หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์
หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์
เรอื่ ง นิราศภเู ขาทอง
จดั ทาโดย
นางสาว สฑุ ามาศ แยม้ เขนง รหสั นกั ศกึ ษา ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๕๗
นางสาว อารยา ศรเี อย่ี ม รหสั นกั ศกึ ษา ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๔๔
นกั ศกึ ษาชนั้ ปีท่ี ๓ คณะครศุ าสตร์ สาขาวชิ าภาษาไทย
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา
คานา
หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ ลม่ น้ีเป็นส่วนหน่งึ ของ วชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทาง
การศกึ ษา โดยมจี ดุ ประสงค์ เพอ่ื การศกึ ษาวเิ คราะหค์ วามรทู้ ไ่ี ดจ้ ากวรรณคดี เรอ่ื ง นริ าศภเู ขาทอง
โดยหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ล่มน้ีมเี น้อื หาเกย่ี วกบั การวเิ คราะหบ์ ทประพนั ธป์ ระเภทกลอนนิราศ ซง่ึ เป็น
การเดนิ ทางทางเรอื ไปยงั เจดยี ภ์ เู ขาทองของสนุ ทรภู่ พรรณนาเกย่ี วกบั ชวี ติ และสงั คมไทยในสมยั
รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ อกี ทงั้ ยงั สอดแทรกคตธิ รรม ผ่านมมุ มองของสนุ ทรภู่ และยงั เป็นบทประพนั ธ์
ประเภทนิราศทไ่ี ดร้ บั การยกยอ่ งยอ่ งวา่ แต่งดที ส่ี ดุ ของสุนทรภู่ ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถในการ
แต่งกลอนของสนุ ทรภู่
ผจู้ ดั ทาไดเ้ ลอื กหวั ขอ้ น้ใี นการจดั ทาหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เน่อื งมาจาก วรรณคดี เรอ่ื ง นริ าศ
ภเู ขาทอง เป็นวรรณคดที ม่ี ุ่งเน้นใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาวรรณคดตี ามทไ่ี ดก้ าหนดไวใ้ นประกาศ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอ่ื ง วรรณคดสี าหรบั การจดั การเรยี นการสอนภาษาไทย ตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ประกาศ ณ วนั ท่ี ๘ ธนั วาคม ๒๕๕๑ โดยแสดง
ถงึ คุณค่าของวรรณคดดี า้ นต่างๆ เชน่ คณุ ค่าดา้ นอารมณ์ คณุ คา่ ดา้ นคุณธรรมและความงดงามดา้ น
ภาษา มวี ธิ กี ารนาเสนออย่างน่าสนใจ อ่านเพลนิ และชวนตดิ ตาม นอกจากน้ียงั สง่ เสรมิ และกระตุน้ ให้
ผเู้ รยี นรจู้ กั ใชท้ กั ษะการคดิ อยา่ งมเี หตุผล ทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจถงึ ความรสู้ กึ นกึ คดิ และวถิ ขี องบรรพ
บุรษุ นาไปส่คู วามซาบซง้ึ ในเอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมประเพณแี ละวถิ ไี ทยเพอ่ื ช่วยกนั ดารงรกั ษาสบื ไป
ผจู้ ดั ทาหวงั ว่า หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ลม่ น้จี ะเป็นประโยชน์ต่อผอู้ ่าน หรอื นกั เรยี น ทต่ี อ้ งการ
ศกึ ษาวรรณคดี เรอ่ื ง นิราศภเู ขาทอง หากมขี อ้ แนะนาหรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทาขอน้อมรบั ไว้
และขอขอบคุณผมู้ สี ่วนเกย่ี วขอ้ งในการจดั ทาหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ ลม่ น้ใี หส้ าเรจ็ ลุล่วงดว้ ยดี ไว้ ณ
โอกาสน้ี
คณะผจู้ ดั ทา
๒๓ กนั ยายน ๒๕๖๓
สารบญั
หน้า
คานา ค
สารบญั ง
บทนา วรรณกรรม วรรณคดี............................................................................... ๑
การจาแนกประเภทของวรรณคดไี ทย ................................................................. ๒
จาแนกตามแหล่งทส่ี รา้ งสรรคง์ าน........................................................................ ๒
จาแนกตามจดุ มงุ่ หมาย........................................................................................ ๒
จาแนกตามรปู แบบการประพนั ธ.์ .......................................................................... ๒
จาแนกตามลกั ษณะทวั่ ไป.................................................................................... ๓
จาแนกตามเน้อื หาของเรอ่ื ง.................................................................................. ๓
บทท่ี ๑ วรรณคดีประเภทนิ ราศ............................................................................. ๘
บทท่ี ๒ บทวิเคราะห.์ ............................................................................................... ๑๐
เน้อื หาของนิราศภเู ขาทอง.................................................................................. ๑๐
วรรณศลิ ป์ ของนิราศภเู ขาทอง............................................................................. ๑๒
บทท่ี ๓ นิ ราศภเู ขาทอง........................................................................................... ๑๔
บทท่ี ๔ คาอธิบายศพั ท.์ .......................................................................................... ๒๐
พนิ จิ คณุ ค่าภาษาศลิ ป์ ......................................................................................... ๒๖
ภาคผนวก ประวตั ิสนุ ทรภ่.ู ....................................................................................... ๒๗
บรรณานุกรม
บทนา
วรรณกรรม วรรณคดี
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานใหค้ วามหมายของ คาว่า “วรรณกรรม” ไวว้ า่ น. งาน
หนงั สอื , งานประพนั ธ,์ บทประพนั ธท์ กุ ชนดิ ทงั้ ทเ่ี ป็นรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง เชน่ วรรณกรรมสมยั
รตั นโกสนิ ทร์ วรรณกรรมของเสฐยี รโกเศศ วรรณกรรมฝรงั่ เศส วรรณกรรมประเภทสอ่ื สารมวลชน.
วรรณกรรม มคี วามหมายตามนยั ยะ หมายถงึ กรรม ทเ่ี กดิ ขน้ึ ต่างคน ต่างวรรณะ หมายความว่า
วรรณะหรอื ชนชนั้ ต่างกนั กจ็ ะใชค้ าต่างกนั คาคาน้ี มปี รากฏขน้ึ ครงั้ แรกในพระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครอง
วรรณกรรมและศลิ ปกรรม พ.ศ. 2475 คาว่า วรรณกรรม อาจเทยี บเคยี งไดก้ บั คาภาษาองั กฤษ วา่
“Literary work” หรอื “general literature” ความหมายแปลตามรปู ศพั ทว์ ่า ทาใหเ้ ป็นหนงั สอื ซง่ึ ดตู าม
ความหมายน้แี ลว้ จะเหน็ ว่ากวา้ งขวางมาก นนั่ คอื การเขยี นหนงั สอื เป็นขอ้ ความสนั้ ๆ หรอื เรอ่ื งราว
สมบรู ณ์กไ็ ด้ เชน่ ขอ้ ความทเ่ี ขยี นตามใบปลวิ ป้ายโฆษณาต่าง ๆ ตลอดไปจนถงึ บทความ หรอื หนงั สอื
ทพ่ี มิ พเ์ ป็นเลม่ ทุกชนดิ เช่น ตารบั ตาราต่าง ๆ นวนิยาย กาพย์ กลอนต่าง ๆ กถ็ อื เป็นวรรณกรรมทงั้ สน้ิ
อกี หน่งึ วรรณกรรม (Literature) หมายถงึ วรรณคดหี รอื ศลิ ปะ ทเ่ี ป็นผลงานอนั เกิดจากการ
คิด และจินตนาการแล้วเรียบเรียง นามาบอกเล่า บนั ทึก ขบั ร้อง หรอื สื่อออกมาด้วยกลวิธีต่างๆ
โดยทวั่ ไปแลว้ จะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภท คอื วรรณกรรมลายลกั ษณ์ และวรรณกรรมมขุ ปาฐะ
วรรณกรรมที่ได้รบั การยกย่องว่าแต่งได้ดีเรยี กว่า "วรรณคดี" สาหรบั วรรณคดนี นั้ ตอ้ งเป็น
วรรณกรรม แต่วรรณกรรมไมจ่ าเป็นตอ้ งเป็นวรรณคดี
คานยิ าม "วรรณกรรม คอื ภาษาศลิ ป์ ทส่ี รา้ งจนิ ตนาการ ใหอ้ ารมณ์ ใหค้ วามรแู้ ละความ
เพลดิ เพลนิ " ซง่ึ ปัจจบุ นั วรรณกรรมมงุ่ เน้นทค่ี วามรู้ และความเพลดิ เพลนิ ของผอู้ ่าน สว่ นภาษาศลิ ป์
นนั้ จะเป็นแบบใดกไ็ ด้ ซง่ึ สามารถสรุปความหมายของวรรณกรรมและวรรณคดี ไดว้ า่ ผลงานศลิ ปะ
ทใ่ี ชภ้ าษาเป็นสอ่ื เรยี กวา่ วรรณกรรม เป็นงานสรา้ งสรรคท์ เ่ี กดิ จากความรสู้ กึ และความนกึ คดิ ของ
มนุษย์ วรรณกรรมเรอ่ื งใดทม่ี คี นอ่านแลว้ อ่านอกี และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มาชา้ นาน ถอื วา่ เป็นผลงาน
ทม่ี คี ุณค่าควรแก่การศกึ ษา เพราะมกี าลเวลาเป็นเครอ่ื งตดั สนิ อยา่ งหน่งึ และมกี ลุ่มบุคคลในอดตี กล่าว
ยกยอ่ งไวอ้ กี อยา่ งหน่งึ เราเรยี กวรรณกรรมประเภทน้วี ่า วรรณคดี เพ่อื แยกออกมาจากวรรณกรรม
ปัจจบุ นั .
๑ นิราศภเู ขาทอง
การจาแนกประเภทของวรรณคดีไทย
การจาแนกประเภทของวรรณคดอี อกเป็นประเภทต่าง ๆ ใชเ้ กณฑก์ ารจาแนก ดงั น้ี
จาแนกตามแหล่งท่ีสร้างสรรคง์ าน
วรรณคดีท้องถ่ิน วรรณคดีราชสานัก ถกู จาแนกตามแหล่งทส่ี รา้ งสรรคง์ าน วรรณคดี
ทอ้ งถนิ่ เชน่ นทิ านพน้ื บา้ นถน่ิ เหนอื ถน่ิ อสี าน ถน่ิ ใต้ เรอ่ื ง สงั ขท์ อง เป็นตน้ และวรรณคดรี าช
สานกั ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็นผลงานของพระมหากษตั รยิ ห์ รอื ขา้ ราชบรพิ าร เชน่ วรรณคดี เรอ่ื ง อเิ หนา
ลลิ ติ ตะเลงพ่าย ราชาธริ าช กาพยเ์ รอ่ื งพระไชยสรุ ยิ า กาพยเ์ ห่ชมเครอ่ื งคาวหวาน เป็นตน้
จาแนกตามจดุ ม่งุ หมาย
จดุ มงุ่ หมายของการแต่งอาจแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ๒ ประเภท คอื
๑. สารคดี (non - fiction) ไดแ้ ก่ วรรณคดที ม่ี จี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ความรู้ หรอื เป็นศาสตร์
เช่น ปฐมโพธกิ ถา พระราชพธิ สี บื สองเดอื น เป็นตน้
๒. บนั เทิงคดี (fiction) ไดแ้ ก่ วรรณคดที ม่ี งุ่ หมายใหผ้ อู้ ่านมคี วามเพลดิ เพลนิ เกดิ อารมณ์
และจนิ ตนาการคลอ้ ยตามไปดว้ ย การเขยี นอย่างมศี ลิ ปะ ไพเราะรน่ื หู มคี วามสมดลุ และมเี อกภาพ มี
แบบแผนและไดร้ บั ความนิยมปฏบิ ตั ติ าม เชน่ เสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน บทละครเรอ่ื งอเิ หนา เป็นตน้
จาแนกตามรปู แบบการประพนั ธ์
รปู แบบการประพนั ธข์ องการแต่งวรรณคดไี ทย แบง่ ไดเ้ ป็น ๒ รปู แบบ คอื รอ้ ยกรอง
และรอ้ ยแกว้
๑. ร้อยกรอง (prosody หรอื poetry) หมายถงึ คาประพนั ธท์ เ่ี รยี บเรยี งใหเ้ ป็นระเบยี บตาม
บญั ญตั แิ หง่ ฉนั ทลกั ษณ์ (ขอ้ บงั คบั สาหรบั แต่งคาประพนั ธ)์ โดยเน้นจงั หวะของเสยี ง ซง่ึ เกดิ จากการ
กาหนดจานวนพยางค์ (ในคาประพนั ธเ์ รยี กวา่ คา) เป็นวรรค เป็นบาท หรอื เป็นบท การสลบั
น้าหนกั ของเสยี งหนกั เบา เรยี กวา่ ครุ ลหุ การกาหนดระดบั เสยี งโดยบงั คบั เสยี งวรรณยกุ ต์ การ
ผกู คาคลอ้ งจอง เรยี กว่า สมั ผสั เป็นตน้ วรรณคดปี ระเภทน้เี รยี กอกี อยา่ งหน่งึ ว่า “กวนี พิ นธ”์
๒. รอ้ ยแก้ว (prose หรอื essay) หมายถงึ คาประพนั ธท์ ไ่ี ม่มกี ารกาหนดบงั คบั ตาม
ฉนั ทลกั ษณ์ เป็นความเรยี งทส่ี ละสลวยไพเราะเหมาะเจาะดว้ ยเสยี งและความหมาย วรรณคดที แ่ี ต่ง
เป็นรอ้ ยแกว้ มี นวนิยาย นทิ าน นิยาย เรอ่ื งสนั้ บนั ทกึ บทละครสมยั ใหม.่
นิราศภูเขาทอง ๒
วรรณคดไี ทยสว่ นมากแต่งเป็นรอ้ ยกรอง เพราะคนแต่ก่อนนิยมอ่านหนงั สอื โดยออกเสยี งดงั ๆ
เพอ่ื ฟังความไพเราะของคาประพนั ธไ์ ปดว้ ย แทนการอ่านในใจเพอ่ื เอาความอยา่ งเดยี ว ใหส้ งั เกตดว้ ย
ว่ารอ้ ยกรองของไทย ทงั้ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย มลี ลี าหลากหลาย เหมาะกบั
ทว่ งทานองของเรอ่ื งทต่ี ่างกนั ไป ดงั จะเหน็ ไดว้ ่า การส่อื ความทต่ี อ้ งการความกระชบั รวดเรว็ เชน่
บทเปรยี บเทยี บในโคลงโลกนิติ บทบรรยายภาพพระศรพี ระสุรโิ ยทยั ขาดคอชา้ งในโคลงภาพพระราช
พงศาวดาร เป็นตน้ มกั ใชโ้ ครงซง่ึ ใชค้ าน้อยแต่กนิ ความไดม้ าก สว่ นการส่อื ความทเ่ี ป็นการพฒั นา
อารมณ์ เชน่ บทราพงึ ราพนั ในนิราศเรอ่ื งต่างๆ กวอี าจเลอื กใชก้ ลอนซง่ึ มลี ลี าเนิบนาบมากกวา่
เป็นตน้ ส่วนรอ้ ยแกว้ ใชส้ าหรบั การเล่าเรอ่ื งยาวๆ และแสดงคารมในการเจรจาโตต้ อบ เช่น ใน
วรรณคดี เรอ่ื ง ราชาธริ าช เป็นตน้
จาแนกตามลกั ษณะทวั่ ไป
วรรณคดอี าจจาแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามรปู แบบทม่ี ผี กู้ าหนดขน้ึ โดยทวั่ ไป ดงั น้ี
๑. วรรณกรรมวรรณา (narrative literature) หรอื มขุ ปาฐะ (oral literature) ไดแ้ ก่
วรรณคดที ไ่ี มม่ ตี วั อกั ษร แต่เลา่ เรอ่ื งต่อกนั มาดว้ ยปาก
๒. เรอ่ื งสนั้ (short story) ไดแ้ ก่ บนั เทงิ คดพี วกหน่งึ ทป่ี ระกอบดว้ ยลกั ษณะอนั มศี ลิ ปะ เชน่
แสดงเรอ่ื งของตวั ละครอนั ตกอยใู่ นสภาพแหง่ ความยากลาบาก หรอื อยใู่ นทข่ี ดั ขอ้ งอบั จนแลว้ ต่อสหู้ รอื
แกไ้ ขพฤตกิ ารณ์นนั้ จนบรรลผุ ลทส่ี ดุ อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ
๓. นวนยิ าย (novel) ไดแ้ ก่ เรอ่ื งทส่ี มมตขิ น้ึ หรอื ใชจ้ นิ ตนาการสรา้ งสรรคข์ น้ึ โดยยดึ หลกั
ความสมจรงิ ใหม้ ากทส่ี ดุ
๔. บทละคร (Plays หรอื drama) ไดแ้ ก่ วรรณคดที แ่ี ต่งขน้ึ เพอ่ื การแสดงประเภทเน้อื เรอ่ื ง
โดยกาหนดบทบาทของผแู้ สดงใหส้ มจรงิ มที งั้ ละครรอ้ ง ละครรา ละครพดู ละครดกึ ดาบรรพ์ ละคร
พนั ทาง
๕. บทเรยี งความ (essay) ไดแ้ ก่ วรรณคดที ผ่ี เู้ ขยี นบรรยายถงึ สง่ิ ทค่ี ดิ อย่างลกึ ซง้ึ มกั มี
ขอ้ เสนอเกย่ี วกบั การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในการดาเนินชวี ติ ดว้ ย
๖. นทิ าน (tales) ไดแ้ ก่ เรอ่ื งเล่าทป่ี ระดษิ ฐข์ น้ึ โดยมไิ ดต้ งั้ ใจจะใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจว่าไดเ้ กดิ ข้นึ จรงิ
จาแนกตามเนื้อหาของเร่ือง
วรรณคดไี ทยมปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนานกวา่ ๗๐๐ ปี นบั ตงั้ แต่สมยั สโุ ขทยั อยธุ ยา
ธนบุรี มาจนถงึ รตั นโกสนิ ทร์ ไทยมวี รรณคดที บ่ี นั ทกึ ไวใ้ นประวตั วิ รรณคดหี ลายรอ้ ยเรอ่ื งแลว้ เน้อื หา
ของวรรณคดไี ทยซง่ึ มอี ยหู่ ลากหลายนนั้ อาจจาแนกตามวตั ถุประสงคไ์ ดด้ งั น้ี
๓ นิราศภูเขาทอง
๑. วรรณคดีพุทธศาสนา มุง่ แสดงหลกั คาํ สอนและเนน้ ใหเ้ ห็นผลของความดี ความชวั่
เชน่ ไตรภูมพิ ระร่วง พระราชนิพนธพ์ ระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไทย)แห่งกรุงสุโขทยั
มหาชาติคาํ หลวง พระราชนิพนธส์ มเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมยั อยุธยา พระมาลยั คาํ หลวง
และนันโทปนันทสูตรคาํ หลวง พระราชนิพนธเ์ จา้ ฟ้าธรรมา ธิเบศร ในสมยั อยุธยา รา่ ยยาวมหา
เวสสนั ดรชาดก ผลงานของเหล่ากวีในสมยั รตั นโกสินทร์ และปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธส์ มเด็จพระ
มหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในรชั กาลที่ 3 เป็ นตน้
นอกจากน้ ียงั มีนิทานชาดกอีกหลาย เรื่องที่นํามาแต่งสาํ หรบั การอ่าน ฟัง และแสดงมหรสพ
เพื่อความบนั เทิงโดยแสดงหลกั ธรรมคาํ สอนไวด้ ว้ ย เช่น เสือโคคาํ ฉนั ทผ์ ลงานของมหาราชครูในสมยั
อยุธยา สรรพสิทธ์ิคาํ ฉนั ท์ พระนิพนธส์ มเด็จพระมหา สมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็ นตน้
๒. วรรณคดีสุภาษิตคาํ สอน มุง่ แสดงแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิตนในสงั คม เชน่
สุภาษิตพระรว่ ง สาํ นวนที่จารึกไวใ้ นแผ่นศิลาวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) แต่งเป็ นร่าย
สุภาพ ไมป่ รากฏนามผูแ้ ต่ง กฤษณาสอนนอ้ งคาํ ฉนั ท์ พระนิพนธส์ มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระ
ปรมานุชิตชิโนรส โคลงโลกนิติ พระนิพนธส์ มเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาเดชาดิศร
อิศรญาณภาษิต พระนิพนธห์ มอ่ มเจา้ อิศรญาณ โคลงโสฬสไตรยางคแ์ ละโคลงนฤทุมนาการ พระราช
นิพนธพ์ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็ นตน้
นิราศภูเขาทอง ๔
๓. วรรณคดีเกี่ยวกบั ประเพณีและพิธีกรรม เชน่ ลิลิตโองการแชง่ น้ํา ใชใ้ นพิธี
สาบานตนของขา้ ราชสาํ นัก ในสมยั อยุธยา ฉนั ทก์ ล่อมชา้ งสาํ นวนต่างๆ ใชใ้ นพระราช
พิธีสมโภชชา้ ง ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง ผลงานของเจา้ พระยาพระคลงั (หน)
พรรณนากระบวนเรือพยุหยาตรา พระราชพธิ ีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็ นตน้
๔. วรรณคดีเก่ียวกบั เหตกุ ารณใ์ นประวตั ศิ าสตร์ เช่น โคลงยวนพา่ ย สดุดีวรี กรรม
ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ผูส้ ่งพิชิตเมอื งเชียงใหมไ่ ด้ ลิลิตตะเลงพ่าย สดุดี
วรี กรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในสงครามยุทธหตั ถีกบั พระมหาอุปราชาของพมา่
นอกจากน้ันยงั มีเร่ืองจากเหตุการณใ์ นประวตั ิศาสตรข์ องชาติอื่น เชน่ ราชาธิราช ซ่ึง
เจา้ พระยาพระคลงั (หน) เป็ นผูอ้ าํ นวยการแปลจากพงศาวดารมอญ และสามกก๊ ซ่ึงเจา้ พระยาพระ
คลงั (หน) เป็ นผูอ้ าํ นวยการแปลจากพงศาวดารจีน วรรณคดีท้งั สองเรื่องน้ ีนอกจากจะมีเน้ ือเร่ือง
สนุกตื่นเตน้ ชวนติดตามแลว้ ยงั แสดงขอ้ คิดและแนวทางในการปกครอง และการสูร้ บไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ
๕ นิราศภูเขาทอง
๕. วรรณคดพี ือ่ ความบนั เทิง เช่น วรรณคดีท่ีแต่งเพื่อแสดงมหรสพประเภทต่างๆ เช่น
รามเกียรต์ิ สาํ หรบั แสดงโขน ละครใน และเป็ นบทพากยห์ นังใหญ่ อิเหนา สาํ หรบั แสดงละครใน
คาวี สงั ขท์ อง ไชยเชษฐ์ ไกรทอง ฯลฯ สาํ หรบั แสดงละครนอก พระอภยั มณี สาํ หรบั แสดงหุ่น
กระบอก มทั นะพาธาคาํ ฉนั ท์ สาํ หรบั แสดงละครพดู นอกจากเป็ นบทมหรสพแลว้ วรรณคดีเหลา่ น้ ี
ยงั เป็ นหนังสือสาํ หรบั อ่านเพ่ือความสนุกเพลิดเพลินไปกบั เน้ ือเร่ือง และเพื่อฟังเสียงไพเราะของคาํ
ประพนั ธอ์ ีกดว้ ย
๖. วรรณคดบี นั ทึกความรูส้ กึ ของผเู้ ดินทาง ไดแ้ ก่ วรรณคดีประเภทนิราศ
เชน่ โคลงกาํ สรวลนิราศหริภุญชยั ของกวีในสมยั อยุธยา นิราศนรินทร์ ของนาย
นรินทรธิเบศร์ นิราศเร่ืองตา่ งๆ ของสุนทรภู่ และนิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทยั
กวใี นสมยั รตั นโกสินทร์
วรรณคดีไทยเร่ืองตา่ งๆ ที่กล่าวมาพอเป็ นสงั เขปน้ ี เป็ นแหล่งรวมประสบการณแ์ ละ
ความรสู้ ึกนึกคิดที่คนไทยแตก่ อ่ นมีตอ่ เร่ืองราวต่างๆ ในชีวติ นับไดว้ า่ เป็ นคุณค่าควรแก่
การศึกษา เพราะนอกจากจะทาํ ใหเ้ ราสามารถอา่ นความคิดของผูเ้ ป็ นบรรพบุรุษของเราได้
นิราศภูเขาทอง ๖
แลว้ วรรณคดีไทยยงั เป็ นกระจกท่ีสะทอ้ นใหเ้ ราเหน็ ภาพหลกั ๆ ของชวี ติ มนุษย์ ท้งั ดีงาม
และตาํ่ ทราม ซ่ึงไมใ่ ชภ่ าพที่เรารเู้ หน็ แลว้ ผ่านเลยไปเท่าน้ัน แต่น่าจะทาํ ใหเ้ ราไดห้ ยุดคิดถึง
ส่ิงที่เป็ นสจั ธรรมของชีวิตมนุษยไ์ ดบ้ า้ ง
ตวั อยา่ งจากเร่ืองในวรรณคดีอาจทาํ ใหเ้ ราสาํ นึกไดว้ า่ สงิ่ ท่เี ราจะทาํ มิใช่เพียงสง่ิ ที่
เราอยากจะทาํ เท่าน้นั แตต่ อ้ งเป็ นสงิ่ ที่เราสมควรทาํ ดว้ ย ความดีงามถูกตอ้ งตาม
จริยธรรมเป็ นตวั อยา่ งท่ีหาไดไ้ ม่ยากจากวรรณคดี ซ่ึงเป็ นเสมือนภาพจาํ ลองชวี ติ บางแง่มุม
ของมนุษย์ การทีจ่ ะอยูร่ ว่ มกบั เพอ่ื นมนุษยอ์ ยา่ งปกตสิ ุขน้นั ความสาํ นึกในความ
ถูกตอ้ งดงี ามเป็ นปัจจยั สาํ คญั อยา่ งหนึ่ง.
๗ นิราศภเู ขาทอง
บทท่ี ๑
วรรณคดีประเภทนิราศ
ลกั ษณะบทกลอนของไทย มี ๔ ประเภท คือ โคลงประเภท ๑ ฉนั ทป์ ระเภท ๑ กาพย์
ประเภท ๑ กลอนประเภท ๑ ฉนั ทก์ บั กาพยม์ แี หล่งกาํ เนิดจากประเทศอินเดีย โคลงกบั กลอนตาํ รา
เป็ นของไทยเราเอง พิจารณาจากบทกลอนโบราณที่ยงั เหลืออยูใ่ นปัจจุบนั หนังสือบทกลอนไทยที่แต่ง
เป็ นโคลงกบั กลอนเป็ นของที่มีมาก่อน ฉนั ทแ์ ละกาพยม์ ีข้ นึ ทีหลงั ในราวแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช แต่คนสมยั น้ันดเู หมือนจะถือกนั เป็ นคติวา่ โคลงฉนั ทเ์ ป็ นของแต่งยาก กวีที่มีชื่อเสียงมกั แต่ง
หนังสือเร่ืองสาํ คญั เป็ นลิลิตหรือโคลงฉนั ทท์ ้งั น้ัน กาพยก์ ลอนถือกนั วา่ เป็ นของแต่งง่าย มกั แต่งกนั แต่
เป็ นหนังสือสวดและเป็ นเพลงยาวสงั วาศ มาจนถึงปลายสมยั กรุงศรีอยุธยา จึงคอ่ ยนิยมกาพยก์ ลอนกนั
ข้ นึ มากกวา่ แต่กอ่ น คาดว่าจะเป็ นเพราะเจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศรโปรดทรงแต่งกาพย์ เช่น กาพยเ์ ห่เรือ
เป็ นตน้ และโปรดทรงแต่งเพลงยาวสงั วาศ การแต่งกาพยก์ ลอนจึงแต่งกนั แพร่หลายข้ นึ
หนังสือจาํ พวกที่เรียกวา่ นิราศ เป็ นบทกลอนแต่งเวลาไปทางไกล มลู เหตุท่ีจะเกิดหนังสือชนิดน้ ี
ข้ นึ สนั นิษฐานว่า คงเป็ นเพราะเวลาเดินทางที่มกั ตอ้ งไปเรือหลายๆ วนั มีเวลาวา่ งมาก ไดแ้ ต่นัง่ ๆ
นอนๆ ไปจนเกิดเบ่ือ ก็ตอ้ งคิดหาอะไรทาํ แกร้ าํ คาญ ผูส้ นั ทดั ในทางวรรณคดี จึงแกร้ าํ คาญโดยกระบวร
คิดแต่งบทกลอน บทกลอนแต่งในเวลาเดินทางเชน่ น้ัน ก็เป็ นธรรมดาที่จะพรรณนาวา่ ดว้ ยสิ่งซ่ึงไดพ้ บ
เห็นในระยะทางประกอบกบั อารมณข์ องตน เชน่ ครวญคิดถึงคู่รกั ซึ่งตอ้ งพรากท้ ิงไวท้ างบา้ นเรือนเป็ นตน้
กระบวรความในหนังสือนิราศจึงเป็ นทาํ นองอยา่ งวา่ น้ ีท้งั น้ัน ชอบแต่งกนั มาต้งั แต่คร้งั กรุงศรีอยุธยาเป็ น
ราชธานี แต่ท่ีเรียกชื่อวา่ หนังสือนิราศ ดูเหมอื นจะบญั ญตั ิข้ นึ ในช้นั กรุงรตั นโกสินทรน้ ี
นิราศครง้ั กรุงศรีอยุธยาที่แต่งเป็ นกลอนสุภาพ มปี รากฏอยเู่ รื่องเดียว คือ นิราศเมืองเพชรบุรี
ของหมอ่ มพิมเสน แต่ก็รวมไวใ้ นพวกเพลงยาวสงั วาศ แต่ไมไ่ ดแ้ ยกออกเป็ นเร่ืองต่างหากเหมือนอย่าง
นิราศท่ีแต่งกนั ในช้นั กรุงรตั นโกสินทร์ ถึงนิราศที่แต่งเป็ นกลอนสุภาพในกรุงรตั นโกสินทรน์ ้ ี ช้นั แรกก็
รวมอยใู่ นเพลงยาวสงั วาศ ไมไ่ ดแ้ ยกออกเป็ นประเภท ๑ ต่างหาก มีตวั อย่างท่ีสาํ คญั คือ นิราศท่าดิน
แดง ซ่ึงพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชนิพนธเ์ มอ่ื เสด็จยกกองทพั หลวงไป
ปราบพมา่ ขา้ ศึก เมื่อปี มะเมีย พ.ศ. ๒๓๒๙ ก็รวมอยใู่ นเพลงยาว พ่ึงจะแยกออกเป็ นนิราศเร่ือง ๑ เมื่อใน
รชั กาลที่ ๕
นิราศที่แต่งกนั ในช้นั กรุงรตั นโกสินทรน์ ้ ี แต่งท้งั เป็ นโคลงและเป็ นกลอนสุภาพ ดูเหมอื นกวีท่ี
แต่งนิราศในคร้งั รชั กาลท่ี ๑ รชั กาลที่ ๒ จะถือคติต่างกนั เป็ นสองพวก พวกหน่ึงถือคติเดิมวา่ โคลง
ฉนั ทเ์ ป็ นของสาํ คญั และแต่งยากกวา่ กลอน กวีพวกน้ ีแต่งนิราศเป็ นโคลงตามเยี่ยงอยา่ งศรีปราชญท์ ้งั น้ัน
กวีอีกพวกหน่ึงชอบเพลงยาวอยา่ งเช่นเล่นกนั เม่ือปลายสมยั กรุงศรีอยุธยา กวพี วกน้ ีแต่งนิราศเป็ นกลอน
สุภาพท้งั น้ัน ถา้ วา่ เฉพาะที่เป็ นกวีคนสาํ คญั ในพวกหลงั น้ ี คือ สุนทรภู่ แต่งนิราศเป็ นกลอนสุภาพ
นิราศภูเขาทอง ๘
มากเรื่องกวา่ ใครๆ หมด กลอนของสุนทรภู่คนชอบอ่านกนั แพร่หลาย ก็ถือเอานิราศของสุนทรภู่เป็ น
แบบอยา่ งแต่งนิราศกนั ต่อมา ต้งั แต่รชั กาลที่ ๓ จนถึงรชั กาลท่ี ๕ ซ่ึงนิราศภเู ขาทอง สุนทรภู่แต่งเม่ือ
บวช ในรชั กาลท่ี ๓ [๑]
กลอนท่ีใชแ้ ต่งนิราศซึ่งเรียกกนั วา่ กลอนนิราศ นิยมเร่ิมบทแรกดว้ ย “วรรคกรบั ” และจบดว้ ย
คาํ วา่ “เอย” ส่วนความยาวบทกลอนไมจ่ าํ กดั จาํ นวน ตวั อยา่ งเช่น
เดอื นสิบเอ็ดเสรจ็ ธรุ ะพระวสา
รบั กฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลยั
................................. ..............................................
จงทราบความตามจริงทุกส่ิงส้ ิน อยา่ นึกนินทาแถลงไฉน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศรา้ ใจ จึงราํ่ ไรเรื่องรา้ งเล่นบา้ งเอย
[๑]ยกมาจาก ประชุมกลอนนิราศตา่ งๆ ภาคท่ ี ๑ นิราศสนุ ทรภู่ ๔ เร่อื ง นิราศภูเขาทอง
๙
บทที่ ๒
บทวิเคราะห์
เน้ ือหาของนิราศภเู ขาทอง
นิราศภูเขาทองเริ่มตน้ เลา่ การเดินทางจากเรือ
จากวดั ราชบุรณะ กรุงเทพฯ จุดหมายปลายทาง คือ
เจดียภ์ เู ขาทอง ท่ีพระนครศรีอยุธยา สถานที่ที่เดินทาง
ผ่าน คือ พระบรมมหาราชวงั วดั ประโคนปัก โรงเหลา้
บางจาก บางพลู บางพลดั บางโพ บา้ นญวน วดั เขมา
ตลาดแกว้ ตลาดขวญั บางธรณี เกาะเกร็ด บางพดู
บา้ นใหม่ บางเดื่อ บางหลวง บา้ นง้ ิว เมอ่ื เขา้ เขต
พระนครศรีอยุธยา ผ่านหนา้ จวนเจา้ เมือง วดั หนา้ พระ
เมรุ แลว้ จึงเดินทางถึงเจดียภ์ เู ขาทอง สว่ นขากลบั กล่าวถึง
วดั อรุณราชวรารามเท่าน้ัน ระหวา่ งการเดินทาง เมื่อกวีพบ
เห็นสิ่งใดที่น่าสนใจหรือสอดคลอ้ งกบั ความคิดที่ตอ้ งการเสนอ
ก็จะนํามากลา่ วไว้
สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทอง เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๓๗๓
หลงั จากท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เสด็จ
สวรรคตไปแลว้ ๖ ปี (สวรรคตปี พ.ศ. ๒๓๖๗) เพื่อเลา่ เร่ือง
การเดินทางจากวดั ราชบุรณะไปนมสั การพระเจดียภ์ เู ขาทอง
ท่ีจงั หวดั พระนครศรีอยุธยาหลงั จากออกพรรษาแลว้
จากคาํ พรรณนาความรสู้ ึกอาลยั อาวรณพ์ ระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ในนิราศภเู ขา
ทอง ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ สุนทรภ่ยู งั คงจงรกั ภกั ดีต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั อยา่ งไมเ่ สื่อม
คลาย และไมเ่ คยลืมความสุขท่ีตนเองเคยไดร้ บั จากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ไมว่ า่ จะเป็ น
ยศถาบรรดาศกั ด์ิ บา้ นเรือนที่ไดร้ บั พระราชทานใหอ้ ยู่อาศยั หรือการมโี อกาสไดต้ ามเสด็จรบั ใชอ้ ย่าง
ใกลช้ ิด ในช่วงเวลาท่ีสุนทรภู่รบั ราชการอยใู่ นกรมพระอารกั ษ์ในสมยั ราชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๖๓-
นิราศภูเขาทอง ๑๐
๒๓๖๗) เป็ นชีวิตที่มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขดี สุด และเป็ นท่ีโปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หลา้ นภาลยั อยา่ งที่เห็นไดช้ ดั เจน
เมือ่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เสด็จสวรรคต ความสุขและความรุง่ เรืองในชีวติ
ของสุนทรภู่พลนั ดบั วบู ลง สุนทรภู่วิตกวิกลถึงเสถียรภาพของตนเอง ดว้ ยวา่ เคยทาํ ใหพ้ ระบาทสมเด็จ
พระนัง่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ต้งั แต่เม่อื คร้งั ทรงพระดาํ รงพระยศกรมหม่นื เจษฎาบดินทรก์ ร้ ิวหลายคร้งั ความ
วิตกกงั วลดงั กลา่ วทาํ ใหส้ ุนทรภู่ตดั สินใจออกบวชทนั ที
สุนทรภู่ราํ พึงวา่ ทนั ทีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เสด็จสวรรคตชื่อของสุนทรภู่ก็
หายไปจากราชสาํ นัก ตอ้ งมีชีวติ ระหกระเหินเร่ร่อนไปในท่ีต่างๆ เพ่ือหาท่ีพกั อาศยั จึงอธิฐานวา่ ไมว่ ่า
จะเกิดในชาติใด ขอใหไ้ ดเ้ ป็ นขา้ ทลู ละอองธุลีพระบาทของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั อีก
เเละเม่ือใดที่พระองคเ์ สด็จสวรรคต ก็ขอใหต้ นเองตายตามเสด็จไปดว้ ย เพ่ือใหพ้ น้ จากสภาพชีวติ
ลาํ เค็ญเมอ่ื ไมไ่ ดพ้ ึ่งพระบรมโพธิสมภารแลว้ ดงั น้ัน ขอ้ ความที่สุนทรภู่ราํ พนั วา่ “พระนิพพานปาน
ประหน่ึงศีรษะขาด” “ส้ ินแผ่นดินส้ ินนามตามเสด็จ” และ “ส้ ินแผ่นดินขอใหส้ ้ ินชีวิตบา้ ง อยา่ รรู้ า้ งบงกช
บทศรี” จึงสื่อความรสู้ ึกและความปรารถนาจากใจจริงของสุนทรภู่ที่อ่านแลว้ ชวนใหผ้ ูอ้ า่ นสะเทือนใจ
เป็ นอยา่ งย่ิง
อาจกลา่ วไดว้ า่ ความสะเทือนใจของผูอ้ ่านเกิดจากความเขา้ ใจชะตาชีวิตท่ีพลิกผนั จากความสุข
ที่สุดเป็ นทุกขท์ ่ีสุดและเกิดจากกลวิธีการแต่งของสุนทรภ่ทู ี่กล่าวราํ พนั ความทุกขย์ ากของตนเองในขณะที่
แต่งนิราศเร่ืองน้ ี การนําสภาพชีวิตที่ทุกขย์ ากในปัจจุบนั ไปเปรียบกบั ความทุกขใ์ นอดีตทาํ ใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจ
สภาพชีวิตท่ีตรงกนั ขา้ มของสุนทรภู่ในชว่ งชีวิตปัจจุบนั กลบั ในอดีตอยา่ งเด่นชดั
ดว้ ยเหตุดงั กล่าวทาํ ใหน้ ิราศเร่ืองน้ ีแมจ้ ะมีขนาดส้นั ท่ีสุดเมอื่ เทียบกบั งานเร่ืองอื่นของสุนทรภู่แต่
ก็ไดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เป็ นเร่ืองที่ดีท่ีสุดของสุนทรภู่
ขอ้ คิดที่แทรกอยใู่ นนิราศเรื่องน้ ีสว่ นใหญ่เป็ นคาํ สอนของสว่ นของพระพุทธศาสนา เชน่ ไมค่ วรคบชู้
เพราะเป็ นขอ้ หา้ มผิดศีลขอ้ ๓ ดงั ความวา่
ง้ ิวนรกสิบหกกองคุลีแหลม ดงั ขวากแซมเส้ ียมแทรกแตกไสว
ใครทาํ ชูค้ ู่ท่านครน้ั บรรลยั ก็ตอ้ งไปปี นตน้ น่าขนพอง
ไมค่ วรดื่มสุราเพราะทาํ ใหม้ ึนเมาขาดสติผิดสินขอ้ ๕ ดงั ความวา่
โอบ้ าปกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา ใหม้ วั เมาเหมือนหนึ่งบา้ เป็ นน่าอาย
นอกจากน้ ียงั มีคาํ สอนทวั่ ๆไปในการดาํ เนินชีวิตเชน่ การคบคนและการปฏิบตั ิตนต่อผูอ้ ่ืน
๑๑ นิราศภูเขาทอง
วรรณศิลป์ ในนิราศภเู ขาทอง
นอกจากน้ ีราชภเู ขาทองจะมีจุดเด่นท่ีมเี น้ ือหาเกี่ยวกบั ชีวติ และสงั คมไทยแลว้ นิราศเร่ืองน้ ียงั เป็ นท่ี
ยอมรบั ของผูอ้ า่ นวา่ มีความงดงามทางวรรณศิลป์ จากการสรรคาํ ท่ีไพเราะดว้ ยการเลน่ สมั ผัสใน ท้งั
สมั ผสั พยญั ชนะและสมั ผสั สระ และคาํ สมั ผสั เหลา่ น้ันยงั มคี วามหมายชดั เจน กินใจอีกดว้ ย ตวั อยา่ ง
เชน่
ดนู ้ําวิ่งกล้ ิงเช่ียวเป็ นเกลียวกลอก กลบั กระฉอกฉาดฉดั ฉวดั เฉวยี น
บา้ งพลุ่งพลุง่ วุง้ วงเหมือนกงเกวยี น ดูเวยี นเวียนควา้ งควา้ งเป็ นหวา่ งวน
นอกจากน้ ีโวหารที่คมคายยงั มคี วามหมายที่สรา้ งอารมณส์ ะเทือนใจ และสะทอ้ นสจั ธรรมและ
ความจริงของชีวติ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เพราะกวแี ต่งจากประสบการณช์ ีวติ ของตนซ่ึงสว่ นมากเป็ นส่ิงธรรมดา
ท่ีมนุษยท์ ุกคนยอ่ มเคยประสบ นิราศภเู ขาทองจึงเป็ นท่ีติดใจผูอ้ า่ นและนิยมอา้ งกนั ต่อมาจนถึงปัจจุบนั
เชน่
ไมเ่ มาเหลา้ แลว้ แต่เรายงั เมารกั สุดจะหกั หา้ มจิตคิดฉนั ไหน
ถึงเมาเหลา้ เชา้ สายก็หายไป แต่เมาใจประจาํ ทุกคาํ่ คืน
ฯลฯ
เห็นโศกใหญ่ใกลน้ ้ําระกาํ แฝง ท้งั รกั แซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
เหมอื นโศกพี่ที่ชา้ํ รกั กรรมเจือ เพราะรกั เร้ ือแรมสวาทมาคลาดคลาย
ฯลฯ
เคยหมอบใกลไ้ ดก้ ลิ่นสุคนธ์ิตรลบ ละอองอบรสร่ืนช่ืนนาสา
ส้ ินแผ่นดินส้ ินรสสุคนธา วาสนาเราก็ส้ ินเหมือนกลิ่นสุคนธ์
ฯลฯ
เมอ่ื เคราะหร์ า้ ยกายเราก็เท่าน้ ี ไมม่ ที ี่พสุธาจะอาศยั
ลว้ นหนามเหน็บเจ็บแสบคบั แคบใจ เหมือนนกไรร้ งั เร่อยเู่ อกา
ฯลฯ
ในบรรดานิราศ ๙ เร่ืองของสุนทรภู่ ไดแ้ ก่ นิราศเมอื งแกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขา
ทอง นิราศเมืองเพชร นิราศวดั เจา้ ฟ้า นิราศอิเหนา นิราศสุพรรณ นิราศพระประธม และราํ พนั
นิราศภเู ขาทอง ๑๒
พิลาป นิราศภูเขาทองนะเป็ นนิราศเร่ืองเอกที่ดีเด่นท้งั เน้ ือความและสาํ นวนโวหาร ถือเป็ นแบบอยา่ ง
ที่ดีของการแต่งนิราศคาํ กลอนไดเ้ ร่ืองหน่ึง
๑๓ นิราศภเู ขาทอง
บทท่ี ๓
นิราศภเู ขาทอง ๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
ชุลีลาลงเรือเหลืออาไลย
รบั กฐินภิญโญโมทนา เมือ่ ตรุษสารทพระพรรษาไดอ้ าไศรย
ออกจากวดั ทศั นาดูอาวาศ มาจาํ ไกลอารามเมื่อยามเย็น
สามระดูอยูด่ ีไมม่ ไี ภย แต่น้ ีนานนับทิวาจะมาเห็น
โออ้ าวาศราชบุรณะพระวิหาร เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
เหลือราํ ฦกนึกน่าน้ําตากระเด็น ก็ใชถ้ งั แทนสดั เห็นขดั ขวาง
จะยกหยิบธิบดีเปนท่ีต้งั มาอา้ งวา้ งวิญญาในสาคร
จ่ึงจาํ ลาอาวาศนิราศรา้ ง คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเชา้ เยน็
ถึงน่าวงั ดงั หนึ่งใจจะขาด ดว้ ยไรญ้ าติยากแคน้ ถึงแสนเขญ็
โอผ้ ่านเกลา้ เจา้ ประคุณของสุนทร ไมเ่ ลงเห็นที่ซึ่งจะพ่ึงพา
พระนิพพานปานประหน่ึงศีศะขาด ประพฤฒิฝ่ ายสมถะท้งั วสา
ท้งั โรคซ้าํ กรรมซดั วิบตั ิเปน ขอเป็ นขา้ เคียงพระบาททุกชาติไป
จะสรา้ งพรตอดสา่ หส์ ่งบุญถวาย คิดถึงคร้งั กอ่ นมาน้ําตาไหล
เปนสิ่งของฉลองคุณมุลิกา แลว้ ลงในเรือที่นัง่ บลั ลงั กท์ อง
เคยรบั ราชโองการอ่านฉลอง
ถึงน่าแพแลเห็นเรือที่นัง่ มไิ ดข้ อ้ งเคืองขดั หทั ยา
เคยหมอบรบั กบั พระจม่ืนไวย ลอองอบรศร่ืนชื่นนาสา
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนาดถ์ วาศนาเราก็ส้ ินเหมือนกล่ินสุคนธ์
จนกฐินส้ ินแมน่ ้ําในลาํ คลอง ต้งั สติเติมถวายฝ่ ายกุศล
เคยหมอบใกลไ้ ดก้ ล่ินสุคนธต์ ระหลบ ใหผ้ ่องพน้ ไภยสาํ ราญผ่านบุรินทร์
ส้ ินแผ่นดินส้ ินรศสุคนธา ไมเ่ ห็นหลกั ฦๅเล่าวา่ เสาหิน
ดูในวงั ยงั เห็นหอพระอฐั ิ มิรสู้ ้ ินสุดชื่อท่ีฦๅชา
ท้งั ปิ่ นเกลา้ เจา้ พิภพจบสกล แมน้ มอดมว้ ยกลบั ชาติวาศนา
อยคู่ ฟู่ ้าดินไดด้ งั ใจปอง
ถึงอารามนามวดั ประโคนปัก แพประจาํ จอดรายเขาขายของ
เปนสาํ คญั ปันแดนในแผ่นดิน ท้งั สิ่งของขาวเหลืองเครื่องสาํ เภา
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย
อายุยนื หม่ืนเท่าเสาศิลา ๑๔
ไปพน้ วดั ทศั นาริมท่าน้ํา
มีแพรผา้ สารพดั สีมว่ งตอง
นิราศภูเขาทอง
ถึงโรงเหลา้ เตากลนั่ ควนั โขมง มคี นั โพงผูกสายไวป้ ลายเสา
โอบ้ าปกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา ใหม้ วั เมาเหมือนหน่ึงบา้ เปนน่าอาย
ทาํ บุญบวชกรวดน้ําขอสาํ เร็จ พระสรรเพ็ชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไมว่ อดวาย ไมใ่ กลก้ รายแกลง้ เมนิ ก็เกินไป
ไมเ่ มาเหลา้ แลว้ แต่เรายงั เมารกั สุดจะหกั หา้ มจิตรจะคิดไฉน
ถึงเมาเหลา้ เชา้ สายก็หายไป แต่เมาใจน้ ีประจาํ ทุกคาํ่ คืน
มามวั หมองมว้ นหนา้ ไมฝ่ ่ าฝืน
ถึงบางจากจากวดั พลดั พ่ีนอ้ ง จึงตอ้ งขืนใจพรากมาจากเมือง
เพราะรกั ใคร่ใจจืดไมย่ ืดยืน เคยใสซ่ องสง่ ใหล้ ว้ นใบเหลือง
ท้งั พลดั เมืองพลดั สมรมารอ้ นรน
ถึงบางพลคู ิดถึงคู่เมอ่ื อยูค่ รอง ร่มนิโรธรุกขมลู ใหภ้ ลู ผล
ถึงบางพลดั เหมือนพ่ีพลดั มาขดั เคือง ใหผ้ ่องพน้ ไภยพาลสาํ ราญกาย
มีของขงั กุง้ ปลาไวค้ า้ ขาย
ถึงบางโพธ์ิโอพ้ ระศรีมหาโพธ์ิ พวกหญิงชายพรอ้ มเพรียงมาเมยี งมอง
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล ทรมานหมน่ ไหมฤ้ ไทยหมอง
พึ่งฉลองเลิกงานเม่ือวานซืน
ถึงบา้ นญวนลว้ นแต่โรงแลสพรงั่ มาผูกโบสถก์ ็ไดม้ าบชู าช่ืน
ตรงน่าโรงโพงพางเขาวางราย ท้งั แปดหม่ืนส่ีพนั ไดว้ นั ทา
จะเหลียวกลบั ลบั เขตรประเทศสถาน เพราะตวั ตอ้ งตกประดาษวาศนา
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง พอนาวาติดชลเขา้ วนเวยี น
กลบั กระฉอกฉาดฉดั ฉวดั เฉวียน
โอป้ างหลงั คร้งั สมเด็จพระบรมโกษฐ์ ดูเปลี่ยนเปล่ียนควา้ งควา้ งเปนหวา่ งวน
ชมพระพิมพร์ ิมผนังยงั ยงั่ ยืน ครรไลลว่ งเลยทางมากลางหน
โอค้ ร้งั น้ ีมไิ ดเ้ ห็นเลน่ ฉลอง ใจยงั วนหวงั สวาด์ิไมค่ ลาศคลา
เปนบุญน้อยพลอยนึกโมทนา สองฟากฝั่งก็แต่ลว้ นสวนพฤกษา
ดูน้ําวิ่งกล้ ิงเชี่ยวเปนเกลียวกลอก เหมือนกลิ่นผา้ แพรราํ่ ดาํ มะเกลือ
บา้ งพลุ่งพลุง่ วุง้ วงเหมอื นกงเกวยี น ท้งั รกั แซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
ท้งั หวั ทา้ ยกรายแจวกระชากจว้ ง เพราะรกั เร้ ือแรมสวาด์ิมาคลาศคลาย
โอเ้ รือพน้ วนมาในสาชล มพี ่วงแพแพรพรนั เขาคา้ ขาย
พวกหญิงชายชุมกนั ทุกวนั คืน
ตลาดแกว้ แลว้ ไมเ่ ห็นตลาดต้งั
โอร้ ินรินกล่ินดอกไมใ้ กลค้ งคา
เห็นโศกใหญ่ใกลน้ ้ําระกาํ แฝง
เหมือนโศกพ่ีที่ระกาํ ก็ซ้าํ เจือ
ถึงแขวงนนทช์ ลมารถตลาดขวญั
ท้งั ของสวนลว้ นแต่เรือเรียงราย
๑๕ นิราศภเู ขาทอง
มาถึงบางธรณีทวีโศก ยามวโิ ยคยากใจใหส้ อ้ ืน
โอส้ ุธาหนาแน่นเปนแผ่นพ้ ืน ถึงส่ีหมื่นสองแสนท้งั แดนไตร
เมอ่ื เคราะหร์ า้ ยกายเราก็เท่าน้ ี ไมม่ ีท่ีพสุธาจะอาไศรย
ลว้ นหนามเหน็บเจ็บแสบคบั แคบใจ เหมือนนกไรร้ งั เร่อยเู่ อกา
ผูห้ ญิงเกลา้ มวยงามตามภาษา
ถึงเกร็ดยา่ นบา้ นมอญแต่ก่อนเก่า ท้งั ผดั หนา้ จบั กระเหมา่ เหมือนชาวไทย
เดี๋ยวน้ ีมอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา เหมอื นอยา่ งเยี่ยงชายหญิงท้ ิงวไิ สย
โอส้ ามญั ผนั แปรไมแ่ ทเ้ ที่ยง ที่จิตรใครจะเปนหนึ่งอยา่ พึงคิด
นี่ฤๅจิตรคิดหมายมหี ลายใจ มคี นรกั รศถอ้ ยอร่อยจิตร
จะชอบผิดในมนุษยเ์ พราะพดู จา*
ถึงบางพดู พดู ดีเปนศรีศกั ด์ิ จะหาบา้ นใหม่มาดเหมือนปราถนา
แมน้ พดู ชวั่ ตวั ตายทาํ ลายมิตร จะไดผ้ าศุกสวสั ด์ิกาํ จดั ไภย
บงั เกิดชาติแมลงหวมี่ ใี นไส้
ถึงบา้ นใหมใ่ จจิตรก็คิดอ่าน อุประมยั เหมือนมะเด่ือเหลือระอา
ขอใหส้ มคะเนเถิดเทวา สูเ้ สียศกั ด์ิสงั วาศพระสาสนา
ถึงนางฟ้าจะมาใหไ้ มไ่ ยดี
ถึงบางเด่ือโอม้ ะเด่ือเหลือประหลาด พระพุทธเจา้ หลวงบาํ รุงซึ่งกรุงศรี
เหมอื นคนพาลหวานนอกยอ่ มขมใน ชื่อประทุมธานีเพราะมบี วั
แต่ช่ือต้งั ก็ยงั อยเู่ ขารทู้ วั่
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรกั ไมร่ อดชวั่ เช่นสามโคกยิง่ โศกใจ
เปนลว่ งพน้ รนราคราคา ตอ้ งเที่ยวเตร็ดเตรห่ าท่ีอาไศรย
ขอใหไ้ ดเ้ ปนขา้ ฝ่ าธุลี
ถึงสามโคกโศกถวลิ ถึงป่ิ นเกลา้ อยา่ รรู้ า้ งบงกชบทศรี
ประทานนามสามโคกเปนเมอื งตรี ทุกวนั น้ ีก็ซงั ตายทรงกายมา
โอพ้ ระคุณสญู ลบั ไมก่ ลบั หลงั ไมม่ ฝี งู สตั วส์ ิงก่ิงพฤกษา
โอเ้ ราน้ ีที่สุนทรประทานตวั นึกก็น่ากลวั หนามขามขามใจ
ส้ ินแผ่นดินส้ ินนามตามเสด็จ ดงั ขวากแซมเซ่ียมแซกแตกไสว
แมน้ กาํ เนิดเกิดชาติใดใด ก็ตอ้ งไปปี นตน้ น่าขนพอง
ส้ ินแผ่นดินขอใหส้ ้ ินชีวิตรบา้ ง ยงั คลาศแคลว้ ครองตวั ไม่มวั หมอง
เหลืออาไลยใจตรมระทมทวี เจียนจะตอ้ งปี นบา้ งฤๅอยา่ งไร
ถึงบา้ นง้ ิวเห็นแต่ง้ ิวละล่ิวสูง
ดว้ ยหนามดกรกดาษระดะตา
ง้ ิวนรกสิบหกองคุลีแหลม
ใครทาํ ชคู้ ่ทู ่านคร้นั บรรไลย
เราเกิดมาอายุเพียงน้ ีแลว้
ทุกวนั น้ ีวิปริตผิดทาํ นอง
นิราศภูเขาทอง ๑๖
โอค้ ิดมาสารพดั จะตดั ขาด ตดั สวาด์ิตดั รกั มยิ กั ไหว
ถวลิ หวงั นัง่ นึกอนาถใจ ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเยน็
ดหู ่างยา่ นบา้ นช่องท้งั สองฝั่ง ระวงั ท้งั สตั วน์ ้ําจะทาํ เขญ็
เปนที่อยผู่ ูร้ า้ ยไมว่ ายเวน้ เท่ียวซ่อนเรน้ ตีเรือเหลือระอา
ดมู วั มนมืดมิดทุกทิศา
พระสุริยงลงลบั พยบั ฝน ท้งั แฝกคาแขมกกข้ ึนรกเร้ ียว
ถึงทางลดั ตดั ทางมากลางนา ท้งั กวา้ งขวางขวญั หายไมว่ ายเหลียว
เปนเงางา้ํ น้ําเจ่ิงดูเว้ ิงวา้ ง ลว้ นเรือเพรียวพรอ้ มหนา้ พวกปลาเลย
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว เรือเราฝืดเฝือมานิจาเอ๋ย
เขาถ่อคล่องวอ่ งไวไปเปนยดื ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเขา้ พงรก
ตอ้ งถ่อค้าํ ราํ่ ไปท้งั ไม่เคย เรือขย่อนโยกโยนกะโถนหก
กลบั ถอยหลงั รง้ั รอเฝ้าถ่อถอน น้ําคา้ งตกพร่างพรายพระพายพดั
เงียบสงดั สตั วป์ ่ าคณานก พอหยุดยุงฉูชุมมารุมกดั
ไมเ่ ห็นคลองตอ้ งคา้ งอยูก่ ลางทุ่ง ตอ้ งนัง่ ปัดแปะไปมไิ ดน้ อน
เปนกลุ่มกลุ่มกลุม้ กายเหมือนทรายซดั ในทุ่งกวา้ งเห็นแต่แขมแซมสลอน
กะเรียนร่อนรอ้ งกอ้ งเมือ่ สองยาม
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอา้ งวา้ ง พระพายเฉ่ือยฉิวฉิววะหวิวหวาม
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอมั พร ถึงเม่ือยามยงั อุดมโสมนัศ
ท้งั กบเขยี ดเกรียดกรีดจงั หรีดเรื่อย อยแู่ วดลอ้ มหลายคนปรนนิบตั ิ
วงั เวงจิตรคิดคนึงราํ พึงความ ช่วยนัง่ ปัดยุงใหไ้ มไ่ กลกาย
สาํ รวลกบั เพื่อนรกั สพรกั พรอ้ ม รดะดอกบวั เผื่อนเมื่อเดือนหงาย
โอย้ ามเข็ญเห็นอยแู่ ต่หนูพดั ขา้ งน่าทา้ ยถ่อมาในสาคร
จนเดือนเด่นเห็นนกกระจบั จอก ดนู ่ารกั บรรจงส่งเกสร
เห็นร่องน้ําลาํ คลองท้งั สองฝ่ าย กา้ มกุง้ ซอ้ นเสียดสาหร่ายใตค้ งคา
จนแจ่มแจง้ แสงตวนั เห็นพรรณผกั เปนเหลา่ เหลา่ แลรายท้งั ซา้ ยขวา
เหล่าบวั เผ่ือนแลสลา้ งริมทางจร ดาษดาดูขาวดงั่ ดาวพราย
สายติ่งแกมแซมสลบั ตน้ ตบั เต่า จะลงเล่นกลางทุ่งเหมอื นมุ่งหมาย
กระจบั จอกดอกบวั บานผกา เที่ยวถอนสายบวั ผนั สนั ตวา
โอเ้ ช่นน้ ีสีกาไดม้ าเห็น ไหนจะน่ิงดูดายอายบุบผา
ท่ีมีเรือนอ้ ยนอ้ ยจะลอยพาย อุสา่ หห์ าเอาไปฝากตามยากจน
ถึงตวั เราเล่าถา้ ยงั มโี ยมหญิง ข้ เี กียจเก็บเลยทางมากลางหน
คงจะใชใ้ หศ้ ิษยท์ ่ีติดมา
นี่จนใจไมม่ ีเท่าข้ ีเล็บ
๑๗ นิราศภูเขาทอง
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน ถึงตาํ บลกรุงเกา่ ย่งิ เศรา้ ใจ
มาทางท่าน่าจวนจอมผูร้ ้งั คิดถึงครง้ั ก่อนมาน้ําตาไหล
ก็จะไดร้ บั นิมนตข์ ้ นึ บนจวน
จะแวะหาถา้ ท่านเหมือนเมื่อเปนไวย[๑] อกมแิ ตกเสียฤๅเราเขาจะสรวล
แต่ยามยากหากวา่ ถา้ ท่านแปลก จะตอ้ งมว้ นหนา้ กลบั อปั ระมาณ
เหมือนเขญ็ ใจใฝ่ สูงไมส่ มควร ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
ท้งั เพลงการเก้ ียวแกก้ นั แซ่เซง
มาจอดท่าหนา้ วดั พระเมรุขา้ ม ระนาดรบั รวั คลา้ ยกบั นายเส็ง
บา้ งข้ ึนล่องรอ้ งลาํ เล่นสาํ ราญ เมื่อคราวเคร่งก็มิใครจ่ ะไดด้ ู
บา้ งฉลองผา้ ป่ าเสภาขบั ชา่ งยาวลากเล้ ือยเจ้ ือยจนเหน่ือยหู
มโี คมรายแลอร่ามเหมือนสาํ เพ็ง จนลกู คูข่ อทุเลาวา่ หาวนอน
อา้ ยลาํ หน่ึงคร่ึงท่อนกลอนมนั มาก จนสงดั เงียบหลบั ลงกบั หมอน
ไมจ่ บบทลดเล้ ียวเหมอื นเง้ ียวงู อา้ ยโจรจรจ่จู ว้ งเขา้ ลว้ งเรือ
ไดฟ้ ังเล่นต่างต่างที่ขา้ งวดั มนั ดาํ ล่องน้ําไปช่างไวเหลือ
ประมาณสามยามคล้าํ ในอมั พร เหมือนเน้ ือเบ้ ือบา้ เคอะดูเซอะซะ
นาวาเอียงเสียงกุกลุกข้ ึนรอ้ ง ไมเ่ สียของขาวเหลืองเคร่ืองอฏั ฐะ
ไมเ่ ห็นหนา้ สานุศิษยท์ ่ีชิดเช้ ือ ไชยชนะมารไดด้ งั ใจปอง
แต่หนูพดั จดั แจงจุดเทียนส่อง เจริญรศธรรมาบชู าฉลอง
ดว้ ยเดชะตบะบุญกบั คุณพระ ดสู ูงล่องลอยฟ้านภาไลย
เปนท่ีเล่นนาวาคงคาใส
ครน้ั รุ่งเชา้ เขา้ เปนวนั อุโบสถ คงคงไลยลอ้ มรอบเปนขอบคนั
ไปเจดียท์ ่ีชื่อภเู ขาทอง ในจงั หวดั วงแขวงกาํ แพงกน้ั
อยกู่ ลางทุ่งรุ่งโรจน์สนั โดดเด่น เปนสามชน้ั เชิงชานตระหงา่ นงาม
ที่พ้ ืนลานฐานบทั มถ์ ดั บนั ได ต่างชมช่ืนชวนกนั ข้ ึนชน้ั สาม
มีเจดียว์ หิ ารเปนลานวดั ไดเ้ สร็จสามรอบคาํ นับอภิวนั ท์
ท่ีองคก์ อ่ ยอ่ เหล่ียมสลบั กนั ดว้ ยพระพายพดั เวยี นอยูเ่ หียนหนั
บนั ไดมีส่ีดา้ นสาํ ราญร่ืน
ประทกั ษิณจินตนาพยายาม
มีหอ้ งถ้าํ สาํ หรบั จุดเทียนถวาย
นิราศภเู ขาทอง ๑๘
เปนลมทกั ขณิ าวตั รน่าอศั จรรย์ แต่ทุกวนั น้ ีชราหนักหนานัก
ท้งั องคฐ์ านรานรา้ วถึงเกา้ แสก เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหกั
โอเ้ จดียท์ ่ีสรา้ งยงั รา้ งรกั เสียดายนักนึกน่าน้ําตากระเด็น
กระน้ ีฤๅช่ือเสียงเกียรติยศ จะมหิ มดล่วงน่าทนั ตาเห็น
เปนผูด้ ีมมี ากแลว้ ยากเยน็ คิดก็เปนอนิจจงั เสียท้งั น้ัน
บรรจุธาตุที่ต้งั นรงั สรรค์
ขอเดชะพระเจดียค์ ิรีมาศ เปนอนันตอ์ านิสงสด์ าํ รงกาย
ขา้ อุส่าหม์ าเคารพอภิวนั ท์ ใหบ้ ริสุทธสมจิตรท่ีคิดหมาย
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ แสนสบายบริบูรณป์ ระยูรวงค์
ท้งั ทุกขโ์ ศกโรคไภยอยา่ ใกลก้ ราย ใหช้ นะใจไดอ้ ยา่ ใหลหลง
ท้งั โลโภโทโสแลโมหะ ท้งั ใหท้ รงศีลขนั ธใ์ นสนั ดาน
ขอฟุ้งเฟ่ื องเรืองวิชาปัญญายง อยา่ เมามวั หมายรกั สมคั สมาน
อีกสองส่ิงหญิงรา้ ยแลชายชวั่ ตราบนิพพานภาคน่าใหถ้ าวร
ขอสมหวงั ต้งั ประโยชน์โพธิญาณ พบพระธาตุสถิตยใ์ นเกสร
ประคองชอ้ นเชิญองคล์ งนาวา
พอกราบพระปะดอกประทุมชาต ใสข่ วดแกว้ วางไวใ้ กลเ้ กษา
สมถวลิ ยินดีชุลีกร ไมป่ ะตาตนั อกยงิ่ ตกใจ
กบั หนูพดั มสั การสาํ เร็จแลว้ ใจจะขาดคิดมาน้ําตาไหล
มานอนกรุงรุ่งข้ ึนจะบชู า เสียน้ําใจเจียนจะด้ ินส้ ินชีวนั
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ กาํ เริบโรครอ้ นฤไทยเฝ้าใฝ่ ฝัน
โอบ้ ุญนอ้ ยลอยลบั ครรไลไกล ใหล้ อ่ งวนั หน่ึงมาถึงธานี
สุดจะอยดู่ อู ื่นไมฝ่ ืนโศก ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินศรี
พอกรู่กรสู่ ุริฉายข้ นึ พรายพรรณ ไวเ้ ปนท่ีโสมนัสทศั นา
ท้งั สถูปบรมธาตุพระสาสนา
ประทบั ท่าน่าอรุณอารามหลวง ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
นิราศเร่ืองเมืองเก่าของเราน้ ี แรมนิราศรา้ งมิตรพิศมยั
ดว้ ยไดไ้ ปเคารพพระพุทธรูป ตามนิไสยกาพยก์ ลอนแต่ก่อนมา
เปนนิไสยไวเ้ หมือนเตือนศรทั ธา สารพดั เพียญฉนังเครื่องมงั สา
ใช่จะมที ่ีรกั สมคั มาด ตอ้ งโรยหนา้ เสียสกั หน่อยอรอ่ ยใจ
ซ่ึงครวญคราํ่ ทาํ ทีพิร้ ีพิไร อยา่ นึกนินทาแกลง้ แหนงไฉน
เหมือนแมค่ รวั ขว้ั แกงแพนงผดั จึงราํ่ ไรเรื่องรา้ งเล่นบา้ งเอย ฯ
อนั พริกไทยใบผกั ชีเหมือนสีกา
จงทราบความตามจริงทุกสิ่งส้ ิน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศรา้ ใจ
*บทอาขยานบทหลกั
[๑] คอื พระยาไชยวชิ ิต (เผือก) ท่ีทาํ วดั น่าวดั พระเมรุ เปนเจา้ บทเจา้ กลอน เหมอื นกนั .
๑๙ นิราศภเู ขาทอง
คาํ อธบิ ายศพั ท์ บทท่ี ๔
กา้ มกุง้ ชื่อพนั ธุไ์ มข้ นาดยอ่ มชนิดหนึ่ง เกิดชายน้ํา มีรสขม
กาํ เรบิ โรครอ้ นฤไทย ความรอ้ นใจทวีข้ นึ
เกรยี ด เสียงเขียดรอ้ ง
ขยอ่ น โคลง ในความวา่ “เรือขยอ่ นโยกโยนกระโถนหก”
ขวญั หาย ตกใจ, ใจหาย
ขวาก ไมห้ รือเหล็กเป็ นตน้ มีปลายแหลม สาํ หรบั ปักหรือโปรยเพ่ือดกั
หรือใหต้ าํ ผูผ้ ่านเขา้ ไป
ของขาวเหลอื ง ของใชท้ ี่ทาํ ดว้ ยโลหะสีเงินและสีทอง หรือหมายถึงเครื่องนุ่งหม่ สี
เหลืองของพระภิกษุและสีขาวของฆราวาส
ขามใจ ครา้ ม เกรง
ครงึ่ ทอ่ น เพลงพ้ ืนบา้ นชนิดหน่ึง
เคร่อื งมงั สา เครื่องปรุงประเภทเน้ ือสตั ว์
เครอ่ื งอฏั ฐะ หมายถึง เครื่องอฏั ฐบริขาร เคร่ืองใชข้ องสงฆ์ ๘ อยา่ ง มีสบง จีวร
สงั ฆาฏิ รดั ประคด บาตร มีด เข็ม และเคร่ืองกรองน้ํา
ง้ ิวนรกสิบหกองคุลีแหลม ง้ ิวเป็ นตน้ ไมช้ นิดหน่ึงที่มหี นามแหลม อยใู่ นโลหสิมพลีนรก ซ่ึง
เป็ นที่ลงโทษผูท้ ี่ประพฤติผิดในกาม เมื่อตายไปตกนรกที่มีป่ าไมง้ ้ ิว
ชลมารถ และตอ้ งปี นตน้ ง้ ิวซึ่งมหี นามยาว ๑๖ องคุลี เป็ นเหล็กแดงลุกเป็ น
ชุลี เปลวไมร่ จู้ กั ดบั
ทางน้ํา
ตบะ มาจากคาํ ว่า อญั ชลี แผลงเป็ น อญั ชุลี ตดั เหลือเพียง ชุลี หมายถึง
การไหว้ การประนมมือ
นิราศภูเขาทอง การบาํ เพ็ญเพ่ือใหก้ ิเลสเบาบาง
๒๐
ตรุษสารท ตรุษ คือ นักขตั ฤกษ์เมอ่ื เวลาส้ ินปี สารท คือ เทศกาลทาํ บุญส้ ิน
เดือนสิบ
ตบั เตา่
ช่ือไมน้ ้ําชนิดหนึ่ง ใบกลม ดอกสีมว่ งอ่อน ใบใชเ้ ป็ นผกั , ผกั อีแปะ
ตามนิไสย ก็เรียก
ตเี รอื
ถ่อค้าํ ตามแบบแผนท่ีเคยทาํ กนั มาก่อน
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกลก้ รายแกลง้ เมินก็เกินไป
ชิงสิ่งของในเรือ
ท้ งิ วิสยั
ธบิ ดี ไมส้ าํ หรบั คา้ํ ใหเ้ รือไปขา้ งหนา้ หรือถอยหลงั
นรงั สรรค์
ถึงแมว้ า่ เรื่องสุรา (คือขอ้ หา้ มเร่ืองสุรา) จะพาตวั ใหร้ อดไปในทาง
นอนกรุง ที่ดีได้ แต่จะใหต้ ดั ขาดจากสุราเสียเลยก็คงยาก
นิพพาน
ท้ ิงขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม
นิโรธ
บงกชบทศรี มาจากคาํ วา่ อธิบดี หมายถึง ผูเ้ ป็ นใหญ่
บรมธาตุ น่าจะมาจากคาํ วา่ นร กบั รงั สรรค์ มีความหมายตามบริบทวา่ ที่
บทั ม์ มผี ูส้ รา้ งข้ นึ
บาทบพิตรอดิศร
หมายถึง นอนคา้ งท่ีกรุงเก่า
หมายถึง การดบั สนิทของกิเลสและกองทุกข์ ในความวา่ “ตราบ
นิพพานขา้ งหนา้ ใหถ้ าวร” ในเรื่องน้ ีสุนทรภู่ยงั ใชค้ าํ วา่ นิพพานใน
ความหมายว่า สวรรคตดว้ ย ในความวา่ “พระนิพพานปาน
ประหน่ึงศีรษะขาด”
ความดบั ทุกข์
หมายถึง องคพ์ ระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หลา้ นภาลยั
กระดกู ของพระพุทธเจา้
บวั ฐานบทั ม์ คือ ฐานท่ีทาํ เป็ นรปู กลีบบวั
หมายถึง องคพ์ ระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หลา้ นภาลยั
๒๑ นิราศภเู ขาทอง
ปทุมชาต ชนิดบวั ตระกูลบวั เหลา่ บวั
ประดาษ ตาํ่ ชา้ หมายถึง ส้ ินวาสนา
ประทกั ษิณ การเดินตามเข็มนาฬกิ า โดยใหส้ ่ิงท่ีเรานับถือหรือผูท้ ี่เรานับถืออยู่
ประยรู วงศ์ ทางขวาของผูเ้ วียน
แปดหมื่นสพี่ นั เผ่าพนั ธุ์ เช้ ือสาย ตระกูล
ผ่านเกลา้ ในท่ีน้ ีคือจาํ นวนพระพิมพใ์ นวดั ซ่ึงเท่ากบั จาํ นวนพระธรรมแปด
ผ่านบุรนิ ทร์ หม่นื ส่ีพนั ขอ้ ในพระไตรปิ ฎก
ผา้ แพนดาํ ราํ่ มะเกลอื พระเจา้ แผ่นดิน
แฝกคาแขมกก ปกครองบา้ นเมือง
ผา้ แพรท่ียอ้ มเป็ นสีดาํ ดว้ ยผลมะเกลือซ่ึงเป็ นตน้ ไมช้ นิดหนึ่งและ
พจนารถ อบราํ่ ใหม้ กี ล่ินหอม
พรรษา ช่ือพืชน้ํา ๔ ชนิด ไดแ้ ก่
พระเจดียค์ ีรีมาศ แฝก ช่ือหญา้ ชนิดหน่ึงข้ ึนเป็ นกอ ใบยาว ใชม้ ุงหลงั คาและทาํ ยา
พระชินสหี ์ คา ชื่อหญา้ ชนิดหนึ่งใชใ้ บทาํ เป็ นตบั มุงหลงั คา
พระธาตุ แขม ช่ือไมล้ ม้ ลุกชนิดหน่ึง มกั ข้ นึ ตามชายน้ําชายป่ าและชายเขาท่ี
ชุ่มช้ ืน, พง ก็เรียก
นิราศภูเขาทอง กก ช่ือพรรณไมข้ ้ ึนในท่ีลุ่มแฉะ มหี ลายชนิด ลาํ ตน้ กลมใชส้ านเส่ือ
เน้ ือความของคาํ พดู
ฝน ปี ทางพระพุทธศาสนาใชห้ มายถึงชว่ งเวลา ๓ เดือนในฤดฝู น
ที่พระสงฆต์ อ้ งอยูป่ ระจาํ ในวดั
พระเจดียภ์ เู ขาทอง
พระนามหนึ่งของพระพุทธเจา้ แปลวา่ ผูช้ นะ
กระดูกของพระพุทธเจา้ หรือพระอรหนั ต์
๒๒
พระพิมพ์ พระเครื่องที่สรา้ งข้ นึ ตา
พระสรรเพชญโพธญิ าณ
พระสุรยิ ง พระพุทธเจา้ ผูท้ รงตรสั รู้
พสุธา, สุธา
พภิ พ ดวงอาทิตย์
เพียญฉนงั
แผ่นดิน
โพงพาง
ภญิ โญ โลก
มว้ นหนา้
เม่ือเป็ นไวย มาจากคาํ วา่ พยญั ชนะ ซึ่งหมายถึงกบั ขา้ วท่ีไมใ่ ชแ่ กง ส่วน สูปะ
หมายถึง กบั ขา้ วประเภทแกง
โมทนา ท่ีสาํ หรบั กางอวนดกั ปลา ใชป้ ักเสาไวเ้ ป็ นช่องๆ ตามแมน่ ้ํา
ยอ่ เหล่ียม
ยิง่ ข้ นึ
ซ่อนหนา้ เพราะความอาย
เม่อื เป็ นเจา้ หม่ืนไวยวรนาถ หมายถึง พระไชยวิชิต (เผือก)
ผูร้ กั ษากรุงเกา่ เคยสนิทสนมกบั สุนทรภู่มาก่อนคร้งั ก่อนคร้งั
รชั กาลท่ี ๒ ในความวา่ “จะแวะหาถา้ ท่านเหมือนเมอ่ื เป็ นไวย”
มาจากคาํ ว่า อนุโมทนา พลอยยนิ ดี
วิธียอ่ มุมไมห้ รือมุมส่ิงก่อสรา้ งดว้ ยอิฐปนู เชน่ เจดีย์ ใหเ้ ป็ นมุมละ
สามหยกั หรือมากกวา่ หากเป็ นมุมละ ๓ หยกั ๔ มุม รวมเป็ น ๑๒
หยกั ก็เรียกวา่ ไมส้ ิบสอง
ราคา มาจากคาํ ว่า ราคะ หมายถึง ความยินดีในกามารมณ์ ในความวา่
“เป็ นล่วงพน้ รนราคราคา”
๒๓
นิราศภเู ขาทอง
รุกขมูล โคนตน้ ไม้
เรือเพรยี ว เรือเล็กยาว เป็ นเรือแล่นเร็ว
โรง สิ่งปลกู สรา้ งท่ีมีหลงั คาคลุมสาํ หรบั เป็ นที่อยู่อาศยั หรือใชส้ าํ หรบั
คา้ ขาย
ลมทกั ษิณาวตั ร ลมท่ีพดั เวียนขวาตามเข็มนาฬกิ า เชื่อกนั วา่ เป็ นสิริมงคล
โลโภโทโสและโมหะ โลภ โกรธ หลง
วิบตั ิ ความหายนะ
ศีลขนั ธ์ หมวดศีล
สถปู ส่ิงกอ่ สรา้ งสาํ หรบั บรรจุของควรบชู า มกี ระดกู ของบุคคลที่นับถือ
เป็ นตน้
สวาท ในความวา่ “ท้งั รกั แซงแซมสวาทประหลาดเหลือ” เป็ นช่ือตน้ ไม้
ชนิดหนึ่ง ปัจจุบนั ใชค้ าํ วา่ สวาดด กวใี ช้ สวาท เพ่ือเล่นคาํ ให้
สดั หมายถึงความรกั
ภาชนะสาํ หรบั ตวงขา้ วชื่อมาตราตวง ๒๕ ทะนาน มีอตั ราเท่ากบั
สนั ตะวา ๒๐ ลิตร ต่างจากถงั ซ่ึงเป็ นมาตราตวงเท่ากบั ๒๐ ทะนาน
สรา้ งพรต ช่ือไมน้ ้ําชนิดหนึ่ง ใบบาง สีเขยี วอมน้ําตาล กินได้
สาชล บาํ เพ็ญพรต ในท่ีน้ ีหมายถึง บวชเป็ นพระ
สายตงิ่ สายน้ํา โดยทวั่ ไปใชค้ าํ วา่ สายชล
สาํ รวล ช่ือไมช้ นิดหน่ึง กินได้ บวั สายติ่งหรือบวั สายท้ ิง ก็เรียก
ส่ีหม่ืนสองแสนทง้ั แดนไตร แผลงมาจาก คาํ ว่า สรวล แปลวา่ หวั เราะ ร่ืนเริง
ในที่น้ ีคือ สองแสนสี่หม่ืน เป้นความลึกหรือความหนาของแผ่นดิน
หนูพดั ตามความเช่ือของคนโบราณ
เหยี นหนั ช่ือบุตรคนหนึ่งของสุนทรภู่
แปรผนั หมุน
นิราศภูเขาทอง
๒๔
อภิวนั ท์ ไหว้
อปั ระมาณ
อปมาน หมายถึง การดูถูก การดูหมิ่น การทาํ ใหอ้ บั อาย ในท่ีน้ ี
อานิสงส์ หมายถึง อบั อาย ในความหมายวา่ “จะตอ้ งมว้ นหนา้ กลบั
อปั ระมาณ”
ผลแห่งบุญ
๒๕ นิราศภเู ขาทอง
พินิจคณุ ค่าภาษาศิลป์
วิเคราะหเ์ น้ ือหา
๑. อา่ นเร่ืองนิราศภูเขาทองแลว้ แบ่งกลุ่มเรียบเรียงเป็ นรอ้ ยแกว้ ลาํ ดบั เน้ ือความโดยใชส้ าํ นวน
ของนักเรียน
๒. ระบุขอ้ คิดคาํ สอนที่ปรากฏในเร่ือง เช่น การพดู การคบคน หรือโทษของสุรา แลว้ จดั ทาํ ป้ายนิเทศ
ขอ้ คิด คาํ สอน ติดประกาศหนา้ ช้นั เรียน
๓. วาดภาพประกอบบทประพนั ธต์ อนท่ีนักเรียนชอบตามจินตนาการของนักเรียน
พจิ ารณาภาษาการประพนั ธ์
๑. อธิบายลกั ษณะคาํ ประพนั ธป์ ระเภทกลอนนิราศ และวธิ ีการต้งั ชื่อเรื่อง
๒. คาํ ประพนั ธต์ ่อไปน้ ีใชถ้ อ้ ยคาํ ส่ืออารมณค์ วามรสู้ ึกและใหภ้ าพสอดคลอ้ งกบั เน้ ือเร่ืองอยา่ งไรบา้ ง
กลบั ถอยหลงั รง้ั รอเฝ้าถ่อถอน เรือขยอ้ นโยกโยนกระโถนหก
เงียบสงดั สตั วป์ ่ าคณานก น้ําคา้ งตกพรา่ งพรายพระพายพดั
ไมเ่ ห็นคลองตอ้ งคา้ งอยูก่ ลางทุ่ง พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกดั
เป็ นกลุ่มกลุ่มกลุม้ กายเหมือนทรายซดั ตอ้ งนัง่ ปัดแปะไปมิไดน้ อน
๓. รวบรวมความเปรียบที่ปรากฏในบทประพนั ธเ์ รื่องนิราศภเู ขาทอง
๔. อ่านทาํ นองเสนาะเป็ นกลุม่ หรือรายบุคคล โดยใชน้ ้ําเสียงและสอดแทรกอารมณต์ ามเน้ ือหา และเลือก
คาํ ประพนั ธท์ ่ีนักเรียนชอบหรือหรือเห็นว่าไพเราะท่องจาํ ไว้
เลอื กสรรนาํ ไปใช้
๑. ศึกษานิราศเรื่องอื่นๆ ของสุนทรภู่เพิ่มเติมตามความสนใจ เช่น นิราศ เมืองแกลง นิราศพระบาท
๒. เขยี นเสน้ ทางการเดินทางของสุนทรภู่ คน้ ควา้ รวบรวมประวตั ิของสถานท่ี และวิถีของชุมชน ท่ีปรากฏ
ในเร่ือง
๓. จดั ทศั นศึกษาวดั ภูเขาทองและแหล่งเรียนรูต้ ่างๆ ในจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา แลว้ เขียนบนั ทึกการ
เดินทางเป็ นรอ้ ยแกว้ หรือรอ้ ยกรองตามความสามารถของนักเรียน
นิราศภูเขาทอง ๒๖
ภาคผนวก
ประวตั ขิ องสุนทรภู่
สุนทรโวหาร (ภู่) หรือ สุนทรภู่ เกิดเมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ ๒๓๒๙ สมเด็จพระเจา้
บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ไดท้ รงสนั นิษฐานวา่ บิดาขอสุนทรภู่เป็ นชาวเมืองแกลง
จงั หวดั ระยอง สว่ นมารดาเป็ นชาวเมืองอ่ืน ท้งั สองมาอยดู่ ว้ ยกนั ในกรุงเทพฯ ต่อมา บิดามารดาหยา่
กนั บิดาจึงบวชและกลบั ไปอยทู่ ่ีเมืองแกลง ส่วนมารดาไดเ้ ขา้ ถวายตวั เป็ นนางนมของพระธิดาในกรม
พระราชวงั หลงั สุนทรภู่จึงอยกู่ บั มารดาและไดถ้ วายตัวเป็ นขา้ ในกรมพระราชวงั หลงั ต้งั แต่เด็ก
สุนทรภู่เรียนหนังสือที่วดั ชีปะขาว
(วดั ศรีสุดาราม ฝัง่ ธนบุรี) แลว้ ได้
ทาํ งานเป็ นเสมียนนายระวางกรมพระคลงั สวน
ดว้ ยนิสยั ชอบการแต่งกลอนจึงสามารถบอก
ดอกสรอ้ ยสกั วาไดต้ ้งั แต่ยงั หนุ่ม ต่อมากลบั มา
ไดอ้ ยทู่ ่ีพระราชวงั หลงั ลอบมีความสมั พนั ธท์ าง
ชูส้ าวกบั แมจ่ นั ซ่ึงเป็ นหญิงชาววงั จึงถูกลงโทษ
ท้งั คู่ เม่อื พน้ โทษในปี พ.ศ. 2549 สุนทรภู่
เดินทางไปหาบิดาท่ีเมืองแกลง แลว้ จึงกลบั มา
อยกู่ รุงเทพฯ ไดเ้ ป็ นมหาดเล็กของพระองคเ์ จา้
ปฐมวงศ์ ซ่ึงเป็ นพระโอรสในกรมพระราชวงั หลงั
และไดแ้ มจ่ นั เป็ นภรรยาจะอยูไ่ ดไ้ มน่ านก็โกรธ
กนั และถึงกบั หยา่ ขาดจากกนั ในภายหลงั
ครน้ั ถึงรชั กาลท่ี ๒ สุนทรภู่เขา้ รบั
ราชการเป็ นอาลกั ษณเ์ ป็ นท่ีโปรดปรานของ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ใน
ฐานะกวีประจาํ ราชสาํ นัก ทรงพระกรุณาโปรด
เกลา้ โปรดกระหมอ่ มแต่งต้งั ใหเ้ ป็ นขุนสุนทร
โวหาร ครง้ั หนึ่งสุนทรภู่เมาสุราทุบตีญาติ
บาดเจ็บสาหสั จึงถูกจาํ คุก และในช่วงน้ ีเอง
สุนทรภู่ไดแ้ ต่งเร่ืองพระอภยั มณีข้ ึน เมือ่ พน้ โทษก็เขา้ รบั ราชการดงั เดิม และไดเ้ ป็ นพระอาจารย์
ถวายอกั ษรแด่พระเจา้ ลกู ยาเธอเจา้ ฟ้าอาภรณ์
๒๗ ภาคผนวก
เมอื่ ส้ ินรชั กาลที่ ๒ สุนทรภ่อู อกบวชประมาณปี พ.ศ. ๒๓๖๙ สนั นิษฐานวา่ คงเป็ นเพราะเกรง
พระราชภยั ไดจ้ าํ พรรษาอยู่วดั ราชบุรณะโดยไมม่ ีผูใ้ ดเก้ ือหนุน ต่อมาเดินทางไปจาํ พรรษาที่วดั ต่างๆ
ภายหลงั ไดอ้ อกจากวดั ราชบุรณะ อาจเป็ นเพราะถูกบพั พาชียกรรมขบั ไล่ หรือมีเร่ืองคบั ขอ้ งใจบาง
ประการ ในคราวที่เดินทางออกจากวดั ราชบุรณะไปอยุธยาน้ ีเองที่สุนทรภู่ไดแ้ ต่งนิราศภเู ขาทอง เม่อื
กลบั มาก็มาอยวู่ ดั อรุณราชวรารามและวดั เทพธิดารามตามลาํ ดบั ต่อมาสุนทรภู่มาอยทู่ ่ีวดั พระเชตุพนฯ
ในเวลาท่ีพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานุคุณทรงผนวช และสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงเป็ นอธิบดีสงฆ์
สุนทรภู่บวชอยูล่ าว ๑๘-๒๐ พรรษา และแต่งเร่ืองพระอภยั มณีต่อ เมื่อพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานุคุณ
ส้ ินพระชนมก์ ็ไม่มีผูใ้ ดเก้ ือหนุน ตอ้ งตกยากอีก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระป่ิ นเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ขณะยงั เป็ น
สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมขุนอิศเรศรงั สรรค์ ทรงพระเมตตาใหไ้ ปอยู่ ณ พระราชวงั เดิม
กรมหมื่นอปั สรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั โปรดฝีมอื การแต่งกลอน
ของสุนทรภู่มากจึงทรงอุปการะ แต่ไม่นานนักก็ทรงส้ ินพระชนม์ ในรชั กาลท่ี ๔ สุนทรภู่ไดเ้ ป็ นเจา้ กรม
พระอาลกั ษณฝ์ ่ ายพระบวรราชวงั ในพระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกลา้ เจา้ อยู่หวั มีบรรดาศกั ด์ิเป็ นพระสุนทร
โวหารเม่อื อายุ ๖๖ ปี สุนทรภู่รบั ราชการต่อมาจวบจน พ.ศ. ๒๓๙๘ ก็ถึงแก่กรรม
ความเป็ นกวเี อกของสุนทรภ่นู ้ันไมเ่ พียงเป็ นที่ยกยอ่ งในหมคู่ นไทยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ดงั
จะเห็นวา่ มีการกาํ หนดใหว้ นั ที่ ๒๖ มถิ ุนายนของทุกปี เป็ นวนั สุนทรภู่ และใน พ.ศ. ๒๕๒๙ สุนทรภู่
ไดร้ บั ยกยอ่ งจากองคก์ ารเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้
เป็ นกวีดีเด่นของโลก
สุนทรภู่ ๒๘
บรรณานุกรม
สาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ ืนฐาน. หนงั สือเรยี น รายวิชาพ้ นื ฐาน ภาษาไทย
วรรณคดีวิจกั ษ์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๑๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค,
(๒๕๖๑)
เอกสารอา้ งองิ
บุณยกร วชิระเธียรชยั . (๒๕๕๘).หนา้ จวั่ ฉ. ๑๒. ใน: สถาปัตยกรรมเคร่ืองยอด “ทรงจอมแห”
วา่ ดว้ ยหลกั วชิ าเสน้ รูป และความรูส้ ึก : กรณีศึกษา “ยอดบุษบก-มณฑป”
Architecture with Chom Hae-Shaped Spire : Case Study of Budsabok and
Mondop ., กรุงเทพฯ (๑๗๔-๑๗๕)
เว็บไซตอ์ า้ งองิ
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๕๔). วรรณกรรม. แหล่งขอ้ มูล :
https://dictionary.apps.royin.go.th/ สืบคน้ เม่ือวนั ที่ ๒๗ กนั ยายน ๒๕๖๓๓
มุฑิตา แซ่ซง้ . (๒๕๕๒). รายงาน การใชภ้ าษาในวรรณกรรมการเมอื ง ของ วินทร์ เลียววาริณ.
แหลง่ ขอ้ มลู : https://sites.google.com/site/reportofstudysubjects/bth-wrrnkrrm-
naew-karmeuxng-khxng-thiy/-khwam-hmay-wrrnkrrm สืบคน้ เม่อื วนั ที่ ๒๗
กนั ยายน ๒๕๖๓.
วกิ ิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (๒๕๖๓). วรรณกรรม. แหลง่ ขอ้ มูล : https://th.wikipedia.org/wiki/
สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ กนั ยายน ๒๕๖๓.
หอ้ งสมุดดิจิทลั วชิรญาณ. (๒๕๖๓). ประชุมกลอนนิราศต่างๆ ภาคท่ี ๑ นิราศสุนทรภู่ ๔ เร่ือง.
แหล่งขอ้ มลู : https://vajirayana.org สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ กนั ยายน ๒๕๖๓.
Keaukoon Prusya. (๒๕๖๑). ประเภทของวรรณคดี. แหลง่ ขอ้ มูล :
https://sites.google.com/site/hxngreiynkhrukeux/khuy-kab-prachwuth
สืบคน้ เมอ่ื วนั ที่ ๒๗ กนั ยายน ๒๕๖๓.
ท่ีมาของภาพประกอบ
https://www.google.co.th/woodychannel.com/เจดียภ์ เู ขาทองอยุธยา
https://web.facebook.com/UnseenThailand/posts/1957990024213400/เจดียภ์ ูเขาทอง
อยุธยา
https://www.google.co.th/chinsangtrip.com/เจดียภ์ เู ขาทองอยุธยา
http://cruthai.blogspot.com/2012/06/blog-post_1091.html/โคลงหริภุญไชย
http://thaipoemhistory.blogspot.com/2013/02/blog-post_732.html/โคลงกกาํ สรวล
https://vajirayana.org/โคลงนิราศนรินทร์
https://www.se-ed.com/product/มทั นะพาธา
http://www.224book.com/product.detail_926584_th_5581831/บทละครนอก ไชยเชษฐ์ พระ
ราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศลา้ นภาลยั
http://www.thebookbun.com/product/4203/อิเหนา
http://www.9books.net/product/5868/สงั ขท์ อง
https://vajirayana.org/ราชาธิราช
https://www.samkok911.com/2012/11/WikiSource-Samkok.html/สามกก๊ ฉบบั เจา้ พระยาพระ
คลงั (หน)
https://www.google.co.th/.wikipedia/Sunthornphu.jpg&imgrefurl
https://www.matichon.co.th/prachachuen/prachachuen-scoop/news_1527108
https://www.pinterest.com