ใู ตก้ ารดแู ลจงึ จะเหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพทสี่ ุด ตาแหน่งท่ีมีระบบระเบียบ แต่ในปัจจุบันระบบราชการกาลังถูกแทรกแซง
2.5 การสอ่ื สารแนวด่ิง (Vertical Communication) การสือ่ สารโดยตรง ทางการเมอื งและทางเศรษฐกิจ ทาให้เรม่ิ มีปญั หา
จากเบื้องบนสูเ่ บอื้ งลา่ ง
2.6 หลักการแบง่ ระดบั การบังคบั บัญชาใหน้ ้อยทสี่ ุด คอื ไมค่ วรมสี ายบงั คับ
บัญชายดื ยาว หลายระดับมากเกนิ ไป
2.7 หลักการแบง่ ความรบั ผดิ ชอบระหวา่ งสายบังคับบญั ชาและสายเสนาธิ
การ (Line and Staff Division)

ระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1945 – 1958 (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 10) ยุค ระยะที่ 3 ตัง้ แต่ ค.ศ. 1958 – ปจั จุบัน (ภาวดิ า ธาราศรีสุทธิ, 2542: 11)
ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation ) Follette ได้นาเอาจิตวิทยามา ยคุ การใช้ทฤษฎีการบรหิ าร(Administrative Theory) หรือการศกึ ษาเชงิ
ใช้และไดเ้ สนอ การแกป้ ัญหาความขดั แยง้ (Conflict) ไว้ 3 แนวทางดงั น้ี พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science Approach) ยึดหลักระบบงาน
1. Domination คอื ใช้อานาจอีกฝา่ ยสยบลง คอื ให้อกี ฝ่ายแพใ้ ห้ได้ ไม่ดีนกั + ความสมั พันธ์ของคน + พฤตกิ รรมขององค์การ ซง่ึ มีแนวคิด หลักการ
2. Compromise คือ คนละครึง่ ทาง เพอื่ ใหเ้ หตกุ ารณ์สงบโดยประนปี ระนอม ทฤษฎีทหี่ ลายๆคนได้แสดงไว้ดงั ต่อไปนี้
3. Integration คือ การหาแนวทางที่ไม่มีใครเสียหน้า ได้ประโยชน์ท้ัง 2 ทาง
(ชนะ ชนะ) นอกจากนี้ Follette ให้ทัศนะน่าฟังว่า “การเกิดความขัดแย้งใน 1.เชสเตอร์ ไอ บาร์นารด์ (Chester I Barnard ) เขียนหนงั สอื ชอื่ The
หน่วยงานเปน็ ความพกพร่องของการบริหาร” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 25) Function of The Executive ท่ีกล่าวถงึ งานในหนา้ ทีข่ องผู้บริหารโดยให้
การวิจัยหรือการทดลองฮอร์ทอร์น(Hawthon Experiment) ที่ เมโย(Mayo) ความสาคญั ตอ่ บคุ คลระบบของความ ร่วมมอื องค์การ และเป้าหมายของ
กับคณะทาการวจิ ยั เรม่ิ ท่ขี อ้ สมมตฐิ านวา่ ส่ิงแวดล้อมมผี ลต่อประสิทธิภาพการทา องค์การ กบั ความตอ้ งการของบุคคลในองค์การต้องสมดุลกัน
งานของคนงาน มีการค้นพบจากการทดลองคือมีการสร้างกลุ่มแบบไม่เป็น
ทางการในองค์การ ทาให้เกิดแนวความคิดใหม่ท่ีว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ มี
ความสาคัญมาก ซึ่งผลการศกึ ษาทดลองของเมโยและคณะ พอสรปุ ได้ดงั น้ี
1. คนเป็นส่ิงมีชีวิต จิตใจ ขวัญ กาลังใจ และความพึงพอใจเป็นเร่ืองสาคัญใน
การทางาน
2. เงินไมใ่ ช่ส่งิ ล่อใจทสี่ าคัญแต่เพียงอย่างเดียว รางวัลทางจิตใจมีผลต่อการจูงใจ
ในการทางานไมน่ อ้ ยกวา่ เงิน
3. การทางานข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมมากกว่าสภาพแวดล้อมทาง
กายภาพคบั ทีอ่ ยู่ได้คับใจอยอู่ ยาก

ข้อคิดท่ีสาคัญ การตอบสนองคน ด้านความต้องการศักด์ิศรี การยก
ย่อง จะสง่ ผลต่อประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลในการทางานจากแนวคิด “มนุษย
สัมพันธ์”

2.ทฤษฎีของมาสโลว์ ว่าด้วยการจัดอันดับขั้นของความต้องการของ 3.ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของแมคกรีกอร์ (Douglas MC Gregor Theory
มนุษย์(Maslow – Hierarchy of needs) เป็นเร่ืองแรงจูงใจแบ่งความ X,Theory Y ) เขาได้เสนอแนวคดิ การบรหิ ารอย่บู นพ้นื ฐานของข้อสมมติฐาน
ต้องการของมนุษย์ตั้งแต่ความต้องการด้านกายภาพ ความต้องการด้าน เกย่ี วกบั ธรรมชาติของ มนษุ ยต์ า่ งกัน
ความปลอดภยั ความต้องการด้านสังคม ความต้องการด้านการเคารพ – นับ ทฤษฎี X(The Traditional View of Direction and Control) ทฤษฎนี ้ี
ถือ และประการสุดท้าย คือ การบรรลุศักยภาพของตนเอง (Self เกดิ ขอ้ สมตฐิ านดงั น้ี
actualization) คือมีโอกาสได้พัฒนาตนเองถึงขั้นสูงสุดจากการทางาน แต่ 1. คนไมอ่ ยากทางาน และหลกี เลย่ี งความรบั ผดิ ชอบ
ความตอ้ งการเหลา่ นั้นตอ้ งไดร้ ับการสนองตอบตามลาดับข้ัน 2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไมค่ ิดรเิ รม่ิ ชอบให้การสัง่
3. คนเห็นแก่ตนเองมากกวา่ องคก์ าร
4. คนมักตอ่ ตา้ นการเปล่ยี นแปลง
5. คนมกั โง่ และหลอกง่าย

ผลการมองธรรมชาตขิ องมนษุ ย์เชน่ นี้ การบริหารจดั การจึงเนน้ การใช้
เงิน วตั ถุ เป็นเครอื่ งล่อใจ เน้นการควบคุม การส่งั การ เป็นตน้

ทฤษฎี Y (The integration of Individual and Organization Goal)
ทฤษฎขี ้อนเ้ี กิดจากขอ้ สมตฐิ านดังนี้
1. คนจะใหค้ วามร่วมมอื สนับสนุน รับผิดชอบ ขยนั
2. คนไมเ่ กียจครา้ นและไวว้ างใจได้
3. คนมคี วามคดิ รเิ รม่ิ ทางานถา้ ไดร้ ับการจงู ใจอยา่ งถกู ต้อง
4. คนมักจะพฒั นาวิธีการทางาน และพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ

ผ้บู ังคบั บญั ชาจะไม่ควบคมุ ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาอยา่ งเข้มงวด แตจ่ ะสง่ เสรมิ
ใหร้ จู้ ักควบคมุ ตนเองหรือของกลมุ่ มากข้ึน ต้องให้เกียรตซิ ่ึงกนั และกันจากความ
เช่อื ท่แี ตกตา่ งกัน ทาใหเ้ กดิ ระบบการบรหิ ารทแี่ ตกตา่ งกนั ระหว่างระบบท่เี น้น
การควบคุมกับระบบท่ี ค่อนขา้ งใหอ้ ิสรภาพ

4.อูชิ (Ouchi ) ชาวญี่ปุ่นได้เสนอ ทฤษฎี Z (Z Theory)(William G. ภาวะผู้นา
Ouchi) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UXLA (I of California Los
Angeles) ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X , Y เข้าด้วยกัน ผูน้ า คอื บุคคลท่ไี ดร้ บั มอบหมาย อาจโดยการเลือกตัง้ หรอื แตง่ ตง้ั และเป็น
แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ท่ีควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รัก ทยี่ อมรับของสมาชกิ ให้มอี ิทธพิ ลและบทบาทเหนือกลุม่ สามารถทีจ่ ะจงู ใจชัก
ความเปน็ อสิ ระ และมีความต้องการหน้าท่ีของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมาย นา หรอื ชี้นาให้สมาชกิ ของกลมุ่ รวมพลงั เพ่ือปฏบิ ัติภารกิจต่าง ๆ ของกลุ่มให้
ขององคก์ ารใหส้ อด คลอ้ งกบั เปา้ หมายของบุคคลในองคก์ าร สาเร็จ
สรุปเพ่ือออมชอมสองทฤษฎี มอี งค์ประกอบทสี่ าคัญ 4 ประการคือ
1. การทาใหป้ รชั ญาท่กี าหนดไวบ้ รรลุ สตอ๊ กดลิ ล์ : ภาวะผนู้ า เป็นกระบวนการของการใช้อทิ ธิพลตอ่ กจิ กรรม
2. การพัฒนาผใู้ ต้บงั คับบัญชาให้ทางานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ตา่ งๆ ของกลุ่ม เพอ่ื ต้งั เป้าหมายและบรรลุเป้าหมาย ประกอบดว้ ย 3 ประเด็น
3. การให้ความไวว้ างใจแกผ่ ใู้ ตบ้ ังคับบญั ชา ไดแ้ ก่ อิทธิพล(influence) กลมุ่ (group) และ เปา้ หมาย (goal)
4. การใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบญั ชามสี ว่ นร่วมในการตดั สินใจ
ทศวรรษ 1980 เน้นความสาคัญของบทบาท สร้างความชัดเจนด้าน
ความคิด

สเมอชิชและมอร์แกน : ผู้นา คือ ผูจ้ ัดการดา้ นความหมาย
เฟฟเฟอร์ : ภาวะผูน้ าเป็นการกระทาเชิงสญั ลกั ษณ์ ผู้นามหี น้าท่สี ร้าง
ความสมเหตุสมผล
สรปุ ภาวะผู้นา เปน็ กระบวนการทีผ่ นู้ าชว่ ยสร้างความชัดเจน แก่
ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชาให้รบั รวู้ ่า อะไรคอื ความสาคัญ ใหภ้ าพความเป็นจรงิ แก่
องคก์ ารแก่ผูอ้ น่ื ช่วยใหม้ องเห็นทิศทางและจดุ ม่งุ หมายอย่างชดั เจนภายใต้
ภาวการณ์เปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วของโลก

ภาวะผู้นา หมายถึง การจุดประกายวิสัยทัศน์ให้ผู้อื่นมองเห็น พร้อมท้ัง แบส (Bass) จาแนกความหมายของภาวะผ้นู า ได้ 12 กลมุ่
ปลูกฝังค่านิยมและสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอ้ืออานวยให้สามารถปฏิบัติได้ 1. ในฐานะท่ีเน้นกระบวนการของกลุ่ม
สาเร็จ (Richard & Engle) 2. ในฐานะทเี่ ป็นบคุ ลกิ ภาพและผลของบุคลิกภาพ
3. ในฐานะเป็นการกระทาหรอื พฤตกิ รรม
ภาวะผู้นา เป็นกระบวนการให้จุดมุ่งหมาย (ทิศทางที่มีความหมาย) 4. ในฐานะเปน็ เครอ่ื งมือในการบรรลเุ ปา้ หมาย
เพื่อให้เกิดการรวมพลัง ความพยายาม และความเต็มใจที่จะใช้ความพยายาม 5.ในฐานะเปน็ ผลที่เกดิ ขนึ้ จากปฏสิ มั พันธ์
นัน้ เพ่อื บรรลุเป้าหมาย (Jacobs & Jaques) 6.ในฐานะทเ่ี ป็นความแตกตา่ งของบทบาท
7.ในฐานะทมี่ งุ่ ด้านโครงสรา้ ง
ภาวะผู้นา คือ ความสามารถที่จะก้าวออกมาจากวัฒนาธรรมเดิม เพื่อ 8.ในฐานะเปน็ ศลิ ปะทีก่ อ่ ให้เกิดการยินยอมตาม
เร่ิมกระบวนการวิวัฒนาการและการเปล่ียนแปลงที่ทาให้มีการปรับตัว ได้มาก 9.ในฐานะทเี่ ป็นการใชอ้ ทิ ธิพล
ขนึ้ (Schein) 10.ในฐานะทีเ่ ป็นรูปแบบของการจูงใจ
11.ในฐานะความสมั พนั ธข์ องอานาจ
ภาวะผู้นา เป็นกระบวนการสร้างความสมเหตุสมผล ในการทางาน 12.ในฐานะเป็นการผสมผสานขององค์ประกอบต่าง ๆ
ร่วมกนั ของบคุ คลต่าง ๆ เพือ่ สร้างความเข้าใจและความผูกพันให้เกิดขึ้นกับคน
เหล่านี้ (Drath & Palues) เลธวูด : ภาวะผู้นาแหง่ การเปลี่ยนสภาพจะมลี กั ษะที่ประกอบด้วย 6
ประการ ดงั น้ี
1. การสร้างวิสัยทัศนข์ องสถานศึกษา
2. การกาหนดเปา้ หมายของสถานศกึ ษา
3. การกระตุ้นสรา้ งให้เกดิ ปญั ญา
4. การสนบั สนนุ บุคลากรในแตล่ ะบุคคล
5. การใหค้ วามสาคัญต่อการสร้างผลงานยอดเยี่ยมและคุณค่าสาคัญของ
สถานศึกษา
6. การปฏิบัติงานเปน็ ไปอยา่ งมมี าตรฐานสูงตามท่คี าดหวัง

ทฤษฎแี ละหลกั การบริหารจดั การ 1.กลุ่มคลาสสิก (Classical Organizational Thought) ผู้ท่ีคิดค้น
ทฤษฎีนี้คือ เฟรดเดอร์ริค เทเลอร์ (Frederick w. Taylor) ซ่ึงได้รับการ
ทฤษฎี คือ มวลแนวความคิดต่าง ๆ ที่นามาสร้าง เป็น ยกย่องว่า เปน็ บิดาของทฤษฎีบริหารกลมุ่ คลาสสกิ โดยมีความเชื่อว่า เขา
หลักการอย่างมีเหตุผล ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าทดลองและวิจัยบนพ้ืน สามารถวางหลักเกณฑ์ให้ผู้ปฏิบัติงานมีความสามารถปฏิบัติงานได้อย่าง
ฐานข้อมูลท่เี ป็นจรงิ เคร่ืองจักรที่มีประสิทธิภาพได้ต่อมา ลินคอน เออวิค (Lyndall Urwick)
และ ลูเธอร์ กูลิค (Luther Gulick) ได้ทาการวิจัยพบว่า พฤติกรรมของ
ทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการ การบริหารและการ ผู้บริหารจะประกอบด้วยหลักท่นี ยิ มเรยี กกันว่า POSDCRB
จัดการมักจะเป็นคาที่ใช้เรียกแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริง การบริหารจะ
เน้นในเร่ืองของการจัดการที่เก่ียวข้องกับนโยบายและการนานโยบายไป 2. กลุ่มมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation Approach) ทฤษฎีน้ี
ปฏบิ ัติ โดยมักจะใชก้ ับการบริหารในหน่วยงานของรัฐ ส่วนการจัดการจะใช้ เกิดขึ้นเพือ่ ปรบั ปรุงจุดอ่อนของกลุ่มทฤษฎีคลาสสิก โดยได้มีการทดลองที่
ในงานที่เกย่ี วกับภาคเอกชน Hawthorne Plant ซึ่งกาหนดสมมติฐานว่า “มีความสัมพันธ์ระหว่าง
คณุ ภาพและปริมาณของแสงสว่างกับประสิทธิภาพของงาน” จากผลการ
ทดลอง 3 ครั้ง พบว่า ผลผลิตของคนงานไม่มีความสัมพันธ์กับสภาพของ
แสงสว่างและมีตัวแปรหลายตัวท่ีไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการทดลอง
ต่อมาได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบผลการทดลองที่ Hawthorne
Plant โดยต้ังสมมติฐานว่า สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของการทางานมี
ความ สัมพันธ์กับผลผลิตท่ีได้รับ ผลการทดลองพบว่า พฤติกรรมการ
ทางานของพนักงาน ไม่ได้เกิดจากมาตรฐานงานท่ีองค์การกาหนด
พนักงานรวมตัวกันเป็นโครงสร้างสังคมกลุ่มย่อย อันประกอบด้วย
ปทัสถาน (norms) คา่ นิยม (value) และ จิตใจ (sentiments) ซึ่งส่งผล
ตอ่ พฤติกรรมการทางานของพนักงาน

3. กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science Approach) การคดิ อย่างเป็นระบบ
ทฤษฎนี เ้ี กิดข้นึ โดยการผสมผสานระหวา่ งสอง ทฤษฎีแรก ผนวกกับหลักการ
ทางด้านจิตวิทยา สังคมวิทยา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ เป็นกลุ่ม การคิดอย่างเป็นระบบ หมายถึง การกาหนดองค์ประกอบและการจัด
ทฤษฎีท่ีให้ความสาคัญกับพฤติกรรมทางสังคมหรือพฤติกรรมของกลุ่มย่อยท่ี องค์ประกอบของระบบให้มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นลาดับข้ันตอน เพ่ือ
เหมาะสมกับโครงสร้างการบรหิ ารงานรปู แบบ ซ่ึงอาจตอ้ งใช้ศาสตรก์ ารบริหาร นาไปสู่จุดมุ่งหมายที่กาหนด ซึ่งการสร้างระบบหรือจัดระบบควรมีขั้นตอน
ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา หรือ อื่น ๆ ศาสตร์ ดงั นี้
เหล่าน้ีจัดได้ว่า เป็นตัวแปรท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมกลุ่มย่อย ส่งผลต่อพฤติกรรม 1.การกาหนดจดุ มุง่ หมายของระบบ
การทางานและประสทิ ธภิ าพประสิทธผิ ลของงานในองคก์ าร 2.การศึกษาหลกั การ/ทฤษฎที ีเ่ กยี่ วข้อง
3.การศกึ ษาสภาพการณแ์ ละปัญหาท่ีเกี่ยวขอ้ ง
4. กลุ่มทฤษฎีระบบ ( A System View) ทฤษฎีการบริหารในปัจจุบันได้ 4.การกาหนดองคป์ ระกอบของระบบ
พยายามให้ความสาคัญกับระบบ กล่าวคือ มีปัจจัยป้อน (input)กระบวนการ 5.การจดั กลมุ่ องค์ประกอบของระบบ
(process) และผลผลิต (output) ท่ีมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน กลุ่มทฤษฎี 6.การจดั ความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบ
ระบบแยกเป็น2 กล่มุ คือ 7.การจดั ผงั ระบบ
8.การทดลองใชร้ ะบบ
4.1 ระบบปิด(ระบบเหตุผล) มีความเช่ือว่า องค์การเป็น 9.การประเมนิ ระบบ
เครื่องมือที่ออกแบบมา เพื่อให้การทางานบรรลุวัตถุประสงค์ แนวคิดน้ีมีการ 10.การปรบั ปรุงระบบ
ตัดสินใจ แก้ปัญหาตามเหตุผลบนฐานของกฎเกณฑ์ ระเบียบที่ต้ังไว้ เน้น
ความสนใจเฉพาะภายในระบบขององค์กร

4.2 ระบบเปิด เช่ือว่า องค์การมีศักยภาพที่จะได้รับข้อมูล
ย้อนกลับ เพื่อนาข้อมูลย้อนกลับมาปรับปรุงส่วนต่างๆ ของระบบคือ ปัจจัย
ป้อน กระบวนการ และผลผลิตโดยองค์การท่ีอยู่รอดคือ องค์การที่ปรับตัวได้
สมดุลกับส่ิงแวดล้อม และเป็นองค์การเปิด เน้นความสนใจระบบท้ังในและ
นอกองคก์ าร

การคิดอยา่ งเปน็ ระบบแบบโยนิโสมนสกิ าร System Thinking หมายถงึ วธิ ีการคิดอยา่ งมีระบบ มเี หตุมีผล ทาใหผ้ ลของ
การคิดอยา่ งเป็นระบบแบบโยนิโสมนสกิ าร เปน็ กระบวนการพัฒนา การคดิ หรอื ผลของการแก้ปญั หาท่ีไดน้ นั้ มคี วามถกู ต้อง แม่นยา และรวดเรว็
วธิ ีการคิดอย่างมรี ะบบ จะเป็นหนทางไปสู่การเป็นองคก์ รแห่งการเรียนรู้
ปญั ญาของบคุ คลให้ใชค้ วามคดิ อยา่ งถูกวิธี เปน็ ขั้นทเี่ รมิ่ ใช้ความคิดของ (Learning Organization) ถา้ องคก์ รน้นั ๆ นาไปใชอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและ ยดึ
ตนเองอย่างเปน็ อิสระ ในระบบการศึกษาอบรมโยนโิ สมนสิการเปน็ การฝึก หลักให้ พนกั งานภายในองคก์ ร ตระหนักในการศึกษาหาความรู้อยูเ่ สมอ และ
การใช้ความคดิ ใหร้ ู้จักคิดอย่างถกู วธิ ี คิดอย่างมีระบบ รู้จักคดิ วิเคราะห์อย่าง ผู้บรหิ ารให้ความสาคญั ต่อการฝึกอบรมการเรียนรู้ของพนกั งานองคก์ รแห่งการ
มีเหตุผล ไม่มองเหน็ สิง่ ตา่ ง ๆ อย่างตน้ื ๆ ผวิ เผิน เป็นขั้นสาคญั ในการสรา้ ง เรียนรู้ (Learning Organization) จึงทาให้เกดิ การเรยี นรู้จากตัวเองของพนกั งาน
ปัญญา ทาใหท้ ุกคนชว่ ยตนเองได้ มวี ธิ ีคิดอยู่ 10 วิธี ดงั นี้ แต่ละคน เกดิ การเรียนรู้ของทีมงาน ทาให้เกิดการสร้างวิสัยทศั น์รวม (Shared
1.วธิ ีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั Vision) และเกดิ การเรียนร้รู ่วมกนั อย่างเปน็ ทมี (Team Learning)
2.วิธีคิดแบบแยกแยะสว่ นประกอบ
3.วิธีคดิ แบบสามญั ลกั ษณห์ รอื วิธคี ดิ แบบรเู้ ท่าทนั ธรรมดา หลกั การคดิ หรือการแกป้ ญั หาอยา่ งมีระบบ ประกอบไปด้วย
4.วิธีคิดแบบอริยสัจหรอื คดิ แบบแกป้ ญั หา 1. กาหนดประเด็นปญั หาใหถ้ กู ตอ้ ง อาจกาหนดไดเ้ ปน็ ปญั หาหลกั และปัญหา
รอง
4.1 คดิ ตามเหตผุ ล 2. ระบตุ ัวแปรท้งั หมด ท่ที าใหเ้ กิดปญั หา
4.2 คดิ ตรงจุด 3. กาหนดวิธแี กไ้ ขหรอื พิจารณาทางเลอื กท่ีเป็นไปได้ อาจมีมากกว่า 1 วิธี
5. วธิ คี ิดแบบอรรถธรรมสมั พันธ์ 4. เปรยี บเทยี บวิธแี ก้ไข แต่ละวิธี และประเมินดวู า่ วธิ กี ารใดสามารถจะนาไปสู่
6. วธิ คี ดิ แบบคณุ โทษและทางออก การปฏิบตั ไิ ดแ้ ละจะนาไปสู่การบรรลุผลตามเป้าหมาย
7.วธิ ีคดิ แบบคณุ คา่ แท้-คณุ คา่ เทียม 5. เลอื กวธิ แี ก้ไขท่ีดที ่สี ุด
8. วธิ ีคิดแบบอบุ ายปลกุ เร้าคณุ ธรรม 6. นาไปทดลองปฏบิ ัติ ตามระยะเวลาทีเ่ หมาะสม
9. วธิ ีคิดแบบเป็นอย่ใู นขณะปจั จุบัน 7. ตดิ ตามผลการปฏิบัตงิ านอยา่ งใกลช้ ิด
10. วธิ คี ิดแบบวิภัชวาท 8. แก้ไขเปล่ยี นแปลงจุดท่พี กพร่องในวธิ กี ารปฏบิ ตั งิ าน
9. กาหนดมาตรฐานวธิ ีปฏิบตั งิ าน
10. ส่งั การใหพ้ นักงานปฏิบัติงานตามมาตรฐานทก่ี าหนดอยา่ งเคร่งครดั

ทฤษฎีความซบั ซ้อนเปน็ การพฒั นาวธิ คี ดิ ที่เปน็ องคร์ วม เป็นการมองโลก ทฤษฎีระบบ หรอื การคิดอย่างกระบวนระบบ (Systemic Thinking)
ดว้ ยการสงั เคราะห์ (Synthetic Science) ต่างจากทัศนะทางวิทยาศาสตร์
ทีไ่ ด้รบั อทิ ธิพลจากโลกทศั นแ์ บบจักรกลของนิวตนั ทม่ี องโลกด้วยการ เปน็ การมองโลกอยา่ งเป็นองค์รวม เปน็ พ้ืนฐานของท้ัง 3 ทฤษฎี มีคุณสมบัตทิ ี่
วิเคราะหอ์ ย่างแยกสว่ น (Analytic Science) ซึ่งมี 3 ทฤษฎีทคี่ ล้ายกนั สาคัญ 5 ประการคอื
พฒั นาต่อยอดกนั มาอย่างแยกกนั ไม่ออกได้แก่ – ระบบใหญ่ไมใ่ ชผ่ ลรวมของส่วนประกอบย่อย แตเ่ ปน็ คุณภาพใหม่ทเ่ี กิดจาก
ปฏสิ ัมพันธ์ขององคป์ ระกอบย่อย ซ่ึงไมส่ ามารถเข้าใจจากการแยกศึกษาทลี ะ
ทฤษฎีระบบ (Systemic Theory) ไดร้ บั การพัฒนามากอ่ น จาก สว่ นประกอบได้
พืน้ ฐานวชิ า Cybernetic กลศาสตร์การควบคุมกลไก หนงั สือ จุดเปลี่ยน – ระบบมีโครงสร้างทซ่ี ้อนกนั อยู่เปน็ ชั้นๆ ( Hierarchy ) เช่น คน
แหง่ ศตวรรษ ของ ฟริตจอ๊ ฟ คาปร้า เป็นการมองอย่าง System Theory ที่ ประกอบดว้ ยส่วนย่อยคือเซลท่รี วมกันเป็นระบบ แตค่ นก็เป็นองคป์ ระกอบย่อย
ชัดเจน ของระบบนเิ วศน์ ระบบซับซ้อนจะซ้อนกนั เป็นชัน้ และทกุ อย่างสามารถ
เชือ่ มโยงถึงกันท้งั หมด ท่าน ตชิ นทั ฮัน จึงตอบวา่ กระดาษหนึ่งแผ่นทใ่ี ห้ดูนนั้
ทฤษฎไี ร้ระเบยี บ ( Chaos Theory ) ตัวอย่างทีโ่ ด่งดังของทฤษฎนี ี้คอื มองเหน็ ดวงอาทิตยแ์ ละก้อนเมฆในกระดาษนั้นดว้ ย
“ ผลกระทบผีเสื้อ หรอื Butterfly Effect ” กล่าวคอื ผเี ส้อื ใหญ่ตัวหนึง่ – การจะเขา้ ใจระบบน้นั ตอ้ งมองบรบิ ท ( Context ) หรอื ปจั จยั แวดล้อม
กระพอื ปีกท่ฮี อ่ งกง สามารถทาใหด้ นิ ฟา้ อากาศท่ีแคลิฟอรเ์ นยี เปล่ียนแปลง โดยรอบด้วย โดยเฉพาะระบบเปดิ ทมี่ ีชีวิตนนั้ ไมอ่ าจมองเป็นเส้นตรงได้ ตอ้ ง
ได้เมอ่ื 1 เดือนใหห้ ลัง หรือ สาเหตเุ บ้ืองตน้ เพยี งนิดเดียว ในเง่อื นไขท่ี มองอยา่ งเช่อื มโยงและสมั พนั ธ์กันทั้งหมด
เหมาะสม สามารถกอ่ เกิดการเปลี่ยนแปลงท่ใี หญห่ ลวงได้ – ต้องเข้าใจความสมั พันธ์และปฏิสัมพนั ธ์ ( Feedback ) การจะเข้าใจ
ปรากฏการณใ์ ดต้องเขา้ ใจถงึ ความสัมพันธ์ของปัจจัยตา่ งๆทเี่ ขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง
ทฤษฎคี วามซบั ซ้อน ( Complexity Theory ) ลักษณะที่สาคญั ของ – การย้ายวิธีคิดแบบโครงสร้าง (Structure) มาสู่กระบวนการ (Process) ถา้
ระบบซบั ซ้อนคอื การผุดบงั เกดิ ( Emergence ) ซ่ึงหมายถงึ คณุ สมบตั ิ ประยุกต์ใช้ในเชงิ สงั คม การมองแบบโครงสร้างเราจะเหน็ กรอบอนั เข้มแขง็ ยาก
ของระบบรวมท่ีแตกตา่ งไปจากผลรวมของส่วนประกอบย่อยท้ังหมด เช่น จะเปล่ียนแปลง แต่ถ้าหันมามอง กระบวนการ เราจะเหน็ จดุ ออ่ น ช่องทางของ
สมองมเี ซลสมองนับลา้ นเซล แตล่ ะเซลไมม่ ีคุณสมบตั ิทีจ่ าอะไรได้ แต่เมือ่ ความสมั พันธ์ทจี่ ะเข้าไปปรบั เปลีย่ นได้
รวมกันเป็นระบบสมองสามารถมีความจาได้ เป็นตน้ นีเ่ รียกวา่ การผุด
บงั เกดิ


Click to View FlipBook Version