The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายนาฏศิลป์ของการแสดงภาคเหนือในชุดการแสดงฟ้อนล้านนาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Paweethida Khrueangkham, 2022-08-28 00:33:02

รายงานนาฏศิลป์

รายนาฏศิลป์ของการแสดงภาคเหนือในชุดการแสดงฟ้อนล้านนาไทย

10

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์

นาฏศิลป์ไทย จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอย่างหนึ่งที่เราควรเรียนรู้
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ดังนี้

ความหมาย
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุ ทธศักราช ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมาย

ของคำว่า “นาฏศิลป์” ไว้ว่า
“เป็นศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ” นอกจากนี้ยังมีนักการศึกษาและท่านผู้รู้ได้
ให้นิยามความหมายของนาฏศิลป์แตกต่างกันออกไป ดังนี้

๑. ความช่ำชองในการละครและฟ้อนรำ
๒. ศิลปะการละครหรือการฟ้อนรำของไทย
๓. การร้องรำทำเพลง เพื่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ
๔. การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นโดยการเลียนแบบท่าธรรมชาติด้วยความ
ประณีตลึกซึ้ง
๕. ศิลปะการฟ้อนรำหรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์
ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความงามอย่างมีแบบแผน
นาฏศิลป์ หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ
เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าว
อารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลง
ดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า
ศิลปะของการร้องรำทำเพลง

11

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์

การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่ง
ของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี
ดนตรี และนาฏศิลป์ นาฏศิลป์นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว ยัง
เป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็น
ศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป

จากความหมาย และนิยามดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า นาฏศิลป์มีความ
เกี่ยวข้องกับศิลปะด้านการละคร การฟ้อนรำ การเคลื่อนไหวอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งมือ
แขน ขา ลำตัว และใบหน้าเพื่อถ่ายทอดความหมาย และอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึก
สะเทือนอารมณ์และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน

12

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์

ที่มา
สันนิษฐานว่านาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อม ๆ กับชนชาติไทย ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
นาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย คติ และความ
เชื่อของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทยน่าจะมีที่มาจาก ๔ แหล่ง ดังนี้
๑. จากการเลียนแบบธรรมชาติ
กิริยาท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์จะบ่งบอกความหมาย และสื่อความหมายกับ
ผู้อื่นได้ควบคู่ไปกับการพู ด ในการฟ้อนรำจะช่วยให้ท่ารำสื่อความหมายกับผู้ชมเช่น
เดียวกัน จะเห็นได้ว่าการแสดงบางชุดจะไม่มีเนื้อร้อง แต่มีทำนองเพลงเพียงอย่างเดียว
นักแสดงก็จะฟ้อนรำไปตามทำนองเพลงนั้น ๆ ด้วยลีล่าท่ารำต่าง ๆ ลีลาท่ารำเหล่านี้ก็
เป็นท่าทางธรรมชาติที่ใช้สื่อความหมาย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการให้ผู้ชมเข้าใจความหมาย
ในการรำ และใช้ท่ารำในการดำเนินเรื่องด้วย ถึงแม้ว่าท่ารำส่วนใหญ่จะมีลีลาที่วิจิตร
สวยงาม กว่าท่าทางธรรมชาติไปบ้างแต่ก็ยังคงใช้ท่าทางธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการ
ประดิษฐ์ท่ารำ และเลือกใช้ได้เหมาะสมบ่งบอกความหมายได้ถูกต้อง เช่น หากต้องการ
บ่งบอกถึงบุคคลอื่นก็จะชี้ไป เป็นต้น ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าท่ารำเกิดจากการเลียนแบบ
ท่าทางธรรมชาติ
๒. จากการละเล่นของชาวบ้าน
หลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจในแต่ละวันชาวบ้านก็หาเวลาว่างมาร่วมกัน ร้องรำ
ทำเพลง
โดยมีการนำเอาดนตรีมาประกอบด้วย และตามนิสัยของคนไทยที่เป็นคนเจ้าบท
เจ้ากลอนชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้น
โดยจะมีลูกคู่ คอยร้องรับกันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายอย่าง
หนึ่ง เพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวัน
๓. จากการแสดงที่เป็นแบบแผน
เป็นที่ทราบกันดีว่า นาฏศิลป์ไทยที่เป็นมาตรฐานจะได้รับ การปลูกฝัง และถ่ายทอด
มาจากปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยในวังหลวง ที่ฝึกให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่ในวังเป็น
นักแสดงโขน และละคร เพื่อใช้การแสดงในโอกาสต่าง ๆ และจากการที่นาฏศิลป์ไทยบาง
ส่วนได้รับการถ่ายทอดมาจากวังหลวงนี้เอง

13

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์

ทำให้ทราบว่านาฏศิลป์ไทยมีที่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี เพราะได้มีการจารึกไว้ใน
หลักศิลาจารึกหลักที่ ๘ ว่า “ระบำ รำ เต้น เล่น ทุกฉัน” ซึ่งศิลปะการฟ้อนรำก็ได้รับ
การสืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนำศิลปะการฟ้อน
รำที่เป็นแบบแผนมาสู่ระบบการศึกษา ซึ่งบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนนาฏศิลป์
หรือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน

๓.จากการรับอารยธรรมของอินเดีย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่ และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่
โบราณกาล โดยเฉพาะการละครในอินเดียรุ่งเรืองมาก ประกอบกับชนชาติอินเดีย
นับถือ และเชื่อมั่นในศาสนา พระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ พระผู้เป็นเจ้าที่
ชาวอินเดียได้แก่ พระศิวะ(พระอิศวร) พระวิษณุ และพระพรหม ในบางยุคของชาว
อินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก ยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็น
นาฏราช (ราชาแห่งการร่ายรำ) มีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ในการร่ายรำ
ของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ แล้วนำมาสั่ง
สอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
องค์ประกอบของนาฏศิลป์ไทย
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า นาฏศิลป์ได้หมายรวมไปถึงการร้องรำทำเพลง ดังนั้นองค์
ประกอบของนาฏศิลป์ก็จะประกอบไปด้วยการขับร้อง การบรรเลงดนตรี และการฟ้อน
รำ ทั้งนี้เพราะการแสดงออกของนาฏศิลป์ไทยจะต้องอาศัยบทร้อง ทำเพลงประกอบ
การแสดง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมาเป็นนาฏศิลป์ไทยได้จะต้องประกอบไปด้วยองค์
ประกอบสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
๑ การฟ้อนรำ
เป็นท่าทางของการเยื้องกรายฟ้อนที่สวยงาม โดยมีมนุษย์เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
เหล่านั้น ให้ถูกต้องตามแบบแผน รวมทั้งบทบาท และลักษะของตัวละคร ประเภท
ของการแสดงและการสื่อความหมายที่ชัดเจน
๒ จังหวะ
เป็นส่วนย่อยของบทเพลงที่ดำเนินไปเป็นระยะและสม่ำเสมอ การฝึกหัดนาฏศิลป์ไทย
จำเป็นต้องใช้จังหวะเป็นพื้ นฐานในการฝึกหัดเพราะจังหวะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจาก
ธรรมชาติและมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน

ประวัติความเป็นมา

14

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์

๓ เนื้อร้องและทำนองเพลง
การแสดงลีลาท่ารำแต่ละครั้งจะต้องสอดคล้องตามเนื้อร้อง และทำนอง
เพลง ทั้งนี้เพื่อบอกความหมายของท่ารำ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกในการ
แสดงได้ตามเนื้อเรื่อง ตลอดจนสามารถ สื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจตรงกันได้
เช่น การแสดงอารมณ์รัก ผู้รำจะประสานมือทาบไว้ที่หน้าอก ใบหน้ายิ้มละไม
สายตามองไปยังตัวละครที่รำคู่กัน เป็นต้น
๔ การแต่งกาย
ในการแสดงนาฏศิลป์ สามารถบ่งบอกถึงยศ และบรรดาศักดิ์ของนัก
แสดงละครตัวนั้น ๆ โดยเฉพาะการแสดงโขน การแต่งกายจะเปรียบเสมือนแทน
สีกายของตัวละคร เช่น เมื่อแสดงเป็นหนุมาน นักแสดงจะต้องแต่งกายด้วยชุด
สีขาวมีลายปักเป็นลายทักษิณาวัตร สวมหัวโขนลิงสีขาว ปากอ้า เป็นต้น
๕ การแต่งหน้า
เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้นักแสดงสวยงาม และอำพรางข้อบกพร่อง
บนใบหน้าของนักแสดงได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้วิธีการแต่งหน้า เพื่อบอก
วัยบอกลักษณะเฉพาะของตัวละครได้ เช่น แต่งหน้านักแสดงหนุ่มให้เป็นคนแก่
แต่งหน้าให้นักแสดงเป็นตัวตลก เป็นต้น
๖ เครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบการแสดง
การแสดงนาฏศิลป์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องดนตรีบรรเลง
ประกอบการแสดงดังนั้นนักแสดงจะต้องรำให้สอดคล้องตามเนื้อร้อง และ
ทำนองเพลง ในขณะเดียวกันดนตรีก็เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการช่วย
เสริมให้การแสดงสมบูรณ์ และสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยัง
ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการแสดงให้สมจริงยิ่งขึ้นด้วย
๗ อุปกรณ์การแสดงละคร
การแสดงนาฏศิลป์ไทยบางชุด อาจต้องมีอุปกรณ์ประกอบการแสดง
ละครด้วย เช่น ระบำพัด ระบำนกเขา ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนร่ม เป็นต้น
อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ใช้ประกอบการแสดงจะต้องมีความสมบูรณ์ สวยงาม และ
สวมใส่ได้พอดี นักแสดงจะต้องมีทักษะในการใช้อุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว
สามารถจัดวางตำแหน่งให้อยู่ในระดับที่ถูกต้องสวยงาม

15

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ล้านนา

นาฏศิลป์ล้านนา หรือ ฟ้อนล้านนา เป็นศิลปะการแสดงทาง ภาคเหนือ
ของ ประเทศไทย ปรากฏอยู่ในการฟ้อนประเภทต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงที่มีความเข้ม
แข็ง หนักแน่นในแบบฉบับของการตีกลองสะบัดชัยและการตบมะผาบ การแสดงพื้นเมือง
ภาคเหนือนอกจะมีลักษณะเป็นแบบพื้นเมืองเดิม ไทยลานนา ไทยใหญ่ เงี้ยวรวมถึงพม่า
ผสมกันอยู่แล้ว ยังรวมถึงการแสดงของภาคกลางรวมอยู่ด้วย

ลักษณะการฟ้อนแบบพื้นเมืองเดิม เช่น ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน
เป็นต้น ลักษณะการฟ้อนที่ได้รับอิทธิพลจากชาติอื่น อาทิ พม่า ไทยใหญ่ เงี้ยว เช่น ฟ้อน
ไต ฟ้อนโต ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น ลักษณะการฟ้อนแบบคุ้มหลวง เป็นการฟ้อนที่เกิดขึ้นใน
คุ้มของ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งมีลักษณะการฟ้อนของภาคกลางผสมอยู่ เช่น
ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนน้อยใจยา เป็นต้น

การร้อง
การร้องแบบภาคเหนือแบ่งออกเป็น หลายอย่าง โดยการร้องจะมีความหลากหลาย
ของทำนองเพื่อไม่ให้ผู้ฟังเกิดการเบื่อหน่าย เช่น ทำนอง ตั้งเชียงใหม่ อื่อ ล่องน่าน
เชียงแสน เงี้ยวสิบชาติ ปั่ นฝ้าย พม่า น่านก๋าย จะปุ เป็นต้น
การฟ้อน
การฟ้อน คือการแสดงของชาวเหนือโดยมีลีลาอ่อนช้อยงดงามการฟ้อนจะฟ้อนไป
ตามจังหวะของดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้มักเป็นเครื่องดนตรีของพื้นเมืองเกือบทุกชนิดไม่
ว่าจะเป็นสะล้อ ซึง กลองต่าง ๆ เป็นต้น ชาวอำเภอป่าแดดมักใช้ฟ้อนในงานสำคัญต่าง
ๆ เช่นงานบุญงานทาน งานฉลอง งานรื่นเริง โดยการฟ้อนอาจแบ่งเป็นฟ้อนผู้หญิง
ฟ้อนผู้ชาย
ป้จจุบันผู้หญิงอาจฟ้อนของผู้ชาย ผู้ชายฟ้อนของผู่หญิงก็ได้ไม่ผิด โดยหลัก ๆ
ฟ้อนแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ใหญ่ ๆ คือ
ฟ้อนบ่าเก่า (ฟ้อนโบราณ)
ฟ้อนประดิษฐ์ในพระราชสำนัก
ฟ้อนแบบเงี้ยว และ
ฟ้อนประยุค

16

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ภาคเหนือ

ภาคเหนือ มีการแสดงหรือการร่ายรำที่มีจังหวะช้า ท่าหยาบนุ่มนวล เพราะมีอากาศเย็น
สบาย ทำให้จิตใจของผู้คนมีความนุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพู ดก็นุ่มนวลไปด้วย เพลงมี
ความไพเราะ อ่อนหวาน ผู้คนไม่ต้องรีบร้อนในการทำมาหากิน สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีอิทธิพล
ต่อการแสดงนาฏศิลป์ของภาคเหนือ

นาฏศิลป์ของภาคเหนือ เช่น ฟ้อนเมือง(ฟ้อนเล็บ ฟ้อนก๋ายลาย)ฟ้อนเทียน ฟ้อนจ้อง
ฟ้อนวี ฟ้อนขันดอก ฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง(ฟ้อนเจิง)ตีกลองสะบัดไชย ฟ้อนสาวไหม ฟ้อน
น้อยไจยา
ฟ้อนหริภุญชัย ฟ้อนล่องน่าน ฟ้อนแง้น เป็นต้น นอกจากนี้ นาฏศิลป์ของภาคเหนือยังได้
รับอิทธิพลจากประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า ลาว จีน และวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย
เช่น ไทยใหญ่ เงี้ยว ชาวไทยภูเขา ยอง เป็นต้น

ดังนั้น นาฏศิลป์พื้นเมืองของภาคเหนือนอกจากมีของที่เป็น "คนเมือง" แท้ๆ แล้ว
ยังมีนาฏศิลป์ที่ผสมกลมกลืนกับชนชาติต่างๆ และของชนเผ่าต่างๆ อีกหลายอย่าง เช่น
อิทธิพลจากพม่า เช่น ฟ้อนกำเบ้อ ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา นาฏศิลป์ของชนเผ่าต่างๆ เช่น
ฟ้อนนก (กิงกาหล่า - ไทยใหญ่) ฟ้อนเงี้ยว (เงี้ยว) ระบำซอ ระบำเก็บใบชา(ชาวไทยภูเขา)
ฟ้อนไต ฟ้อนไตอ่างขาง ฟ้อนนกยูง เป็นต้น

17

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของอาณาจักรล้านนา

ที่มา พญามังราย กษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยาง องค์ที่ ๒๕ ในราชวงศ์ลาวจัง
กราชปู่เจ้าลาวจก ได้เริ่มตีเมืองเล็กเมืองน้อย ตั้งแต่ลุ่มน้ำแม่กก น้ำแม่อิง และแม่น้ำปิง
ตอนบน รวบรวมเมืองต่างๆให้เป็นปึกแผ่น นอกจากเงินยางแล้ว ยังมีเมืองพะเยาของ
พญางำเมืองพระสหาย ซึ่งพญามังรายไม่ประสงค์จะได้เมืองพะเยาด้วยการสงคราม แต่
ทรงใช้วิธีผูกสัมพันธไมตรีแทน หลังจากขยายอำนาจระยะหนึ่ง พระองค์ทรงย้าย
ศูนย์กลางการปกครอง โดยสร้างเมืองเชียงรายขึ้นแทนเมืองเงินยาง เนื่องด้วย
เชียงรายตั้งอยู่ริมน้ำแม่กกเหมาะเป็นชัยสมรภูมิ ตลอดจนทำการเกษตรและการค้าขาย

หลังจากได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่เมืองเชียงรายแล้ว พระองค์ก็ได้ขยาย
อาณาจักรแผ่อิทธิพลลงทางมาทางทิศใต้ ขณะนั้นก็ได้มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน
อยู่แล้วคือ อาณาจักรหริภุญชัย มีนครลำพู นเป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ในชัยสมรภูมิที่เหมาะ
สมประกอบด้วยมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านได้แก่แม่น้ำกวงและแม่น้ำปิงซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่
ไหลลงสู่ทะเลเหมาะแก่การค้าขายและการป้องกันพระนคร มีนครลำปางเป็นเมืองหน้าด่าน
คอยป้องกันศึกศัตรู สองเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีกษัตริย์ปกครองอย่างเข้มแข็ง การที่จะ
เป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้ได้จะต้องตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ พระองค์ได้รวบรวมกำลัง
ผู้คนจากที่ได้จากตีเมืองเล็กเมืองน้อยรวมกันเข้าเป็นทัพใหญ่และยกลงใต้เพื่ อจะตี
อาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ โดยเริ่มจากตีเมืองเขลางค์นคร นครลำปางเมืองหน้าด่านของ
อาณาจักรหริภุญชัยก่อนเมื่อได้เมืองลำปางแล้วก็ยกทัพเข้าตีนครลำพู น(แคว้นหริภุญชัย)
พระองค์เป็นกษัตริย์ชาตินักรบมีความสามารถในการรบไปทั่วทุกสารทิศ สามารถทำศึก
เอาชนะเมืองเล็กเมืองน้อยแม้กระทั่งอาณาจักรหริภุญชัยแล้วรวบเข้ากับอาณาจักรโยนก
เชียงแสนได้อย่างสมบูรณ์

18

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของอาณาจักรล้านนา

ที่มา(ต่อ) หลังจากพญามังรายรวบรวมอาณาจักรหริภุญชัยเข้ากับโยนก
เชียงแสนเสร็จสิ้นแล้ว ได้ขนามนามราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ว่า "อาณาจักรล้านนา"
พระองค์มีดำริจะสร้างราชธานีแห่งใหม่นี้ให้ใหญ่โตเพื่ อให้สมกับเป็นศูนย์กลางการ
ปกครองแห่งอาณาจักรล้านนาทั้งหมด พร้อมกันนั้นก็ ได้อัญเชิญพระสหายสนิทร่วม
น้ำสาบานสองพระองค์ได้แก่ พญางำเมืองแห่งเมืองพะเยา และ พ่อขุนรามคำแหงแห่ง
สุโขทัย มาร่วมกันสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ในสมรภูมิบริเวณที่ลุ่มริมฝั่ งมหานทีแม่ระ
มิงค์ (แม่น้ำปิง) โดยตั้งชื่อราชธานีแห่งใหม่นี้ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" แต่ก่อน
ที่จะตั้งเมือง พระองค์ทรงได้สร้างราชธานีชั่วคราวขึ้นก่อนแล้ว ซึ่งก็เรียกว่า เวียงกุม
กามแต่เนื่องจากเวียงกุมกามประสบภัยธรรมชาติใหญ่หลวงเกิดน้ำท่วมเมืองจนกลาย
เป็นเมืองบาดาล ดังนั้นพระองค์จึงได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.
๑๘๓๙ และได้เป็นศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักรล้านนานับแต่นั้น นครเชียงใหม่
มีอาณาเขตบริเวณอยู่ระหว่างเชิงดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ) และ บริเวณที่ราบฝั่ งขวา
ของแม่น้ำปิง (พิงคนที) นับเป็นสมรภูมิที่ดีและเหมาะแก่การเพาะปลูกเนื่องจากเป็น
บริเวณที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหลผ่าน


Click to View FlipBook Version