บทที่ 1
ความรทู้ ั่วไปเก่ยี วกับภาษา
ภาษาเปรียบเหมือนส่ิงมีชีวิต เห็นได้จากภาษามีการเกิดข้ึน แม้จะระบุไม่ได้ว่าภาษาเกิดข้ึน
คร้ังแรกทีใ่ ด และเมื่อใดกต็ าม โดยภาษาจะดารงอยู่หากยงั มีผู้ใช้ภาษานั้นในการติดต่อส่ือสารกนั และ
ในขณะท่ีมีการใช้ภาษาในการส่ือสารนั้น ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่น มีคาศัพท์
ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน ส่วนภาษาท่ีไม่ได้ใช้ส่ือสารกันในชีวิตประจาวันแล้ว เราเรียกว่า
ภาษาที่ตายแล้ว ทั้งน้ไี ด้มผี ู้เปรียบเทียบภาษากบั สิง่ มีชีวิตเพราะมีเกิด แก่ เจบ็ และตายเหมือนกัน
ในบทที่ 1 จะกล่าวถึงความรู้ทั่วไปเก่ียวกับภาษาเพ่ือแสดงให้เห็นว่า ภาษาคืออะไร ภาษา
มีรูปแบบอย่างไร แนวทางการศึกษาภาษาเป็นอย่างไร ตลอดจนตระกูลของภาษาไท ดังจะได้เสนอ
ตามลาดบั ต่อไปนี้
1.1 ความหมายของภาษา
ภาษาเป็นสมบัติของมนุษยชาติ และเป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสารของมนุษย์ ทาให้
สามารถถ่ายทอดความคิด ความรู้ ประสบการณ์ หรือสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้บุคคลอ่ืนได้รับรู้
โดยมนุษย์มีความสามารถในการใชภ้ าษาไดเ้ นอ่ื งจากมนษุ ย์มีการเรียนรู้ภาษาตงั้ แต่วัยเดก็ ซึ่งข้อจากัด
นี้ไม่สามารถเกิดข้ึนกับสัตว์ เนื่องจากโดยท่ัวไป สัตว์ไม่สามารถเรียนรู้ภาษา การสื่อสารของสัตว์น้ัน
เกิดข้ึนตามสัญชาตญาณ แม้มนุษย์จะเรียกการส่ือสารของสัตว์หลายชนิดว่าเป็นภาษาสัตว์ เช่น
ภาษาผึ้ง ภาษาโลมา ภาษาลิง ก็ตาม แต่สัตว์เหล่านี้ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดซ่ึงเป็นเสียงในภาษา
ดังน้ันเมื่อกล่าวถึงภาษาจึงจากัดเฉพาะภาษาของมนุษย์เท่าน้ัน ท้ังน้ีนักภาษา และนักภาษาศาสตร์ได้
นิยามความหมายของ “ภาษา” ไวด้ งั น้ี
พระยาอนุมานราชธน (2514, หน้า 22 - 23) ได้ให้ความหมายของ “ภาษา” ว่า หมายถึง
วิธีทาความเข้าใจกันระหว่างคนกับคน ซ่ึงทาได้หลายวิธี เช่น ภาษาใบ้ การเขียนรูปให้ดูเพื่อแสดง
ให้เข้าใจกัน แต่ภาษาเหล่าน้ีอาจมีข้อจากัดได้ เช่น ภาษาใบ้ต้องใช้ตาดู ถ้าอยู่ในที่มืดก็ไม่สามารถ
เข้าใจได้ นอกจากนี้ยังมีภาษาในลักษณะอื่น ๆ อีก อาทิ ภาษาธง ภาษาดอกไม้ ภาษาแสงไฟ ภาษา
โทรเลข และภาษาอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ภาษาเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กาหนดขึ้นใช้เป็นพิเศษ
อย่ใู นวงจากัดเทา่ นน้ั ถ้าไม่ไดท้ าความตกลงรับรู้ร่วมกนั มาก่อนกไ็ ม่สามารถเขา้ ใจได้
นอกจากน้ี พระยาอนมุ านราชธน ยังได้ให้ความเห็นเพม่ิ เติมว่า หากจะนยิ ามความหมายของ
ภาษาตามความหมายในนิรุกติศาสตร์ ภาษา คือ วิธีท่ีมนุษย์แสดงความในใจเพื่อให้ผู้ที่ตนต้องการ
ให้รู้ไดร้ ู้ จะเปน็ เพราะต้องการบอกความในใจท่ีนึกไว้ หรอื เพ่ือระบายความในใจท่ีอดั อั้นอยใู่ ห้ปรากฏ
ออกมาภายนอกโดยใชเ้ สยี งพดู ท่ีมคี วามหมายตามท่ีไดต้ กลงรบั รู้กันซงึ่ มีผู้ได้ยนิ รับรู้ และเข้าใจ
อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ (2545, หน้า 2553) กล่าวถึงภาษาว่าเป็นระบบสัญลักษณ์
ในเชิงคาพูด หรือเชิงการเขียนท่ีมนุษย์เท่านั้นกาหนดขึ้น และใช้เป็นเคร่ืองมือในการสื่อความหมาย
4
ต่อกันและกัน และภาษามีลักษณะท่ีทานายล่วงหน้าไม่ได้ ให้เหตุผลไม่ได้ว่าทาไมแต่ละชาติ
แต่ละภาษาจึงฟังเสียงต่างกันไปได้ และเช่ือว่าคาในภาษาที่ใช้กันน้ันเกิดข้ึนมาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
แล้วใชต้ ่อ ๆ กนั มา แม้จะมีคาที่เกิดจากการเลยี นเสยี งธรรมชาติ แตก่ ็พบน้อยมาก
ภาวาส บุนนาค (2547, หน้า 25) นิยามความหมายของภาษาไว้อย่างส้ัน ๆ ว่า ภาษา
คอื เสียงท่ใี ช้พดู จากัน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554, หน้า 822 ) ได้ให้ความหมายของ “ภาษา”
ว่า หมายถึง น. ถ้อยคาท่ีใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย
ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ กาษากฎหมาย ภาษาธรรม ; เสียง
ตัวหนังสือ หรือกิริยาอาการท่ีสื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง ภาษามือ ; (โบ)
คนหรอื ชาตทิ ีพ่ ูดภาษานน้ั ๆ เช่น มอญ ลาว ทะวาย น่งุ หมุ่ และแต่งตวั ตามภาษา
ราชบัณฑิตยสถาน (2557, หน้า 233) ได้ให้ความหมายของ “ภาษา” ว่า เป็นระบบ
สัญลักษณ์ท่ีมนุษย์ใช้ส่ือสาร ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ส่วนที่ไม่มีความหมาย และส่วน
ท่ีมีความหมาย ส่วนที่ไม่มีความหมายได้แก่ เสียง ซ่ึงมีจานวนจากัด และประกอบกันเป็นส่วนที่มี
ความหมายซ่ึงมีจานวนไม่รู้จบ ได้แก่ หน่วยต่าง ๆ ในภาษา เช่น คา วลี และประโยค โดยทั่วไปแล้ว
นักภาษาศาสตร์มกั ถอื ว่า มี 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ เสียง ไวยากรณ์ และความหมาย
จากทัศนะของนักภาษาข้างต้นเกี่ยวกับความหมายของภาษาท่ียกมานี้จะเห็นได้ว่า ถ้านิยาม
ความหมายของภาษาให้มีความหมายกว้าง ตั้งแต่ภาษาของมนุษย์ชาติที่เกิดข้ึนอย่างเป็นธรรมชาติ
ภาษาที่มนุษย์ตั้งใจประดิษฐ์ข้ึน แต่หากนิยามความหมายให้แคบลงสามารถสรุปได้ว่า “ภาษา”
หมายถึง สัญลักษณ์อย่างหน่ึงท่ีมนษุ ย์แต่ละสังคมกาหนดขึ้นเพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสาร
กัน โดยภาษาอาจจะเป็นเสียงพูด ตัวอักษร หรือภาษาท่าทางก็ได้ท้ังนี้ภาษาจะประกอบด้วยเสียง
ไวยากรณ์ และความหมาย
1.2 รปู แบบของภาษา
ภาษาตา่ ง ๆ ในโลกนี้หากแบง่ ตามการประกอบคา จะแบง่ ได้ 4 รปู แบบ ไดแ้ ก่
1) ภาษาคาโดด (Isolating Language)
ภาษาที่มีรูปแบบเป็นภาษาคาโดดจะมีลักษณะสาคัญ คือ คาแต่ละคาไม่ต้อง
เปล่ียนแปลงรูป มีความเป็นอิสระไม่ต้องแสดงหน้าที่เกี่ยวพันกับคาอื่น หน้าท่ีและความหมายของคา
จะข้ึนอยู่กับการเรียงคาเข้าประโยค ภาษาที่มีรูปแบบเป็นภาษาคาโดดคือ ภาษาไทย ภาษาลาว
ภาษาจนี ภาษาพมา่ ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษากะเหรยี่ ง เปน็ ต้น
2) ภาษามีวิภัตตปิ ัจจัย (Inflectional Language)
ภาษาท่ีมีรูปแบบเป็นภาษามีวิภัตติปัจจัยจะมีลักษณะสาคัญคือ เป็นภาษาที่มี
การเปล่ียนแปลงรูปคา หรือผันคาตาม เพศ พจน์ กาล มาลา และวาจก เสียก่อนจึงจะนาไปใช้
ในประโยคได้ ภาษาที่มรี ูปแบบเป็นภาษามวี ิภัตติปัจจัย เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกส
ภาษาฝรงั่ เศส ภาษาละติน ภาษาเยอรมัน ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาฮนิ ดี ภาษาอาหรับ เปน็ ต้น
5
3) ภาษาคาติดต่อ (Agglutinative Language)
ภาษาท่ีมีรูปแบบเป็นภาษาคาติดต่อจะมีลักษณะสาคัญคือ เป็นภาษาท่ีมีคาเดิม (base
form) เป็นคาตั้ง แล้วนาหน่วยคาเติม (affixes) ไปเติมทาให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้น คาท่ีนามาเติม
เราเรียกวา่ อุปสรรค (คาเตมิ หน้า) อาคม (คาเติมกลาง) และปัจจยั (คาเติมหลงั ) เช่น ภาษาชวา ภาษา
มลายู ภาษาฟิลิปินส์ ภาษาตุรกี ภาษาเตลุคุ ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาทมิฬ และภาษาในทวีป
แอฟรกิ า อเมรกิ า และออสเตรเลีย เปน็ ต้น
4) ภาษาคาควบมากพยางค์ (Polysynthetic Language)
ภาษาท่ีมีรูปแบบคาควบมากพยางค์นี้จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาคาติดต่อ คือ
ประกอบด้วยหน่วยคาหลายหน่วยคา เวลานาคาไปใช้จะนาหน่วยคาหลายหน่วยมาเรียงต่อกัน
เป็นคาเดียว แต่มีความหมายเท่ากับประโยค ภาษาท่ีมีรูปแบบคาควบมากพยางค์ เช่น ภาษา
อนิ เดยี นแดง ภาษาเอสกิโม และภาษาชาวพ้นื เมืองในทวีปอเมริกาใต้ เป็นตน้
1.3 แนวทางการศึกษาภาษา
การศึกษาภาษาช่วงก่อนศตวรรษท่ี 19 นักภาษามีความเชื่อว่า เดิมมนุษย์พูดภาษาเดียวกัน
ท้ังหมด ภายหลังมนุษย์ได้พูดภาษาต่างกันทาให้ไม่เข้าใจภาษาของคนต่างกลุ่ม ความเชื่อนี้เกิดขึ้น
เน่ืองจากอิทธิพลทางด้านศาสนา หลังจากน้ันมนุษย์ต้องการหาคาตอบเก่ียวกับความเชื่อดังกล่าวจึง
ทาการศึกษาภาษาในแงม่ มุ ต่าง ๆ
การศึกษาภาษาในระยะเริ่มแรกนั้น จะศึกษาเพื่อค้นหาคาตอบว่าภาษามีจุดกาเนิดอย่างไร
และต้องการตอบคาถามให้ได้ว่าภาษาใดเป็นภาษาท่ีเก่าท่ีสุดในโลก (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์, 2526 :
7) ในระยะตอ่ มาจึงจะศึกษาที่ตัวภาษาดงั จะกล่าวถงึ ตามลาดับดงั นี้
1.3.1) การศกึ ษาเรอื่ งกาเนิดของภาษา
การศกึ ษาเร่ืองกาเนิดของภาษานส้ี รปุ ไดว้ ่า แบ่งไดเ้ ป็น 4 แนวคิด ดังน้ี
(1) ภาษาเกิดจากความเชื่อหรือศาสนา
ในสมัยโบราณ มนุษย์มีความเช่ือว่า ภาษาเป็นสิ่งท่ีส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ โดยศาสดา
ของแตล่ ะศาสนา หรอื เทพเจ้าเปน็ ผู้สรา้ งภาษา เชน่
ศาสนาครสิ ต์ เชื่อว่า พระเจา้ ให้อานาจแก่อาดมั เพือ่ ต้งั ช่อื แกส่ รรพสิ่งบนโลก
ชาวอียปิ ต์ เช่อื วา่ ผูส้ รา้ งคาพูด คอื พระเจา้
ชาวบาบโิ ลเนยี น เชอ่ื ว่า ผ้ใู หภ้ าษา คือ พระเจา้
ชาวฮินดู เชื่อว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และพระนางสุรัสวดีเป็นผู้ให้ภาษา
(ศรวี ไิ ล ดอกจนั ทร์, 2528, หนา้ 18 - 19)
6
(2) ภาษาเกดิ จากมนุษยป์ ระดิษฐ์ขนึ้
ดงั ทฤษฎีของ เอฟ็ แมกซ์ มิลเลอร์ F. Max Miller ทีก่ ล่าวว่า มนษุ ย์สร้างคา
ขนึ้ มาโดยพจิ ารณาจากเสยี ง วัตถุ หรอื การกระทา (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท,์ 2526: 9)
(3) ภาษาเกิดการแสดงออกทางดนตรี
ผู้ท่ีมีความคิดในแนวน้ีคือ เจ โดโนแวน (J. Donovan ในปี คศ. 1893
บอกว่า ภาษามีกาเนิดมาจากการเต้นราทาเพลงของมนุษย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 1924 อ็อตโต เจสเปอร์
สัน (Otto Jesperson) กล่าวว่า ภาษาด้ังเดิมของมนุษย์คงจะอยู่ในรูปการแสดงออกทางดนตรี และ
การแสดงออกทางอารมณ์ (วไิ ลวรรณ ขนษิ ฐานันท์, 2526 : 9)
(4) ภาษาเกิดจากวิวัฒนาการของระบบร่างกายและสมองของมนุษย์
แนวคิดน้ีเช่ือว่า วิวัฒนาการของระบบร่างกายและสมองของมนุษย์มีความ
ซับซ้อนและพิเศษต่างไปสัตว์ มนุษย์จึงมีภาษาใช้ แนวคิดนี้ถือเป็นแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ มาก
ที่สุด คือ มีเหตุผลมีหลักฐานพอเชื่อถือได้ และมีผู้เห็นด้วยหลายคน ดังท่ี ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2528 :
16-18) ไดร้ วบรวมไว้ดงั น้ี
ในปี ค.ศ. 1755 จัง จาค รุสโซ (Jean Jucques Rousseau) ให้ทัศนะ
เกี่ยวกับกาเนิดของภาษาว่า ในระยะแรก ๆ ของมนุษย์ คงจะใช้ท่าทางและเสียงร้องเพ่ือสื่อสารและ
ภาษาในขั้นแรกนั้นเป็นถ้อยคาหรือเสียงท่ีเกิดจากอารมณ์ ความรู้สึก เช่น เจ็บปวด กลัว แปลกใจ
พอใจ โกรธ ซึ่งอารมณ์เหล่านี้มนุษย์กับสัตว์มีพอกัน ต่อมาเมื่อเสียงร้องและท่าทางใช้ไม่สะดวก
จงึ คิดภาษาข้นึ จากเสียงตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ ทั้งนใ้ี นระยะตน้ ที่มภี าษาใชค้ งยังไมม่ ีระบบไวยากรณ์
สมบรู ณ์
ส่วน ฟีลิป ลีเบอร์แมน (Philip Lieberman) ต้ังข้อสังเกตไว้ในช่วงปี
ค.ศ. 1574-1584 วา่ มนษุ ย์มีอวยั วะที่จาเป็นตอ่ การพูดและการออกเสยี ง และการพัฒนาอวยั วะต่าง ๆ
สัมพันธ์กันกับพัฒนาการของภาษา เช่น สมองและระบบประสาท มีการเปล่ียนแปลงซับซ้อนยิ่งข้ึน
ในขณะเดยี วกันภาษาก็ถกู เปล่ยี นแปลงให้ซบั ซ้อนยิง่ ขึ้น
ชาลส์ เอฟ ฮ็อกเก็ต (Charles F. Hockett) เสนอวิธีการศึกษาหากาเนิด
ของภาษาท่ีเป็นวิทยาศาสตร์มากข้ึน (ศรีวิไล ดอกจันทร์ 2528: 18) ฮ็อกเก็ต ได้ศึกษาหาความ
แตกต่างระหว่างภาษามนุษย์กับการส่ือสารของสัตว์โดยแยกศึกษา 13 หัวข้อ เขาพบว่าภาษามนุษย์
มีลักษณะพิเศษที่สัตว์ไม่มีในเร่ืองระบบสื่อสารเขาจึงสรุปว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ควบคู่กับ
วิวฒั นาการทางภาษาและใชเ้ วลาหลายล้านปี เร่มิ ตัง้ แตเ่ ป็นสัตว์ 4 เทา้ มีมนั สมองเล็ก ๆ มอี วัยวะต่าง
ๆ ท่ียังไม่พัฒนาค่อย ๆ ปรับเปล่ียนจนเป็นมนุษย์สองขา มีสมองใหญ่ขึ้นและ ในสมองซีกซ้ายมีระบบ
ควบคุมเกยี่ วกับความสามารถทางภาษา
การศึกษาเร่ืองกาเนิดของภาษาน้ันปัจจุบันยังหาข้อยุติไม่ได้ และยังไม่มีผู้ใด
สามารถตอบได้ว่าภาษาเกิดข้ึนเมื่อใด เนื่องจากเราพบหลักฐานที่เก่ียวกับภาษา คือ จารึก
ของชาว Sumerians มีอายุประมาณไม่เกิน 6,000 ปีเท่านั้น ท้ัง ๆ ที่คนเรามีความเป็นมาเน่ินนาน
7
ไมต่ ่ากว่าล้านปี หรือประมาณ 5 - 6 ล้านปี (ศรวี ิไล ดอกจันทร์, 2528 : 12) ในช่วงเวลาท่ีขาดตอนไป
5 ล้านกว่าปีนั้น เป็นชว่ งทไ่ี ม่มีหลักฐานใด ๆ ปรากฏเลย (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์,2526 : 7)
1.3.2) การศึกษาตัวภาษา
มนุษย์แต่ละกลุ่มคิดภาษาขึ้นมาใช้เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ภาษาของ
มนุษย์ในแต่ละกลุ่มจึงมีท้ังลักษณะที่เหมือนและแตกต่างในบางประเด็น โดยนักภาษาได้ค้นพบ
ความจริงว่า ภาษาทุกภาษาในโลกนั้น มีระบบระเบียบหลายอย่างท่ีสอดคล้องกันโดยธรรมชาติ
หมายความว่า ความสอดคล้องต้องกันนั้นเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติของภาษา ไม่มีภาษาใดเลียนแบบ
ภาษาใด นักภาษาคนใดหรือกลุ่มใดค้นพบความสอดคล้องอย่างใดอย่างหน่ึงข้ึนมา ก็นามาตั้งเป็น
ทฤษฎีขึ้น และต้ังเป็นทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่มต่างๆข้ึนมา ได้แก่ ทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่มดั้งเดิม
ทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่มโครงสร้าง และทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่มปริวรรต เป็นต้น สาหรบั แนวทางการศึกษา
ลักษณะภาษาไทยนน้ั สามารถจาแนกได้ 2 แนวทาง คือ
(1) การศึกษาภาษาตามแนวเดมิ
การศึกษาภาษาตามแนวเดิม เป็นแนวคดิ ที่ศึกษาระเบยี บของภาษา เริม่ ขึ้น
เม่ือประมาณ ศตวรรษท่ี 17 ที่ประเทศอังกฤษ มีการศึกษาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ไวยากรณ์
ละตินเป็นแม่แบบ ต่อมาในต้นศตวรรษที่18 ได้เขียนกฎเกณฑ์การใช้ภาษาอังกฤษ ว่าถ้อยคาแบบใด
ควรใช้ แบบใดไม่ควรใช้ มองว่าภาษาเขียนดีกว่าภาษาพูด เพราะมีความสละสลวยและสมบูรณ์กว่า
และทีทศั นะทวี่ า่ การเปลย่ี นแปลงภาษาทาใหภ้ าษาวิบตั ิ
การศึกษาภาษาตามแนวเดิมนี้ คนไทยรับมาใช้ในการศึกษาลักษณะ
ภาษาไทยในสมัยโบราณ ซ่ึงการศึกษาในคร้ังนั้นยังไม่มีกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน และไม่ค่อยเป็นระบบ
เหมือนปัจจุบัน เช่น การจัดแบ่งหมวดคาในภาษาไทย มีการใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันในการจาแนก
หมวดคา อีกทั้งการศึกษาภาษาจะใช้ไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหน่ึงมาอธิบายภาษาไทย เช่น
พระยาอุปกิตศิลปสารได้อาศัยไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นแม่แบบในการจาแนกหมวดคาในภาษาไทย
และใชค้ าภาษาสนั สกฤตในการเรยี กชื่อหมวดคาต่าง ๆ เชน่ นาม สรรพนาม วิเศษณ์ เป็นต้น
(2) การศึกษาภาษาตามแนวภาษาศาสตร์
การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์น้ีได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก
ซึ่งเป็นการศึกษาภาษาแบบเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนักภาษาได้นาข้อมูลทางภาษาที่ปรากฏในจารึก
มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน เม่ือได้ข้อสรุปก็นามาต้ังเป็นกฎเกณฑ์ทางภาษา นอกจากนี้แล้ว
การศึกษาภาษาตามแนวภาษาศาสตร์ยังได้ขยายขอบเขตการศึกษาภาษาจากไวยากรณ์แนวเดิม
ท่ีศึกษาเฉพาะภาษาเขียน เป็นการศึกษาภาษาพูดซ่ึงเป็นภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ ซ่ึงการศึกษา
ภาษาศาสตร์มลี ักษณะสาคัญดังนี้
8
1. ลักษณะบรรยาย (descriptive) วิชาภาษาศาสตร์เป็นวิชาที่เน้นการบรรยาย
ถึงโครงสร้างของภาษาต่าง ๆ ตามเป็นจริง ไม่ยึดเอาภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นแบบแผน ลักษณะนี้เอง
ที่ทาให้ภาษาศาสตร์ต่างจากการศึกษาภาษาตามแนวเดิมที่ยึดเอาภาษากรีก ละติน เป็นแม่แบบ
ในการศึกษาภาษาอื่น ๆ
2. ศึกษาภาษาพูด (speech) ภาษาศาสตร์ถือว่าภาษาพูดเป็นภาษาที่แท้จริงของ
มนุษย์และมีมาก่อนภาษาเขียน ดังนั้น การอธิบายตัวภาษาจึงต้องเน้นการศึกษาภาษาพูด โดยการ
รวบรวมข้อมลู จากผูบ้ อกภาษา (informant) และไมจ่ ากดั วา่ จะเปน็ ภาษาของคนระดับใด สงั คมใด
ทฤษฎีท่ีใช้ในการศึกษาภาษาตามแนวภาษาศาสตร์ เช่น ทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่ม
โครงสร้าง และทฤษฎีไวยากรณ์กลุ่มปรวิ รรต เปน็ ต้น ซึ่งมปี ระวตั ิความเป็นมาโดยเริ่มต้นเมื่อประมาณ
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฟอร์ดินันด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure ค.ศ. 1857 – 1913)
โดยกล่าวถึงภาษา (la langue) กับถ้อยคา (la parole) โซซูร์ มองว่า ภาษาเป็นสิ่งท่ีบุคคลในสังคม
เดียวกันรับรู้ร่วมกัน ส่วนถ้อยคาหรือภาษาพูดเป็นส่ิงที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเลือกใช้ การท่ีเราเข้าใจ
ภาษาเพราะเราร้รู ะบบภาษา
ท้ังน้ีภาษาจะมีความสัมพันธ์กันแบบเรียบเรียง (Syntagmatic relation) และ
ความสัมพันธ์แบบหมวดหมู่ (Paradigmatic relation) โดยความสัมพันธ์กันแบบเรียบเรียง ได้แก่
ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่ปรากฏร่วมกัน ส่วนความสัมพันธ์แบบหมวดหมู่ ได้แก่ ความสัมพันธ์
ระหว่างหนว่ ยที่ปรากฏ (ในประโยค ,ขอ้ ความ) กับหนว่ ยไม่ได้ปรากฏ
นอกจากนี้ โซซูร์ยังกล่าวถึง การศึกษาเฉพาะสมัย (Synchronic study) ซึ่งเป็น
การศึกษาภาษาในช่วงระยะเวลาใดเวลาหน่ึง กับการศึกษาภาษาต่างสมัย (diachronic study)
เปน็ การศกึ ษาภาษาในต่างช่วงระยะเวลากนั และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา
ทัศนะของการศึกษาไวยากรณ์ตามทฤษฎีภาษาศาสตร์ คือ ภาษาพูดเป็นภาษาที่
แท้จริง มุ่งจะอธิบายระบบของภาษาตามสภาพความเป็นจริง การศึกษาภาษาต้องใช้เคร่ืองมือในการ
วิเคราะห์ และเคร่ืองมือท่ีใช้ต้องมีความคงที่ ไม่ใช้หลายวิธี การเปล่ียนแปลงของภาษาเป็นธรรมชาติ
ของภาษา แนวคิดตามทฤษฎีภาษา มี 3 แบบใหญ่คือ แบบเน้นรปู ภาษา แบบเน้นการเปลยี่ นแปลงรูป
ภาษา และแบบเนน้ ความหมาย มีรายละเอียดดังน้ี
1) แนวคิดแบบเนน้ รูปภาษาทปี่ รากฏ
เปน็ แนวคดิ ที่ศึกษารูปของภาษาทปี่ รากฏ ได้แก่ ทฤษฎีไวยากรณโ์ ครงสรา้ ง
(Structural Grammar) และทฤษฎีแทกมิมิกส์ (Tagmemics) คล้ายทฤษฎีไวยากรณ์โครงสร้าง
แตแ่ ยกหน้าทก่ี บั หมวดอย่างชดั เจน
2) แนวคดิ แบบเน้นการเปลยี่ นแปลงรปู ภาษา
เป็นแนวคิดท่ีเน้นการกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางรูปภาษา เช่น การละ
การย้ายท่ี ก ารแ ท น ที่ ได้ แ ก่ ท ฤ ษ ฎี ไวย าก รณ์ ป ริวรรต (Transformational Grammar)
เช่นในประโยค ตกแลว้ ฝน มาจากการเปลี่ยนแปลงหนว่ ยประธานของ ฝนตกแลว้ ไปไว้ทา้ ยประโยค
9
3) แนวคิดแบบเนน้ ความหมาย
เป็นแนวคิดที่กล่าวถึงความหมายของหน่วยภาษาและกระบวนการถ่ายทอด
ความหมายเปน็ รูปภาษา ได้แก่ ทฤษฎีไวยากรณก์ ารก (Case Grammar)
เม่ือภาษาศาสตร์เป็นศาสตร์การศึกษาภาษาอย่างมีหลักการตามแนวทางวิทยาศาสตร์ มีการ
วิจัยเพ่ือศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงเกิดข้ึนอย่างเป็นขั้นต อนและเกิดข้ึนอย่างเป็นระบบ
นักภาษาศาสตร์สามารถนาแนวคิดทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ที่เห็นว่าเหมาะสม ประยุกต์ใช้เพื่อศึกษา
ภาษาใดกไ็ ดโ้ ดยไมเ่ ฉพาะเจาะจง ดังนั้นเม่ือนาหลักการหรือทฤษฎีตามแนวคิดทางภาษามาใช้ศึกษา
ภาษาไทย จึงเกิดเป็นการศึกษาภาษาไทยตามแนวทางภาษาศาสตร์ดังที่ เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์
(2554, หน้า 23) กล่าวว่า ภาษาศาสตร์ไทย หมายถึง การศึกษาภาษาไทยเชิงภาษาศาสตร์ หรือ
การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ (Linguistics way) เรียกว่า ภาษาศาสตร์ไทย หรือ
ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย
การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ภาษาไทยทาให้เราทราบว่า นักภาษาศาสตร์ได้จัด
ให้ภาษาไทยอยู่กลุ่มภาษาคาโดด ดังได้กล่าวข้างต้น และภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ (Tone)
เป็นหน่วยเสียงสาคัญของภาษาในกลุ่มตระกูลไท (Tai family) นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นลักษณะ
สาคัญอน่ื ๆ ที่โดดเดน่ ดังน้ี
1. ภาษาไทยมีจานวนคาโดดจานวนมาก คาเหล่านี้ไม่มีต้องเติมหน่วยคาหรือผัน คา
ตามวิภัตตปิ ัจจัยก็สามารถส่อื ความหมายได้
2. ส่วนประกอบของคาประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์
รวมท้ังหมด 3 เสียงเป็นอย่างน้อย โดยในแต่ละคาต้องมีพยัญชนะต้นซ่ึงเป็นพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือ
พยัญชนะควบกล้า 2 เสียง พยัญชนะสะกดจะมีหรือไม่ก็ได้ หากมพี ยัญชนะสะกดจะมีได้เพียง 1 เสียง
เทา่ นน้ั
3. พยญั ชนะสะกดมเี พยี ง 8 เสียง เรียกว่ามาตราตวั สะกด ได้แก่ เสียง –p, -t, -k และ พยางค์
ที่มีเสียงท้ายเป็นสระเสียงสั้น เสียงเหล่านี้เมื่อออกเสียงจะมีการปิดเส้นเสียงร่วมด้วย (glottal stop)
เรยี กว่า พยางค์คาตาย ส่วนพยางคท์ ี่มีเสียง –m, -n, -, -w, -j และพยางคท์ ี่มีเสียงทา้ ยเปน็ สระเสียง
ยาว เรียกวา่ พยางค์คาเปน็
4. ความสั้นยาวของเสียงสระเป็นลักษณะสาคัญท่ีทาให้คาเกิดความหมายแตกต่างกัน
โดยเฉพาะในเสียงสระเด่ียว ทาให้เกิดสระเดี่ยวเสียงสั้น 9 เสียง และสระเด่ียวเสียงยาว 9 เสียง
ส่วนความส้ันยาวของเสียงสระประสมไม่แยกความหมายของคาอย่างชัดเจน ความแตกต่างของเสียง
ดังกล่าวเฉกเช่นระดับเสียงสูงต่า ทาให้คามีความหมายแตกต่างกัน เรียกว่าเสียงวรรณยุกต์
ใน ภาษาไทยมาตรฐานมเี สียงวรรณยุกต์จานวน 5 เสียง แตม่ ีรปู เขยี น 4 รูปเท่านนั้
5. การลงเสียงหนักเบาในพยางค์เป็นลักษณะเฉพาะของผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ซึ่งหาก
เปน็ คาพยางคเ์ ดียวจะลงน้าหนักเสยี งทุกคร้งั แต่ในคาตั้งแต่ 2 พยางคข์ ้ึนไปการลงเสียงหนกั จะปรากฏ
ในพยางค์สุดท้ายเสมอ ส่วนพยางค์อื่น ๆ จะมีการลงเสียงหนักเบาแตกต่างกันตามโครงสร้างพยางค์
โดยจะกล่าวไว้ในเรือ่ งของเสยี งในภาษาไทยบทต่อไป
10
1.4 ประวัตคิ วามเป็นมาของการศกึ ษาระเบียบแบบแผนภาษาไทย
ในปัจจุบันมีเอกสารประกอบการสอน ตารา หนังสือ และส่ือส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ ที่นาเสนอ
เก่ียวกับระเบียบแบบแผนภาษาไทย มีการใช้ทั้งคาว่า ลักษณะภาษาไทย ไวยากรณ์ไทย และ
หลักภาษาไทย ซ่ึงอาจทาให้ผู้อ่านเกิดความสับสนว่าคาเหล่านี้เป็นคาเดียวกันหรือไม่ และหมายถึง
ส่ิงเดียวกันหรือไม่ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจท่ีตรงกันจึงขออธิบายคาว่า หลักภาษาไทย ไวยากรณ์ไทย
และลักษณะภาษาไทยเสียก่อน
การศึกษาระเบียบแบบแผนของภาษา ตรงกับภาษาอังกฤษคือคาว่า Grammar
ส่วนภาษาไทยมีการใช้หลายคา ได้แก่ ไวยากรณ์ไทย หลักภาษาไทย และลักษณะภาษาไทย ซึ่งมี
ววิ ฒั นาการการศึกษาดงั น้ี
สมัยสโุ ขทัย
ในสมยั นี้ยังไม่มแี บบเรียนปรากฏเปน็ หลักฐาน (เบญ็ จวรรณ สุนทรากูล, 2550 : 1) แต่มีการด
วางระเบียบการเขียนการอ่านคาไว้แล้ว ท้ังนี้พิจารณาจากรูปประโยคในศิลาจารึก ซึ่งคนในในสมัย
สโุ ขทยั ได้รับรู้และเขา้ ใจเรื่องราวไดต้ รงกัน เชน่ วางรปู พยญั ชนะ และสระไว้บรรทัดเดยี วกนั
สมยั อยธุ ยา
ในสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2119 - 2231) โปรดเกล้าฯ ให้พระโหราธิบดี
แต่งหนังสือแบบเรียนไทยเล่มแรกคือ “จินดามณี” โดยมีเนื้อหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นหลัก
ภาษา ที่กล่าวถึงลักษณะคาพ้องในภาษาไทย การใช้ ศ ษ ส ใ ไ และการผันอักษร ส่วนท่ีสอง เป็น
การแต่งคาประพันธ์ หนังสือจินดามณีนี้ใช้เป็นแบบเรียนของไทยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รวมระยะเวลาประมาณ 200 ปี
สมัยธนบุรี
สมัยน้ีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ อีกท้ังบ้านเมืองไม่สงบสุข เกิดสงครามบ่อยครั้ง จึงไม่ปรากฏ
เอกสารท่เี ปน็ แบบเรยี นภาษาไทย
สมัยรัตนโกสินทร์
กรมศิลปากรได้กล่าวถึงแบบเรียนในสมัยรัตนโกสินทร์ว่าน่าจะเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
ปรากฏหลักฐานคือแบบเรียน “ประถม ก กา” เป็นแบบเรียนหลักภาษาไทย แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
โดยในแบบเรียนนี้มีเนื้อหา ในส่วนต้นได้กล่าวถึงตัวสะกดในแบบต่าง ๆ คาที่ใช้ตัวควบกล้า และ ทร
ออกเสียง ซ สว่ นท้ายเลม่ กล่าวถงึ อักษรนา และเครอื่ งหมายตา่ ง ๆ ในภาษาไทย
ทั้งน้ี ยังพบ “ประถม ก กา หัดอ่าน” เป็นแบบฝึกอ่านท่ีแต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทกาพย์
สุรางคนางค์ กาพย์ฉบัง และกาพยย์ านีทมี่ ขี อ้ ความเปน็ คติสอนใจ
11
นอกจากน้ียังมีหนังสืออีกเล่มหน่ึง คือ “ปฐมมาลา” ท่ีแต่งโดยพระเทพโมฬี พระราชาคณะ
วัดราชบูรณะ แต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทต่าง ๆ คือ กาพย์ยานีกาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ฉบัง
วสันตดิลกฉนั ท์ โคลงกระทู้ โคลงกลบท เน้ือความกล่าวถึงตวั สะกดแมต่ ่าง ๆ คาในภาษาบาลีและการ
แตง่ คาประพันธบ์ างชนดิ
ในสมัยน้ีนอกจากจะใช้หนังสือประถม ก กา สุบินทกุมาร ประถมมาลา ประถมจินดามณี
เล่ม 1 และเล่ม 2 แล้วยังมีหนังสืออ่านประกอบเพ่ือให้นักเรียนอ่านหนังสือคล่องอีกหลายเล่ม เช่น
เสอื โคคาฉันท์ จันทโครพ อนริ ทุ สังขท์ อง กากี ฯลฯ (เบญ็ จวรรณ สนุ ทรากูล, 2550 : 11- 12)
ในปี พ.ศ.2371 (ค.ศ.1829) ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือ "A Grammar of the Thai
or Siamese Language" เป็นตาราไวยากรณ์ไทยที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยร้อยเอก
เจมส์ โลว์ (Capt. James Low) ซ่ึงเคยเป็นขา้ ราชการของอังกฤษ ทางานทเี่ กาะหมาก หรอื เกาะปีนัง
และมีความรู้ภาษาไทย หนังสือเล่มนี้ได้จัดพิมพ์ท่ีโรงพิมพ์คณะแบบติสต์ (The Baptist Mission
Press) ท่ีเมืองเซรัมโปร์ นครกัลกัตตา เป็นหนังสือที่มีความหนา 102 หน้า มีหน้าท่ีพิมพ์ด้วย
ตัวพิมพ์อักษรไทยหลายหน้า และมีหน้าพิมพ์ท่ีแสดงให้เห็นตัวอย่างลายมือเขียนภาษาไทย เป็นการ
พิมพ์จากแม่พิมพ์หินด้วย โดยวัตถุประสงค์การการพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพื่อให้ชาวต่างชาติท่ีสนใจ
ภาษาไทยไดเ้ ขา้ ใจภาษาไทยมากยง่ิ ขึ้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอมราภิรกั ขิต เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส
ได้แต่งหนังสอื “อักษรนติ ิ” เพ่อื เปน็ แบบเรียนภาษาไทย เนื้อหากลา่ วถึงการจาแนกอักษรไทย การผัน
อักษร อักษรนา คาตาย การใช้ ใ ไ ศ ษ ส ตัวสะกดแม่ต่าง ๆ และการแต่งคาประพันธ์ประเภท
โคลง และกลบท นอกจากน้ียังมีแบบเรียนไทยท่ีแต่งโดยสุนทรภู่เรื่อง “กาพย์พระไชยสุริยา” ซึ่งถือ
ว่าเป็นท้ังวรรณคดีและแบบเรียนหลักภาษา ความพิเศษของแบบเรียนเล่มนี้คือผู้แต่งได้ผูกเร่ือง
เป็นนิทานที่อ่านสนุก แบ่งเนื้อหาเป็นตอน ๆ แต่ละตอนตัวสะกดแต่ละแม่เรียงกันไป เวลาอ่าน
จงึ สนุกสนานไม่น่าเบ่อื
ในปี พ.ศ. 2414 ตรงกับสมัยรัชกาลท่ี 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ตงั้ โรงเรยี นหลวงขึน้ ในพระบรมมหาราชวัง และโปรดให้พระยาศรีสุนทร
โวหาร (นอ้ ย อาจารยางกูร) แตง่ แบบเรียนจานวน 6 เลม่ คือ โดยมีเน้อื หาดังน้ี
มูลบทบรรพกิจ เป็นแบบเรียนช้ันต้นกล่าวถึง สระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ การประสม
อักษรและการกระจายอกั ษร
วาหนิติน์ กิ ร เป็นแบบเรียนการผันคา
อักษรสังโยค เปน็ แบบเรียนการผนั อักษรควบกลา้
สังโยคพิธาน เปน็ แบบเรยี นการใชต้ วั สะกดการันต์ในมาตราตา่ งๆ
ไวพจน์พิจารณ์ กล่าวถึงคาที่เขียนตา่ งกัน แต่อา่ นออกเสียงเหมือนกัน
พิศาลการนั ต์ กลา่ วถงึ คาท่มี าจากภาษาตา่ งประเทศ เชน่ ภาษามคธ และการใชเ้ ครอ่ื งหมาย ์
หนังสือแบบเรียนหลวงท้ัง 6 เล่มน้ีได้เลิกใช้ในปี พ.ศ. 2431 และเปล่ียนมาใช้แบบเรียนเร็ว
3 เล่ม ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพได้ทรงแต่งขึ้นเพ่ือให้เด็กอ่านออกเขียนได้เร็วข้ึน
คอื เรียนร้ภู ายใน 5 เดือนตอ่ 1 เลม่ แทนทจ่ี ะเป็นปลี ะเล่มเหมือนตาราเดมิ
12
ต่อมาเจ้าหน้าท่ีกระทรวงธรรมการได้แต่งหนังสือไวยากรณ์ช่ือว่า สยามไวยากรณ์
ภาคอกั ขรวธิ ี และต่อมาพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดไี ด้เรียบเรยี งขนึ้ อกี เล่มหนึ่ง มแี ต่เฉพาะภาคที่ 1
ลักษณะอกั ษร และภาคท่ี2 วิธปี ระสมอกั ษร
พ.ศ.2461 พระยาอุปกิตศิลปสารได้เขียนตารา “หลักภาษาไทย” ข้ึน เป็นหนังสือชุด
มี 4 ตอน ได้แก่
อกั ขรวธิ ี กล่าวถงึ ตัวอกั ษร
วจวี ิพากษ์ กลา่ วถึงลกั ษณะและชนดิ ของคา
วากยสมั พนั ธ์ กลา่ วถงึ วลีและประโยค
ฉันทลักษณ์ กลา่ วถงึ คาประพนั ธ์ชนิดตา่ ง ๆ
พระยาอุปกิตศิลปสารใช้เวลาเขียนหลักภาษาไทยจนจบบริบูรณ์ในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งวิธีการ
แต่งหนังสือหลักภาษาไทยนั้นได้อาศัยรูปแบบของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานแต่พยายาม
ปรับให้เขา้ กับภาษาไทยและใช้มาจนถึงปัจจบุ ัน
พ.ศ. 2499 หนังสือชื่อ “นิรุกติศาสตร์” ของพระยาอนุมานราชธนได้ตีพิมพ์คร้ังแรก นับเป็น
ตาราเล่มแรกที่นาหลักการทางภาษาศาสตร์มาอธิบายภาษาไทยอย่างแท้จริง หนังสือเล่มน้ีมี 2 ภาค
ภาคแรกกล่าวถึงกาเนิดของภาษา ตระกูลภาษาต่าง ๆ ในโลกและเสียงในภาษาไทย ภาคที่สอง
กล่าวถึง กฎการกลายเสียงและการกลายความหมาย แนวทางการศึกษาเช่นน้ีเป็นการศึกษา
ภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบ เป็นสาขาแรกที่เข้ามาสูว่ งการศึกษาภาษาศาสตรใ์ นประเทศ
ไทย
นบั แตน่ ั้นมาภาษาศาสตร์ก็ค่อย ๆ ได้รับความสนใจจากวงการการศึกษาของไทยมากข้นึ และ
มีผู้ผลิตตาราความรู้เก่ียวกับภาษาศาสตร์มากขึ้น ภาษาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ได้เข้ามามีบทบาทต่อการ
วิเคราะห์ภาษาไทยมากมายหลายสาขา แม้จะยังอยู่ในแวดวงจากัดแต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ภาษาศาสตร์ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ภาษาได้อีกแนวทางหน่ึงและนาไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์
ต่อการเรียนการสอนของไทยได้เป็นอย่างดี
จากที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการศึกษาหนังสือการเรียนการสอนภาษาไทย พบว่ามี
2 ลักษณะคือ หนังสือท่ีเป็นแบบเรียนภาษาไทย และหนังสือที่เก่ียวกับระเบียบของภาษาไทย
โดยแบบเรียนจะเป็นหนังสือท่ีกล่าวถึงการเรียนวิชาภาษาไทยในช้ันประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
โดยเฉพาะ ส่วนหนังสือท่ีเก่ียวกับระเบียบของภาษาไทย จะเป็นหนังสือท่ีกล่าวถึงเน้ือหาระเบียบ
แบบแผนการใช้ภาษาไทยซึ่งมีเน้ือหาละเอียดมากกวา่ เหมาะสาหรับครูอาจารย์ นักศกึ ษา และผสู้ นใจ
โด ย ก า ร ส อ น เกี่ ย ว กั บ ร ะ เบี ย บ ข อ ง ภ า ษ า ไท ย นั้ น จ ะ เห็ น ได้ ว่ า มี ม า ตั้ ง แ ต่ ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เด็ จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หนังสือท่ีใช้สอนมีช่ือต่าง ๆ เช่น ไวยากรณ์ไทย หลักภาษาไทย และ
ลกั ษณะภาษาไทย
สาหรับการเรียกชื่อนั้นในตอนแรกจะใช้คาว่าไวยากรณ์ไทย เช่น พระยาอุปกิตศิลปสารเรยี ก
หนังสือของท่านว่า “ไวยากรณ์ไทย” ซ่ึงมีท่ีมาจากภาษาสันสกฤต คือ คาว่า วฺยากรณ และคาว่า
เวยฺยากรณ ในภาษาบาลี คานี้หมายถงึ การอธิบายและระเบียบของภาษา ซงึ่ ตรงกับคาภาษาองั กฤษว่า
grammar ดังนั้น ไวยากรณ์ไทย จึงหมายถึงระเบียบของภาษาไทย พระยาอุปกิตให้เหตุผลว่ามีการ
เรียกชื่อตามตาราเดิม คือ “สยามไวยากรณ์” ของกรมศึกษาธิการ โดยหนังสือไวยากรณ์ไทยของ
13
พระยาอุปกิตศิลปสารน้ันได้ปรับปรุงเนื้อหาซึ่งพยายามบรรยายให้ตรงกับลักษณะของภาษาไทย
มากขึ้น ท้ังยังทาให้ไวยากรณ์ง่ายข้ึน ลดความซับซ้อนลงด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่แม้จะปรับปรุงแล้ว
ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า หนังสือไวยากรณ์ท่ีนามาใช้สอนทันน้ันไม่ใช่ไวยากรณ์ของไทยอย่างแท้จริง เช่น
พระวรเวทยพ์ ิสฐิ ไดว้ ิจารณ์ว่า
ภาษาไทยมีรูปเช่นนี้ จึงไม่มีตาราไวยากรณ์ที่วางเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวเหมือนอย่าง
ภาษาอ่ืน เช่น ตันติภาษาคือ ภาษาที่เคร่งไวยากรณ์ เม่ือต้องการให้มีตาราไวยากรณ์ข้ึนจึงเป็นหน้าที่
ของผ้ทู ี่ถนัดภาษาบาลีและภาษาอังกฤษ เขียนตาราไวยากรณ์ไทย ท่านผู้แต่งตาราก็เอาระเบียบภาษา
บาลีบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง มาแต่งเป็นตาราข้ึน รูปความ ตลอดจนชื่อของคาก็ล้วนแต่เป็นภาษาอ่ืน
เช่น นาม สรรพนาม คุณศัพท์ เอกัตถประโยด อเนกัตถประโยค เป็นต้น ซึ่งเด็กไทย และคนไทย
แม้แต่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจเลยโดยเหตุน้ีการเรียนไวยากรณ์ไทยจึงเป็นการยาก เพราะเอาระเบียบ
ภาษาอื่นเข้ามาจบั ภาษาไทย...
(วรเวทย์พสิ ฐิ , 2502 : 90)
พระยาอนุมานราชธนก็ไดว้ ิจารณ์ไว้เช่นกันว่า
"ถ้าไวยากรณ์ หมายถึง ระเบียบของภาษาทั่ว ๆ ไป ภาษาไทยก็มีไวยากรณ์
เหมือนกัน แตไ่ ม่ใชไ่ วยากรณ์ไทยด่งั ทีส่ อนกนั อยู่ในปจั จบุ ัน..."
(อนมุ านราชธน, 2510 : 243)
คาวิจารณ์ของพระวรเวทย์พิสิฐ และ พระยาอนุมานราชธนสะท้อนความจริงอย่างหน่ึงที่ว่า
ในเวลานั้นมีผู้เห็นว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ไม่เคร่งไวยากรณ์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผู้เห็นว่าภาษาไทย
ไม่มีไวยากรณ์ ช่ือหนังสือไวยากรณ์ไทยของพระยาอุปกิตศิลปสารต่อมาจึงมีการเปลี่ยนช่ือเป็น
“หลักภาษาไทย” และหนังสือเกี่ยวกับระเบียบของภาษาไทยเล่มอ่ืน ๆ อีกหลายเล่ม แต่ไม่ได้ใช้ช่ือว่า
ไวยากรณ์ไทย หากแต่ใช้ช่ือว่าหลักภาษาไทย เช่น หลักภาษาไทยของพระวรเวทย์พสิ ิฐ หลกั ภาษาไทย
ของอาจารย์กาชยั ทองหลอ่
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งคาที่ใช้เรียกหนังสือที่เก่ียวกับระเบียบของภาษาไทยคือคาว่า
“ลักษณะภาษาไทย” ซึ่งศาสตราจารย์ดร.บรรจบ พันธุเมธา เขียนหนังสือชื่อวา่ “ลักษณะภาษาไทย”
โดยหนังสือเล่มน้ีใช้ประกอบการเรยี นวิชาหลักภาษาไทยท่ีมหาวทิ ยาลยั รามคาแหง โดยท่านให้เหตุผล
ทใี่ ช้คาว่าลักษณะภาษาไทยว่า
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หลักภาษา ก็เพราะต้องการจะกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของ
ภาษาไทย ท้ังที่เป็นลกั ษณะสาคญั และลักษณะยอ่ ย ลักษณะสาคัญไมอ่ าจเปลยี่ นแปลงได้ เพราะใช้กัน
มาจนเข้ารูปเป็นระเบียบเดียวกันแล้ว เช่น การท่ีคาแต่ละคาใช้เข้าประโยคได้ทันที ไม่ต้องมีการเติม
หรือตกแต่งในคา ส่วนลักษณะย่อยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาในฐานะที่ภาษาไทยเป็นภาษามีชีวิต
ยงั มผี ู้ใช้อยู่ เชน่ มีการใชบ้ ุรพบทมากข้ึน ใช้สันธานมากข้นึ กว่าที่เคยใช้กันมาแต่ดั้งเดิม หนังสอื นี้จึงได้
บันทึกการใช้เหล่านไ้ี วด้ ้วย อันอาจเปน็ ผลใหล้ ักษณะภาษาเปล่ียนแปลงไปไดใ้ นกาลข้างหน้า สว่ นเร่อื ง
14
ผดิ เร่ืองถูกนน้ั อยู่ทผี่ ูใ้ ชก้ บั ผฟู้ งั จะตกลงกันเองวา่ เปน็ ทย่ี อมรับหรือไม่ ถ้าผู้ฟงั ไม่ยอมรับ เพราะเหน็ ว่า
ผดิ ลกั ษณะภาษาทีเ่ คยใช้กนั มา การใช้น้ันก็ตอ้ งยุติลง จะถือเป็นเรอื่ งผิดก็ได้ คอื ผิดจากทเ่ี ขาใช้กนั
(บรรจบ พันธุเมธา, 2519: 2)
ในตาราเล่มนี้ผู้เขียนต้องการกล่าวถึงลักษณะภาษาไทยดังเช่นท่ีศาสตราจารย์ดร.บรรจบ
พันธุเมธาใช้ ผู้เขียนจึงใช้คาว่า ลักษณะภาษาไทย โดยจะนิยามความหมายของลักษณะภาษาไทย
คือ การอธิบายลักษณะภาษาตามโครงสร้างของภาษาที่เกี่ยวกับเสียง คา ประโยค และข้อความใน
ภาษาไทย ไม่ได้หมายถึงการบังคับใช้ภาษาที่หากใครไม่ใช้ตามกฎถือว่าผิดไวยากรณ์ ซึ่งการศึกษา
เช่ น น้ี จ ะ เป็ น ก า ร อ ธิ บ า ย ภ า ษ า ต า ม แ น ว ภ า ษ า ศ า ส ต ร์ เพ ร า ะ จ ะ ท า ให้ ศึ ก ษ า ก า ร ใช้ ภ า ษ า ต า ม
ความเป็นจรงิ
1.5 ตระกูลภาษา
ภาควิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ (2540 : 18)
ได้นิยามความหมายของตระกูลภาษา (Language family) หมายถึง กลุ่มภาษาท่ีสืบสายมาจาก
ภาษาแม่ (mother language) หรือภาษาดัง้ เดิม (proto – language) เดยี วกนั
การจัดกลุ่มตระกูลภาษา คือ การจัดภาษาเข้าเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะโครงสร้างของ
ภาษา ภาษาในตระกูลต่าง ๆ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซ่ึงนักภาษาได้แบ่งตระกูลภาษา
ใหญ่ ๆ ไวด้ งั นี้
1) ตระกูลอินโด-ยูโรเปียน (Indo European) ประกอบด้วยภาษาและภาษาย่อย
รวม 445 ภาษา ตระกูลภาษาหลัก ๆ ของยุโรปและเอเชียตะวันตก ซ่ึงจัดอยู่ในตระกูลใหญ่ ภาษา
ปัจจุบันท่ีอยู่ในตระกูลใหญ่นี้ มีเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝร่ังเศส ภาษากรีก ภาษา
โปรตุเกส ภาษารสั เซีย ภาษาสเปน ภาษาฮินดี เปน็ ตน้
2) ตระกูลออสโตร-เอเชียติก (Austroasiatic) ประกอบด้วยภาษาและภาษาย่อย
รวม 167 ภาษา เป็นภาษากลุ่มใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนในอินเดียและ
บังกลาเทศ ช่ือนี้มาจากคาในภาษาละตินท่ีแปลว่า “ใต้” และชื่อทวีปเอเชียในภาษากรีก ดังน้ันชื่อ
ของภาษาตระกูลนี้จึงหมายถึงเอเชียใต้ ในบรรดาภาษากลุ่มนี้ทั้งหมด ภาษาเวียดนาม ภาษา
เขมร และภาษามอญเป็นภาษาที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ยาวนาน และเฉพาะภาษาเวียดนาม กับ
ภาษาเขมรเทา่ นั้นท่ีเป็นภาษาทางการ ภาษาท่ีเหลอื มักเป็นภาษาทพี่ ูดโดยชนกล่มุ นอ้ ย
3) ตระกูลออสโตรนีเซียน (Ausotronesian) ประกอบด้วยภาษาและภาษาย่อย
รวม 1,258 ภาษา หรือประมาณ 1 ใน 5 ของภาษาที่รู้จักกันท่ัวโลก การแพร่กระจายจาก
แหล่งกาเนิดของภาษาถือว่ากว้างไกล เริ่มตั้งแต่เกาะมาดากัสการ์ ไปจนถึงเกาะทางตะวันออกของ
มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ภาษาราปานุย ภาษามาลากาซี และ ภาษาฮาวาย ภาษาตากาลอ็ ก เปน็ ภาษาท่ีใช้
พูดตามรอบนอกของขอบเขตท่ีมีการใช้ภาษาตระกูลน้ีเป็นตระกูลภาษาที่มีผู้พูดกระจายไปทั่วหมู่
15
เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก มีจานวนน้อยบนผืนแผ่นดินของทวีป
เอเชีย คาว่าออสโตรนีเซียนมาจากภาษาละติน austro (ลมใต้) รวมกับคาภาษากรีก nesos (เกาะ)
ตระกูลภาษาน้ีได้ช่ือนี้ เพราะส่วนมากใช้พูดในบริเวณหมู่เกาะ มีเพียงไม่กี่ภาษา เช่น ภาษา
มาเลย์ และ ภาษาจามทใ่ี ช้พดู บนผนื แผน่ ดิน
4) ตระกูลจีน – ทิเบต (Sino – Tibetan) ประกอบด้วยภาษาและภาษาย่อยรวม
457 ภาษา เป็นตระกูลของภาษาที่รวมภาษาจีนและตระกูลภาษาย่อยทิเบต -พม่า ส่วนใหญ่เป็น
ภาษาในเอเชียตะวันออก ภาษาในตระกูลน้ีมีลักษณะร่วมกัน คือมีเสียงวรรณยุกต์เช่น ภาษาจีน
ภาษาทิเบต ภาษากะเหร่ียง ภาษาเนวารี ภาษาเกวียง ภาษานงุ ภาษาอกี ้อ และภาษามาคัร
5) ตระกูลไท-กะได (Tai) ประกอบด้วยภาษาและภาษาย่อยรวม 91 ภาษา เป็น
ตระกูลภาษาของภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของประเทศ
จีน ในชว่ งแรก ตระกูลภาษาไทกะไดเคยถูกกาหนดให้อยูใ่ นตระกลู ภาษาจนี -ทิเบต แตป่ จั จบุ นั ได้แยก
มาเป็นอีกตระกูลภาษาหน่ึง ภาษาของคนไทยท่ีอยู่ในประเทศไทย และคนไทนอกประเทศ เช่น เป็น
ต้น ท้ังนี้ ฟัง กวย ลี (Fang Kuei Li, 1977: 32-33)ได้แบ่งภาษาตระกูลไทออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลมุ่ เหนือ ใช้อยู่ในประเทศจนี เช่น ภาษาโป – อาย ภาษาวมู ิง ภาษาเทียนโจว ภาษาลิงยนุ เป็นต้น
กลมุ่ กลาง ใช้อยู่บรเิ วณชายแดนประเทศจีนและเวียดนาม เช่น ภาษาจว้ ง ภาษานงุ ภาษาลุงเชา และ
กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ ใช้อยู่ในประเทศไทย ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศ
เวยี ดนาม เช่น ภาษาไทย ภาษาไทล้ือ ไทอาหม ไทคาต่ี ไทดา ไทขาว ไทแดง ไทใหญ่ ภาษาลาว
1.5.1 การจดั กลุ่มภาษาตระกูลไท
ภาษาตระกลู ไท เป็นตระกูลภาษาตระกลู หน่ึงในเอเชยี และเป็นตระกูลภาษา
ท่ีมีผู้พูดแพร่หลายท่ีสุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เนื่องจากมีผู้พูดภาษาตระกูลไทอยู่ถึง 8 ประเทศ
ด้วยกัน ได้แก่ จีน พม่า อินเดีย เวียดนาม เขมร ลาว มาเลเซีย และไทย ดังน้ันชนชาติท่ีพูดภาษา
ตระกลู ไทจึงมไิ ดม้ ีเฉพาะในประเทศไทยเทา่ นน้ั
สาหรบั ภาษาท่ีใชใ้ นภูมภิ าคเอเชยี อาคเนย์นี้ก็จะมชี ื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
เช่น เรียกเป็นชื่อกลุ่มภาษา เรียกเป็นช่ือภาษาซึ่งกลุ่มผู้พูดภาษาน้ันใช้เรียก หรือผู้อ่ืนใช้เรียก เช่น
ภาษาไทอาหม ภาษาไทใหญ่ ภาษาไทล้ือ ภาษาไทย เป็นต้น และเรียกเป็นช่ือทางภูมิศาสตร์ ได้แก่
ช่ือเมือง ช่อื แม่นา้ เชน่ ภาษาลงุ เจา ภาษาโปอา้ ย เปน็ ตน้
ภาษาตระกูลไทมีท้ังความแตกต่าง และความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ด้าน
เช่น ด้านคาศัพท์ ด้านระบบเสียง ซึ่งความแตกต่าง และความคล้ายคลึงนั้นจะหลักเกณฑ์สามารถ
อธิบายได้เป็นแบบแผน ซึ่งเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ภาษาเหล่าน้ีเป็นภาษาท่ีอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกัน
แตม่ ิได้เป็นภาษาท่ีอยูใ่ นกลุม่ เดียวกนั
การจัดกลุ่มภาษาตระกูลไทนั้น นักภาษาศาสตร์หลายท่าน อาทิ ฟัง กวย ลี เกดนีย์
แชมเบอร์เลน และ ฮาร์ตแมน ได้จัดกลุ่มภาษาตระกูลไท ซ่ึงมีความแตกต่างกันท้ังด้านจานวนกลุ่ม
ทีจ่ ดั และเกณฑท์ ใี่ ช้ในการจัดกลมุ่ โดยนกั ภาษาศาสตรแ์ ตล่ ะคนจะมมี มุ มองแตกตา่ งกนั ดังนี้
16
1) ก า ร จั ด ก ลุ่ ม ภ า ษ า ต ร ะ กู ล ไ ท ต า ม แ น ว คิ ด ข อ ง ฟั ง ก ว ย ลี
(Fang Kuei Li)
ฟัง กวย ลี ได้จดั กลมุ่ ภาษาตระกลู ไท เปน็ 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่
(1) กล่มุ เหนือ เช่น ภาษาเทยี นเจา ภาษาโปอ้าย และ ภาษาซิหลนิ เป็นตน้
(2) กลุม่ กลาง เชน่ ภาษาไต ภาษาโท้ ภาษานงุ ภาษาลุงเจา เปน็ ตน้
(3) กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ เช่น ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาไทดา ภาษาไทแดง
ภาษาไทอาหม ภาษาไทลอื้ เป็นตน้
เกณฑ์ท่ีฟังกวยลีใช้จัดกลุ่ม คือเกณฑ์คาศัพท์ และเสียงในคาศัพท์ โดยการใช้
เกณฑ์ด้านคาศัพท์นั้น ฟัง กวย ลี กล่าวว่า มีคาศัพท์เป็นจานวนมากที่ภาษาตระกูลไททั้ง 3 กลุ่มนี้
ใช้ร่วมกัน แสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันทางด้านเช้ือสาย แต่ก็มีคาศัพท์บางคาท่ีจะพบในเพียง
2 กลุม่ แตไ่ มพ่ บอกี ใน 1 กลมุ่
เช่น คาว่า “ฟ้า” ภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ (ภาษาไทยกรุงเทพใช้ faa )
ภาษาไทยกลุ่มกลาง (ภาษา ลุงเจา ใช้ faa ) แต่ภาษาไทกลุ่มเหนือ (ภาษา โป้อ้าย ใช้ min ) เป็นต้น
นอกจากน้ันก็มีคาศัพท์บางคาท่ีใช้เฉพาะ 1 กลุ่มเท่านั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวน้ี
จงึ แบง่ ภาษาตระกูลไทออกเป็น 3 กลุ่ม
สาหรับเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงเสียงจากรูปศัพท์ภาษาไทด้ังเดิม ( Proto - Tai )
น้ัน ภาษาไทกลุ่มเหนือจะแตกต่างไปจากกลุ่มอ่ืน ๆ ในเรื่องท่ีไม่มีความแตกต่างระหว่างเสียงกัก
ไม่ก้องท่ีเป็นเสียง Aspiration (กลุ่มลม) กับเสียง Unaspiration (ไม่มีกลุ่มลม) ส่วนภาษาไทกลุ่ม
กลางนั้น จะแตกต่างไปจากกลุ่มอื่น คือ ยังคงมีการใช้พยัญชนะควบกล้าตามแบบภาษาไทด้ังเดิมอยู่
เช่น * tr - และ * thr - และถึงแมว้ ่าจะเปลี่ยนแปลงรูปคาไปจากรปู คาดงั้ เดิมแล้วก็ตาม
2) การจัดกลุ่มภาษาตระกูลไทตามแนวคิดของวิลเลียม เจ เกดนีย์ (William
J. Gedney)
วิลเลียม เจ เกดนีย์ ได้เสนอว่า ภาษาตระกูลไทสามารถจัดกลุ่มได้ 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มเหนือ และ กลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้ โดยท่ีภาษากลุ่มเหนืออาจแยกออกจากภาษาด้ังเดิม
ก่อนภาษากลุ่มอ่ืน สาหรับเกณฑ์ท่ีวิลเลียม เจ เกดนีย์ใช้ในการจัดกลุ่มน้ันจะใช้เกณฑ์เดียวกับฟัง
กวย ลี คอื เกณฑท์ างด้านคาศพั ท์ และเกณฑท์ างดา้ นเสียง
ทั้งนี้วิลเลียมได้ใช้เกณฑ์ทางด้านคาศัพท์ร่วมเชื้อสาย โดยภาษากลุ่มเหนือจะใช้
คาศัพท์แตกต่างไปจากภาษากลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้ เช่น การใช้คาศัพท์ “ไฟ” ในภาษากลุ่ม
เหนือ เช่น ภาษาแสก ใช้ [vii] ภาษาโปอ้าย ใช้ [fii] ภาษากลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้ เช่น
ภาษาไทย ใช้ [fai] ภาษาลุงเจา ใช้ [fai] จากข้อมูลภาษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าภาษากลุ่มเหนือใช้
พยัญชนะต้น และสระแตกตา่ งไปจากภาษากลุ่มกลางกบั ตะวันตกเฉียงใต้
สาหรับเกณฑ์ทางด้านเสียง ในภาษากลุ่มเหนือจะแสดงให้เห็นวิวัฒนาการ
ทางเสียงวรรณยุกต์ท่ีมีลักษณะแตกต่างไปจากภาษากลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้ กล่าวคือ ภาษา
กลุ่มเหนือมีคาเป็นจานวนมากท่ีมีเสียงวรรณยุกต์ ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าเสียงพยัญชนะต้นในคาเหล่าน้ัน
17
มีวิวัฒนาการจากเสียงพยัญชนะดั้งเดิมท่ีเป็นเสียงก้อง ในขณะที่ภาษากลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้
จะมีเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งแสดงว่าเสียงพยญั ชนะต้นมีววิ ฒั นาการมาจากเสียงพยัญชนะดั้งเดิมที่เป็นเสยี ง
ไม่ก้อง เช่น คาว่า “ปีก” ในกลุ่มกลางกับตะวันตกเฉียงใต้เช่น ภาษาไทย ใช้ [piik] ภาษาโท้ ใช้ [pik]
ส่วนภาษากลุ่มเหนือ เช่น ภาษาหวู่หมิง ใช้ [fiat] ภาษาโปอ้ายใช้ [fit] ดังนั้น เกดนีย์จึงสรุปไว้ว่า
ภาษาตระกูลไท สามารถจัดกลุ่มเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น คือ ภาษากลุ่มเหนือ และภาษากลุ่มกลางกับ
ตะวันตกเฉียงใต้
ภาษาไทดงั้ เดมิ
ภาษากลุ่มเหนือ ภาษากลุ่มกลาง – ตะวนั ตกเฉียงใต้
ภาษากลมุ่ กลาง ภาษากลุ่มตะวนั ตกเฉยี งใต้
แผนภมู ิท่ี 2 แสดงการจดั กลมุ่ ภาษาตระกลู ไทของ William J. Gedney
3) การจัดกลุม่ ภาษาตระกลู ไทตามแนวคดิ ของแชมเบอรเ์ ลน (Chamberlain)
แชมเบอร์เลนมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับ เกดนีย์ โดยจัดแบ่งภาษาตระกูลไท
เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเหนือ และกลุ่มกลางกับกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ โดยแชมเบอร์เลนได้ศึกษา
การรวมเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของเสียงพยัญชนะต้น พบว่า ภาษาไท
กลุ่มกลางกับ ภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้มีลักษณะคล้ายคลึงกันในเรื่องการกลายเสียงมากกว่า
ภาษาไทกลุ่มเหนือ และภาษากลุ่มกลางและกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้น้ัน ไม่มีเส้นแบ่งเขต เพราะภาษา
สองกลุ่มนี้จะค่อย ๆ กลมกลืนตอ่ เนื่องกนั
จากแนวคิดของนกั ภาษาศาสตร์ทั้งสามท่านข้างตน้ จงึ สรปุ ได้ว่า การจัดกล่มุ ภาษา
ตระกูลไทนั้นมีความคิดเป็น 2 ทาง คือ มีความเห็นว่าภาษาตระกูลไทแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามแนวคิด
ของ ฟัง กวย ลี และความเห็นท่ีว่าภาษาตระกูลไทแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามแนวคิดของ เกดนีย์ แ ละ
แชมเบอรเ์ ลน
สาหรับเกณฑท์ ่ีใช้ในการแบ่งกลุ่มแตกต่างกัน กลา่ วคือ ฟัง กวย ลี ใช้เกณฑ์คาศัพท์
และเสียงในคาศัพท์เป็นเกณฑ์โดยพิจารณาเสียงก้อง ไม่ก้องของพยัญชนะต้นในศัพท์บางคา และ
พิจารณาจากลักษณะการกลายเสียงของพยัญชนะประสมในภาษาไทด้ังเดิม ส่วนเกดนีย์นั้นใช้เกณฑ์
ทางด้านคาศัพท์ร่วมเชื้อสาย และเกณฑ์วิวฒั นาการทางเสียงวรรณยุกต์ และแชมเบอร์เลนนั้นมีความ
คิดเห็นคลา้ ยกับเกดนีย์ โดยใช้เกณฑ์การรวมเสยี งวรรณยุกตเ์ ปน็ เกณฑ์ในการจัดกล่มุ ภาษาตระกูลไท
อย่างไรก็ตาม ภาษากลมุ่ ตะวันเฉียงใต้นน้ั มีข้อมูลมากทสี่ ุด และมีผศู้ ึกษาภาษากลุ่ม
น้ีมากที่สุด นักภาษาศาสตร์จึงได้จัดกลุ่มภาษากลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ ตามแนวคิดต่าง ๆ อาทิ เช่น
เจมส์ แชมเบอร์เลน (James Chamberlain) จัดกลุ่มภาษาไทในกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ เป็น 2 กลุ่ม
คือ โดยใช้เกณฑ์คาศัพท์ และเกณฑ์ทางเสียง ซ่ึงเป็นเกณฑ์ที่ฟัง กวย ลีได้ใช้ในการจัดกลุ่มภาษา
ตระกูลไทเกณฑ์ทางศัพท์ น้ันแชมเบอร์เลนได้นาคาศัพท์จานวนหนึ่ง เช่น แมงมุม น้าส้ม น้าค้างแข็ง
18
ในภาษากลุ่มตะวันเฉียงใต้ มาวิเคราะห์และได้แบ่งภาษากลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ออกเป็น 2 กลุ่ม โดย
กลุ่มแรกเป็นกลุ่ม “p” ได้แก่ ไทขาว ไทดา ไทแดง ลื้อ ขึน ไทใหญ่ อาหม กลุม่ ท่ีสอง เป็นกล่มุ “ph”
ได้แก่ ภาษาไทเหนอื ภาษาพวน ภาษาไทย ภาษาลาว เปน็ ตน้
ภาษากลุ่มตะวนั ตกเฉียงใต้
กลุ่ม p กลุม่ ph
ไทขาว ไทเหนอื
ไทดา พวน
ไทแดง ภาษาไทย
ลอ้ื ภาษาลาว
ขึน
ไทใหญ่
อาหม
แผนภูมทิ ่ี 3 แสดงการแบ่งภาษากลมุ่ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ของ Chamberlain
สาหรบั เกณฑ์ทางเสยี ง นนั้ แชมเบอร์เลนแยกเป็นเกณฑ์ย่อย 2 เกณฑ์
1. การกลายเสียงของเสียงพยัญชนะต้นด้ังเดิมท่ีเป็นเสียงกักและก้อง โดยแบ่งภาษา
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือภาษากลุ่ม ph เป็นแบบที่กลายเป็นพยัญชนะเสียงกัก ไม่ก้อง มีกลุ่มลม ได้แก่
ภาษาลาว ภาษาไทย และภาษากลุ่ม p เป็นแบบท่ีกลายเป็นพยัญชนะเสียงกัก ไม่ก้อง ไม่มีกลุ่มลม
ไดแ้ กภ่ าษาไทดา ไทขาว ไทแดง อาหม และไทลือ้ เปน็ ตน้
2. ลักษณะวิวฒั นาการของเสียงวรรณยุกต์ โดยดูจากการแยกเสียง และการรวมเสียง
วิธีนี้จะสามารถจัดกลุ่มภาษาได้เป็นสองกลุ่ม คือกลุ่ม p โดยกลุ่มน้ีจะมีการแยกเสียงวรรณยุกต์โดย
ใช้สัทลักษณะก้อง ไม่ก้องเท่าน้ัน ส่วนกลุ่ม ph นั้นมีการแยกเสียงวรรณยุกต์ด้ังเดิม A โดยใช้
สัทลักษณะกอ้ ง ไมก่ ้อง ก่อนตามดว้ ยสัทลกั ษณะพน่ ลม
ทั้งนี้ จอห์น เอฟ ฮาร์ตแมน (John F. Hartmann ) มีความเห็นแตกต่างจาก
แชมเบอรเ์ ลน โดย ฮาร์ตแมน ได้จดั กลุ่มภาษาตระกูลไทในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้โดยใช้เกณฑ์ด้าน
เสียงเพียง อย่างเดียว (ดูการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์) โดยจัดกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มตะวันตก
เฉียงใต้ตอน บ น (upper southwestern Thai) กลุ่มตะวัน ตกเฉียงใต้ตอน กลาง (Middle
southwestern Thai) แ ล ะ ก ลุ่ ม ต ะ วั น ต ก เฉี ย งใต้ ต อ น ล่ า ง (Lower southwestern Thai)
การแบ่งกลุ่มของฮาร์ตแมนจะอาศัยการแตกตัวของวรรณยุกต์ (Tone split) จากภาษาไทดั้งเดิมมา
เปน็ หลักในการจดั กลุ่ม ลกั ษณะการแตกตัวของวรรณยุกตม์ ดี งั นี้
19
1. การแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์เป็นสามทาง (three way split) ตามลักษณะการเขียนของ
ภาษาไทกรุงเทพฯ จะมีอักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่า นามาใส่ตารางทดสอบเพื่อดูการแตกตัว
ของเสียงวรรณยกุ ต์ในพยางคเ์ ป็น ช่อง A B และ C
กลุ่มภาษาท่ีมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์เป็นสามทาง ได้แก่ กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้
ตอนล่าง (Lower southwestern Thai) คือ กลุ่มที่มีการกลายเสียงต่อเน่ืองของพยัญชนะต้นด้ังเดิม
ท่ีเป็นเสียงก้องมาเป็นเสียงไม่ก้อง และมีกลุ่มลม เช่น ภาษาถ่ินกรุงเทพฯ ภาษาไทยถ่ินใต้ ภาษาลาว
ภาษาถิ่นกรุงเทพฯ ภาษาไทยถิน่ ใต้ ภาษาลาว
2. การแตกตัวของวรรณยุกต์เป็นสองทาง (Bipartition) ภาษาท่ีมีการแตกตัวของวรรณยุกต์
แบบน้ี จะมีการรวมเสียงวรรณยุกต์ที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูง และอักษรกลางไว้ในกลุ่มเดียวกัน
และแยกอกั ษรต่าเปน็ อีกเสยี งวรรณยุกตห์ น่ึงตลอดชอ่ ง A B C
กลุ่มภาษาที่มีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์เป็นสองทาง ได้แก่กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้
ตอนบน (upper southwestern Thai) เช่น ไทใหญ่ ไทล้ือ ไทแดง ไทขาว ไทดา ไทนุง ลุงเจา
หวู่หมิง จ้วง เป็นต้น สาหรับกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ตอนกลาง (Middle southwestern Thai) จะมี
ลกั ษณะการแปรเปลี่ยนของการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ไปจากแบบสองทาง คอื ในช่อง A จะมีการ
รวมอักษรสูงและอักษรกลางชุดที่ 1 (ป ต จ ก) ไว้ด้วยกัน และวรรณยุกต์อีกเสียงหนึ่งในช่อง A จะ
รวมอกั ษรกลางชดุ ท่ี 2 (อ บ ด) กบั อักษรต่าไว้ดว้ ยกนั ส่วนในช่อง B และ C จะมกี ารแตกตวั ของเสยี ง
วรรณยุกต์ ระหวา่ งอักษรกลางและอักษรตา่ การแตกตวั ของเสียงวรรณยกุ ต์ทแ่ี ปรเปลยี่ นจากแบบสอง
ทางน้ี คือกลุ่มที่มีการกลายเสียงของเสียงพยัญชนะต้นด้ังเดิมท่ีเป็นเสียงก้องมาเป็นเสียงไม่ก้อง และ
การยืดเสียงสระสนั้ เป็นสระยาว เช่น ภาษาไทใหญ่เชียงตุง ภาษาไทเขินเชียงตุง ล้อื เมืองยอง ประเทศ
พมา่ และภาษาไทถ่ินเหนือ
สาหรับ ฟัง กวย ลี นั้นได้ใช้เกณฑ์การแตกตัวของวรรณยุกต์เช่นเดียวกับ John F.
Hartman แต่สามารถจัดกลุ่ม ได้ถึง 4 กลุ่ม โดยฟัง กวย ลี พิจารณาจากการกลายเสียงพยัญชนะต้น
ดัง้ เดิม ในการจดั กลมุ่ ภาษาไทในกลุ่มตะวันตกเฉยี งใต้ โดยจัดกลุ่ม ได้ 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มท่ีแยกเฉพาะเสียงก้อง และเสียงไม่ก้องเท่านั้น เช่น ภาษาไทนุง ภาษาผู้ไท
เปน็ ตน้
2. กลุ่มที่แยกเสียงก้อง และเสียงไม่ก้อง และมีการรวมเสียงในพยัญชนะต้นดั้งเดิม
ไม่ก้อง โดยได้รวมเสียงกักไม่ก้อง มีกลุ่มลม เสียงไม่ก้องต่อเนื่อง และเสียงกักไม่ก้องไม่มีกลุ่มลมไว้
ด้วยกนั เชน่ ภาษาโปอ้าย ภาษาเชยี งใหม่ เปน็ ตน้
3. กลุ่มที่สาม พิจารณาจากการรวมพยัญชนะเสียงกักไม่ก้องมีกลุ่มลม กับเสียง
ไม่ก้องต่อเน่ือง ไว้ด้วยกัน แล้วรวมเสียงกักไม่ก้อง ไม่มีกลุ่มลม กับเสียงกักท่ีเส้นเสียงเข้าด้วยกัน
เช่น ภาษาไทย ภาษาลาว เปน็ ต้น
4. กลมุ่ ทส่ี ่ี อันดบั แรกจะแยกเสียงกักไม่ก้องมีกลมุ่ ลม ต่อมามีการรวมเสียงพยัญชนะ
ต้นด้ังเดิมท่ีเป็นเสียงไม่ก้องต่อเนื่อง และเสียงกักไม่ก้องไม่มีกลุ่มลมเข้าด้วยกัน ต่อมาได้ทาการแยก
เสียงกักท่เี ส้นเสยี ง และแยกเสยี งกอ้ งตามลาดับ
20
จากการแบ่งกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้นี้ มีการใช้เกณฑ์ในการแบ่งกลุ่มแตกต่างกัน
กล่าวคือ แชมเบอร์เลน ใช้เกณฑ์ศัพท์ และวิวัฒนาการของระบบเสียงวรรณยุกต์เท่านั้น ส่วนฟัง
กวย ลี ใช้เกณฑก์ ารกลายเสยี งของเสยี งพยัญชนะต้นดั้งเดมิ และวิวฒั นาการของระบบเสียงวรรณยกุ ต์
เท่านั้น เม่ือเปรียบเทียบลักษณะกลุ่มย่อย และความสัมพันธ์ของกลุ่มย่อย ตามการวิเคราะห์
ของฮาร์ตแมน และฟัง กวย ลี นั้นมีลักษณะเหมือนกัน คือกลุ่มไทยถิ่นเหนือแยกจากกลุ่มลาว
ไทยถ่ินกลาง และไทยถ่ินใต้ ส่วนแชมเบอร์เลนน้ัน กลุ่มไทยถิ่นเหนือแยกกลุ่มห่างจากภาษาไทย
ภาคกลาง ลาว และไทยถ่ินใต้ ซึ่งใกล้ชิดกันมากกว่า แตกต่างจาก ฟัง กวย ลี ที่ให้ไทยถ่ินอีสานและ
ลาวใกลช้ ิดกันมาก สว่ นแชมเบอรเ์ ลนให้ไทยถน่ิ ใตใ้ กลช้ ิดกบั ภาษาลาว
1.5.2 ลกั ษณะภาษาตระกูลไท
ภาษาตระกูลไท หรือภาษาตระกูลไต (Tai) มีต้นกาเนิดที่นักภาษาศาสตร์
ไม่ทราบกนั แนช่ ัดนัก แต่เดิมถือวา่ เป็นสาขาหน่ึงของตระกลู ภาษาไซโนทิเบต (Sino-Tibetan) โดยอยู่
ในตระกูลย่อยช่ือ ไท-จีน (Tai-Chinese) หรือ จีน-ไท (Sino-Tai) แต่นักภาษาศาสตร์และผู้ศึกษา
ภาษาหลายคนไมเ่ ห็นด้วย เช่น เลียวนารด์ บลูมฟลิ ด์ (Leonard Bloomfield) และศิษย์บางคน ถอื ว่า
อยู่ในตระกูลไซโนทิเบต แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูลยอ่ ยเดียวกบั จีน นักภาษาศาสตร์สมัยใหม่ เชน่ ฟัง กวย
ลี (Fang-Kuei Li) และคนอื่นๆ ถือว่า ตระกูลภาษาไทเป็นตระกูลภาษาอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูล
ไซโนทเิ บต
มีผู้เสนอความคิดอีกว่า ภาษาตระกูลไทมีความสัมพันธ์กับภาษากลุ่ม
กะได (Kadai) ท่ีใช้พูดกันในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีนและเกาะไหหลา และกับภาษาตระกูล
ออสโตรนีเซียน(Austronesian) มากกว่าจะสมั พันธก์ ับภาษาตระกลู ไซโนทิเบต
ปัจจุบันจึงมักเรียกรวมกับภาษากลุ่มกะได เป็นภาษาตระกูลไท-กะได (Tai-
Kadai) สว่ นพอล เค. เบเนดิกต์ (Paul K. Benedict) ถือว่า ภาษาตระกูลไท-กะไดน้ีมีความเก่ียวข้อง
กับภาษาตระกูลออสตริก ซึ่งได้แก่ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกท่ีใช้พูดกันบริเวณเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีป รวมกับตระกูลออสโตรนีเชียนท่ีใช้พูดกันตามหมู่เกาะต่าง ๆ แถบแปซิฟิก และ
ตระกูลแม้ว-เย้า (Miao-Yao) และตระกูลภาษาท่ีสัมพนั ธ์กนั เหล่านี้ควรจะรวมกันเขา้ เปน็ ตระกูลใหญ่
ตระกูลเดียวกันชือ่ ออสโตร-ไท (Austro-Tai)
แม้ว่าภาษาตระกลู ไทท่ีพูดในท้องถิน่ ต่าง ๆ ของไทยและในต่างประเทศ จะมี
ความแตกต่างกันทั้งด้านระบบเสียง ระบบคา และระบบไวยากรณ์ แต่ก็มีลักษณะร่วมที่นักภาษาถือ
เป็นสว่ นหนง่ึ ของการจดั ภาษาเข้าเปน็ กลมุ่ ภาษาตระกลู ไท ซึง่ มลี กั ษณะรว่ มกนั ดงั นี้
1. มีระบบเสียง 3 ระบบคือ ระบบเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ โดยเฉพาะ
ระบบเสียงวรรณยุกต์เป็นส่ิงท่ีสาคัญมาก โดยมีเสียงวรรณยุกต์ไม่ต่ากว่า 4 หน่วยเสียง และมากสุด
ไมเ่ กนิ 7 หนว่ ยเสียง
2. หน่วยเสียงพยัญชนะซง่ึ ส่วนใหญ่เกดิ ข้ึนตน้ คาไดท้ ุกเสยี ง แต่เกิดท้ายพยางค์ได้จากัด
3. ความสั้นยาวของเสยี งสระ ทาใหค้ วามหมายต่างกนั ได้ เช่น มกั – มาก
4. สระเสยี งยาวเกิดขึน้ ทที่ ้ายพยางค์ไดท้ กุ เสียง เชน่ ตา ปู
21
5. คาท่ีมีหน่วยเสียงสระเสียงสั้น จะมีพยัญชนะเสียงหยุด (Glottal Stop) ปรากฏท้ายคาหรือ
พยางค์
6. ลักษณะคาเป็นภาษาคาโดด หรือคาพยางค์เดียว (monosyllabic form) ไม่มีการ
เปลย่ี นแปลงรปู คาเม่ือนาไปใช้
7. มคี าลักษณนาม โดยวางไวห้ ลงั คาบอกจานวน
8. ไม่ปรากฏหน่วยเสียงควบกล้าท้ายพยางค์ หรือท้ายคา
9. มีคาศัพท์ที่ใช้เป็นศัพท์ร่วมตระกูล หรือคาศัพท์พื้นฐาน (Cognate) เช่น คาเรียกชื่อญาติ
พี่น้อง คาเรียกอวัยวะของร่างกาย คาเรียกสิ่งของเครื่องใช้ คาเรียกธรรมชาติ คากริยา คาสรรพนาม
คาวิเศษณ์ และคาบอกจานวนนบั
10. มเี สียงปฏิภาค (Correspondence) ทแี่ ตกตา่ งกนั อยา่ งเปน็ ระบบ เช่น /ch/ เป็น /c/