ค่มู อื กิจกรรมเสรมิ หลกั สตู รสะเตม็ ศึกษาเสรมิ สรา้ งแนวคิดวทิ ยาศาสตร์เพ่ือชีวิต
“ตอู้ บพลังงานแสงอาทิตย์”
ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์เพ่อื การศกึ ษานราธวิ าส
ผู้จดั ทำ
นางสาวสารียะห์ มะแซ 6320121228
นางสาวหะยีรอสมนี ี อีนอ 6320121232
นางสาวอาอีซะฮ์ ดือราแม 6320121239
นายฮารีฟ เทพลกั ษณ์ 6320121243
นางสาวนชิ าภา ห้วนย้ิมเส้ง 6320121245
นายมะนาแซ มะเดหมะ 6320121246
นายรชุ ดยี ์ หวงั เบ็ญหมัด 6320121247
เสนอ
ดร.วรลกั ษณ์ ชกู ำเนดิ
รายวิชา 260-501 การบริหารหลักสูตรสถานศึกษา (Administration of curriculum)
หลักสูตรศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี
ก
คำนำ
คู่มือการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co-Curricular Activities) สะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิด
วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต “ตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์” ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรม
เสริมหลักสูตรของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานราธิวาส ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ในการ
จดั กจิ กรรมสะเตม็ ศึกษา (STEM) ให้กบั นกั ศึกษา กศน. โดยมจี ุดมงุ่ หมายดงั นี้
1) เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นทำความเข้าใจปัญหาของช้ินงาน และรวบรวมข้อมูลตามแนวคดิ สะเต็มศกึ ษา
2) เพื่อให้ผู้เรียนกำหนดลำดับขัน้ ตอนของการสรา้ งชิน้ งานหรอื วิธีการแก้ปญั หา เพ่ือออกแบบชิ้นงาน
ใหม่ โดยใช้ความร้พู ้นื ฐานตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา
3) เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีในการประกอบอาชีพอย่างสุจริตตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง
4) เพื่อให้ผู้เรียนรว่ มวางแผน ออกแบบ สร้างสรรค์ชิ้นงาน ที่มีความโดดเดน่ หรือแตกต่างกับผู้อ่ืนโดย
ใชก้ ระบวนการกลมุ่
5) เพื่อให้ผู้เรียนทดสอบและประเมินชิ้นงานหรือวิธีการ โดยผลที่ได้อาจนำมาใช้ในการปรับปรุงและ
พัฒนาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพทเ่ี หมาะสม
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือกิจกรรมเสริมหลักสูตรจะสามารถนำไปบูรณาการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ตลอดจนพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการแก้ปัญหาให้แก่
ผเู้ รียนอย่างมปี ระสิทธิภาพ
คณะผู้จัดทำ
สารบญั ข
คำนำ หน้า
สารบญั ก
คำชีแ้ จง ข
บทสรุป (Co-Curricular Activities Planning) ค
ข้อมูลพื้นฐานท่จี ำเปน็ ของกจิ กรรมเสรมิ หลักสูตร ( Co-Curricular Activities Information ) ง
จุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ของหลักสูตรรายวิชา (Aims & Objectives) 1
ลกั ษณะการออกแบบกิจกรรมเสรมิ หลกั สูตร (Co-Curriculum Design) 2
รูปแบบการเรียนรแู้ ละการจดั การเรยี นรู้ (Learning Approach & Instruction) 3
โครงสร้างกจิ กรรมเสรมิ หลักสูตร (Co-Curricular Activities Structure) 5
โครงสรา้ งการวดั และการประเมินผล (Assessment and Evaluation) 11
บทบาทของผู้เก่ียวขอ้ งในการนำหลกั สตู รไปใช้ (Key Players) 15
ทรัพยากรและวสั ดหุ ลกั สูตรที่จำเป็น (Resource of curriculum) 18
การบรหิ ารจัดการนำหลักสตู รไปใชใ้ หม้ ีประสิทธภิ าพและบรรลเุ ป้าหมายของหลกั สตู ร 20
งบประมาณการบริหารจดั การหลกั สตู ร (Curriculum Management Budget) 21
แนวทางการประเมนิ หลกั สตู ร (Curriculum Evaluation) 26
บรรณานกุ รม 27
28
ค
คำช้ีแจง
ตามนโยบายและจุดเน้นการดำเนินงานสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธยาศัย (กศน.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีภารกิจต่อเนื่องดานหลักสูตร สื่อรูปแบบการจัด
กระบวนการเรียนรู การวัดและประเมินผลงานบริการทางวิชาการ และการประกันคุณภาพการศึกษาส่งเสริม
การพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรูและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ
การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ที่หลากหลาย ทันสมัย รวมถงึ การพฒั นาหลักสตู รฐานสมรรถนะ และหลักสูตรทองถ่ินท่ี
สอดคลองกับสภาพบรบิ ทของพน้ื ท่แี ละความตองการของกลุ่มเปาหมายและชุมชน
คู่มือการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co-Curricular Activities) สะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิด
วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต “ตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์” ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบกิจกรรมสะเต็มศึกษาให้
ครูผู้สอนสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นของคู่มือการ
จดั กจิ กรรมสะเตม็ ศึกษาฉบับนี้มดี งั นี้
1. มีการสอดแทรกเทคนิคการจัดการเรียนรู้ และการประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรียน (Formative
Assessment ในคู่มอื การจัดกิจกรรมสะเตม็ ศกึ ษา ซง่ึ จะช่วยใหผ้ สู้ อนติดตามการเรียนรู้ของผเู้ รียนไดอ้ ย่าง
ต่อเนือ่ ง ต้งั แตเ่ รม่ิ ต้นจนกระทั่งส้นิ สุดกระบวนการจัดการเรยี นรู้
2. มีความยืดหยุ่นในการนำไปใชใ้ นสถานศึกษา คือผู้สอนสามารถปรับแนวการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ตลอดจนรายการวัสดุอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน อีกทั้งยังสอดคล้องกับมาตรฐานและตวั ชีว้ ดั
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง 2551 และสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
ผู้สอนจึงสามารถนำหลักสูตรไปใช้จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรนอกห้องเรียนเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามความสนใจ
โดยกิจกรรมเสริมหลักสูตร “สะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิดวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต” มีระยะเวลาในการจัดทำ
ระยะสั้น 12 ชั่วโมง ซึ่งแบ่งภาคทฤษฎี 1 ชั่วโมง และภาคปฏิบัติ 11 ชั่วโมง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำตู้อบ
พลงั งานแสงอาทติ ย์ สาระการเรียนรู้การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งสารและพลงั งาน ผลของการใช้
พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม การออกแบบชิ้นงาน และการใช้เทคโนโลยีสร้างพื้นที่การประชาสัมพันธ์
ชิ้นงาน มีเครื่องมือประเมินผลที่หลากหลาย เช่น แบบสังเกตพฤติกรรม แบบทดสอบแบบปรนัย การปฏิบัติ
จริง และการประเมินความพึงพอใจของผูร้ ่วมกิจกรรม เป็นต้น ผู้เรียนตอ้ งได้ระดับเกณฑ์การประเมินร้อยละ
70 ข้ึนไป จงึ จะถือวา่ ผา่ นหลกั สูตร “สะเต็มศึกษาเสริมสรา้ งแนวคดิ วทิ ยาศาสตร์เพ่ือชีวติ ”
ง
บทสรุป (Co-Curricular Activities Planning)
การเรยี นรใู้ นห้องเรียนแบบแยกสว่ นวิชา ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถคดิ วิเคราะห์ หาเหตแุ ละผลรวมไป
ถึงเชื่อมโยงองค์ความรู้ได้ การจัดการเรียนรู้แบบบรูณาการโดยใช้สะเต็มศึกษาจะช่วยให้ผู้เรียนมีกระบวนการ
คดิ อย่างเป็นขั้นตอน สามารถนำสิง่ ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน คดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์สู่การต่อยอด
ในการสร้างอาชีพที่สนใจหรือนำวัตถุดิบในบริบทของพื้นที่มาสร้างรายได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตาม
กระบวนการคิดเป็น ของผู้เรียน ทางคณะผู้จัดทำหลักสูตร ได้เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการจัดการ
เรียนรู้ดังกล่าวจึงได้จัดทำ คู่มือกิจกรรมเสริมหลักสูตรสะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิดวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิ ต
“ตู้อบพลังงานแสงอาทติ ย”์
สิ่งสำคัญที่ต้องให้เกิดกับผู้เรียนคือ พัฒนากระบวนการคิด เสริมสร้างทักษะชีวิต สู่อาชีพตามหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการดำรงชีวิตและอาชีพ พร้อมเสริมสร้างความสามารถด้านการแก้ปัญหาใน
ชีวิตประจำวัน หรือปัญหารอบตัวตามบริบทแห่งศตวรรษที่ 21
1
ขอ้ มลู พ้ืนฐานรายวชิ า (General information)
กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)
ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า คนไทยต้องได้รับโอกาสการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ สามารถ
ดำรงชีวิตที่เหมาะสมกับช่วงวัย สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีทักษะที่จำเป็นในโลก
ศตวรรษที่ 21 ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาและเป็นการส่งเสริมการเรียนการสอนแบบสะเต็ม
ศึกษาให้แก่ครูผู้สอน กศน. และส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับนักศึกษา กศน. เพราะการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
สะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการเรียนที่กระตุ้นกระบวนการคิด
กระบวนการแกป้ ญั หา โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ โดยการจดั การเรยี นรแู้ บบสะเต็มศึกษา
ได้บูรณาการเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ท่ีส่งเสิรมทักษะทางปัญญา
ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการ
ใช้เทคโนโลยี เพื่อมุ่งให้ผู้เรยี นนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเตม็
ศึกษา จึงเหมาะที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การสร้างนวตั กรรม และ
นำความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวัน
สำหรับคู่มือกิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co-Curricular Activities) สะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิด
วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต “ตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์” นี้ มีลักษณะสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ (1) เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้บูรณาการความรู้ และทักษะของวิชาที่เกี่ยวข้องในสะเต็มศึกษาในระหว่างการเรียนรู้ (2) มีการท้า
ทายผู้เรียนให้ได้แก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ผู้สอนกำหนด (3) มีกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้เชิงรุก (active
learning) ของผเู้ รยี น (4) ชว่ ยให้ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านการทำกิจกรรม หรอื สถานการณ์
ที่ผู้สอนกำหนดให้ และ (5) สถานการณ์หรือปัญหาที่ใช้ในกิจกรรมมีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของ
ผเู้ รยี นหรือการประกอบอาชีพในอนาคต
2
จุดมุ่งหมายและจดุ ประสงค์ของหลกั สตู รรายวชิ า (Aims & Objectives)
กจิ กรรมเสริมหลกั สตู ร (Co-Curricular Activities) สะเตม็ ศกึ ษาเสริมสรา้ งแนวคิดวทิ ยาศาสตร์เพ่ือ
ชวี ิต “ตู้อบพลงั งานแสงอาทติ ย์” สำหรบั นกั ศึกษา กศน. ในจังหวัดนราธิวาส ไดว้ างเปา้ หมาย ดังนี้
วสิ ยั ทศั น์ : พัฒนากระบวนการคดิ เสริมสร้างทักษะชีวิต สู่อาชพี ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เปา้ หมาย : กระต้นุ ให้ผู้เรยี นสนใจและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์และเทคโนโลยี
ต่อการดำรงชีวิตและอาชีพ พร้อมเสริมสร้างความสามารถด้านการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือปัญหา
รอบตัวตามบรบิ ทแหง่ ศตวรรษที่ 21
จดุ มงุ่ หมายของกจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู ร
1) เพอ่ื ให้ผเู้ รียนทำความเข้าใจปญั หาของชน้ิ งาน และรวบรวมขอ้ มูลตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา
2) เพื่อให้ผู้เรียนกำหนดลำดับขั้นตอนของการสร้างชิ้นงานหรือวิธีการแก้ปัญหา เพื่อออกแบบชิ้นงาน
ใหม่ โดยใชค้ วามรูพ้ ้ืนฐานตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา
3) เพอ่ื เสรมิ สร้างให้ผู้เรียนมที ัศนคตทิ ่ีดีในการประกอบอาชีพอย่างสุจรติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
4) เพอ่ื ให้ผเู้ รียนรว่ มวางแผน ออกแบบ สร้างสรรค์ชน้ิ งาน ท่มี คี วามโดดเดน่ หรือแตกต่างกับผู้อื่นโดยใช้
กระบวนการกลุ่ม
5) เพื่อให้ผู้เรียนทดสอบและประเมินชิ้นงานหรือวิธีการ โดยผลที่ได้อาจนำมาใช้ในการปรับปรุงและ
พฒั นาใหม้ ีประสิทธิภาพที่เหมาะสม
3
ลักษณะการออกแบบกจิ กรรมเสริมหลักสตู ร (Co-Curriculum Design)
การออกแบบกิจกรรมเสริมหลกั สตู รสะเตม็ ศกึ ษาเสริมสร้างแนวคดิ วิทยาศาสตรเ์ พื่อชวี ติ “ตอู้ บพลังงาน
แสงอาทิตย์” ของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานราธิวาส อาศัยแนวคิดจากคำถามข้อที่ 2 ของไทเลอร์ คือ
การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรที่ช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ (Tyler, 1969) ซ่ึง
ได้สร้างโมเดลแบบหลักสูตร (Curriculum Design) และการจัดการเรียนรู้ (Instruction) ที่มุ่งตอบโจทย์
เป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคห์ ลักสตู ร บนพ้ืนฐานการพัฒนาจากโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โดยยึดหลักของ
ไทเลอร์ ดงั นี้
รปู แบบการพัฒนาหลักสตู รของไทเลอร์ (Tyler)
ไทเลอร์ไดเ้ สนอแนวคิดพนื้ ฐานในการพฒั นาหลักสตู รไว้ 4 ขอ้ คือ
1. ความมุง่ หมายและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1.1 ความมงุ่ หมายทางการศึกษา
1) มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพสุจริตทสี่ อดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและ
ความเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คม และการเมือง
2) มีลักษณะการดำเนินชีวิตท่ีดี และสามารถจดั การกับชีวติ ชมุ ชน สงั คม ไดอ้ ย่างมีความสุขตาม
ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
3) เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีทกั ษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเขา้ ถงึ แหล่งเรียนร้แู ละบูรณา
การความรมู้ าใช้ในการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติ
1.2 จดุ ประสงค์
1) เพื่อให้ผเู้ รยี นทำความเข้าใจปัญหาของชน้ิ งาน และรวบรวมข้อมูลตามแนวคดิ สะเตม็ ศึกษา
2) เพ่ือให้ผู้เรยี นกำหนดลำดับข้ันตอนของการสร้างชิน้ งานหรือวธิ ีการแก้ปญั หา เพื่อออกแบบ
ชน้ิ งานใหม่ โดยใชค้ วามรพู้ ้นื ฐานตามแนวคดิ สะเต็มศึกษา
4
3) เพ่ือเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทัศนคตทิ ด่ี ีในการประกอบอาชพี อย่างสจุ ริตตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง
4) เพอื่ ให้ผู้เรียนร่วมวางแผน ออกแบบ สร้างสรรคช์ นิ้ งาน ทม่ี คี วามโดดเดน่ หรือแตกตา่ งกบั ผ้อู น่ื
โดยใชก้ ระบวนการกลุ่ม
5) เพ่ือให้ผเู้ รียนทดสอบและประเมินชน้ิ งานหรือวิธีการ โดยผลทไ่ี ด้อาจนำมาใช้ในการปรับปรงุ
และพัฒนาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพทเ่ี หมาะสม
2. เนื้อหาหรอื ประสบการณ์
2.1 เนอื้ หาเชงิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์
2.2 อาชีพทส่ี ามารถพบเห็นในชวี ิตประจำวันโดยใชก้ ระบวนการสะเตม็ ศึกษาได้
3. วธิ ีการจัดการเรียนการสอน
3.1 Demonstration: ผู้เรยี นใชอ้ งค์ความรทู้ เ่ี กี่ยวข้องกบั เน้ือหาผ่านการสาธติ
3.2 Explore: ผู้เรยี นดำเนนิ กจิ กรรมการทดลองเพื่อแก้ปัญหาหลกั
3.3 Experiment: ผเู้ รียนทำกิจกรรมสรา้ งสรรคเ์ พื่อใหไ้ ด้ช้ินงานใหม่ โดยใช้ความรู้พน้ื ฐานที่ไดจ้ าก
การทดลอง
4. การประเมินประสิทธผิ ลของประสบการณ์ในการเรยี น
4.1 การประเมินจากสภาพจริงทีใ่ ห้ผ้เู รียนแสดงออกและทำผลงานของตนเอง
4.2 การวดั และประเมนิ ผลด้านความสามารถ ผู้เรียนทำงานตามทไี่ ด้รับมอบหมายสำเรจ็ โดยใช้
กระบวนการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่า เพอื่ สร้างสรรคช์ ้ินงานท่ีเป็นแบบฉบบั ของตัวเอง
ลกั ษณะเนอ้ื หาของหลักสตู ร
หลักสูตรสะเต็มศึกษาเสริมสร้างแนวคิดวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
นราธิวาส จัดเป็นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Design) โดยที่มองประโยชน์ของ
ผู้เรียนโดยคำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน เป็นการออกแบบหลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ (Child-centered Design) ลักษณะของหลักสูตรจะมีการบูรณาการเนือ้ หาของวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกนั
โดยเน้นไปที่ประสบการณ์ หรือปัญหาสังคม ความจำเป็นของชีวิต ทักษะชีวิต การปรับตัว และประสบการณ์
ตรงของผู้เรียน ซึ่งข้อดีของหลักสูตรนี้ คือ มีการผสมผสานกันระหว่างการเรียนรู้กับเนื้อหา สิ่งที่เรียนมี
ความสัมพนั ธก์ บั ปญั หาชีวิต และความสนใจของผู้เรยี น ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรจู้ ากประสบการณ์ และใช้กระบวนการ
แก้ปญั หาของตนเอง
5
รูปแบบการเรยี นรูแ้ ละการจดั การเรยี นรู้ (Learning Approach & Instruction)
การจดั การเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning)
การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการพัฒนา
ตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของธีรพัฒน์ วงศ์คุ้มสิน และเฉลิมขวัญ สิงห์วี (2563) ที่ได้ศึกษากับกลุ่ม
ตัวอย่างที่เป็นนิสิตระดบั บณั ฑิตศกึ ษา สาขาวิชาจิตวทิ ยาชมุ ชน ที่ได้รับการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงานเป็นฐาน มี
การเรียนรู้ด้วยการนำตนเองโดยรวม และรายด้านทุกด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการตนเอง ด้านการตรวจสอบ
ตนเอง และด้านการเปลี่ยนแปลงตนเอง สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานเป็นฐานช่วยพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองของนิสิต
ระดับบัณฑิตศึกษาได้
1. ความหมาย
การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มีครูเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความ
สนใจที่เกิดจากตัวผเู้ รียนมาใช้ในการทำกจิ กรรมคน้ คว้าหาความรดู้ ้วยตวั ผเู้ รียนเอง นำไปสูก่ ารเพ่ิมความรู้ท่ีได้
จากการลงมือปฏบิ ัติ การฟงั และการสังเกตจากผูเ้ ชีย่ วชาญ โดยผูเ้ รียนมีการเรยี นรู้ผา่ นกระบวนการทำงานเป็น
กลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทำโครงงานและได้ผลการจัดกิจกรรมเป็น
ผลงานแบบรูปธรรม (ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557)
2. ลกั ษณะเดน่
การเรียนรแู้ บบโครงงานเปน็ อีกรูปแบบหน่ึงที่มผี ู้ใหค้ วามสนใจมากในปัจจุบัน McDonell (2007) ได้
กลา่ ววา่ การเรียนร้แู บบโครงงานเป็นรูปแบบหนึ่งของ Child- centered Approach ทเี่ ปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นได้
ทำงานตามระดบั ทักษะทตี่ นเองมีอยู่ เป็นเรอ่ื งท่ีสนใจและรู้สกึ สบายใจทีจ่ ะทำ ผู้เรียนได้รับสทิ ธใิ นการเลอื กว่า
จะต้งั คำถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทำงานชิ้นนี้ โดยครูทำหน้าท่ีเป็นผ้สู นบั สนนุ อปุ กรณ์และ
จัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน สนบั สนุนการแก้ไขปัญหา และสร้างแรงจงู ใจให้แก่ผเู้ รยี น โดยลักษณะของการ
เรยี นรแู้ บบโครงงาน มดี ังนี้
· ผู้เรยี นกำหนดการเรยี นรู้ของตนเอง
· เช่อื มโยงกับชีวิตจรงิ สงิ่ แวดลอ้ มจริง
· มีฐานจากการวิจัยหรอื องค์ความรู้ทเี่ คยมี
· ใช้แหลง่ ขอ้ มลู ท่หี ลากหลาย
· ฝังตรงึ ดว้ ยความร้แู ละทักษะบางอยา่ ง
· ใช้เวลามากพอในการสร้างผลงาน
· มีผลผลติ
6
3. แนวคดิ สำคญั
การเรียนรู้แบบโครงงานนั้น มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เรื่อง “learning by doing” ซึ่งได้
กลา่ วว่า “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John,
1897: 79 cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเป็นการเน้นการจัดการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนได้รับ
ประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพัฒนาการคิดของ
Bloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (understanding) การประยุกต์ใช้
(Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และการคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซึ่ง
การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานน้ัน จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ถือได้ว่า เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้เรยี นได้ลงมือปฏบิ ตั ิเพื่อฝกึ ทักษะต่าง ๆ ด้วยตนเองทกุ ขั้นตอน โดยมีครูเปน็ ผู้จัด
ประสบการณก์ ารเรยี นรู้
4. การเตรยี มตัวของครูกอ่ นการจดั การเรยี นรู้
ในการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง ครูจะต้องเป็นผู้ที่มีความพร้อมและมีความแม่นยำในเนื้อหาเพื่อให้การ
จัดการเรียนรู้เปน็ ไปอยา่ งราบรื่น และสามารถอำนวยความสะดวกใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้ขณะทำกิจกรรม
ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกลา่ ว มีแนวทางในการจัดการเรยี นรู้ 2 รูปแบบ คือ การจัดกิจกรรมตามความ
สนใจของผู้เรยี น และการจัดกจิ กรรมตามสาระการเรยี นรู้
1. การจดั กิจกรรมตามความสนใจของผู้เรียน เปน็ การจดั กจิ กรรมที่ใหผ้ ้เู รียนเลือกศึกษาโครงงานจาก
ส่ิงทสี่ นใจอยากรู้ มีอยู่ในชวี ิตประจำวนั สิ่งแวดล้อมในสังคม หรอื จากประสบการณ์ตา่ ง ๆ ท่ียงั ตอ้ งการคำตอบ
ข้อสรปุ ซึ่งอาจจะอยนู่ อกเหนอื จากสาระการเรยี นรูใ้ นบทเรยี นของหลักสูตร มีขนั้ ตอนดังน้ี
– ตรวจสอบ วิเคราะห์ พจิ ารณา รวบรวมความสนใจของผู้เรยี น
– กำหนดประเดน็ ปัญหา / หัวข้อเร่อื ง
– กำหนดวตั ถปุ ระสงค์
– ตงั้ สมมติฐาน
– กำหนดวธิ ีการศกึ ษาและแหล่งความรู้
– กำหนดเคา้ โครงของโครงงาน
– ตรวจสอบสมมตฐิ าน
– สรปุ ผลการศึกษาและการนำไปใช้
– เขยี นรายงานวิจัยแบบง่ายๆ
– จัดแสดงผลงาน
2. การจัดกิจกรรมตามสาระการเรียนรู้ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยยึดเน้ือหาสาระตามที่
หลักสตู รกำหนด ผเู้ รยี นเลือกทำโครงงานตามทส่ี าระการเรียนรู้ จากหน่วยเน้อื หาทเี่ รียนในช้ันเรียน นำมาเป็น
หัวขอ้ โครงงาน มีข้ันตอนท่ผี ้สู อนดำเนนิ การดังตอ่ ไปน้ี
7
– ศึกษาเอกสาร หลกั สตู ร คู่มือครู
– วิเคราะหห์ ลักสตู ร
– วเิ คราะห์คำอธบิ ายรายวิชา เพอ่ื แยกเนือ้ หา จุดประสงค์และจดั กจิ กรรมใหเ้ ด่นชัด
– จดั ทำกำหนดการสอน
– เขยี นแผนการจดั การเรียนรู้
– ผลติ สื่อ จัดหาแหลง่ เรยี นร้แู ละภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น
– จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยเรมิ่ ตงั้ แต่ แจง้ วัตถุประสงค์ กระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รยี น จัดกลุ่ม
ผูเ้ รียนตามความสนใจ การใชค้ ำถามกระตุน้ การมสี ่วนรว่ มของผเู้ รียน ซง่ึ จะกลา่ วถงึ รายละเอยี ดในหวั ข้อ
บทบาทของครูในฐานะผู้กระตุน้ การเรียนรู้
– จดั แหลง่ เรยี นรเู้ พม่ิ เติม
– บนั ทึกผลการจดั การเรยี นรู้
5. ขั้นตอนการจัดการเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานนั้น มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกันไปตามแต่ละ
ทฤษฎี ซึ่งในคู่มือการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานฉบับนี้ ขอนำเสนอ 3 แนวคิดที่ถูกพิจารณาแล้ว
เหมาะสมกับบริบทของเมืองไทย คือ 1. การจัดการเรียรู้แบบใช้โครงงาน ของสำนักงานเลขาธิการสภา
การศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) 2. ขั้นการจัดการเรียนรู้ตามโมเดลจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ
PBL ของ วจิ ารณ์ พาณิช (2555) และ 3. การจัดการเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ทไ่ี ด้จากโครงการสร้างชุด
ความรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสำเร็จของ
โรงเรียนไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) ดังนี้
แนวคิดท่ี 1 ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นร้แู บบโครงงาน ของสำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษาและ
กระทรวงศกึ ษาธิการ ซ่งึ ไดน้ ำเสนอขั้นตอนการจดั การเรยี นร้แู บบโครงงาน ไว้ 4 ข้นั ตอน ดังนี้
ภาพ 1 ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ
1. ข้นั นำเสนอ หมายถึง ข้นั ทผี่ ู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กำหนดสถานการณ์ ศึกษาสถานการณ์
เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งคำถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดในแผนการจัดการ
เรยี นรู้แต่ละแผน เชน่ สาระการเรียนร้ตู ามหลักสูตรและสาระการเรียนรู้ที่เป็นขั้นตอนของโครงงานเพื่อใช้เป็น
แนวทางในการวางแผนการเรยี นรู้
8
2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุป
ของกลุม่ เพอ่ื ใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ
3. ขั้นปฏิบัติ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการวางแผน
ร่วมกัน
4. ขั้นประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์การ
เรียนรู้ทกี่ ำหนดไวใ้ นแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้สอน ผูเ้ รียนและเพ่อื นร่วมกนั ประเมนิ
แนวคิดที่ 2 ขั้นการจัดการเรียนรู้ ตามโมเดลจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์ พาณิช
(2555) ซง่ึ แนวคดิ นี้ มคี วามเชื่อวา่ หากตอ้ งการให้การเรียนรู้มีพลงั และฝังในตวั ผู้เรียนได้ ตอ้ งเป็นการเรียนรู้ที่
เรยี นโดยการลงมอื ทำเปน็ โครงการ (Project) รว่ มมือกันทำเปน็ ทมี และทำกับปญั หาท่ีมีอยูใ่ นชวี ติ จรงิ ซึง่ สว่ น
ของวงล้อ แต่ละชิน้ ได้แก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation
ภาพ 2 โมเดล จักรยานแหง่ การเรยี นรแู้ บบ PBL
1. Define คือ ขั้นตอนการทำให้สมาชิกของทีมงาน ร่วมทั้งครูด้วยมีความชัดเจนร่วมกันว่า คำถาม
ปญั หา ประเด็น ความท้าทายของโครงการคอื อะไร และเพอ่ื ใหเ้ กิดการเรยี นรูอ้ ะไร
2. Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ ครูก็ต้องวางแผน กำหนดทางหนีทีไล่ในการทำ
หน้าทโี่ ค้ช รวมท้งั เตรียมเคร่อื งอำนวยความสะดวกในการทำโครงการของผเู้ รียน และที่สำคญั เตรยี มคำถามไว้
ถามทีมงานเพื่อกระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสำคัญบางประเด็นที่ผู้เรียนมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไป
ช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาสคิดเองแก้ปัญหาเอง ผู้เรียนที่เป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าท่ี
รับผิดชอบ การประชุมพบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปลี่ยนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคำถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ
ยิง่ ทำความเข้าใจร่วมกันไว้ชดั เจนเพยี งใด งานในขน้ั Do กจ็ ะสะดวกเล่ือนไหลดเี พยี งนั้น
3. Do คือ การลงมือทำ มักจะพบปัญหาที่ไม่คาดคิดเสมอ ผู้เรียนจึงจะได้เรียนรู้ทักษะในการ
แก้ปัญหา การประสานงาน การทำงานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทำงานภายใต้
ทรัพยากรจำกัด ทักษะในการค้นหาความรู้เพิ่มเติมทักษะในการทำงานในสภาพที่ทีมงานมีความแตกต่าง
9
หลากหลาย ทักษะการทำงานในสภาพกดดัน ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และ
แลกเปล่ยี นข้อวเิ คราะห์กับเพื่อนร่วมทมี เปน็ ต้น
ในขั้นตอน Do นี้ ครูเพื่อศิษย์จะได้มีโอกาสสังเกตทำความรู้จักและเข้าใจศิษย์เป็นรายคน และ
เรียนรหู้ รอื ฝกึ ทำหน้าท่เี ปน็ “วิทยากร” และโคช้ ด้วย
4. Review คือ การท่ที ีมผเู้ รียนจะทบทวนการเรยี นรู้ ที่ไม่ใชแ่ ค่ทบทวนว่า โครงการได้ผลตามความ
มงุ่ หมายหรือไม่ แตจ่ ะต้องเน้นทบทวนว่างานหรอื กิจกรรม หรอื พฤติกรรมแตล่ ะข้นั ตอนได้ใหบ้ ทเรียนอะไรบ้าง
เอาทงั้ ขั้นตอนท่เี ปน็ ความสำเร็จและความลม้ เหลวมาทำความเขา้ ใจ และกำหนดวธิ ีทำงานใหมท่ ่ีถูกต้อง
เหมาะสมรวมท้ังเอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ที่ภาคภมู ใิ จ ประทับใจ มาแลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ นั ขน้ั ตอน
น้ีเปน็ การเรียนรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือในภาษา KM เรยี กว่า AAR (After Action Review)
5. Presentation คือ การนำเสนอโครงการต่อช้นั เรยี น เป็นขัน้ ตอนที่ใหก้ ารเรยี นรู้ทักษะอีกชดุ หนง่ึ
ตอ่ เน่อื งกับข้ันตอน Review เป็นขั้นตอนทีท่ ำใหเ้ กิดการทบทวนขัน้ ตอนของงานและการเรียนร้ทู ี่เกิดขึ้นอยา่ ง
เข้มขน้ แลว้ เอามานำเสนอในรูปแบบท่ีเร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทีมงานของผูเ้ รยี นอาจสร้าง
นวตั กรรมในการนำเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเป็นการรายงานหน้าช้นั มี เพาเวอร์
พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรือจดั ทำวีดีทศั นน์ ำเสนอ หรือนำเสนอเปน็ ละคร เปน็ ต้น
· แนวคดิ ที่ 3 การจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ที่ปรับจากการศึกษาการจดั การเรยี นรู้แบบ PBL ท่ี
ได้จากโครงการสรา้ งชุดความรูเ้ พือ่ สรา้ งเสรมิ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของเดก็ และเยาวชน: จากประสบการณ์
ความสำเรจ็ ของโรงเรยี นไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) โดยมีทัง้ หมด 6 ขนั้ ตอน ดงั นี้
ภาพ 3 ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-23)
10
ในการจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานครั้งนี้ ได้นำแนวคิดท่ีปรบั ปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและ
คณะ (2557: 20-23) ซ่ึงเปน็ แนวทางการจดั การเรียนร้ทู ส่ี รา้ งขน้ึ มาจากการศกึ ษาโรงเรียนในประเทศไทย โดย
มีขน้ั ตอนดงั นี้
1. ข้นั ใหค้ วามรูพ้ ื้นฐาน ครูให้ความรูพ้ ืน้ ฐานเกี่ยวกับการทำโครงงานก่อนการเรยี นรู้ เน่ืองจากการ
ทำโครงงานมีรูปแบบและขั้นตอนทีช่ ัดเจนและรดั กลมุ่ ดังน้นั ผ้เู รียนจงึ มคี วามจำเปน็ อย่างย่ิงทีจ่ ะต้องมีความรู้
เกย่ี วกับโครงงานไวเ้ ป็นพืน้ ฐาน เพอื่ ใชใ้ นการปฏิบตั ขิ ณะทำงานโครงงานจริง ในขนั้ แสวงหาความรู้
2. ขั้นกระตนุ้ ความสนใจ ครูเตรียมกจิ กรรมที่จะกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รยี น โดยตอ้ งคิดหรอื
เตรยี มกิจกรรมที่ดึงดูดให้ผูเ้ รียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทำโครงงานหรือกิจกรรมร่วมกนั โดย
กิจกรรมนน้ั อาจเป็นกิจกรรมที่ครกู ำหนดขึน้ หรอื อาจเป็นกจิ กรรมที่ผเู้ รยี นมคี วามสนใจตอ้ งการจะทำอยแู่ ลว้
ทงั้ นี้ในการกระตุ้นของครจู ะต้องเปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นเสนอจากกจิ กรรมที่ไดเ้ รียนร้ผู า่ นการจดั การเรียนรู้ของครู
ที่เกีย่ วข้องกับชุมชนที่ผูเ้ รยี นอาศัยอยหู่ รอื เป็นเรื่องใกล้ตัวท่สี ามารถเรยี นรู้ได้ด้วยตนเอง
3. ขั้นจดั กล่มุ รว่ มมือ ครใู ห้ผูเ้ รียนแบง่ กลุ่มกนั แสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่มในการวางแผน
ดำเนินกจิ กรรม โดยผ้เู รียนเป็นผูร้ ่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรยี นของตนเอง โดยระดมความคิดและหารือ
แบง่ หน้าท่ีเพอื่ เปน็ แนวทางปฏิบัตริ ว่ มกัน หลังจากที่ไดท้ ราบหัวขอ้ สง่ิ ท่ตี นเองต้องเรยี นรู้ในภาคเรียนน้นั ๆ
เรยี บร้อยแลว้
4. ขน้ั แสวงหาความรู้ ในขน้ั แสวงหาความรมู้ ีแนวทางปฏบิ ัตสิ ำหรบั ผเู้ รียนในการทำกจิ กรรม ดงั นี้
ผเู้ รยี นลงมือปฏบิ ัติกจิ กรรมโครงงาน ตามหวั ข้อทีก่ ลุม่ สนใจ ผู้เรยี นปฏบิ ัติหนา้ ท่ขี องตนตามขอ้ ตกลงของกล่มุ
พรอ้ มทั้งรว่ มมือกนั ปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยขอคำปรกึ ษาจากครเู ป็นระยะเม่ือมขี ้อสงสัยหรือปญั หาเกิดขึน้ ผ้เู รียน
ร่วมกนั เขยี นรูปเลม่ สรุปรายงานจากโครงงานทีต่ นปฏบิ ตั ิ
5. ขน้ั สรุปสิ่งทเี่ รียนรู้ ครใู ห้ผู้เรยี นสรปุ ส่ิงที่เรียนรจู้ ากการทำกิจกรรม โดยครใู ช้คำถาม ถามผเู้ รยี น
นำไปสู่การสรปุ สิง่ ท่เี รียนรู้
6. ขน้ั นำเสนอผลงาน ครใู ห้ผูเ้ รียนนำเสนอผลการเรยี นรู้ โดยครอู อกแบบกจิ กรรมหรอื จัดเวลาให้
ผเู้ รียนไดเ้ สนอสง่ิ ท่ีตนเองได้เรยี นรู้ เพอื่ ให้เพอื่ นรว่ มช้ัน และผเู้ รยี นอื่น ๆ ในโรงเรียนได้ชมผลงานและเรยี นรู้
กจิ กรรมทผ่ี ู้เรียนปฏบิ ัตใิ นการทำโครงงาน
11
โครงสร้างกิจกรรมเสรมิ หลักสตู ร (Co-Curricular Activities Structure)
เรื่อง ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้ ระดบั ช้นั จำนวนชั่วโมง
พลงั งานความ วิทยาศาสตร์ 1. พลังงานความร้อน เปน็ พลังงานทส่ี ามารถ มัธยมศกึ ษา 1
เคลือ่ นที่จากที่หนึง่ ไปยงั อีกท่ีหนึ่ง ซ่งึ เกดิ จาก ตอนตน้
รอ้ น -ทดลองและ การสั่นหรือการเคลอื่ นไหวของโมเลกลุ ภายใน และตอน
วัตถุ ปลาย
-การพาความ อธิบายอุณหภมู ิ 2. อุณหภูมิ คือ ระดบั ความรอ้ นของสาร ซงึ่
รอ้ น และการวดั บอกให้รู้ว่าสสารนนั้ รอ้ นหรือเย็น วัดไดโ้ ดยใช้
-การนำความ อณุ หภูมิ เทอร์มอมิเตอร์สังเกตจากการขยายตัวของ
ร้อน ของเหลวเมื่อไดร้ บั ความร้อน
3. การถ่ายโอนความรอ้ นมี 3 วธิ ี คือ
-การแผ่รังสี - สงั เกตและ
3.1 การนำความรอ้ น เป็นการถ่ายโอน
อธิบายการถ่าย ความรอ้ นโดยการสน่ั สะเทือนของโมเลกลุ
ภายในวตั ถุ ซึ่งวัตถุไม่มกี ารเคลอื่ นที่ วตั ถทุ ่ีนำ
โอนความรอ้ น ความรอ้ นไดด้ เี รียกวา่ ตวั นำความรอ้ น เชน่
เงิน ทองแดง ทอง และเหล็ก สว่ นวตั ถุท่นี ำ
และนำความรู้ ความรอ้ นได้ไม่ดีเรยี กวา่ ฉนวนความร้อน เช่น
ไม้ พลาสติก แกว้ นำ้ และแก๊ส
ไปใชป้ ระโยชน์
3.2 การพาความร้อน เป็นการถา่ ยโอน
ความรอ้ นโดยตวั กลางหรือโมเลกุลของสาร
เคลื่อนท่ีไปดว้ ย ซ่ึงจะเกิดข้นึ ในของเหลวและ
แกส๊ เพราะสสารสามารถเคล่ือนทีไ่ ด้อย่าง
อิสระ
3.3 การแผ่รงั สคี วามรอ้ น เป็นการถ่าย
โอนความรอ้ นจากคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ โดยไม่
ต้องอาศัยตัวกลาง ซงึ่ ความร้อนจะถกู ปลอ่ ย
ออกมาทุกทิศทุกทาง
4. วัตถุแตล่ ะชนิดสามารถดูดกลืนความรอ้ น
และคายความรอ้ นจากรังสไี ด้แตกต่างกัน
ข้นึ อยกู่ ับลักษณะพื้นผิวและสีของวตั ถุ
12
เรือ่ ง ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้ ระดับชัน้ จำนวนชั่วโมง
5. สมดุลความร้อน คือ วตั ถุ 2 ชนิดท่ีมี
อณุ หภมู ิแตกตา่ งกนั จะมีการถ่ายโอนความ
ร้อนจากวัตถหุ น่ึงไปยังอีกวตั ถุหน่งึ จนกระท่ัง
วัตถทุ งั้ สองมอี ุณหภมู เิ ทา่ กนั ทำใหก้ ารถา่ ย
โอนความรอ้ นส้นิ สุดลง
6. วตั ถุจะขยายตัวเม่ือได้รบั ความร้อน และจะ
หดตัวเมื่อได้รบั ความเยน็ จากหลักการ
ดงั กล่าวสามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากมาย
เชน่ ตวั ควบคมุ อณุ หภูมหิ รือเทอรม์ อสแตต
การเวน้ ชอ่ งวา่ งไวเ้ ผ่ือการขยายตวั ของแผน่
คอนกรีตในการสรา้ งถนน การบรรจขุ องเหลว
ลงในขวดตอ้ งเวน้ ที่วา่ งไวเ้ ผ่ือการขยายตัวของ
ของเหลว
การหาพนื้ ท่ี คณติ ศาสตร์ รูปเรขาคณิตสามมิติทีม่ ีฐานทั้งสองเปน็ รูป มธั ยมศึกษา 1
และ ปริมาตร - ทดลอง เหล่ียมทเี่ ท่ากันทุกประการ ฐานทั้งสองอยู่ใน ตอนตน้
คำนวณหาพน้ื ท่ี ระนาบท่ี ขนานกนั และด้านข้างแต่ละด้านเปน็ และตอน
ของวัตถุท่ี รูปสี่เหลย่ี มดา้ นขนาน เรียกว่า ปรซิ มึ รูป ปลาย
กำหนด เรขาคณิตสามมิติที่มฐี านสองฐานเป็นรปู
-คำนวณหา วงกลมที่เทา่ กนั ทุกประการและอยบู่ นระนาบท่ี
พื้นที่ทีต่ ้องการ ขนานกนั และเม่ือตดั รูปเรขาคณิตสามมติ ิน้ัน
ได้ ดว้ ยระนาบที่ขนานกับฐานแล้วจะไดห้ น้าตดั
เปน็ วงกลมท่ีเทา่ กันทุกประการกับ ฐานเสมอ
เรยี กวา่ ทรงกระบอก รปู เรขาคณติ สามมิติที่มี
ฐานเป็นรปู เหล่ียมใด ๆ มียอดแหลมทไี่ มอ่ ยบู่ น
ระนาบเดียวกันกบั ฐาน และหนา้ ทกุ หน้าเป็น
รปู สามเหล่ียมทีม่ ีจุดยอดรว่ มกันทีย่ อดแหลม
เรยี กว่า พรี ะมิด รูปเรขาคณติ สามมติ ิทม่ี ฐี าน
เปน็ รูปวงกลม มยี อดแหลมที่ไม่อยบู่ นระนาบ
เดียวกันกับฐาน และเส้นที่ ต่อระหว่างจดุ ยอด
กับจุดใด ๆ บนขอบของฐานเปน็ สว่ นของ
13
เรอื่ ง ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้ ระดบั ชัน้ จำนวนชัว่ โมง
เส้นตรง เรียกวา่ กรวย รูปเรขาคณิตสามมิติท่ี
มผี วิ โค้งเรียบ และจุดทกุ จุดบนผวิ โคง้ อยหู่ า่ ง
จากจดุ คงท่ีจดุ หนึ่งเปน็ ระยะ เท่ากัน เรียกวา่
ทรงกลม
การออกแบบ ออกแบบและ -การออกแบบรปู ทรงตู้อบพลงั งาน มธั ยมศึกษา 2
ต้อู บพลงั งาน ตอนตน้
แสงอาทติ ย์ เทคโนโลยี แสงอาทติ ย์ มีสองสว่ น คือ สว่ นของตู้อบ กบั และตอน
แบบรวมแสง ปลาย
- สร้างสง่ิ ของ สว่ นของแผงรับพลังงาน
เครอ่ื งใช้อยา่ งมี โดยคำนวณใหป้ ริมาตรสอดคล้องกับปรมิ าณ
ความคิด ความรอ้ นโดย มีอณุ หภมู ภิ ายในตูอ้ บ เทา่ กบั
สร้างสรรคต์ าม 80 องศาเซลเซียส Q = msΔt
กระบวนการ -การทำมมุ ระนาบของพื้นผิว
เทคโนโลยีโดย -การสบื คน้ ข้อมลู จากอินเทอร์เน็ต
ถา่ ยทอด -การใช้อปุ กรณเ์ ทคโนโลยี แอพพลิเคช่นั
ความคดิ เปน็ ตรวจวัดคา่ ทางวิศวกรรม
ภาพร่าง 2 มิติ
ด้วยรปู
เรขาคณติ และ
รูปรา่ งธรรมชาติ
ท่บี อกขนาด
ชัดเจน
การสร้างตอู้ บ ออกแบบและ การสรา้ งสง่ิ ของเคร่ืองใช้ตาม มธั ยมศึกษา 3
พลงั งาน เทคโนโลยี กระบวนการเทคโนโลยปี ระกอบด้วย (1) ตอนตน้
แสงอาทติ ย์ - สรา้ งส่ิงของ กำหนดปัญหาหรือความต้องการ (2) รวบรวม และตอน
เครอ่ื งใช้อยา่ งมี ขอ้ มูล (3) เลือกวิธีการ (4) ออกแบบและ ปลาย
ความคิด ปฏิบัติการโดยถ่ายทอดความคิดเปน็ ภาพร่าง 2
สรา้ งสรรค์ตาม มติ ดิ ้วยรปู เรขาคณิตและรูปร่างธรรมชาติ (5)
กระบวนการ ทดสอบ (6) ปรบั ปรงุ แก้ไข (7) ประเมนิ ผล
เทคโนโลยี การสร้างสิ่งของเครื่องใช้ควรมกี ารฝกึ
ความคิดสรา้ งสรรค์ 4 ลักษณะ คอื ความคดิ
14
เร่อื ง ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้ ระดับชนั้ จำนวนชัว่ โมง
ริเร่ิม ความคิดคล่อง ความคิดยดื หยุ่นความคิด
ละเอียดลออ
การสรา้ งสงิ่ ของเครื่องใช้ตอ้ งใชท้ รัพยากร
ทางเทคโนโลยี คือคน ข้อมูลและสารสนเทศ
วสั ดุ เครื่องมือและอปุ กรณ์ พลังงานทุนหรอื
ทรพั ยส์ ิน และเวลา พร้อมท้ังคำนงึ ถึงปัจจยั ท่ี
ขดั ขวางต่อเทคโนโลยี เชน่ ทรัพยากรทาง
เทคโนโลยีท่ีมอี ยู่อยา่ ง จำกัด สงิ่ แวดลอ้ ม
รูปแบบการดำเนนิ ชีวติ ค่านิยม ความเชอื่
ศาสนาและวฒั นธรรม
ทดสอบตู้อบ วทิ ยาศาสตร์ เลอื กพชื หรือผลไม้ที่เป็นจุดเด่นในท้องถ่นิ มธั ยมศกึ ษา 4
พลงั งาน
แสงอาทิตย์ - สังเกตและ ที่สามารถนำมาแปรรูปหรอื ถนอมอาหารได้ ตอนต้น
อธิบายการ และตอน
เปลยี่ นแปลง ปลาย
ของสารเม่ือเกิด
การทดสอบ
-เลอื กพืชหรอื
ผลไม้ท่ีสามารถ
นำมาทำการ
ทดลองอยา่ ง
สรา้ งสรรค์
สรปุ ผล - สรุปผลท่ีไดจ้ ากการทำกิจกรรม มธั ยมศกึ ษา 1
กิจกรรม รายงานผลการทดลอง ตอนต้น
สะท้อนคิดท่ีไดจ้ ากการเรียนรแู้ ละสิ่งท่ี และตอน
ค้นพบจากกิจกรรม ปลาย
15
โครงสรา้ งการวดั และการประเมินผล (Assessment and Evaluation)
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ควบคู่กันกับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป็น
กระบวนการท่ีจะได้ข้อมลู สารสนเทศที่แสดงถึงพฒั นาการความก้าวหน้าและความสำเร็จของผู้เรียน รวมท้ังได้
ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้ตามศักยภาพ การประเมินผลเป็น
กลไกหน่ึงในการประกนั คณุ ภาพการศึกษาทงั้ ภายในและภายนอก
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้ระบุถึงวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ไว้ว่า ให้
สถานศึกษาจัดการประเมินผลผู้เรียน โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสั งเกต
พฤตกิ รรมการเรียนการร่วมกจิ กรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรยี นการสอนตามความเหมาะสม
ของแตล่ ะระดับและรูปแบบการศกึ ษา
จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับดังกล่าวทำให้เห็นแนวทางการวัดผลและประเมินผลตาม
หลักสตู รการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ดงั นี้
1. การวัดผลและประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปอย่าง
สอดคล้องและต่อเนื่อง
2. ในการจัดการเรียนรู้มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ความคิด ทักษะ กระบวนการและเจตคติ การ
ประเมินพัฒนาการของผู้เรียนจงึ ตอ้ งประเมนิ ให้ครอบคลุมทุกด้าน
3. เพื่อให้การประเมินครอบคลุมทุกด้านและได้ข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินพัฒนาการความก้าวหน้า
และความสำเร็จของผู้เรียน จะต้องใช้กระบวนการและวิธีการประเมินผลหลากหลายวิธีและต่อเนื่องทั้งการ
สงั เกต พฤติกรรมการเรยี นและการเข้ารว่ มกจิ กรรม
การวัดผลและประเมินผลตามแนวทางสะเต็มศึกษานั้นเน้นการวัดและประเมินผลในสภาพจริงและที่
ผู้เรียน แสดงออกขณะทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงความรู้ ความคิด เจตคติ และ
ความสามารถที่แท้จริง ของผู้เรียนนอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลยังเป็นประโยชน์ต่อตัว
ผู้เรียนและตัวผู้สอนที่จะได้ รับทราบพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ และความสำเร็จของผู้เรียนว่าอยู่
ในระดับใด มีจุดเด่นใดที่ควรจะส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพ และมีจุดอ่อนใดที่ควรจะได้รับการ
แก้ไข รวมทั้งผู้สอนจะได้ข้อมูลที่เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ให้มี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและยังเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครองที่จะได้ใช้ข้อมูลจากการวัดและ
ประเมินผลส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ตามความถนัด และความสนใจของแต่ละ
บุคคล ซ่งึ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลมี ดงั นี้
1. การประเมนิ จากสภาพจริง
การประเมินจากสภาพจริง (authentic assessment) คือ การประเมินความสามารถที่แท้จริงของ
ผเู้ รียนจากการแสดงออก การกระทำหรือผลงานเพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง ในขณะทผี่ ู้เรียนแสดงออกในการ
ปฏิบัติกิจกรรม หรือสร้างชิ้นงาน ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการคิดระดับสูง กระบวนการทำงาน
16
และความสามารถในการ แก้ปัญหาหรือการแสวงหาความรู้ การประเมินจากสภาพจริงจะมีประสิทธิภาพก็
ตอ่ เมอ่ื มกี ารประเมนิ หลายๆ ด้าน โดยใช้วิธปี ระเมินหลากหลายวิธีในสถานการณต์ า่ งๆ ทีส่ อดคล้องกบั ชวี ติ จริง
และต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากพอที่จะสะท้อนถึงการพัฒนาและความสามารถที่แท้จรงิ
ของผ้เู รยี นได้
ลกั ษณะสำคญั ของการประเมินจากสภาพจริง
1. การประเมินตอ้ งผสมผสานไปกับการเรียนการสอนและต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีประเมิน
หลายๆ วธิ ีทค่ี รอบคลุมพฤตกิ รรมหลายๆ ดา้ นในสถานการณ์ที่แตกตา่ งกัน
2. สามารถประเมินกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ความสามารถในการปฏิบัติงาน ศักยภาพของผู้เรียน ใน
แง่ของ ผผู้ ลติ และกระบวนการทไี่ ดผ้ ลผลติ มากกวา่ ที่จะประเมินว่าผู้เรียนสามารถจดจำความรู้อะไรไดบ้ ้าง
3. เป็นการประเมินที่มุ่งเน้นศักยภาพโดยรวมของผู้เรียนทั้งด้านความรู้พื้นฐาน ความคิดระดับสูง
ความสามารถในการแก้ปัญหา การส่อื สาร เจตคติ ลักษณะนิสยั ทกั ษะในด้านต่าง ๆ และความสามารถในการ
ทำงานรว่ มกับผอู้ นื่
4. เป็นการประเมินที่ให้ความสำคัญต่อพัฒนาการของผู้เรียน ข้อมูลที่ได้จากการประเมินหลายๆ ด้าน
และหลากหลายวิธสี ามารถนำมาใช้ในการวนิ จิ ฉยั จุดเดน่ ของผ้เู รียนที่ควรจะให้การส่งเสริม และวนิ ิจฉัยจุดด้อย
ทีจ่ ะตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลือหรอื แก้ไขเพื่อใหผ้ เู้ รียนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพตามความสนใจและความสามารถ
ของแตล่ ะบคุ คล
5. ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการเรียนการสอนและการวางแผนการสอน
ของผู้สอนว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนหรือไม่ ผู้สอนสามารถนำข้อมูลจากการประเมินมา
ปรบั กระบวนการนำเสนอเนอื้ หา กิจกรรมและตัวแปรอืน่ ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งใหเ้ หมาะสมในการเรยี นการสอนตอ่ ไป
6. เป็นการประเมินที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมเพื่อส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง เชื่อมั่นในตนเองและสามารถ
พฒั นา ตนเองได้
7. เป็นการประเมินที่ทำให้การเรียนการสอนมีความหมาย และเพิ่มความเชื่อมั่นได้ว่าผู้เรียนสามารถ
ถ่ายโอนการเรยี นรู้ไปสู่การดำรงชีวติ ในสังคมได้
วิธีการและแหล่งข้อมลู ทใี่ ช้
เพื่อให้การวัดและประเมินผลได้สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ผลการประเมินอาจจะได้มา
จาก แหล่งขอ้ มูลและวิธกี ารต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
1. สงั เกตการแสดงออกเปน็ รายบคุ คลหรือรายกลุ่ม
2. ชน้ิ งาน ผลงาน รายงาน
3. การสมั ภาษณ์
4. บนั ทึกของผู้เรียน
5. การประชมุ ปรึกษาหารอื ร่วมกันระหว่างผูเ้ รยี นและครู
6. การวดั และประเมินผลภาคปฏบิ ตั ิ (practical assessment)
7. การวดั และประเมินผลด้านความสามารถ (performance assessment)
17
8. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรโู้ ดยใช้ แฟ้มผลงาน (portfolio assessment)
9. การทดสอบ
2. การวัดและการประเมินผลดา้ นความสามารถ (performance assessment)
1. ความสามารถของผู้เรียนประเมินได้จากการแสดงออกโดยตรงจากการทำงานต่างๆ จาก
สถานการณ์ที่กำหนดให้ ซึ่งเป็นของจริงหรือใกล้เคียงกับสภาพจริง และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาจาก
สถานการณ์จริง หรือ ปฏิบัติงานได้จริง โดยประเมินจากกระบวนการทำงาน กระบวนการคิด โดยเฉพาะ
ความคิดขนั้ สงู และผลงานท่ีได้
2. การประเมินผลด้านความสามารถ ประเมินได้ทั้งการแสดงออก กระบวนการทำงานและผลผลิต
ของงาน จะให้ความสำคญั ตอ่ กระบวนการทำงาน กระบวนการคดิ คุณภาพของงานมากกว่าผลสำเรจ็ ของงาน
3. ลักษณะสำคัญของการประเมินความสามารถ คือ กำหนดวัตถุประสงค์ของงาน วิธีการทำงาน
ผลสำเร็จ ของงาน มีคำสั่งควบคุมสถานการณ์ในการปฏิบัติงาน และมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน การ
ประเมินความสามารถ ที่แสดงออกของผู้เรียนทำได้หลายแนวทางต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
สถานการณ์ และความสนใจของผเู้ รียน ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี
1) การมอบหมายงานให้ทำงานที่มอบให้ทำต้องมีความหมาย มีความสำคัญ มีความสัมพันธ์ กับ
หลักสูตร เนื้อหาวิชา และชีวิตจริงของผู้เรียน ผู้เรียนต้องใช้ความรู้หลายด้านในการปฏิบัติงานที่สามารถ
สะท้อน ให้เหน็ ถึงกระบวนการทำงาน และการใชค้ วามคิดอยา่ งลกึ ซงึ้
2) การกำหนดชิ้นงาน หรืออุปกรณ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ให้ผู้เรียนวิเคราะห์องค์ประกอบและ
กระบวนการทำงาน และเสนอแนวทางเพื่อพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น การมอบหมายชิ้นงานให้ผู้เรียนควร
จะประชมุ ปรึกษาหารือและทำความตกลงรว่ มกนั ระหว่างผูส้ อน และผเู้ รียนในการวางแผนการปฏิบัติงาน เพ่ือ
สะดวกในการดำเนนิ กจิ กรรมของผ้เู รยี น และการติดตามความก้าวหนา้ ของผู้สอน
3) การกำหนดตัวอย่างงานให้และให้ผู้เรียนศึกษางานแล้วปฏิบัติตามขั้นตอน ให้เหมือนหรือ
ดีกวา่
4) การสร้างสถานการณ์จำลองที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน เมื่อกำหนดสถานการณ์แล้วให้
ผูเ้ รยี น ลงมือปฏบิ ัติ แกป้ ัญหาหรอื ใชค้ วามคิดระดบั สูงในการแก้ปญั หา
5) การทดสอบโดยใช้แบบทดสอบข้อเขียน การประเมนิ ตามสภาพจรงิ จะลดความสำคัญของการ
ทดสอบเนื่องจากจะมีการใช้แบบทดสอบลดลง แต่อย่างไรก็ตามข้อสอบข้อเขียนก็ยังมีความจำเป็น เนื่องจาก
ใช้วัดความสามารถทางด้านความรู้ความเข้าใจในหลักการต่าง ๆ ได้ ดังนั้นในกระบวนการประเมินจึงยังคงใช้
แบบทดสอบข้อเขียนร่วมด้วย โดยจะลดบทบาทของแบบทดสอบที่วัดพฤติกรรม ด้านความรู้ ความจำ แต่จะ
มุ่งเน้นประเมิน ด้านความเข้าใจ การนำไปใช้ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการคิด
ระดับสูง แบบทดสอบในลักษณะน้ีจะต้องสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนตอบและสถานการณ์ที่นำมาใช้ควร
สัมพันธ์กับชวี ติ จรงิ ของผูเ้ รียน
18
บทบาทของผู้เกย่ี วขอ้ งในการนำหลกั สูตรไปใช้ (Key Players)
สำหรับการที่จะพิจารณาถึงบทบาทบุคคลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้รหลักสูตรสะเต็มศึกษาว่า
ควรจะมบี ทบาทในการนำหลกั สูตรไปไปใช้โดยตอ้ งมีลกั ษณะดังต่อไปน้ี
1. ช่วยพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร และดำเนินการเรียนการสอนตาม
เจตนารมณ์ของหลักสตู ร
2. ทำการนิเทศกแ์ ละติดตามผลการใช้หลักสูตรในหนว่ ยงานท่ใี ช้หลักสูตร
3. ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการใช้หลักสูตรโดยการให้บริการวัสดุหลักสูตร และให้
กำลังใจแก่ผูน้ ำหลักสตู รไปใช้
1. ผบู้ ริหารโรงเรียน มีบทบาทในการสง่ เสรมิ และสนบั สนุนการใชห้ ลกั สูตรดังน้ี
1. ทำความเข้าใจเกีย่ วกับหลักสตู รสะเต็มศึกษาทีโ่ รงเรยี นใชอ้ ยู่อย่างชัดเจน
2. ให้บรกิ ารวัสดุ และสอ่ื การเรยี นการสอนชนิดต่าง ๆ แก่ครู
3. ดำเนินการนเิ ทศ และติดตามผลการใชห้ ลกั สตู ร STEM อยา่ งสมำ่ เสมอ
4. กระตุ้นและส่งเสริมครูในการใช้หลักสูตร STEM อย่างถูกต้อง เช่น การจัดอบรบ หรือจัด
ประชุม สัมมนา เปน็ ตน้
5. ให้กำลังใจและบำรงุ ขวญั แกค่ รผู ูใ้ ช้หลักสูตรอยา่ งมีประสทิ ธิภาพเพ่ือเป็นแบบอย่างแก่ครูคนอน่ื ๆ
2. หัวหนา้ หมวดวชิ าหรอื หวั หน้าสาขาวิชา ควรจะดำเนนิ การส่งเสริมการใชห้ ลักสูตรดงั ตอ่ ไปนี้
1. ศึกษารายระเอียดและทำความเข้าใจเกีย่ วกับหลกั สูตรทีต่ นเองรับผิดชอบอย่างชดั แจง้
2. ช่วยวางแผนและจดั ทำแผนการเรยี นการสอนท่ีสอดคล้องกับหลักสตู รทีต่ นเองรับผดิ ชอบ
3. จดั หาวัสดุหลักสูตร และสอ่ื การเรียนการสอนและให้บรกิ ารแก่ครคู นอื่นทีอ่ ยูภ่ ายในสายเดียวกนั
4. ดำเนินการนเิ ทศและตดิ ตามผลการใช้หลักสูตรทีอ่ ยใู่ นความรับผิดชอบของตนเองสม่ำเสมอ
5. ประสานงานการใชห้ ลักสูตรกับหมวดวิชาอื่น หรือสายวิชาอื่นเพื่อให้การใช้หลักสตู รภายในโรงเรียน
เป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ
3. ครูผู้สอน ในฐานะเป็นผู้ใช้หลักสูตรสะเต็มศึกษาโดยตรงมีสว่ นที่จะช่วยสนับสนุนให้การใช้หลักสตู รภายใน
โรงเรยี นมปี ระสิทธิภาพดังน้ี
1. ศึกษาหลกั สตู รเพือ่ สรา้ งความเขา้ ใจเกย่ี วกับหลกั สูตรทต่ี นเองใชอ้ ยู่อยา่ งกระจา่ งชัด
2. ปรบั ปรงุ หลกั สูตรสะเตม็ ศกึ ษาใหม้ ีความเหมาะสมกับสภาพและความตอ้ งการของพืน้ ท่ี
3. สอนใหถ้ ูกตอ้ งกับเจตนารมณข์ องหลักสตู รทีใ่ ช้
4. พยายามคดิ ค้นหาวธิ กี ารท่เี หมาะสมหรอื วิธกี ารที่มปี ระสทิ ธิภาพและนำมาใช้
19
5. บุคลากรอื่น ๆ ภายในโรงเรียน นักเทคโนโลยีทางการศึกษา นักวัดผลและนักแนะแนว ฯลฯ ต่างก็มี
บทบาทในการสนับสนุนและสง่ เสริมการใช้หลักสูตรโดยกระทำดงั นี้
5.1 ปฏบิ ตั ิงานในหนา้ ทีท่ ีต่ นเองรบั ผดิ ชอบอยา่ งเตม็ ที่
5.2 ให้ความช่วยเหลือหรือบริการแก่ครูผู้ใช้หลักสูตรอย่างเต็มที่ ถ้าหากบุคลากรทุกผ่ายที่กล่าวมา
ทั้งหมดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ ก็พอคาดการณ์ได้ว่าใช้หลักสูตรจะเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ และมีปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุดอันจะช่วยให้การนำหลักสูตรไปใช้ประสบความสำเร็จตาม
จุดมงุ่ หมายที่วางไว้ได้มากที่สุด
20
ทรัพยากรและวสั ดุหลกั สตู รทีจ่ ำเป็น (Resource of curriculum)
1. กระดาษฟรอยด์
2. กระจกใส
3. ตะแกรง
4. ขวดน้ำขนาด 6 ลติ ร
5. ปนื กาว
6. เทปกาว / เทปผ้า
21
การบริหารจดั การนำหลักสตู รไปใช้ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพและบรรลุเป้าหมายของหลกั สตู ร
การนำหลกั สูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นเป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาหลักสูตร ที่มีส่วน
เกยี่ วข้องกับบุคคลหลายฝา่ ย ท้งั ในด้านการบริหารหลักสูตร การนเิ ทศ และติดตามผลการใช้หลักสูตร เป็นต้น
การนำหลักสตู รไปใชจ้ งึ จำเป็นต้องดำเนนิ การตามข้นั นตอน นับแตข่ นั้ การวางแผน การประชาสมั พันธห์ ลกั สตู ร
การเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีระบบ นับตั้งแต่การจัดครูเข้าสอนตาม
หลกั สูตร การบริการวสั ดหุ ลกั สตู รและสิ่งอำนวยความสะดวกในการนำหลักสตู รไปใช้ และดำเนนิ การเรียนการ
สอนตามหลักสูตร ส่วนขั้นสุดท้ายต้องติดตามประเมินผลการนำหลักสูตรไปใช้ ประกอบไปด้วย การนิเทศ
ติดตามผลการใช้หลักสูตร การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร จะเห็นได้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้ถือ
เปน็ กระบวนการทส่ี ำคญั ท่จี ะทำใหห้ ลักสูตรทีส่ รา้ งขน้ึ บรรลุผลตามจุดหมาย และเปน็ กระบวนการที่ต้องได้รับ
ความรว่ มมือจากบคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งหลาย ๆ ฝา่ ย และท่สี ำคญั ที่สุดคือครูผสู้ อน
แนวคิดเกี่ยวกับการนำหลกั สูตรไปใช้
โบแชมป์ (Beauchamp, 1975: 169) กล่าวว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน
ครูผู้นำหลกั สูตรไปใช้มหี น้าที่แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน โดยใชห้ ลักสูตรเปน็ หลักในการพัฒนากลวิธีการสอน
ส่งิ ท่ีควรคำนึงถงึ ในการนำหลกั สูตรไปใชใ้ ห้ได้ผลตามเป้าหมาย
1. ครูผ้สู อนควรมีส่วนร่วมในการร่างหลกั สตู ร
2. ผู้บริหารต้องเห็นความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดผลสำเร็จได้ ผู้นำที่สำคัญที่จะ
รบั ผิดชอบได้ดี คือครใู หญ่
หลักการสำคญั ในการนำหลกั สูตรไปใช้
1. มกี ารวางแผนและเตรียมการ
2. มอี งค์คณะบคุ คลทงั้ สว่ นกลางและสว่ นทอ้ งถิ่นทำหน้าท่ีประสานงานกนั
3. ดำเนนิ การอยา่ งเป็นระบบ
4. คำนึงถงึ ปัจจัยท่จี ะชว่ ยในการนำหลกั สูตรไปใช้
5. ครูเปน็ บคุ คลท่สี ำคญั ทส่ี ดุ ดงั น้นั ครจู ะต้องไดร้ บั การพัฒนาอยา่ งเต็มท่ีและจริงจงั
6. จดั ต้ังให้มีหน่วยงานทีม่ ีผ้เู ชี่ยวชาญพิเศษ เพ่ือใหก้ ารสนับสนุนและพัฒนาครู
7. หนว่ ยงานและบุคคลในฝา่ ยตา่ ง ๆ ต้องปฏิบัติหน้าทีอ่ ยา่ งเตม็ ความสามารถ
8. มกี ารติดตามและประเมินผลเป็นระยะ ๆ
22
กิจกรรม/งานทเ่ี กี่ยวข้องกับการนำหลักสตู รไปใช้
สงัด อุทรานันท์ (2532) กล่าวว่า การนำหลกั สูตรไปใชม้ งี านหลกั 3 ประการ คอื
1. งานบริหารและบริการหลักสูตร ประกอบด้วย งานเตรียมบุคลากรผู้ใช้หลักสูตร การจัดครูเข้า
สอนตามหลักสูตร การบรหิ ารและบรกิ ารวสั ดุหลักสตู ร และการบรกิ ารหลักสตู รภายในโรงเรยี น
2. งานดำเนนิ การเรียนการสอนตามหลักสูตร ประกอบด้วย การปรับปรุงหลักสตู รให้เหมาะสมกับ
สภาพท้องถนิ่ การบรหิ ารงานวชิ าการ ซง่ึ เก่ยี วข้องกบั การจัดช้ันเรยี นและการจดั ครเู ข้าสอน การจัดทำแผนการ
จัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรยี นการสอน
3. งานสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย การนิเทศและติดตามผลการใช้
หลกั สตู รและการตง้ั ศูนย์บริการเพ่ือสนบั สนุนและสง่ เสรมิ การใช้หลกั สูตร
ข้ันตอนการนำหลกั สูตรไปใช้
1. ขน้ั การเตรยี มการใชห้ ลกั สตู ร มีข้ันตอนดังน้ี
1. การตรวจสอบลักษณะหลักสูตร จุดประสงค์ของการตรวจสอบหรือทบทวนหลักสูตรเพื่อต้องการ
ทราบวา่ หลกั สตู รท่ีพัฒนาเสร็จแล้วนน้ั มปี ระสิทธภิ าพมากน้อยเพียงใด เพ่อื ศกึ ษาหาวิธีการท่ีจะนำหลักสูตรไป
ใช้ปฏิบัติได้จริงตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร รวมทั้งศึกษาองค์ประกอบและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้
หลักสตู รและบรบิ ททางสงั คมอ่ืน ๆ ที่เขา้ มามีส่วนเก่ยี วข้องกับการใช้หลกั สูตร
2. การวางแผนและทำโครงการศึกษานำร่อง เป็นสิ่งทจี่ ำเปน็ จะตรวจสอบคณุ ภาพความเป็นไปได้ของ
หลักสูตรก่อนที่จะนำไปใช้จริง วิธีการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติประการแรกคือเลือกตัวแทนของ
กลุ่มเป้าหมายก่อนที่จะทำการใช้หลักสูตร จากนั้นแปลงหลักสูตรสู่กระบวนการเรียนการสอน พัฒนาวัสดุ
หลักสูตรเตรียมบุคลากร ให้มีความพร้อมในการใช้หลักสูตร จัดหาแหล่งบริการสนับสนุนการใช้หลักสูตร
งบประมาณ จัดสิ่งแวดล้อมท่ีจะสนบั สนุนการสอน
3. การประเมินโครงการศึกษานำรอ่ งอาจจะกระทำไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ การประเมินผลการเรยี นจาก
ผู้เรียนโดยการประเมินแบบย่อยและการประเมินรวบยอด การประเมินหลักสูตรหรือประเมินทั้งระบบการใช้
หลกั สตู ร และปรบั แก้จากขอ้ ค้นพบ โดยประชุมสัมมนากบั ผู้เช่ียวชาญและผทู้ ่เี ก่ยี วขอ้ งกับการใชห้ ลักสูตร เพื่อ
นำความคิดเหน็ บางสว่ นมาปรับปรงุ หลกั สตู รให้สมบูรณ์ย่ิงขึน้
4. การประชาสัมพันธ์หลักสูตร การประชาสัมพันธ์ไม่ใช่ว่าจะมาเริ่มตอนจัดทำหลักสูตรต้นแบบเสร็จ
แลว้ แตค่ วรเริ่มตน้ ตงั้ แตม่ ีแผนการทจี่ ะเปลี่ยนแปลงปรบั ปรงุ หลักสูตร โดยให้ผูท้ ีเ่ กย่ี วขอ้ งไดท้ ราบเป็นระยะ ๆ
ว่า ได้มีการดำเนินการไปแล้วแค่ไหนเพียงใด ซึ่งการประชาสัมพันธ์อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การออก
เอกสารสิง่ พิมพ์ การใชส้ ือ่ สารมวลชน
5. การเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การอบรมครู ผู้บริหารและผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรต้อง
คำนึงถึงและต้องกระทำอยา่ งรอบคอบ นับแต่ขั้นเตรยี มการสำรวจขอ้ มูลเบอื้ งต้นทนี่ ำมาใชใ้ นการวางแผน และ
วิธีการฝึกอบรมบุคลากร เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการใช้หลักสูตรซึ่งจะมีความแตกต่างของความพร้อมของ
การใชห้ ลักสตู ร
23
2. ขั้นดำเนนิ การใช้หลักสูตร
1. การบริหารและบรกิ ารหลักสูตร หนว่ ยงานบรกิ ารหลักสตู รส่วนกลางของคณะพัฒนาหลักสตู รจะมี
หน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมบุคลากรเพื่อใช้หลักสูตรและการบริหารและบริการวัสดุ
หลักสูตร สว่ นงานบรหิ ารและบรกิ ารหลักสตู รในระดับท้องถน่ิ โรงเรียนกจ็ ะจัดบุคลากรเข้าสอนตามความถนัด
และความเหมาะสม ไดแ้ ก่
การจดั ครเู ขา้ สอนตามหลักสูตร หมายถงึ การจดั และดำเนินการเกีย่ วกบั การสรรหาและกลวิธีการใช้
บุคลากรอย่างเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและประสบการณ์ รวมทั้งสามารถ
พัฒนาบุคลากรเพื่อให้มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ และมีความรับผิดชอบต่อการงานอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
บริการพัสดุหลักสูตร วัสดุหลักสูตรที่กล่าวถึงนี้ได้แก่ เอกสารหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนทุก
ชนิดที่จดั ทำข้ึนเพอ่ื ให้ความสะดวก และชว่ ยเหลือครใู ห้สามารถใช้หลักสูตร ได้อย่างถกู ตอ้ ง
การบริหารหลักสูตรภายในโรงเรียน ได้แก่ การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ใช้หลักสูตร
เช่น การบริหารหอ้ งสอนวิชาเฉพาะบริการเกี่ยวกับห้องสมุด สอื่ การเรยี นการสอน บริการเกยี่ วกับเครื่องมือใน
การวดั ผลและประเมนิ ผลและการแนะแนว เป็นตน้
2. การดำเนนิ การเรยี นการสอนตามหลกั สูตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ
1. การปรับปรุงหลักสตู รให้สอดคล้องกับสภาพของท้องถิน่ เนื่องจากหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเพื่อใช้กับ
ประชากรโดยส่วนรวมในพื้นที่กว้างขวางทั่วประเทศน้ัน มักจะไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ
ของท้องถิ่น ดังนั้น เพื่อให้หลักสูตรมีความสอดคล้องกับสภาพของสังคมในท้องถิ่น และสามารถสนองความ
ต้องการของผู้เรียน ควรจะได้มีการปรับหลักสูตรกลางให้มีความเหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นที่ใช้หลักสูตร
น้นั ๆ
2. การจัดทำแผนการสอนเป็นการขยายรายละเอยี ดของหลกั สูตรให้ไปสู่ภาคปฏบิ ัตโิ ดยการกำหนด
กิจกรรมและเวลาไวอ้ ย่างชัดเจน สามารถนำไปปฏบิ ัติได้แผนการสอนควรจะแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. แผนการสอนระยะยาว จดั ทำเป็นรายภาคหรอื รายปี
2. แผนการสอนระยะสน้ั นำแผนการสอนระยะยาวมาขยายเปน็ รายละเอยี ดสำหรบั การสอนใน
แต่ละครั้ง
3. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละครั้งจำเป็นจะต้อง
เริ่มจากการพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจจะ
ทำได้หลายๆชนิด ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปอย่างมากในเรื่องการใช้เวลา การใช้แรงงาน การใช้ทรัพยากร
ตลอดจนการใช้งบประมาณ โดยเหตุนี้ครูผู้สอนในฐานะเป็นผู้จัดกิจกรรมให้กับผู้เรียนควรพิจารณาคัดเลือก
กิจกรรมที่เห็นว่าจะก่อให้เกิดความรู้ หรือประสบการณ์และสามารถทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ง่ายที่สุด เร็ว
ที่สุด ประหยัดเวลาท่ีสุด
24
4. การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน ในการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มี
ขั้นตอนหนึ่งที่จะขาดเสียมไิ ด้ คือ การวัดและประเมินผล เพราะการวัดและประเมินผลจะได้ข้อมูลยอ้ นกลับท่ี
สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการเรียนรู้ว่าบรรลุตามจุดประสงค์ของการสอนและความมุ่ง
หมายของหลักสตู รหรือไม่
3. การสนับสนนุ และส่งเสริมการใชห้ ลักสตู ร ประกอบไปด้วย การจดั งบประมาณ การใช้อาคารสถานท่ี
การอบรบเพมิ่ เติมระหวา่ งการใช้หลักสตู ร และการจดั ต้งั ศนู ยว์ ิชาการเพ่ือสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลกั สูตร
1. การจัดงบประมาณเพื่อการเรียนการสอนนั้นมีความสำคัญมากสำหรับสถานศึกษาทุกระดับ
ผู้บริหารโรงเรียนและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องต้องบรหิ ารงานงบประมาณของโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพสูงและตาม
เป้าหมายที่กำหนดไว้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้บริหารโรงเรียนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเงิ นของโรงเรียน
จะต้องมีสมรรถภาพในการจัดงบประมาณของโรงเรียนได้ดี ไม่มีผิดพลาด จึงจะสามารถจัดงบประมาณของ
โรงเรียนใหส้ อดคล้องกับแผนการเรียนการสอนของแต่ละกลุ่มวิชาได้เป็นอย่างดี
2. การใชอ้ าคารสถานท่เี ป็นส่ิงสนับสนนุ การใชห้ ลักสูตรซ่ึงผูบ้ ริหารการศกึ ษาพงึ ตระหนักอยู่เสมอว่า
อาคารสถานที่ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในสถานศึกษาย่อมเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อการเรียนการสอน และ
การอบรมบ่มเพราะนิสัยแก่ผู้เรียนได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นผู้บริหารจำเป็นจะต้องวางโครงการและแผนการใช้อาคาร
สถานที่ทุกแห่งให้เหมาะสม ใหเ้ กดิ ประ โยชน์สูงสดุ เท่าที่จะสามารถกระทำได้
3. การอบรมเพิ่มเติมระหว่างการใช้หลักสูตร ขณะที่ดำเนินการใช้หลักสูตรจะต้องศึกษาปัญหาและ
ปรับแกส้ ่ิงตา่ ง ๆ ใหเ้ ข้ากบั สภาพจรงิ และความเป็นไปได้ใหม้ ากที่สดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ ท้ังนี้ โดยไม่ใหเ้ สยี หลกั การ
ใหญ่ของหลกั สูตร สิง่ ที่ครูต้องการมากทีส่ ุดคือการฝึกอบรมเพม่ิ เติม เพื่อสร้างความพร้อมในการสอนของครู่ให้
เกิดความมั่นใจมากขึ้น
4. การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรภารกิจเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์
วิชาการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนกลางซึ่งเป็นผู้ พัฒนา
หลักสูตร หน่วยงานนี้ควรหาทางสนับสนุนและส่งเสริมหน่วยงานผู้ใช้หลักสูตร ให้สามารถคำเนินการใช้
หลักสูตรดว้ ยความมนั่ ใจ การจัดตั้งศนู ย์วชิ าการ อาจจะทำในลักษณะของศนู ยใ์ หบ้ ริการแนะนำช่วยเหลอื หรือ
จัดตัง้ โรงเรียนตวั อยา่ ง
3. ขนั้ ติดตามและประเมนิ ผล
1. การนิเทศและติดตามการใช้หลักสูตรในโรงเรียน การนิเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งในหน่วยงานทุก
แห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศึกษา เพื่อเป็นการช่วยปรับปรุงการเรียนการสอน การนิเทศและติดตามผล
การใช้หลักสูตรในระหว่างการใช้หลักสูตรนั้น หน่วยงานส่วนกลางในฐานะผู้พัฒนาหลักสูตร ควรจัดส่งเสริม
เจ้าหน้าที่ไปให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรเพิ่มเติม และติดตามผลการใช้หลักสูตรในโรงเรียนว่าได้
ดำเนนิ การดว้ ยความถูกต้องหรือไม่ มปี ญั หาใดเกิดข้นึ หรอื ไมห่ ากไม่มปี ัญหาก็จะได้แก้ไขให้ลุลว่ งไป
25
การนิเทศการใช้หลักสูตรหรือนิเทศการจัดการเรียนการสอน ต้องคำนึงถึงหลกั สำคัญของการนิเทศ คือ
การใหค้ ำแนะนำช่วยเหลอื ไมใ่ ช่การตรวจสอบเพ่ือจับผิดแต่ประการใด โดยลกั ษณะเชน่ นี้ ผ้นู ิเทศจำเปน็ จะต้อง
สรา้ งความสัมพันธแ์ ละความเขา้ ใจอนั ดกี ับผรู้ ับการนเิ ทศ การดำเนินการนเิ ทศจะตอ้ งดำเนินไปด้วย
บรรยากาศแหง่ ความเป็นประชาธปิ ไตยและร่วมมือกัน
2. การติดตามและการประเมินผลการใช้หลกั สตู ร จะตอ้ งมกี ารวางแผนไว้ใหช้ ัดเจนวา่ จะทำการประเมิน
ส่วนใดของหลักสูตร การออกแบบการประเมินที่กว้างและลึก คือการมองภาพรวมทั้งหมดของการใช้หลักสตู ร
ของการหาตัวบ่งชี้สำคัญๆ นั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องตัวแปรทางวัฒนธรรมทางสังคมและทางเศรษฐกิจด้วย
เพราะบางอย่างผปู้ ระเมินอาจจะมองข้ามไปกระบวนการในการประเมินผลเพื่อควบคุมภาพของหลักสูตร ในแง่
ของการปฏบิ ัติการกระบวนการของการประเมนิ ผลเพื่อควบคมุ คุณภาพของหลกั สูตรแบง่
ออกเปน็ 3 ข้ันตอนคือ
1. การตรวจสอบประสทิ ธิผลและความตกตำ่ ของคณุ ภาพของหลกั สูตร วิธกี ารตรวจสอบเรมิ่ ดว้ ยการ
รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน (Basic Data) เพื่อใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลระหว่างการดำเนนิ การ ข้อมูลพื้นฐานนี้ควร
เกบ็ รวบรวมในระหวา่ งทีน่ ำหลกั สตู รไปทดลองในภาคสนาม ควรเก็บใหไ้ ดม้ ากและหลากหลาย
2. การตรวจสอบหาเหตุที่ทำให้คุณภาพตกต่ำ งานนี้เริ่มขึ้นเมื่อได้มีการพบแล้วว่า คุณภาพของ
หลักสูตรตกตำ่ ลง มีสมมตุ ฐิ านหลายเรื่องทีอ่ าจนำมาใชใ้ นการคน้ หาสาเหตทุ สี่ ำคญั คือ
1. ความล้มเหลวในการใช้หลกั สูตร การที่จะใช้หลักสูตรให้มีประสิทธผิ ลในทุกสภาพย่อมเป็นไป
ไม่ได้ หลักสูตรแต่ละหลักสูตรย่อมมีจุดหมายที่แตกต่างกันและการที่บรรลุจุดหมายก็ต่อเมื่อได้มีการใช้
หลกั สตู รในสภาพและเงือ่ นไขทเ่ี หมาะสมเทา่ น้นั
2. ความเปลย่ี นแปลงของสภาพและเงื่อนไขในเวลาท่นี ำหลักสูตรไปใช้ สภาพภายในโรงเรียนหรือ
สถานศึกษาที่นำหลักสูตรไปใช้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา เช่น ในตอนที่ทำการทดลองใช้ในภาคสนามขวัญ
และกำลังใจของผูส้ อนดีมาก แตต่ อนทเ่ี อาหลกั สูตรไปใชจ้ ริงๆ กลับลดตำ่ ลง
3. ความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมาย เกี่ยวกับเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ว่าลักษณะของ
กลุ่มเป้าหมายทีใ่ ชใ้ นการทคลองภาคสนามกับทนี่ ำหลักสตู รมาใช้จริงมีความแตกตา่ งกันมาก เชน่ ในดา้ นระดับ
ความรู้ความสามารถ เจตคติ และคา่ นิยมท่ีมีตอ่ การเรยี น
3. แก้ไขและตรวจสอบประสิทธิผลของวิธีการที่นำมาแก้ไข หลังจากที่ได้ทราบแล้วว่าความตกต่ำของ
คณุ ภาพหลกั สูตรคือเรื่องอะไร และเกิดจากสาเหตุอะไรแล้วขัน้ ต่อไปของกระบวนการควบคุมคุณภาพก็คือการ
แก้ไข สำหรับการแก้ไขนี้อาจทำได้หลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัญหาที่ทำให้คุณภาพตกต่ำ ในบางกรณี
อาจใช้วิธีปรับปรุงวิธีการสอนและแก้ไขหลักสูตรบางส่วน เช่น ตัดทอนหรือเพิ่มเดิมเนื้อหาสาระแก้ไขวิธีสอน
โดยแบง่ กลุ่มผเู้ รยี นใหเ้ ดก็ ลง
การประเมนิ หลกั สตู ร
1. การตรวจสอบประสิทธิผลและความตกตำ่ ของคุณภาพของหลกั สตู ร
2. การตรวจสอบหาเหตุท่ที ำให้คณุ ภาพตกต่ำ
3. แก้ไขและตรวจสอบประสิทธิผลของวธิ กี ารท่ีนำมาแก้ไขผูท้ เ่ี ก่ียวข้องกบั การนำหลกั สูตรไปใช้
26
งบประมาณการบรหิ ารจัดการหลักสตู ร (Curriculum Management Budget)
1. งบประมาณจำนวน 5,000 บาท งบประมาณ
2. รายละเอียดการใช้งบประมาณ 5,000
กิจกรรม
กจิ กรรมการพัฒนาหลกั สูตรและการจัดกระบวนการการเรียนรู้
1. กระดาษฟรอยด์
2. กระจกใส
3. ตะแกรง
4. ขวดนำ้ ขนาด 6 ลิตร
5. ปืนกาว
6. เทปกาว / เทปผา้
27
แนวทางการประเมนิ หลักสตู ร (Curriculum Evaluation)
หัวข้อที่ประเมิน มี ไม่มี ชัดเจน ไมช่ ดั เจน หมายเหตุ
1. การประเมนิ เอกสารหลักสตู ร
- จุดมงุ่ หมาย
- โครงสรา้ ง
- เนอ้ื หาวิชา
- กจิ กรรม
- การวดั ประเมนิ ผล
2. การประเมนิ การใช้หลกั สูตร
- การตอบแบบสอบถามของผู้ใชห้ ลักสูตร
1. ครู
2. นักเรียน
3. ผูป้ กครองของนกั เรียน
3. การประเมินผลสมั ฤทธข์ิ องหลดั สูตร
- ความรคู้ วามสามารถในเน้ือหาวชิ า
- บคุ ลิกลกั ษณะ
- พฤติกรรมทางดา้ นศลี ธรรมจรรยา
4. การประเมนิ ระบบหลักสตู ร
- การประเมนิ เอกสารหลักสูตร
- การใช้หลักสตู ร
- สัมฤทธผิ ลของนกั เรยี น
- ส่งิ ทเ่ี ออื้ อำนวยตอ่ การเรยี นการสอนท้งั หมด
การวดั ผลประเมนิ ผล
1. การประเมินความรภู้ าคทฤษฎีก่อน-หลงั เรียนด้วยการทำแบบทดสอบ
2. การประเมนิ ผลงานระหว่างเรียนจากการปฏิบตั ิได้ผลงานที่มีคณุ ภาพ
3. การสมั ภาษณ์ผ้เู รียนเพ่ือสอบถามความเขา้ ใจและข้อสงสัย
4. การสงั เกตผูเ้ รยี นจากการปฏิบัติจรงิ ระหว่างการเรียนรู้
28
บรรณานุกรม
ชัยวฒั น์ สทุ ธริ ัตน.์ (2561). การพัฒนาหลกั สตู ร : ทฤษฎีสกู่ ารปฏิบัต.ิ พิมพ์ครั้งท่ี 7. กรงุ เทพฯ : วีพรินท์.
ดุษฎโี ยเหลา และ คณะ. (2557). การศึกษาการจดั การเรียนรูแ้ บบ PBL ที่ไดจ้ าก โครงการสรา้ งชดุ ความรเู้ พื่อ
สรา้ งเสริมทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและ เยาวชน: จากประสบการณค์ วามสำเร็จของโรงเรยี น
ไทย.กรุงเทพฯ:ทิพยวสิ ุทธ์ิ
ธรี พฒั น์ วงศค์ มุ้ สนิ และเฉลิมขวญั สิงหว์ .ี (2563). การจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานเพอ่ื พฒั นาการ
เรยี นรู้ดว้ ยการนำตนเอง. วารสารสงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 46(1), 218-219.
ศูนยส์ ะเตม็ ศึกษาแห่งชาติ. ม.ป.ป. ใบความร้ทู ่ี 1 เร่อื งความรู้เบอื้ งตน้ เก่ียวกับสะเตม็ ศึกษา (ออนไลน์).
แหลง่ ท่มี า : http://www.stemedthailand.org/wp-content/uploads/2015/03/newIntro-to-
STEM.pdf.pdf?fbclid=IwAR0N8IAKa7cr2MD3pPz3bp-2LsVbhIj7FcSCaTuYDNqwTgfPlRa
XCHIWZaw. [3 เมษายน 2564].
29