The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานpb

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nittaya001904, 2022-09-07 00:11:11

รวมเล่มการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานpb

รวมเล่มการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานpb

การเรยี นรูโ ดยใชป ญหาเปนฐาน
(Problem-based Learning : PBL)

ผูชวยศาสตราจารย ดร.ไพศาล สุวรรณนอ ย
รองผูอาํ นวยการสถาบันพฒั นาทรพั ยากรมนุษย ฝา ยวิชาการ

มหาวทิ ยาลัยขอนแกน

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 1

การเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning: PBL)

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไพศาล สวุ รรณนอ้ ย
รองผอู้ านวยการสถาบันพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ ฝา่ ยวชิ าการ

มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

แนวคดิ และทฤษฎีการเรียนรู้ทเ่ี ปน็ พน้ื ฐานของ PBL

แนวคดิ ในเรือ่ งของการเรยี นรู้ ทน่ี ักจิตวทิ ยาทางการศึกษา นามาเป็นประเด็นในการถกเถียงกันมี
อยู่ 2 กล่มุ คือ

1. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้เชงิ พฤติกรรมนิยม (Behaviorist learning theory) ในกลมุ่ นี้เช่อื ว่า
ความรมู้ ีอยู่มากมายในโลก แตค่ วามรู้ท่สี ามารถถ่ายโยงมายงั ผู้เรียนอยา่ งเป็นรูปธรรมน้ันมีเพียงเล็กน้อย การ
เรยี นรจู้ ะเกิดข้ึนได้ก็ตอ่ เม่ือมีการเชื่อมโยงระหวา่ งสิง่ เรา้ กับการตอบสนอง นกั จิตวิทยาท่ีไดร้ ับการยอมรบั กัน
ในกลมุ่ นี้ คือ สกนิ เนอร์ (Skinner)

2. กลมุ่ ทฤษฎีการเรียนรเู้ ชิงพทุ ธิปญั ญานยิ ม (Cognitive learning theory) มีความเช่อื ว่า
ความรูเ้ กิดจากปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างโครงสร้างท่มี ลี ักษณะเฉพาะ (particular structure) กบั สิ่งแวดลอ้ มทาง
จิตวทิ ยา (psychological environment) ของผเู้ รียนแต่ละบคุ คล การเรียนร้จู ะเกิดขึน้ ก็ต่อเม่ือผู้เรียนได้
ปรับเปล่ยี นโลกภายในของตน โดยอาศัยกระบวนการปฏิสมั พนั ธ์ทีเ่ กิดจากการรับความรใู้ หมเ่ ข้าไปในสมอง
หรือจากการปรับเปลี่ยนความรเู้ กา่ ให้เขา้ กับความรใู้ หม่ นกั จติ วิทยาท่ีได้รับการยอมรบั แนวคดิ มากท่สี ุดใน
กลุ่มนี้ คอื เพียเจท์ (Piaget)

ในปี ค.ศ.1990 สหรัฐอเมริกาไดป้ ระกาศใหท้ ศวรรษต่อไปเปน็ ทศวรรษของสมองและทศวรรษของ
การศึกษา (The decade of brain and the decade of education) เนื่องมาจาก ผลการคน้ คว้าวจิ ัย
เร่ือง สมอง ทาให้นักการศึกษารวู้ า่ สมองมนุษย์มีลักษณะเฉพาะเปน็ แหล่งเก็บ เปน็ แหล่งกาเนดิ ของพฤติกรรม
เปน็ อวยั วะท่มี ีความสลับซับซ้อนมากท่สี ุด ในรา่ งกายมนุษย์ สมองของคนเราสามารถรบั เร่อื งราวที่เกดิ จาก
การเรยี นรู้ ได้ทุกอย่าง (receive all education) และด้วยความแตกตา่ งกันของสมอง ส่งผลใหค้ นเรามี
ลกั ษณะของการเรยี นรู้ (Learning style) ทแ่ี ตกตา่ งกัน จึงทาให้ วธิ ีการเรียนรขู้ องมนุษยแ์ ต่ละคนมีความ
แตกตา่ งกันไป

นอกจากการคน้ คว้าในเร่ืองสมองแลว้ สหรฐั อเมริกายังไดม้ ีการศึกษาวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพอ่ื ดูแนวโนม้
และวิสัยทศั น์ของหลกั สตู รทเี่ หมาะสมกับผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ใชก้ ลมุ่ ตัวอยา่ ง 150 คน จากหลากหลาย
อาชีพ เช่น นักธุรกิจระดบั ชาติ ผ้นู าทางการศึกษา และตวั แทนจากรัฐบาล เครอ่ื งมือวิจัยสาหรับโครงการนี้
คือการใชเ้ ทคนิค Delphi ในการศึกษา ระยะเวลาในการวิจยั 3 ปี ในรายงานส่วนหน่งึ ของวิลสัน (Wilson,
1991) สรปุ ไว้ว่า การเตรียมนักเรยี นใหพ้ ร้อมทีจ่ ะเผชิญกับความเปลยี่ นแปลงในอนาคต มคี วามจาเปน็ ท่ี
จะต้องปลูกฝังใหน้ ักเรียนมที ักษะการคิดแบบวจิ ารณญาณ และมที ักษะในการตดั สนิ ใจ นักเรยี นตอ้ งสามารถ
เข้าถึงขอ้ มูลและสามารถปรับแปลงข้อมลู เพื่อใชใ้ นการแกป้ ัญหาได้ โดยนักเรยี นต้องมลี ักษณะกล้าเส่ียง เป็น

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 2

นักสารวจ และเปน็ นักคิดทีร่ ู้จักใหค้ วามรว่ มมือกบั ผู้อน่ื รวมทั้งตอ้ งมีการบรู ณาการหลกั สตู รเพ่อื ให้เกิด
กจิ กรรมแบบสหวิทยาการ (Inter disciplinary activity) ดว้ ย

ต่อมาได้มีทฤษฎีการเรียนรู้ใหม่ ๆ เกดิ ขน้ึ หลายทฤษฎี ทฤษฎีการเรียนรูท้ ่นี ักการศึกษาส่วนใหญใ่ ห้
ความสนใจกันมากได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสรา้ งสรรค์นิยม (Constructivist learning theory) ซ่ึงมี
แนวคดิ ทส่ี อดคลอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 มากทีส่ ุด ซ่งึ ในกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า การเรียนรจู้ ะ
เกิดข้ึน เม่ือผูเ้ รยี นไดส้ ร้างความรทู้ ่ีเป็นของตนเองขึน้ มา จากความรู้ท่ีมอี ยู่เดมิ หรือจากความรทู้ รี่ บั เข้ามา
ใหม่ จากแนวคิดดงั กล่าวจึงนาไปสู่การปรับเปลยี่ นวิธีเรียน วธิ สี อน แนวใหม่ ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 ครู
ไมใ่ ชผ่ จู้ ดั การทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้เรียนตอ้ งไดล้ งมอื ปฏิบตั เิ อง สรา้ งความรู้ที่เกิดจากความเขา้ ใจของตนเอง และ
มสี ว่ นรว่ มในการเรยี นมากขึ้น (Active learning) รปู แบบการเรยี นรู้ ท่เี กิดจากแนวคดิ นี้ มอี ย่หู ลาย
รูปแบบ ได้แก่ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) การเรียนร้แู บบชว่ ยเหลอื กนั
(Collaborative learning) การเรียนรู้โดยการค้นคว้าอย่างอิสระ Independent investigation
method) รวมทง้ั การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem-based learning)

ในชว่ งแรกของศตวรรษที่ 20 จอห์น ดวิ อี้ (John Dewey) นักการศึกษาชาวอเมรกิ ันซงึ่ เปน็
ผู้คดิ ค้น วธิ ีสอนแบบแก้ปญั หา และเปน็ ผเู้ สนอแนวคิดท่ีวา่ การเรยี นรู้เกดิ จากการปฏิบตั ิ หรอื ไดล้ งมือ
กระทา ดว้ ยตนเอง (Learning by doing) จากแนวคดิ น้ี ได้นาไปส่แู นวคิดของการสอนในรปู แบบต่าง ๆ ดงั ท่ี
ใชก้ นั อยู่ในปจั จุบัน แนวคิดของ PBL ก็มรี ากฐานมาจากแนวคิดของ ดวิ อ้ี เชน่ เดียวกัน

PBL มีการพฒั นาขึ้นครงั้ แรกโดยคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Faculty of Health Sciences) ของ
มหาวทิ ยาลัย McMaster ท่ีประเทศแคนาดา ได้ถูกนามาใช้ในกระบวนการตวิ (tutorial process) ให้กับ
นกั ศกึ ษาแพทย์ฝึกหัด วธิ กี ารดงั กลา่ ว ต่อมาได้กลายเป็นรูปแบบการเรยี นรู้ (Learning model) ทท่ี าให้
มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกานาไปเป็นแบบอยา่ งในการจัดการเรียนรู้ โดยเร่ิมจากปลายปี ค.ศ. 1950
มหาวทิ ยาลัย Case Western Reserve ไดน้ ามาใช้เปน็ แห่งแรกและได้จัดตงั้ หอ้ งทดลอง พหวุ ิทยาการ
(Multi-disciplinary Laboratory) เพื่อทาเปน็ ห้องปฏบิ ัติการสาหรับทดลองรปู แบบการสอนใหม่ ๆ รปู แบบ
การสอนท่ีมหาวทิ ยาลยั Case Western Reserve พัฒนาขนึ้ มานัน้ ได้กลายมาเป็นพื้นฐานในการพฒั นา
หลักสูตรของโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐอเมรกิ า ทัง้ ในระดับมัธยมศึกษา ระดบั อดุ มศกึ ษา และบณั ฑติ
วทิ ยาลัย

ในช่วงปลายทศวรรษท่ี 60 มหาวทิ ยาลยั McMaster ได้พัฒนาหลักสตู รแพทย์ท่ใี ช้ PBL ในการ
สอนเปน็ ครั้งแรก ทาให้มหาวิทยาลัยแห่งนเ้ี ป็นทย่ี อมรับและรูจ้ ักกนั ท่วั โลกว่า เปน็ ผูน้ าทางดา้ น PBL (world
class leader) โรงเรยี นแพทยท์ ่ีมชี ่ือเสียงอย่างเชน่ Harvard Medical School และ Michigan State
University, College of Human Medicine กไ็ ดน้ ารปู แบบ PBL ไปใช้ จึงทาให้โรงเรียนแพทยใ์ น
มหาวทิ ยาลัยอืน่ ๆ ใหก้ ารยอมรบั รปู แบบ PBL ในการสอนมากข้ึน จนกระทัง่ กลางปี ค.ศ. 1980
เทคนิคการสอนโดยใช้รปู แบบ PBL ไดเ้ ร่มิ ขยายออกไปสู่การสอนในสาขาอ่นื ๆ เช่น วศิ วกรรมศาสตร์
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ สงั คมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ เปน็ ตน้ PBL จงึ เปน็ ทีน่ ยิ ม
กนั แพร่หลาย และมีการนาไปใช้สอนตามมหาวิทยาลัยตา่ ง ๆ มากขึน้ ตวั อยา่ งมหาวิทยาลยั ท่ีนา PBL ไปใช้
ในการเรียนการสอน อาทิเช่น Harvard, New Mexico, Bowman Gray, Boston, Illinois, Southern
Illinois, Michigan State, Tufts, Mercer, Southern Illinois, Stamford, Northwestern, Indiana
and the University of Illinois, University of Hawaii, University of Missouri – Columbia,
University of Texas – Houston, University of California – Irvine, University of Pittsburgh,

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 3

University of Delaware, เป็นต้น
นอกจากมหาวทิ ยาลยั ในสหรัฐอเมรกิ าแล้ว มหาวิทยาลัยของประเทศแทบทกุ สว่ นของโลกก็ให้

ความสนใจในการนารปู แบบ PBL ไปใช้สอน เช่น มหาวิทยาลัย Maastricht ท่ีเนเธอรแ์ ลนด์, มหาวทิ ยาลัย
Newcastle, Monash, Melbourne ท่ีออสเตรเลยี , มหาวิทยาลัย Aalborg ท่เี ดนมารค์ , มหาวิทยาลยั ใน
ประเทศแคนาดา อังกฤษ ฝร่ังเศส ฟนิ แลนด์ อฟั ริกาใต้ สวเี ดน ฮ่องกง สิงคโปร์ เปน็ ต้น ความนิยม PBL
ในการสอนทีต่ า่ งประเทศน้นั สามารถเหน็ ได้ชดั เจนจากการเช่อื มโยงเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ของมหาวทิ ยาลัย
ตา่ งๆ ทีใ่ ช้ PBL ในการสอนเหมือนกันทางอินเตอรเ์ น็ทและจดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-mail) โดยมกี าร
เผยแพรท่ ั้งตารา เอกสาร และบทความจานวนมาก มีผลงานวิจยั ที่เผยแพรเ่ ฉพาะสว่ นบทคดั ย่อและ
งานวจิ ัยท้ังฉบบั เปน็ ร้อยเรือ่ ง โดยสว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผลการวิจัยทางสาขาแพทย์มากทีส่ ดุ มีวารสารเฉพาะช่ือ
The Journal of Clinical Problem - based Learning มีการจดั ตงั้ ศนู ยเ์ พื่อการวจิ ัยและการเรียนการ
สอน (The Center for Problem-based Learning)

สาหรับในประเทศไทยน้ัน ปจั จุบันการสอนโดยใชร้ ูปแบบ PBL ในการสอนท้งั ระดับการศึกษาข้ัน
พ้นื ฐานและระดบั อดุ มศึกษาเป็นท่ีนิยมกันมากข้ึน มีงานวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรียนการสอน ทเ่ี รียกว่าการวจิ ยั ใน
ช้นั เรยี นท่ีใช้ PBL มากมาย มหาวทิ ยาลัยหลายแหง่ ท่สี ่งเสริมและได้ทดลองนาไปใช้แลว้ เช่น จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ รวมถึงมหาวทิ ยาลยั เอกชนหลายแห่ง โดยเฉพาะมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่มีการ
พฒั นารปู แบบ PBL ในการสอนร่วมกับ ผสู้ อนจากมหาวทิ ยาลยั Stanford และ Vanderbuilt สาหรบั ผ้เู ขียน
เองได้ทดลองใชร้ ปู แบบ PBL ในการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรสี าขาวิชาวิทยาศาสตร์ศกึ ษา คณะ
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น พบว่า ผูเ้ รียนมีพฒั นาการทางความคิด อยา่ งหลากหลาย สง่ ผลใหเ้ กิด
การเปลย่ี นแปลงทางพฤติกรรม เป็นที่พึงประสงค์ตามหลกั สูตรผลิตครวู ิทยาศาสตร์

การเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานคอื อะไร

เม่ือดูจากคาศพั ท์ Problem–based Learning กค็ ือ วธิ กี ารเรยี นรู้วิธหี นึ่ง ทม่ี ีรปู แบบการ
เรยี นรู้ โดยการนาปัญหามาเป็นตัวกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้

การเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรอื PBL) เป็นรูปแบบการ
เรยี นรทู้ ีเ่ กิดขึ้นจากแนวคดิ ตามทฤษฎีการเรียนรูแ้ บบสรา้ งสรรคน์ ิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้าง
ความรใู้ หม่ จากการใช้ปญั หาทเี่ กดิ ข้ึนจริงในโลกเปน็ บรบิ ทของการเรยี นรู้ (Learning Context) เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี น
เกดิ ทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์และคดิ แกป้ ัญหา รวมท้ังได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวชิ าที่ตนศึกษา ไปพรอ้ ม
กนั ด้วย การเรยี นร้โู ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทางานทต่ี ้องอาศัยความเขา้ ใจและการ
แกไ้ ขปัญหาเปน็ หลัก ถ้ามองในแง่ของยุทธศาสตรก์ ารสอน PBL เปน็ เทคนิคการสอน ทีส่ ่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นได้ลง
มือปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง เผชญิ หนา้ กบั ปญั หาดว้ ยตนเอง จะทาใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรปู แบบ เชน่
การคิดวจิ ารณญาณ คิดวเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสรา้ งสรรค์ ฯลฯ

หลายทา่ นอาจมีความสงสยั ว่า การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (PBL) และการเรยี นรูเ้ พ่ือการ
แก้ปญั หา (problem solving learning) ตา่ งกันอยา่ งไร ความแตกตา่ งที่ชัดเจนคือ การเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หา
เปน็ ฐานจะเน้นท่ีการกาหนดสิ่งท่ีจะเรียนรู้และกระบวนการค้นคว้าหาความรใู้ หมเ่ พื่ออธบิ ายปญั หาท่ีพบ ส่วน
การเรียนรเู้ พ่ือแก้ปญั หาจะเน้นทีก่ ารประยุกต์ใช้ความร้ทู ่มี ีอยู่และตัดสินใจทางเลือกทีเ่ หมาะสมสาหรับการ

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 4

แกป้ ญั หานัน้ ๆ จะเหน็ วา่ การเรยี นรู้ทงั้ สองแบบไม่ใชเ่ ปน็ สง่ิ เดียวกัน แตจ่ ะมีความสมั พันธก์ ันและเป็น
กระบวนการทต่ี ่อเน่ืองกัน

ลกั ษณะสาคัญของการเรียนรู้แบบ PBL
รปู แบบของการจัดการเรียนรู้แบบการใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน หรือ PBL มลี กั ษณะสาคัญดงั นี้
1. ให้ผ้เู รยี นเป็นศนู ยก์ ลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning)
2. จดั ผเู้ รยี นเป็นกลมุ่ ย่อย ๆ ให้มจี านวนกลุ่มละประมาณ 5–8 คน
3. ผสู้ อนทาหนา้ ท่ี เปน็ ผู้อานวยความสะดวก (facilitator) หรอื ผ้ใู หค้ าแนะนา (guide)
4. ใช้ปัญหาเปน็ ตวั กระตุ้น (ส่ิงเรา้ ) ให้เกิดการเรยี นรู้
5. ลักษณะของปัญหาท่ีนามาใช้ ตอ้ งมลี ักษณะคลมุ เครอื ไม่ชัดเจน มวี ธิ ีแก้ไขปญั หาได้อยา่ ง

หลากหลาย อาจมคี าตอบไดห้ ลายคาตอบ
6. ผเู้ รียนเปน็ ผแู้ ก้ปญั หาโดยการแสวงหาขอ้ มูลใหม่ ๆ ด้วยตนเอง (self-directed learning)
7.การประเมนิ ผล ใชก้ ารประเมินผลจากสถานการณ์จริง (authentic assessment) ดูจาก

ความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียนในขณะทากจิ กรรมการเรียนรู้ (Learning process) และพจิ ารณาจาก
ผลงานท่เี กิดขึ้นจากการเรียนรู้ (Learning product)

รปู แบบการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem–based Learning: PBL)

จากการศึกษาผลงานวจิ ัยด้านพฒั นาการเรียนสอนทีใ่ ช้ PBL ท้ังในระดับการศึกษาข้นั พ้นื ฐานและ
ระดบั อดุ มศึกษาท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ ท่ีอาศยั ลักษณะสาคัญของการจดั การเรียนรู้แบบ PBL เป็น
กรอบในการออกแบบขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้ พบวา่ มกี ารพัฒนารูปแบบการจดั การเรยี นร้ทู แ่ี ตกตา่ งกันตาม
ขนั้ ตอนของกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรม่ิ จากรูปแบบพ้นื ฐานทม่ี ี 7 ข้นั ตอนหลกั แล้วมีการปรับขยายหรือเพิม่
ขั้นตอนกจิ กรรมการเรียนร้จู นมีถงึ 11 ข้นั ตอน ในทีน่ ี้ขอเสนอ 4 รูปแบบคือ แบบ 7, 9, 10 และ 11 ข้นั ตอน
เพื่อให้ศกึ ษาความแตกต่างของแต่ละรปู แบบ จะได้เลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกับระดับของผเู้ รียนและลกั ษณะเฉพาะ
ของเน้ือหาวิชาทจ่ี ะจดั การเรียนรดู้ ้วย PBL

รูปแบบที่ 1 แบบ 7 ขั้นตอน
ลกั ษณะสาคัญของกิจกรรมการเรยี นร้ใู นแต่ละข้ันตอนมีดงั น้ี
1. Clarifying unfamiliar terms
กลุ่มผเู้ รยี นทาความเขา้ ใจคาศัพท์ ข้อความท่ปี รากฏอยู่ในปญั หาใหช้ ดั เจน โดยอาศยั ความรู้
พืน้ ฐานของสมาชกิ ในกลมุ่ หรือการศกึ ษาคน้ คว้าจากเอกสารตาราหรอื สื่ออ่นื ๆ
2. Problem definition
กลุ่มผูเ้ รยี นระบุปัญหาหรือข้อมูลสาคัญร่วมกนั โดยทกุ คนในกลุ่มเขา้ ใจปญั หา เหตกุ ารณ์ หรือ
ปรากฏการณใ์ ดท่ีกลา่ วถึงในปัญหาน้นั
3. Brainstorm

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 5

กล่มุ ผเู้ รียนระดมสมองวเิ คราะห์ปญั หาตา่ งๆ และหาเหตุผลมาอธิบาย โดยอาศยั ความรู้เดมิ ของ
สมาชกิ กล่มุ เปน็ การชว่ ยกนั คิดอยา่ งมเี หตุมผี ล สรปุ รวบรวมความรู้และแนวคดิ ของกล่มุ เกีย่ วกับ
กลไกการเกิดปญั หา เพื่อนาไปส่กู ารสรา้ งสมมติฐานทสี่ มเหตุสมผลเพอ่ื ใช้แก้ปัญหานนั้
4. Analyzing the problem

กลุ่มผูเ้ รียนอธบิ ายและต้ังสมมตฐิ านทเ่ี ชื่อมโยงกนั กับปัญหาตามท่ีไดร้ ะดมสมองกัน แล้วนาผลการ
วเิ คราะห์มาจดั ลาดับความสาคัญ โดยใชพ้ น้ื ฐานความรู้เดิมของผเู้ รียน การแสดงความคดิ อย่างมี
เหตผุ ล
5. Formulating learning issues

กลุ่มผเู้ รยี นกาหนดวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่ือคน้ หาข้อมลู ท่จี ะอธิบายผลการวิเคราะหท์ ่ตี ั้งไว้
ผ้เู รียนสามารถบอกไดว้ ่าความรู้สว่ นใดรู้แล้ว ส่วนใดต้องกลบั ไปทบทวน ส่วนใดยังไม่รหู้ รอื จาเป็นต้อง
ไปค้นควา้ เพิม่ เติม
6. Self-study

ผู้เรียนคน้ ควา้ รวบรวมสารสนเทศจากส่ือและแหล่งการเรียนรตู้ ่างๆ เพื่อพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้
ดว้ ยตนเอง (Self-directed learning)
7. Reporting

จากรายงานขอ้ มลู สารสนเทศใหม่ท่ีไดเ้ ขา้ มา กลุ่มผู้เรียนนามาอภิปราย วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ตาม
วัตถปุ ระสงค์ทตี่ ัง้ ไว้ แล้วนามาสรปุ เป็นหลักการและแนวทางเพื่อนาไปใชโ้ อกาสต่อไป

การนารูปแบบ 7 ขั้นตอนนี้ ไปใชบ้ างทา่ นเสนอแนะวา่ อาจจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแต่ละข้นั ตอน
ตามลาดบั ขนั้ ท่ีไม่ซบั ซ้อนกไ็ ด้ ดงั นี้

1. เมอ่ื ผู้เรยี นไดร้ บั โจทย์ปัญหา ผู้เรียนจะทาความเขา้ ใจหรือทาความกระจ่างในคาศัพท์ท่ีอยู่ในโจทย์
ปัญหานัน้ เพอื่ ให้เขา้ ใจตรงกัน
2. การจบั ประเด็นข้อมลู ทสี่ าคญั หรอื ระบปุ ัญหาในโจทย์
3. ระดมสมองเพ่ือวเิ คราะห์ปัญหา อภิปรายหาคาอธบิ าย แต่ละประเด็นปัญหาวา่ เปน็ อย่างไร เกดิ ขึ้น
ไดอ้ ยา่ งไร ความเป็นมาอย่างไร โดยอาศยั พ้ืนความรเู้ ดมิ เท่าที่ผเู้ รยี นมีอยู่
4. ตั้งสมมตฐิ านเพื่อหาคาตอบของปัญหาประเดน็ ตา่ งๆ พรอ้ มจัดลาดบั ความสาคญั ของสมมติฐานที่
เป็นไปได้อย่างมีเหตผุ ล
5. จากสมมติฐานที่ต้ังข้ึน ผู้เรยี นจะประเมนิ วา่ เขามีความรูเ้ รอ่ื งอะไรบ้าง มเี รอ่ื งอะไรทีย่ งั ไมร่ ู้หรอื ยัง
ขาดความรู้อะไร และความร้อู ะไรจาเปน็ ที่จะต้องใช้เพ่อื พิสูจนส์ มมติฐาน ซ่งึ เชือ่ มโยงกับโจทย์ปญั หา
ท่ีได้ ข้นั ตอนนี้กลุ่มจะกาหนดประเด็นการเรยี นรู้ (learning issue) หรอื วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้
(learning objective) เพ่ือจะไปค้นควา้ หาข้อมูลต่อไป
6. ผเู้ รยี นแต่ละคนคน้ คว้าหาขอ้ มลู และศึกษาเพิ่มเติมจากทรัพยากรการเรยี นรูต้ า่ งๆ เช่น หนังสือ
ตารา วารสาร สื่อการเรียนสอนตา่ งๆ การศึกษาในห้องปฏิบัตกิ าร คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน อนิ เทอร์เน็ต
หรอื ปรึกษาอาจารย์ผเู้ ช่ยี วชาญในเนื้อหาสาขาเฉพาะ เปน็ ตน้ พรอ้ มทั้งประเมินความถูกต้อง
7. นาขอ้ มูลหรือความร้ทู ี่ไดม้ าสังเคราะห์ อธบิ าย พิสจู น์สมมติฐานและประยุกตใ์ ห้เหมาะสมกับโจทย์
ปัญหา พรอ้ มสรุปเปน็ แนวคิดหรอื หลกั การท่ัวไป

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 6

โดยท่ีกจิ กรรมการเรยี นรู้ขั้นตอนที่ 1-5 เป็นข้นั ตอนท่ีใชก้ ระบวนการกลมุ่ ในช้นั เรียน ขน้ั ตอนที่ 6
เปน็ กจิ กรรมของผู้เรยี นรายบุคคลนอกหอ้ งเรียน และข้นั ตอนที่ 7 เปน็ กิจกรรมท่ีกลบั มาในกระบวนกลุ่มในชั้น
เรยี นอกี ครั้ง

รปู แบบที่ 2 แบบ 9 ขนั้ ตอน
ลกั ษณะสาคญั ของกิจกรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะข้ันตอนมีดงั นี้
1. อา่ นสถานการณ์โดยละเอยี ดทาความเขา้ ใจกบั คา และความหมายของคาในสถานการณ์ โดย
อาศยั ความรพู้ ื้นฐานของสมาชิกภายในกลมุ่ หรอื เอกสาร ตารา
2. นิยามปัญหา หรือระบุสถานการณ์ โดยแสวงหาความคิดเหน็ แบบระดมสมองอยา่ งมเี หตุผล
และวจิ ารณญาณ
3. วิเคราะหป์ ญั หา หรือสถานการณ์ โดยแสวงหาความคดิ เห็นแบบระดมสมองอยา่ งมเี หตผุ ล
และวจิ ารณญาณ
4. ตั้งสมมติฐาน โดยพยายามต้ังสมมตฐิ านใหม้ ากท่ีสุดเทา่ ทจ่ี ะมากได้
5. จดั ลาดับความสาคญั ของสมมติฐาน พจิ ารณาข้อยตุ ิสาหรบั สมมตฐิ านท่ปี ฏเิ สธได้
6. กาหนดวัตถุประสงค์ในการเรยี นรจู้ ากสมมตฐิ าน ที่ไดเ้ ลอื กไวพ้ จิ ารณาว่าต้องหาความรู้เร่ือง
อะไรบ้าง
7. ศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรู้เพิ่มเตมิ จากภายนอกกลุ่ม เชน่ เอกสาร ตารา ผู้เชย่ี วชาญ
8. สงั เคราะห์คน้ ควา้ หาความร้เู พมิ่ เติมจากภายนอกกลุ่ม เช่น เอกสาร ตารา ผเู้ ชย่ี วชาญ
9. สรุปการเรยี นร้หู ลักการและแนวคดิ จากการแก้ปัญหาโดยนาความรูม้ าเสนอต่อสมาชกิ

รปู แบบที่ 3 แบบ 10 ขนั้ ตอน
ลักษณะสาคญั ของกิจกรรมการเรยี นรูใ้ นแต่ละขน้ั ตอนมีดังนี้

1. ผู้เรียนเผชิญปัญหาที่คลมุ เครอื
2. ผ้เู รียนถามคาถามในส่ิงที่สนใจจากสถานการณ์ - โดยใช้ IPF question

ตวั อยา่ ง การใช้ IPF question ในการเรยี นรเู้ ร่อื ง เซลมะเร็ง
I – Interesting question เช่น

มีอะไรพเิ ศษในเซลลท์ ่ีเป็นสาเหตุให้เชลลเ์ ปลีย่ นไป
ทาไมเซลล์จึงถกู กาหนดใหต้ าย
กลไกที่ใชเ้ พ่ือซ่อมแซมสว่ นที่เสยี หายเปน็ อยา่ งไร
P- Puzzling question เช่น
อะไรเปน็ สาเหตุใหเ้ ซลล์ตาย
อะไรเปน็ สาเหตใุ ห้มีความเส่ยี งต่อการเปน็ มะเร็งมากกว่าผอู้ ่ืน
F- Important answers to find เชน่
องคป์ ระกอบท่สี ง่ เสรมิ ต่อการซอ่ มแซมเซลล์ท่เี สียหายคืออะไร
เราสามารถนาผลการวิจัยมาดแู ลสุขภาพอยา่ งไร

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 7

ในการปอ้ งกนั โรคมะเรง็ เราจะตอ้ งควบคมุ ทอี่ ะไร
3. การดาเนนิ การคน้ หา – เร่มิ จากคาถาม IPF

บทบาทครู- แนะนาวิธีการคน้ ปัญหา เชน่ การเขยี นปญั หา การใช้คาถาม “ทาไม” การเขียนแผนผงั การ
เชื่อมโยงสถานการณ์ต่างๆ
4. เขยี นแผนผงั การคน้ ปัญหา และจัดลาดบั ความสาคญั

บทบาทครู- แนะนา อานวยความสะดวก (แต่ไมต่ ัดสินใจให)้
5. การสารวจปญั หา/สบื เสาะ – เพ่ือชว่ ยกาหนดกลยุทธ์ของกล่มุ

บทบาทครู – ครูจะวางระบบแผนงานโดยรวมอย่างไร สมาชกิ แต่ละคนในกลุ่มจะรับผดิ ชอบอะไรบา้ ง
บทบาทครู ใช้คาถามแนะนาการสืบเสาะ

ตามที่กลุ่มไดต้ ัดสนิ ใจใชว้ ธิ ีสัมภาษณ์ คณุ จะสมั ภาษณ์ใคร
คุณจะพบผู้ให้สมั ภาษณ์ได้อย่างไร
ตอ้ งการข้อมูลใดจากผู้ทใี่ หส้ ัมภาษณ์
คณุ จะบันทกึ อะไร
6. การวิเคราะห์ – ผู้เรยี นรบั ผดิ ชอบตอ่ การวิเคราะหผ์ ล
บทบาทครู
1. ใชค้ าถามแนะนา เชน่

การเปรียบเทยี บผลการสัมภาษณจ์ ะมีประโยชนห์ รือไม่
คุณจะแสดงผลการเปรยี บเทียบอย่างไร
2. แนะนาวิธีการวิเคราะห์ข้อมลู
7. การเรยี นรซู้ า้ – เสนอสง่ิ ท่ีไดเ้ รยี นรู้ต่อกัน เกิดความเขา้ ใจใหม่และนาไปใชแ้ กป้ ญั หาและนิยามปญั หา ถ้าไม่
ชัดเจนไปเรียนรู้เพม่ิ
บทบาทครู – การใชค้ าถามใหค้ ิดใคร่คราญ เช่น
ผลลพั ธ์ทีจ่ ะชว่ ยให้คุณเข้าใจปญั หาทค่ี ุณสารวจอย่างไร
ถ้าคณุ ไปสารวจใหม่อกี คร้ัง คุณจะทาอะไรท่ีแตกต่างจากเดิม ด้วยเหตผุ ลใด
8. การสรา้ งแนวคาตอบและข้อแนะนา – สรา้ งความรจู้ ากผลลพั ธ์ทไี่ ด้
บทบาทครู แนะนาวิธกี ารสรา้ งความรู้
ใชค้ าถาม “อยา่ งไร” ทุกครง้ั ท่ผี ู้เรียนเสนอแนวคาตอบ
แนะนาใหเ้ สนอความรแู้ บบต่างๆ เชน่ การเช่ือมโยง โมเดล อปุ มาอปุ มยั แผนผงั ความคิด
9. สอื่ ความหมายผลลัพธ์ท่ีได้
บทบาทครู
เรือ่ งที่คน้ พบไดจ้ ากไหน
ได้ข้อสรุปอะไรบ้าง
ใครได้รบั ประโยชน์จากเรอื่ งน้ี และได้อะไร
10. การประเมนิ ผล-โดยครู ผู้เรยี น และเพื่อน
บทบาทครู
การประเมนิ ปฏิบัตกิ าร โดยประเมินการใช้ขอ้ มลู รว่ มกัน การคน้ หาและนยิ ามปญั หา การไดม้ าซ่ึง
ความรู้ การนาตนเอง ทักษะการเรียนแบบร่วมมือ และการแก้ปัญหา

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 8

ใช้การประเมนิ ตามสภาพจรงิ โดยสรา้ งเกณฑ์การประเมิน (Rubric Scoring) เพอื่ การประเมิน การ
อภปิ ราย การเขยี นอนุทนิ บนั ทึกการทดลอง การใหค้ ะแนนตนเอง และการสมั ภาษณ์

รูปแบบที่ 4 แบบ 11 ข้นั ตอน
ลกั ษณะสาคญั ของกจิ กรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะขั้นตอนมีดงั นี้
1. จดั กลุ่มแนะนาสมาชกิ
2. กาหนดวัตถุประสงค์
3. ศกึ ษาปญั หาท่ไี ด้รบั ขยายรายละเอยี ดของปัญหา
4. กาหนดประเด็น ประเดน็ ในการเรยี นรู้
5. กาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องแผนดาเนนิ การ
6. ทาความตกลงกนั ในเร่ืองของ ข้อมูลที่จะตอ้ งศกึ ษา
7. กาหนดแหลง่ เรียนรู้
8. รวบรวมความรทู้ ่ไี ด้มาจากการคน้ ควา้ สรา้ งการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
9. ทาความเขา้ ใจซา้ อีกกบั ความรทู้ ไ่ี ด้รบั ใหม่
10. เลอื กวธิ ใี นการแกป้ ญั หา/ นาเสนอวิธีการแกป้ ัญหา
11. การประเมนิ ผล

ผู้เรียนไดพ้ ัฒนาอะไรบ้างจากการเรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
เม่ือพจิ ารณาจากแตล่ ะขนั้ ตอนของกิจกรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะรปู แบบ จะเห็นว่าผ้เู รียนไดม้ โี อกาส

พฒั นาทัง้ ความร้ใู นเนื้อหาวชิ าและทกั ษะตา่ ง ๆ ท่เี ป็นเป้าหมายการพฒั นาผเู้ รยี นในระดับอดุ มศกึ ษา ซ่งึ พอ
สรปุ ได้ดังนี้

1. ได้ความรู้ทส่ี อดคล้องกับบริบทจริงและสามารถนาไปใชไ้ ด้

2. พฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงวิพากย์ (Critical Thinking) การคดิ วิเคราะห์ (Analytical Thinking) การ
คิดอยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผล (Rational Thinking) การคดิ สงั เคราะห์ (Synthetic Thinking) การคิด
สรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) และนาไปสู่การคิดแกป้ ญั หา (Problem Solving Thinking) ท่ีมี
ประสทิ ธผิ ล

3. ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้ได้ดว้ ยตัวเองอย่างตอ่ เน่ือง นาไปสู่การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ (Life-long
learning) ซงึ่ เป็นคณุ ลักษณะทีส่ าคญั ของบุคคลในศตวรรษท่ี 21

4. ผเู้ รยี นสามารถทางานและส่ือสารกบั ผ้อู นื่ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

5. เป็นการสร้างแรงจงู ใจในการเรยี นรู้ให้แก่ผ้เู รยี น

6. ความคงอยู่ (retention) ของความรูจ้ ะนานขึ้น

การเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานจะสอดคลอ้ งกับแนวคดิ การเรียนรแู้ บบผู้ใหญ่ (adult learning) ซง่ึ
ผู้เรยี นจะกาหนดวตั ถปุ ระสงค์การเรียนรขู้ องตนเอง เรยี นรเู้ มือ่ สิ่งนั้นมีความหมายหรือนาไปใช้ได้ (เนื่อง จาก
โจทย์ปญั หาจะถูกใชเ้ ป็นบริบทของการเรยี นรู้) เรยี นรู้ในส่งิ ที่จาเป็นสาหรับใช้แก้ปญั หามากกว่าจะเรียนเพ่ือ

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 9

ทอ่ งจา เรยี นรตู้ ามความถนัดและศักยภาพของตนเอง และสามารถประเมนิ ตนเองเกยี่ วกับกระบวนการเรยี นรู้
และสงิ่ ทเี่ รียนรูไ้ ด้

การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานยงั เปน็ การตอบสนองต่อแนวคดิ constructivism โดยให้ผเู้ รียน
วเิ คราะห์หรือต้ังคาถามจากโจทย์ปญั หา ผ่านกระบวนการคิดและสะท้อนกลับ เนน้ ปฏิสมั พันธ์ระหว่างผ้เู รียน
ในกลมุ่ เน้น active learning และ collaborative learning นาไปสู่การค้นควา้ หาคาตอบหรอื สร้างความรู้
ใหม่บนฐานความรเู้ ดิมทผ่ี ้เู รยี นมมี าก่อนหนา้ นี้

นอกจากนี้ การเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานยังเป็นการสร้างเงอ่ื นไขสาคญั ที่สง่ เสริมการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่
(1) activation of prior knowledge การเรยี นรูส้ ิ่งใหมจ่ ะไดผ้ ลดขี นึ้ ถ้าไดม้ ีการเชื่อมโยงหรอื กระตุน้ ความรู้
เดิมท่ผี ้เู รยี นมีอยู่ (2) encoding specificity การเรยี นรเู้ นอื้ หาทีใ่ กลเ้ คียงสถานการณจ์ รงิ หรอื มปี ระสบการณ์
ตรง (จากโจทย์ปัญหา) จะทาให้ผ้เู รยี นเรยี นร้ไู ดด้ ขี นึ้ และ (3) elaboration of knowledge เนอ่ื งจากการ
เรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานเปน็ การเรียนกลุม่ ย่อย การได้แสดงออก แสดงความคิดเหน็ หรอื อภิปรายถกเถียง
กนั จะทาใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจและเรยี นร้สู ่งิ นัน้ ไดด้ ขี น้ึ

จุดเด่นและขอ้ จากดั ของการเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน
จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานมจี ดุ เดน่ ทีส่ าคัญ คอื ผเู้ รยี นจะมีทักษะใน

การต้ังสมมตฐิ านและการให้เหตุผลดขี ึ้น สามารถพัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ทางานเปน็ กลุ่มและ
สือ่ สารกบั ผ้อู ่นื ได้ดีขน้ึ และมีประสทิ ธภิ าพ ความคงอยู่ของความรู้นานกว่าการเรียนแบบบรรยาย นอกจากนั้น
บรรยากาศการเรียนรมู้ ชี ีวิตชวี า จงู ใจใหผ้ ู้เรยี นอยากเรยี นรู้มากข้ึน และยังส่งเสริมความร่วมมือและการทางาน
ร่วมกันระหวา่ งภาควิชาหรือหน่วยงาน

ขอ้ จากดั ของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ซึง่ ยงั เป็นประเดน็ ที่ถกเถียงกนั ไดแ้ ก่ ครมู ีความกังวลวา่
ผเู้ รยี นจะมีความรู้น้อยลง ความรทู้ ี่ไดร้ ับจะไม่เป็นระบบ ความถูกต้องของเนื้อหาหรือข้อมลู ทีผ่ ู้เรยี นไปคน้ ควา้
ศกึ ษามา ตลอดจนครูต้องมีทักษะทีห่ ลากหลายมากกวา่ การสอนแบบบรรยาย ในส่วนของผู้เรียน จะกงั วล
เกี่ยวกับความถูกต้องของเน้ือหา ไม่มัน่ ใจว่าสง่ิ ท่ีตนเองไปเรียนรู้มาถูกต้องหรือไม่ ขอบเขตของการเรียนรู้ ตอ้ ง
เรียนรมู้ ากน้อยเพียงไร รวมถงึ ความแตกตา่ งกนั ของครหู รือผู้สอนประจากลุ่ม นอกจากนี้อาจยงั มีขอ้ จากัด
เกีย่ วกบั งบประมาณหรอื สง่ิ สนบั สนุนท่ใี ช้ จานวนครู การบริหารจดั การ ซึ่งตอ้ งมีการประสานงานและร่วมมือ
กนั อย่างดีระหวา่ งภาควชิ า และเวลาท่ีใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน

ปจั จยั ทสี่ ่งผลต่อคณุ ภาพของการจัดการเรยี นรู้แบบ PBL
คุณภาพของการเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐานจะขึน้ กบั ปัจจัยตอ่ ไปน้ี

1. ความสาคญั ของเน้ือหา ตอ้ งเลือกเน้ือหาที่เปน็ แกนหรือหลักการและสอดคล้องกับการนาไปใชใ้ น
สถานการณ์จริง

2. คณุ ภาพของโจทย์ปัญหา ตอ้ งเลอื กปญั หาที่พบบ่อยในสถานการณ์จริงและสรา้ งปัญหาให้สอดคล้องกับ
วตั ถปุ ระสงค์ของหลักสูตร ปัญหาทด่ี ีจะต้องนา่ สนใจและกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นสามารถอภปิ รายและเรียนลงไป
ในระดบั ลึกจนเข้าใจแนวคิดของปัญหามากกว่าการท่องจา สามารถเช่อื มโยงความรู้เดิมของผู้เรยี นกับ
ข้อมลู ใหม่

3. กระบวนกลมุ่ ทัง้ ครูและผเู้ รียนต้องเข้าใจพลวตั รของกระบวนการกลมุ่ บทบาทของสมาชกิ แตล่ ะคนในกลุ่ม
กระบวนการกลมุ่ ท่ดี จี ะทาให้การเรยี นรู้มีประสิทธิผลย่งิ ข้ึน

Problem-based Learning: PBL

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น Page | 10

4. บทบาทและทกั ษะของครู ครูหรือผ้สู อนยงั มีบทบาทสาคัญในการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานแตจ่ ะ
เปลีย่ นไปจากการสอนแบบบรรยาย คือไม่ได้เปน็ ผเู้ อาความรูม้ าบอกแต่มีบทบาทท่สี าคัญในการออกแบบ
กจิ กรรมและบรหิ ารจดั การให้ผ้เู รยี นไดท้ ากิจกรรมการเรียนรู้ตามท่ีวางแผนไว้ เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรแู้ ละ
พัฒนาวธิ กี ารเรยี นรู้และความสามารถในการแก้ปัญหาไปพรอ้ ม ๆ กนั

5. การพฒั นาทักษะต่างๆ ของท้ังครแู ละผ้เู รียน ครอู าจไม่มั่นใจตนเองในการที่ต้องเป็นครใู นวิชาทต่ี นไม่
ชานาญ ครจู ะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกทักษะตา่ งๆ ของการเป็นครูประจากลุ่ม จะช่วยใหก้ ารเรียนการ
สอนประสบความสาเร็จมากข้ึน ผเู้ รียนก็จะต้องได้รบั ความเข้าใจเก่ยี วกับแนวคิดการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หา
เปน็ ฐานและการเตรยี มความพร้อมก่อนการเรียนแบบน้ี

6. ทรพั ยากรการเรียนรู้ เนอื่ งจากเป็นแหล่งข้อมลู หรือความรู้ที่สาคัญ การเตรยี มและจดั หาแหล่งทรพั ยากร
การเรยี นรทู้ ี่หลากหลาย พรอ้ มทัง้ เทคโนโลยีทเี่ ก่ียวขอ้ งจึงมีความจาเป็นต่อการเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน

7. การบริหารจัดการ ความร่วมมือและประสานงานกนั ระหว่างภาควชิ าหรือหน่วยงาน ตลอดจนการวางแผนท่ี
เหมาะสมจะทาให้การจดั การเรียนการสอนมปี ระสิทธิภาพ

เอกสารประกอบการเรียบเรียง
Barrows HS. Problem-Based Learning Applied to Medical Education. Rev Ed. Southern Illinois University School of Medicine,

Springfield, Illinois, 2000
Duch BJ, Groh SE, Allen DE. The Power of Problem-Based Learning. Stylus Publishing, LLC, Virginia, 2001.
Schwartz P, Mennin S, Webb G. Problem-Based Learning. Case Studies, Experience and Practice. Kogan Page Ltd, London,

2001.
Savery, J. (1994). What is Problem-based learning? : http.//edweb.sdsu.edu/ Clirt/learningtree/PBL/PBLadvantages.html
Wilson, C. E. A. (1991). A Vision of a preferred curriculum for the 21st century: Action research in school administration:

http://www. Samford.edu/pbl
Woods, (1985). Problem-based learning and problem solving. In Russell Kenley (1995). “Problem Based Learning: within a

traditional teaching environment” AUBEA conference, University of Technology Sydney, New South Wales.
Problem-Based Learning. The University of Western Australia: Issues of Teaching and Learning. (Vol. 2 June, 1996):

http://uwa.edu.au/csd/newsletter/issue0496/pbl.
What is Problem-based learning? : http://www.samford.edu/pbl
Problem-based Learning Theory. : http://www.usd.edu/~knorum/learningpapers/pbl.
Problem – based learning. : http: // socserv2.mcmaster.ca/soc/beehive/pbl.htm

Problem-based Learning: PBL


Click to View FlipBook Version