ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ ชุดกิจกรรมการแต่งกาย อรไพลิน เหลาสุวรรณ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบันฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566
ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ ชุดกิจกรรมการแต่งกาย อรไพลิน เหลาสุวรรณ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบันฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566
ก บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ผู้วิจัย อรไพลิน เหลาสุวรรณ ปีที่ทำการวิจัย 2566 การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญาก่อนและหลังการฝึกโดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ของนักเรียนระดับชั้นเตรียมความพร้อม ระหว่างก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับชั้นเตรียมความพร้อม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1.แผนการสอนเฉพาะบุคคลโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ด้านการแต่งกาย 2.ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันด้านการแต่งกาย 3.แบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test สำหรับ Dependent Sample
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่องความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีทั้งนี้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก ท่านอาจารย์นนท์ณภัสทร์ วนกาญจน์กุล และ อาจารย์โฆษิต พรประเสริฐ อาจารย์ประจำวิชาที่ได้กรุณา เสียสละเวลาให้คำปรึกษาแนะนำและชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆอันเป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัยทำให้ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความสมบูรณ์ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาพิเศษที่ได้ มอบความรู้ให้แก่ผู้วิจัยตลอดระยะเวลาที่ศึกษาในสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ ขอขอบพระคุณเจ้าของวิจัยทุกเล่ม ที่ข้าพเจ้าได้นำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษาทำให้งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครู และคุณครูพี่เลี้ยง ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัด หนองคาย ที่ได้กรุณาเสียสละเวลาให้คำปรึกษาแนะนำชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆอันเป็นประโยชน์แก่ ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณบิดาและมารดาที่ให้โอกาสให้กำลังใจและให้การสนับสนุนเรื่องการศึกษาเสมอมา ตลอดระยะเวลาของการทำวิจัยฉบับนี้ ขอขอบคุณเพื่อนๆนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานีที่คอยให้กำลังใจให้ความร่วมมือและคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี อรไพลิน เหลาสุวรรณ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ……………………………………………………………………………………………………………………..…… ก กิตติกรรมประกาศ …………………………………………………………………………………………………………….. ข สารบัญ ……………………………………………………………………………………………………………………………. ค บทที่1 บทนำ …………………………………………………………………………………………………………………… 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ………………………………………………………………….……….. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ……………………………………………………………………………………………….. 2 สมมุติฐานของการวิจัย …………………………………………………………………………………………………… 2 ขอบเขตของการวิจัย ……………………………………………………………………………………………………… 2 นิยามศัพท์เฉพาะ …………………………………………………………………………………………..……………… 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ……………………………………………………………………….………………… 4 กรอบแนวคิด .................................................................................................................. ............. 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………………………………….. 5 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา……………………………………………........ 6 1.1 ความหมายของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา …………………………………………………. 6 1.2 ระดับความรุนแรงของความบกพร่องทางสติปัญญา……………………………………………………… 8 1.3 ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา.………………………………………………………… 12 1.4 หลักการที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา…………………………………………………………………….. 14 1.5 เทคนิควิธีการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา………………….... 16 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง ……………………………………………………… 17 2.1 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง ………………………………………………………………………….. 17 2.2 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง …………………………………………………………….. 18 2.3 วิธีการฝึกการช่วยเหลือตนเอง …………………………………………………………………………………... 18 2.4 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ………………………………………………….. 19 2.5 งานวิจัยเกี่ยวกับการช่วยเหลือตนเอง ……………………………………………………………................ 20 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกกิจกรรม…………………………………………………………………………….... 21 3.1 ความหมายของชุดฝึกกิจกรรม………………………………………………………………………............... 21
ง สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า 3.2 ประเภทของชุดฝึกกิจกรรม.................................................................................................... 23 3.3 ประโยชน์ของชุดฝึกกิจกรรม …………………………………………………………………………............. 24 3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกกิจกรรม………………………………………………………………………….. 25 บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย …………………………………………………………………………………………........... 27 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง …………………………………………………………………………………………. 27 2. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง.………………………………………………................................................ 28 3. ขั้นตอนการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ…………………………………………….... 28 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ……………………………………………….………………………………………………. 31 4.1 แบบแผนการทดลอง.......................................................................................................... 31 5.วิธีดำเนินการทดลอง …………………………………………………………………………………………………… 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………….……………… 33 33 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………………………….... 34 1. ผลการวิจัย …………………………………………………………………………………………......................... 35 บทที่5 สรุปและอภิปรายผล............................................................................................................ 40 ความมุ่งหมายของการวิจัย.................................................................................................... ...... 40 สมมติฐานในการวิจัย........................................................................................................... ........ 40 ความสำคัญของการวิจัย......................................................................................................... ..... 40 ขอบเขตการวิจัย............................................................................................................... ........... 40 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................... ........... 41 ขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ................................................................ 41 การวิเคราะห์ข้อมูล ................................................................................................................... 45 สรุปผลการวิจัย............................................................................................................... ............ 45 อภิปราย...................................................................................................................... ............... 46 ข้อสังเกต.................................................................................................................... ................ 47 ประวัติผู้วิจัย.............................................................................................................. .................. 62
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 คะแนนการประเมินผลการเรียนรู้............................................................................. 37 2 การเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย …………………………………….. 39 3 แบบประเมินพัฒนาการในการเรียนรู้ของนักเรียน …………………………………………… 58 4 แบบประเมินพัฒนาการในการเรียนรู้ของนักเรียน …………………………………………… 59 5 แบบประเมินพัฒนาการในการเรียนรู้ของนักเรียน …………………………………………… 60
สารบัญรูปภาพ ภาพที่ หน้า 1 รูปภาพคะแนนการประเมิน...................................................................................... 37 2 รูปภาพการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย................................. 40 3 ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกายของผู้เรียน...................................................................... 62 4 ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกายของผู้เรียน ……………………………………........................... 63 5 รูปภาพผู้วิจัย ……………………………………………......................................................... 64
บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา โดยธรรมชาติบุคคลแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องชาติกำเนิดของแต่ละบุคคล ฐานะ ความเป็นอยู่ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาด้านการศึกษาของมนุษย์ คือเรื่องของสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลความแตกต่างของระดับสติปัญญาในแต่ ละบุคคลนี่เอง เป็นปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไข ทั้งในด้านของวิธีการ และรูปแบบของการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิด ความเหมาะสมและ สามารถที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิผล การศึกษาจึงถือเป็นตัวแปร สำคัญที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะวัยเด็กเป็นช่วงวัยที่สามารถให้การศึกษาและเกิดการพัฒนาได้มาก ที่สุด บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจในด้านการวางแผนพัฒนา ด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดความถูกต้องเหมาะสม และให้เกิดสัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริง การช่วยเหลือเด็กที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญาในทุกๆ ด้านควรกระทำทันทีที่ทราบว่าเด็กมีความบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อส่งเสริม ให้เด็กมีพัฒนาการใกล้เคียงกับเด็กปกติมากที่สุด ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่าการส่งเสริมพัฒนาการระยะแรกเริ่ม (Early Intervention) เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการให้ใกล้เคียงกับเด็กปกติมากที่สุด และเร็วที่สุดตาม ศักยภาพของเด็กที่มีอยู่ โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะดูแลตนเองในเรื่องการทำกิจวัตรประจำวันซึ่งเป็นพื้นฐาน สำคัญสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตประจำวันและเกิด พัฒนาการในด้านอื่นๆ เนื่องจากเด็กทุกคนมีช่วงพัฒนาการช้าหรือเร็วต่างกัน ในช่วงแรกของชีวิตเป็นเวลาที่ดี ที่สุดในการเรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง ช่วงเวลานี้เด็กจะต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพเด็กต้องการช่วยเหลือตนเอง เด็ก ต้องทำงานหนักตามความสามารถที่มีอยู่ในแต่ละคน เพื่อพยายามที่จะเรียนรู้วิธีช่วยเหลือตนเอง ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของการเรียนรู้ (สมเกตุ อุทธโยชา. 2539: 1) สำหรับเด็กบกพร่องทางสติปัญญานั้น การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเป็นการเรียนรู้ จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันที่เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาจะต้องเรียนรู้และจัดกระทำด้วย ตนเองเพื่อไม่เป็นภาระของผู้อื่น เพราะในชีวิตประจำวันมนุษย์เราต้องสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อความสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นการที่จะเรียนรู้ฝึกฝนในด้านการแต่งกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา จากการศึกษาลักษณะการเรียนรู้ของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กกลุ่มนี้จะมีข้อจำกัดใน การเรียนรู้ที่ช้ากว่าบุคคลปกติ มีข้อจำกัดในการจำ เสียสมาธิง่าย มีปัญหาในการเรียนรู้นามธรรม รวมถึงการ ถ่ายโยงความรู้ (ผดุง อารยะวิญญู. 2542: 45) ในเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ มีระดับ
2 สติปัญญาที่ระดับ 50-70 มีลักษณะที่เป็นปัญหาหลายอย่าง อาทิเช่น ขาดความมั่นใจในตนเอง ต้องการพึ่งพา อาศัยผู้อื่นในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน มีปัญหาด้านความจำ ลืมง่าย พูดไม่ชัด มักมีปัญหาด้าน สุขภาพ มีปัญหาในการถ่ายโยงความรู้ได้ เช่น ไม่สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้ ด้วยข้อจำกัดต่างๆ อันส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการฝึกทักษะที่จำเป็นต่างๆ ของเด็กที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ จึงจำเป็นที่ครูหรือผู้ฝึกต้องใช้วิธีสอนให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้บุคคล เหล่านี้เรียนรู้ได้ง่ายและเร็วขึ้น รวมถึงเนื้อหาของหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับ เรียนได้ ควรครอบคลุมถึงทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน (ผดุง อารยะวิญญู. 2542: 42-45) ซึ่งทักษะการ ช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งควรได้รับการ ฝึกเพื่อให้เกิดทักษะ สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อการดำรงชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้ตามลำพัง ในการสอนทักษะการช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกายสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา นั้น ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะพัฒนาความสามารถการช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกายโดยใช้ชุดกิจกรรมการ สอนการแต่งกาย ที่จัดทำขึ้นเพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีความสามารถที่จะช่วยเหลือตนเอง ในการแต่งกายด้วยตนเอง สามารถดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข และมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองใน ด้านอื่นๆ ตามศักยภาพของตนเอง โดยไม่เป็นภาระต่อบุคคลอื่น วัตถุประสงค์ของงานวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญาก่อนและหลังการฝึกโดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย สมมุติฐานของงานวิจัย ความสามารถในการแต่งกายของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ชุดฝึกกิจกรรม การแต่งกายหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย ในการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตไว้ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3 1.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนอายุ 4-6 ปี ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับเรียนได้ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัด หนองคาย 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ อายุระหว่าง 4-6 ปี ที่มีปัญหาในด้านทักษะการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ที่กำลังศึกษาอยู่ใน ระดับชั้นเตรียมความพร้อมของ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย โดยวิธีเลือกแบบ เจาะจง 1 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย 3.เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความสามารถในการแต่งกายโดยการใช้ชุดฝึกกิจกรรม การแต่งกาย เช่น การสวมเสื้อ , การสวมกางเกง , การสวมกระโปรง 4.ระยะเวลาในการวิจัย ปีการศึกษา 2566 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป เมื่อวัด สติปัญญาโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแล้ว มีระดับเชาว์ปัญญาอยู่นระดับ 50 - 70และขาดความสามารถใน การแต่งกาย 2. การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย หมายถึง ความสามารถในการดูแลตนเองในเรื่อง การสวมเสื้อ การใส่กางเกง การใส่กระโปรง โดยไม่ต้องมีการช่วยเหลือจากผู้อื่น ซึ่งวัดได้จากแบบประเมินความสามารถ ด้านการแต่งกายที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น
4 3. ชุดกิจกรรมการแต่งกาย หมายถึง ชุดการสอนที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนา ความสามารถด้านการแต่งกายของ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ภายในชุดกิจกรรมการสอน แบ่งเป็น 3 ชุดการพัฒนาได้แก่ ชุด พัฒนาการสวมเสื้อ ชุดพัฒนาการสวมกางเกง และชุดพัฒนาการสวมกระโปรง 4.การใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย หมายถึง การนำชุดกิจกรรมการแต่งกายไปพัฒนาความสามารถด้าน การแต่งกายให้แก่เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่มีปัญหาด้านการแต่งกายด้วยตนเอง ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1.ได้ส่งเสริมความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา โดยการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย 2.ทำให้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย โดยการใช้ชุดฝึกกิจกรรม การแต่งกาย ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน กรอบแนวคิดการวิจัย การใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกาย
บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัย โดย นำเสนอหัวข้อ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้ได้กรอบแนวคิดในการวิจัยเรื่องความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มี ความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ของนักเรียนระดับชั้นเตรียมความพร้อม ผู้วิจัยได้ ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยนำเสนอผลการศึกษา ตามลำดับดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1.1 ความหมายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1.2 ระดับความรุนแรงของความบกพร่องทางสติปัญญา 1.3 ลักษณะของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1.4 หลักการที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1.5 เทคนิควิธีการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 2.1 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง 2.2 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง 2.3 วิธีการฝึกการช่วยเหลือตนเอง 2.4 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย 2.5 งานวิจัยเกี่ยวกับการช่วยเหลือตนเอง 3.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกกิจกรรม 3.1 ความหมายของชุดฝึกกิจกรรม
6 3.2 ประเภทของชุดฝึกกิจกรรม 3.3 ประโยชน์ของชุดฝึกกิจกรรม 3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกกิจกรรม 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1.1 ความหมายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ความบกพร่องทางสติปัญญานั้น ได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้หลากหลายดังนี้ ความหมายในทางการแพทย์องค์การอนามัยโลก ได้นิยามความบกพร่องทางสติปัญญาตามการจัด ประเภทของ บัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ (International Classification ofDisease- ICD) ว่าความบกพร่อง ทางสดิปัญญา หมายถึงภาวะที่สมองหยุดพัฒนาการหรือพัฒนาการไม่สมบูรณ์ทำให้เด็กมีความบกพร่องของทักษะ ต่าง ๆ ในระยะพัฒนาการ จึงส่งผลกระทบต่อระดับเชาวน์ปัญญาทุก ๆ ด้าน เช่น ความสามารถด้านสติปัญญา ภาษา การเคลื่อนไหว และทักษะทางสังคม ทั้งมีความบกพร่องในเรื่องการปรับตัวและอาจจะมีหรือไม่มีความ ผิดปกติทางกายหรือทางจิตร่วมด้วย (ศรียา นิยมธรรม. 2542: 221-223) ความหมายของภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา ตามคำนิยามของ สมาคมอเมริกาว่าด้วยความผิดปกติ ทางสติปัญญา (American Association on Mental Retardation - AAMR)ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา (Mental Retardation) หมายถึง ภาวะที่มีความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าปกติ ปรากฏร่วมกับมีข้อจำกัดทาง ทักษะด้านการปรับตัวอย่างน้อย 2 ทักษะหรือมากกว่า คือ ทักษะการสื่อความหมาย การดูแลตนเอง สุขอนามัย และความปลอดภัย การเรียนวิซาการเพื่อชีวิตประจำวันการใช้เวลาว่าง และการทำงาน ลักษณะความบกพร่องทาง สติปัญญาเกิดขึ้นก่อนอายุ 18 ปีจะเห็นได้ว่าเกณฑ์ของภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา AAMR คือ 1. ระดับความสามารถทางสติปัญญา ต่ำกว่า 70 - 75 2. ลักษณะของความจำกัดในทักษะการปรับตัวอย่างน้อย 2 ทักษะหรือมากกว่าดังต่อไปนี้ 2.1 การสื่อความหมาย (Communication) 2.2 การดูแลตนเอง (Self Care) 2.3 การดำรงชีวิตในบ้าน (Home Living)
7 2.4 ทักษะทางสังคม (Social Skills) 2.5 การใช้บริการสาธารณะ (Community Use) 2.6 การควบคุมตนเอง (Self Direction) 2.7 สุขอนามัยและความปลอดภัย (Health and Safety) 2.8 การเรียนรู้ทางวิชาการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (Functional Academics) 2.9 การใช้เวลาว่าง (Leisure) 2.10 การทำงาน (Work) 3. ลักษณะความบกพร่องทางสติปัญญาต้องปรากฏก่อนอายุ 18 ปี (พัชรีวัลย์เกตุแก่นจันทร์. 2542: 1 - 2) กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความหมายของความบกพร่องทางสติปัญญาไว้ว่า ความบกพร่อง ทางสติปัญญาหมายถึง ภาวะที่มีความจำกัดในทักษะการดำรงชีวิตมีความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ตั้งแต่ระดับความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ2 ขึ้นไป โดยร่วมกับมีความจำกัดของทักษะในการปรับตัวอย่างน้อย 2 ทักษะ จาก 10 ทักษะ และพบการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาก่อนอายุครบ 18 ปี ซึ่งภาวะบกพร่องทาง สติปัญญามีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ความสามารถ การทำงาน หรือ การดำรงชีวิต และ สภาพแวดล้อม(กรมวิซาการ กระทรวงศึกษาธิการ. 2539) ผดุง อารยะวิญญู ได้กล่าวถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาไว้ว่า เด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา หมายถึงบุคคลที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าคนปกติทั่วไป เมื่อวัดสติปัญญาโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแล้ว ปรากฏว่ามีสติปัญญาต่ำกว่าบุคคลปกติทั่วไป เมื่อสังเกตจากพฤติกรรมจะพบว่าบุคคลประเภทนี้มีพฤดิกรรมที่ เบี่ยงเบนไปจากบุคคลปกติทั่วไปในวัยเดียวกัน (ผดุง อารยะวิญญู2542: 39) จากความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง ภาวะที่มี พัฒนาการของสมองจำกัดและมีความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติปรากฏร่วมกับมีความจำกัดทางด้าน ทักษะด้านการปรับตัวอย่างน้อย 2 ทักษะ หรือมากกว่าซึ่งส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาด้านอื่นๆ ตามมา คือ ด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ ภาษาทั้งนี้ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ต้องเกิดขึ้นก่อนอายุ 18 ปี
8 1.2 ระดับความรุนแรงของความบกพร่องทางสติปัญญา สมาคมอเมริกาว่าด้วยความผิดปกติทางสติปัญญา (American Association on MentalRetardationAAMR) แบ่งระดับความรุนแรงของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาตามความหมายใหม่ที่บัญญัติขึ้น โดยแบ่ง ระดับความรุนแรงตามลักษณะของความต้องการการช่วยเหลือและรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือ โดย พิจารณาจากความต้องการเกี่ยวกับการบริการช่วยเหลือโดยพิจารณาจากความต้องการเกี่ยวกับการบริการ ช่วยเหลือของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่ประเมิน แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 1. ต้องการความช่วยเหลือเป็นครั้งคราว (Intermittent) 2. ต้องการความช่วยเหลือตามระยะเวลาที่กำหนด (Limited) 3. ต้องการความช่วยเหลือติดต่อกันตลอดไป (Extensive) 4. ต้องการความช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านอย่างทั่วถึงและต้องการมากที่สุด (Pervasive) American Phvchiatric Association แบ่งระดับความรุนแรงของภาวะความบกพร่อง American Phychiatric Association แบ่งระดับความรุนแรงของภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา เป็น 4 ระดับ ตามระดับเชาวน์ปัญญา คือ 1. ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย (Mild Mental Retardation) มีระดับเชาวน์ปัญญา 50- 55 ถึง 70 2. ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาระดับป่านกลาง (Moderate MentalRetardation) มีระดับเชาวน์ ปัญญา 35-40 ถึง 50-55 3. ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง (Severe Mental Retardation) มีระดับเชาวน์ปัญญา ต่ำกว่า 20-25 ถึง 35-40 4. ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก (Profound MentalRetardation) มีระดับเชาวน์ ปัญญาต่ำกว่า 20-25 ความรุนแรงของภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากสังเกตที่ระดับเชาวน์ปัญญาแล้วยังสามรถ สังเกตที่รูปแบบของการให้ความช่วยเหลือได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของการปรับตัว และความสามารถในการ อยู่ร่วมกันในสังคมของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (พัชรีวัลย์ เกตุแก่นจันทร์. 2540: 3 - 4)
9 กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้แบ่งระดับภาวะของความบกพร่องทางสติปัญญาในระบบการศึกษา ความต้องการพิเศษ ความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยได้แบ่งระดับภาวะของความบกพร่องทาง สติปัญญาออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ 1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ ( The Educable Mentally Retarded Child - EMR ระดับสติปัญญา 50 - 70 หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย มีพัฒนาการด้านการฟัง การพูด และการเขียนล่าช้า มีความสามารถในการทำงานเชิงปฏิบัติมากกว่าด้านวิชาการ สามารถจะเรียนร่วมชั้นปกติ ถ้ามี รูปแบบการช่วยเหลือที่เหมาะสมโดยเฉพาะเด็กในกลุ่มอาการดาวน์ 2. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้ (The Trainable Mentally Retarded Child - TMR) ระดับสติปัญญา 35 - 49 หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง มี ความก้าวหน้าในการเรียนรู้จำกัดอยู่ฉพาะทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการฟัง พูด เขียน และนับจำนวนเท่านั้นจำเป็น ที่ต้องเรียนในชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติ หรือโรงเรียนศึกษาพิเศษ 3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง และรุนแรงมาก เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง และรุนแรงมาก (The Severely and Profoundly Retarded Child - SPR) ระดับสติปัญญาต่ำกว่า 35 ลงมา หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับ รุนแรงมาก สามารถที่จะช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก หรือไม่ได้เลยต้องอยู่ในความดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ต้องมีคนคอยดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในสถาบันเฉพาะเท่านั้นกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2539: 3) จากที่กล่าวมานั้น สามารถแบ่งระดับความรุนแรงของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยแบ่งตาม ระดับความรุนแรงของความบกพร่องทางสติปัญญา และแบ่งตามระดับความต้องการความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ระดับความรุนแรง ความบกพร่องทางร่างกาย และความผิดปกติทางพฤติกรรมที่แสดงออกจะทำให้สามารถให้ ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม ซึ่งให้การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาในเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับ ฝึกได้ ระดับสติปัญญาซึ่งสามารถที่จะมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้จำกัด ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการดูแลตนเอง และสามารถที่จะฝึกหัดเกี่ยวกับการทำงานได้นอกจากการแบ่งระดับสติปัญญาของเด็กที่มีความบกพร่องทาง
10 สติปัญญาดังที่กล่าวมาแล้วนั้นการแบ่งระดับสติปัญญายังสามารถแบ่งตามสภาพปัญหาและความต้องการการ ช่วยเหลือได้อีก ในทางการศึกษาได้แบ่งระดับเพื่อจัดการศึกษาให้กับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาไว้ 3 ระดับ คือ (ผดุง อารยะวิญญ. 2542: 42 -45) 1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนหนังสือได้ 2. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้ 3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมาก 1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนหนังสือได้ มีระดับสติปัญญาอยู่ระหว่าง 50-70 มี ความบกพร่องทางสติปัญญาไม่มากนัก มีพัฒนาการล่าช้า ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ และมีลักษณะทั่วไปที่ สังเกตได้คือ 1.1 ลักษณะทางบุคลิกภาพ มักจะขาดความมั่นใจในตนเองต้องการพึ่งพาอาศัยผู้อื่นในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 1.2 ลักษณะการเรียนรู้ มีลักษณะดังนี้ 1.2.1 มีความสนใจเรียนในระยะสั้น 1.2.2 เสียสมาธิง่าย มักจะหันเหความสนใจไปจากบทเรียนเสมอ 1.2.3 มีปัญหาในการหาความสัมพันธ์ (ความเหมือน ) และการจำแนกความแตกต่าง เช่น ไม่ สามารถบอกความเหมือนและความแตกต่างกันของรูปทรงเรขาคณิตได้ 1.2.4 มีปัญหาในด้านความจำ ลืมง่าย 1:2.5 มีปัญหาในการถ่ายโยงความรู้ได้ เช่น ไม่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ 1.2.6 มีปัญหาในการเรียนสิ่งที่เป็นนามธรรม 1.3 ภาษาและการพูด เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาจะมีปัญหาในการพูดและภาษา เช่น พูดไม่ชัด รู้คำศัพท์จำนวนจำกัด เขียนประโยดไม่ถูกต้อง เป็นต้น เนื่องจากมีข้อจำกัดทางภาษาร่างกายและสุขภาพ
11 1.4 ร่างกายและสุขภาพเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีพัฒนาการทาง ร่างกายช้ากว่าเด็กปกติทำ ให้ส่วนสูงและน้ำหนักโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเด็กปกติ และมักมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ 1.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำแทบทุกวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจการเรียน คณิตศาสตร์ทั้งในต้านการบวก การลบ การคูณ การหาร และโจทย์ปัญหา 2. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้มีระดับสติปัญญาอยู่ระหว่าง35 -49 โดยประมาณ เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาขั้นปานกลาง มีลักษณะส่วนมากคล้ายคลึงกับเด็กปัญญาอ่อนที่เรียน หนังสือได้ แตกต่างกันที่ความรุนแรง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้มีปัญหาและระดับความ รุนแรงมากกว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสดิปัญญาระดับเรียนหนังสือได้เนื่องจากมีระดับสปัญญาต่ำกว่าและมี ลักษณะที่สังเกตได้คือ(ผดุง อารยะวิญญู2542: 63-64) 2.1 การเคลื่อนไหว เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้มักจะมีปัญหาในการทำงานของ กล้ามเนื้อ ทั้งกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กตลอดจนมีปัญหาในการทำงานประสานกันระหว่างมือกับสายตา 2.2 การช่วยเหลือตนเอง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้จะมีปัญหาในการช่วยเหลือ ตนเองหากไม่ได้รับการฝึกที่เพียงพอ การเรียนจึงมุ่งเน้นการช่วยเหลือตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทาน อาหาร การขับถ่าย การแต่งตัว 2.3 ภาษาและการพูด เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้ มีปัญหาในการพูด เด็กหลายคนพูด ไม่ชัด มีความรู้ทางภาษาจำกัด หากได้รับการฝึกที่เพียงพอสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ 2.4 การเรียน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้ มักประสบความล้มเหลวทางการเรียน มี ความสามารถในการเรียนค่อนข้างจำกัด ครูต้องทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ 3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมาก มีระดับสติปัญญาต่ำกว่า 35 ซึ่งแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีระดับสติปัญญา 20- 34 เป็นกลุ่มที่มีระดับสติปัญญาต่ำมาก และกลุ่มที่มีระดับ สติปัญญาต่ำกว่า 20 เป็นกลุ่มที่มีปัญญาต่ำที่สุด ลักษณะทั่วไปที่สังเกตได้คือ 3.1 การเคลื่อนไหว เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมากมีปัญหาในการเคลื่อนไหว ส่วนมากจะเดินไม่ได้
12 3.2 ความพิการซ้ำซ้อน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมากบางคนมีความพิการ ซ้ำซ้อน เช่นพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากเกณฑ์ปกติ มีความบกพร่องในด้านประสาทการรับรู้ พูดไม่ได้ และสมองเป็น อัมพาต เป็นต้น 4. พฤติกรรมเบี่ยงเบน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมาก มีพฤดิกรรมเบี่ยงเบน อย่างเห็นได้ชัดที่พบเห็นบ่อยๆ เช่น ก้าวร้าวซึ่งแสดงออกโดยการทำลายข้าวของและทำร้ายร่างกายผู้อื่นหรือ ตนเอง และแสดงพฤติกรรมที่ไร้ความหมาย เช่น โยกตัวไปมาตลอดเวลาหรือโบกมือไปมา เป็นต้น จากการแบ่งระดับสติปัญญาของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาตามสภาพปัญหาและความต้องการ การช่วยเหลือทางการศึกษาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้มี ระดับสติปัญญาอยู่ระหว่าง 50 - 70 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกได้มีระดับสติปัญญาอยู่ระหว่าง 35 - 49 และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับสติปัญญาต่ำมาก ซึ่งการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญา ควรจัดให้เหมาะสมกับความสามารถและข้อจำกัดของเด็กแต่ละระดับด้วยเพื่อให้เกิดการ พัฒนาสูงสุด 1.3 ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จะมีการพัฒนาการตั้งแต่วัยทารกและตอนเด็กช้ากว่าเด็ก ปกติ โดยทั่วไป มีร่างกายอ่อนแอ รูปร่างแคระแกร็นบางรายมีศีรษะค่อนข้างเล็ก บางรายศีรษะโต ประวัติการ เจริญเติบโตล่าช้า คือ มีการคว่ำ คลาน นั่ง ยืน เดิน ช้ากว่าเด็กปกติมากและการพูด ซึ่ง linguorth (1955) ได้ กล่าวว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จะสังเกตได้จากเมื่อแม่พูดกับเด็ก เด็กจะไม่ค่อย หันหน้ามามองหน้า แม่ เด็กปกติอายุ 2 สัปดาห์ จะเริ่มหันมามองแม่เมื่อแม่พูดด้วย แต่เด็กที่มีความบกพร่องทางสมองมากจะยังคง หลับตา และศีรษะยังไม่แข็งยกศีรษะไปมาตลอดเวลา ระยะของความสนใจ อยู่ในช่วงสั้นบางรายมีอารมณ์รุนแรง ชอบทําลายข้าวของและทําร้ายตัวเอง พวกที่มีความบกพร่องทางสมองมากจะต้องการความช่วยเหลือในการเลี้ยงดู อย่างมาก เกณฑ์การมองภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา(กุลยา ก่อสุวรรณ. 2540: 10; อ้างอิงจากพัชรีวัลย์ เกตุ แก่นจันทร์. 2537) 1. มีความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย คือมีระดับสติปัญญาต่ำกว่า 70 -75 2. มีความจำกัดในทักษะการปรับตัวอย่างน้อย 2 ด้าน ซึ่งทักษะการปรับตัวมีดังนี้
13 2.1 การสื่อความหมาย (Communication) หมายถึงความสามารถในการเข้าใจและการ แสดงออกเกี่ยวกับข้อมูลที่สื่อสารผ่านพฤติกรรมที่เป็นสัญลักษณ์และไม่เป็นสัญลักษณ์ 2.2 การดูแลตนเอง (Self Care) หมายถึงทักษะที่ประกอบด้วยการกิน การแต่งตัวการทำความ สะอาดร่างกาย การเข้าห้องน้ำ และสุขอนามัย 2.3 การดำรงชีวิตในบ้าน (Home Living) หมายถึงการปฏิบัติงานตามกิจวัตรประจำวันในบ้าน อาจรวมถึงการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 2.4 ทักษะทางสังคม (Social Skills) หมายถึงพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสมเช่นการแสดงความ ยินดี การให้ความร่วมมือกับผู้อื่น การเล่นอย่างเหมาะสม 2.5 การใช้บริการสาธารณะ (Community Use)หมายถึง การใช้สาธารณะสมบัติได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งครอบคลุมถึงการเดินทาง การจับจ่ายสินค้า การรับบริการในชุมชน เช่นโรงเรียนห้องสมุด โรงภาพยนตร์ 2.6 การควบคุมตนเอง (Self Direction) หมายถึงการสร้างทางเลือกสำหรับตัวเองในการปฏิบัติ ตัวต่างๆ เช่น การเรียนรู้ การปฏิบัติตัวตามตารางที่กำหนดไว้ การปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย 2.7 สุขอนามัยและความปลอดภัย (Health and Safety) หมายถึงการดำรงชีวิตของตนเองให้ เป็นสุข ควบคุมการบริโภคอย่างเหมาะสม บอกอาการเจ็บป่วย รักษาและป้องกันตัวเองจากโรคภัย 2.8 การเรียนรู้ทางวิชาการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (Functional Academics) หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ทางสติปัญญา และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเรียน เช่น การเขียน การอ่านการ คำนวณพื้นฐาน เป็นตัน ในการเรียนไม่ได้เน้นที่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่อยู่ที่การรับรู้และการนำทักษะ ทางวิชาการไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2.9 การใช้เวลาว่าง (Leisure) หมายถึงความสนใจในต้านนันทนาการและการใช้เวลาว่าง ซึ่ง สะท้อนถึงความพอใจส่วนบุคคล เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่คนทั่วไปกระทำอย่างเหมาะสมกับวัย 2.10 การทำงาน (Work) อาจเป็นงานที่ทำเต็มเวลาหรือบางเวลา หรือเป็นอาสาสมัครทำงานใน ชุมชนนั้น ๆ ทักษะที่เกี่ยวข้องได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำงาน การตรงต่อเวลา การยอมรับคำวิจารณ์
14 3. ภาวะที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาต้องปรากฏก่อนอายุ 18 ปีจากลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญาที่กล่าวมานั้นพอสรุปได้ว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีระดับสติปัญญาต่ำกว่า เกณฑ์ เฉลี่ยมีข้อจำกัดในทักษะการปรับตัวการใช้ชีวิตประจำวันและภาวะที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ต้องปรากฎก่อนอายุ 18 ปี 1.4 หลักการฝึกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หลักการฝึกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จำเป็นต้องมีวิธีฝึกที่แตกต่างไปจากการสอนปกติ เพื่อสนองความต้องการพิเศษของเด็กเหล่านี้ ซึ่งมีหลักการฝึกดังนี้ 1. ครูต้องคำนึงถึงความพร้อมในการเรียนของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพราะเด็กมี ความพร้อมช้ากว่าปกติก่อนทำการฝึก สิ่งใดครูจะต้องเตรียมความพร้อมก่อนนานๆเมื่อเด็กมีความพร้อม แล้วครูจึงทำการฝึกในวิซานั้นๆ 2. ฝึกตามความสามารถและความต้องการของเด็กแต่ละคนโดยจัดสภาพการเรียนการสอนให้ เหมาะสมกับสภาพและลักษณะของเด็กนั้น 3. ฝึกตามระดับสติปัญญาเพราะเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็ก ทั่วไปที่มีอายุเท่ากัน 4. ยอมรับความสามารถ และพยายามส่งเสริมความสามารถของเด็ก อย่าตามใจหรือคอย ช่วยเหลือมากเกินไป หรือลงโทษทั้งทางกายและวาจามากเกินไป 5. พยายามฝึกให้เด็กช่วยตัวเองให้มากที่สุดจะเป็นการช่วยให้เด็กพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง เพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในคุณค่าของตนเองและแบ่งเบาภาระจากผู้เลี้ยงดู 6. ฝึกตามหลักการวิเคราะห์งาน (Task Analysis) โดยการแบ่งงานเป็นขั้นตอนย่อยๆ หลายๆขั้น เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เพื่อไม่ให้เด็กสับสนให้เด็กประสบความสำเร็จในงานซึ่งเป็นการสร้างความ เชื่อมั่นในตนเองแก่เด็ก 7. ใช้หลักการแบบ 3 R's คือ 7.1 Repetition คือ การฝึกซ้ำและใช้เวลาฝึกมากกว่าเด็กปกติใช้วิธีหลายๆ วิธีในเนื้อหาเดิม
15 7.2 Relaxation คือ การฝึกแบบไม่ตึงเครียด ไม่ฝึกเนื้อหาวิชาเดียวนานเกิน15 นาที ควรเปลี่ยน กิจกรรมวิซาการเป็นการเล่น ร้องเพลง ดนตรี เล่านิทานหรือให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง 7.3 Routine คือ การฝึกให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นกิจกรรมที่จะต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ในแต่ละวัน 8. ฝึกโดยการแบ่งหมู่ตามตารางฝึก สามารถทำได้ดีในกรณีที่เด็กมีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกัน 9. เมื่อเด็กฝึกทำกิจกรรมต่างๆต้องพยายามแทรกการฝึกทักษะหลายๆด้านบูรณาการเข้าด้วยกัน 10. ต้องช่วยให้เด็กพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง เด็กทุกคนจะเรียนได้ดีถ้าเขามีความรู้สึกประสบ ความสำเร็จ 11. ฝึกทีละขั้นจากสิ่งที่ใกล้ตัวไปหาสิ่งที่ไกลตัวหรือจากง่ายไปหายาก เพื่อไม่ให้สับสน งาน บางอย่างที่เด็กปกติในวัยเดียวกันเห็นว่าง่าย แต่เด็กเหล่านี้อาจสับสนไม่เข้าใจ 12. ฝึกโดยลงมือปฏิบัติจริง 13. ฝึกสิ่งที่มีความหมายสำหรับเด็กและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยเฉพาะสิ่งที่เป็น นามธรรม ซึ่งเด็กเข้าใจได้ง่าย ครูต้องพยายามอธิบายโดยใช้คำง่ายๆ และยกตัวอย่างประกอบ 14. ต้องพยายามจัดการฝึกให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีประสบการณ์ เพื่อฝึกให้เด็ก คิด 15. ฝึกโดยใช้ของจริงหรืออุปกรณ์ประกอบทุกครั้ง ต้องให้เวลาเด็กมากพอสมควรในการเปลี่ยน กิจกรรมอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่ง 16. การฝึกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาต้องอาศัยแรงจูงใจและการเสริมแรง 17. มีการประเมินผลความก้าวหน้าของเด็กในทุกด้าน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไป ปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 18. ครูต้องเชื่อว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีความสามารถและศักยภาพในตนเอง สามารถพัฒนาตนให้เป็นบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตในในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพได้ทุกคน
16 19. การฝึกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญานอกจากการฝึกด้านวิชาการแล้วต้องคำนึงถึงการ ส่งเสริมพฤติกรรมการปรับตัว ปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ ภาษา และ พัฒนาบุคลิกภาพไปพร้อมๆกัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 20. การฝึกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาต้องพยายามให้เด็กลดการพึ่งพาบุคคลอื่นลง (Step to Independence) ฝึกทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและแสวงหาการจ้างงานในอนาคต (พัชรี วัลย์ เกตุแก่นจันทร์. 2542: 15 -16)จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า หลักในการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาคือการแบ่งเนื้อหาให้แยกย่อย สอนจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม ใช้การฝึกซ้ำ ย้ำ ทวน เพื่อให้เกิดทักษะ และสิ่งสำคัญผู้สอนควรมีความเชื่ออยู่เสมอว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญานั้น สามารถพัฒนาตนให้เป็นบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ 1.5 เทคนิควิธีการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1. การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) เป็นการจำแนกเนื้อหาที่สอนเป็นขั้นตอนย่อย ๆหลาย ขั้นตอน และจัดเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก และมีการกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละขั้นตอน อย่างครบถ้วน 2. การกระตุ้นให้เด็กทำตาม (Prompting) หมายถึง การกระตุ้นเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญาในขณะทำกิจกรรม เพื่อให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้นเมื่อการเรียนรู้เกิดขึ้นอาจลดการกระตุ้นลงเมื่อ พฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กคงที่แล้ว จึงหยุดการกระตุ้น การกระตุ้นอาจทำได้หลายทาง เช่น การกระตุ้น ทางกาย ทางวาจา การเน้น และการเลียนแบบ 2.1 การกระตุ้นทางกาย(Physical Prompts) เป็นการช่วยเหลือเด็กในการเคลื่อนไหว เช่น เด็ก เอื้อมมือหยิบของไม่ถึง ครูช่วยอุ้มเด็กขึ้น ครูจับมือเด็กลากเส้นในครั้งแรกๆ เป็นตัน 2.2 การกระตุ้นทางวาจา (Verbal prompts) เป็นการกระตุ้นเด็กโดยการใช้เสียง เช่น ในการ เรียนเรื่องสี ครูสอนสีไปแล้ว 3 สี คือ สีน้ำเงิน แดง เหลือง เด็กตอบสีเหลืองไม่ค่อยได้ ครูจะถามว่า "นี่สี อะไร" เมื่อเด็กไม่ตอบ ครูบอกว่า "สีเหลือง" ด้วยเสียงดังช้าๆ ครูถามเช่นนี้หลายๆ ครั้งและตอบหลายๆ ครั้ง ในการตอบครั้งต่อๆ มาลดความดังของเสียงทีละน้อย จนไม่มีเสียงในที่สุด
17 2.3 การเน้น (Highlighting) เป็นการเน้นด้วยเสียงหรือด้วยเส้นก็ได้ การแทนด้วยเสียง ได้แก่ การเปล่งเสียงคำตอบดังๆ เป็นต้น การเน้นด้วยเสียง เช่น ขีดเส้นสีขาวรอบเครื่องมือที่เป็นอันตราย แล้ว อธิบายให้เด็กเข้าใจจนกระทั่งเด็กเข้าใจดีแล้วจึงลบเส้นออกเป็นตัน 2.4 การเลียนแบบ (Modeling) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาชอบเลียนแบบครูและผู้ที่ตน ชอบ ครูจึงควรเป็นตัวอย่างที่ดีในทุกด้าน 2.5 การจัดสภาพแวดล้อม (Classroom environment) การจัดสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่มี ความหมาย เพื่อให้ครูกับเด็กสื่อสารกันได้ดี เช่น จัดโต๊ะเป็นรูปวงกลม จัดห้องให้มีขนาดเล็กจัดอุปกรณ์ที่ เอื้อต่อการเรียนรู้ เป็นตัน (ผดุง อารยะวิญญู. 2542: 55 - 56) จากที่กล่าวมาเทคนิคการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาคือเริ่มต้นจากการ จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้การแบ่งเนื้อหาเป็นขั้นตอนย่อย ๆ หลายขั้นตอนและจัดเรียงลำดับจากง่ายไป หายาก ประกอบกับการให้แรงเสริม การกระตุ้นทั้งทางกายและวาจาเป็นเทคนิคที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในการเรียนได้ดี 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 2.1 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง การช่วยเหลือตนเอง เป็นการเรียนรู้ให้เด็กดูแลตนเองเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การแต่งกาย การ ทำความสะอาดร่างกาย เป็นทักษะแรกที่เด็กควรได้รับรู้ รวมถึงการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและ ครอบครัว ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองเกี่ยวข้องกับการพึ่งตนเอง ให้อิสระในครอบครัวและชุมชน (ศูนย์พัฒนา การศึกษาแห่งประเทศไทย. 2529: 96) ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขสร้างความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นในตนเอง ประภัสสร ปรีเอี่ยม (2539: 24) กล่าวว่า ทักษะการช่วยเหลือตนเอง หมายถึง การจัดกระบวนการ เรียนรู้ในเรื่องกิจวัตรประจำวัน ให้เด็กสามารถทำได้ด้วยตนเองเต็มความสามารถที่เขามีอยู่หรือต้องการความ ช่วยเหลือน้อยที่สุด ทักษะการช่วยเหลือตนเอง แบ่งออกเป็น3ด้าน คือ 1. ด้านการกิน/การดื่ม คือ การรับประทานอาหารและการดื่มน้ำ การรับประทานอาหารด้วยช้อน การ รับประทานอาหารด้วยมือและการดื่มน้ำจากแก้ว 2. ด้านการแต่งกาย คือ การถอด-สวมเสื้อยืดทางศีรษะการติด-ปลดกระดุมเสื้อ การถอด-สวม กางเกง ยางยืด การถอด-สวมเสื้อผ้าหน้า การถอด-ใส่รองเท้าและการถอด-ใส่ถุงเท้า
18 3. สุขอนามัยและการขับถ่าย คือ การล้างมือ การแปรงฟัน การล้างหน้า การอาบน้ำ การหวีผม การ ขับถ่าย การปัสสาวะ การถ่ายอุจจาระ 2.2 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง การมีพัฒนาการในเชิงพฤติกรรมการช่วยเหลือตนเองทำให้เด็กมีความสุขมีอิสระในครอบครัวและ ชุมชน พึ่งตนเองได้มากขึ้นเป็นการลดภาวะของสมาชิกครอบครัวในการดูแลเด็กเป็นประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง (ศูนย์พัฒนาศึกษาแห่งประเทศไทย. 2529: 96) นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ในด้าน 1.การสร้างความอิสระในช่วงขวบแรกเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะดูแลตนเองช่วงนี้เป็น การที่เด็กทุก คนจะต้องดิ้นรนเพี่ออิสรภาพ เด็กเด็กอยากช่วยเหลือตนเองซึ่งเป็นการทำงานหนักความสามารถที่มีอยู่ในแต่ละคน จะพบว่าเด็กเด็กจะเฝ้ามองและเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองของเด็กที่โตกว่าหรือผู้ใหญ่และการทดลอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่าถึงแม้จะถูกหรือผิดแต่มันก็คือความพยายามที่จะเรียนรู้วิธีช่วยเหลือตนเองซึ่งจะเป็น ส่วนหนึ่งของการ เรียนรู้ 2.เด็กรู้สึกว่าตนเองได้ประสบผลสำเร็จและมีความเชื่อมั่นในตนเอง ความภูมิใจและความปิติ ยินดีที่เกิด จากการทำกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญความภาคภูมิใจแบบนั้นมองเห็นได้ชัด เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามี ความสามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้เช่นกัน เด็กเหล่านี้สามารถเรียนรู้ถึงความรู้สึกที่ดีเมื่อทำสิ่งต่างๆ ได้เอง จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่าการส่งเสริมให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้เรียนรู้ช่วยเหลือตนเองใน ด้านต่างๆเป็นการส่งเสริมให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเห็นคุณค่าในตัวเองมีความรู้สึกที่ดีกับตนเองและ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อีกต่อไป 2.3 วิธีฝึกการช่วยเหลือตนเอง วิธีฝึกการช่วยเหลือตนเองควรกำหนดขั้นตอนไว้ดังนี้ 1.พฤติกรรมเป้าหมาย หมายถึง พฤติกรรมที่ต้องการจะสอนเด็กซึ่งจะบอกเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กจะต้องทำได้ เพื่อแสดงถึงทักษะที่เกิดขึ้นแก่เด็กในช่วงเวลาการฝึกที่กำหนดและพยากรณ์สิ่งที่เด็กจะทำได้ในตอนท้าย ส่วนประกอบที่สำคัญในการวางพฤติกรรมเป็นเป้าหมายมี 4 ประการ 1.1 ชื่อเด็ก ที่จะแสดงพฤติกรรมนั้น 1.2 พฤติกรรมที่คาดหวังว่าเด็กจะทำได้เมื่อเด็กได้เรียนรู้ทักษะ หลังจากที่ได้รับการฝึกสอนแล้ว
19 1.3 เงื่อนไขที่กำหนดบอกถึงจำนวนพฤติกรรมการช่วยเหลือตนเองที่ต้องฝึก 1.4 ผลสำเร็จในการฝึกในการวางระดับความสำเร็จโดยทั่วไป 100 เปอร์เซ็นต์และต้อง สัมพันธ์ กับเงื่อนไขที่วางไว้ 2. การแยกย่อยขั้นตอนการฝึก หมายถึง การนำพฤติกรรมตามรายการตรวจพฤติกรรมมาวิเคราะห์แยก เป็นขั้นตอนย่อย เพื่อสะดวกในการสอนเด็กแต่ละขั้นจะเริ่มไปตามลำดับจนเสร็จสิ้น กระบวนการ เมื่อแยกย่อย ขั้นตอนแล้วจะทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่ ยากเกินไป สามารถทำได้สำเร็จโดยไม่ ยาก และ ไม่ต้องใช้เวลาในการฝึกนาน เกินไปในแต่ละขั้นตอน 3. วิธีการช่วยเหลือในการฝึกเด็ก (Type of Aid) 3.1 ทางร่างกาย คือ การช่วยจับ ซึ่งมักจะใช้ในการฝึกกล้ามเนื้อ 3.2 ทางคำพูด คือ การช่วยให้เด็กทำได้ด้วยการพูดบอกเด็ก ซึ่งช่วยในการฝึกพัฒนาการทุกด้าน 3.3 ทางสายตา คือ การช่วยโดยการกระตุ้นสายตาเด็กเพื่อให้เด็กทำได้ง่ายขึ้น 3.4 กระบวนการแก้ไขเพื่อให้เด็กปฏิบัติได้ถูกต้อง เมื่อเลือกพฤติกรรมที่จะฝึกโดย วางเป้าหมาย แยกย่อยขั้นตอน เลือกดำเนินวิธีการฝึกและการใช้แรงเสริมก่อนจะฝึกโดยเน้นเฉพาะแต่สิ่งที่ลูกต้องฝึกขณะฝึกล้า เด็กทำไม่ ได้ต้องหาวิธีแก้ไขก็ให้เด็กทำตามให้ได้จึงจำเป็นต้องมีแรงเสริมช่วย (ศูนย์พัฒนาศึกษาแห่งประเทศไทย. 2529: 104-111) จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าวิธี ในการช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในการฝึกการช่วยเหลือ ตนเองสิ่งสำคัญคือการกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน แล้วทำการวิเคราะห์ขั้นตอนการฝึกให้เป็น ขั้นตอนย่อยโดยผู้ ฝึกกควรให้การช่วยเหลือโดยการกระตุ้นทั้งกายวาจาและสายตาเพื่อให้เด็กประสบ ผลสำเร็จในการฝึกการ ช่วยเหลือตนเองมากขึ้น 2.4 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย สร้อยสุดา วิทยากรได้กล่าวถึงความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายไว้ว่า การแต่งกาย เป็น กระบวนการที่ต่อเนื่องและซับซ้อน สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาบางครั้งเด็กจะเรียนรู้ จากการลอง
20 ผิดลองถูก โดยสังเกตจากผู้ใหญ่และหากผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือได้ถูกต้องเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝน และเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเอง(สร้อยสุดา วิทยากร . 2532: 77) การช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกาย หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและ ซับซ้อนมีลำดับขั้นตอนพัฒนาการเฉพาะ ซึ่งสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ได้ในเด็กปกติตั้งแต่อายุประมาณ 1ปีจะเริ่มให้ ความร่วมมือในการแต่งกาย พออายุ 18 เดือนเด็กจะเริ่มใช้มือในการถอดเสื้อ กางเกง ลุงเท้าและ รองเท้า จนอายุ2 ปีทักษะการใช้มือจะดีขึ้นมากเด็กสามารถถอดเสื้อกางเกงได้เอง อายุ5ปีเด็กสามารถถอด เสื้อและใส่กางเกงได้ อย่างสมบูรณ์ไม่ต้องอาศัยคนอื่น สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ซึ่งมีพัฒนาการทางทักษะการแต่งตัว ช้ากว่าเด็กปกติ บางครั้งเด็กจะเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกโดยการสังเกตจากผู้ใหญ่และหากผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความ ช่วยเหลือได้ถูกต้องจะเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนและเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเองได้(สมเกตุ อุทธโยธา.2539: 15) วิธีสอนให้เด็กช่วยเหลือตนเองประสบผลสำเร็จเร็วจะต้องฝึกบ่อยๆและกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอซึ่งจะทำให้เด็กแต่ง กายได้เร็วขึ้นแต่ถ้าหากไม่ ให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็นภาระแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดไป(Rafaloski. 1993: 6) จากที่กล่าวมาพอสรุปความหมายของการช่วยเหลือตนเองและการแต่งกายได้ว่าเป็นการแสดง พฤติกรรม ที่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องซับซ้อนมีลำดับขั้นตอนพัฒนาการเฉพาะซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้ได้ โดยการเลียนแบบ หรือฝึกฝนตนเอง 2.5 งานวิจัยเกี่ยวกับการช่วยเหลือตนเอง มาศพร แกล้วทะนง (2551: 56) ได้ศึกษาเรื่องการสอนทักษะการช่วยเหลือตนเองสำหรับนักเรียนที่มี ความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง โดยการวิเคราะห์งานร่วมกับการใช้ภาพประกอบของนักเรียน โรงเรียน สงขลาพัฒนาปัญญา ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 3 คนพบว่า 1.นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงทั้ง 3 คน สามารถปฏิบัติทักษะการ ช่วยเหลือตนเองในการ ใช้ห้องน้ำได้ถูกต้องทุกขั้นตอนหลังได้รับการฝึกโดยการวิเคราะห์งานร่วมกับการใช้ภาพประกอบ 2.หลังได้รับการฝึกโดยการวิเคราะห์งานร่วมกับการใช้ภาพประกอบนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับ รุนแรงทั้ง 3 คนสามารถปฏิบัติทักษะการช่วยเหลือตนเองใน การใช้ห้องน้ำได้ดีกว่าก่อนการฝึกโดยการวิเคราะห์ งานร่วมกับการใช้ภาพประกอบ
21 สันติ ช่วยหนู (2551: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการช่วยเหลือตนเองของเด็กที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญาโดยใช้วิธีการวิเคราะห์งานร่วมกับวิธีลูกโซ่ย้อนกลับของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ ไม่มีความพิการซํ้าซ้อนระดับเชาว์ปัญญา 35-49 อายุ3 ปี จำนวน 5 คน จากโรงเรียน สงขลาพัฒนาปัญญา จาก การทดลองพบว่าหลังจากใช้วิธีการสอนแบบการวิเคราะห์งานร่วมกับวิธีลูกโซ่ ย้อนกลับเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จากการวิจัยเกี่ยวกับการช่วยเหลือตนเองของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญานั้นสามารถที่ จะทำได้ โดยใช้วิธีต่างๆเพื่อความเหมาะสมและให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาต่อไป 3.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกกิจกรรม 3.1 ความหมายของชุดฝึกกิจกรรม วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525: 185) กล่าวว่า ชุดกิจกรรมเป็นระบบการผลิตและการนำสื่อการเรียนหลายอย่างมา สัมพันธ์กัน และมีคุณค่าส่งเสริมซึ้งกันและกัน สื่อการเรียนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อการเร้าความ สนใจ ในขณะที่อีก อย่างนึงเพื่อใช้อธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาและอีกอย่างหนึ่งใช้เพื่อก่อให้เกิดการเสาะแสวงหาอันนำไปสู่ความ เข้าใจลึกซึ้ง และป้องกันการเข้าใจความหมายผิด สื่อการเรียนเหล่านี้เรียกอีก ประการหนึ่งว่าสื่อประสมที่เรา นำมาใช้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาเพื่อช่วยให้การเรียนมีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ความหมายของชุดกิจกรรมการสอนนั้นได้มีนักการศึกษาต่างประเทศให้ความหมายของชุดกิจกรรม ดังนี้ ฮุสตัน และคนอื่นๆ(Houston; et al. 1972: 10-15) ได้ให้ความหมายไว้ว่าชุดกิจกรรมเป็นชุด ประสบการณ์ ที่ชัดเตรียมไม้ให้ผู้เรียนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แคปเฟอร์ และแคปเฟอร์ (Kapfer; &Kapfer. 1972: 3-10) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมเป็น รูปแบบ การสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนซึ้งประกอบด้วยคำแนะนำที่ให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมการเรียน จนบรรลุ พฤติกรรมที่เป็นผลของการเรียนรู้และรวบรวมเนื้อหาที่นำมาสร้างเป็นชุดการเรียนนั้นได้มาจาก ขอบข่ายของ ความรู้ที่หลักสูตรต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เนื้อหาจะต้องตรงและชัดเจนที่จะสื่อ ความหมายให้ผู้เรียนได้เกิด พฤติกรรมตามเป้าหมายของการเรียน
22 ดวน (Duan. 1973: 169) กล่าวถึงชุดกิจกรรมไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือชุดของวัสดุทางการเรียนซึ้งรวบรวม ไว้ อย่างมีระเบียบช่วยให้ผู้เรียนให้สัมฤทธิ์ผลทางการเรียนตามเป้าหมาย บราวน์ และคนอื่นๆ(Brown; et al. 1973: 338) ให้ความหมายไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือชุดของสื่อแบบผสม ที่ สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือครู ให้สามารถสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกล่องหรือชุดกิจกรรมมักจะประกอบ ไปด้วย อุปกรณ์หลายหลายอย่างเช่น ภาพโปร่งใส ฟิล์มสตริป รูปภาพ โปสเตอร์ สไลด์และแผนภูมิ บางชุด อาจจะ ประกอบด้วยเอกสารเพียงอย่างเดียว บางชุดจะเป็นโปรแกรมที่มีบัตรคำสั่งให้ผู้เรียนเรียนด้วยตัวเอง จาก ความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปความหมายของชุดกิจกรรมการสอนได้ว่า เป็นชุดของสื่อ การสอนที่ครูสร้าง ขึ้น โดยรวบรวมสื่อไว้หลากหลายชนิดเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพโดย ประกอบไปด้วยสื่อการ สอน แผนการดำเนินกิจกรรม นอกจากนี้แล้วมีผู้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมไว้ อย่างหลากหลายในประเทศไทย ดังนี้ เพชรรัตดา เทพพิทักษ์(2545: 30) กล่าวว่า ชุดกิจกรรม คือ ชุดการเรียน หรือชุดการสอนนั่นเอง ซึ่ง หมายถึง สื่อการสอนที่ครูเป็นผู้สร้างประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายชนิดและองค์ประกอบอื่นเพื่อให้ นักเรียน ศึกษาและประกอบปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้แนะนำ ช่วยเหลือและมีการ นำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ในการประกอบการเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับความสำเร็จ อารีย์ทวีลาภ (2546: 32) ได้กล่าวถึงชุดการเรียนหรือชุดกิจกรรมว่า เป็นสื่อการเรียนสำเร็จรูปที่ ประกอบด้วยสื่อหลายอย่างจัดเข้าไว้ด้วยกันเป็นชุดที่ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองตามขั้นตอนที่ระบุ ไว้ในชุด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยพึ่งครูน้อยที่สุด ผู้เรียนสามารถเรียนได้อย่างอิสระ ตาม ความสามารถของแต่ละบุคคล ชุดการเรียนนอกจากจะใช้สำหรับให้ผู้เรียนศึกษาเป็นรายบุคคลแล้วยังใช้ ประกอบการสอนแบบอื่น เช่น ใช้ประกอบการบรรยายหรือใช้สำหรับเรียนเป็นกลุ่มย่อย รุ่งอรุณ เธียรประกอบ(2549: 9) ให้ความหมายไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย นำเอา สื่อวัสดุปกรณ์และนวัตกรรมต่างๆมาให้นักเรียนนักศึกษาลงมือปฏิบัติด้วยตนเองแล้วเกิดการเรียนรู้ และสามารถ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือและส่งเสริมให้นักเรียนมีผล การเรียนที่มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น จากความหมายของชุดการสอน ชุดกิจกรรม และชุดการเรียน ที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรม การสอน หมายถึง วัสดุอุปกรณ์ตลอดจนโปรแกรมสำเร็จรูปที่จัดทำขึ้นอย่างหลากหลาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพใน
23 การสอนของครูและเพื่อเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องต่างๆที่ครูผู้สอน มุ่งพัฒนา โดยครูเป็น ผู้สอนทั้งรายบุคคลรายกลุ่มและมีการนำหลักการทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ร่วม เพื่อให้นักเรียนประสบผลสำเร็จ ในการเรียน 3.2 ประเภทของชุดกิจกรรม มีนักการศึกษาได้กล่าวถึง ประเภทของชุดการสอน ชุดการเรียน หรือชุดกิจกรรม ที่ช่วยให้ผู้สร้างได้ ตัดสินใจว่าจะสร้างชุดกิจกรรมในรูปแบบใดไว้หลายท่าน ดังนี้ กาญจนา เกียรติประวัติ (2524: 61) ได้จำแนกประเภทของชุดกิจกรรมไว้2 ประเภท คือ 1.ชุดกิจกรรมสำหรับกิจกรรมกลุ่ม ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองมโดยใช้กิจกรรมกลุ่ม เช่น ในวิธีการ ของศูนย์การเรียน (Learning Center) หรือบทเรียนโมดุลเมื่อออกแบบให้ใช้กิจกรรมกลุ่มเป็นวิธีเรียน 2.ชุดกิจกรรมรายบุคคล ส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองตามลำพัง เพื่อพัฒนาความรับผิดชอบของผู้เรียน และ ความก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถในเวลาที่แตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถทดสอบเพื่อทราบผล ความก้าวหน้าของตนเองได้ทุกเวลาและตรวจคำตอบได้ทันที วิชัย วงใหญ่ (2525: 5) และไชยยศ เรืองสุวรรณ (2522: 152) ได้แบ่งชุดกิจกรรมออกเป็น 3 ประเภท สอดคล้องกันดังนี้ 3.ชุดกิจกรรมสำหรับการบรรยายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชุดกิจกรรมสำหรับครูใช้คือเป็นชุดกิจกรรม สำหรับ กำหนดกิจกรรมการสื่อการเรียนให้ครูใช้ประกอบคำอธิบายเพื่อเปลี่ยนบทบาท การพูดของครูให้ลดน้อยลงและ เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนมากยิ่งขึ้นชุดกิจกรรมการสอนนี้จะมีเนื้อหาเพียงหน่อยเดียวและใช้กับ นักเรียนทั้งชั้น 4.ชุดกิจกรรมสำหรับกิจกรรมแบบกลุ่มชุดกิจกรรมนี้มุ่งเน้นที่ตัวผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมร่วมกันและ อาจจัดการ เรียนการสอนในรูปศูนย์การเรียนชุดกิจกรรมแบบกลุ่มประกอบด้วยชุดกิจกรรมย่อยที่มี จำนวนเท่ากับจำนวนศูนย์ การเรียนที่แบ่งไว้ในแต่ละหน่วยในแต่ละศูนย์พี่มีสื่อการเรียนหรือบทเรียน ครบชุดตามจำนวนผู้เรียนในศูนย์ กิจกรรมนั้นสื่อการเรียนอาจจะอยู่ในรูปของการเรียนการสอนรายบุคคลหรือผู้เรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกันก็ได้ผู้เรียนที่ เรียนจากชุดกิจกรรมแบบกิจกรรมกลุ่มอาจจะต้อง ขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เองในขณะทำกิจกรรมเรียน หากมีปัญหาผู้เรียนสามารถซักถามครู ได้เสมอเมื่อจบการเรียนและศูนย์ และผู้เรียนอาจจะสนใจการเรียนเสริมเพื่อ เจาะลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้ จากศูนย์สำรอง ที่ครูจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นการไม่ เสียเวลาที่จะต้องรอคอยผู้อื่น
24 5.ชุดกิจกรรมสำหรับรายบุคคลเป็นชุดกิจกรรมที่จัดระบบชั้นตอนเพื่อให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองตาม ตามลำดับ ชั้นความสามารถของแต่ละคนเมื่อศึกษาครบแล้วจะทำการทดสอบประเมินผลความก้าวหน้า และศึกษาชุด กิจกรรมชุดอื่นต่อไปตามลำดับเมื่อมีปัญหาผู้เรียนจะปรึกษากันได้ในระหว่างผู้เรียนและ ผู้สอนพร้อมที่จะให้ความ ช่วยเหลือทันทีในฐานะผู้ประสานงานหรือผู้ชี้แนะแนวทางการเรียนด้วยชุด การเรียนการสอนนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริม ศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลให้พัฒนาการเรียนรู้ของตนเองไปจนเต็มสุดความสามารถโดยไม่ต้องเสียเวลา คอยผู้อื่นการเรียนการสอนแบบนี้บางครั้งเรียกว่า บทเรียนโมดุล จากการศึกษาประเภทของชุดกิจกรรมชุดการเรียนการสอนทำให้ทราบว่าแบ่งออกเป็นหลาย ประเภทด้วยกันซึ่งครูและนักเรียนมีบทบาทแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทในงานวิชัยนี้ผู้วิจัยได้อึดแนวการ สร้างชุดกิจกรรมที่ให้นักเรียนเป็นผู้ศึกษาเนื้อหาด้วยตนเองและปฏิบัติกิจกรรมที่มีอยู่ในชุด กิจกรรมร่วมกัน โดยมีครูเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นผู้นำในการปฏิบัติกิจกรรมในบางกิจกรรม ร่วมกับนักเรียน 3.3 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม สมจิต สวธนไพบูลย์(2535: 39)ได้กล่าวถึง ข้อดีของชุดกิจกรรมดังนี้ 1.ช่วยให้นักเรียนได้เรียนด้วยตนเองตาม อัตภาพความสามารถของแต่ละคน 2.ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครู 3.ใช้สอนซ่อมให้นักเรียนที่ยังเรียนไม่ทัน 4.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน 5.ช่วยไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายจากการเรียนที่ครูต้องทบทวนซํ้าซาก 6.สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลไม่ จำเป็นต้องเรียนให้พร้อมกัน 7.นักเรียนตอบผิดไม่มีผู้เยาะเย้ย 8.นักเรียนไม่ต้องคอยฟังการสอนของครู 9.ช่วยลดภาวะของครูในการสอน 10.ช่วยประหยัดรายจ่ายอุปกรณ์ที่นักเรียนจำนวนมาก 11.ผู้เรียนจะเรียนเมื่อใดก็ได้ไม่ต้องคอยฟังครูผู้สอน 12.การเรียนไม่ จำกัดเวลาและสถานที่ 13.ส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้เรียน
25 จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียน เป็น สำคัญโดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองสนองต่อ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและสามารถลดภาระ ของครูใน การสอนทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคนครูได้ 3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรม งานวิจัยในประเทศ กิติโรจน์ ปัณฑรนนทกะ (2551: 65) ได้ศึกษาผลของการใช้ชุดกิจกรรมการสอนคณิตศาสตร์ด้วยหมากรุก ไทยที่มีต่อทักษะการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ฉันมัธยมศึกษาปีที่ 4 อิสลามวิทยาลัยแห่ง ประเทศ ไทย กรุงเทพมหานครในภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา2551 พี่เล่นหมากรุกไทยไม่ เป็นและสนใจสมัคร เข้าร่วมกิจกรรม โดยใช้ชุดกิจกรรมการสอนคณิตศาสตร์ด้วยหมากรุกไทยพบว่าทักษะการให้เหตุผลทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการใช้ชุดกิจกรรมการสอนคณิตศาสตร์ด้วยหมากรุกไทย สูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 จินตนา ศิริธัญญารัตน์ (2548: 64) ได้ศึกษาผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตร วิชาชีพปีที่ ที่ได้รับการชัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พบว่า 1.นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีในสำคัญทางสถิติที่ ระดับ.05 2.นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมี ความสามารถในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จิรเดช เหมือนสามาน(2552: 58) การพัฒนาชุดฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดทองเพลง สำนักงานเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ผลวิจัยพบว่า 1.ชุดฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากสื่อสิ่งพิมพ์มีประสิทธิภาพ 80.03 / 85.50 2.นักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์จากสื่อสิ่งพิมพ์ความสามารถในด้านการคิดวิเคราะห์หลัง การเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากสื่อสิ่งพิมพ์สูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01
26 จากงานวิจัยเกี่ยวกับชุดกิจกรรมที่ได้ค้นคว้ามาพอสรุปได้ว่า การใช้ชุดกิจกรรมในการจัดการเรียน การสอน สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีผลการเรียนและพัฒนาที่ดีขึ้นได้ งานวิจัยต่างประเทศ เนื่องจากนักศึกษาในต่างประเทศนิยมใช้คำว่าชุดการสอน และชุดการเรียนมากกว่าชุดกิจกรรม ซึ่งต่างก็มี ความหมายในทางเดียวกัน ดังนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับชุดการสอนงานวิจัยที่ เกี่ยวกับชุดการ เรียน และงานวิจัยที่เกี่ยวกับชุดกิจกรรมที่ได้มีนักการศึกษาในต่างประเทศได้กล่าวถึงไว้ ดังนี้ มีคส์ (Meeks. 1972: 4296-4296-A) ได้ทำการวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบวิธีการสอนแบบใช้ชุดการ สอน จากวิธีสอนแบบธรรมดา พบว่า การสอนโดยใช้ชุดการเรียนมีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนด้วย วิธีการสอนแบบ ธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และจากการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่ม ทดลองพบว่า ทุกคนมี พัฒนาการทางเจตคติที่ดีต่อการสอนโดยใช้ชุดการเรียนเพิ่มขึ้นหลังการทดลองอย่างมี นัยสำคัญ จึงสรุปได้ว่าการ สอนโดยใช้ชุดการเรียนดีกว่าการสอนแบบธรรมดา บรอว์เลย์(Bradley. 1975: 4280-A) ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพของการใช้ชุดการสอนแบบสื่อ ประสม สอนเรื่องการบอกเวลากับเด็กที่เรียนช้า กลุ่มตัวอย่างได้จากการลุ่มเด็กที่เรียนช้าโดยใช้แบบทดสอบ Time Appreciation Test,Stanford Achienent Test primary Level มา ทดสอบก่อนและหลังการทดลองพบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ชุดการสอนบอกเวลาต่อเนื่องของบรอว์เลย์(Brawley’s Experimental Sequence on Time Telling) มีผลการเรียนดีกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ ได้ใช้ชุดการสอน จากงานวิจัยเกี่ยวกับชุดการสอนที่ได้ค้นคว้ามาพบว่าการใช้ชุดการสอนในการชัดกิจกรรมการ เรียน การสอนในชั้นเรียนนั้นสามารถช่วยให้ผู้เรียนมีผลการเรียนและพัฒนาการที่ดีขึ้น
บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องการพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ด้าน การแต่งกายโดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีขั้นตอนการ ดำเนินการ วิจัยดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 3. ขั้นตอนการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 4. แบบแผนการทดลอง 5. วิธีดำเนินการทดลอง 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับขั้นเตรียม ความพร้อมของ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย จำนวน 1 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่มีพัฒนาการทักษะการ ช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายล่าช้า ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับขั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย ตำบลมีชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 1 คน โดยมีวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างดังนี้ 1.ประเมินความสามารถพื้นฐานการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา 1 คน 2.เรียงลำดับคะแนนผลการประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายจาก คะแนน
28 มากไปหาน้อย 3. คัดเลือกนักเรียนที่มีคะแนนประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายจากน้อย ที่สุดขึ้นไป 5 อันดับ เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1. ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 3 กิจกรรม 2. แผนการสอนเฉพาะบุคคล IIP เรื่อง การสวมเสื้อ การสวมกางเกง และการสวมกระโปรง 3. แบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกาย ขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือดังนี้ 1.ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 3 กิจกรรม มีขั้นตอนในการสร้างและการตรวจคุณภาพตามที่ผู้วิจัยได้ คำนึงถึงกลุ่ม ตัวอย่างเป็นหลัก โดยพยายามสร้างกิจกรรมให้สอดคล้องเหมาะสมกับระดับความรู้ ความสามารถความสนใจของ เด็กเป็นสำคัญ ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำชุดกิจกรรมการแต่งกายโดยนำหลักการ วิเคราะห์งานมาใช้ในการสร้างชุดกิจกรรมการแต่งกายจำนวน 3 ชุดกิจกรรม 1.2 นำชุดกิจกรรมการแต่งกายไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ สอนเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการหาค่า IOC ของอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อตรวจสอบคุณภาพและ ความเที่ยงตรงของเนื้อหาความสอดคล้องในการดำเนินกิจกรรมและสื่อการเรียนการสอนแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องดังต่อไปนี้ 1.2.1 เสื้อ กางเกงหรือกระโปรงที่ติดกับแป้นควรทำให้สามารถดึงออกได้เพื่อที่นักเรียนสามารถ สอดแขนขาเข้าไปในเสื้อกางเกงหรือกระโปรงได้ 1.2.2 รูปแบบของเกมการศึกษาการเรียงลำดับขั้นตอนการสวมเสื้อ กางเกงหรือกระโปรง ควร เปลี่ยนจากการใช้เทปกาวและกระดาษลูกฟูกเป็นกระเป๋าผนัง ใช้รูปแบบการสอดเพื่อเรียงลำดับแทนและ รูปแบบ ของภาพควรเป็นรูปทรงที่น่าสนใจ 1.2.3 ขนาดของสื่อการสอนควร นี่ขนาดที่พอดีสามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกในการ
29 เคลื่อนย้ายไปสอนได้ทุกที่ จากการวิเคราะห์ผลการประเมินได้ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 1.3 ทำการปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดกิจกรรมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 1.4 นำชุดกิจกรรมที่ทำการปรับปรุงตามผู้เชี่ยวชาญไปทดสอบ กลับนักเรียนที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย จำนวน 1 คนโดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงคัดเลือก นักเรียนที่มีความสามารถด้านการแต่งกายล่าช้า 1.5 นำผลจากการทดสอบมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเดิม ดังนี้ 1.5.1 การเรียงลำดับการนำเสนอสื่อให้ชัดเจนเพื่อให้เด็กมีความสนใจในเนื้อหาการสอนมากกว่า สนใจสื่อเพราะเด็กชอบที่จะเล่นสื่อมากกว่า 1.5.2 สื่อเกมการศึกษาควรทำให้แข็งแรงมากขึ้นเมื่อใช้จริงแล้วเด็กดึงแรงทำให้เทปกาวหลุด 1.6 นำชุดกิจกรรมการแต่งกายทั้ง 3 ชุด ไปทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา ระดับชั้นเตรียมความพร้อม ปีการศึกษา 2566 ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย จำนวน 1 คน 2. แผนการสอนเฉพาะบุคคล การสวมเสื้อ การสวมกางเกง และการสวมกระโปรง 2.1 ศึกษาเอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการสอนเฉพาะบุคคล เช่น องค์ประกอบของ แผนวิธีการเขียนแผน เป็นต้น 2.2 วิเคราะห์งาน และแบ่งสัดส่วนเวลา กำหนดจำนวนแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาและ สอดคล้องกับกิจกรรมหรือนวัตกรรม 2.3 จัดทำร่างแผนการจัดการเรียนรู้ และสื่อนวัตกรรมที่ใช้ประกอบแผน ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 2.4 ปรับปรุงแก้ไขตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 2.5 ทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และปรับปรุงให้มีความเหมาะสมทั้งด้านระยะเวลา ลำดับ ขั้นตอน เพื่อให้มีความสมบูรณ์และนำไปใช้ในการวิจัย 3. แบบประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย มีขั้นตอนในการสร้างและตรวจ คุณภาพ ดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเอง ด้าน การแต่งกายโดยใช้หลักการวิเคราะห์งาน 3.2 สร้างแบบประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายเป็นแบบรายการที่มีระดับการ
30 ปฏิบัติ 3 ระดับคือ ปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้บ้าง และปฏิบัติไม่ ได้ โดยหากทำได้ให้น้ำหนักคะแนน เท่ากับ 2 คะแนน หากได้บ้างให้น้ำหนักคะแนนเท่ากับ 1 คะแนน หากทำไม่ ได้ให้น้ำหนักคะแนน 0 คะแนน เกณฑ์การประเมินความสามารถในการแต่งกายของคะแนนเต็ม 48 เป็นดังนี้ 38.4 คะแนนขึ้นไป หมายถึง มีความสามารถในระดับดีมาก 33.6 - 38.3 คะแนน หมายถึง มีความสามารถในระดับดี 28.8 – 33.5 คะแนน หมายถึง มีความสามารถในระดับปานกลาง 24.0 – 28.7 คะแนน หมายถึง มีความสามารถระดับพอใช้ ต่ำกว่า 23.9 คะแนน หมายถึง มีความสามารถระดับต้องปรับปรุง เกณฑ์การประเมินความสามารถในการแต่งกายเป็นรายพฤติกรรม ของคะแนนเต็ม 2 เป็นดังนี้ 1.6 คะแนนขึ้นไป หมายถึง มีความสามารถในระดับดีมาก 1.4-1.5 คะแนน หมายถึง มีความสามารถในระดับดี 1.2-1.3 คะแนน หมายถึง มีความสามารถในระดับปานกลาง 1.0-1.1 คะแนน หมายถึง มีความสามารถระดับพอใช้ ต่ำกว่า 0.9 คะแนน หมายถึง มีความสามารถระดับต้องปรับปรุง 2.3 นำแบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกายที่ได้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และหาค่า IOC ของผลการประเมินของ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของ การใช้ภาษาใบ้ชัดเจน การแบ่งเกณฑ์กำหนด พฤติกรรมในแต่ละเกณฑ์จนสามารถใช้งาน ได้ผลการประเมินได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง0.67 - 1.00 2.4 นำแบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกายที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญไปปรับปรุงนำไปทำ การ
31 ทดสอบกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาของ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย จำนวน 1 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถ ด้านการแต่งกายล่าช้า 2.5 นำผลจากการทดสอบมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมดังนี้ 2.5.1 ควรมีการสร้างความคุ้นเคยคับเด็กก่อนการประเมินเพราะเด็กจะไม่ ให้ความ ร่วมมือใน กิจกรรมเนื่องจากเด็กไม่คุ้นเคยกับผู้วิจัยจะทำให้ไม่ ได้ผลการประเมินที่ แท้จริง 2.6 จัดเตรียมแบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกายเพื่อใช้จริง สูตรการหาความเที่ยงตรงของเครื่องมือ (Content Validity) ƩR IOC = N เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างเครื่องมือกับจุดประสงค์ ƩR คือ ผลรวมของคะแนนพิจารณาของทรงคุณวุฒิ N คือ จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4.1 แบบแผนการทดลอง แบบการวิจัยในการทดลองครั้งนี้เป็นแบบวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยจะดำเนินการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design ดังนี้ E T1 X T2 เมื่อ E แทน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่เข้ารับบริการเตรียมความพร้อมในศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย T1 แทน การประเมินการสวมเสื้อ การสวมกางเกง การสวมกระโปรงก่อนการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่ง กาย X แทน ใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย
32 T2 แทน การประเมินการสวมเสื้อ การสวมกางเกง การสวมกระโปรงหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่ง กาย 4.2 การดำเนินการทดลอง การทดลองในครั้งนี้ทดลองกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่เข้ารับบริการเตรียมความพร้อมที่ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย ห้องเรียนสติปัญญา 2 ปีการศึกษา 2566 โดยแบ่งการฝึก ดังนี้ 4.2.1 สัปดาห์ที่ 1 วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ เวลา 10.00 น. – 13.00 น. ให้ฝึกการสวมเสื้อ สวม กางเกง และสวมกระโปรงโดยยังไม่ใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย สังเกตและบันทึกผล 4.2.2 สัปดาห์ที่ 2 – 3 ทดลองการฝึกการสวมเสื้อ สวมกางเกง และสวมกระโปรง วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ เวลา 10.00 น. – 13.00 น. ให้การสวมเสื้อ สวมกางเกง และสวมกระโปรงโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมการ แต่งกาย สังเกตและบันทึกผล 4.2.3 เปรียบเทียบผลการฝึกระหว่างก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย แบบแผนการทดลอง ในการดำเนินการทดลองครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้แบบแผนการทดลอง Single Research Design แบบ A-B-A Design ซึ่งได้แบ่งระยะการทดลองเป็น 3 ช่วง คือ 1.ช่วงเส้นฐาน (Baseline หรือ A ตัวแรก) เป็นระยะที่มีการบันทึกข้อมูลทำการสังเกตุพฤติกรรม โดยยังไม่ มีการจัดกระทำและมีการประเมินความสามารถด้านการแต่งกายโดยใช้แบบประเมินความสามารถ ด้านการแต่ง กายที่จะทำขึ้น 2.ช่วงการจัดกระทำ (Treatment หรือ B ) เป็นระยะที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองผู้วิจัยเริ่มทำการสอน โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ซึ่งทำให้เราทราบว่านักเรียนมีพฤติกรรมเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เ มื่อ เปรียบเทียบกับช่วงเส้นฐานจากการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกายตามแผนการจัดกิจกรรมและทำการสังเกตพร้อม บันทึกพฤติกรรม เมื่อนักเรียนทำพฤติกรรมทั้งหมดแล้วจึงเริ่มในช่วงงดการจัดกระทำ 3.ช่วงการจัดกระทำ (Evaluation หรือ A ตัวหลัง) ซึ่งมีมุ่งหมายเพื่อติดตามผลจากการสอนโดยใช้ ชุด กิจกรรมการแต่งกายโดยที่ผู้วิจัยหยุดสอนแต่ยังบันทึกข้อมูลเหมือนกับที่อยู่ในระยะเส้นฐานแรก (A ตัวแรก) มีการ ประเมินความสามารถด้านการแต่งกายโดยใช้แบบประเมินที่จัดทำขึ้น
33 วิธีดำเนินการทดลอง ในการทำวิจัย มีวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ 1.ผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ผลการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการ แต่งกาย จากการใช้แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย เป็นคะแนนก่อน ทดลอง (Pretest )ปรากฏว่านักเรียนทั้ง 5 คนมีคะแนนความสามารถด้านการแต่งกายอยู่ในระดับต้อง ปรับปรุงจึงคัดเลือก นักเรียนที่มีคะแนนน้อยสุดจากท้ายมา 1 คน เป็นกลุ่มตัวอย่าง 2.ดำเนินการทดลองโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกายทั้ง 3 ชุด ที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นดังนี้ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียนสร้างบรรยากาศในการเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นสอน ผู้วิจัยสอนขั้นตอนให้นักเรียนดูและปฏิบัติตามขั้นตอน ขั้นที่ 3 นักเรียนฝึกปฏิบัติตามแผนการจัดกิจกรรม 1.เมื่อดำเนินการทดลองครบทั้งหมดแล้วนำแบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ด้าน การแต่งกายมาประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็ก (Posttest) 2.นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายมาสรุป วิเคราะห์ 3.นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายมาสรุป วิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยความเที่ยงตรงของเนื้อหา(Content Validity) โดย คำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ;และอังคณา สายยศ. 2538: 79 = ∑
34 เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินกับจุดประสงค์ ตามความ คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2. สถิติพื้นฐานที่ใชัในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 หาค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ; และอังคณา สายยศ. 2538 : 73 ) ̅= ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง 2.2 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation ) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ; และ อังคณา สายยศ. 2538: 79) = ∑ 2 − (∑) 2 ( − 1) เมื่อ แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑ 2 แทน ผลรวมของคะแนนนักเรียนแต่ละคนยกกำลังสอง
บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1.ผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาก่อนและหลังการฝึกโดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับเตรียมความพร้อม ห้องเรียนสาขาสติปัญญา 2 ศูนย์การศึกษา พิเศษประจำจังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 เพศหญิง อายุ 6 ปีจำนวน 1 คน ที่มีปัญหาด้านทักษะการ ช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ต้องคอยกระตุ้นเตือนตลอด โดยมีผลการประเมินจากแบบประเมินพื้นฐาน เท่ากับ 1 คือ ทำไม่ได้เลย ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงและผู้ปกครองให้ความยินยอมในการทำวิจัย การทดลองใน ครั้งนี้ทดลองกับผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับเตรียมความพร้อม ห้องเรียนสาขาสติปัญญา 2 ที่กำลังรับบริการอยู่ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาศึกษา จำนวน 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที รวมทั้งหมด 15 ครั้ง ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิจัยตามลำดับดังนี้ ผลการวิจัย 1. ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ตารางที่ 1 คะแนนการประเมินผลการเรียนรู้ ระหว่างการสอนโดยชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกายที่มีต่อ ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดย ใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย
36 ครั้งที่สอน กิจกรรม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 รู้จักการสวมเสื้อ 1 1 2 2 3 3 4 4 4 4 4 5 5 4 4 การสวมกางเกง 1 1 2 2 2 3 3 4 4 4 5 5 5 5 5 การสวมกระโปรง 1 1 2 2 2 3 3 4 4 4 5 5 5 5 5 หมายเหตุ 1 หมายถึง ทำไม่ได้/ไม่ยอมทำ 2 หมายถึง ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสามแบบร่วมกัน คือ ทางกาย วาจา และท่าทาง 3 หมายถึง ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสองแบบร่วมกัน คือ ทางกาย หรือทางวาจา หรือท่าทาง 4 หมายถึง ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง 5 หมายถึง ทำได้ด้วยตนเอง ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนได้ระดับคุณภาพ 4 ขึ้นไป จำนวน 7 ครั้งขึ้นไป จากตารางที่ 1 แสดงผลคะแนนการประเมินผลการเรียนรู้ ระหว่างการสอนโดยผู้ปกครองมีส่วนร่วมของ บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย พบว่าใน กิจกรรมที่ 1 กิจกรรม รู้จักการสวมเสื้อ พบว่า ผู้เรียนได้ระดับคุณภาพ 1 คือ ทำไม่ได้/ไม่ยอมทำ จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 2 คือ ทำได้ โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสามแบบร่วมกัน คือ ทางกาย วาจา และท่าทาง จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 3 คือ ทำได้ โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสองแบบร่วมกัน คือ ทางกาย หรือทางวาจา หรือท่าทาง จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 4 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 7 ครั้ง และระดับคุณภาพ 5 คือ ทำได้ด้วยตนเอง จำนวน 2 ครั้งจากเกณฑ์การประเมิน ผู้เรียนมีผลการประเมินการเรียนรู้ ได้ระดับคุณภาพ 4 ขึ้นไป ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรมนี้ กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการสวมกางเกง พบว่า ผู้เรียนได้ระดับคุณภาพ 1 คือ ทำไม่ได้/ไม่ ยอมทำ จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 2 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสามแบบร่วมกัน คือ ทางกาย วาจา และ ท่าทาง จำนวน 3 ครั้ง ระดับคุณภาพ 3 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือน ทั้งสองแบบร่วมกัน คือ ทางกาย หรือทาง วาจา หรือท่าทาง จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 4 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่าง หนึ่ง จำนวน 3 ครั้ง และระดับคุณภาพ 5 คือ ทำได้ด้วยตนเอง จำนวน 5 ครั้ง จากเกณฑ์การประเมิน ผู้เรียนมีผลการ ประเมินการเรียนรู้ ได้ระดับคุณภาพ 4 ขึ้นไป ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรมนี้ กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมการสวมกระโปรง
37 พบว่า ผู้เรียนได้ระดับคุณภาพ 1 คือ ทำไม่ได้/ไม่ยอมทำ จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 2 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้น เตือน ทั้งสามแบบร่วมกัน คือ ทางกาย วาจา และท่าทาง จำนวน 3 ครั้ง ระดับคุณภาพ 3 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้น เตือน ทั้งสองแบบร่วมกัน คือ ทางกาย หรือทางวาจา หรือท่าทาง จำนวน 2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 4 คือ ทำได้โดยใช้การ กระตุ้นเตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 3 ครั้ง และระดับคุณภาพ 5 คือ ทำได้ด้วยตนเอง จำนวน 5 ครั้ง จากเกณฑ์การประเมิน ผู้เรียนมีผลการประเมินการเรียนรู้ ได้ระดับคุณภาพ 4 ขึ้นไป ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรมนี้ ภาพที่ 1 ผลการประเมินผลการเรียนรู้ ระหว่างการสอนโดยการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่ มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย สรุปจาก ผลการประเมินผลการเรียนรู้ ระหว่างการสอนใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย พบว่า กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมรู้จักการสวมเสื้อ มีผลการประเมินการเรียนรู้ ในระดับคุณภาพ 4 จำนวน 7 ครั้ง ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรมนี้ กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการการสวมกางเกง ผู้เรียนมีผลการประเมินการเรียนรู้ ในระดับคุณภาพ 4 จำนวน 3 ครั้ง และ ระดับคุณภาพ 5 จำนวน 5 ครั้ง ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรมนี้กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมการสวมกระโปรง ผู้เรียนมีผลการ ประเมินการเรียนรู้ ในระดับคุณภาพ 4 จำนวน 4 ครั้ง และระดับคุณภาพ 5 จำนวน 4 ครั้ง ถือว่าผู้เรียนผ่านกิจกรรม นี้ กิจกรรมที่ 1 รู้จักการสวมเสื้อ 1 1 2 2 3 3 4 4 4 4 4 5 5 4 4 กิจกรรมที่ 2 การสวมกางเกง 1 1 2 2 2 3 3 4 4 4 5 5 5 5 5 กิจกรรมที่ 3 การสวมกระโปรง 1 1 2 2 2 3 3 4 4 4 4 5 5 5 5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5
38 2. ผลการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดย การใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย กลุ่มเป้าหมาย ระดับคุณภาพ/กิจกรรม รู้จักรองการสวมเสื้อ การสวมกางเกง การสวมกระโปรง การประเมิน ก่อนสอน หลังสอน ก่อน สอน หลังสอน ก่อนสอน หลัง สอน ระดับคุณภาพ 1 4 1 5 1 5 จากตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย พบว่า กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมรู้จักการสวมเสื้อ กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการสวมกางเกง และกิจกรรมที่ 3 กิจกรรมการสวมกระโปรง พบว่า ทั้ง 3 กิจกรรม ก่อนการจัดกิจกรรมโดยการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย ผู้เรียนมีคะแนนระดับคุณภาพ ก่อนการประเมิน อยู่ในระดับระดับคุณภาพ 1 คือ ทำไม่ได้/ไม่ยอมทำ และหลังการจัดกิจกรรม โดยการใช้ชุกฝึก กิจกรรมการแต่งกาย ผู้เรียนมีคะแนนระดับคุณภาพ หลังการประเมิน อยู่ในระดับระดับคุณภาพ 4 และระดับ คุณภาพ 5 คือ ทำได้โดยใช้การกระตุ้นเตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง และทำได้ด้วยตนเอง ดัง แผนภูมิดังนี้
39 ภาพที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดย การใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา สรุปจากการเปรียบเทียบการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย ก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย ของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา ทั้ง 3 กิจกรรม พบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน จากผลการประเมินผู้เรียนทำไม่ได้/ ไม่ยอมทำ และหลังการจัดกิจกรรมโดยการใช้ชุดฝึกการแต่งกาย ผู้เรียนมีผลการประเมิน ทำได้โดยใช้การกระตุ้น เตือนทางวาจา หรือท่าทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง และทำได้ด้วยตนเองจะเห็นได้ว่า หลังการจัดกิจกรรมการสวมเสื้อ สวมกางเกง และสวมกระโปรง โดยผู้ปกครองมีส่วนร่วมของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ผู้เรียนมี พัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขึ้น 1 1 1 4 5 5 0 1 2 3 4 5 ก่อนได้รับการพัฒนา หลังได้รับการพัฒนา
บทที่ 5 สรุปอภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาถึงความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่ความ บกพร่องทางสติปัญญาที่ได้รับการทดลองโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมการแต่งกาย สรุป อภิปรายผลและ ข้อเสนอแนะดังนี้ ความมุ่งหมายของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาก่อนและหลังการฝึกโดยการใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกาย สมมุติฐานในการวิจัย เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกายมีความสามารถด้านการแต่ง กายเพิ่มขึ้น ความสำคัญของการวิจัย ผลของการศึกษาครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการสอนและพัฒนาเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาของ ครูผู้สอน หรือบุคลากรผู้เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาความสามารถของเด็กในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ขอบเขตการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ในการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตไว้ดังนี้ 1.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนอายุระหว่าง 4-6 ปี ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับ เรียนได้ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย
41 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ มีระดับเชาว์ ปัญญา 50 - 70 อายุระหว่าง 4-6 ปี ที่มีพัฒนาการทักษะการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายล่าช้า ที่กำลังศึกษา อยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย ตำบลมีชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1.ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 3 กิจกรรม 2. แผนการสอนเฉพาะบุคคล IIP เรื่อง การสวมเสื้อ การสวมกางเกง และการสวมกระโปรง 3. แบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกาย ขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 1.ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 3 ชุด มีขั้นตอนในการสร้างและการตรวจคุณภาพตามที่ผู้วิจัยได้คำนึงถึงกลุ่ม ตัวอย่างเป็นหลัก โดยพยายามสร้างกิจกรรมให้สอดคล้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะ ระดับความรู้ ความสามารถและ ความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำชุดกิจกรรมการแต่งกายโดยนำหลักการวิเคราะห์ งานมาใช้ในการสร้างชุดกิจกรรมการแต่งกายจำนวน 3 ชุด กิจกรรม 1.2 นำชุดกิจกรรมการแต่งกายไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จำนวน 3 คนโดยการหาค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 คน เพื่อตรวจสอบ คุณภาพและความเที่ยงตรงของเนื้อหา ความสอดคล้องในการดำเนินกิจกรรมและสื่อการเรียนการสอนแล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องดังต่อไปนี้ 1.2.1 เสื้อ กางเกง หรือกระโปรง ที่ติดกับแป้น ควรทำให้สามารถดึงออกจากแป้นได้เพื่อที่ นักเรียนสามารถสอดแขน ขา เข้าไปในเสื้อ กางเกงหรือกระโปรงได้
42 1.2.2 รูปแบบของเกมการศึกษาการเรียงลำดับขั้นตอนการสวมเสื้อ กางเกง หรือกระโปรง ควร เปลี่ยนจากการใช้ตีนตุ๊กแก และกระดาษลูกฟูก เป็นกระเป๋าผนังใช้รูปแบบการสอดเพื่อเรียงลำดับแทน และรูปแบบของภาพควรเป็นรูปทรงที่น่าสนใจ เช่น รูปดอกไม้ ก้อนเมฆ แทน 1.2.3 ขนาดของสื่อการสอนควรมีขนาดที่เล็ก พอเหมาะ สามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกใน การเคลื่อนย้ายไปสอนได้ทุกที่ จากการวิเคราะห์ผลการประเมินได้ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 1.3 ทำการปรับปรุงแก้ไข แผนการจัดกิจกรรมตามดำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 1.4 นำชุดกิจกรรมที่ทำการปรับปรุงตามผู้เชี่ยวชาญไป ty - out กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญาของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดหนองคาย จำนวน 1 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงคัดเลือก นักเรียนที่มีความสามารถด้านการแต่งกายล่าช้า 1.5 นำผลจากการ ty - out มาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม 1.4 นำชุดกิจกรรมการแต่งกายทั้ง 3 ชุด ไปทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความ บกพร่องทางงสติปัญญา ระดับชั้นเตรียมความพร้อม ปีการศึกษา 2566 ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัด หนองคาย 1 คน 2. แผนการสอนเฉพาะบุคคล การสวมเสื้อ การสวมกางเกง และการสวมกระโปรง 2.1 ศึกษาเอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการสอนเฉพาะบุคคล เช่น องค์ประกอบของ แผนวิธีการเขียนแผน เป็นต้น 2.2 วิเคราะห์งาน และแบ่งสัดส่วนเวลา กำหนดจำนวนแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาและ สอดคล้องกับกิจกรรมหรือนวัตกรรม 2.3 จัดทำร่างแผนการจัดการเรียนรู้ และสื่อนวัตกรรมที่ใช้ประกอบแผน ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 2.4 ปรับปรุงแก้ไขตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 2.5 ทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และปรับปรุงให้มีความเหมาะสมทั้งด้านระยะเวลา ลำดับ ขั้นตอน เพื่อให้มีความสมบูรณ์และนำไปใช้ในการวิจัย