www.facebook.com/wordswonderbook
อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ Alcatraz Vs. the Scrivener’s Bones ผู้แต่ง แบรนดอน แซนเดอร์สัน ผู้แปล วัชรวิชญ์ ALCATRAZ VS.THE SCRIVENER’S BONES: Copyright © Dragonsteel Entertainment, LLC 2008 Published in agreement with JABberwocky Literary Agency, Inc., through The Grayhawk Agency Ltd พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2566 ISBN 978-616-8175-26-2 ราคา 270 บาท จัดพิมพ์โดย บริษัท ส�ำนักพิมพ์ เวิร์ด วอนเดอร์ จ�ำกัด 664/19 ถนนพระราม 3 บางโพงพาง ยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 บรรณาธิการ ดร.ถนอมวงศ์ สุกโชติรัตน์ ล�้ำยอดมรรคผล ออกแบบปก ชลลดา ดวงเดือน จัดหน้า Evolution Art พิมพ์ที่ บริษัท กรีน ไลฟ์ พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จ�ำกัด จัดจ�ำหน่ายโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จ�ำกัด 108 หมู่ที่ 2 ถนน บางกรวย-จงถนอม ต. มหาสวัสดิ์ อ. บางกรวย จ. นนทบุรี 11130 โทรศัพท์ 02-423-9999 โทรสาร 02-449-9222, 02449-9500-6 http://www.naiin.com
อัลคาแทรซ ผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ Alcatraz Vs. the Scrivener’s Bones แบรนดอน แซนเดอร์สัน เขียน วัชรวิชญ์ แปล
แด่ ลอเรน ผู้สามารถเป็นได้ทั้งน้องน้อยของครอบครัว และเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สุดในหมู่เรา
ค�ำน�ำผู้แปล แบรนดอน แซนเดอร์สัน กลับมาแล้ว กับ อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าว อาลักษณ์ เล่มสองในซีรีส์สุดสนุกที่เขียนเพื่อเปิดโปงเหล่าบรรณารักษ์จอม โฉด (แม้ว่าอัลคาแทรซ จะเป็นผู้เขียนตัวจริงก็ตาม!) ผู้แปลก็กลับมาแปลเล่มสองนี้ด้วยนะ แม้ว่าจะ “งานเข้า” จนเกือบ เอาตัวไม่รอด ก็บรรณารักษ์นะสิ มีพวกพ้องมากมายหลายรูปแบบ แถมยังมี ทั้งพวกเปิดเผย และพวกหลับหูหลับตาท�ำไม่รู้ไม่ชี้ด้วย เอาเถอะ ถึงอย่างไร ผู้แปลก็รอดมาแล้ว พร้อมการผจญภัยของอัลคาแทรซเล่มนี้ หลังจากอ่าน ค�ำน�ำก็พลิกไปผจญภัยกันได้เลย ถ้าอ่านตรงไหนแล้วเจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจละก็ ไม่ต้องแปลกใจ คุณไม่ใช่คนเดียวที่ประสบปัญหานี้ ก็บรรณารักษ์น่ะ ย่อมมี กลวิธีสารพัดที่จะปกปิด ปิดบัง บิดเบือนข้อมูลอยู่แล้ว ฉะนั้น อ่านตรงไหนไม่ เข้าใจละก็ ลองถามบรรณารักษ์ดูบ้างก็ได้ จะได้รู้กันไปเล้ย! หรือจะถามผู้แปล ก็ได้ ถ้าคุณหาตัวผู้แปลเจอนะ มิฉะนั้นก็ลองเปิดพจนานุกรม หรือ คลังค�ำ แล้วคุณจะทึ่งว่าภาษาไทยลึกซึ้ง ลึกล�้ำ ขนาดนั้นเชียว (ทั้งพจนานุกรม และ คลังค�ำ ล้วนเล่มใหญ่ หนักอึ้ง ฉะนั้น หยิบมือถือมาถามกู๋/พี่กุ๊ก/กูเกิลก็ได้จ้า) ยังขอบอกสักนิดเช่นเคยว่า กว่าผู้แปลจะเข็นหนังสือเล่มนี้ออกมาได้ ก็ต้องพึ่งพาผู้คนรอบตัวที่แอบช่วยกันเป็นครั้งคราว จึงต้องขอขอบคุณ ส�ำนัก พิมพ์เวิร์ด วอนเดอร์ ที่มุ่งมั่นน�ำเสนอซีรีส์นี้ ขอบคุณ บรรณาธิการต้นฉบับ พิสูจน์อักษร ฝ่ายศิลป์ ฯลฯ ที่ช่วยกันเต็มที่ แต่ถ้าเกิดฝ่ายนั้น (คุณก็รู้ว่าฝ่าย ไหน) ตามทัน ก็ตัวใครตัวมันละกัน หาที่หลบกันเอาเองนะ แล้วค่อยมาพบ กันใหม่ในเล่มสาม แอบอ่านให้สนุก แล้วอย่าลืมบอกต่อกันไปละ วัชรวิชญ์ มกราคม 2566
ค�ำน�ำของนักประพันธ์ ผมเป็นคนโกหก ผมรู้ดีว่าพูดไปคุณอาจไม่เชื่อ ที่จริงก็หวังว่าคุณจะไม่เชื่อ เพราะ นอกจากจะท�ำให้ข้อความนี้เสียดสีเป็นพิเศษแล้ว ยังหมายถึงคุณจะถล�ำ ลึกมากด้วย คืออย่างนี้ ผมรู้ว่าพวกคุณชาวอาณาจักรอิสระเคยได้ยินเรื่องของผม มาสารพัด อาจจะได้ดูสารคดีชีวิตผมสักหนึ่งหรือสองเรื่องทางจอซิลิแมติก การที่คุณเชื่อไม่ลงว่าผมเป็นคนโกหกจึงเข้าใจได้ คุณอาจคิดว่าผมแค่ถ่อมตน คุณคิดว่ารู้จักผม คุณเคยฟังนักเล่านิทาน เคยคุยกับเพื่อนเรื่อง วีรกรรมของผม เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ และเคยได้ยินพวกนัก ป่าวร้องโฆษณาพรรณนาพฤติการณ์ห้าวหาญต่างๆ ปัญหาก็คือผู้ที่เป็น นักโกหกตัวยงยิ่งกว่า ก็คือคนที่ชอบเล่าเรื่องผม คุณไม่รู้จัก ไม่เข้าใจผม และที่แน่ๆ ก็ไม่ควรเชื่อเรื่องที่อ่านเกี่ยวกับ ผม เว้นแต่ – แน่ละ - เรื่องที่คุณอ่านในหนังสือเล่มนี้ เพราะนี่คือความจริง ทีนี้ ให้ผมพูดกับพวกชาวแดนไม่รู้ไม่ชี้ ซึ่งหมายถึงผู้อาศัยอยู่ใน แคนาดา ยุโรป หรืออเมริกา อย่าถูกหลอกเพราะหนังสือเล่มนี้ดูเหมือน นวนิยายแฟนตาซีนะครับ! เราท�ำเหมือนเล่มก่อน คือตีพิมพ์หนังสือเป็น นวนิยายในแดนไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อซ่อนให้พ้นหูพ้นตาบรรณารักษ์ เรื่องนี้ไม่ใช่นวนิยาย ในอาณาจักรอิสระ – คือดินแดนอย่างโมเกีย กับนัลฮัลลา – เรื่องนี้เป็นอัตชีวประวัติ จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างเปิดเผย เพราะหนังสือนี้เป็นเช่นนั้น เป็นเรื่องของผม – เปิดเผยเป็นครั้งแรก - เพื่อ ตีแผ่เรื่องที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจจะเปิดโปงความเท็จทั้งมวลสักครั้ง อยากเห็นความจริงตีพิมพ์ สักครั้ง ผมชื่ออัลคาแทรซ สเม็ดดรี้ ยินดีต้อนรับสู่เล่มสองของเรื่องราวชีวิตผม ขอให้เรื่องนี้ท�ำให้คุณรู้แจ้งกระจ่างใจ
บทที่ 1 ผมเองฮะ นั่งตัวงออยู่บนเก้าอี้ รออยู่ในอาคารสนามบินทึมๆ เคี้ยวมันฝรั่ง แผ่นเหม็นหืนอย่างใจลอย คุณไม่คาดว่าจะเริ่มเรื่องแบบนี้ละสิ คงคิดสินะว่า ผมจะเริ่มหนังสือ เล่มนี้ด้วยเรื่องตื่นเต้น เปิดฉากด้วยบรรณารักษ์จอมโฉด อาจจะมี - แท่น บูชา ผีดิบปลุกชีวะ หรืออย่างน้อยก็ปืนกล เสียใจที่ท�ำให้ผิดหวังนะ ถึงจะไม่ได้ท�ำแบบนี้ครั้งแรก ทว่า ก็เพื่อ ประโยชน์ของคุณ คืออย่างนี้ ผมตัดสินใจจะกลับตัว หนังสือเล่มที่แล้วไม่ ยุติธรรมเลย - ผมเปิดด้วยฉากตื่นเต้นระทึกขวัญ แล้วตัดไป ทิ้งให้ผู้อ่าน ชะเง้อรอ อยากรู้อยากเห็น และหงุดหงิด ผมสัญญาจะไม่เขียนหลอกลวงแบบนั้นอีก จะไม่ใช้ฉากลุ้นระทึก หรือ เล่ห์เหลี่ยมอื่นๆ ให้ติดตามอ่าน ผมจะใจเย็น น่านับถือ และเปิดเผยตรงไป ตรงมา เออ อีกอย่างนะ ผมเอ่ยถึงหรือยังว่า ตอนรออยู่ที่สนามบินผมอาจตก อยู่ในอันตรายร้ายแรงที่สุดในชีวิต ผมกินมันฝรั่งทอดเหม็นหืนอีกชิ้น 9
ถ้าคุณเดินผ่านไป ก็คงคิดว่าผมดูเหมือนเด็กอเมริกันทั่วไป ผมอายุ สิบสาม มีผมสีน�้ำตาลแก่ สวมกางเกงยีนส์หลวมๆ เสื้อแจ๊คเก็ตสีเขียว และ รองเท้าผ้าใบสีขาว สองสามเดือนมานี้ ผมเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ยังสูงอยู่ใน เกณฑ์เฉลี่ย ที่จริงสิ่งเดียวที่ผิดปกติคือผมสวมแว่นตาสีฟ้า ไม่เชิงแว่นกันแดด ดู ออกจะเหมือนแว่นอ่านหนังสือของชายชรา เพียงแต่เลนส์สีฟ้าซีด (ผมเห็นว่าชีวิตผมด้านนี้สุดแสนอยุติธรรม ด้วยเหตุผลบางประการ แว่นอักขะฤทธาที่ยิ่งทรงพลังก็ยิ่งดูเท่น้อยลง ผมก�ำลังบุกเบิกทฤษฎีว่าด้วย – กฎอสมมาตรกะพร่องกะแพร่ง) ผมเคี้ยวมันฝรั่งอีกชิ้น ให้ตายเถอะ...ผมคิด ปู่อยู่ไหนกันนะ ปู่สายเช่นเคย จะโทษเขาเต็มๆ ก็ไม่ได้ เลเวนเวิร์ธ สเม็ดดรี้เป็นคน ตระกูลสเม็ดดรี้ (นามสกุลก็บอกอยู่โต้งๆ) เขามีพรสวรรค์วิเศษเช่นเดียวกับส เม็ดดรี้ทุกคน พรสวรรค์ของปู่คือไปสายทุกสถานการณ์อย่างน่าอัศจรรย์ คนส่วนใหญ่คงเห็นว่าเรื่องแบบนี้ท�ำให้ขลุกขลักมาก แต่สเม็ดดรี้ใช้ พรสวรรค์ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น ปู่สเม็ดดรี้มักไปถึงรอยกระสุน และเรื่อง วินาศสันตะโรต่างๆ สาย พรสวรรค์ช่วยชีวิตของเขาไว้หลายครั้งหลายหนแล้ว น่าเสียดายที่เขามาสายตลอดศกด้วย เขาคงใช้พรสวรรค์นี้เป็นข้ออ้าง ตลอดเวลา ผมเคยจะว่าเอาหลายครั้งแต่เหลวเปล่า ปู่ก็แค่ไปไม่ทันถ้อยค�ำบ่น ว่า เสียงก็ไม่เคยเข้าหู (ก็ปู่สเม็ดดรี้เห็นว่าการด่าทอเป็นหายนะอย่างหนึ่ง) ผมงอตัวลงไปอีกบนเก้าอี้ พยายามไม่ท�ำตัวเป็นเป้าสายตา ปัญหา คือผู้ที่รู้ว่าจะสังเกตตรงไหนก็จะเห็นผมสวมแว่นอักขะฤทธา แว่นสีฟ้าซีดนี้ คือแว่นสื่อสาร เป็นแว่นสามัญที่อักขะฤทธาสองคนใช้ติดต่อกันในระยะทาง ใกล้ๆ สองสามเดือนที่ผ่านมา ปู่กับผมมักใช้แว่นนี้ ขณะเที่ยววิ่งหลบๆ ซ่อนๆ จากสายลับบรรณารักษ์ ชาวแดนไม่รู้ไม่ชี้น้อยคนนักที่เข้าใจอานุภาพของแว่นอักขะฤทธา คน ส่วนใหญ่ที่เดินไปมาในสนามบินไม่รู้อีโหน่อีเหน่เรื่องอักขะฤทธา เทคโนโลยี อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 10
ซิลิแมติก และลัทธิบรรณารักษ์โฉดซึ่งปกครองโลกอย่างลับๆ ใช่ คุณอ่านถูกแล้ว บรรณารักษ์โฉดครองโลก กักผู้คนไว้ในความโฉด เขลา สอนเรื่องผิดๆ แทนที่จะสอนประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมือง พวกเขาเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องตลก ถึงได้เรียกตนเองอย่างที่รู้กัน บรรณารักษ์ บรรณาลัก เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมครับ ถ้าคุณอยากตบหน้าผากและสบถดังๆ ก็ เอาสิ ผมรอได้ ผมกินมันฝรั่งอีกชิ้น ปู่สเม็ดดรี้ควรจะใช้แว่นสื่อสารติดต่อมาตั้งแต่กว่า สองชั่วโมงก่อน ถึงตอนนี้ต่อให้เป็นปู่ก็ยังเรียกว่าสายมาก ผมมองไปรอบๆ เพ่งพินิจดูว่ามีสายลับบรรณารักษ์ปะปนอยู่ในฝูงชนที่สนามบินหรือเปล่า ถึงไม่เห็นสักคนก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ผมรู้ดีพอว่าแค่ดูเผินๆ แยกบรรณารักษ์ไม่ออกเสมอไป บางคนแต่งตัวสมอาชีพคือ - ผู้หญิงสวม แว่นกรอบกระ ผู้ชายสวมเสื้อกั๊กและผูกโบหูกระต่าย – ทว่า คนอื่นดูปกติ กลมกลืนไปกับชาวแดนไม่รู้ไม่ชี้ธรรมดาสามัญ เป็นภัยซ่อนเร้น (คล้ายพวก ตัวแสบจอมก่อเรื่องที่อ่านนวนิยายแฟนตาซี) ผมต้องตัดสินใจยากเข็ญ จะสวมแว่นสื่อสารไว้ให้สายลับบรรณารักษ์ สังเกตเห็นว่าผมเป็นอักขะฤทธา หรือถอดออก แล้วพลาดการติดต่อจากปู่ส เม็ดดรี้ เมื่อเขามาใกล้พอ ถ้าเขามาใกล้พอจะติดต่อผมนะ คนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่ผมนั่ง วางสมบัติข้าวของลงบนเก้าอี้หลาย แถว แล้วคุยกันเรื่องหมอกจัดจนเครื่องบินล่าช้า ผมเครียดขึ้น ระแวงว่าพวก นี้เป็นสายลับบรรณารักษ์หรือเปล่า การหลบหนีอยู่สามเดือนท�ำให้ขวัญอ่อน แต่การหนีจบแล้ว ในไม่ช้าผมจะเผ่นจากแดนไม่รู้ไม่ชี้ ไปเยี่ยมเยียน บ้านเกิด นัลฮัลลาเป็นหนึ่งในอาณาจักรอิสระ เป็นสถานที่ซึ่งชาวแดนไม่รู้ไม่ ชี้ไม่รู้ด้วยซ�้ำว่ามีอยู่ แม้จะเป็นทวีปใหญ่ที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่าง อเมริกาเหนือกับเอเชีย แบรนดอน แซนเดอร์สัน 11
ผมไม่เคยเห็นอาณาจักรอิสระมาก่อน แต่ได้ยินเรื่องราว และเคยเห็น เทคโนโลยีบางชนิด เช่น รถยนต์ที่แล่นได้เอง นาฬิกาทรายที่พลิกไปทาง ไหนก็ยังเดิน ผมอยากไปนัลฮัลลา – ทว่า ที่อยากสุดใจคือไปให้พ้นดินแดน ที่บรรณารักษ์ควบคุม ปู่สเม็ดดรี้ไม่ได้อธิบายว่า วางแผนจะเอาตัวผมออกไปอย่างไร หรือ ท�ำไมต้องนัดเจอกันที่สนามบิน คงจะไม่มีเที่ยวบินไหนไปอาณาจักรอิสระ อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าการหนีของเราคงจะไม่ง่าย โชคดีที่ผมมีข้อได้เปรียบบ้าง ข้อแรก ผมเป็นอักขะฤทธา มีแว่นตาที่ ทรงพลัง ข้อสอง ผมมีปู่ผู้ช�ำนาญการหลีกเลี่ยงสายลับบรรณารักษ์ ข้อสาม ผมรู้ว่าแม้บรรณารักษ์จะปกครองโลกส่วนใหญ่อย่างลับๆ แต่ก็ตั้งใจท�ำตัว กลมกลืน ผมคงไม่ต้องห่วงเรื่องต�ำรวจหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของสนามบิน – บรรณารักษ์ไม่อยากให้คนพวกนี้สอดมือเข้ามา เพราะจะ เสี่ยงเปิดเผยเล่ห์เพทุบายกับผู้ที่มียศต�ำแหน่งต�่ำเกินไป ผมยังมีพรสวรรค์ด้วย แต่...ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นข้อได้เปรียบหรือ เปล่า มันผมตัวแข็งทื่อ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่บริเวณรอขึ้นเครื่องถัดจากผม เขา สวมสูทกับแว่นกันแดด และมองตรงมา ทันทีที่ผมสะดุดตา เขาก็มองเมินไป แว่นกันแดดอาจหมายถึงแว่นนักรบ – แว่นชนิดเดียวซึ่งผู้ไม่ใช่อักขะ ฤทธาจะใช้ได้ ผมเกร็ง หมอนั่นดูจะพึมพ�ำงึมง�ำ หรือว่าพูดใส่เครื่องรับส่งวิทยุอยู่นะ ให้กระจกแตกสิ! ผมคิด แล้วยืนขึ้น เหวี่ยงเป้ขึ้นไหล่ ผมเดินผ่านผู้คน ผละจากประตูขึ้นเครื่อง ยกมือขึ้นตั้งใจจะถอดแว่นสื่อสาร แต่...แล้วถ้าปู่สเม็ดดรี้หาทางติดต่อมาล่ะ เขาไม่มีทางหาผมเจอใน สนามบินจอแจ ผมต้องสวมแว่นนี้ไว้ ผมจ�ำเป็นต้องขัดจังหวะตรงนี้ เพื่อเตือนว่าผมมักขัดจังหวะ เพื่อเอ่ย ถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่เป็นนิสัยแย่ๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมการสวมถุงเท้าไม่ อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 12
เข้าคู่เข้าไป ก็มักจะท�ำให้ผู้คนค่อนข้างร�ำคาญผม ที่จริงผมไม่ผิดหรอกครับ ผมโทษสังคม (หมายถึงเรื่องถุงเท้านะ ส่วนเรื่องขัดจังหวะเรื่องตื่นเต้น ผม ผิดเต็มประตู) ผมเร่งฝีเท้า คอยก้มหน้าก้มตา และยังสวมแว่นไว้ เดินไปได้ไม่ไกลก็ สังเกตเห็นชายกลุ่มหนึ่งสวมสูทด�ำ ผูกโบหูกระต่ายสีชมพู ยืนบนทางเลื่อน ของสนามบินห่างไปไม่ไกล มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเครื่องแบบ หลายคนอยู่ด้วย ผมชะงักกึก จบกันที่ว่าไม่ต้องห่วงเรื่องต�ำรวจ...ผมแข็งใจข่มความ ตระหนก – หันหลบวูบ - แล้วรีบเดินไปอีกทาง ผมน่าจะรู้ว่ากฎกติกาเริ่มเปลี่ยน บรรณารักษ์ไล่ล่าปู่สเม็ดดรี้กับผมอยู่ สามเดือน ต่อให้ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายท้องถิ่นยื่นมือเข้ามายุ่ง เกี่ยว แต่ก็ต้องเกลียดความคิดที่ว่าเราจะหลุดมือไปมากกว่า สายลับบรรณารักษ์กลุ่มที่สองเดินมาจากอีกทาง เป็นนักรบสิบกว่า คน สวมแว่น น่าจะพกดาบแก้ว และอาวุธก้าวหน้าอื่นๆ ผมเหลือวิธีเดียวให้ท�ำ ผมเข้าห้องน�้ำ คนหลายคนท�ำธุระส่วนตัวอยู่ในนั้น ผมรีบไปที่ผนังด้านหลัง ทิ้งเป้ลง บนพื้น แล้วทาบมือทั้งสองข้างบนกระเบื้องผนัง ชายสองสามคนในห้องน�้ำมองมาแปลกๆ แต่ผมชินแล้ว ผู้คนมองผม แปลกๆ มาเกือบตลอดชีวิต – เด็กชายผู้ท�ำสิ่งของซึ่งแข็งแรงทนทาน แตก หลุดหักพังเสียหายเป็นประจ�ำก็ต้องเจอแบบนี้ (ครั้งหนึ่ง เมื่ออายุเจ็ดขวบ พรสวรรค์ตัดสินใจจะท�ำให้ผมเหยียบพื้นคอนกรีตแตก ผมทิ้งรอยแตกเป็น แถวไว้บนทางเท้า รอยนั้นคล้ายรอยเท้าหุ่นยนต์ยักษ์สุดอันตราย - ตัวที่สวม รองเท้าผ้าใบเบอร์หก) ผมหลับตา ตั้งใจจดจ่อ เมื่อก่อนผมปล่อยให้พรสวรรค์บงการ ไม่รู้เลย ว่าตนเองควบคุมมันได้ - ผมไม่เคยเชื่อว่าพรสวรรค์จะเป็นจริง สามเดือนก่อนปู่สเม็ดดรี้มาเปลี่ยนทุกสิ่ง ขณะลากผมไปแทรกซึม แบรนดอน แซนเดอร์สัน 13
ห้องสมุด เอาทรายแห่งราชิดคืน ปู่ก็ช่วยสอนว่าผมใช้พรสวรรค์ได้ แทนที่ จะปล่อยไปตามยถากรรม ผมตั้งสติ ส่งพลังสองสายแล่นจากอกลงไปตามแขน กระเบื้องตรง หน้าหลุดตกกระแทกพื้นแตก เหมือนแท่งน�้ำแข็งที่ถูกเคาะหล่นจากชายคา ผมยังตั้งใจจดจ่อ ผู้คนข้างหลังร้องเอะอะ บรรณารักษ์ก็จะมาถึงได้ทุกเมื่อ ผนังทั้งด้านพังหลุดออกไป น�้ำสายหนึ่งเริ่มฉีดพุ่ง ผมไม่ชะงักหันไป มองพวกผู้ชายที่ร้องเอะอะเอ็ดตะโร แต่กลับเอื้อมมือคว้าเป้ สายเป้ขาดผึง ผมสบถเบาๆ คว้าอีกข้าง ก็ขาดอีก พรสวรรค์ มีทั้งคุณและโทษ ถึงไม่ปล่อยให้มันบงการอีก – แต่ก็ยัง ควบคุมไม่ค่อยได้ พรสวรรค์กับผมดูจะแบ่งกันดูแลชีวิตนี้ แบบว่าผมจะได้ สุดสัปดาห์เว้นสุดสัปดาห์และบางทีก็รวมวันหยุดเทศกาลด้วย อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 14
ผมทิ้งเป้ แว่นตาซึ่งเป็นของมีค่าอย่างเดียวของผมอยู่ในกระเป๋าเสื้อ แจ๊คเก็ต ผมถลันมุดรู ตะกายข้ามซากปรักหักพัง แล้วเข้าสู่พุงของสนามบิน (อือม์ ออกจากห้องน�้ำเข้าพุง - ออกจะตรงข้ามกับวิถีธรรมดา) ผมอยู่ในอุโมงค์ซ่อมบ�ำรุง ไฟไม่ค่อยสว่าง แถมไม่ค่อยสะอาดด้วย ผม วิ่งหน้าตั้งไปตามอุโมงค์อยู่หลายนาที คิดว่าต้องไปให้พ้นอาคารผู้โดยสาร ตัด ผ่านทางไปยังอาคารอีกหลัง สุดทางมีบันไดสองสามขั้นทอดสู่ประตูบานใหญ่ ผมได้ยินเสียงตะโกน ไล่หลังมาจึงเสี่ยงเหลือบมองแวบหนึ่ง ชายกลุ่มหนึ่งดาหน้าวิ่งตะบึงตามมา ผมหันไปดึงลูกบิด ประตูใส่กุญแจ แต่ประตูเป็นความช�ำนาญพิเศษ อย่างหนึ่งของผม ลูกบิดหลุด ผมโยนส่งๆ ข้ามไหล่ไป แล้วเตะประตูเปิด ถลันเข้าโรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ เครื่องบินล�ำมโหฬารตระหง่านอยู่เหนือตัว กระจกหน้ามืด ผมลังเล เงยหน้ามองยานพาหนะล�ำมหึมา รู้สึกตัวเล็กกระจ้อยร่อยอยู่หน้าสัตว์ร้าย ตัวโต ผมสลัดความงงงันไป บรรณารักษ์ยังตามมาไม่ถึง โชคดีที่โรงเก็บ เครื่องบินนี้ดูจะไม่มีคนอยู่ ผมกระแทกประตูปิดแล้วแตะกุญแจ ใช้พรสวรรค์ ท�ำให้สลักติด ก่อนโดดข้ามราวไปลงบนบันไดช่วงสั้นๆ ที่ทอดสู่พื้นโรงเก็บ เครื่องบิน เมื่อไปถึงข้างล่าง เท้าก็ทิ้งรอยไว้บนพื้นฝุ่นจับ การหนีออกไปที่รันเวย์ ดูจะเป็นทางพาตัวไปถูกจับ หากคิดถึงระบบรักษาความปลอดภัยสนามบินใน ปัจจุบัน ทว่า การซ่อนตัวก็ดูจะเสี่ยงพอกัน ที่จริงนั่นเป็นอุปมาอุปไมยเหมาะกับชีวิตผม ที่ไม่ว่าจะท�ำอะไรก็เจอ อันตรายหนักขึ้นทุกที คนอาจพูดว่าผมมัก “หนีเสือปะจระเข้” ซึ่งเป็นค�ำ พังเพยของชาวแดนไม่รู้ไม่ชี้ (ต้องบันทึกไว้ว่า ชาวแดนไม่รู้ไม่ชี้ไม่ค่อยมีจินตนาการเรื่องส�ำนวน โวหาร ถ้าเป็นผมก็จะพูดว่า “หนีเสือปะหลุมเต็มไปด้วยฉลามที่กวัดแกว่ง แบรนดอน แซนเดอร์สัน 15
เลื่อยยนต์ซึ่งมีลูกแมวเพชฌฆาตติดอยู่” ทว่า ประโยคนี้จะติดปากยากหน่อย) เริ่มมีเสียงก�ำปั้นทุบประตู ผมเหลือบมองแล้วตัดสินใจ หาทางซ่อน ตัวก็แล้วกัน ผมวิ่งไปยังประตูเล็กๆ ที่ระดับพื้นโรงเก็บเครื่องบิน ขอบประตูมีแสง ส่องลอดเข้ามา คงเปิดออกไปที่รันเวย์ ผมจงใจทิ้งรอยเท้าใหญ่ยาวไว้ แล้ว - เมื่อท�ำร่องรอยหลอกเสร็จ - ก็โดดขึ้นบนกองกล่อง วิ่งข้ามไปก่อนโดดลงพื้น พวกที่ตามมาทุบโครมๆ จนประตูสั่น ประตูคงจะต้านทานได้อีกไม่ นาน ผมเลื่อนตัวลงไปที่ล้อของเครื่องบิน 747 ล�ำหนึ่ง ถอดแว่นสื่อสารออก แล้วล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต ผมเย็บกระเป๋าเป็นแถวติดกับซับใน กระเป๋า แต่ละใบบุวัสดุพิเศษของอาณาจักรอิสระเพื่อป้องกันแว่นตา ผมหยิบแว่นเลนส์สีเขียวขึ้นมาสวม ประตูเปิดผาง ผมไม่สน กลับตั้งใจจดจ่ออยู่กับพื้นโรงเก็บเครื่องบิน แล้วกระตุ้นให้ แว่นท�ำงาน ทันใดนั้น ลมวูบหนึ่งก็พัดไปจากใบหน้า เลียดพื้น ลบรอยเท้า ไปบางส่วน แว่นมหาวาตะเป็นของขวัญจากปู่สเม็ดดรี้ในสัปดาห์หลังจากการ แทรกซึมบรรณารักษ์ครั้งแรก กว่าบรรณารักษ์ที่แช่งชักหักกระดูกจะเข้าประตูมา รอยเท้าเดียวที่ ผมต้องการให้เห็นก็ยังอยู่ ผมหมอบลงข้างล้อ กลั้นหายใจ ฝืนสะกดใจที่เต้น โครมๆ ขณะได้ยินทหารต�ำรวจเป็นหมู่กรูลงบันไดมา ตอนนั้นผมก็นึกถึงเลนส์ผนึกอัคนีขึ้นมาได้ ผมแอบมองข้ามล้อเครื่องบิน 747 บรรณารักษ์หลงกล พากันตรงไป ทางประตูออกจากโรงเก็บเครื่องบิน แต่ก็ไม่เดินเร็วอย่างใจผม แถมหลายคน ยังกวาดตามองระวังระแวงไปรอบๆ ผมหลบลงก่อนจะมีใครมองเห็น นิ้วแตะเลนส์ผนึกอัคนี – ซึ่งเหลือ อยู่แค่ชิ้นเดียว - ลังเลที่จะหยิบออกมา เลนส์ชิ้นนี้ใสกระจ่าง มีจุดแดงจุด เดียวอยู่ตรงกลาง อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 16
เมื่อถูกกระตุ้น เลนส์จะยิงพลังร้อนจี๋คล้ายแสงเลเซอร์ ผมจะใช้เลนส์นี้ จัดการบรรณารักษ์ได้สิ ก็พวกเขาพยายามฆ่าผมมาหลายครั้งหลายหน ฉะนั้น ก็สมควรจะโดนบ้าง ผมนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ เก็บเลนส์ใส่กระเป๋า แล้วสวมแว่นสื่อสาร ตามเดิม ถ้าคุณอ่านอัตชีวประวัตินี้เล่มที่แล้ว ก็จะรู้ว่าผมมีความคิดแหวกแนว เรื่องวีรกรรม วีรบุรุษไม่ใช่ผู้ที่จะยิงแสงเลเซอร์แรงสูงใส่หลังกลุ่มทหารได้ โดย เฉพาะเมื่อกลุ่มนั้นรวมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไว้ด้วย ในที่สุด จิตใจเช่นนี้ก็ท�ำให้ผมตกที่นั่งล�ำบากหลายครั้ง คุณอาจจ�ำ ได้ว่าผมจะลงเอยอย่างไร ในเมื่อเคยเอ่ยถึงในเล่มหนึ่งแล้ว สุดท้ายผมถูก มัดติดแท่นบูชาท�ำด้วยสารานุกรมล้าสมัย มีสาวกลัทธิบรรณารักษ์จากภาคี เลนส์แตกเตรียมจะประกอบพิธีกรรมหยาบช้าให้เลือดอักขะฤทธาไหลนอง วีรกรรมพาผมไปลงเอยตรงนั้น แต่ก็เป็นเรื่องเสียดสีตรงที่วันนั้นมัน ช่วยชีวิตผมที่โรงเก็บเครื่องบิน คืออย่างนี้ ถ้าผมไม่ได้สวมแว่นสื่อสารก็จะ พลาดเรื่องที่เกิดขึ้นถัดไป อัลคาแทรซหรือ จู่ๆ เสียงหนึ่งถามขึ้นในใจผม เสียงเกือบท�ำให้ผมร้องอุทาน เอ้อ อัลคาแทรซ หวัดดี มี ใครฟังอยู่หรือเปล่า เสียงแว่วๆ ไม่ชัด และไม่ใช่เสียงปู่ ทว่า มาจากแว่นสื่อสาร โธ่เว้ย! เสียงพูด ฮื้อ ฉันใช้แว่นสื่อสารได้ไม่เก่งสักที เสียงขาดๆ หายๆ เหมือนคนพูดวิทยุที่รับคลื่นได้ไม่ค่อยดี ไม่ใช่เสียง ของปู่สเม็ดดรี้ แต่ขณะนั้นผมยินดีเสี่ยงพูดกับใครก็ได้ “ฉันอยู่นี่!” ผมกระตุ้นแว่นแล้วกระซิบ ใบหน้าพร่าเลือนปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นภาพเด็กสาววัยรุ่นผิวคล�้ำ ผมด�ำ ลอยอยู่ในอากาศเหมือนภาพสามมิติ หวัดดี เธอทัก มีใครอยู่ไหม นายพูดดังขึ้นหน่อยได้หรือเปล่า “ก็ไม่เชิง” ผมพูดลอดไรฟัน ตาเหลือบมองบรรณารักษ์ ส่วนใหญ่ออก แบรนดอน แซนเดอร์สัน 17
นอกประตูไป แต่ก็มีคนกลุ่มเล็กๆ ได้รับค�ำสั่งให้ค้นโรงเก็บเครื่องบิน ส่วน ใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อื้อ...ก็ได้ เสียงพูด เอ้อ นั่นใครน่ะ “ก็เธอคิดว่าใครล่ะ” ผมชักร�ำคาญ “ฉันคืออัลคาแทรซ เธอคือใคร” อ้อ ฉัน – ภาพและเสียงพร่าไปครู่หนึ่ง - ส่งมารับนาย โทษที! นี่ นาย อยู่ไหนน่ะ “ในโรงเก็บเครื่องบิน” ผมบอก ยามคนหนึ่งเงยหน้า แล้วชักปืนชี้มา ทางนี้ เขาได้ยินผม “ให้กระจกแตกสิ!” ผมแค่นเสียงแล้วหลบลง นี่ นายไม่ควรสบถยังงั้นนะ...เด็กผู้หญิงพูด “ขอบใจ” ผมแค่นเสียงเบาเป็นกระซิบ “เธอคือใคร แล้วเธอจะพา ฉันออกไปจากที่นี่ได้ยังไง” เสียงเงียบไป เงียบงันเนิ่นนานน่าหงุดหงิดกวนประสาทเหลือเชื่อ ฉัน...ไม่รู้จริงๆ เด็กผู้หญิงพูด ฉัน – เดี๋ยวนะ บาสติลล์บอกให้นายวิ่ง ไปอยู่ที่โล่งๆ แล้วส่งสัญญานให้หน่อย ข้างล่างนั่นหมอกหนามาก เรามอง ไม่ค่อยเห็น ข้างล่างนั่นหรือ ผมคิด แต่ถ้าบาสติลล์อยู่กับเด็กคนนี้ก็ดูจะหวังได้ แม้บาสติลล์อาจเอ็ดตะโรผมที่หมั่นหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่เธอก็เก่งกล้า สามารถเป็นนิจ หวังว่าความเก่งจะรวมเรื่องช่วยเหลือผมไว้ด้วย “เฮ้!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันขวับไปเจอะยามคนหนึ่ง “ผมเจอแล้ว!” ถึงเวลาพังข้าวของแล้ว ผมคิดพลางสูดหายใจลึก แล้วส่งพลังแตก หลุดใส่ล้อเครื่องบิน ผมหมุนตัวลุกพรวด ขณะสลักเกลียวเด้งหลุดจากล้อเครื่องบิน ยาม ยกปืนแต่ไม่ได้ยิง “ยิงสิ!” บรรณารักษ์สวมสูทด�ำสั่งมาจากข้างห้อง “ผมไม่ยิงเด็ก” ยามบอก “ผู้ก่อการร้ายที่คุณพูดถึงอยู่ไหน” อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 18
คนดี ผมคิดพลางโถมไปทางหน้าโรงเก็บเครื่องบิน ขณะนั้น ล้อเครื่อง บินหลุดผลัวะ ด้านหน้าของอากาศยานกระแทกพื้น ผู้คนร้องเอะอะ และยาม ทั้งหลายก็พุ่งตัวหาที่หลบ บรรณารักษ์ชุดด�ำฉวยปืนพกจากยามที่งุนงง แล้วเล็งมา ผมแค่ยิ้ม แน่ละ ปืนหลุดเป็นชิ้นๆ ทันทีที่บรรณารักษ์เหนี่ยวไก พรสวรรค์ ปกป้องผมเต็มที่ – และยิ่งอาวุธมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากก็ยิ่งพังง่ายขึ้น ผมใช้ไหล่กระแทกประตูโรงเก็บเครื่องบินบานยักษ์ ส่งคลื่นพลังแตกหักเข้าไป สลักเกลียวกับหมุดร่วงหล่นกระทบพื้นรอบตัวเหมือนสายฝน ยามหลายคน แอบมองมาจากหลังกล่อง ผนังด้านหน้าของโรงเก็บเครื่องบินหลุดออกไปทั้งแผ่น ตกกระแทก จนพื้นข้างนอกสะเทือน ผมลังเล ตระหนก แม้ว่าจะอยากให้เกิดขึ้นเช่นนั้น หมอกหมุนวนเริ่มลอยเข้าห้อมล้อมตัวผมในโรงเก็บเครื่องบิน พรสวรรค์ดูจะทรงพลังยิ่งขึ้น เมื่อก่อนผมท�ำสิ่งของอย่างหม้อจาน ชามแตกเสียหาย นานแสนนานครั้งก็พังสิ่งที่ใหญ่กว่า อย่างพื้นคอนกรีตที่ท�ำ แตกตอนอายุเจ็ดขวบ ไม่มีอะไรเหมือนที่ท�ำในระยะหลัง ซึ่งมีทั้งรื้อล้อเครื่อง บิน พังประตูโรงเก็บเครื่องบิน ผมเกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่า ถ้าจ�ำเป็นแล้วจะท�ำ แตกหักได้มากแค่ไหน พรสวรรค์จะพังได้มากแค่ไหน หากมันตกลงใจจะท�ำ นี่ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิด บรรณารักษ์ข้างนอกได้ยินเสียงเอะอะอึกทึก พวกเขายืนมองผม เห็นเป็นสีด�ำในหมอกเที่ยงวัน ส่วนใหญ่กระจายกันออก ไปด้านข้าง ผมจึงได้แต่ตรงไป ผมโกยอ้าวออกไปที่ทางลาดยางเปียกๆ บรรณารักษ์เริ่มร้องเอะอะ และหลายคนพยายาม – โดยไร้ผล – ยิงปืนใส่ผม ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ก็รู้ๆ กัน อยู่ว่าน้อยคนนัก – ต่อให้เป็นพวกบรรณารักษ์ด้วย - ที่จะรู้วิธีจัดการสเม็ดด รี้ผู้ทรงพลังเท่าผม หากเป็นคนอื่น พวกเขาคงได้ยิงสักสองสามนัดก่อนเสียท่า ปืนมิได้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงในอาณาจักรอิสระ แค่ทรงอานุภาพน้อยกว่า แบรนดอน แซนเดอร์สัน 19
การยิง - หรือการยิงไม่ออก – ซื้อเวลาให้ผมสองสามวินาที เสียดาย ที่มีบรรณารักษ์คู่หนึ่งขวางทางอยู่ “เตรียมพร้อมนะ!” ผมร้องใส่แว่นสื่อสารก่อนถอดออก สวมแว่นมหา วาตะแทน ผมตั้งใจมั่น ลมกระโชกจากดวงตา บรรณารักษ์ทั้งสองถูกผลัก ลงพื้น ผมโจนข้ามไป บรรณารักษ์คนอื่นๆ ร้องตาม พลางวิ่งไล่ผมไปที่รันเวย์ ผมหอบแฮ่ก ล้วงกระเป๋า หยิบเลนส์ผนึกอัคนีออกมา หันไป แล้วกระตุ้นเลนส์ เลนส์เริ่มเรืองแสง กลุ่มบรรณารักษ์หยุดกึก จ�ำเลนส์นั้นได้ ผมชูเลนส์ ขึ้นเหนือศีรษะ มันยิงแสงไฟสีแดงเส้นหนึ่งทะลุหมอก หวังว่าจะเป็นสัญญานพอนะ ผมคิด บรรณารักษ์รวมกลุ่มกัน ต้องเต รียมโจมตีแน่ ไม่ว่าผมจะมีหรือไม่มีเลนส์ ผมเตรียมแว่นมหาวาตะ หวังจะใช้ เป่าบรรณารักษ์ ถ่วงเวลาให้บาสติลล์มาช่วย บรรณารักษ์กลับไม่ได้บุกเข้ามา ผมยืนกระวนกระวาย เลนส์ผนึกอัคนี ยังยิงขึ้นฟ้า พวกนี้รออะไรอยู่นะ บรรณารักษ์กระจายออก ร่างด�ำร่างหนึ่ง – เป็นเงามืดในหมอกมัว มน - เคลื่อนผ่านเข้ามา ถึงเห็นแวบเดียวแต่ร่างนี้มีสิ่งผิดปกติแน่ๆ ร่างสูง กว่าคนอื่นหนึ่งช่วงศีรษะ แขนข้างหนึ่งก็ยาวกว่าอีกข้างหลายฟุต ศีรษะผิด รูปร่าง อาจไม่ใช่มนุษย์ แต่สุดอันตรายแน่นอน ผมตัวสั่น ถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ร่างด�ำยกแขนผอมซูบขึ้น ราวกับ เล็งปืน ฉันจะไม่เป็นไร ผมร�ำพึง ปืนใช้กับฉันไม่ได้ มีเสียงแตกเปรี๊ยะ เลนส์ผนึกอัคนีในมือผมโดนกระสุนของเจ้านั่นแตก กระจาย ผมร้องพลางหดมือ ยิงเลนส์แทนที่จะยิงตัว เจ้านี่ฉลาดกว่าคนอื่นๆ ร่างมืดเดินมาข้างหน้า ใจหนึ่งผมก็อยากรอดูว่า เหตุใดแขนและศีรษะ ของเขาผิดรูปร่างนัก แต่อีกใจอกสั่นขวัญแขวน ร่างนั้นออกวิ่ง ซึ่งก็พอแล้ว ผม อัลคาแทรซผจญอัฐิจ้าวอาลักษณ์ 20
ท�ำเรื่องฉลาด (ผมสามารถท�ำเรื่องฉลาดได้เป็นครั้งคราวนะครับ) ผมโกยอ้าว ทันใดนั้น ผมเหมือนถูกดึงถอยกลับ หูอื้อแบบแปลกๆ และทุกย่างก้าว ช่างยากเย็น ผมเริ่มเหงื่อแตก ไม่ช้าแค่เดินก็ยังยาก บางสิ่งผิด ผิดปกติมากๆ ผมแข็งใจเดินต่อ แม้พลังประหลาดจะลาก ตัวกลับ ผมชักรู้สึกถึงสิ่งโหดร้ายข้างหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายพิกลพิการ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ผมแทบเคลื่อนไหวไม่ได้ ทุก ก้าว เริ่ม ยาก ขึ้น บันไดลิงร่วงฟาดพื้นลาดยางตรงหน้า ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ผมร้องลั่นแล้ว โถมเข้าคว้าไว้แน่น น�้ำหนักต้องบอกคนข้างบนว่าผมมาแล้ว เพราะบันไดดึง ขึ้นฉับพลัน กระชากลากผมหลุดจากแรงอะไรก็ตามที่เหนี่ยวรั้งไว้ ผมรู้สึกว่า ความกดดันเบาลง และถอนใจโล่งอกเมื่อหันมองลงไป ร่างนั้นยังยืนอยู่ มองเห็นรางเลือนในสายหมอก ห่างจากที่ผมเคยยืน แค่สองสามฟุต ร่างแหงนหน้ามองจ้องมา ขณะผมถูกดึงขึ้นสู่ความปลอดภัย จนกระทั่งพื้นและสิ่งมีชีวิตนั้นหายไปในหมอก ผมถอนหายใจโล่งอก ทิ้งตัวเกาะบันไดลิง ครู่ต่อมา บันไดกับผมก็ถูก ดึงหลุดจากหมอก ถลันออกสู่ท้องฟ้าโปร่งโล่ง ผมเงยหน้ามอง เห็นภาพที่อาจจะน่าตื่นตะลึงที่สุดในชีวิต แบรนดอน แซนเดอร์สัน