ตำ นานเพลงอีแซว ตำ นานเพลงอีแซว สืบสาน จังหวัดสุพรรณบุรี
หนังสือเล่มเล็กเรื่อง สืบสานตำ นานเพลงอีแซว จังหวัด สุพรรณบุรี จัดทำ ขึ้นโดยการรวบรวมองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านการร้องเพลงอีแซว จังหวัดสุพรรณบุรี และศึกษาข้อมูลเพิ่ม เติมเกี่ยวกับการสอนเพลงอีแซว เพื่อเครื่องมือในการเข้าถึง ความรู้ แบ่งปันความรู้เรื่องการร้องเพลงอีแซวและเป็นการ สืบสาน อนุรักษ์เพลงอีแซว ซึ่งเป็นเพลงประจำ ท้องถิ่นของ จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดทำ หนังสือเล่มเล็ก เรื่อง สืบสานตำ นานเพลงอีแซว จังหวัดสุพรรณบุรี จะเป็นส่วน หนึ่งของการส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นหลัง รวมถึงประชาชนทั่วไป สนใจและร่วมกันอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านนี้ให้คงอยู่สืบไป หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จำ ทำ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ คำ นำ ชมพูนุช มากทรัพย์ มีนาคม 2567
เพลงอีแซว เป็นเพลงพื้นบ้านประจำ ท้องถิ่นของสุพรรณบุรี มีกำ เนิด และแพร่หลายในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและใกล้เคียง เพลงอีแซวมีความ เป็นมาที่ยาวนาน มากกว่า 100 ปี โดยในช่วงแรกๆ นั้นมีลักษณะเป็น เพลงปฏิพากย์ (เพลงโต้ตอบ) ที่หนุ่มสาวใช้ร้องยั่วเย้า เกี้ยวพาราสีกัน อย่างง่ายๆ สั้นๆ กระทั่งเมื่อ 60 - 70 ปี ที่ผ่านมาจึงได้พัฒนาเป็นเพลงปฏิพากย์ยาว คือมีเนื้อเพลงที่ใช้ร้องในแต่ละ ครั้งยาวมากขึ้น พร้อมกับมีการดัดแปลง ทำ นองและลักษณะการร้องรับของลูกคู่ นอกจากนั้นยังได้มีการพัฒนา เสื้อผ้าของผู้แสดง โดยจะนุ่งโจงกระเบนทั้งฝ่ายชายและหญิง ส่วนเสื้อนั้น ฝ่ายหญิงจะใส่เสื้อแขนสั้นคอกลมหรือ คอเหลี่ยมกว้าง ฝ่ายชายมักจะ ใส่เสื้อแขนสั้นคอกลมสร้างสรรค์ความสะดุดตาด้วยสี ที่ฉูดฉาดเพื่อดึงดูด ใจผู้ชมด้วยความนิยมในเพลงอีแซวทำ ให้สามารถแสดงได้เกือบทุกสถาน ที่และทุกโอกาสเพียงแต่ จะไม่มีการแสดงในงานแต่งงาน ประวัติเพลงอีแซว...แว่วจากสุพรรณ หน้า 1
วงอีแซวจะไม่มีข้อกำ หนดเรื่อง จำ นวนผู้แสดง แต่ในวงหนึ่งๆ จะมีการจัดสรรตำ แหน่งหน้าที่ ของผู้แสดงประกอบด้วย พ่อเพลง (ผู้ร้องนำ ฝ่ายชาย) แม่เพลง (ผู้ร้องนำ ฝ่ายหญิง) คอต้น (ผู้ร้องเพลงโต้ตอบคนแรก) คอสอง, คอสาม (ผู้ร้องคนที่สองและสาม) ลูกคู่ (จำ นวนไม่จำ กัด มีหน้าที่ร้องรับร้องซ้ำ ความ ร้องสอดแทรกขัดจังหวะ เพื่อความสนุกสนาน ประวัติเพลงอีแซว...แว่วจากสุพรรณ หน้า 2
เพลงอีแซวมีจะดำ เนินการแสดงโดยมีเนื้อหาเรียงลำ ดับ เริ่มต้นด้วย บทไหว้ครู บทเกริ่น บทประ และจบท้ายด้วยบทจาก หรือบทลา 1.บทไหว้ครู เป็นบทกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้มีพระคุณ ได้แก่ พระรัตนตรัย เทวดา ภูตผี พ่อแม่ ครูอาจารย์ (ครูเพลงของอีแซวจะมีสองแบบ “ครู เพลงที่เป็นจิตวิญญาณ” เช่นพระนารายณ์ฤๅษีหรือพ่อแก่และครูอีกประเภท คือ“ ครูเพลงที่เป็นมนุษย์ ” นอกจากครูเพลงทั้งสองแบบแล้ว ก็มี “ครู พักลักจำ ” ซึ่งหมายถึงครูที่ผู้ร้อง ไม่ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์แต่ได้แอบจดจำ เพลงหรือลีลา การร้องบทไหว้ครูจะต้องนั่งกับพื้นร้อง โดยมี“พาน กำ นล”หรือพานไหว้ครูวางไว้ ข้างหน้า หรือยกถือไว้ในขณะร้อง โดยพ่อเพลงจะร้องก่อน ตามด้วยแม่เพลง 2.บทเกริ่น เป็นบทร้องของฝ่ายชายและหญิงก่อนที่จะมาพบกันตาม เหตุการณ์ที่สมมุติไว้ บทเกริ่นเริ่มต้นภายหลังจาก บทไหว้ครูจบลง ผู้แสดงทั้งหมด จะลุกขึ้นยืนร้อง “เพลงออกตัว” มีเนื้อหาทักทายกัน แนะนำ ตัว ฝากตัวกับผู้ชม ตามด้วย “เพลงแต่งตัว” หากสมมุติเหตุการณ์เป็นการชักชวนกันไปเที่ยวบ้าน สาวๆ พอมาถึงบ้านฝ่ายหญิงแล้วจะร้อง “เพลงปลอบ” ซึ่งเป็น เพลงที่ชักชวนให้ ฝ่ายหญิงออกมาร้องเพลงโต้ตอบกัน เปิดม่าน ชมการแสดง หน้า 3
หน้า 4 3.เพลงประ หมายถึงการร้องปะทะคารมกันของทั้งสองฝ่าย เพลงประของวงอีแซวมีหลายแบบ ได้แก่ แนวรัก (การเกี้ยวพาราสี) แนวประลอง (การทดสอบฝีปากหรือทดสอบภูมิปัญญา) แนวเพลงเรื่อง (ดำ เนินเรื่องราวตามเรื่องของนิทาน นิยายหรือวรรณกรรม) 4.บทจาก หรือ บทลา เป็นเพลงที่ใช้ร้องเพื่อ แสดงถึงความอาลัย คู่เล่นเพลง ผู้ชม หรือ กล่าวอำ ลาผู้ชม หรือเจ้าภาพผู้ว่าจ้างให้มาแสดง 5.การอวยพร เป็นการร้องขอบคุณเจ้าภาพและผู้ชมรวมทั้ง ขอบคุณผู้ให้รางวัล เปิดม่าน ชมการแสดง กลอนเพลงอีแซวเป็นกลอนเพลงพื้นบ้าน ที่เรียกว่า “กลอนหัวเดียว” คือคำ ท้ายของแต่ละบาท จะสัมผัสสระกันไปเรื่อย ๆ โดยอนุโลมให้ใช้คำ สระเสียงสั้น สัมผัสกับสระเสียงยาวได้ และมักเรียกสระท้ายบาทนี้เป็นเป็นชื่อของกลอน โดย ประสมกับ พยัญชนะ “ล” เช่น ถ้าลงท้ายบาทด้วยสระอี จะเรียก “กลอนลี” เป็นต้น แต่งเพลงอีแซว ง่ายนิดเดียว ลักษณะคำ ประพันธ์ของเพลงอีแซว แผนผังฉันทลักษณ์ของเพลงอีแซว
แต่งเพลงอีแซว ง่ายนิดเดียว กลอนเพลงอีแซว 1 บทจะมีความยาวเท่าใดก้ได้ ไม่ได้กำ หนดตายตัว แล้วแต่เนื้อหาในแต่ละตอน อาจอธิบายเป็นคณะได้ดังนี้ กลอนเพลงอีแซว 1 บท จะแบ่งเป็นหลายๆบาท 1 บาท จะแบ่งเป็น 2 วรรคคือวรรคหน้าและวรรคหลัง ส่วนวรรคหนึ่งๆจะมีกี่พยางค์หรือกี่คำ ก็ไม่ได้ ระบุแน่ชัด มีประมาณ 6 – 10 คำ อาจมากหรือน้อยกว่านี้เพื่อสะดวกแก่การฝึก แต่งและฝึกร้อง พิสูจน์ ใจเที่ยงกุล ได้วางรูปแบบโดยแบ่งกลอนวรรคแรกออก เป็น 2 วรรคย่อยเช่นกัน วรรคย่อยหน้ามี 4 คำ เป็นหลัก ส่วนวรรคย่อยหลังมี 3 คำ เป็นหลัก ซึ่งที่จริงอาจมีมากกว่านี้ก็ได้ (ดูแผนผังประกอบ) ต่อไปนี้จะขอ เรียกวรรคย่อยทั้ง 4 วรรค เรียกกันว่า วรรคย่อยที่ 1 – 2 – 3 – 4 ตามลำ ดับ เพื่ออธิบายเรื่องสัมผัสต่อไป คณะของกลอนเพลงอีแซว สัมผัสในกลอนเพลงอีแซว สัมผัสที่เป็นจุดบังคับที่สำ คัญที่สุดคือคำ สุดท้ายของแต่ละบาทจะต้อง สัมผัสสระกันไปตลอด เราจึงเรียยกว่า กลอนหัวเดียว คำ ที่สัมผัสกันนี้ อนุโลมให้ใช้คำ ที่ประสมสระเสียงสั้นสัมผัสกับคำ ที่ประสมสระเสียงยาวได้ เช่น ใจ สัมผัสกับ กาย, กิน สัมผัสกับ ปีน, คน สัมผัสกับ โดน เป็นต้น หน้า 5
แต่งเพลงอีแซว ง่ายนิดเดียว นอกจากนี้จะต้องมีสัมผัสระหว่างวรรคด้วย ตำ แหน่งที่สำ คัญคือคำ สุดท้ายของวรรคย่อยที่ 2 กับคำ สุดท้ายของวรรคย่อยที่ 3 จะต้องมีสัมผัสสระ ด้วย แต่ถ้าจะให้กลอนไพเราะยิ่งขึ้น พิสูจน์ ใจเที่ยงกุล ได้เพิ่มสัมผัสตรงคำ สุดท้ายของวรรคย่อยที่ 1 กับคำ ที่ 2 ของวรรคย่อยที่ 2 ทั้งนี้อาจจะเลื่อนเป็นคำ ที่ 1 หรือ 3 ก็พอจะใช้ได้แต่คำ ที่ 2 ดูจะเป็นตำ แหน่งที่เหมาะสม ร้องให้ถูก สนุกสนาน การเกริ่น (หรือการขึ้นเพลง) เป็นการเอื้อนเสียงก่อนร้องของผู้ร้องนำ (ผู้ชายเรียกพ่อเพลง ผู้หญิงเรียกแม่เพลง) เพื่อเป็นการทดสอบเสียง หรือ ตั้งเสียง หรือเพื่อเรียกความสนใจจากผู้ชม มีทั้งเกริ่นยาวและเกริ่นสั้น 1.1 การเกริ่นยาว 1.1.1 แบบแรก “เอ่อ เอ้อ เอิง เงอ...เอ่อ..เอิง เง้อ ...เอ่อ เอิ๋ง เงย” 1.1.2 แบบที่สอง “เอ่อ เอ้อ เออ...เอ่อ เอิง เง้อ... เอ่อ เอิ๋ง เงย” 1.2 การเกริ่นสั้น “เอ้อ...เอย หรือ เอ๊ย...” หน้า 6
ร้องให้ถูก สนุกสนาน การร้องเนื้อ พ่อเพลงแม่เพลงจะร้องเนื้อเพลงให้เข้าจังหวะ มีเสียงสูงต่ำ ตามสำ เนียงพื้นบ้าน อาจมีการเอื้อนเสียงหรือทอดเสียงรอจังหวะบ้างตามแต่ผู้ร้อง ต้องการ บางทีต้องร้องรวบเสียงให้ลงจังหวะ โดยทั่วไปจะนิยมร้องเนื้อเพลงให้ กระชับ แบ่งเนื้อร้องเป็นช่วงๆแล้วร้องกระชั้นๆ ให้ลงกับจังหวะพอดี เมื่อต้องการให้ ลูกคู่รับ ก็จะเอื้อนเสียง ส่วนลูกคู่ก็จะรับ ตามตำ แหน่ง ดังนี้ จากตัวอย่างกลอนเพลงอีแซวว่า “ร้องเพลงอีแซว/ตามแนวสุพรรณมาเรียนรู้กัน/ให้แจ้งหัวใจ” เมื่อผู้ร้องนำ (พ่อเพลง แม่เพลง) ต้องการให้ลูกคู่ร้องรับ จะเอื้อนตรงหลังคำ สุพรรณว่า... เอิ๊ง...เหง่อ...เอย ลูกคู่จะร้องรับสามพยางค์ท้ายว่า แนวสุพรรณ หรือ เติมคำ ว่า “แล้ว” เข้าไปรวมกับอีก 2 พยางค์ เป็น “แล้วสุพรรณ” หรือบางครั้งผู้ร้องนำ (พ่อเพลงแม่เพลง) ก็ทอดเสียงทิ้งไว้ ลูกคู่ก็จะร้องรับเองว่า เอ่อ เอ้อ เอย แล้วสุพรรณ ก็มี แล้วลูกคู่จะร้องรับท้ายบาทหลังคำ ว่าหัวใจว่า “เอ่อ เอ้อ เอย แจ้งหัวใจ หรือ เอ่อ เอ้อ เอย แล้วหัวใจ ” ผู้ร้องนำ (พ่อเพลงแม่เพลง) จะร้องไปนานเท่าใดก็ตามเมื่อจะลงเพลง จะต้องเอื้อนให้ลูกคู่รับ ทั้ง 2 จุดดังกล่าว หน้า 7
เชิญมาร้องเพลงอีแซวกันเถิด ตัวอย่างการร้องนำ และร้องรับ (ขึ้นเพลง) “เอ่อ เอ้อ เออ... เอ่อ เอิง เง้อ... เอ่อ เอิ๋ง เงย...” (ร้องเนื้อ) ร้องเพลงอีแซว ตามแนวสุพรรณ...เอิ๊ง...เหง่อ...เอย... (ลูกคู่รับ)....แล้วสุพรรณ มาเรียนรู้กัน ให้เข้าใจ (ลูกคู่รับ) เอ่อ เอ้อ เอย ให้เข้าใจ ร้องเพลง/พื้นบ้าน ขับขาน/คำ คม ปะทะ/คารม ระหว่าง/หญิงชาย เราบอ/จอห้า อุรา/ตระหนัก เรื่องกา/รอนุรักษ์ มรดก/ไทย เรียนร้อย/ถ้อยคำ เรียนรำ /บรรเลง สุพรรณ/เมืองเพลง เลิศล้ำ /อำ ไพ (ลงเพลง) สร้างสรรค์/กันหนอ ชาวบอ.จอห้า...เอิ๊ง...เหง่อ...เอย... (ลูกคู่รับ)... เราบอ/จอห้า เพิ่มภูมิ/ปัญญา พัฒนา/ก้าวไกล (ลูกคู่รับ) เอ่อ เอ้อ เอย...แล้วก้าวไกล หน้า 8
ว่าด้วยท่ารำ ประกอบเพลงอีแซว การฝึกรำ ประกอบเพลงอีแซว มี 2 ลักษณะ คือ การรำ ตามบท หรือที่เรียกว่ารำ ตีบท คือการรำ และทำ ท่าทาง ประกอบบทร้อง ของผู้ร้องนำ (พ่อเพลงแม่เพลง) โดยให้สอดคล้องกับ เนื้อหาที่ร้องแต่ไม่จำ เป็นต้องทำ ท่าอยู่ตลอดเวลาเพราะเพลงพื้นบ้าน ไม่ใช่การแสดงละครรำ ท่ารำ ตามทำ นอง หมายถึง ท่ารำ ที่ผู้แสดงจะรำ ใน ขณะไม่ได้ทำ หน้าที่ผู้ร้องรำ หรือลำ ในฐานะของลูกคู่ อาจยืนรำ หรือขยับ เท้าไปตามจังหวะด้วย (เด็กๆรุ่นใหม่นิยมทำ คล้ายๆหางเครื่องในวงเพลง ลูกทุ่ง แต่ครูเพลงรุ่นเก่าๆ ติงว่าเหมือนรำ ของหมอลำ ซิ่ง ก็ขอให้ผู้ฝึกรำ พิจารณาให้เหมาะสม) ท่ารำ ส่วนใหญ่จะเป้นท่ารำ ง่ายๆ นิยมรำ ให้เกิด ความพร้อมเพรียงกันเช่น ท่าสอดสร้อยมาลา พรหมสี่หน้า ท่าจีบสองมือ ส่งหลัง ท่าจีบส่งมือบน เป็นต้น โดยการย่ำ เท้าให้ตรงตามจังหวะของทำ นองเพลงในขณะที่เคลื่อนมือ นอกจากนี้ยังมีท่ารำ แบบตลกของพ่อเพลง เช่น การรำ ต้อนแม่เพลง การรำ ย่อเข่า หน้า 9
ว่าด้วยท่ารำ ประกอบเพลงอีแซว การฝึกรำ ประกอบเพลงอีแซว มี 2 ลักษณะ คือ การรำ ตามบท หรือที่เรียกว่ารำ ตีบท คือการรำ และทำ ท่าทาง ประกอบบทร้อง ของผู้ร้องนำ (พ่อเพลงแม่เพลง) โดยให้สอดคล้องกับ เนื้อหาที่ร้องแต่ไม่จำ เป็นต้องทำ ท่าอยู่ตลอดเวลาเพราะเพลงพื้นบ้าน ไม่ใช่การแสดงละครรำ ท่ารำ ตามทำ นอง หมายถึง ท่ารำ ที่ผู้แสดงจะรำ ใน ขณะไม่ได้ทำ หน้าที่ผู้ร้องรำ หรือลำ ในฐานะของลูกคู่ อาจยืนรำ หรือขยับ เท้าไปตามจังหวะด้วย (เด็กๆรุ่นใหม่นิยมทำ คล้ายๆหางเครื่องในวงเพลง ลูกทุ่ง แต่ครูเพลงรุ่นเก่าๆ ติงว่าเหมือนรำ ของหมอลำ ซิ่ง ก็ขอให้ผู้ฝึกรำ พิจารณาให้เหมาะสม) ท่ารำ ส่วนใหญ่จะเป้นท่ารำ ง่ายๆ นิยมรำ ให้เกิด ความพร้อมเพรียงกันเช่น ท่าสอดสร้อยมาลา พรหมสี่หน้า ท่าจีบสองมือ ส่งหลัง ท่าจีบส่งมือบน เป็นต้น โดยการย่ำ เท้าให้ตรงตามจังหวะของทำ นองเพลงในขณะที่เคลื่อนมือ นอกจากนี้ยังมีท่ารำ แบบตลกของพ่อเพลง เช่น การรำ ต้อนแม่เพลง การรำ ย่อเข่า หน้า10
ว่าด้วยดนตรีประกอบเพลงอีแซว เพลงอีแซวแต่เดิมไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ ใช้การปรบมือประกอบจังหวะ ต่อมามีการใช้ฉิ่งและ กรับมาประกอบจังหวะ ต่อมาได้มีการนำ ตะโพนไทยมาตีประกอบ เพื่อความครึกครื้น สนุกสนาน เร้าใจ จนเป็นที่ชื่นชอบ ของผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน (ผู้ริเริ่มนำ ตะโพนไทยมาตี ประกอบจังหวะเพลงอีแซวน่าจะเป็นพ่อไสว วงษ์งาม และแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์) เครื่องดนตรีประกอบ จังหวะเพลงอีแซวจึงมี 3 ชิ้น คือ ตะโพนไทย ฉิ่ง และ กรับ ซึ่งมีการตีสัมพันธ์กัน ว่าด้วยเรื่องแฟชั่น เพลงอีแซว ในปัจจุบันก็มักจะสืบทอดมาแต่ โบราณ คือ ชาย หญิง จะนุ่งผ้าแบบโจง กระเบน (ปัจจุบันเพื่อความสะดวกอาจ มีการใช้โจงกระเบนที่ตัดเย็บสำ เร็จ) ผู้หญิงสมัยก่อนอาจใส่เสื้อแขนยาว หรือ แขน สามส่วนปัจจุบันมีแขนสั้น มีการจับ จีบระบาย การใช้ลูกเล่นการปักฉลุ อาจมีเครื่องประดับต่างๆ มีสร้อยคอ เข็มขัดสวยงาม หรืออาจทัดดอกไม้ ผู้ชายใส่เสื้อคอกลม ผ้าขาวม้าผูกเอว ตะโพนไทย ฉิ่ง กรับ หน้า 11
โอกาสขึ้นแสดงเพลงอีแซว แสดงตามขั้นตอนตามขนบประเพณี แต่ถ้าแสดงในเวลาจำ กัดก็ควร พิจารณาตามสถานการณ์ และความความเหมาะ ขั้นตอนแต่เดิม มีดังนี้ 1.การร้องบทไหว้ครู ผู้แสดงทั้งหมดจะออกมานั่ง พ่อเพลงและแม่เพลงจะ ร้องบทไหว้ครูพร้อมยกพานกำ นล ที่ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน เงินกำ นล 6 หรือ 12 หรือ 24 บาท(แล้วแต่คณะ) บทไหว้ครูจะกล่าวถึงพระรัตนตรัย บิดามารดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา ครูเพลง เคารพสถานที่ เพื่อความเป็นสิริ มงคล 2.การร้องบทเกริ่น เป็นการร้องของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก่อนที่จะมาพบกัน หรือมาโต้ตอบกันตามเหตุการณ์ที่สมมติไว้ ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายร้องก่อนแล้ว ฝ่ายหญิงจึงร้องบ้าง มักประกอบด้วย 2.1 การร้องเพลงออกตัว คือ เพลงที่กล่าวทักทายและแนะนำ ตัว แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนว่าเป็นเพลงหัดใหม่ที่ยังไม่ชำ นาญและขออภัย ถ้าร้องผิดพลาด 2.2 การร้องเพลงแต่งตัว คือเพลงที่พรรณนาการอาบน้ำ การแต่งตัว 2.3 การร้องเพลงปลอบ คือเพลงที่ฝ่ายชายเชิญชวนให้ฝ่ายหญิงออก มาร้องเพลงโต้ตอบ ในเชิงอ้อนวอนหรือท้าทาย ฝ่ายชายอาจมีการร้องชมโฉม ฝ่ายหญิง เรียกว่า “ชมโฉม” หน้า 12
โอกาสขึ้นแสดงเพลงอีแซว 3.การร้องเพลงประ การร้องเพลงประเป็นช่วงที่สนุกสนานที่สุด นับเป็นหัวใจของการเล่นเพลงอีแซว เพลงประ หมายถึง การร้องเพลง ประคารม หรือปะทะคารมกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง เมื่อทั้งสอง ฝ่ายได้มาพบกันแล้ว เพลงประนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเล่นเพลง ว่าจะเล่นไปในแนวใด จะเป็นแนวรักแนวประลองฝีปาก หรือแนวเพลง เรื่อง 3.1 แนวรัก คือเริ่มจากการร้องเพลงตับเกี้ยวพาราสี (เพลงตับ คือเพลงชุดที่ผูกเป็นเรื่องในการร้องเพลงพื้นบ้าน) แล้วอาจดำ เนินเรื่อง ไปสู่ ตับลักหาพาหนีหรือตับสู่ขอ ตับชิงชู้ (ชาย 2 แย่ง หญิง 1) หรือตับตี หมากผัว (เมีย 2 แย่งผัว 1) 3.2 แนวประลองฝีปากหรือทดสอบภูมิปัญญา เช่น เพลงตับต่อ ตับหมา ตับแมว ตับเช่านา 3.3 แนวเพลงเรื่อง เช่นเล่นเรื่องพระเวสสันดร เรื่อง จันทดครพ 4.การร้องเพลงลาหรือเพลงจาก เป็นเพลงที่ใช้ร้องเพื่อแสดงความ อาลัยคู่เล่นเพลง อาลัยผู้ชม หรือ กล่าวคำ อำ ลาผู้ชมและเจ้าภาพที่หามา แสดง 5.การร้องอวยพร เป็นตอนที่จะขาดไม่ได้เพราะเป็นการร้อง ขอบคุณเจ้าภาพและผู้ชม และผู้ที่มอบรางวัลหรือผู้มีพระคุณในการแสดง ครั้งนั้น หน้า 13
แล้วก็สร้างความสนุกให้กับผู้ดู แต่เราก็ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ แต่จะเปลี่ยนให้มาก มันก็หนึ่งทุนทรัพย์ผู้ที่มาเรียนก็จะไปกับแม่ ตลอดก็ไม่ได้ ก็จะต้องเรียนหนังสือก็เลยว่า เอาแต่พอได้ ได้รู้ ได้เห็นแล้วก็แต่งบทกลอน ให้เข้ากับสมัยใหม่ มาปะปนบ้าง” “อยากฝากว่า ศิลปะของชาวบ้านเนี่ย ของโบราณเนี่ยมันก็มีมานาน สารจากแม่เพลงเมืองสุพรรณ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ หน้า 14
“ฝากถึงเยาวชนรุ่นใหม่ อย่างน้อย ไม่ว่าจะเป็นเพลงดนตรีอะไรผ่านมาก็ตาม ปล่อยเขาไปเถอะ แต่เราควรจะอนุรักษ์เอาเก็บไว้ให้ปู่ย่า ตายาย รับฟัง สืบสานไว้เถอะ ไม่ได้เสียหาย ไม่ได้แย่ง สตางค์ คนที่สืบสาน มันก็น่าภูมิใจ” สารจากพ่อเพลงเมืองสุพรรณ พ่อสุจินต์ ศรีประจันต์ หน้า 15
อยากจะให้คนที่สืบสาน ที่ดีที่สุด ก็คือเด็กวัยรุ่นคนที่เป็น ผู้สืบสาน ผู้นำ ก็คือครูนี่แหละจะต้องมีครูที่เป็นผู้นำ ที่จะต้องสืบสาน ต้องมีครูแล้วก็สืบสานผ่านเด็ก ทางที่ดีที่สุดก็คือให้เด็กเล่นฝึกเอง สารจากพ่อเพลงเมืองสุพรรณ ครูพิสูจน์ ใจเที่ยงที่กุล หน้า 16
อันดับแรกเลยนะคะ ฟังก่อน ให้ลองฟังก่อน ลองฟังไปว่ามันสนุกมาก ฟังแบบตั้งใจ ขอเวลากับมันซัก 10 นาที ให้หนูเลือกคลิปที่เป็นครูบาอาจารย์ทะเลาะกัน ให้เลือกดูคลิปอย่างนั้นเลย พี่ขอ 10 นาที ขั้นแรกขอให้ทุกคนเปิดใจฟังก่อนค่ะ ถ้าฟังแล้วรู้จักแล้วน่ะ ถ้าได้ฟังได้รู้จัก หนูจะรักมันเอง หนูจะรักมันได้และตราบใด ที่หนูไม่ฟัง หนูไม่รู้จักหนู รักไม่ได้ พี่ขอโอกาสนิดหนึ่ง พี่ขอโอกาสสำ หรับเพลงพื้นบ้านนิดนึง ขั้นแรกฟังก่อน ดิฉันไม่บังคับคุณเยอะ เดี๋ยวพอคุณชอบแล้วค่อยมาเล่นด้วยกันค่ะ สารจากแม่เพลงเมืองสุพรรณ พี่สมหพี่ญิง ศรีประจันต์ หน้า 17
เพลงอีแซวมันก็เกิดจากชาวบ้านเนอะ ตอนนี้ก็อนุรักษ์ เข้าสู่สถานศึกษาแล้ว จะมีการเรียนการสอน เวลาสอนเด็กเนี่ย พี่ก็พยายามให้เด็กเรียนรู้ปฏิบัติและ เรียนรู้ทฤษฎีปฏิบัติได้ และเน้นทำ ให้ทำ บ่อยๆจะได้เป็น ความรู้ที่คงทน สารจากแม่เพลงเมืองสุพรรณ ครูพัชราพร สุขเผือก หน้า18
สิ่งที่จะฝากถึงเยาวชน แล้วก็คนรุ่นใหม่นะครับ คือศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นของไทยเนี่ยมันเรียกว่า เป็นรากเหง้าของเราที่บรรพบุรุษคิดขึ้นมาสืบต่อกันมา มันฝังอยู่ในตัวเราจริงๆแล้วมันแฝงอยู่ในใจของเรา โดยที่เราเองไม่รู้ตัว ก็ขอแค่ว่าอยากดูถูกศิลปวัฒนธรรมของเรา สารจากพ่อเพลงเมืองสุพรรณ ครูสำอาง เกิดโภคา หน้า 19
พูดถึงเรื่องไร้รากไร้เรา ถ้าไม่มีราก ก็ไม่มีเรา ถ้าไม่มีเพลงพื้นบ้าน ถ้าไม่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นก็ไม่มีพวกเราเพราะ ว่าบรรพบุรุษเนี่ยเขาใช้ปฏิภาณไหวพริบแล้วก็องค์ความรู้อะไรก็ตาม กำ เนิดเป็นภูมิปัญญาได้ถือว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กสุพรรณ รุ่นใหม่เนี่ย ควรที่จะให้ความสนใจแล้วก็อย่างน้อยร้องไม่ได้เนี่ยฟังได้ ก็ยังดีฟังรู้เรื่องก็ยังดีหรือบอกได้ว่าเนี่ย คือเพลงบ้านเรา อย่างเต็มปาก อย่างภาคภูมิใจ สารจากพ่อเพลงเมืองสุพรรณ ครูไพรัช กลิ่นโฉม หน้า 20