The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใช้ประกอบการสอนปรับพื้นฐานวิชาชีววิทยา ม.4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 4410210155, 2020-04-24 01:24:04

สอนปรับพื้นฐานชีววิทยา ม.4

ใช้ประกอบการสอนปรับพื้นฐานวิชาชีววิทยา ม.4

สอนปรับพื้นฐานวิชาชวี วิทยา
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ปกี ารศกึ ษา 2563

โรงเรยี นนางรอง

ลองฝึ กสมองเตรยี มความพร้อมในการเรยี น

ลองฝึ กสมองเตรยี มความพร้อมในการเรยี น

ลองฝึ กสมองเตรยี มความพร้อมในการเรยี น

ชวี วทิ ยา คอื อะไร

ชวี วทิ ยา (BIOLOGY)

• Biology มาจากคาภาษากรีก
- Bios (ชีวติ , ส่ิงมีชีวติ ) และ
- logos (กล่าวถึง , ศึกษา , วชิ า , ความคิด , การมีเหตุผล)

• Biology หรือ ชีววทิ ยา จึงหมายถึง วชิ าท่ีศึกษาสิ่งมีชีวิต

แขนงของวิชาชวี วทิ ยา

ส่งิ มีชวี ติ มีลกั ษณะอยา่ งไร

คุณสมบัติของสิ่งมีชวี ิต

1. มกี ารสืบพนั ธ์ุได้ (Reproduction)
2. ต้องการอาหารและพลังงาน (Need food & energy)
3. มกี ารเจริญเติบโต (Growth & Development)
4. มอี ายขุ ยั และขนาดจากดั (Limited size & Life span)
5. สง่ิ มชี วี ิตมกี ารตอบสนองต่อสิง่ เร้า (Responsiveness)
6. สง่ิ มชี ีวิตมีการรักษาดุลยภาพของรา่ งกาย (Homeostasis)
7. สง่ิ มชี วี ติ มลี กั ษณะจาเพาะ (Specialty & Indentity)
8. สงิ่ มีชีวิตมีการจดั ระบบ (Organization)

องคป์ ระกอบของส่งิ มชี วี ติ มีอะไรบา้ ง

เซลล์และทฤษฎีเซลล์

● เซลลเ์ ป็นหนว่ ยโครงสรา้ งทเ่ี ล็กทส่ี ุดของส่ิงมชี ีวติ
- เซลล์รวมกนั เปน็ เน้อื เย่ือ
- เน้อื เย่อื รวมกนั เปน็ อวัยวะ

● สิง่ มชี ีวิตบางชนิดมีเพยี งเซลล์เดียว
บางชนิดมีหลายเซลล์

● เซลล์ของส่งิ มชี ีวิต มรี ูปรา่ ง ขนาด และ
โครงสร้างแตกต่างกนั

เซลลช์ นิดตา่ งๆ

เซลล์และทฤษฎเี ซลล์

● ค.ศ. 1665 Robert Hook

นักพฤกษศาสตรช์ าวองั กฤษ ไดป้ ระดษิ ฐ์
กลอ้ งจลุ ทรรศนช์ นดิ เลนสป์ ระกอบ
(compound microscope) นามาศกึ ษา
ไม้คอรก์ พบว่า ประกอบด้วยชอ่ งว่างเล็ก ๆ
จานวนมากเรยี งต่อกนั
จงึ เรยี กชอ่ งน้ีวา่ “เซลล”์ (cell) พบครั้งแรก
เป็นเซลลต์ ายแล้ว ยังคงรูปได้เนือ่ งจากมี
ผนังเซลล์ (cell wall)

เซลลแ์ ละทฤษฎีเซลล์

● พ.ศ. 2381 มัทตอิ ัส ยอคอบ ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์
เยอรมนั คน้ พบว่า
- พชื เป็นส่งิ มีชีวิตทม่ี ีหลายเซลล์

● พ.ศ. 2382 เทโอดอร์ ชวนั น์
นักสตั ววิทยา เยอรมนั ค้นพบว่า
- สัตวท์ งั้ หลายมีเซลลเ์ ป็นองคป์ ระกอบ

ทั้ง 2 คนจงึ กอ่ ต้งั ทฤษฎีเซลล์ (Cell Theory)
ส่ิงมชี วี ติ ประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์เปน็ หนว่ ยพ้นื ฐาน

ของส่ิงมชี ีวิต

ส่งิ มชี ีวติ มกี ารจัดจาแนกอย่างไรบ้าง

แบง่ ตามโครงสรา้ งของเซลล์

1. เซลลโ์ พรแครโิ อต (prokaryotic cell)
ไมม่ เี ยอื่ หมุ้ นิวเคลยี ส (nuclear

membrane) อาณาจกั มอเนอรา
เป็นสงิ่ มชี วี ติ ท่ีมขี นาดเลก็ มีขนาด

ประมาณ 0.1 – 10 ไมครอน
เชน่ แบคทเี รีย ไมโคพลาสมา
สาหรา่ ยสเี ขียวแกมน้าเงิน

2. เซลล์ยูแคริโอต (eukaryotic cell)
มีเยือ่ หุ้มนวิ เคลียส

เปน็ สิง่ มีชีวติ ทม่ี ีความหลากหลาย
ทง้ั ขนาด รูปร่างลักษณะ จัดระบบอวัยวะ
และการดารงชวี ิต ได้แก่
อาณาจกั รพืช , อาณาจกั รสตั ว์
อาณาจกั รฟงั ไจ อาณาจกั รโพรทสิ ตา

แบ่งตามจานวนเซลล์

1. สิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดยี ว (Single cell organism)
มเี พียงเซลล์เดียว
สามารถดารงชีวติ ได้ เชน่
ยกู ลีนา พารามเี ซียม อะมีบา

2. สิ่งมีชวี ติ หลายเซลล์ (multicellular organism)
มีจานวนหลายเซลล์ทางานรว่ มกัน เชน่ พชื สัตว์

การจัดจาแนกส่งิ มีชวี ติ

ความหลากหลายของพืชและสัตว์ในท้องถิน่

ส่งิ มชี ีวติ ทม่ี คี วามคลา้ ยคลงึ
กันจะจดั ไวใ้ นกลุ่มเดียวกัน โดย
จัดเปน็ กลมุ่ ใหญ่ ๆ ได้ 5 กลมุ่
เรยี กแต่ละกลุม่ วา่ อาณาจกั ร
(kingdom)

1. อาณาจักรมอเนอราหรืออาณาจกั รแบคทเี รีย

ส่ิงมชี ีวติ ในอาณาจักรนีโ้ ดยทั่วไปมลี กั ษณะเป็ นเซลล์เดยี ว ไม่มีเย่อุม้มนิวเลลยี ส
มองดมวยตาเปล่าไม่เุ็น พบอยู่ท้กุนท้กแุ่งในอากาศ ในนํา้ ในดนิ และยงั สามารถ
อาศัยอย่บู นุร่อในพ่ชและสัตว์ บางชนิดมลี ลอโรฟิ ลล์สามารถสังเลราะุ์ดมวยแสงไดม
แบลทเี รียมรี ูปร่างุลายแบบ ล่อ รูปแท่ง รูปกลม และรูปเกลยี ว

แบคทีเรียรปู แทง่ แบคทีเรยี รูปกลม แบคทีเรยี รปู เกลยี ว

2. อาณาจักรโพรทิสตา

สิ่งมีชวี ติ ในอาณาจักรนีแ้ บง่ เป็นหลายกลุ่ม ดังน้ี

2.1 กลมุ่ คล้ายสัตว์ ได้แก่ โพรโทซัว (protozoa) สิง่ มชี วี ติ ในกลมุ่ น้ีเคลอ่ื นทีไ่ ด้
โดยใช้อวัยวะแบบตา่ ง ๆ ดงั น้ี
พวกมีเท้าเทยี ม เช่น อะมีบา
พวกมีซเิ ลยี เชน่ พารามเี ซียม
พวกมีแฟลเจลลมั เช่น ยกู ลนี า
พวกไม่มีโครงสร้างในการเคล่อื นที่ เชน่ พลาสโมเดยี ม

อะมีบา พารามเี ซยี ม ยูกลนี า

2.2 กล่มุ คล้ายพชื ไดแ้ ก่ สาหร่าย สิ่งมีชีวิตในกลุ่มน้ีเป็นโพรทสิ ตท์ ่มี ขี นาดใหญ่
พบในสระหรอื ในทะเล มีคลอโรฟลิ ล์สามารถสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ ไมม่ ีใบ ไมม่ ีลําต้น
และไมม่ รี ากเหมือนพืช

คลอเรลลา อุลวา อะเซตาบลู าเรีย

2.3 กลมุ่ ราเมอื ก ราเมอื กนอ้ี ยู่เป็นอิสระได้ ดาํ รงชีวิตโดยการย่อยสลาย

สเตโมนิติส ไฟซารมั

3. อาณาจักรพืช
3.1 พืชที่ไมม่ เี นอ้ื เยอ่ื ลําเลยี ง
พชื กลมุ่ นี้เป็นพืชที่อยใู่ นทช่ี ้ืน ไมม่ ลี ําตน้ ใบและรากที่แท้จรงิ มีการสรา้ ง
เซลล์สืบพันธ์ุบริเวณปลายยอด พชื กลมุ่ นมี้ ชี ว่ งระยะแกมีโทไฟตย์ าว สปอโรไฟตส์ ั้น
เจริญอย่บู นต้นแกมีโทไฟต์

มอสส์ ลิเวอร์เวริ ต์

3.2 พืชทมี่ เี นอ้ื เย่ือลาํ เลยี ง แบ่งเปน็ 2 กล่มุ คอื พชื ทไ่ี ม่มเี มล็ด และพืชทมี่ ีเมลด็
กลมุ่ แรก พชื ท่ีมเี น้อื เยอ่ื ลําเลียงทไ่ี ม่มีเมล็ด เป็นพชื ที่มีลาํ ต้นแขง็ แรง มีรากและใบทีม่ ี
ลักษณะหนาเนือ่ งจากมีไขเคลือบใบเพื่อลดการสูญเสียนํ้า ภายในลาํ ต้นมีท่อลําเลียงนาํ้
เรยี ก ไซเล็ม (xylem) และท่อลําเลยี งอาหารเรยี ก โฟลเอม็ (Phloem) พืชในกลุ่มนี้
แพรพ่ ันธ์โุ ดยการสร้างสปอรใ์ ตใ้ บแกท่ ี่มีลกั ษณะแตกต่างจากใบออ่ นซง่ึ ม้วนงอ เม่อื
สปอรง์ อกถงึ ระยะทมี่ ีการสร้างเซลล์สบื พันธุ์

ตน้ เฟิร์น

กลมุ่ ทีส่ อง พชื ทมี่ เี น้ือเยือ่ ลําเลียงท่ีมีเมลด็ แบ่งเปน็ 2 กลุ่ม คอื พืชมเี มล็ดไมม่ ี
สง่ิ หอ่ ห้มุ และพชื มเี มล็ดมีสิ่งห่อหมุ้
พืชมีเมล็ดไม่มสี ง่ิ ห่อหมุ้ เปน็ พืชกลุ่มที่ไมม่ ดี อก หรอื กลมุ่ ท่ีเมล็ดไม่มีสิ่งห่อหุม้

ลําตน้ คอ่ นขา้ งใหญ่ มีหลายชนิด
พชื มีเมลด็ มสี ่ิงหอ่ ห้มุ เป็นพชื กลุ่มมดี อก หรือกลมุ่ เมล็ดมรี ังไข่หอ่ ห้มุ พชื กล่มุ น้ี

มีดอกท่มี ีอวยั วะอยภู่ ายใน สรา้ งสปอรท์ ้ังเพศผูแ้ ละเพศเมยี เจริญเปน็ ระยะ

ป่ าสนสองใบ และสนสามใบ ลกั ษณะของสนสองใบ ลกั ษณะของสนสามใบ

พชื ใบเลย้ี งเดย่ี ว (monocot) เป็นพืชทเ่ี อม็ บรโิ อมใี บเล้ียงเพยี งใบเดียว เสน้ ใบเรยี ง
แบบขนาน รากเปน็ ระบบรากฝอย ลําตน้ มขี ้อปล้องเห็นไดช้ ัดเจน

พชื ใบเล้ยี งคู่ (dicot) เป็นพชื ท่ีเอม็ บริโอมใี บเล้ยี งสองใบ เสน้ ใบเป็นร่างแห รากเปน็
ระบบรากแก้ว

4. อาณาจักรฟังไจ

อาณาจักรฟังไจ ได้แก่ เห็ด รา ยสี ต์ สง่ิ มีชวี ิตพวกน้ีประกอบดว้ ยใยบาง ๆ เรยี กวา่
ไฮฟา (hypha) บางชนิดเหมอื นพชื แตไ่ ม่มีคลอโรฟิลล์ สืบพนั ธ์โุ ดยการสรา้ งสปอร์
ท่เี จริญไปเปน็ รากลมุ่ ใหญ่

เุด็ ราบนผลสม ม ยสี ต์

5. อาณาจักรสตั ว์
สตั ว์ในอาณาจักรนแ้ี บง่ ได้ดงั น้ี

5.1 ฟองนา้ํ (sponge)

เปน็ สตั วท์ ่ีมีรูพรนุ เลก็ ๆ กระจายทั่วตัว
เป็นทางให้นํา้ เข้า สว่ นทางนํา้ ออกเป็นรู
คอ่ นขา้ งใหญ่อยู่ดา้ นบน และมีจํานวน
น้อยกว่ารนู า้ํ เขา้ ฟองน้ํามีโครงรา่ งที่เป็นสาร
พวกหินปนู ซลิ ิกา หรอื ใยหินคา้ํ จนุ แทรกอยู่
ทว่ั ไปในผนงั ลาํ ตัว ฟองนํา้ มรี ูปรา่ งหลายแบบ
เช่น ฟองน้ํารปู แจกัน ฟองน้าํ รูปดอกเหด็
ฟองนํา้ ถูตัว

ฟองนํา้ รูปแจกนั

5.2 ไนดาเรยี (cnidaria) เป็นสัตว์ที่มีรูปรา่ งเหมอื นถงุ ที่
ปลายดา้ นหนง่ึ เปดิ มีหนวดทม่ี ี
ตวั อย่างไนดาเรีย เซลล์เขม็ พษิ ใช้ตอ่ ยอยรู่ อบปาก
เซลลน์ ี้จะตอ่ ยเหยอ่ื ให้เปน็ อมั พาต
แลว้ จบั ใส่ปาก สัตว์พวก
ไนดาเรยี เช่น ไฮดรา กะพรุน
ปะการงั ดอกไมท้ ะเล

5.3 หนอน สิง่ มชี วี ิตพวกน้แี บ่งเป็น 3 กลมุ่ ได้แก่

5.3.1 หนอนตวั แบน (flat worm) เปน็ สตั วท์ ่มี ี
ลําตัวแบน มปี ากอยปู่ ลายดา้ นหนึง่ บางชนดิ อยู่
ในน้ําจืด สว่ นใหญ่เปน็ ปรสติ ของสัตว์ ตวั อย่าง
หนอนตัวแบน เช่น พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิตดื หมู

พยาธิใบไมมในตบั

5.3.2 หนอนตัวกลม (round worm) เปน็ สตั ว์
ท่ีมลี ําตวั กลมยาวเหมือนเส้นดา้ ย บางชนดิ อยู่
ในดนิ บางชนดิ เป็นปรสิตในพชื กดั กินรากพืช
ทาํ ลายเนอ้ื เยอื่ สว่ นต่าง ๆ ทาํ ใหพ้ ชื ไมเ่ จริญ

พยาธิไสม เด่อน

5.3.3 หนอนปล้อง (segmented worm) ไสม เด่อนดนิ
เปน็ สัตวท์ ี่มลี ําตัวเป็นรูปทรงกระบอกยาว
แบง่ เปน็ ปล้อง ๆ มีเย่ือก้ันระหวา่ งปลอ้ ง
ผิวหนงั ปกคลุมดว้ ยเยือ่ คิวทเิ คิล (cuticle)
มตี อ่ มสร้างเมอื กทาํ ให้ลาํ ตัวชมุ่ ชนื้ เสมอ
ผิวหนังเป็นที่แลกเปลีย่ นแก๊ส ตัวอยา่ ง
หนอนปล้อง เชน่ ไส้เดอื นดนิ ปลงิ นาํ้ จดื

5.4 หอย หรือมอลลัส (mollus) สตั วใ์ นกลุ่มนี้มลี ําตวั นิม่ ไม่แบง่ เป็นปลอ้ ง
บางชนดิ มีเปลอื ก 1 หรือ 2 ฝา เพื่อปอ้ งกนั ตัว มเี ท้าเป็นกล้ามเน้อื แขง็ แรง
ใชข้ ุดดินหรอื ทราย หรือใชใ้ นการเคลื่อนทไี่ ปรอบ ๆ ตัวอย่างสัตวก์ ลุ่มนี้ เชน่
หอยทาก หอยแครง หอยโข่ง หอยงาชา้ ง หมึกกล้วย หมึกกระดอง ทเี่ ปน็
พวกไม่มเี ปลือกแขง็

ตวั อยา่ งหอย หรือมอลลัส

5.5 พวกอาร์โทรพอด (arthropod) สตั วก์ ลมุ่ น้เี ปน็ สตั ว์
ไม่มกี ระดกู สนั หลังกลุ่มใหญท่ ีส่ ุด คําวา่ อาร์โทรพอด
หมายถึง ขาทเ่ี ป็นข้อเปน็ ปลอ้ ง ดังนัน้ สตั วใ์ นกลุ่มนี้ทง้ั หมด
จงึ มีขาเปน็ ข้อและลําตวั แบง่ เป็นปลอ้ งเช่นกัน มเี ปลือกแขง็
คํ้าจนุ อยนู่ อกร่างกาย เรยี กวา่ มีโครงรา่ งแข็ง เมอ่ื เติบโตเกิน
ขนาดโครงร่างแข็งภายนอกกจ็ ะตอ้ งลอกคราบและสร้าง
โครงรา่ งแข็งภายนอกใหมท่ ่โี ตกว่าเดิม ทีห่ วั มีหนวดใช้สัมผสั

5.6 เอไคโนเดริ ม์ (echinoderm) สัตวใ์ นกลุม่ น้ที กุ ชนดิ อาศัยในทะเล ผิวหนา
เป็นหนาม ลําตวั แบ่งเป็น 5 สว่ น ใช้ทิวบฟ์ ีต (tube feet) ในการเคล่ือนที่
ตวั อย่างสตั ว์ในกลมุ่ น้ี เชน่ ดาวทะเล ปลิงทะเล เม่นทะเล

ตวั อยา่ งเอไคโนเดิร์ม

5.7 สตั ว์มกี ระดกู สันหลงั สตั ว์กลมุ่ นี้ในระยะที่เป็นตวั อ่อน ยงั ไมม่ ีกระดูกสันหลงั
แต่มีโนโตคอร์ดเป็นแกนของร่างกาย สัตว์ในกลมุ่ นแ้ี บง่ เป็น 5 กลุม่ ยอ่ ย ดังนี้

5.7.1 ปลา ซึ่งเป็ นสัตว์ทอ่ี ยู่ในนํา้ ตวั อย่างปลา
ตลอดชีวติ ลาํ ตวั เพรียว ใชมลรีบว่ายนํา้
ใชมเุง่อกุายใจเอาออกซิเจนจากนํา้
บางชนิดมเี กลด็ ปกลล้ม บางชนิด
มผี วิ ุนังุนา พวกปลายงั แบ่งเป็ น
ปลากระดูกแขง็ เช่น ปลาด้ก ปลาช่อน
มมานํา้ และปลากระดูกอ่อน เช่น ฉลาม
กระเบน

5.7.2 สัตว์สะเทนิ นํา้ สะเทนิ บก กบ
พวกนีม้ ีผวิ ุนังล่นและช่้น ผสมพนั ธ์้
ในนํา้ โดยปล่อยอส้จิและไข่ออกไป งูดนิ
ผสมกนั ในนํา้ เป็ นการปฏสิ นธิ ตวั อย่างสัตว์สะเทนิ นํา้ สะเทนิ บก
ภายนอก ไข่ทป่ี ฏสิ นธิแลมวจะฟัก
ออกเป็ นลูกอ๊อด เม่ออยู่ในนํา้ ุายใจ
ดมวยเุง่อก และเม่ออย่บู นบกจะ
ุายใจดมวยปอด ตวั อย่างสัตว์กล่้มนี้
เช่น กบ เขียด อง่ึ อ่าง เขียดงู (งูดนิ )

5.7.3 สัตว์เล่อ้ ยลลาน สัตว์พวกนีม้ ีผวิ ุนังแุมง มีเกลด็ เพ่อลดการสูญเสียนํา้
จงึ สามารถมชี ีวติ อย่ใู นบริเวณแุมงแลมงและขาดนํา้ ไดม ุายใจดมวยปอด การปฏสิ นธิ
เกดิ ภายในตัวของเพศเมยี ไข่มเี ปล่อกเุนียว ตัวอย่างสัตว์พวกนี้ เช่น งู จิง้ เุลน
กงิ้ ก่า ต๊้กแก จระเขม

ตวั อย่างสัตว์เล่อ้ ยลลาน

5.7.4 นก สัตว์ในกล่้มนีเ้ ป็ นพวกสัตว์ปี ก มขี นและปี ก ส่วนใุญ่บินไดม ไม่มีฟัน
แต่มจี ะงอยปากทป่ี รับใุมเุมาะกบั อาุารชนิดต่าง ๆ ภายในปอดมถี ้งลมุลายถ้ง
ตดิ ต่อกนั เพ่อช่วยในการุายใจและระบายลวามรมอน มกี ารปฏสิ นธิภายใน ไข่มี
เปล่อกแขง็ ุม้มเพ่อปมองกนั ภยั สัตว์ปี กทบี่ ินไม่ไดมมกั มขี นาดใุญ่ วง่ิ เร็ว บนิ ไดมระยะ
ส้ัน ๆ เช่น นกกระจอกเทศ นกกวี ี นกอมี ู บางชนิดมรี ยางล์ลูุ่ลงั ลกั ษณะลลมาย
ใบพาย (flipper) ใชมสําุรับว่ายนํา้ ไม่มถี ้งลม เช่น เพนกวนิ

ตวั อย่างนก

5.7.5 สัตว์เลยี้ งลกู ดมวยนํา้ นม สตั วก์ ลุ่มน้ีมีน้านมท่ีผลิตจากตอ่ มน้านมสาหรับ
เล้ียงลูก มีขนเป็นเสน้ ๆ ปกคลุมผวิ ลาตวั ส่วนใหญ่มีใบหู หายใจดว้ ยปอด
ปฏิสนธิภายใน สัตวก์ ลุม่ น้ีแบ่งเป็นหลายกลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มที่ออกลูกเป็นไข่
ไม่มีใบหู มีต่อมน้านมที่ผวิ หนงั รวมเป็นกระจุกใหล้ ูกออ่ นไดอ้ าศยั เลียกิน เช่น
ตุ่นปากเป็ด (platypus) กลุม่ ที่ออกลูกเป็นตวั และมีถุงหนา้ ทอ้ งใชเ้ ล้ียงลูก เช่น
จิงโจ้ หมีโคลา กลุม่ ท่ีออกลูกเป็นตวั มีรกติดต่อระหวา่ งแม่และลูก เช่น
คา้ งคาวกิตติ

ตวั อย่างสัตว์เลยี้ งลูกดมวยนํา้ นม

5.1.2 ไวรัส (virus)

ไวรสั ไม่สามารถดํารงชีวิตได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยสิ่งมีชวี ติ ชนดิ อืน่ รวมทงั้ การ
เพ่ิมจํานวนจะกระทําไดก้ ต็ อ่ เมื่ออาศัยในสิ่งมีชวี ิตชนดิ อืน่ จึงดํารงชวี ิตเป็นปรสิต
(parasite) ไวรัสมขี นาดเลก็ มาก ตอ้ งดูด้วยกล้องจลุ ทรรศน์อเิ ลก็ ตรอนเท่านั้น ไวรสั
ไมม่ ลี ักษณะเปน็ เซลล์เพราะไม่มีเยอื่ หุ้มเซลลแ์ ละโพรโทพลาซมึ มแี ตโ่ ครงสร้างท่ี
ประกอบด้วยสายดีเอ็นเอ (DNA) หรืออาร์เอ็นเอ (RNA) มีโปรตนี หมุ้ ไวรสั มรี ูปร่าง
และขนาดต่าง ๆ กัน ดังภาพ

แคปชิด อาร์เอ็นเอ

สว่ นหวั ดีเอ็นเอ
แคปชิด สว่ นหาง
อาร์เอ็นเอ

ไกลโคโปรตนี

ก. ไวรัสใบยาสูบ 20 nm ข. ไวรสั หวดั 50 nm ค. ไวรัสท่ีทําให้ 50 nm
เกิดโรคใน
ตัวอย่างโครงสรา้ งไวรสั แบคทเี รีย

นกั เรยี นมคี าถามเพ่มิ เติมหรอื ไม่


Click to View FlipBook Version