34
ใบความร้ทู ี่ 6
เรอ่ื ง วิธกี ารแสวงหาความรขู้ องมนษุ ย์
(Methods of acquiring knowledge)
ความรู้ต่างๆของมนุษย์ประกอบด้วยข้อเท็จจริงและทฤษฎีต่างๆ การแสวงหาความรู้ของ
มนุษย์เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยสติปัญญาและการฝึกฝนต่างๆ วิธีเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์
จาแนกไดด้ ังนี้
1. การสอบถามจากผู้รู้ (Authority) เช่นในสมัยโบราณ เม่ือเกิดน้าท่วมหรือโรคระบาด
ผคู้ นก็จะ ถามผูท้ เ่ี กิดก่อนวา่ จะทาอยา่ งไร ซ่ึงในสมยั นนั้ ผทู้ ่เี กิดก่อนกจ็ ะแนะนาให้ทาพิธีสวดมนต์อ้อน
วอนสิ่งศักด์ิสิทธ์ิต่างๆ ปัจจุบันก็มีการแสวงหาความรู้ท่ีใช้วิธีการสอบถามจากผู้รู้ เช่น ผู้พิพากษาใน
ศาลเวลาตัดสินคดีเก่ียวกับการปลอมแปลงลายมือยังต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญทางด้านลายมือให้ช่วย
ตรวจสอบให้ ข้อควรระมัดระวงั ในการเสาะแสวงหาความรู้โดยการสอบถามจากผู้รู้คือต้องมั่นใจว่าผู้รู้
นัน้ เป็นผรู้ ูใ้ นเร่อื งทจ่ี ะสอบถามอย่างแท้จริง
2. การศึกษาจากขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ของ
มนุษย์อีกวิธีหน่ึงที่ใกล้เคียงกันกับการสอบถามจากผู้รู้ก็คือการศึกษาจากขนบธรรมเนียมป ผระเพณี
หรือวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ในการศึกษาความรู้เก่ียวกับการแต่งกายประจาชาติต่างๆ ซึ่งผู้ใช้วิธีการ
แสวงหาความรู้แบบนี้ต้องตระหนักว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตจนเป็นขนบธรรมเนียมนั้นไม่ใช่ว่าจะ
เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเท่ียงตรงเสมอไป ถ้าศึกษาเหตุการณ์ต่างๆทางด้านประวัติศาสตร์จะพบว่ามีข้อ
ปฏิบัติหรือทฤษฎีต่างๆ ท่ีเป็นผลสืบเน่ืองมาจากวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นซึ่งได้
ยึดถือปฏิบัติกันมาหลายปี และพบข้อเท็จจริงในภายหลังถึงความผิดพลาดข้อปฏิบัติหรือทฤษฎี
เหล่านั้นก็ต้องยกเลิกไป ดังน้ันผู้ท่ีจะใช้วิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยการศึกษาจากขนบธรรมเนียม
ประเพณนี นั้ ควรจะไดน้ ามาประเมินอยา่ งรอบคอบเสียก่อนทจี่ ะยอมรบั วา่ เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ
3. การใช้ประสบการณ์ (Experience) วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ที่มนุษย์การใช้กันอยู่
บ่อยๆ คือ การใชป้ ระสบการณต์ รงของตนเอง เมือ่ เผชญิ ปัญหา มนุษย์พยายามที่จะค้นคว้าหาคาตอบ
ในการแกป้ ญั หาโดยใชป้ ระสบการณ์ตรงของตนเองที่เคยประสบมา เช่น เด็กมักจะมีคาถามมาถามครู
บิดา มารดา ญาติ ผทู้ ่ีมีอาวุโสมากกว่า บุคลเหล่านั้นมักจะใช้ประสบการณ์ตรงของตนเองในการตอบ
คาถามหรือแก้ปัญหาให้กับเด็ก การใช้ประสบการณ์ตรงน้ันเป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ แต่ถ้าใช้
ไมถ่ กู วิธีอาจจะทาใหไ้ ดข้ อ้ สรุปทไ่ี ม่ถกู ต้องได้
4. วิธีการอนุมาน (Deductive method) การเสาะแสวงหาความรู้โดยใช้วิธีการอนุมานนี้
เป็นกระบวนการคิดค้นจากเร่ืองท่ัวๆไป ไปสู่เร่ืองเฉพาะเจาะจง หรือคิดจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย
จากสิ่งทีร่ ้ไู ปสสู่ ง่ิ ท่ีไมร่ ู้ วิธกี ารอนุมานน้ปี ระกอบด้วย
1. ข้อเทจ็ จรงิ ใหญ่ ซ่ึงเปน็ เหตุการณ์ทเี่ ป็นจริงอยู่แลว้ ในตัวมนั เอง
2. ข้อเท็จจรงิ ย่อย ซง่ึ มคี วามสัมพันธก์ ับกรณีของข้อเท็จจริงย่อย และ
3. ขอ้ สรปุ (Conclusion) ถา้ ข้อเทจ็ จริงใหญแ่ ละข้อเท็จจริงย่อยเป็นจรงิ ข้อสรปุ กจ็ ะตอ้ งเปน็
จรงิ เช่น สตั วท์ ุกชนิดตอ้ งตาย สนุ ขั เปน็ สตั วช์ นิดหนงึ่ ขอ้ สรปุ สนุ ขั ตอ้ งตาย
35
5. วธิ กี ารอุปมาน (Inductive method) จะเร่มิ จากสว่ นย่อยไปหาส่วนใหญ่ วิธีการ
อปุ มานน้ีอาจ จะจดั แยกเปน็ 2 ชนิด คือ
1) วิธีการอุปมานแบบสมบูรณ์ (perfect inductive method) เป็นวิธีการเสาะ
แสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆ จากทุกหน่วยของกลุ่มประชากร จึงสรุปไปสู่ส่วนใหญ่
เช่นต้องการทราบว่าผทู้ อ่ี าศัยอยู่ในเขตกรงุ เทพมหานครนบั ถือศาสนาอะไร ก็ต้องมาถามจากผู้ที่อาศัย
อยู่ในกรุงเทพมหานครว่าทุกคนนับถือศาสนาอะไร แล้วจึงนามาสรุปรวมว่ าผู้ที่อาศัยใน
กรงุ เทพมหานครนับถอื ศาสนาอะไรบ้าง
2) วิธีการอุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect inductive method) เป็นวิธีการ
เสาะแสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆจากบางส่วนของกลุ่มประชากรแล้วสรุปรวมไปสู่
ส่วนใหญ่ ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากท่ีจะรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆจากทุกๆหน่วยของกลุ่มประชากร
จึงใชว้ ธิ ีรวบรวมข้อเทจ็ จริงยอ่ ยๆจากกลมุ่ ตัวอยา่ งซงึ่ เป็นส่วนหนึ่งของกลมุ่ ประชากร
6. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นวิธีการแสวงหาความรู้โดยใช้
หลกั การของวิธกี ารอุปมานและวิธีการอนุมานมาผสมผสานกัน โดยมีข้ันตอนการเสาะแสวงหาความรู้
โดยเร่มิ จากการท่ีมนุษย์เร่ิมเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยจากประสบการณ์ตรงความรู้เก่าๆและการสังเกต
เป็นต้นจนกระท่ังรวบรวมแนวความคิดเป็นแนวความรู้ต่างๆท่ีสมมติข้ึนมา ซ่ึงเป็นวิธีการอุปมานและ
หลงั จากนนั้ กใ็ ชว้ ิธีการอนุมานในการแสวงหาความรู้ทั่วไป โดยเริ่มจากสมมติฐานซ่ึงเป็นส่วนรวม แล้ว
ศึกษาไปถึงส่วนย่อยๆเพื่อท่ีจะศึกษาถึงการหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับส่วนรวม เพ่ือให้ได้
ขอ้ สรุปของความรตู้ า่ งๆ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นวิธีการแสะแสวงหาความรู้ท่ีดีในการแก้
ปัญหาต่างๆ ไม่เพียงแต่ปัญหาที่เกิดข้ึนในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เท่าน้ัน แต่ยังสามารถนามา
ประยกุ ต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางการศกึ ษาได้ดว้ ย
ความหมายของการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง
การแสวงหาความรู้ คือ ทักษะท่ีจะต้องอาศัยการเรียนรู้และวิธีการฝึกฝนจนเกิดความ
ชานาญ ช่วยทาให้เกิดแนวความคิดความเข้าใจท่ีถูกต้องและกว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะผู้เรียนจะเกิด
ทกั ษะในการค้นคว้า สิ่งที่ตอ้ งการและสนใจใคร่รูจ้ ากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ งๆ จะทาให้ทราบข้อเท็จจริง และ
สามารถเปรียบเทยี บขอ้ เท็จจริงท่ไี ด้มาวา่ ควรเช่อื ถือหรือไม่
ทักษะการสรา้ งปัญญา
ทักษะการสร้างปัญญาให้กับผู้เรียน เพ่ือนาไปสู่การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
มี 10 ขั้นตอน ดงั น้ี
ข้ันตอนที่ 1 ทักษะการสังเกต คือ การสังเกตส่ิงที่เราเห็น ส่ิงแวดล้อม หรือสิ่งท่ีเราจะ
ศึกษา โดยสังเกตเกี่ยวกับแหล่งท่ีมา ความเหมือน ความแตกต่าง สาเหตุของความแตกต่าง
ประโยชน์ และผลกระทบ วิธฝี กึ การสงั เกต คอื การฝกึ สมาธิ เพื่อให้มีสติ และทาให้เกิดปัญญา มี
โลกทรรศน์ มวี ธิ ีคดิ
ข้ันตอนท่ี 2 ทักษะการบันทึก คือ การบันทึกสิ่งท่ีต้องจาหรือต้องศึกษา มีหลาย
วิธี ได้แก่ การทาสรุปย่อ การเขียนเค้าโครงเรื่อง การขีดเส้นใต้ การเขียนแผนภูมิ การทาเป็น
แผนภาพ หรอื ทาเปน็ ตาราง เป็นต้น วธิ ฝี ึกการบันทึก คอื การบันทึกทุกครั้งท่ีมีการสังเกต มีการฟัง
หรือมกี ารอา่ น เป็นการพฒั นาปญั ญา
36
ขั้นตอนที่ 3 ทักษะการนาเสนอ คือ การทาความเข้าใจในเรื่องท่ีจะนาเสนอให้ผู้อ่ืนรับรู้ได้
โดยจดจาในส่ิงที่จะนาเสนอออกมาอย่างเป็นระบบ ซ่ึงสามารถทาได้หลายรูปแบบ เช่น การทา
รายงานเป็นรูปเล่ม การรายงานปากเปล่า การรายงานด้วยเทคโนโลยี เป็นต้น วิธีฝึกการนาเสนอ
คือ การฝึกตามหลักการของการนาเสนอในรูปแบบต่างๆ ดังกล่าวอย่างสม่าเสมอ จนสามารถ
นาเสนอ ได้ดีซึง่ เปน็ การพฒั นาปญั ญา
ขั้นตอนท่ี 4 ทักษะการฟัง คือ การจับประเด็นสาคัญของผู้พูด สามารถตั้งคาถามเร่ืองที่ฟัง
ได้ รู้จุดประสงค์ในการฟัง ผู้เรียนจะต้องค้นหาเร่ืองสาคัญในการฟังให้ได้ วิธีฝึกการฟัง คือ การทา
เค้าโครงเร่ืองท่ีฟัง จดบันทึกความคิดหลัก หรือถ้อยคาสาคัญลงในกระดาษบันทึกที่เตรียมไว้ อาจตั้ง
คาถามในใจ เช่น ใคร อะไร ที่ไหน เม่ือไร เพราะเหตุใด อย่างไร เพราะจะทาให้การฟัง มี
ความหมายและมปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ
ขั้นตอนท่ี 5 ทักษะการถาม คือ การถามเรื่องสาคัญๆ การตั้งคาถามสั้นๆ เพ่ือนาคาตอบ
มา เชื่อมต่อใหส้ มั พันธก์ ับสงิ่ ทีเ่ รารู้แล้วมาเป็นหลักฐานสาหรับประเด็นท่ีกล่าวถึง ส่ิงที่ทาให้เราฟัง ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การถามเก่ียวกับตัวเราเอง การฝึกถาม-ตอบ เป็นการฝึกการใช้เหตุผล
วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ทาให้เข้าใจในเรอ่ื งนั้น ๆ อย่างชัดเจน ถา้ เราฟงั โดยไม่ถาม-ตอบ ก็จะเข้าใจ ใน
เรอ่ื งน้ัน ๆ ไมช่ ดั เจน
ข้ันตอนท่ี 6 ทักษะการตั้งสมมติฐานและตั้งคาถาม คือ การต้ังสมมติฐาน และตั้งคาถาม
สิ่งที่เรียนรไู้ ปแลว้ ได้ว่า คืออะไร มีประโยชนอ์ ยา่ งไร ทาอยา่ งไรจงึ จะสาเร็จได้ การฝึกตั้งคาถาม ที่มี
คุณค่าและมีความสาคัญ ทาให้อยากได้คาตอบ
ข้ันตอนที่ 7 ทักษะการค้นหาคาตอบจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น จาก
หนังสือ อินเทอร์เน็ต คยุ กบั คนแก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคาถาม การค้นหาคาตอบต่อคาถามท่ีสาคัญ
จะสนุก และทาให้ได้ความรู้มาก บางคาถามหาคาตอบทุกวิถีทางแล้วไม่พบ ต้องหาคาตอบต่อไปด้วย
การวจิ ัย
ข้ันตอนท่ี 8 ทักษะการทาวิจัยสร้างความรู้ การวิจัยเพื่อหาคาตอบเป็นส่วนหน่ึงของ
กระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ การวิจัยจะทาให้ค้นพบความรู้ใหม่ ทาให้เกิดความภูมิใจ สนุก และมี
ประโยชนม์ าก
ขั้นตอนท่ี 9 ทักษะการเชื่อมโยงบูรณาการ คือ การเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนรู้มา ให้เห็น
ภาพรวมท้งั หมด มองเหน็ ความงดงาม มองใหเ้ ห็นตัวเอง ไมค่ วรให้ความรูน้ ้นั แยกออกเปน็ ส่วน ๆ
ข้ันตอนท่ี 10 ทกั ษะการเขยี นเรียบเรยี ง คือ การเรียบเรียงความคิดให้ประณีตขึ้น โดยการ
ค้นคว้า หาหลักฐานอ้างอิงความรู้ให้ถ่ีถ้วน แม่นยาขึ้นการเรียบเรียงทางวิชาการจึงเป็นการพัฒนา
ปัญญาอย่างสาคญั และเปน็ ประโยชน์ในการเรยี นรขู้ องผูอ้ ื่นในวงกว้างออกไป
การพฒั นาทกั ษะการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง (กรมสามัญศึกษา, 2545, หน้า 12-20)
การศึกษาหาความรู้มขี ้ันตอน ดังนี้
1. การกาหนดประเด็นค้นควา้ ประกอบดว้ ย
1.1 การตัง้ ประเด็นคน้ ควา้
1.2 การกาหนดขอบเขตของประเด็นค้นควา้
1.3 การอธบิ ายประเดน็ ค้นคว้าซึ่งเปน็ การนาเสนอรายละเอียดเก่ยี วกบั ประเดน็ คน้ ควา้
1.4 การแสดงความคิดเหน็ ต่อประเด็นค้นคว้า
37
2. การคาดคะเน ประกอบด้วย
2.1 การตัง้ ประเด็นคาดคะเน
2.2 การอธบิ ายรายละเอียดเกี่ยวกบั ประเด็นคาดคะเนผล
2.3 การแสดงความคดิ เหน็ ต่อประเดน็ คาดคะเนผล
3. การกาหนดวิธคี ้นควา้ และการดาเนนิ การ ประกอบด้วย
3.1 จาแนกวธิ กี ารค้นควา้ คือ การระบุแนวทางตา่ ง ๆ
3.2 เลอื กวธิ ีการค้นควา้ พร้อมระบเุ หตผุ ล
3.3 วางแผนค้นคว้าตามแนวทางท่ีได้แสดงขั้นตอนการดาเนนิ การคน้ ควา้
3.4 การคาดคะเนส่งิ ทจ่ี ะเปน็ อุปสรรคในการค้นควา้
3.5 ดาเนนิ การค้นควา้
4. การวเิ คราะห์ผลการคน้ ควา้ ประกอบดว้ ย
4.1 การจาแนก จัดกลุ่ม และจดั ลาดบั ข้อมูล
4.2 การพจิ ารณาองค์ประกอบและความสมั พนั ธข์ องข้อมลู โดยจัดลาดบั ความสาคญั
5. การสรปุ ผลการคน้ ควา้ ประกอบดว้ ย
5.1 การสงั เคราะหข์ อ้ มลู คือ การเรยี บเรยี งข้อมลู ท่ีค้นพบจากการคน้ คว้าและสรปุ เป็น
ประเด็น
5.2 การอภปิ รายผลการคน้ คว้า คอื การแสดงความเห็นอยา่ งมีเหตุผล เก่ียวกับประเดน็
ที่พบจากการคน้ ควา้ พร้อมท้ังแสดงใหเ้ ห็นความสมั พันธข์ องข้อมูลท่ีค้นพบทส่ี ามารถเรียบเรยี งไปถงึ
ประเด็นคน้ ควา้ ใหม่
5.3 การสรปุ กระบวนการในการค้นคว้า คือ การระบุขั้นตอนหลักของกระบวนการ
คน้ ควา้
5.4 การประเมินกระบวนการท่ใี ชใ้ นการคน้ คว้า คือ การวิเคราะห์ จุดอ่อน จุด
แขง็ และแนวทางแกไ้ ขกระบวนการคน้ ควา้ ที่กาหนดในการประเมินทักษะการแสวงหาความรู้
@@@@@@@@@@@@@@@
38
ใบงานท่ี 13 แผนผังความคิด (Mind Mapping)
เร่อื ง วธิ ีการแสวงหาความรขู้ องมนษุ ย์
คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเขียนแผนผงั ความคิดวธิ ีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์
ช่ือ………………………...…………………………ช้นั ………….เลขท่ี…………..
39
ใบความรทู้ ่ี 7
เร่อื ง แหลง่ การเรียนรู้
ความหมาย
แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายที่
สามารถทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากการได้คิดเองปฏิบัติเอง และสร้างความรู้ด้วย
ตนเอง ตามอัธยาศยั และต่อเน่ือง จนเกดิ กระบวนการเรียนรู้ และสดุ ท้ายก็จะเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
ความสาคัญของแหล่งเรยี นรู้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้ให้ความสาคัญของแหล่งการเรียนรู้เป็น
อยา่ งยงิ่ จงึ ไดก้ าหนดให้รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ ไว้ในมาตรา 25
ดังนี้
“มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดต้ังแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่
ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยาน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการแหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้อ่ืนอย่าง
เพียงพอและมีประสิทธิภาพ”
ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ สามารถสรปุ เปน็ ขอ้ ๆ ไดด้ ังน้ี
1. เป็นแหล่งท่ีรวมขององค์ความรู้อันหลากหลายพร้อมท่ีจะให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาค้นคว้า
ด้วยกระบวนการจัดการเรยี นรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
2. เป็นแหล่งเชื่อมโยงใหส้ ถานศึกษาและชุมชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ทาให้คนในชุมชนมี
สว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษาแกบ่ ตุ รหลานของตน
3. เป็นแหล่งข้อมูลท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดการการเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนาน
และมีความสนใจท่ีจะเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการได้คิดเองปฏิบัติ
เอง และสร้างความรู้ด้วยตนเองและสร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรม
และทางานรว่ มกับผู้อน่ื ไดท้ าใหผ้ ู้เรียนได้รับการปลูกฝังให้รู้และรักท้องถ่ินของตน มองเห็นคุณค่าและ
ตระหนกั ถงึ ปัญหาในชุมชนของตน พร้อมท่ีจะเป็นสมาชกิ ทีด่ ขี องชมุ ชนท้ังในปจั จุบันและอนาคต
ประเภทของแหลง่ เรียนรู้
แหลง่ การเรียนรู้ แบง่ ตามประเภท สามารถแบ่ง ได้ 4 ประเภทคอื
1. แหล่งการเรียนรู้ประเภทบุคคล ได้แก่ บุคคลทั่วไปที่อยู่ในชุมชนซึ่งสามารถถ่านทอด
องค์ความรู้ให้กับผู้เรียนได้ เช่น ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ช่างฝีมือ พ่อค้า นักธุรกิจ พนักงานบริษัท
ขา้ ราชการ ภิกษสุ งฆ์ ศลิ ปิน นักกฬี า
2. แหล่งการเรียนรู้ประเภทสิ่งท่ีมนุษย์สร้างข้ึน เช่น สถานที่สาคัญทางด้าน
ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน สถานที่ราชการ สถาบันทางศาสนา พิพิธภัณฑ์ ตลอด ร้านค้า ห้างร้าน
บริษัท ธนาคาร โรงมโหรสพ โรงงานอุตสาหกรรม ห้องสมุด ถนน สะพาน เข่ือน ฝายทดน้า
สวนสาธารณะ สนามกีฬา สนามบนิ
40
3. แหล่งการเรียนรู้ประเภททรัพยากรธรรมชาติ เช่น ภูเขา ป่าไม้ พืช ดิน หิน แร่ ทะเล
เกาะ แมน่ า้ หว้ ย หนอง คลอง บึง นา้ ตก ทงุ่ นา สัตว์ป่า สตั ว์นา้
4. แหล่งการเรียนรู้ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ ได้แก่
ขนบธรรมเนยี มประเพณีพ้ืนบ้าน การละเล่นพ้ืนบ้าน กีฬาพื้นบ้าน วรรณกรรมท้องถิ่น ศิลปะพื้นบ้าน
ดนตรีพื้นบา้ น วถิ ชี วี ิตความเป็นอย่ปู ระจาวนั
แหล่งการเรยี นรู้ แบ่งตามสถานท่ีตั้ง ก็สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. แหลง่ การเรยี นรู้ในสถานศกึ ษา ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดโรงเรียน ห้องสมุดเคล่ือนที่ มุมหนังสือ
ในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเทอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์
วิทยบริการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์ส่ือการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ ฯลฯ
2. แหล่งการเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์
สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา ศูนย์เยาวชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์หัตถกรรม วัด มัสยิด ครอบครัว ชุมชน สถานประกอบการ องค์กรภาครัฐและ
เอกชน ฯลฯ
41
ใบงานท่ี 14
เรอ่ื ง การระบุแหล่งที่มาของความรู้
1. แหลง่ การเรยี นรู้ หมายถึง…………………………………………………………………….………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
2.พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ไวใ้ น
มาตรา 25ความว่า………………………………………………………………………………………………….....
………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………
3. บอกความสาคญั ของแหลง่ การเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. แหล่งการเรียนรู้ แบ่งตามประเภท ได้…………ประเภท คอื
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
5. แหลง่ การเรยี นรู้ แบ่งตามสถานทีต่ ้งั ได…้ …….ประเภท คอื
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
ชือ่ ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท่ี…………..
42
ใบความรู้ที่ 8
การอา้ งอิงทางบรรณานกุ รม
การอ้างอิงทางบรรณานุกรม หมายถึง รายการเอกสาร ส่ิงพิมพ์ หรือส่ืออ่ืนใด ที่ผู้ผลิต
ผลงานทางวิชาการใช้อ้างอิงในเอกสารผลงานของตน การแสดงรายการทางบรรณานุกรมไว้ท่ีผลงาน
ของท่านจึงนับเป็นการให้ความเคารพผลงานทางปัญญาที่ผู้อื่นได้แสดงไว้ อีกท้ังยังมีประโยชน์ในการ
แสดงท่ีมาที่ไปขององค์ความรู้ในเร่ืองน้ันๆ ทาให้ผู้สนใจสามารถติดตามพัฒนาการของเรื่องน้ันได้ ใน
โอกาสหน้า
การแสดงรายการทางบรรณานกุ รม
สามารถทาได้หลายรูปแบบ หลักสาคัญในการเลือกรูปแบบการลงรายการคือ การเลือกใช้
รูปแบบท่ีเป็นที่นิยมในแต่ละสาขาวิชา หรือสถาบัน การเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหน่ึงนั้น ผู้เลือกใช้
ต้องเลอื กใชเ้ พยี งแบบใดแบบหนงึ่ เท่าน้ัน ไม่ควรนารูปแบบใดรูปแบบหน่ึงมาผสม หรือประยกุ ต์ใช้ปนกัน
การอา้ งองิ แหล่งท่ีมาของเอกสาร
สิ่งสาคัญอย่างหน่ึงท่ีบ่งบอกถึงการเป็นผลงานทางวิชาการคือ งานเขียนนั้นจะต้องมีการ
อ้างอิง ดังน้ันผู้วิจัยจะต้องทาการบันทึกรายการเอกสารท่ีอ้างอิงไว้ ในการบันทึกทุกครั้ง ต้องบันทึก
ข้อมูลประเภทของเอกสาร เช่น บทความ หนังสือ เว็บไซต์ และบันทึกรายละเอียดของเอกสารน้ันๆ
เชน่ หากเอกสารทท่ี า่ นนามาอ้างอิง เป็นต้น
สาหรับหนังสือ ข้อมูลท่ีต้องบันทึก ได้แก่ ช่ือผู้แต่ง ชื่อเร่ือง สถานที่พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีท่ี
พมิ พ์ และหมายเลขหน้า เป็นต้น
สาหรับบทความ ข้อมูลท่ีต้องบันทึกไว้เช่นเดียวกับหนังสือ แต่จะมีข้อมูลเก่ียวกับหมายเลข
ฉบับ และหมายเลขปีของวารสารนนั้ ๆรปู แบบของรายการอ้างอิงและบรรณานุกรมจะมีความแตกต่าง
กันในแต่ละสาขาวชิ า เรยี กว่าเปน็ รปู แบบการอ้างองิ (citation style)
รปู แบบการลงรายการที่สาคัญๆ
ในทีน่ ้ีขอยกตัวอย่างการลงรายการทางบรรณานกุ รมรปู แบบทนี่ ิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ APA
(American Psychological Association) เป็นรูปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรมท่ีเป็นที่
นิยมใช้ในสาขาวิชา จิตวิทยา การศึกษา และสาขาสังคมศาสตร์อื่นๆ การอ้างอิงมีข้อกาหนดตาม
แหล่งทมี่ าของเอกสารท่นี ามาใชอ้ ้างองิ ดังน้ี
การอ้างอิงจากบทความในวารสาร
ผู้แตง่ . (ปีที่พมิ พ์). ช่อื บทความ. ชือ่ วารสาร, ปที (ี่ ฉบบั ที่), เลขหน้า.
ตัวอย่าง
ชัยเสฏฐ์ พรหมศร.ี (2549). การเปน็ ผู้นาท่ีมีจริยธรรม, นักบรหิ าร, 26(3), 20-25.
Dubeck, L. (1990). Science fiction aids science teaching. Physics
Teacher, 28, 316-318.
(รายการตวั อยา่ งน้ี ไม่มีข้อมูลฉบบั ท่ี ใหล้ งรายการตามท่ปี รากฏ)
43
การอา้ งอิงจากบทความในฐานขอ้ มูล
ผแู้ ต่ง. (ป,ี เดือน). ชอ่ื บทความ. ชอื่ วารสาร, ปีท(่ี ฉบับที่), เลขหนา้ . สบื ค้นเม่ือ
เดือน วนั ,ป,ี จากฐานข้อมลู ชือ่ ฐานขอ้ มลู .
ตัวอยา่ ง
Mershon, D. H. (1998, November/December). Star trek on the brain:
Alien minds, human minds. American Scientist, 86(6), 585.
Retrieved July 29, 1999, from Expanded Academic ASAP database.
การอา้ งอิงจากบทความในหนังสือพมิ พ์
ผแู้ ตง่ . (ป,ี เดอื น วัน). ชือ่ บทความ. ชอื่ หนงั สอื พิมพ์. หนา้ .
ตัวอยา่ ง
สชุ าติ เผอื กสกนธ์. (9 มถิ นุ ายน 2549). ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. ผูจ้ ดั การรายวนั , น.13.
Di Rado, A. (1995, March 15). Trekking through college: Classes explore
modern society using the world of Star trek. LosAngeles
Times, p. A3.
การอ้างองิ จากหนังสือ
ผู้แตง่ . (ปี). ช่ือเร่อื ง. สถานทีพ่ มิ พ์: สานกั พิมพ.์
ตัวอยา่ ง
Okuda, M., & Okuda, D. (1993). Star trek chronology: The history
of the future. New York: Pocket Books.
การอ้างองิ จากบท/ตอนในหนงั สอื
ผแู้ ตง่ . (ปีท)่ี . ช่อื บท/ตอน. ใน ชอ่ื บรรณาธกิ าร (บรรณาธกิ าร), ชื่อ
หนังสอื (หน้า). สถานทพ่ี ิมพ์: สานักพมิ พ์.
ตัวอยา่ ง
James, N. E. (1988). Two sides of paradise: The Eden myth according
to Kirk and Spock. In D. Palumbo (Ed.), Spectrum of the
fantastic (pp. 219-223). Westport, CT: Greenwood.
การอา้ งอิงจากบทความในหนงั สือประเภทสารานุกรม
ผ้แู ต่ง. (ปที ีพ่ ิมพ์). ชือ่ บทความ. ใน ชื่อสารานกุ รม (ฉบบั ท,ี่ หน้า). สถานที่
พิมพ์: สานักพิมพ์.
ตวั อย่าง
Sturgeon, T. (1995). Science fiction. In The encyclopedia
Americana (Vol. 24, pp. 390-392). Danbury, CT: Grolier.
การอา้ งอิงจากเว็บไซต์
ผู้แตง่ . (ป)ี . ชื่อเรื่อง. สืบค้นเมอ่ื วนั เดือน, ปี, จาก ชอ่ื เว็บไซต์: URL
ตัวอยา่ ง
Lynch, T. (1996). DS9 trials and tribble-ations review. Retrieved
October 8, 1997, from Psi Phi: Bradley's Science Fiction ClubnWeb site:
http://www.bradley.edu/campusorg/psiphi/DS9/ep/503r.html
44
ใบความรูท้ ี่ 9
เทคนิคในการคิดหาวิธีแกไ้ ขปญั หา
การคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาน้ัน จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มท่ี เพื่อหาวิธีท่ีมีความ
แตกต่างและหลากหลาย โดยควรจะวิเคราะห์หาสาเหตุท่ีแท้จริง เสียก่อน แล้วพยายามใช้ความคิด
สรา้ งสรรค์เฟ้นหาวธิ แี กไ้ ขไว้มากๆ อยา่ งน้อย 20 วธิ ี ซ่ึงมหี ลกั ง่ายๆที่ชว่ ยให้เราคดิ ไดม้ ากขน้ึ ดงั น้คี อื
พยายามคิดนอกกรอบประสบการณ์และความชานาญท่เี รามีอยู่
ให้ความสาคัญกับทุกความคดิ หรือทุกๆ วิธีแกเ้ ท่าๆกัน
หลีกเล่ียงการวพิ ากษ์วจิ ารณ์หรอื ตดั สนิ ความคดิ ใหมๆ่ ทีเ่ พิ่งคดิ ออก แต่ควรใช้ความคิดนั้นเป็น
ตัวกระต้นุ ใหเ้ กิด ความคิดสร้างสรรค์ เพอื่ หาวิธีแก้ทีส่ บื เน่ืองต่อมาจากความคิดน้ัน
แม้วา่ จะคดิ หาทางแก้ได้ดที ี่สดุ แลว้ ก็ไมค่ วรหยดุ ความพยายามท่ีจะคิดหาวิธตี อ่ ไป
พยายามทาความเข้าใจเก่ยี วกับวิธีแก้ทุกวิธีให้ชัดเจนเพราะจะช่วยทาให้เราเกิดความคิดใหม่ๆ
ข้นึ มาได้
Mind Mapping แผนภมู คิ วามคิดเพื่อแกไ้ ขปัญหา
การทาแผนภูมิความคิดหรือ Mind Mapping ถือเป็นการกระตุ้นสมอง ให้เกิดความคิดท่ี
เป็น อิสระจากปัญหาที่เป็นศูนย์กลาง ออกไปสู่วิธีแก้ปัญหาต่างๆ ที่แปลกและแตกต่างจากเดิม ซึ่ง
สามารถทาได้โดยเร่ิมจากการเขียนสาเหตุของปัญหาไว้กลางหน้ากระดาษ แล้วลากเส้นโยงออกมา
รอบๆ ถ้าคิดวิธีแก้ไขได้ ก็ให้เขียนวิธีน้ัน ไว้เหนือเส้นท่ีเพิ่งลากออกมา ถ้าความคิดไหนสัมพันธ์หรือ
สนับสนุนวิธีแก้ไขท่ีมีอยู่แล้ว ก็ให้เติมความคิดใหม่นั้น ต่ออกมาจากวิธีแก้เดิม ด้วยการลากเส้นแขนง
ออกจากเส้นหลัก แล้วเขียนความคิดใหม่กากับลงไป เมื่อเราได้ความคิดใหม่ๆท่ีหลากหลายแล้ว ก็
สามารถนาความคิดเหล่าน้นั ไปใช้ในขั้นตอนของ การวางแผนแก้ไขปัญหาไดค้ รับ
Brainstorming ระดมสมองเพ่ือแกไ้ ขปัญหา
การระดมสมอง หรือ Brainstroming คือการะดมความคิดจากหลายๆคน เพ่ือคิดหาสาเหตุ
และวิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เหมาะสม และได้ผลดี ซึ่งจาเป็นต้องมีการวางกฎพ้ืนฐานในการระดม
สมองไว้ เพื่อเป็นกรอบหรือแนวทางพื้นฐาน เช่น ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินว่าความคิดใดดี
หรือไม่ดี ถ้าใครคิดวิธีการอะไรได้ต้องกล้าพูดอกมา และอย่าอายท่ีจะนาความคิดของคนอ่ืน มา
ผสมผสานกบั ความคดิ ของตน เพ่ือสร้างเป็นความคิดใหม่… นอกจากนี้ยังต้องมีการวางขั้นตอนในการ
ระดมสมองให้เป็นลาดับ เช่น กาหนดเวลาในการระดมสมอง กาหนดให้มีคนจดวิธีแก้ปัญหา เขียน
สาเหตุของปัญหาที่ต้องการจะแก้ให้เห็นชัดเจน และให้สมาชิกทุกคนแสดงความคิดเห็นเรียงกันไปที
ละคน ท่ีสาคัญต้องจดทุกความคิด ไม่ว่าจะแปลกประหลาดขนาดไหนก็ตาม เพ่ือนาไปประเมินและ
คัดเลอื กในภายหลงั ครบั ..
Modified Delphi...เทคนคิ เพ่ือแก้ไขปัญหา
เทคนิคโมดิฟายด์ เดลฟี เหมาะกับทีมงานท่ีมีสมาชิกไม่ค่อยชอบพูด หรือบางคนพูดมากจน
ไม่เปิดโอกาสให้คนอ่ืนพูด เทคนิคน้ีมีกระบวนการง่ายๆ ดังน้ีครับเร่ิมจากให้หัวหน้าทีมหรือผู้
ประสานงานแจ้งหรือทบทวนสาเหตุ ผลการวิเคราะห์ และข้อมูลต่างๆ เก่ียวกับปัญหาที่เกิดข้ึนให้ทุก
คนทราบ จากน้ันก็แจกกระดาษเปล่า เพื่อให้สมาชิกทุกคนเขียนวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดย
เขียนใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ เมือ่ เขียนเสร็จแล้วก็เก็บกระดาษทั้งหมด มาจดลงบนกระดาน แล้วให้หัวหน้าทีม
อ่านให้ทุกคนฟังชัดๆ จากน้ันก็แจกกระดาษเปล่าอีกครั้ง ให้ทุกคนลาดับความสาคัญของวิธีแก้ไข ซึ่ง
45
อาจจะให้จัดมา 5 อันดับจาก วิธีแก้ไขท่ีอยู่บน กระดานทั้งหมด 20 วิธี จากข้อมูลน้ีเราก็นามาจัด
อันดบั ความสาคญั ของวิธีแกป้ ญั หาใหมอ่ ีกครั้ง และสุดท้ายก็คือ พิจารณาว่าควรมีการแก้ไขอันดับที่ได้
หรือไม่ แลว้ ร่วมกนั ลงมติเลือกกล่มุ วิธีแกท้ ด่ี ที ส่ี ดุ …น่ีล่ะครับ คืออีกหน่ึงวิธีคิดแก้ไขปัญหาด้วยเทคนิค
โมดฟิ ายด์ เดลฟ.ี ..
ทาอย่างไร..ไม่ให้เส้นตายกลายเป็นปัญหา บ่อยครั้งท่ีเส้นตาย หรือ Deadline ท่ีเป็น
ตวั กาหนดเวลาแล้วเสร็จของงาน แต่ละชิ้นกลายเป็นจุดวิกฤติ และกลับมาเพ่ิมปัญหาให้กับตัวเราเอง
ฉะนัน้ ตอ้ งหาทางแกไ้ ขดว้ ยวิธตี ่างๆ ดังน้ี
ประเมินเวลาในการทางาน เพื่อกาหนดเวลาแล้วเสร็จให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากท่ีสุด
แล้วลองบวกเผ่ือไว้อีก 5-10 % เส้นตายใหญ่ๆ ของท้ังโครงการถือเป็นเร่ืองวิกฤติที่อาจทาให้เรา
เครียดไปตลอด ฉะนั้นควรหลีกเล่ียงจากความเครียดด้วย การแบ่งออกเป็นเส้นตายย่อยๆของ แต่ละ
งาน หรือแต่ละกจิ กรรม เร่ืองใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปทันที อย่าเล่ือนกาหนดเส้นตายที่ได้ตกลง
กันไว้ออกไป เพราะถ้าลองได้เล่ือนแล้วจะติดเป็นนิสัย ต่อไปจะไม่มีใครเช่ือถือ และยังทาให้สูญเสีย
ศรทั ธาจากผ้คู นรอบขา้ งอีกดว้ ยครบั ...
46
ใบงานท่ี 15
เรื่อง การเสนอแนวคิด เทคนิควิธกี ารแกป้ ญั หา
คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเขยี นเสนอแนวคิด เทคนคิ วธิ ีการแก้ปัญหาในการศึกษาค้นควา้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชือ่ ………………………...…………………………ชัน้ ………….เลขท่ี…………..
47
ใบความร้ทู ่ี 10
เรอื่ ง ข้อมลู การตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถือของข้อมูล
ขอ้ มูล หมายถึง ขอ้ เทจ็ จริงท่ีมกี ารรวบรวมไว้ละมคี วามหมายเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ สิ่งของ
หรือเหตุการณ์ท่ีสนใจ อาจได้จาก การสังเกต สอบถาม การวัด การนับ ข้อมูลเป็นได้ทั้งตัวเลข และ
ไมใ่ ช่ตัวเลข เชน่ สญั ลกั ษณ์ เสียง ภาพนง่ิ ภาพเคลอื่ นไหว
ประเภทของขอ้ มลู
ประเภทของขอ้ มูลจาแนกไดห้ ลายแบบขน้ึ กับเกณฑ์ท่ีใช้ในการแบ่งถ้าใช้เกณฑ์ต่างกันจะแบ่ง
ประเภทของขอ้ มูลไดต้ ่างกันไปด้วย
2.1 แบ่งตามคุณสมบัติของค่าท่ีวัดได้ ข้อมูลแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ข้อมูลเชิงคุณภาพ
และขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ ดงั นี้
2.1.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่วัดค่าออกมาในรูปของประเภท หรือชนิด เช่น เพศ
ของนักเรยี น อาชีพของผปู้ กครอง ขนาดของโรงเรียน ระดับการศึกษาท่ีเปดิ สอน
2.1.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นข้อมูลท่ีวัดค่าออกมาในรูปของจานวน หรือขนาด โดย
สามารถบอกปรมิ าณความมากน้อยได้ เช่น คะแนนสอบระหว่างภาค และปลายภาค คะแนนสอบ O-
net, A-net คะแนน NT รายได้ของผ้ปู กครอง เงินเดอื นครู นอกจากนข้ี อ้ มูลเชิงปรมิ าณยังแบ่งออกได้
เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณแบบตอ่ เนอื่ งและข้อมลู เชงิ ปรมิ าณแบบต่อไมเ่ นือ่ ง
(1) ข้อมูลเชิงปริมาณแบบต่อเนื่อง (continuous data) หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าเป็น
จานวนจริงซง่ึ สามารถบอกหรือระบุไดท้ ุกคา่ ในช่วงที่กาหนดบนเส้นจานวน เชน่ จานวน 0 – 1 ซ่ึงมีค่า
มากมายนับไม่ถว้ น
(2) ข้อมลู เชิงปริมาณแบบไม่ต่อเน่ือง (discrete data) หมายถึงข้อมูลท่ีเป็นจานวนเต็ม
หรอื จานวนนับเชน่ 0, 1, 2, 3, 4, ... , 100 ฯลฯ
2.2 แบง่ ตามแหล่งท่ีมาของข้อมูล แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ข้อมูลปฐมภูมิ และข้อมูลทุติย
ภมู ิ ดงั น้ี
2.2.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) หมายถึง ข้อมูลท่ีผู้ใช้เป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลขึ้น
เองเช่น การเก็บขอ้ มูลจากแบบสอบถาม การทดลองในห้องทดลอง การทดสอบนกั เรียน 7 คน
2.2.2. ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) หมายถึงข้อมูลที่ผู้ใช้นามาจากหน่วยงานอ่ืน
หรือผู้ใช้ผู้น้ันท่ีได้ทาการเก็บรวบรวมแล้วในอดีตเช่น รายงานประจาปีของโรงเรียน ข้อมูลท้องถ่ินซ่ึง
ชมุ ชนเก็บรวบรวมไว้
2.3 แบ่งตามมาตราการวัด แบ่งข้อมูลได้เป็น 4 ประเภท คือ ข้อมูลที่วัดในมาตรานาม
บัญญัติ ข้อมูลที่วัดในมาตราเรียงอันดับ ข้อมูลที่วัดในมาตราอันตรภาค และข้อมูลที่วัดในมาตรา
อตั ราส่วน ดงั น้ี
2.3.1 ข้อมูลที่ไดัในมาตรานามบัญญัติ (nominal scale) หรือมาตราจัดประเภท
(categorical scale) เป็นข้อมูลที่วัดออกมาเป็นกลุ่มเป็นพวก ข้อมูลท่ีมีคุณสมบัติเหมือนกันจะจัดอยู่
กลมุ่ เดียวกนั ขอ้ มูลทอ่ี ยู่ต่างกลุ่มกันจะมคี ณุ สมบตั ิตา่ งกนั การจาแนกกลมุ่ นี้ไม่มีความหมายเชิงปริมาณ
เชน่ เพศของนกั เรยี น จาแนก
48
เป็น นกั เรียนชาย นักเรียนหญิง อาชีพของผู้ปกครองจาแนกเป็น เกษตรกร รับจ้าง รับราชการ ข้อมูล
เชิงคุณภาพจะมีการวัดในมาตรานี้ ตัวแปรในการวิจัยที่วัดในมาตราน้ีเรียกว่า ตัวแปรเชิงคุณภาพ
(non - metric variables)
2.3.2 ข้อมูลท่ีวัดในมาตราเรียงอันดับ (ordinal scale) ข้อมูลท่ีวัดในมาตรานี้ครอบคลุม
ข้อมูลท่ีวัดในมาตรานามบัญญัติ และสามารถจัดเรียงอันดับระหว่างกลุ่ม ใหัอันดับลดหลั่นเป็นขั้นๆ
โดยบอกทิศทางความแตกต่างได้ว่ามากหรือน้อยกว่ากัน เช่น ระดับการศึกษา จาแนกเป็น
ประถมศกึ ษา มัธยมศกึ ษา อนุปริญญา ปริญญาตรี สูงกว่า ปริญญาตรี ขนาดของโรงเรียน จาแนกเป็น
เล็ก กลาง ใหญ่ และใหญ่พิเศษ ข้อมูลเชิงคุณภาพจะมีการวัดในมาตรานี้ ตัวแปรในการวิจัยท่ีวัดใน
มาตรานเ้ี รียกว่า ตัวแปรเชงิ คุณภาพ (non - metric variables)
2.3.3 ข้อมูลท่ีวัดไดัในมาตราอันตรภาค หรือ มาตราช่วง (interval scale) ข้อมูลท่ีวัดใน
มาตราน้ีครอบคลุมข้อมูลที่วัดในมาตราเรียงอันดับ และมีคุณสมบัติเพิ่มอีกประการหน่ึงคือ ความห่าง
ของแต่ละหน่วยที่วัดมีค่าเท่ากัน จึงสามารถบอกความแตกต่างระหว่างหน่วยท่ีอยู่เหนือกว่า หรือต่า
กวา่ ได แ้ ต่ข้อมลู ทวี่ ดั ในมาตราน้ีไม่มีศูนย์แท้ เช่น คะแนนสอบ อุณหภูมิ ข้อมูลเชิงปริมาณจะมีการวัด
ในมาตราน้ี ตัวแปรในการวิจยั ทีว่ ดั ในมาตราน้ีเรียกว่า ตวั แปรเชิงปริมาณ (metric variables)
2.3.4 ข้อมูลท่ีวัดได้ในมาตราอัตราส่วน (ratio scale) ข้อมูลที่วัดในมาตรานี้ครอบคลุม
ขอ้ มูลทว่ี ัดในมาตราอนั ตรภาค และมคี ณุ สมบตั เิ พ่ิมอกี ประการหน่ึงคอื ขอ้ มูลท่ีวัดในมาตราน้ีมีศูนย์แท้
เช่น รายได้ของผู้ปกครอง น้าหนักและส่วนสูงของนักเรียน ตัวแปรในการวิจัยท่ีวัดในมาตรานี้เรียกว่า
ตัวแปรเชิงปริมาณ (metric variables) ค่าของตัวแปรท่ีวัดได้ในมาตราอันตรภาคและมาตรา
อัตราส่วน หรือตัวแปรเชิงปริมาณ (metric variables) สามารถนามาคานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น
นามาบวก ลบ คูณ หรือหารกันได ก้ ารตรวจสอบคุณภาพข้อมูลข้อมูลสถิติควรจะมีความสมบูรณ์
ครบถ้วน (Completeness) และความถกู ตอ้ ง(accuracy) มากพอสมควร เพื่อผู้ใช้ข้อมูลจะได้นาไปใช้
ในการวิเคราะห์วิจัยให้ได้ผลใกล้เคียงความจริงมากท่ีสุด การที่จะได้มาซ่ึงข้อมูลที่มีความสมบูรณ์
ถูกตอ้ งก็คอื ตอ้ งขจัดความคลาดเคลือ่ น ให้เหลอื นอ้ ยท่ีสดุ
วธิ ีการตรวจสอบคุณภาพของขอ้ มูล คอื
• ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ วา่ ได้มกี ารบันทึก
ครบถ้วนทุกรายการที่กาหนดหรอื ไม่
• ตรวจสอบความถกู ต้องและความแนบนยั ของข้อมูล เปน็ การตรวจสอบข้อมลู ว่า มกี ารบนั ทึก
มาถกู ต้องแนบนยั หรอื ไม่ ดังนี้
• การตรวจสอบความแนบนัยภายใน (Internal consistency) คือ การตรวจว่าข้อมลู ทม่ี ี
ความสมั พนั ธก์ ัน มคี วามสอดคลอ้ งกนั หรือไม่
• การตรวจสอบความแนบนัยภายนอก (External consistency) เปน็ การตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมลู โดยอาศัยความร้คู วามชานาญหรอื สถานการณ์ภายนอกมาชว่ ยในการพจิ ารณา
การตรวจสอบขอ้ มลู สถติ ิควรจัดทาในขั้นตอนของการดาเนนิ งานทางสถติ ิ ดงั น้ี
ขั้นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ( งานสนาม ) การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ เป็นขน้ั ตอนหน่ึงที่สาคัญมาก
เนอ่ื งจากข้อมลู สถติ ิจะมีคุณภาพดหี รอื ไมแ่ ละมีความเชอื่ ถอื ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร ขึน้ อยู่กบั คณุ ภาพ
ของขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการปฏิบัติงานเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดงั นนั้ การตรวจสอบ ข้อมลู ในขน้ั นีจ้ ะต้อง
ตรวจสอบอยา่ งละเอียดรอบคอบ เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีถูกต้องมากท่ีสดุ สาหรบั นาไปใช้ในขัน้ ตอนตอ่ ไป
โดยต้องทาการตรวจสอบ
49
- ความครบถ้วนของข้อมลู เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ในแบบขอ้ ถามวา่ ได้มีการบนั ทกึ ครบถว้ น
ทุกรายการท่ีกาหนดหรือไม่ ในการบันทกึ หรือกรอกแบบข้อถามน้นั ถา้ มรี ายการหรอื ข้อถามใดที่
คาตอบวา่ งไวเ้ ฉยๆ กจ็ ะถือได้ว่า แบบขอ้ ถามน้นั ขาดความครบถ้วนของข้อมูลไป นอกจากอาจมีบาง
รายการทไี่ มต่ ้องทาการบนั ทึกข้อมลู เพราะเงอ่ื นไขบางประการ ตวั อย่าง เช่น สารวจประชากรใน
ชนบท
1. ช่ือ และ นามสกุล ………………… 2. เพศ ชาย หญิง
3. อายุ ………… ปี 4. การศึกษา …………………………………
5. อาชีพหลัก …………………………….…………..( ถ้าตอบว่ามีอาชพี ทาการเกษตร ใหถ้ ามขอ้ 6)
6. เน้ือท่ีถือครอบทาการเกษตร …………… ไร่
7. รายไดจ้ ากการประกอบอาชพี หลักในรอบปีทแ่ี ลว้ …………………….. บาท
จากตัวอย่างแบบข้อถามขา้ งต้นจะตอ้ งตรวจสอบว่า มีการบันทกึ ครบตามรายการหรอื ไม่ ในกรณี
ตวั อย่างนี้ถา้ ผู้ที่ถกู สารวจมีอาชีพรับราชการ ก็ไมต่ อ้ งบันทึก ข้อ 6 ข้ามไปบนั ทึก ข้อ 7 แต่ถา้ ผู้ตอบมี
อาชพี ทา การเกษตรก็ต้องบันทึกข้อมูลเนื้อท่ถี ือครองทาการเกษตร ( ข้อ 6) ด้วย ฉะนัน้ ในการ
ตรวจสอบความครบถ้วนผูต้ รวจสอบจะตอ้ งดทู ุกรายการว่าได้มีการบันทึกหรือไมบ่ ันทึกอยา่ งไร
- ความถูกต้องและความแนบนัยของข้อมลู เปน็ การตรวจสอบข้อมลู ทบ่ี นั ทึกอยู่ในแบบ ข้อถามว่ามี
ความถูกต้องหรือไม่ แบบข้อถามบางแบบอาจจะบนั ทึกมาครบถว้ นทกุ รายการท่กี าหนด แต่ขอ้ มูล ที่
บนั ทึกอาจไม่ถกู ต้อง เชน่ จากแบบสารวจขา้ งต้น ถ้าการบันทกึ แบบเปน็ ดังน้ี
สารวจประชากรในชนบท
1. ชอ่ื และ นามสกุล … นายดี มากหลาย … 2. เพศ ชาย หญิง
3. อายุ ……14…… ปี 4. การศกึ ษา … จบปรญิ ญาตรี ………………………………
5. อาชีพหลกั …… ทานา ……………………….…………..( ถา้ ตอบวา่ มอี าชีพทาการเกษตร ให้ถามข้อ
6)
6. เน้อื ทีถ่ ือครอบทาการเกษตร ……10……… ไร่ ได้ผลผลติ 20 เกวยี น
7. รายไดจ้ ากการประกอบอาชพี หลกั ในรอบปีท่ีแลว้ ………5,000…….. บาท
เมื่อตรวจสอบแบบข้างต้นอย่างละเอยี ดแลว้ จะพบความผิดในการบนั ทึกข้อมูลดังน้ี
1) ขอ้ 2 การบนั ทึกเคร่ืองหมาย 3 ทัง้ สองแห่ง ที่ถูกควรกา 3 ที่เพศชาย ไมใ่ ชก่ า 3 ทั้งสองเพศ
2) อายุ 14 ปี มกี ารศึกษาจบปรญิ ญาตรี ซึ่งจะเหน็ วา่ คนอายุ 14 ปี ยงั ไม่นา่ ทจ่ี ะจบปริญญาตรี ฉะนนั้
จะเห็นว่าการบันทึกข้อมลู ในขอ้ 3 และข้อ 4 น้ีไม่แนบนยั กัน
3) การบันทึกในข้อ 6 มที ่ีนา 10 ไร่ ไดผ้ ลผลติ ข้าว 20 เกวยี น ( เท่ากบั 2,000 ถัง ) เฉล่ีย ผลผลติ ต่อ
ไร่ = เทา่ กับ 200 ถงั ต่อไร่ ซ่ึงสูงผดิ ปกติ เพราะตามความเปน็ จรงิ นัน้ ผลผลติ ขา้ วเฉล่ีย 1 ไร่ จะ
ไมส่ งู ถงึ 200 ถงั ฉะนนั้ การบันทึกข้อมูลอาจจะผดิ ท่จี านวนทน่ี าหรอื จานวนผลผลิต ก็ได้
50
ใบงานท่ี 16
เรือ่ ง แบบบนั ทึกผลการตรวจสอบข้อมูล
ชื่อ-สกลุ ................................................................................. ช้ัน ม…….../....... เลขที่.............
ชอื่ ประเด็นปัญหา
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................... ......................
สิ่งท่ีไดจ้ ากการค้นควา้
วันเดอื นปี สิ่งที่ได้ แหล่งที่มา
51
5. ตรวจสอบความน่าเชือ่ ถอื ของแหลง่ ท่ีมาของข้อมูลได้
วิเคราะห์แหล่งท่ีมาท่ี 1
[ ] น่าเชอ่ื ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
[ ] ไมน่ า่ เช่ือถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
วเิ คราะห์แหลง่ ทม่ี าที่ 2
[ ] นา่ เชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
[ ] ไมน่ ่าเชอ่ื ถือ เพราะ
.............................................................................................................................................................
วเิ คราะหแ์ หล่งทม่ี าที่ 3
[ ] นา่ เชอ่ื ถือ เพราะ
................................................................................................................. .............................................
[ ] ไม่น่าเชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
วเิ คราะหแ์ หลง่ ท่มี าที่ 4
[ ] น่าเชอ่ื ถือ เพราะ
............................................................................................................................. ...................................
[ ] ไม่นา่ เชื่อถือ เพราะ
............................................. ............................................................................................... ....................
วิเคราะห์แหล่งท่ีมาที่ 4
[ ] นา่ เชอ่ื ถือ เพราะ
........................................................................................... ................................................... ..................
[ ] ไมน่ า่ เชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. ...................................
6. วเิ คราะห์ข้อคน้ พบด้วยสถิติทเ่ี หมาะสม
สถติ ทิ ี่ใช้
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......
(ลงชือ่ ) ผ้ตู รวจสอบ
()
52
ใบความรทู้ ี่ 11
เรอื่ ง การจดั กระทาข้อมูล
ในการศึกษาจะมีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทีเ่ ปน็ ตวั เลขได้จานวนมาก การที่เราจะเสนอตอ่ ผู้อ่นื
วา่ ผลการศึกษาของเราเปน็ อย่างไร เราต้องนาขอ้ มลู (ทเ่ี รยี กวา่ “ขอ้ มูลดิบ” มาทาอยา่ งหนึง่
อยา่ งใด เพื่อให้ได้ข้อสรปุ จากข้อมูลนั้นๆ และนาเสนอให้ผอู้ ่นื เข้าใจไดใ้ นรูปแบบตา่ งๆ การทา
เชน่ นี้ เรารยี กว่า “การจดั กระทา และ การสื่อความหมายข้อมูล”
การจดั กระทา คอื การนาขอ้ มูลดบิ มาจัดลาดบั จดั จาพวก หาความถี่ หาความสมั พันธ์
หรือ คานวณใหม่
การส่ือความหมายขอ้ มูล เป็นการใช้วิธตี ่างๆ เพ่ือแสดงข้อมูลใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจ เช่น การ
บรรยาย ใชแ้ ผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ ตาราง สมการ ไดอะแกรม เปน็ ตน้
ทักษะการจัดกระทาและการส่อื ความหมายของข้อมูล
เป็นความชานาญในการนาเสนอข้อมลู ในรปู แบบต่าง ๆ เพ่อื ใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจสิ่งทีต่ ้องการส่อื ได้
ชดั เจน ถกู ตอ้ งรวดเรว็ และง่ายตอ่ การแปลความหมาย
วธิ ีในการนาเสนอขอ้ มูล มีหลายวธิ ี เชน่ การใชภ้ าษาพดู ภาษาเขียน แผนภาพ แผนภมู ิ แผนท่ี
แผนผัง ตาราง กราฟ วงจรหรอื สมการ
เป็นความชานาญในการหาความสมั พนั ธ์เชงิ ปรมิ าณ โดยมีวธิ กี ารนบั การคิดคานวณโดยใช้วิธี
บวก ลบ คณู หาร การใชต้ ัวเลขคดิ สตู รทางวิทยาศาสตร์
ขน้ั ตอนการจดั กระทาและการสอ่ื ความหมายของหมายข้อมลู
1. เลือกรูปแบบในการจัดทานาเสนอใหเ้ หมาะสมกับข้อมลู
2. จัดกระทาข้อมูลตามรูปแบบทีไ่ ด้เลอื กไว้ โดยอาจทาได้ดังน้ี
2.1 จดั เรียงลาดับใหม่
2.2 หาความถ่ีเม่ือมีข้อมลู ซา้
2.3 แยกหมวดหมูห่ รือประเภท
2.4 คานวณหาค่าใหม่
2.5 บรรยายลกั ษณะส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ หรอื สถานทด่ี ว้ ยข้อความกะทดั รดั เหมาะสมจนส่ือความหมาย
ให้ผู้อน่ื เข้าใจได้
@@@@@@@@@@@@@@
53
ใบงานท่ี 17
เรื่อง แบบฝึกกิจกรรมการจดั กระทาและส่อื ความหมายของข้อมูล
คาช้ีแจง จากสถานการณ์ทีก่ าหนดให้ ให้สมาชกิ กลุ่มคิดวิธีการจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมลู
เสียใหมด่ ้วยวธิ ีการทีเ่ หมาะสมเพื่อใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจดีข้ึน (เขียนแยกแตล่ ะข้อในกระดาษ A4)
1. จงอ่านข้อความต่อไปน้ี
“แมลง ก เมอื่ เจรญิ เตบิ โตแล้วจะออกไขภ่ ายในเวลา 3 วัน เมอื่ ก เติบโตจากดักแดซ้ ึ่งใชเ้ วลา 4
วนั ตวั หนอนไดอ้ อกจากไขเ่ พียง 7 วันเท่านน้ั ตวั หนอนของดกั แด้จะกลายเป็นดักแดใ้ นเวลา 4 วัน”
2. ตาแช่มมีสวนขนัดหนึ่ง ซึ่งปลกู ต้นไม้ไวห้ ลายชนิด เชน่ ทุเรียน 150 ต้น มังคดุ 200 ตน้ ส้ม 100
ต้น ชมพู่ 350 ตน้ เงาะ 400 ตน้ และล้ินจ่ี 500 ต้น
3. น้าหนักของนักเรียน 40 คน ในหอ้ ง ป.6/3 เป็นกโิ ลกรัม ดังน้ี
40 35 38 52 54 65 60 72 55 37 39 49
48 41 38 54 38 40 49 36 47 42 45 69
42 50 35 47 43 41 50 70 43 35 41 36
53 37 66 52
4. คุณแม่ของสมพร บนั ทกึ อายุและส่วนสงู ของสมพรไวด้ ังนี้
อายุ 4 ปี สูง 102 ซม. อายุ 5 ปี สงู 105 ซม. อายุ 6 ปี สูง 111 ซม.
อายุ 7 ปี สงู 117 ซม. อายุ 8 ปี สงู 119 ซม. อายุ 9 ปี สงู 123 ซม.
อายุ 10 ปี สูง 130 ซม.
@@@@@@@@@@@@@@
54
ใบความรู้ท่ี 12
เรอื่ ง การนาเสนอขอ้ มลู (Presentation of Data)
ในการรวบรวมข้อมลู สถิตินัน้ เราเก็บข้อมลู ได้แล้วกน็ าไปสู่การนาข้อมูลที่เรารวบรวมได้
นาเสนอหรอื แสดงให้ผูอ้ ืน่ ทราบและเขา้ ใจ ซึง่ เราอาจนะเสนอข้อมลู ได้ในหลายลกั ษณะด้วยกนั ซง่ึ
ขน้ึ อย่กู ับลกั ษณะของข้อมลู น้ัน ข้อมูลบางอยา่ งอาจจะไม่จาเป็นตอ้ งนาไปวเิ คราะห์ทางสถิติ อาจจะ
นาเสนอข้อมูลอย่างง่ายๆซึ่งจะทาให้นา่ สนใจมากขนึ้
1. การนาเสนอขอ้ มลู โดยบทความ ( Text Presentation )
การนาเสนอข้อมูลโดยบทความ จะมีลกั ษณะการเสนอเปน็ บทความส้ันๆ และมขี ้อมูล
ตวั เลขอยูด่ ้วย ซงึ่ ทาให้อา่ นเข้าใจง่าย อาจเป็นการนาเสนอบทความทางวิทยุ โทรทศั น์ หรืออาจจะ
เป็นบทความในหนังสอื พิมพ์ วารสาร และรายงานต่าง ๆ
ตวั อย่างท่ี 2.1 “ ในปี พ.ศ. 2537 มีจานวนผ้จู บการศึกษาระดับปริญญาตรจี ากมหาวิทยาลยั ของ
รัฐประมาณ
85,000 คน ซึ่งคาดวา่ ในปกี ารศึกษา 2538 เพม่ิ ข้นึ เป็น 110,000 ”
“ ในปี พ.ศ. 2536 ชาวสวนลาไย จังหวดั เชยี งใหม่ สามารถส่งลาไยออกสูต่ ลาดเป็น
จานวนเงนิ 10 ลา้ นบาท ซึ่งมากกว่าปี 2535 จานวน 2.5 ลา้ นบาท ”
2. การนาเสนอโดยบทความกึง่ ตาราง ( Seml – Tabular Presentation ) เป็นการ
นาเสนอข้อมูลโดยแยกตัวเลขออกจากขอ้ ความ หรือการนาเสนอบทความแต่มีการตงั้ แนวตวั เลขขึ้น
ในบทความ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ตวั เลขชัดเจน และเปรียบเทียบสะดวกเมอื่ ต้องการ
ตวั อย่างที่ 2.2 ภมู ิลาเนาของนักศึกษาวิทยาลัยแห่งหน่ึงระหวา่ งปี 2534 – 2537
จานวน (คน)
ภมู ลิ าเนา 2534 2535 2536 2537
กรุงเทพฯ 2,540 2,590 2,556 2,618
ภาคเหนือ 350 244 310 287
ภาคกลาง 825 1,300 1,310 1,544
ภาคใต้ 408 325 368 387
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 520 458 488 481
รวม 4,643 4,917 5,032 5,317
3. การนาเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation )
คอื การนาเสนอข้อมูลโดยใช้ตาราง กรอกข้อมูลทีเ่ ป็นตัวเลขโดยแบง่ เป็นแถวตั้ง (Columns
) และแถวนอน ( Row ) เพอื่ จดั ข้อมลู ใหเ้ ป็นระเบยี บ ซ่ึงลกั ษณะของตารางขึน้ อยู่กบั จุดมุง่ หมาย
ของการนาเสนอข้อมูล สว่ นประกอบของตารางสถิติที่ควรมี
1. หมายเลขตาราง ( Table Number )
2. ชือ่ เรื่อง ( Title )
55
3. หมายเหตุ ควรมตี อ่ ทา้ ยใหท้ ราบแหลง่ ทม่ี าของข้อมลู พร้อมทั้งอธบิ ายให้ทราบว่าข้อมูล
ในตารางมาจากไหน เปน็ ขอ้ มูลประเภทใด เพื่อทาให้เขา้ ใจดีย่งิ ข้ึน
4. หัวเรอ่ื ง ( Caption ) เป็นส่วนประกอบของหัวขัว้ เพอื่ ใหไ้ ด้ความสมบรู ณ์ขนึ้ หรือเป็น
คาอธบิ ายตวั เลขในแนวนอน ( อาจมีหลายหวั เร่อื ง )
5. ตน้ ข้ัว ( Stub ) ประกอบด้วยหวั ขั้วและตน้ ขวั้ หวั ขว้ั เปน็ คาอธบิ ายเก่ยี วกบั ตวั เลขใน
แนวต้ัง อาจมหี ลายข้ัว
6. ตวั เร่ือง ( Body ) ประกอบดว้ ยขอ้ มลู ทีเ่ ป็นตัวเลข
- - - - - - - - - - หัวขวั้ ( Stup head ) - - - - - - - - - - - - - - - - - - หวั เรือ่ ง (Caption) - - - -
- - - - - - - ตน้ ขวั้ (Stup Entries) - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ตัวเร่อื ง ( Body ) - - - -
4. การนาเสนอดว้ ยกราฟหรือแผนภูมิ ( Graphical Presentation )
เมื่อได้จัดข้อมูลที่จะนาเสนอแลว้ เราอาจจะพิจารณาในการนาเสนอข้อมูลดว้ ยกราฟหรือ
แผนภมู ิ ซงึ่ เป็นวิธที ่ีใช้ได้ดี เพราะรูปภาพทแ่ี สดงข้อมูลจะทาให้เกิดความน่าสนใจ ทาให้อา่ นเข้าใจ
ไดง้ ่าย และรวดเร็วกวา่ วิธีอน่ื ๆ การราเสนอดว้ ยกราฟหรอื แผนภมู ิมีหลายลกั ษณะดังน้ี
1. แผนภมู วิ งกลม ( Pie Chart )
2. แผนภมู แิ ทง่ หรือกราฟแท่ง ( Bar Chart )
3. กราฟเส้น ( Line Graphs )
4. แผนภมู ิภาพ ( Pictogram )
1.1 กราฟวงกลมหรอื แผนภมู ิวงกลม ( Pie Chart ) เปน็ การนาเสนอข้อมลู ที่
รวบรวมไดใ้ นรปู วงกลม โดยมกี ารแบง่ พ้นื ทภ่ี ายในวงกลมออกเป็นสว่ น ๆ ในการเปรยี บเทียบ แต่มี
หลายลักษณะของกลุ่มประชากร เชน่ มีสถติ ิจานวนของนักศึกษา
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จาแนกตามคณะ หรือการทางานของบณั ฑิต
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จาแนกตามประเภทของโครงการ การสรา้ งกราฟวงกลม
1. แผนภูมวิ งกลมจะแสดงถงึ ร้อยละของจานวนค่าทส่ี งั เกตซ่งึ เท่ากับค่าสังเกตในแต่ละชน้ั เมอ่ื
เทยี บกบั ข้อมูลทัง้ หมด
2. พืน้ ทว่ี งกลมท้งั หมดเป็น 100 สว่ น = 360 องศา หรอื 360 องศา = 100 % ( 1% = 3.6 องศา )
3. แบง่ พ้ืนที่ในวงกลมตามค่ารอ้ ยละท่ีคานวณได้ โดยเรยี งจากมากไปหาน้อย
4. ทาให้เห็นข้อแตกต่างในแต่ละส่วนเพอ่ื ความสะดวกในการเปรียบเทยี บ
ตัวอยา่ งที่ 2.3 ในการสารวจของอาชีพผปู้ กครองนักศกึ ษา 300 คน จาแนกเปน็ ทาธรุ กจิ ส่วนตัว
รัฐวิสาหกจิ รบั ราชการ บรษิ ทั เอกชน อนื่ ๆ ดังน้ี
อาชพี ผปู้ กครอง จานวน
40
ธรุ กจิ ส่วนตัว
30
รฐั วสิ าหกิจ
60
รับราชการ
160
บริษทั เอกชน
อน่ื ๆ 10
รวม 300
วธิ ที า 1. หาค่าร้อยละของความถี่แตล่ ะอาชีพ 56
อาชพี ผู้ปกครอง จานวน ร้อยละ องศา
15 54
ธุรกจิ สว่ นตวั 45 10 36
20 72
รฐั วสิ าหกจิ 30 50 180
5 18
รบั ราชการ 60 100 360
บริษัทเอกชน 150
อ่ืน ๆ 15
300
รวม
2. สร้างวงกลม และแบง่ เปน็ สว่ น ๆ โดยให้ 1% เทา่ กบั 3.6 องศา
ขอ้ สงั เกต
1. พ้นื ท่วี งกลมทั้งหมดคิดเปน็ รอ้ ยส่วน หรอื 100% และมมุ รอบ ๆ จดุ ศูนยก์ ลางของวงกลม
คอื 360 องศา
2. 360 องศา ถอื วา่ เป็น 100 ส่วน และ 1 ส่วน หรอื 1 % จะเทา่ กบั 3.6 องศา
1.2 แผนภูมริ ปู ภาพ ( Pictogram ) คอื แผนภมู ิท่ีใช้รูปภาพแทนค่าตวั เลขจานวนหน่ึง
ของขอ้ มลู ทนี่ าเสนอ เชน่ ภาพรถยนต์ 1 คนั แทนจานวนรถทน่ี าเสนอ 1,000 คน หรือภาพ
คน 1 ภาพแทนประชากรท่ีนาเสนอ 100 คน ซึ่งรปู ภาพนน้ั จะแทนของจรงิ จานวนเท่าไรก็
ได้ แล้วแต้ปรมิ าณมากน้อยของข้อมูลท่นี าเสนอ จะทาให้ผอู้ า่ นเข้าใจได้งา่ ย แปลความหมายได้ทนั
ทแ่ี ละน่าสนใจมากขนึ้
1.3 แผนภมู แิ ทง่ หรือกราฟแทง่ ( Bar Chart ) คอื แผนภูมทิ ปี่ ระกอบดว้ ยรปู
สเ่ี หลย่ี มผืนผ้าทีม่ ีความยาวของแตล่ ะรปู เปน็ ขนาดของข้อมลู มชี อ้ งไฟแต่ละช่องความกวา้ งของแงจะ
คงที่ จะใชก้ บั การเปรียบเทียบรายการข้อมูลท่ีแตกตา่ งกนั หลายรายการ หรอื ข้อมูลที่จาแนกตาม
ลักษณะคุณภาพ เวลา หรือความถ่ี ซึ่งทาให้ผู้คนเข้าใจงา่ ยด้วยตนเอง
ตัวอย่างที่ 2.4 แผนภมู ิแสดงการเปรียบเทยี บนักศึกษาชายหญิงของสถาบนั การศึกษาแห่งหน่ึงปี
2534 – 2537
1.4 กราฟเสน้ ( Line Graphs ) การนาเสนอโดยกราฟเส้นจะเป็นที่นอยมใชก้ ันมากใช้
กับข้อมลู อนุกรมเวลา ( Time Series Data ) ซง่ึ แสดงการเปล่ยี นแปลงลาดบั ก่อนหลงั ของเวลาที่
ขอ้ มลู นน้ั เกิดข้ึนและมจี านวนมาก เป็นการสรา้ งที่งา่ ย อาจเป็นเส้นตรงหรือเส้นโคง้ ก็ได้ ขึ้นอย่กู ับ
ลกั ษณะข้อมูลท่ีมีอยู่ ใช้เปรียบเทียบระหว่างหลายรายการในระยะยาว
ตวั อยา่ งที่ 2.5 กราฟเส้นแสดงขอ้ มลู ของนกั ศึกษาในมหาวทิ ยาลยั แห่งหนึง่ ระหว่างปี 2533 –
2537
2. แผนที่สถิติ ( Statistical Map ) คือ แผนท่ีนาเสนอข้อมลู โดยอาศยั หลกั ทาง
ภมู ิศาสตร์ เพ่ือทาการเปรยี บเทียบข้อมลู ท่ีอยูใ่ นพนื้ ที่ทางภูมศิ าสตร์เปน็ ไปได้โดยงา่ ย เปรียบเทียบ
ข้อมลู แตล่ ะพืน้ ท่ี เหมาะสาหรับสถติ ิท่จี าแนกตามภมู ภิ าคหรอื สภาพภูมิศาสตร์เชน่ แผนท่สี ถิติของ
เขตทท่ี าการปลูกข้าวในจงั หวัดหรือภาคใด ๆ
57
ใบความรทู้ ่ี 13
เรื่อง การวเิ คราะหข์ ้อมูล และการแปลความหมายขอ้ มลู
การวิเคราะห์ข้อมูล
หลงั จากท่ไี ด้รวบรวมขอ้ มูลมาเรยี บรอ้ ยแลว้ งานทีจ่ ะต้องปฏิบัตติ อ่ ไปกค็ ือ การวิเคราะห์ข้อมูล
และการแปลความหมายข้อมูล ซงึ่ ประกอบดว้ ยขั้นตอนดงั ตอ่ ไปนี้
1. การตรวจสอบข้อมูล
2. การจดั ทาข้อมูล
3. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
4. การเสนอผลข้อมลู
5. การแปลความหมายข้อมลู
1. การตรวจสอบข้อมูล ควรทาทันทีหลังจากเกบ็ รวบรวมข้อมูลเสรจ็ เรียบร้อยแลว้ วัตถปุ ระสงค์
ของการตรวจสอบข้อมูล คือ
1. ตรวจสอบความสมบูรณข์ องข้อมูลขาดหาย และหรือลมื ตอบ
2. ตรวจความเป็นไปได้ของข้อมลู
3. ตรวจสภาพความเป็นเอกภาพของการไดม้ าซึง่ ข้อมลู
2. การจัดทาขอ้ มูล คอื การจัดเตรยี มข้อมลู ที่ไดร้ ับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จดั ให้เป็นระบบ
สะดวกแก่การวิเคราะหข์ ้อมูลในขน้ั ต่อไป แบง่ เปน็ 2 กรณี
1.ไม่ใชเ้ คร่ืองคอมพิวเตอรใ์ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล คือการนาข้อมลู ที่ไดม้ าสร้างตารางแจกแจง
ความถหี่ รอื สร้างแผนภมู ิต่างๆ
2. ใช้เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ในการวิเคราะห์ คอื การนาขอ้ มลู ทีได้มาจดั เตรียมในลักษณะท่ีพร้อม
จะป้อนสูค่ อมพิวเตอร์
3. การวเิ คราะห์ข้อมูล สง่ิ ท่สี าคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลก็คอื ผวู้ ิจัยตอ้ งเลือกใช้สถิตใิ หเ้ หมาะสม
สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ในการวจิ ัย และลกั ษณะของข้อมลู สถติ ทิ ่ไี ด้รับความนิยมในการนาไปใช้
ไดแ้ ก่
3.1 สถิตอิ ธบิ ายคุณลกั ษณะหรือรายละเอียดของกลุ่มท่ีศึกษา ไดแ้ ก่
3.1.1 ร้อยละ
3.1.2 การวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลาง
3.1.3 การวดั การกระจาย
3.2 สถิติหาค่าความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปร 2 ตวั ได้แก่
3.2.1 สหสัมพันธอ์ ยา่ งงา่ ย
3.2.2 สหสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอนั ดบั
3.3 สถิตทิ ่ใี ชท้ ดสอบสมมตุ ิฐานเกีย่ วกับความแตกตา่ งระหวา่ งค่าเฉล่ยี ของ กลุ่มเดียวไดแ้ ก่ t-
test one-Group
3.4 สถติ ิท่ใี ชท้ ดสอบสมมุตฐิ านเก่ียวกับความแตกต่างระหวา่ งคา่ เฉลี่ยของ กลุ่ม 2 กลมุ่ ได้แก่
t-test
3.5 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานเกีย่ วกับความแตกตา่ งระหว่างคา่ เฉลย่ี ของกลุ่มมากกว่า 2 กลมุ่
ขนึ้ ไปไดแ้ ก่ Analysis of Variance (ANOVA)
58
3.6 สถิติท่ใี ชท้ ดสอบสมมติฐานเก่ยี วกับความแตกต่างและความสัมพนั ธ์ กรณี ข้อมูลอยูใ่ นรปู
ของความถ่ีไดแ้ ก่ Chi-Square
4. การเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
4.1 การเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลในลักษณะของการบรรยาย
4.2 การเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ในลักษณะต่าง ๆ เปน็ การนาเสนอข้อมูลทเ่ี ป็น ตัวเลข
อย่างมีระบบ โดยจัดเปน็ แถวตั้งและแถวนอนที่มคี วามสมั พันธ์กนั หรือตาราง
4.3 การเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในลักษณะแผนภูมิ
- แผนภมู ริ ูปภาพ (Pictogram)
- แผนภมู แิ ทง่ (Histogram)
- แผนภมู เิ ส้น (Line graphs)
- กราฟความถส่ี ะสม (Ogive Curve)
- แผนภมู วิ ง (Pie Chart)
5. การแปลความหมายขอ้ มูล หมายถึง การอธิบายผลของการวเิ คราะห์ข้อมูล สรุปผลที่ไดจ้ าก
การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใหเ้ กยี่ วโยงกับวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ขอ้ ผดิ พลาดในการแปลความหมายข้อมลู
ท่ผี ู้วิจยั มกั จะปฏิบตั ิบ่อย ๆ ก็คือ แปลความหมายข้อมลู โดยการอ่านคา่ จากตารางทเ่ี ป็นผลการ
วเิ คราะห์ข้อมูลเท่านัน้ โดยไม่อธิบายความหมายว่า ค่าทไี่ ด้นนั้ หมายถงึ อะไรซ่ึงผวู้ ิจัยควรจะนาตาราง
แสดงผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปลความหมายข้อมูลจากตารางน้นั ไว้ใตต้ ารางทนั ที
@@@@@@@@@
59
ใบความรทู้ ่ี 14
เร่อื ง สถติ ิ
สถติ พิ ้นื ฐานท่ใี ช้อธบิ ายคณุ ลักษณะของข้อมูลได้แก่
1. รอ้ ยละ (Percentage)
2. การวดั แนวโน้มเข้าสูส่ ่วนกลาง (Measures of Central Tendency)
3. การวดั การกระจาย (Measures of Variability)
4. การวดั ความสมั พนั ธ์ (Measures of Relationship)
1. ร้อยละ (Percentage) เป็นสถติ ทิ ี่นยิ มใช้กันมากในการวิจัยเพราะเป็นตัวเลขท่เี ข้าใจง่ายใน
การคานวณเป็นการเปรยี บทียบตวั เลขจานวนหนึง่ กบั ตัวเลขอีกจานวนหน่งึ ทีเ่ ทียบสว่ นเป็น 100
ดังนน้ั ในการคานวณหาคา่ ร้อยละจงึ ใช้ตัวเลขท่เี ราต้องการเปรียบเทยี บหารดว้ ยจานวนเต็มของสิง่ นน้ั
แลว้ คูณดว้ ย 100 ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี
จากการศึกษาพบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งเปน็ นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ของจังหวัดมหาสารคาม
จานวน 530 คน เป็นนกั เรยี น โรงเรียนสารคามพิทยาคม 135 คน ผดุงนารี 124 คน บรบอื 90
คน มหาชยั พิทยาคาร 50 คน มหาวิชานกุ ูล 75 คน สาธติ มหาสารคาม 56 คน อยากทราบว่า กล่มุ
ตวั อยา่ งจากโรงเรยี นต่าง ๆ คิดเป็นร้อยละเท่าไร จะหาได้ดังน้ี
ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจากโรงเรยี นสารคามพทิ ยาคม = 135/530 x100 = 25.47
ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจากโรงเรียนผดุงนารี = 124/530 x 100 = 23.39
รอ้ ยละของกล่มุ ตวั อย่างจากโรงเรียนบรบือ = 90/530 x 100 = 16.98
ร้อยละของกล่มุ ตวั อยา่ งจากโรงเรียนมหาชัยพทิ ยาคาร = 50/530 x 100 = 9.43
ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจากโรงเรยี นมหาวิชานกุ ลู = 75/530 x 100 = 14.15
ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างจากโรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม = 56/530 x 100= 10.56
ในการแปลความหมายร้อยละจะตอ้ งแปลโดยอาศัย 100 เปน็ เกณฑ์ ตัวอย่างการนาเสนอการ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใชส้ ถิติรอ้ ยละในรปู ตาราง
60
ตัวอย่างการวจิ ัยท่ใี ช้สถติ ิร้อยละ
ตารางท่ี 1 สถานภาพท่ัวไปของครูผู้สอนทเี่ ปน็ กลุม่ ตัวอยา่ งในการวิจัยเรื่อง ความต้องการในการ
จดั หาหลักสตู รทอ้ งถนิ่
สถานภาพทั่วไป จานวน ร้อยละ
เพศ
- ชาย 4 25.0
- หญิง 12 75.0
ระดับการศึกษา 12 75.0
- ปริญญาตรี 4 25.0
- ปริญญาโท
8 50.0
ประสบการณ์ในการสอน 3 18.7
- 1-5 ปี 5 31.3
- 6 – 10 ปี 3 18.7
- 10 ปขี ึ้นไป 5 31.3
ประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอนท่ี ศบอ.โพน 14 87.5
ธาราม 2 12.5
- 1 – 5 ปี -
- 6 – 10 ปี -
- 10 ปขี ้นึ ไป - - 1
15 6.2
การไดร้ ับความร้เู กย่ี วกบั การพฒั นาหลักสตู ร 93.8
ทอ้ งถิ่น
- ไม่เคย
- เคย
จากตารางที่ 1 ขอ้ มูลทัว่ ไปของครูผู้สอน ครผู ้สู อนส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญิง (ร้อยละ 75) มี
ระดับการศึกษาปริญญาตรี (ร้อยละ 75) มีประสบการณ์ในการสอน 1 – 5 ปี (ร้อยละ 50) มี
ประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิการสอนท่ี ศบอ.โพธาราม 1 – 5 ปี (รอ้ ยละ 87) ซึง่ สว่ นใหญเ่ คยไดร้ บั
ความรู้เกีย่ วกับการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ิน (ร้อยละ 93.8)
61
ตารางที่ 2 ความคิดเหน็ ของครผู ู้สอนคณิตศาสตร์ วิชา ค.011 เกยี่ วกับเนื้อหาวชิ าเร่ือง “เซต”
มีปญั หา
เนือ้ หา ไมม่ ปี ัญหา น้อย ปานกลาง มาก
จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ
การเขยี นเซตแบบบอก
เงื่อนไขของสมาชิก 112 56 48 24 24 12 16 8
สับเซต 90 25 64 52 28 14 18 9
เพาเวอรเ์ ซต 120 60 40 20 30 15 10 5
เอกภพสัมพัทธ์ 60 30 80 40 40 20 20 10
การเขียนแผนภาพของ 60 30 30 15 80 40 30 15
เวนน์-ออย 40 20 70 45 40 20 30 15
ยูเนียน 20 10 30 15 100 50 50 25
อนิ เตอร์เซกชัน 24 12 112 56 36 18 18 14
คอมพลเี มนต์ 120 60 30 15 20 10 30 15
ผลต่าง
การแก้โจทยป์ ญั หาโดยใช้ 20 10 28 14 52 26 100 50
ความรเู้ รื่องเซต
จากตารางที่ 2 แสดงให้เหน็ ว่าครูผูส้ อนคณติ ศาสตร์วิชา ค.011 มคี วามเห็นวา่ เนอื้ หาวชิ า เรือ่ ง
เซตในหัวข้อการเขยี นเซตแบบบอกเง่ือนไขของสมาชิก เพาเวอร์เซตและผลตา่ งเปน็ เน้ือหาที่ไม่มี
ปัญหาเนอ้ื หาในหวั ข้อสบั เซต เอกภพสัมพัทธ์ ยเู นียนและคอมพลีเมนต์ เป็นเน้ือหาทม่ี ีปัญหาในระดับ
น้อยเนื้อหาในหวั ขอ้ การเขียนแผนภาพเวนน์-ออยเลอร แ์ ละอินเตอร์เซกชนั เป็นเนอ้ื หาที่มปี ญั หาใน
ระดับปานกลางและเน้ือหาในหวั ขอ้ แก้ปัญหา โดยใชค้ วามรู้เรอื่ งเซตเปน็ เนื้อหาท่ีมปี ัญหาในระดบั มาก
ขอ้ ควรระวังในการใช้สถิติร้อยละ
รอ้ ยละเปน็ สถติ ิที่คานวณไดง้ ่ายและนยิ มใช้กนั มากในการวจิ ัย แต่การใชร้ อ้ ยละมสี งิ่ ที่ตอ้ ง
ระมดั ระวงั ดังนี้
1. เลขฐานทีใ่ ช้ในการคานวณก็คือ จานวนเตม็ ทีใ่ ชเ้ ทียบส่วนเปน็ 100 เชน่ นักเรยี น
โรงเรยี นพยฆั ภูมวิ ิทยาคาร ชั้น ม.4 จานวน 150 คน จาแนกเป็นนักเรยี นชาย 60 คน นักเรยี นหญงิ
90 คน สอบวิชาฟิสิกส์ปรากฏว่า นกั เรยี นชายทไ่ี ด้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉล่ียมี 38 คน นักเรียนหญิง
ทไี่ ด้คะแนนสงู กว่าคะแนนเฉล่ียมี 70 คน การหาร้อยละทาได้ดงั นี้
รอ้ ยละของนักเรียนชายที่ได้คะแนนสงู กว่าคะแนนเฉล่ยี = 38/60 x 100 = 63.33
รอ้ ยละของนักเรียนหญิงที่ได้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉล่ยี = 70/90 x 100 = 77.77
รอ้ ยละของนักเรียนท้งั หมดทไี่ ดค้ ะแนนสงู กวา่ คะแนนเฉลี่ย = 108/150 x 100 = 72
62
2. ร้อยละของเลขฐานต่างกนั จะนามาบวก ลบ หรอื หาคา่ เฉลยี่ ไม่ได้ เช่น รอ้ ยละในขอ้ 1 เมอื่
ตอ้ งการหารอ้ ยละของนักเรยี นทงั้ หมด ท่ีสอบได้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉลีย่ จะนา 63.33% กบั
77.77% มาบวกกันหรือหาค่าเฉลย่ี ไม่ได้ เพราะมีเลขฐานที่ตา่ งกัน (63.33% มาจากเลขฐาน 60 และ
77.77% มีเลขฐานมากจาก 90)
3. ในการคานวณหาร้อยละจากตัวเลขท่นี ้อยเกินไป อาจทาให้การแปลความหมายผิด พลาดได้
เชน่ ภาควชิ าเคมีประกาศว่า “วทิ ยาศาสตร์บัณฑติ ที่จะเขา้ รบั พระราชทานปริญญา ปี พ.ศ. 2541 ได้
เกียรตนิ ยิ ม 100 %” ตามความจริงปรากฏวา่ บัณฑิตทีจ่ บจากภาควชิ าเคมีมีเพียง 2 คนเทา่ นน้ั ทาให้
เกดิ ความเขา้ ใจผดิ ได้ ดงั นัน้ ในการคดิ หาร้อยละจงึ ต้องคานึงถงึ เรื่องนีด้ ว้ ย
4. โดยทวั่ ไปทางปฏบิ ัติไม่นิยมใช้รอ้ ยละที่มีค่าเกิน 100 ถา้ อยใู่ นข่ายดงั กล่าวควรระบุ เปน็
จานวนเทา่ จะเหมาะสมกว่า เช่นภาษรี ถยนตน์ าเข้าจากตา่ งประเทศเป็น 250% ของราคาต้นทนุ ควร
จะระบวุ า่ ภาษีรถยนต์นาเขา้ จากตา่ งประเทศเปน็ 2.50 เท่าของราคาต้นทุน
5. ในการเลือกใช้ค่ารอ้ ยละจากการวเิ คราะห์โดยคอมพิวเตอร์ในการวเิ คราะห์ และประมวลผล
จากคอมพวิ เตอร์ ซึง่ ในปัจจบุ ันมีการใชก้ ันมากเน่ืองจากสะดวก รวดเร็วและแมน่ ยา ผู้วิจยั จะต้องรจู้ ัก
เลือกให้เหมาะสมกบั งานเน่ืองจากคา่ ร้อยละท่ีปรากฏใน Print-out อาจให้ค่าร้อยละ 2 ค่าในแต่ละ
Cell คือให้คา่ ร้อยละทัง้ ในแนวแถว (row) และแนวสดมภ(์ Colomn) เป็นหนา้ ทข่ี องผู้วิจยั จะตอ้ ง
เลอื กวา่ จะใช้ค่าใดจงึ จะถูกตอ้ ง และสอื่ ความหมายไดต้ รงกับประเด็นปัญหาทวี่ ิจยั เชน่ ตาราง
เปรยี บเทยี บความถีข่ องสิ่งทยี่ ึดเหนี่ยวทางจิตใจ ระหวา่ งกล่มุ ตวั อย่างที่มวี ยั ต่างกนั ซ่ึงจาแนกตามวัย
ตารางเปรยี บเทยี บความถี่ของสิ่งทยี่ ึดเหนีย่ วทางจิตใจ ระหว่างกลุม่ ตวั อย่างทม่ี วี ัยตา่ งกนั
ส่ิงยึดเหนยี่ วจิตใจ
วัย บดิ า-มารดา พระ ครู- สิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์ิ ตนเอง โชค รวม
บรรพบรุ ษุ รตั นตรัย อาจารย์ ต่าง ๆ ลกู หลาน วาสนา
หน่มุ สาว 186 149 36 85 19 4 479
(38.83%) (31.11%) (7.51%) (17.75%) (3.97%) (0.83%) (100%)
กลางคน 211 184 45 102 13 5 560
(37.68%) (32.86%) (8.04%) (18.21%) (2.32%) (0.89%) (100%)
สงู อาย 141 145 43
90 8 4 431
(32.68%) (33.64%) (9.98%) (20.88%) (1.86%) (0.93%) (100%)
รวม 538 478 124 277 40 13 1,470
(36.60%) (32.52%) (8.44%) (18.84%) (2.72%) (0.88%) (100%)
2. การวดั แนวโนม้ เข้าสูส่ ่วนกลาง (Measure of Central Tendency)
ในการสรุปลักษณะของข้อมลู โดยทั่วๆ ไป จะคานงึ ถึงลกั ษณะคา่ ทเี่ ป็นตวั แทนของข้อมลู แต่ละ
ชดุ ซงึ่ การหาค่าสถิตทิ ีเ่ ปน็ ตัวแทนของข้อมูลแต่ละชุดคือ การวัดแนวโนม้ เขา้ สสู่ ว่ นกลางเปน็ การหา
ค่าเฉล่ีย (Average) เพือ่ ใช้เป็นตวั แทนของข้อมูลทั้งหมด ซ่ึงจะเป็นประโยชนใ์ นการเปรียบเทยี บ
ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ โดยไม่จาเปน็ ต้องพิจารณาขอ้ มลู ทงั้ หมดของแต่ละชุด
63
การวดั แนวโน้มเขา้ สู่สว่ นกลางทีน่ ิยมใชก้ ันทว่ั ไปมี 3 วธิ ี คอื
1. ค่าเฉล่ยี เลขคณติ (Arithmetic Mean) หมายถึง ค่าท่ีได้จากการนาขอ้ มูลท้ังหมดมารวมกัน
แล้วหารด้วยจานวนขอ้ มูลทั้งหมด
2. มัธยฐาน (Median)
3. ฐานนยิ ม (Mode)
@@@@@@@@@@@@@@@