The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

"มันช่างมหัศจรรย์จริงๆนะคะ ที่จะได้อยู่กับคุณ<br>หนูไม่เคยเป็นสมาชิกของครอบครัวใครมาก่อนเลยค่ะ.. !"<br>*****<br>แมทธิวและมาลิลลาคัธเบิร์ต<br>สองพี่น้องสูงวัยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์<br>ต้องประหลาดใจอย่างสุด เมื่อพบว่าเด็กผู้ชายที่พวกเขาขอรับอุปการะ<br>จากบ้านเลี้ยงเด็กกาพร้า<br>กลายเป็นเด็กหญิงตัวผอมโกรก ผิวขาวซีด หน้าตกกระ ผมแดงแจ๋<br>เด็กหญิงผู้เดินทางมาไกลจนถึงเกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ดนี่น่ะหรือ?<br>คือผู้จะมาช่วยงานในไร่นา!<br>*****<br>"คุณไม่ต้องการหนู ... เพราะหนูไม่ใช่เด็กผู้ชาย!" น้าเสียงของเด็กผู้หญิงสั่นเครือ<br>*****<br>"แอนน์" ผู้ช่างพูดเจื้อยแจ้ว.. ผู้มีจินตนาการบรรเจิดไม่รู้จบ<br>ผู้สร้าง 'วีรกรรม' ให้สองพี่น้องสูงวัยต้องใจหายใจคว่าอย่างต่อเนื่อง..<br>ผู้กล่าวว่าชีวิตของเธอช่างเป็นเสมือน 'หลุมลึกแห่งความสิ้นหวัง'<br>แต่แล้ว...เธอกับยึดครองหัวใจสองพี่น้องคัธเบริ์ตไว้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ..<br>*****<br>"นี่.. หนูรู้มั้ย ต่อให้เอาเด็กผู้ชายเป็นโหลมาแลก<br>ฉันก็ไม่เอาหรอก เด็กน้อยของฉัน.."<br>*****<br>'แอนน์ หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์'

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanyarat Tanawet, 2023-10-04 08:30:16

Anne of Green Gable

"มันช่างมหัศจรรย์จริงๆนะคะ ที่จะได้อยู่กับคุณ<br>หนูไม่เคยเป็นสมาชิกของครอบครัวใครมาก่อนเลยค่ะ.. !"<br>*****<br>แมทธิวและมาลิลลาคัธเบิร์ต<br>สองพี่น้องสูงวัยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์<br>ต้องประหลาดใจอย่างสุด เมื่อพบว่าเด็กผู้ชายที่พวกเขาขอรับอุปการะ<br>จากบ้านเลี้ยงเด็กกาพร้า<br>กลายเป็นเด็กหญิงตัวผอมโกรก ผิวขาวซีด หน้าตกกระ ผมแดงแจ๋<br>เด็กหญิงผู้เดินทางมาไกลจนถึงเกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ดนี่น่ะหรือ?<br>คือผู้จะมาช่วยงานในไร่นา!<br>*****<br>"คุณไม่ต้องการหนู ... เพราะหนูไม่ใช่เด็กผู้ชาย!" น้าเสียงของเด็กผู้หญิงสั่นเครือ<br>*****<br>"แอนน์" ผู้ช่างพูดเจื้อยแจ้ว.. ผู้มีจินตนาการบรรเจิดไม่รู้จบ<br>ผู้สร้าง 'วีรกรรม' ให้สองพี่น้องสูงวัยต้องใจหายใจคว่าอย่างต่อเนื่อง..<br>ผู้กล่าวว่าชีวิตของเธอช่างเป็นเสมือน 'หลุมลึกแห่งความสิ้นหวัง'<br>แต่แล้ว...เธอกับยึดครองหัวใจสองพี่น้องคัธเบริ์ตไว้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ..<br>*****<br>"นี่.. หนูรู้มั้ย ต่อให้เอาเด็กผู้ชายเป็นโหลมาแลก<br>ฉันก็ไม่เอาหรอก เด็กน้อยของฉัน.."<br>*****<br>'แอนน์ หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์'

Keywords: Anne

www.facebook.com/wordswonderbook


Anne of Green Gables แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ ผู้เขียน: L. M. Montgomery ผู้แปล: วรวดี วงศ์สง่า บรรณาธิการ: ฉัตรนคร องคสิงห์ พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2566 ISBN 978-616-8175-32-3 ราคา 395 บาท จัดพิมพ์โดย บริษัท ส�ำนักพิมพ์เวิร์ด วอนเดอร์ จ�ำกัด 664/19 ถนนพระราม 3 บางโพงพาง ยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 บรรณาธิการบริหาร: ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล ออกแบบปก: จัง เสนารักษ์ รูปเล่มและพิสูจน์อักษร: วาสนาดี กรุ๊ป พิมพ์ที่ บริษัท กู๊ดเฮด พริ้นติ้ง แอนด์ แพคเกจจิ้ง กรุ๊ป จ�ำกัด จัดจ�ำหน่ายโดย: บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซนเตอร์ จ�ำกัด 108 หมู่ที่ 2 ถนนบางกรวย จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย นนทบุรี โทรศัพท์: 0 2423 9999, โทรสาร: 0 2449 9222, 0 2449 9500-6 http:// www.naiin.com


แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ ผู้เขียน ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี ผู้แปล วรวดี วงศ์สง่า


ค�ำน�ำการแปล การแปลวรรณกรรมชุด “แอนน์” นี้มีความยากอยู่หลายประการ เนื่องจากเป็นวรรณกรรมคลาสสิกที่มีเนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่มณฑล พรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ (พีอีไอ) และมณฑลใกล้เคียงในประเทศแคนาดา ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งประชากรพีอีไอประกอบไปด้วยผู้คนต่างภูมิหลัง ทางเชื้อชาติและภาษา (ดูภาคผนวก 2) จึงท�าให้มีความหลากหลายในเรื่อง ส�าเนียง ส�านวน และระดับภาษาที่ใช้อันขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางสังคมและ การศึกษาของผู้คน ซึ่งผู้เขียนก็ได้สอดแทรกให้เห็นไว้ชัดเจนตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้ยังมีแง่มุมด้านยุคสมัยและวัฒนธรรมของภาษาต้นฉบับ ที่ผู้แปล จะต้องถ่ายทอดออกมาสู่ผู้อ่านในภาษาไทยให้ได้อย่างถูกต้องและเข้าถึงอารมณ์ ของเรื่องที่สุดในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายแง่มุมที่ผู้แปลได้ตัดสินใจกระท�าเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ในการแปลดังนี้ 1) การใช้ค�าน�าหน้าชื่อ: ผู้แปลได้คงค�าน�าหน้าชื่อตามต้นฉบับไว้ เนื่องจากหากแปลเป็นไทยจะไม่ครอบคลุมความหมาย เช่น ตัวละครชาย ใช้“มิสเตอร์” น�าหน้าชื่อ ตามด้วยนามสกุล จะไม่แปลว่า “นาย” ตัว ละครหญิงที่แต่งงานแล้วใช้“มิสซิส” น�าหน้าชื่อและนามสกุลของสามีหรือ นามสกุลอย่างเดียว จะไม่แปลว่า “นาง” ส่วนตัวละครหญิงที่ยังไม่แต่งงาน ใช้“มิส” ตามด้วยนามสกุล จะไม่แปลว่า “นางสาว” ซึ่งหากจะมีค�าน�าหน้า ชื่ออื่นๆ นอกเหนือไปจากนี้ผู้แปลจะท�าเชิงอรรถอธิบายไว้ 2) การใช้ค�าทับศัพท์: ผู้แปลเลือกใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษใน ค�าที่เป็นชื่อเฉพาะบางชื่อ เช่นชื่อบ้าน เนื่องจากในชุมชนเล็กๆ สมัยนั้น ยังไม่มีการจัดการบ้านเลขที่อย่างเป็นระบบ ชาวบ้านจึงนิยมตั้งชื่อบ้าน ตามลักษณะที่สังเกตได้เช่นบ้านกรีนเกเบิลส์ (Green Gables) คือ


บ้านที่มีหลังคาหน้าจั่วสีเขียว เป็นต้น ซึ่งหากจะแปลตรงตัวว่า “บ้านหน้าจั่ว เขียว” หรือ “บ้านหลังคาเขียว” ก็ย่อมได้เพียงแต่ผู้แปลเห็นว่าใช้ทับศัพท์ “บ้านกรีนเกเบิลส์” รื่นหูกว่า ยกเว้นบางกรณีที่เมื่อแปลเป็นไทยแล้วไพเราะ หรืออ่านง่ายกว่าก็จะแปลเป็นไทย เช่นบ้าน Orchard Slope จะแปลว่า “บ้านเนินสวนผลไม้” เป็นต้น ซึ่งเมื่อใดที่ผู้แปลเลือกใช้ทับศัพท์ก็จะมีการ แปลความหมายก�ากับไว้ให้ผู้อ่านด้วย 3) การถอดตัวอักษร: เนื่องจากผู้เขียนให้ความส�าคัญเรื่องส�าเนียง เสียงพูดของตัวละครที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีตัวละครที่พูดไม่ชัด ออกเสียง ผิดเพี้ยนไปบ้าง จึงยากต่อการถอดตัวอักษรตามหลักเกณฑ์ของส�านักงาน ราชบัณฑิตยสถาน เนื่องจากหากกระท�าแล้วจะท�าให้ไม่ตรงตามเสียงที่ บรรยายไว้ในต้นฉบับ ผู้แปลจึงเลือกใช้วิธีถอดตัวอักษรเพื่อให้ได้เสียงตาม จุดประสงค์ของผู้เขียนและเขียนเชิงอรรถก�ากับไว้อย่างไรก็ตาม ผู้แปลได้ พยายามท�าตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตฯ ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 4) การยึดการออกเสียงตามจริง: ในกรณีที่มีค�าซึ่งเจ้าของภาษา ออกเสียงอย่างหนึ่ง แต่ในภาษาไทยได้มีการถอดเสียงไว้ก่อนแล้วอย่างหนึ่ง ผู้แปลจะเลือกใช้ตามการออกเสียงจริงของเจ้าของภาษาในถิ่นนั้นตามเจตนา ของผู้เขียน เช่น ค�าว่า Presbyterian ได้มีการถอดเสียงภาษาไทยไว้ ว่า “เพรซไบทีเรียน” หากแต่การออกเสียงจริงตามภูมิหลังของตัวละครใน ท้องถิ่นจะออกว่า “เพรสบิทีเรียน” ผู้แปลจึงเลือกการถอดเสียงตามจริงนี้ 5)  การแปลค�ำที่มีความหมายไม่ตรงตัวหรือความหมายเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา: เนื่องจากต้นฉบับเป็นเรื่องราวกว่าหนึ่งร้อยปีก่อน หลายๆ ค�า ได้มีความหมายเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตในสมัยปัจจุบัน หรือบางค�าแม้จะมี ค�าแปลตรงตัว แต่กลับมีความหมายอย่างอื่นอันเนื่องมาจากวัฒนธรรมท้องถิ่น ผู้แปลจึงเลือกใช้ค�าภาษาไทยให้สอดคล้องกับความหมายในบริบทเพื่อความ เข้าใจที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ค�าเกี่ยวกับมื้ออาหาร กล่าวคือ สมัยศตวรรษที่ 19 ในประเทศอังกฤษ สก็อตแลนด์และ ไอร์แลนด์เหนือ กลุ่มคนระดับผู้ใช้แรงงานจะเรียกอาหารมื้อหลักของวันว่า “ดินเนอร์” (dinner) ซึ่งมักจะรับประทานในเวลาเที่ยง และเรียกอาหารเย็น ว่า “ที” (tea) หรือ “มีลที” (meal tea) ที่รับประทานพร้อมชาและขนมปัง


หรือของว่างในเวลาประมาณห้าถึงหกโมงเย็นหลังเลิกงานจากไร่นา เนื่องจาก พวกเขาเข้านอนเร็วเพราะต้องตื่นมาท�างานแต่เช้ามืด ซึ่งหากวันใดเข้านอนช้า ก็อาจมีการรับประทานก่อนเข้านอนเป็นมื้อย่อยที่เรียกว่า “ซัปเปอร์” (supper) ที่มักรับประทานกันราวหนึ่งหรือสองทุ่ม ส่วนกลุ่มคนระดับกลางและสูง จะใช้ค�าว่า “ลันช์” (lunch) หรือ “ลันเชิน” (luncheon) ส�าหรับอาหาร มื้อกลางวัน และมีอาหารว่างก่อนมื้อเย็นที่รับประทานพร้อมการดื่มชาในเวลา บ่ายสี่โมง เรียกว่า “อาฟเตอร์นูนที” (afternoon tea) ส่วนอาหารเย็นจะเป็น เวลาหนึ่งถึงสองทุ่ม ซึ่งหากรับประทานอย่างเป็นทางการจะเรียกว่า “ดินเนอร์” (dinner) และหากไม่เป็นทางการจึงเรียกว่า “ซัปเปอร์” (supper) ดังนั้น ค�าว่า “ดินเนอร์” และ “ที” หากใช้โดยคนต่างระดับสังคม หรือใช้ต่างเวลา ก็จะมีความหมายต่างกันไปด้วยในภาษาไทย ในวรรณกรรมชุด “แอนน์” เป็นเรื่องราวของชาวบ้านในหมู่บ้าน “อาวอนลี” ที่ท�าสวนไร่นาเป็นหลัก และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจาก สก็อตแลนด์ (ดูภาคผนวก 2) ค�าว่า “ดินเนอร์” จึงมักหมายถึงอาหาร มื้อหลักตอนเที่ยง ผู้แปลจึงใช้ค�าว่า “อาหารกลางวัน” เมื่อมีการรับประทาน ในตอนกลางวัน ส่วน tea time มักหมายถึงอาหารเย็นที่รับประทานพร้อม การดื่มชา แต่ในบางสถานการณ์อาจหมายถึงเวลาอาหารว่างได้ด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานการณ์ในเรื่อง ผู้แปลจึงจะเลือกใช้ค�าว่า “เวลา ชา” “เวลาอาหารเย็น” “เวลาอาหารว่าง” ตามแต่ความเหมาะสมของบริบท แม้ในต้นฉบับจะเป็นค�าเดียวกันคือ tea time ส่วนค�าว่า tea ส่วนใหญ่ จะหมายถึงอาหารเย็น เพราะเป็นการรับประทานอาหารพร้อมชาในตอนเย็น กล่าวโดยสรุปคือ ผู้แปลจะยึดเวลาและสถานการณ์ในเรื่องเป็นหลัก 6) อื่นๆ: นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีที่ท�าให้ผู้แปลต้องเลือก ใช้ค�าภาษาไทยที่แตกต่างไปจากค�าแปลตรงในภาษาอังกฤษ ซึ่งในแต่ละกรณี ผู้แปลจะท�าเชิงอรรถอธิบายไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ เพื่อให้ได้รับอรรถรสของทั้ง ภาษาต้นฉบับและภาษาไทยด้วย จึงขอชี้แจงไว้ ณ  ที่นี้ วรวดี  วงศ์สง่า


จากผู้แปล ผู้แปลได้รู้จัก “แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์” เมื่อปีค.ศ.1992 จากการไปเที่ยวแคนาดาครั้งแรก ซึ่งตามประสาคนเรียนมาทาง ด้านวรรณคดีที่ไม่ว่าเดินทางไปไหนก็มักอยากรู้เรื่องราววรรณกรรมของที่ นั่น ผู้แปลจึงได้ถามเพื่อนชาวแคนาดาในวันนั้น (คนที่กลายมาเป็นสามีใน วันนี้) ว่ามีวรรณกรรมเล่มไหนของแคนาดาที่น่าอ่านบ้าง เขาตอบว่าถ้าจะ เอาเรื่องที่คนรู้จักและรักกันทั้งโลกก็ต้องนี่เลย... ว่าแล้วก็พาเข้าร้านหนังสือ ซื้อ Anne of Green Gables (1908) โดยนักเขียนชาวแคนาดาชื่อ L. M. Montgomery ให้หนึ่งเล่ม เมื่อได้น�ากลับมาอ่านที่เมืองไทย ผู้แปลก็ ตกหลุมรัก “หนูแอนน์” ในทันทีอ่านไปก็ยิ้มไป หัวเราะจนน�้าตาไหล เพราะ ทั้งข�า ทั้งสงสาร ทั้งเข้าใจ ประทับใจและเอ็นดูแม่หนูน้อย เธอแสนจะช่าง พูดช่างจาด้วยวิธีคิดของเด็กหญิงก�าพร้าอายุสิบเอ็ดปีที่ท�าให้ผู้ใหญ่หลายคน ต้องอึ้ง ซาบซึ้งและหลงรัก พออ่านจบ แต่เรื่องยังไม่จบ ผู้แปลก็เริ่มอยู่ไม่ ติดเพราะอยากรู้ว่าชีวิตน้อยๆ ของเธอจะด�าเนินต่อไปแบบไหนและลงเอย อย่างไร ซึ่งสมัยที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตก็ไม่ง่ายเลยที่จะติดตาม ต่อมาในปี1995 ผู้แปลกลับไปเที่ยวแคนาดาอีกครั้ง จึงมีโอกาส ได้สานต่อเรื่องราวของ “แอนน์” จากวิดีโอเทปที่เพื่อนคนเดิมขอยืมจากห้อง สมุดมาให้ดูซึ่งเป็นหนังที่สร้างเพื่อฉายทางโทรทัศน์แคนาดาในปี1985 โดย ผู้ก�ากับชื่อ Kevin Sullivan ที่ได้น�าเนื้อหาจากหนังสือชุด “แอนน์” สี่เล่ม มา “ปรับ” และ “ปรุง” รวมเป็นหนังซีรีส์สี่เรื่อง ภาพของ “หนูแอนน์” และ บรรยากาศอันสวยงามน่าหลงใหลของเกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ดในช่วงทศวรรษที่ 1870 ที่เป็นฉากของเรื่องก็ยิ่งเด่นชัดตระการตา ผู้แปลก็ยิ่งหลงรักเธอกับเรื่อง ราวของเธอมากขึ้นไปอีก เลยตั้งใจไว้ว่าจะหาซื้อหนังสือชุด “แอนน์” มาอ่าน ให้ครบ เพราะอยากรู้ว่าในหนังนั้น “ปรับ” และ “ปรุง” ไปมากน้อยแค่ไหน และผู้แปลก็ท�าได้ตามที่ตั้งใจในหลายปีต่อมา


จากวันแรกที่ได้รู้จัก “แอนน์” ผ่านตัวหนังสือจนมาถึงวันนี้ก็ร่วม สามสิบปีแล้ว ซึ่งเมื่อชีวิตของตัวเองได้ผกผันจากอาชีพอาจารย์มาท�างาน แปลเต็มตัว ทั้งยังย้ายมาสร้างครอบครัวอยู่ที่แคนาดากว่ายี่สิบปี(กับคน ที่ซื้อหนังสือ ‘แอนน์’ ให้ในวันนั้น) ย่อมมีหลายครั้งที่ผู้แปลคิดอยากน�า หนังสือชุด “แอนน์” มาแปล แต่ก็ไม่เคยได้จังหวะเหมาะสม จนกระทั่งสถานี โทรทัศน์ CBC ได้น�านิยายชุด “แอนน์” มา “ปรับ” เป็นซีรีส์อีกครั้งหนึ่ง ภายใต้ชื่อ Anne with an E ซึ่งออกอากาศไปเมื่อปี2017 – 2019 ถึง สามฤดูกาลทางช่องเน็ตฟลิกซ์ที่ชมกันได้ทั่วโลก จึงเป็นการจุดประกายให้ผู้ แปลอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 ก็มาท�าให้ชะงักไป และแล้ว เมื่อปี2021 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ ทางการทูตไทย-แคนาดา ได้มีการคิดกันในหมู่ชุมชนคนไทย-แคนาดาว่า จะท�าสิ่งใดเป็นการฉลอง ผู้แปลนึกถึงหนังสือชุด “แอนน์” ทันทีเพราะ นอกจากจะเป็นวรรณกรรมคลาสสิกที่สามารถ “ให้ภาพ” ของแคนาดา ในอดีตได้อย่างชัดเจน เนื้อหาของเรื่องยังแสนจะสนุกสนานอีกด้วย ผู้ แปลจึงเชื่อว่านี่คือเวลาเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะท�าให้ “แอนน์” เป็นที่ รู้จักอย่างจริงจัง และเป็นที่รักในหมู่นักอ่านชาวไทย เช่นเดียวกับที่ เธอได้เป็นที่รักในหมู่นักอ่านทั่วโลก (เพราะมีการแปลมาแล้วไม่ต�่า ว่า 35 ภาษา) ผู้แปลจึงหยิบหนังสือชุด “แอนน์” มาปัดฝุ่นพิจารณา เพราะในชุดเต็มมีทั้งหมด 8 เล่ม คือ 1. Anne of Green Gables (1908), 2. Anne of Avonlea (1909), 3. Anne of the Island (1915), 4. Anne of Windy Willows (UK / Australia) หรือ Anne of Windy Poplars (1936) (USA/Canada), 5. Anne’s House of Dream (1917), 6. Anne of Ingleside (1939), 7. Rainbow Valley (1919), 8. Rilla of Ingleside (1921) แต่เนื่องจากเรื่องราวชีวิตของแอนน์ด�าเนินมาจนถึงจุดสูงสุดของ การเป็นแม่ลูกหกในเล่มที่ 6 ซึ่งอีกสองเล่มสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องราวของ รุ่นลูกๆ ซึ่งแม้จะสนุกและน่ารักไม่แพ้กันเลย แต่แอนน์ก็เริ่มมีบทบาท ลดลงไป ผู้แปลจึงตัดสินใจแปลเฉพาะ 6 เล่มแรกก่อน ด้วยความตั้งใจว่า


จะแปลเรื่องของรุ่นลูกในเล่ม 7 - 8 ตามมาเพื่อความสนุกสุขสมบูรณ์ ส่วนเล่มที่ 4 ที่มีสองชื่อนั้น สาเหตุคือในตอนแรกที่มอนต์โกเมอรี่ใช้ชื่อ Anne of Windy Willows ทางส�านักพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาเกรงว่าชื่อจะ ไปสับสนกับเรื่อง The Wind of the Willows (Kenneth Grahame – 1908) จึงขอร้องให้ผู้เขียนเปลี่ยนชื่อและตัดปรับเนื้อหาบางส่วน ซึ่ง เธอก็ยินยอม แต่ยังด�ารงชื่อและเนื้อหาเดิมไว้ในฉบับตีพิมพ์ที่อังกฤษและ ออสเตรเลีย ผู้แปลจึงเลือกแปลจากเล่มแรกตามความตั้งใจเดิมของผู้เขียน อย่างครบถ้วน ส�าหรับการอ่านวรรณกรรมชุด “แอนน์” นี้กล่าวได้ว่ามีสองระดับ ระดับแรก คืออ่านเอาความสนุกเพลิดเพลิน ระดับสอง คืออ่าน ทะลุความสนุกเข้าไปถึงจุดของความรู้ความเข้าใจในสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตกับวิธีคิดและการปฏิสัมพันธ์ของชาวเกาะพรินซ์ เอ็ดเวิร์ดและชาวแคนาดาโดยรวมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งในการอ่าน ระดับสองนี้ผู้แปลได้ท�าเชิงอรรถไว้หลายแห่งพร้อมภาคผนวกเพื่อให้ข้อมูล ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อผู้อ่านน�าภาพสังคมเล็กๆ จากในเรื่องที่มีศูนย์กลางเพียง โบสถ์คริสต์ศาสนาเป็นแหล่งการศึกษาหลักและที่พักพิงทางใจ ท่ามกลาง ช่วงเวลาที่โลกทั้งโลกยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งแบ่งแยกในขณะนั้นมา เปรียบเทียบกับภาพของแคนาดาในปัจจุบันที่สงบสันติเปิดกว้าง และ สนับสนุน “วัฒนธรรมหลากหลาย” (Multiculturalism) ก็จะยิ่งเห็นได้ชัด ว่าแคนาดาพัฒนาไปมากทีเดียว หากจะถามว่าท�าไมวรรณกรรมชุด “แอนน์” จึงได้รับการแปล เป็นหลายภาษาและมีคนรักเธอมากมายทั่วโลก ผู้แปลเชื่อว่าเมื่อทุกท่าน ได้อ่านจบก็จะสามารถตอบค�าถามนี้ได้เอง และคงมีเหตุผลส่วนตัวในการ ชื่นชม “แอนน์” ในแง่มุมแตกต่างกันไป ส�าหรับตัวผู้แปล นอกเหนือจาก ความเอ็นดูแม่หนูช่างพูดช่างคิดที่ชื่อ “แอนน์” ผู้แปลยังชื่นชมในวิธีการมอง โลกของเธอที่พัฒนาไปตามวัย แม้จะเต็มไปด้วยจินตนาการ แต่ก็เป็นการ มองหาแง่งามของชีวิตเพื่อน�ามันมาช่วยพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความเหงาเศร้า ในโลกที่แล้งร้ายรอบกาย นอกจากนี้ผู้แปลยังรู้สึกผูกพันกับเธอมาก เพราะ


เกือบสามสิบปีที่ค่อยๆ ได้รู้จักเธอตามที่เล่าไปข้างต้น ผู้แปลรู้สึกเหมือนเราได้ เติบโตขึ้นมาด้วยกัน และได้พูดคุยกันเสมอในทาง “จิตวิญญาณ” จนคล้าย เป็น “ญาติทางใจ” กันไปแล้ว ผู้แปลจึงหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ค้นพบแง่มุมต่างๆ ในตัว “แอนน์” ที่ท�าให้ท่านได้รักเธอ และอาจท�าให้ท่านค้นพบด้วยว่าท่านเองก็เป็น... หรือ ได้กลายเป็นหนึ่งใน “ญาติทางใจ” ของเธอ เช่นเดียวกับผู้แปลและผู้อ่านอีก มากมายทั่วโลก วรวดี  วงศ์สง่า กรุงออตตาวา  แคนาดา มีนาคม  2023


ขอบคุณส�ำนักพิมพ์ ผู้แปลขอขอบคุณ ส�านักพิมพ์Words Wonder Publishing ที่เห็นคุณค่า ของวรรณกรรมชุด “แอนน์” และได้ตกลงจัดพิมพ์ฉบับแปลนี้ออกมาอย่าง สวยงาม แม้จะไม่ทันงานฉลองอย่างเป็นทางการในโอกาส “60 ปีความ สัมพันธ์ทางการทูตไทย-แคนาดา” เนื่องจากมีความล่าช้ามาก่อนหน้า แต่ ก็พยายามกระท�าตามเจตนาเดิมของผู้แปลเนื่องในวาระดังกล่าวได้ส�าเร็จ จนสามารถจัดพิมพ์ออกมาได้ในปีนี้ซึ่งเป็นวาระครบ 155 ปีของการตีพิมพ์ Anne of Green Gables ครั้งแรก (ค.ศ. 1908) ในแคนาดาพอดีจึง นับเป็นโอกาสที่น่ายินดียิ่งด้วย พร้อมกันนี้ ผู้แปลขอขอบคุณคุณฉัตรนคร องคสิงห์ นักแปล รางวัลสุรินทราชารุ่นพี่ ที่ยินยอมพลิกบทบาทนักแปลมาเป็นบรรณาธิการให้ กับวรรณกรรมชุด “แอนน์” อย่างทุ่มเททั้งกายใจโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ขอขอบคุณ “พี่เพ็ญ” (คุณเพ็ญพิมล ชวนเกริกกุล) ที่คอยให้ ค�าปรึกษาด้านภาษาฝรั่งเศส และขอบคุณ “น้องฝ้าย” (ผศ.ปารมิตา นิสสะ) ที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาในด้านโคลงกลอนภาษาไทย รวมทั้งก�าลังใจจากครอบครัว ของผู้แปลทุกคน ตลอดจน “ญาติทางใจ” ที่คอยส่งพลังบวกมาให้ผู้แปล อย่างสม�่าเสมอมิเคยขาด ผู้ที่ผู้แปลรู้สึกขอบพระคุณเสมอมาและไม่อาจลืมได้เลยก็คือ “คุณพ่อวรพจน์ คุณแม่ฉวีวรรณ วงศ์สง่า” ที่เปิดโลกกว้างให้ลูกตั้งแต่ เล็กแต่น้อย และคอยพร�่าสอนลูกว่า “โลกคือบ้าน” ท�าให้เมื่อถึงวันที่ต้อง จาก “บ้านเกิด” มาอยู่ “เมืองนอน” อันแสนไกล ลูกก็มีความสุขและอบอุ่น ได้จากค�าสอนของพ่อและแม่


ค�ำอุทิศ To my husband Harry, who brought ‘Anne’ into my life, and my life into his in Canada.


สารบัญ 1 มิสซิสเรเชล ลินด์ ประหลาดใจ  17 2 แมทธิว คัธเบิร์ต ประหลาดใจ  29 3 มาริลลา คัธเบิร์ต ประหลาดใจ  47 4 รุ่งเช้า ที่บ้านกรีนเกเบิลส์  57 5 อดีตของหนูแอนน์  67 6 การตัดสินใจของมาริลลา  75 7 หนูแอนน์สวดมนต์  83 8 การเลี้ยงดูหนูแอนน์ได้เริ่มต้น  89 9 มิสซิสเรเชล ลินด์ ตกใจสุดชีวิต  101 10 การขออภัยของหนูแอนน์  111 11 ความรู้สึกของหนูแอนน์  121 12 ค�ำมั่นและสัญญา  129 13 ความสุขของการเฝ้ารอ  137 14 ค�ำสารภาพของหนูแอนน์  145 15 พายุถล่มโลกใบเล็กที่โรงเรียน  157 16 การดื่มชาอันแสนเศร้า  175 17 ความสนใจเรื่องใหม่ในชีวิต  189 18 แอนน์ผู้ช่วยชีวิต  199 19 การแสดงบนเวที ความหายนะ และการสารภาพ  211


20 จินตนาการท�ำพิษ  227 21 เครื่องปรุงรสแนวใหม่  237 22 หนูแอนน์ได้รับเชิญไปดื่มชา  251 23 เรื่องเศร้าจากการปกป้องศักดิ์ศรี  257 24 มิสสเตซีกับนักเรียนจัดการแสดง  267 25 แมทธิวยืนกรานเรื่องเสื้อแขนพอง  275 26 ก่อตั้งกลุ่มเขียนนิยาย  289 27 ความเหลวไหลกับความทุกข์ในหัวใจ  299 28 หญิงสาวดอกลิลลีผู้โชคร้าย  309 29 ครั้งหนึ่งในชีวิตของหนูแอนน์  321 30 นักเรียน ‘ห้องควีนส์’  333 31 ณ จุดที่ล�ำธารและแม่น�้ำมาบรรจบ  347 32 ผลสอบออกแล้ว!  357 33 การแสดงที่โรงแรม  367 34 นักศึกษาสถาบันควีนส์  381 35 ฤดูหนาวที่ควีนส์  391 36 เกียรติภูมิและความฝัน  399 37 ทูตมรณะ  407 38 โค้งถนน  417


1 ค�ากล่าวน�านี้ อ้างอิงมาจากวรรคหนึ่งในบทกวีของกวีอังกฤษ โรเบิร์ต บราวนิง ที่ชื่อ ‘Evelyn Hope’ (1855) ต้นฉบับเดิมของกวีเขียนไว้ว่า ‘The good stars met in your horoscope made you of spirit fire and dew’ ซึ่งมอนต์โกเมอรีเพิ่มในบรรทัดที่สองว่า ‘Made you of spirit and fire and dew’ เนื่องจากผู้เขียนต้องการน�าบรรทัดนี้มาเกริ่นให้เห็นบุคลิกสามประการ ของแอนน์ เชอร์ลีย์ ตัวเอกของเรื่อง ว่าเธอเกิดมามีคุณสมบัติของจิตใจที่แข็งแกร่ง (spirit) มี ความใจร้อนอารมณ์ร้อนบวกความใฝ่ฝันปรารถนาแรงกล้า (fire) และมีความอ่อนโยนดุจน�้าค้าง (dew) ซึ่งผู้อ่านจะพบคุณสมบัตินี้ของเธอได้ในท้องเรื่อง ดาริการะดาระดะร้อย เรียงราย ก�ำเนิดฝัน ไฟ เปลวประกาย แกร่งกล้า น�้ำค้างพร่างลงพราย พิรุณชื่น ฉ�่ำนา ร้อน เย็น เห็นแกร่งกล้า จิตน้อง นางสมร บราวนิง1


1 มิสซิสเรเชล ลินด์ประหลาดใจ บ้านของมิสซิสเรเชล ลินด์ ตั้งอยู่ ณ จุดที่ปลายถนนสายหลักของหมู่บ้าน อาวอนลีทอดยาวแล้วทิ้งตัวดิ่งลงไปยังพื้นที่ที่เป็นแอ่งเล็กๆ มีต้นเอลเดอร์2 และดอกตุ้มหูนางฟ้า3 ห้อยระย้าขึ้นอยู่รายรอบ มีล�าธารไหลตัด ซึ่งต้นธาร อยู่ลึกเข้าไปในป่าถึงเขตของบ้านครอบครัวคัธเบิร์ต คนแถวนั้นรู้กันดีว่า ล�าธารสายนี้คดเคี้ยวแค่ไหน ทั้งยังไหลเลี้ยวลดผ่านป่ามาตามทาง มีแอ่งน�้า มืดๆ และน�้าตกจิ๋วๆ ซ่อนตัวเรียงรายอยู่หลายจุด แต่พอมาถึงพื้นที่แอ่งหน้า บ้านมิสซิสเรเชลเท่านั้นแหละ มันก็กลายร่างเป็นล�าธารที่เงียบเชียบเรียบร้อย ไหลแค่เอื่อยๆ ขึ้นมาทันทีเพราะต่อให้เป็นสายน�้าก็ไม่อาจไหลผ่านประตูบ้าน มิสซิสเรเชลไปได้โดยไม่ท�าตัวให้สุภาพ มันคงรู้...ว่ามิสซิสเรเชลจะนั่งอยู่ริม หน้าต่าง คอยจ้องทุกอย่างที่ผ่านหน้าบ้านนางไปด้วยสายตาคมกริบตลอด 2 Alders – ต้นไม้ขนาดใหญ่ประเภทมีดอก ทางทวีปอเมริกาเหนือ มักขึ้นอยู่ใกล้แหล่งน�้า3 Ladies’ eardrops – หรือ fuchsia ไทยเรียกว่าดอกตุ้มหูนางฟ้า หรือดอกโคมญี่ปุ่น มีสีสัน สดใส ห้อยระย้าคล้ายตุ้มหูสตรี


18 แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ เวลา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสายน�้าหรือเด็กๆ ถ้าเกิดมีอะไรแปลกประหลาด ขัดตาผ่านเข้ามาละก็.. ไม่มีวันเสียล่ะ ที่นางจะปล่อยให้มันหลุดรอดไป โดย ไม่ได้ขุดคุ้ยแคะเขี่ยหาที่มาที่ไปของมันให้หายคาใจเสียก่อน มีคนจ�านวนมาก ไม่ว่าจะที่อยู่นอกหรือในหมู่บ้านอาวอนลีที่มีความ สามารถพิเศษในการเข้าไปวุ่นวายเรื่องชาวบ้านได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของ ตัวเอง แต่มิสซิสเรเชล ลินด์กลับเหนือกว่าคนพิเศษเหล่านั้น เพราะนาง สามารถจัดการทั้งเรื่องของตัวเองและของคนอื่นได้ดีไม่แพ้กัน นางเป็น แม่บ้านที่เพียบพร้อม เพราะไม่เพียงงานบ้านที่นางจะท�าเสร็จสม�่าเสมอ แต่ยัง ท�าส�าเร็จอย่างดีเยี่ยม นางยังเป็น “แกนน�า” ส�าคัญ ของแม่บ้านกลุ่มเย็บผ้า.. ช่วยงานสอนศาสนาวันอาทิตย์.. เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของสมาคมสงเคราะห์ ชาวคริสต์และยังช่วยงานส�านักงานภารกิจต่างแดน4 ของเมืองอีกด้วย กระนั้น.. มิสซิสเรเชลยังเหลือเวลาอีกวันละตั้งหลายชั่วโมงมานั่งถักผ้าห่มฝ้าย5 อยู่ริม หน้าต่างครัว และนางก็ถักมาตั้งสิบหกผืนแล้ว ท่ามกลางความทึ่งของแม่บ้าน ชาวอาวอนลีที่มักเอ่ยถึงอย่างครั่นคร้ามไปตามๆ กัน ทั้งที่มิสซิสเรเชลก็แค่ ถักไป ใช้สายตาคมกริบมองไปยังถนนสายหลักที่ทอดตัวยาวจากแอ่งหน้าบ้าน ขึ้นไปยังเนินดินสีแดงเบื้องหน้าเรื่อยๆ แต่เพราะอาวอนลีเป็นหมู่บ้านที่ ครอบคลุมพื้นที่สามเหลี่ยมเล็กๆ ของคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในอ่าวปากแม่น�้า เซนต์ลอว์เรนซ์ ท�าให้มีน�้าขนาบทั้งสองข้าง ใครก็ตามที่เดินทางเข้ามาหรือ ออกไปจากเมืองจะต้องผ่านเนินดินตรงนั้นเสมอ และไม่มีวันรอดจากสายตา คมดุจเหยี่ยวของมิสซิสเรเชลไปได้ ในวันหนึ่งของต้นเดือนมิถุนายน มิสซิสเรเชลยังคงนั่งที่เดิม แสงแดดอุ่นสาดเข้ามาทางหน้าต่างจนสว่างตา สวนผลไม้ตรงทางลาดด้าน 4 Foreign Mission Auxiliary – องค์กรทางคริสต์ศาสนา ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือคน ยากจน ค�าว่าต่างแดนในที่นี้หมายรวมถึงทั้งต่างถิ่น ต่างเมือง หรือต่างประเทศ 5 Cotton ‘warp’ quilts – ในที่นี้ หมายถึงผ้าที่ถักขึ้นจากเส้นใยฝ้าย ซึ่งส่วนใหญ่แม่บ้านจะปั่น ด้ายกันเอง นิยมน�ามาท�าเป็นผ้าห่มหรือผ้าคลุมเตียงมีลวดลายสวยงามเฉพาะตัว เป็นที่นิยมใน เขตชนบทของประเทศแคนาดาในยุคนั้น


19 ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี ล่างของตัวบ้านก�าลังอยู่ในช่วงเปล่งปลั่ง ทั่วบริเวณอื้ออึงไปด้วยเสียงหึ่งจาก ฝูงผึ้งที่บินว่อน ดอมดมเกสรของดอกสีชมพูสลับขาว มิสเตอร์ทอมัส ลินด์ ชายร่างเล็กสงบเสงี่ยมที่ชาวอาวอนลีเอ่ยถึงในนาม “สามีของเรเชล ลินด์” ก�าลังหว่านเมล็ดหัวผักกาดลงในสวนผักบนเนินห่างจากโรงนา ส่วนแมทธิว คัธเบิร์ต ก็คงก�าลังท�าแบบเดียวกันนี้อยู่ที่สวนผักใกล้ล�าธารสีแดงตรงบ้าน กรีนเกเบิลส์ของเขาซึ่งมีหลังคาสีเขียว มิสซิสเรเชลรู้ดีว่าเขาต้องท�าดังนั้น อยู่แน่ๆ เพราะเธอได้ยินเขาบอกปีเตอร์ มอร์ริสัน เมื่อค�่าวันก่อนที่ร้านของ วิลเลียม เจ แบลร์ในตัวเมืองคาร์โมดีว่าเขาตั้งใจจะหว่านเมล็ดผักกาดใน บ่ายวันถัดไป ซึ่งแน่นอนละ..ว่าปีเตอร์ต้องเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะแมทธิว คัธเบิร์ตไม่เคยบอกอะไรกับใครเองทั้งนั้นมาตลอดชีวิตของเขา แล้วตอนนี้? สามโมงครึ่งของบ่ายที่เขาควรจะก�าลังงานยุ่ง แมทธิว คัธเบิร์ตกลับขับขี่รถม้าด้วยท่าทีสงบอย่างสบายอกสบายใจผ่านพื้นที่แอ่ง ขึ้นไปบนเนิน แถมยังใส่เสื้อคอปกขาวอยู่ภายใต้สูทชุดที่ดีที่สุดเสียด้วย! เขาก�าลังจะออกไปนอกอาวอนลีนี่นา? อีกอย่าง.. การใช้รถเทียมม้าอย่างนี้ ก็ยิ่งบ่งชัดว่าเขาต้องไม่ได้ไปใกล้ๆ แน่ แต่.. เดี๋ยวนะ! แมทธิว คัธเบิร์ต ก�าลังจะไปไหน และไปท�าไม? ถ้าเป็นผู้ชายอื่นคนไหนก็ตามในอาวอนลีมิสซิสเรเชลคงตอบ ค�าถามทั้งสองได้ด้วยเหตุผลที่นางจะสามารถจับแพะชนแกะเอาเอง แต่นี่เป็น แมทธิว.. ผู้ซึ่งแทบไม่เคยออกจากบ้านไปไหน ดังนั้นมันต้องเป็นเรื่องไม่ ปกติแน่ๆ ที่บีบให้เขาต้องออกจากบ้านไปแบบนั้น แมทธิวเป็นผู้ชายขี้อาย ที่สุดในจ�านวนผู้ชายที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ในอาวอนลีเขาเกลียดการ พบปะคนแปลกหน้า หรือการไปในที่ที่อาจท�าให้ต้องอ้าปากพูดเป็นที่สุด แต่ ตอนนี้.. แมทธิวแต่งตัวเสียโก้.. ใส่เสื้อคอปกขาว.. ขี่รถม้า.. มันไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาที่เกิดขึ้นง่ายๆ เลย มิสซิสเรเชลเค้นสมองเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ความ เพลิดเพลินยามบ่ายของนางเลยพลอยสลายหายไปด้วย


20 แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ “ฉันต้องแวะไปบ้านกรีนเกเบิลส์ตอนหลังอาหารว่างเสียแล้ว6 ต้อง ถามมาริลลาให้ได้ว่าเขาไปไหน และไปท�าไม” สตรีผู้เป็นที่ครั่นคร้ามของชาว อาวอนลีสรุปกับตัวเองในที่สุด “ปกติเขาไม่เข้าเมืองกันช่วงนี้นี่นา แมทธิว เองไม่เคยไปเลยด้วยซ�้า ถ้าแค่เมล็ดผักกาดหมด เขาก็คงไม่ต้องแต่งตัวเสีย เต็มยศและขี่รถม้าไปซื้อไม่ใช่รึ? ถ้าจะว่าไปหาหมอ เขาก็ไม่ได้ดูรีบร้อนเลย มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้แน่ๆ ฉันคิดไม่ออกแล้ว! และคงไม่มี ทางอยู่สงบๆ ได้ถ้าไม่ได้ค�าตอบว่าแมทธิวไปไหน! และต้องออกจากอาวอนลี วันนี้ท�าไม?!” พอจิบชายามบ่ายเสร็จสรรพ มิสซิสเรเชลก็ท�าตามที่คิด ความจริง นางไม่ต้องเดินไกลมาก เพราะบ้านหลังใหญ่ รายล้อมด้วยสวนผลไม้ที่พี่น้อง คัธเบิร์ตพ�านัก อยู่ห่างจากแอ่งตรงบ้านนางไปเพียงไม่ถึงกิโล แต่ตอนนี้แค่ ถนนสั้นๆ เส้นทางเข้าบ้านกรีนเกเบิลส์กลับดูเหมือนยาวยืดขึ้นมาเสียเฉยๆ ตอนสร้างบ้านหลังนี้พ่อของแมทธิว คัธเบิร์ต ซึ่งขี้อาย ไม่ค่อยพูดค่อยจา พอๆ กับลูกชายพยายามไปสร้างให้ไกลเพื่อนบ้านมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรียกว่าเหลืออีกนิดเดียวก็คงต้องไปอยู่ในป่าแล้ว บ้านกรีนเกเบิลส์ ที่มี หน้าจั่วสีเขียวหลังนี้จึงอยู่ตรงจุดปลายสุดของที่ดิน แทบมองไม่เห็นเลยจาก ถนนสายหลักที่มีบ้านช่องของชาวบ้านอาวอนลีส่วนใหญ่ตั้งเรียงรายใกล้เคียง กัน ซึ่งคนอย่างมิสซิสเรเชล ลินด์ไม่สามารถเรียกการใช้ชีวิตสันโดษแบบนั้น ว่าเป็น ‘ชีวิต’ ได้ “ยังกะแค่อยู่ๆ กันไปยังงั้นเอง.. นั่นแหละ!” นางพึมพ�า ขณะเดิน ฝ่าไปบนทางรกเรื้อด้วยพงหญ้า ขนาบด้วยพุ่มกุหลาบป่าเป็นระยะ “ฉันไม่ 6 มิสซิสเรเชล ลินด์ ใช้ค�าว่า ‘after tea’ ซึ่งอาจหมายถึงหลังอาหารว่างหรือหลังอาหารเย็นก็ได้ เนื่องจากการเรียกชื่อมื้ออาหารสมัยศตวรรษที่ 19 ในประเทศอังกฤษ สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ มีความแตกต่างหลากหลายตามวิถีชีวิต (ดูรายละเอียดใน ‘ค�าน�าการแปล’ ข้อ 5) ซึ่งประเทศ แคนาดายุคแรก ๆ นั้นยังยึดประเพณีดั้งเดิมจากภูมิหลังเดิม โดยเฉพาะที่เกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ดมี ผู้ย้ายถิ่นฐานมาจากสก็อตแลนด์เป็นจ�านวนมาก ค�าว่า tea จึงอาจหมายถึงอาหารว่างช่วงประมาณ บ่ายสี่โมงที่รับประทานพร้อมการดื่มชาก่อนอาหารเย็นมื้อง่ายๆ ก่อนนอน (supper) หรือ หมายถึงอาหารเย็นที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์และของหวานที่รับประทานพร้อมชาโดยไม่รับอาหาร เย็นก่อนนอนอีก ในที่นี้ มิสซิสลินด์น่าจะหมายถึงการดื่มชาพร้อมอาหารว่าง เพราะดูจากเวลาที่ นางไปพบมาริลลาน่าจะเป็นราวห้าโมงเย็น ผู้แปลจึงเลือกใช้ค�าว่า “หลังอาหารว่าง” ซึ่งค�าว่า tea time ในบริบทอื่น ๆ ผู้แปลจะดูบริบทประกอบว่าควรเป็นค�าใด


21 ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี แปลกใจเลยว่าท�าไมทั้งแมทธิวและมาริลลาถึงได้แปลกๆ เขาอยู่กันเองไกล ขนาดนี้ได้ยังไงนะ ต้นไม้น่ะเป็นเพื่อนไม่ได้สักหน่อย นี่ถ้าเป็นกวางสักตัว ก็ยังพอว่า.. เถอะ! ต้นไม้เยอะๆ มันก็ดีอยู่ล่ะ แต่เป็นฉันนี่.. ขออยู่กับคน เยอะๆ ดีกว่า แต่จะว่าไป พี่น้องคู่นี้เขาก็ดูมีความสุขดีนี่นะ หรือเขาคงชิน คนเรานานๆ เข้าก็ชินได้ทุกอย่าง ขนาดถูกแขวนคอยังชินได้เลย เหมือนที่ พวกไอริชว่าแหละ7 ” คิดถึงตรงนี้ มิสซิสเรเชลก็เดินมาถึงสุดทาง นางก้าวเท้าเข้าไปใน สนามหลังบ้านที่มีหน้าจั่วสีเขียวพอดีหญ้าตรงนี้ช่างดูอุดมสมบูรณ์เขียวขจี ตัดเป็นระเบียบเท่ากันหมด มีต้นหลิวเก่าแก่ขนาดใหญ่ลู่ลมเรียงรายอยู่ด้าน หนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นทิวแถวต้นลอมบาร์ดีซึ่งเก่าแก่ไม่แพ้กัน ไม่มีกิ่งไม้หรือ ก้อนหินหล่นอยู่บนผืนหญ้าสักกิ่งสักก้อน เพราะถ้ามีมันย่อมไม่รอดพ้น สายตามิสซิสเรเชลไปได้แน่ นางเชื่อว่ามาริลลา คัธเบิร์ต ต้องกวาดสนามหญ้า นี้บ่อยเท่าๆ กับที่นางกวาดข้างในตัวบ้านแน่นอน ก็มันเรี่ยมเชี่ยมเสียจนนั่ง กินอาหารกันบนพื้นหญ้านี้ได้โดยไม่ต้องกลัวเปื้อนอะไรเลยก็แล้วกัน! มิสซิสเรเชลเคาะประตูครัวเบาๆ พองาม และรีบก้าวเข้าไปทันทีเมื่อ ได้รับสัญญาณเชิญ บรรยากาศครัวของบ้านกรีนเกเบิลส์ดูรื่นรมย์ซึ่งมันคงจะ รื่นรมย์ได้จริงๆ ถ้าไม่ได้ถูกขัดถูอย่างสาหัสสากรรจ์เสียจนสะอาดเอี่ยมราวกับ ห้องที่ไม่เคยมีการใช้งานมาก่อนแบบนี้หน้าต่างครัวมีทั้งที่เปิดไปทางด้านทิศ ตะวันออกและตะวันตก มองออกไปจากบานที่หันไปทางตะวันตกจะเห็นสนาม หลังบ้าน แสงอาทิตย์แห่งเดือนมิถุนายนสาดเข้ามาได้เต็มที่อย่างอบอุ่น แต่ ส�าหรับบานทางทิศตะวันออก เมื่อมองจากตรงนั้นจะเห็นดอกเชอร์รีสีขาว บานสะพรั่งอยู่บนต้นทางด้านซ้ายของสวนได้เพียงนิดหน่อย และต้นเบิร์ช8 สูงๆ ที่กิ่งก้านโบกไหวไปมาตรงแอ่งข้างล�าธารนั่นก็กลายเป็นสีเขียวไปเสียแล้ว เพราะเถาวัลย์พันเกี่ยวปกคลุมไปทั้งต้น ตรงนี้ละ ที่มาริลลามักชอบมานั่ง ถ้า 7 คนไอริช อพยพจากไอร์แลนด์มาอยู่ทางตะวันตกของแคนาดาเป็นจ�านวนมากหลังเกิดภาวะ อดอยากในประเทศ จึงเป็นคนยากจนส่วนใหญ่ ท�าให้ต้องอดทนกับความยากล�าบากทุกชนิด จนชิน คนไอริชมีนิสัยชอบพูดเล่น บางครั้งเป็นการพูดเล่นที่เจ็บปวด เช่นประโยคข้างต้นนี้ 8 ต้นเบิร์ช ปกติล�าต้นเป็นสีขาว


22 แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ นางจะนั่งกับเขาบ้างน่ะนะ.. เพราะดูเหมือนว่านางไม่ไว้วางใจแสงแดดอีกด้าน สักเท่าไหร่ ส�าหรับมาริลลา.. แสงอาทิตย์ดูจะวิบวับเต้นร�าสนุกสนานกันเกิน ไป เหมือนไม่รู้จักมีความรับผิดชอบ ทั้งที่เรื่องราวรอบๆ ตัวในโลกล้วนเป็น เรื่องจริงจัง มาริลลาก�าลังนั่งถักนิตติงอยู่ตรงนี้ในขณะที่โต๊ะอาหารข้างหลัง นางนั้น จัดวางไว้ส�าหรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เพียงแวบเดียวก่อนที่มิสซิสเรเชลจะดึงประตูปิด นางก็ปรายตา ส�ารวจข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดเรียบร้อย มันมีจานอยู่สามใบ แสดงว่า มาริลลาต้องรอใครที่จะมากับแมทธิวอีกคนเพื่อรับอาหารเย็น แต่จานที่จัดไว้ เป็นจานที่ใช้ปกติทุกวัน แล้วก็มีเพียงแอปเปิลป่าฉาบน�้าตาลกับเค้กชนิดเดียว เท่านั้น แปลว่าคนที่มาเพิ่มไม่ได้ส�าคัญเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ส�าคัญ แล้วเสื้อคอปก ขาวที่แมทธิวใส่ กับรถม้าที่เขาขับไปนั่นละ จะอธิบายว่าอย่างไร? มิสซิสเรเชล เริ่มเวียนหัวกับความลึกลับประหลาดๆ ของบ้านกรีนเกเบิลส์ ที่ปกติแสนจะ เงียบเชียบและไม่มีอะไรลึกลับนี่เสียจริง “สวัสดีตอนบ่ายจ้ะ เรเชล” มาริลลาทักทายอย่างกระฉับกระเฉง “วันนี้อากาศดีจริงๆ นะ นั่งก่อนสิที่บ้านคุณเป็นยังไงกันบ้าง?” ความสัมพันธ์แบบที่เป็นอยู่เสมอมาระหว่างมาริลลา คัธเบิร์ต กับ มิสซิสเรเชลนั้น ถ้าหาชื่ออื่นมาเรียกไม่ได้ก็อาจพอใช้ค�าว่า ‘มิตรภาพ’ ได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความไม่เหมือนกันอยู่อย่างมากมายก็ตาม มาริลลาเป็นผู้หญิงร่างผอมสูง โครงสร้างตรงๆ ไม่ค่อยมีส่วนเว้า ส่วนโค้ง เส้นผมสีเข้มของนางที่เริ่มมีสีเทาแซมประปรายนั้น จะถูกขมวดมุ่น เป็นมวยก้อนเล็กๆ เสียบไว้อย่างแน่นหนาด้วยกิ๊บเสียบผมสองตัวอยู่เสมอ นางดูเหมือนเป็นคนโลกแคบ นิสัยออกไปทางเข้มงวด เถรตรง ซึ่งก็เป็น เช่นนั้นจริงๆ แต่ริมฝีปากที่ปกติตรงเฉียบอยู่เสมอนั้น ถ้ามันขยับแค่เพียง นิดเดียวก็อาจท�าให้นางดูเป็นคนสนุกสนานมีอารมณ์ขันไปเลยยังได้ “เราสบายดีจ้ะ” มิสซิสเรเชลตอบ “ฉันแค่กังวลว่าคุณนั่นแหละ ที่ อาจไม่ค่อยสบาย ตอนฉันเห็นแมทธิวขับรถม้าผ่านไปวันนี้ฉันยังคิดว่าหรือ เขาก�าลังไปตามหมอ” ริมฝีปากมาริลลาขยับขึ้นทันทีอย่างเข้าใจ ความจริงนางคอยมิสซิส


23 ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี เรเชลอยู่ก่อนแล้ว เพราะรู้ดีว่าภาพแมทธิวขับรถม้าผ่านตานางไปอย่างหาเหตุ ผลไม่ได้นั้น คงเกินกว่าที่ความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้านคนนี้จะท�าให้ นางทนนั่งติดบ้านอยู่ได้ “อ๋อ.. ไม่หรอก ฉันสบายดีนะ แค่ปวดหัวมากไปหน่อยเมื่อวาน” มาริลลาตอบ “แมทธิวก�าลังไปสถานีไบรท์ริเวอร์ เราก�าลังจะรับอุปถัมภ์เด็ก ผู้ชายจากบ้านเด็กก�าพร้าที่โนวาสโกเชีย9 และเขาจะมาถึงทางรถไฟค�่านี้” ถ้ามาริลลาบอกว่าแมทธิวก�าลังไปสถานีไบรท์ริเวอร์เพื่อรับจิงโจ้ที่ส่ง จากออสเตรเลียมาเลี้ยง มิสซิสเรเชลอาจจะไม่แปลกใจมากนัก แต่นี่นางถึง กับกลายเป็นใบ้พูดไม่ออกไปห้าวินาทีเลยทีเดียว มาริลลาไม่มีท่าว่าพูดเล่น เสียด้วย แต่มิสซิสเรเชลก็ยังหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น “นี่คุณพูดจริงรึมาริลลา?” นางถามหลังเสียงที่หายไปเมื่อครู่กลับ คืนมา “ใช่ พูดจริงสิ” มาริลลาตอบ ราวกับว่าการรับอุปถัมภ์เด็กผู้ชาย จากบ้านเด็กก�าพร้าที่โนวาสโกเชียเป็นส่วนหนึ่งของงานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ธรรมดาๆ ที่ชาวสวนในอาวอนลีเขาท�ากัน แทนที่จะเป็นเรื่องชนิดที่ไม่เคย ได้ยินมาก่อนอย่างนี้ มิสซิสเรเชลรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อมอย่างแรง นางปล่อยความคิดออกมาเป็นการอุทานทีละค�า.. เด็กผู้ชาย! ในบรรดาชาว บ้านชาวเมืองเราเนี่ยนะ! คือมาริลลากับแมทธิว คัธเบิร์ต ที่จะรับอุปถัมภ์เด็ก ผู้ชาย! จากบ้านเลี้ยงเด็กก�าพร้า! โอ้.. โลกก�าลังกลิ้งกลับหัวกลับหางแน่ๆ! นางคงไม่ประหลาดใจกับเรื่องใดมากไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว! ไม่มีแน่ๆ! “นี่คุณไปเอาความคิดอะไรจากไหนในโลกมาใส่หัวตัวเองแบบนี้กัน นะ?” นางคาดคั้นอย่างไม่เห็นด้วย ในเมื่อเรื่องนี้ยังไม่ได้ผ่านการให้ค�าปรึกษาจากนาง นางก็จ�าเป็นต้อง ไม่ยอมรับสิ! 9 Nova Scotia – โนวาสโกเชีย เป็นอีกหนึ่งมณฑลของประเทศแคนาดา อยู่ไม่ไกลจากมณฑล พรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ (PEI / พีอีไอ)


24 แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ “คือ.. เราคิดกันมาพักนึงแล้ว.. จริงๆ ก็คิดมาตลอดฤดูหนาวนั่นละ” มาริลลาตอบ “มิสซิสอเล็กซานเดอร์สเปนเซอร์เกริ่นเรื่องนี้กับฉันช่วงก่อน คริสต์มาส แกบอกว่าจะรับอุปถัมภ์เด็กผู้หญิงจากบ้านเลี้ยงเด็กก�าพร้าที่ โฮปทาวน์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิญาติของแกอยู่ที่นั่น และแกก็ไปเยี่ยมมาแล้ว รู้จักทุกอย่างดีตั้งแต่นั้นมา แมทธิวกับฉันก็เลยคุยกันหลายต่อหลายครั้ง เรา คิดกันว่าน่าจะรับอุปถัมภ์เด็กผู้ชาย เพราะแมทธิวเริ่มมีอายุแล้วนะ เขาหกสิบ แล้ว และก็ไม่ได้ว่องไวเหมือนเมื่อก่อน หัวใจเขามีปัญหา คุณก็รู้นี่ ว่าการ หาคนมาช่วยงานน่ะยากเย็นแค่ไหน เราหาจ้างใครดีๆ ไม่ได้เลยนอกจากพวก เด็กฝรั่งเศสตัวแกรนๆ ไม่เอาเรื่องเอาราวพวกนั้น แล้วถ้าเกิดเราเอามาสอน งานเข้าจริงๆ พอเป็นงานเรียบร้อย ก็พากันหนีไปท�าที่อื่น ถ้าไม่ไปท�าที่โรงงาน กุ้งก้ามกรามกระป๋อง ก็ข้ามไปอเมริกานู่นเลย ตอนแรกแมทธิวคิดว่าเราเอา เด็กมาจาก ‘บ้านเลี้ยงเด็ก’10 สักคนดีมั้ย แต่ฉันนี่ล่ะที่ยืนยันว่า ‘ไม่’ อย่าง เด็ดขาด ฉันบอกว่า ‘เด็กๆ น่ะอาจจะดีซึ่งฉันก็ไม่ได้พูดว่าเด็กไม่ดีนะ แต่ ฉันไม่อยากได้‘เด็กแขกข้างถนนจากลอนดอน’ ฉันบอกว่า ‘อย่างน้อยก็ขอ เด็กที่เกิดที่นี่เถอะ แน่นอนล่ะว่ามันคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะรับเด็กคน ไหนมา แต่ฉันคงหายใจทั่วท้องและนอนหลับได้สนิทบ้าง ถ้าเป็นเด็กท้องถิ่น ที่เกิดในแคนาดา’ เราก็เลยตัดสินใจขอให้มิสซิสสเปนเซอร์เลือกเด็กให้เรา สักคนตอนที่แกไปรับเด็กผู้หญิงของแก เราได้ยินมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าแก ก�าลังจะไปพอดีเลยรีบส่งข่าวไปทางริชาร์ด สเปนเซอร์ ที่คาร์โมดีขอให้ ช่วยเลือกเด็กผู้ชายฉลาดๆ นิสัยดีๆ อายุสักสิบปีสิบเอ็ดปีมาให้เราด้วยคน นึง เราคิดว่าอายุขนาดนี้น่าจะดีที่สุด เพราะโตพอช่วยงานได้บ้าง แต่ก็ยังเด็ก พอให้สอนได้เราตั้งใจให้เด็กได้มีบ้านที่อบอุ่นและได้เรียนหนังสือด้วยจ้ะ เรา 10 ในต้นฉบับที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1908 ใช้ค�าว่า Barnardo boy ซึ่งหมายถึงเด็กจากบ้านเลี้ยง เด็กก�าพร้าและเด็กเร่ร่อนของบาร์นาร์โด (Barnado’s Home) ก่อตั้งโดย ดร.ทอมัส จอห์น บาร์นาร์โด ประเทศอังกฤษ ในกลางทศวรรษที่ 1860 เป็นองค์กรอุปถัมภ์เด็กก�าพร้าจากย่าน คนจนในกรุงลอนดอน ในช่วงทศวรรษที่ 1870 ได้เริ่มมีการส่งเด็กเหล่านี้จากอังกฤษมายัง แคนาดา กล่าวกันว่ามีเด็กราว 35000 คน ถูกส่งมาแคนาดาในช่วงนั้น ซึ่งมีปะปนหลายเชื้อชาติ ทั้งผิวขาวและผิวสี หลังจากนั้นได้มีการแก้ไขเป็นค�าว่า ‘Home boy’ ผู้แปลแปลจากต้นฉบับ ที่ตีพิมพ์ครั้งหลังๆ จึงยึดตามตามต้นฉบับที่มีการช�าระใหม่ว่าเด็กจาก ‘บ้านเลี้ยงเด็ก’


25 ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี ได้รับโทรเลขจากมิสซิสอเล็กซานเดอร์สเปนเซอร์วันนี้บุรุษไปรษณีย์เอามา ให้ฉันจากสถานีเองเลย ในนั้นเขียนว่าเขาจะมาถึงกันค�่านี้ทางรถไฟขบวน ห้าโมงครึ่ง แมทธิวก็เลยก�าลังไปรับเด็กที่ไบรท์ริเวอร์ มิสซิสสเปนเซอร์จะให้ เขาลงที่นั่น แล้วแกก็จะนั่งต่อไปที่สถานีไวท์แซนด์” มิสซิสเรเชลภูมิใจตัวเองเสมอว่านางเป็นคนที่ปากกับใจตรงกัน นาง จึงพูดต่อ หลังจากพอจะปรับจิตปรับใจกับข่าวที่น่าพิศวงเรื่องนี้ลงได้บ้างแล้ว “แต่ก็เถอะนะ มาริลลา ฉันอยากบอกคุณตรงๆ ว่าคุณก�าลังท�าความ ผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง มันเสี่ยงมากนะเพราะคุณไม่รู้ว่าจะได้เด็กแบบไหน มา คุณก�าลังจะเอาเด็กแปลกหน้าเข้าบ้านตัวเอง แล้วคุณก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง เกี่ยวกับเขา คุณไม่รู้ว่าเด็กจะมีพฤติกรรมไม่ดีตรงไหนมั่ง ไม่รู้ว่าพ่อแม่จริง เขาเป็นยังไง แล้วก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่าโตมาเขาจะเป็นคนแบบไหน ท�าไมฉันถึง ยั้งคุณน่ะรึ? ก็เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง ฉันเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์เจอว่าสามี ภรรยาคู่หนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเกาะเรา เขารับเด็กก�าพร้าผู้ชายมาเลี้ยง พอ ตอนกลางคืน เจ้าเด็กคนนี้ก็จุดไฟเผาบ้านเขาซะไหม้เป็นจุณ จุดไฟแบบจงใจ เผาเลยนะมาริลลา! เกือบจะย่างสดสามีภรรยาคู่นี้กรอบคาเตียงเลยแหละ ส่วนอีกคู่ที่ฉันได้ยินมา เขารับอุปถัมภ์เด็กผู้ชายคนนึงเหมือนกัน แต่เด็ก คนนี้ชอบขโมยไข่มาดูดกินดิบๆ เลย แล้วก็ห้ามไม่ฟังด้วย นี่ถ้าคุณปรึกษา ฉันก่อนนะมาริลลา ฉันจะบอกคุณเอาบุญเลยว่าอย่าท�า แต่เสียดายที่คุณไม่ ถามฉันก่อน.. นั่นแหละ!” ค�าปรึกษาแกมขู่เหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้ท�าให้มาริลลาทั้งหวาดผวาหรือ โกรธเคือง นางยังนั่งนิ่งๆ ถักนิตติงต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่ทุกข์ร้อน “ฉันไม่เถียงคุณนะเรเชล ว่าที่คุณพูดมาไม่จริง ขนาดฉันเองลึกๆ ก็ มีหวั่นๆ อยู่มั่งเหมือนกัน แต่แมทธิวนี่สิฉันเห็นว่าเขามุ่งมั่นมากก็เลยยอม มันไม่บ่อยเลยที่เขาจะมุ่งมั่นในเรื่องอะไรสักอย่าง และพอเขาเป็นแบบนี้ขึ้น มา ฉันเลยคิดว่าควรยอมเขาบ้าง ส่วนเรื่องความเสี่ยง มันก็มีอยู่ในทุกเรื่อง ในชีวิตนั่นละ คนมีลูกเองก็เสี่ยง ไม่มีใครรู้กระทั่งว่าลูกตัวเองจะโตมาเป็น ยังไง อีกอย่าง โนวาสโกเชียก็อยู่ใกล้ๆ เกาะเรานี่เอง ใช่ว่าฉันไปรับเด็กจาก อังกฤษหรืออเมริกามาเลี้ยงเมื่อไหร่ล่ะ เพราะฉะนั้น เด็กคนนี้ก็ไม่น่าจะต่าง


26 แอนน์: หนูน้อยแห่งบ้านกรีนเกเบิลส์ จากพวกเรามากนักหรอก” “งั้นก็แล้วแต่ ฉันแค่หวังว่ามันจะออกมาดีอย่างที่คิดนะ” มิสซิส เรเชลตอบด้วยน�้าเสียงที่ยังบ่งชัดถึงความแคลงใจอย่างรุนแรง “แต่อย่ามา พูดทีหลังแล้วกันว่าฉันไม่เตือน ถ้าเจ้าเด็กนั่นมันเผาบ้านกรีนเกเบิลส์ของคุณ ขึ้นมา หรือถ้ามันเอายาพิษไปโปรยเล่นในบ่อน�้า.. เรื่องนี้ฉันได้ยินว่าเกิดขึ้นที่ นิวบรันส์วิค ครอบครัวที่รับเด็กคนนั้นไปตายสยองยกครัวเลยนะคุณ เพียง แต่ครั้งนั้นเป็นเด็กผู้หญิงเท่านั้นแหละ” “อือม์.. แต่พอดีเราไม่ได้รับเลี้ยงเด็กผู้หญิง” มาริลลาตอบ ราวกับ ว่าการโปรยยาพิษลงในบ่อน�้าเป็นคุณสมบัติปกติของเด็กผู้หญิง และไม่มี สิ่งใดต้องกังวลถ้าเป็นเด็กผู้ชาย “ฉันไม่เคยคิดจะเอาเด็กผู้หญิงมาเลี้ยงอยู่ แล้ว สงสัยเหมือนกันว่าท�าไมมิสซิสสเปนเซอร์ถึงอยากได้เด็กผู้หญิง แต่ก็ อีกนั่นละ ถ้าแค่แกรับเลี้ยงเด็กก�าพร้าหมดโลกได้แกก็คงไม่คิดซ�้าเลย” อันที่จริง มิสซิสเรเชลอยากนั่งรอต่อจนแมทธิวกลับถึงบ้านพร้อม เด็กที่รับมาเลี้ยง แต่พอคิดดูว่าคงอีกไม่น่าจะต�่ากว่าสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย กว่าเขาจะมาถึง นางจึงสรุปว่าแวะไปบ้านโรเบิร์ต เบลล์ต่อดีกว่า จะได้บอก ข่าวใหม่นี้กับเขาด้วย ดูสมเหตุสมผลน่าท�ามากกว่าเป็นไหนๆ และมิสซิส เรเชลก็ชอบท�าเรื่องที่สมเหตุสมผลเป็นชีวิตจิตใจเสียด้วย นางจึงลากลับ มาริลลาโล่งใจไม่น้อย เพราะไปๆ มาๆ ฝ่ายหลังก็ชักเริ่มหวั่นๆ ขึ้นมา เหมือนกัน จากอิทธิพลค�าพูด ‘หวังดี’ ทั้งหลายของมิสซิสเรเชล “ให้ตายเถอะ เป็นเรื่องอะไรก็ไม่เป็น ดันมาเป็นเรื่องนี้!” มิสซิสเรเชล ระเบิดออกมากับตัวเองในทันทีที่ก้าวพ้นถึงถนน “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่านะ แต่.. เอ...ฉันชักรู้สึกสงสารเจ้าเด็กก�าพร้านั่นเสียแล้วสิก็แมทธิวกับมาริลลา รู้อะไรเรื่องเด็กๆ กะเค้าที่ไหน สองพี่น้องนี่คงจะคาดหวังให้เด็กต้องฉลาด ต้องดีต้องเก่งกว่าปู่ตัวเองแน่ๆ ..ถ้าเด็กมันมีปู่น่ะนะ.. แต่จะมีหรือเปล่าล่ะ? มันคงพิลึกเหมือนกันถ้าลองนึกภาพบ้านกรีนเกเบิลส์มีเด็กมาอยู่.. ก็มันไม่เคย มีเลยนี่นา! เพราะแมทธิวกับมาริลลาก็โตแล้วตอนที่บ้านหลังนี้เพิ่งสร้างใหม่ ถ้าสองพี่น้องนี่เคยเป็นเด็กเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาน่ะนะ.. ซึ่งฉันก็นึกภาพ สองคนนี่เป็นเด็กไม่ออกเหมือนกัน แล้วเจ้าเด็กที่รับมาเลี้ยงนี่อีก จะเป็น


27 ลูซี ม็อด มอนต์โกเมอรี ยังไงฉันไม่อยากนึกเลย เพราะแค่นึกก็ชักสงสารเด็กขึ้นมาแล้ว.. นั่นแหละ!” มิสซิสเรเชลบ่นทุกอย่างที่อัดอยู่ในใจกับพุ่มกุหลาบป่าข้างทาง แต่ ถ้านางสามารถมองเห็นเด็กคนที่ก�าลังรอคอยแมทธิวมารับอย่างใจจดใจจ่อที่ สถานีไบรท์ริเวอร์ ตอนนี้ได้ความสงสารของนางคงยิ่งด�าดิ่งลึกลงไปกว่านี้ มากมายทีเดียว


“สกุณาเริงร่าร้อง สุขสันต์ ดุจดั่งคิมหันต์ มีวารวันเพียงหนึ่งเดียว”


Click to View FlipBook Version