The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 1 ความสำคัญของวิชาชีพครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by srisomphan, 2021-07-22 09:13:47

บทที่ 1 ความสำคัญของวิชาชีพครู

บทที่ 1 ความสำคัญของวิชาชีพครู

Keywords: วิชาชีพครู

TEACHING
PROFESSION
Chapter 1

ความสาคัญของวชิ าชีพครู

ผศ.ดร.จริ พันธ์ุ ศรีสมพนั ธ์ุ
ภาควิชาคอมพิวเตอรศ์ กึ ษา คณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรม
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ

Email: [email protected]

บทที่ 1

ความสาคัญของวิชาชีพครู

วิชาชีพครูเป็นวิชาท่ีสาคัญ เป็นวิชาชีพที่สามารถนาพาคนในชาติให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง อันจะต้อง
ใช้ความรู้ความสามารถท่ีหลากหลายในการประกอบอาชีพ อีกทั้งต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ในการประกอบ
อาชีพ ดังน้ันครูควรน้อมนาพระราชดารัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้มอบแก่ครูอาวุโส ในวันเสาร์ ที่ 21
ตุลาคม 2521 ไปปฏบิ ตั ิดงั น้ี

“ ถา้ ครูไม่ห่วงประโยชน์ทค่ี วรจะห่วง หันไปหว่ งอานาจ ห่วงตาแหนง่ หว่ งสทิ ธิ์ และ หว่ งรายได้กัน
มากเข้า ๆ แลว้ จะเอาจิตเอาใจทไี่ หน มาหว่ งความรู้ ความดี ความเจรญิ ของเด็ก ความห่วงในสงิ่ เหล่านนั้ กจ็ ะ
ค่อย ๆ บน่ั ทอนทาลายความเปน็ ครไู ปจนหมดส้ิน จะไม่มอี ะไรเหลือไว้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจ หรอื ผูกใจใคร
ไว้ได้ ความเป็นครกู ็จะไม่มีคา่ เหลืออยูใ่ หเ้ ป็นทเ่ี คารพบชู าอีกตอ่ ไป ”

ดงั นั้นผ้ปู ระกอบอาชีพครจู งึ ควรทราบถงึ ความสาคัญของวชิ าชพี ครู เพื่อให้เกิดความภาคภูมใิ จและ
ดารงคอ์ ยู่ในอาชีพอยา่ งมีความสขุ ตอ่ ไป

องคป์ ระกอบของความเปน็ ครู
ภารกจิ ทส่ี าคัญของวิชาชพี ครู คอื การสอน การสอนเป็นกระบวนการเฉพาะตวั ที่จะต้องใชท้ ง้ั

“ศาสตรแ์ ละศลิ ป์” ดงั นั้นองค์ประกอบของความเป็นครูได้แก่ ศาสตร์ คือวิชาการ ความรู้ ท่ีต้องการถ่ายทอด
ให้กบั ผู้เรียน ศิลป์ คอื กลยทุ ธ์หรือวิธกี ารถ่ายทอดใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจในเน้ือหานั้น ๆ

ยนต์ ชุ่มจติ ร กลา่ ววา่ ครตู อ้ งอาศยั องค์ประกอบอยา่ งน้อย 2 ประการ คือ
1. องคป์ ระกอบทางด้านความรใู้ นหลกั วชิ าการที่ไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี นมาจากสถาบนั การศึกษา หรอื

จากผ้ทู รงคุณวฒุ ิต่างๆ องคป์ ระกอบด้านนเี้ รียกวา่ “องค์ประกอบทางด้านวตั ถุวสิ ัย”
2. องคป์ ระกอบทางด้านความสามารถและบคุ ลิกภาพส่วนตัว หรอื เรยี กอีกอย่างหน่ึงวา่

“องคป์ ระกอบทางจิตวิสยั ”

ความหมายของวิชาชีพครู
คอลลินส์ (Collins, 1987 : 1146) ได้ใหค้ วามหมายของวิชาชีพว่าเป็นลักษณะหน่ึงของงาน (job) ซึง่

ความสาคญั ของวชิ าชีพครู 1

เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร.จริ พันธุ์ ศรีสมพนั ธุ์

เป็นงานท่ีผูท้ าต้องได้รบั การฝึกฝนโดยเฉพาะ และเป็นงานท่ีทาใหผ้ ู้ประกอบการนนั้ ได้รับฐานะท่สี ูงเป็นพเิ ศษ
จากสังคม ตัวอย่างเช่น การงาน (work) ท่ีเก่ียวข้องกับการรกั ษาโรค กฎหมาย หรือการใหก้ ารศกึ ษาอบรม
เปน็ ต้น

พจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถาน (2546 : 1072) ได้ให้ความหมายว่า วิชาท่ีจะนาไปใช้ในการ
ประกอบอาชีพ เช่นวชิ าแพทย์ วิชาช่างไม้ วชิ าชา่ งยนต์

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์(2560) ได้ให้ความหมายว่าวิชาชีพเป็นความรทู้ ่ีได้จากการฝึกฝนเล่าเรียน หาก
ไม่เรยี นอาจจะปฏบิ ัตงิ านนนั้ ไมไ่ ด้

พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ได้ให้ความหมาย วิชาชีพ ไว้ว่าเป็น
วิชาชีพทางการศึกษาที่ทาหน้าท่ีหลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย
วิธีการต่างๆ รวมท้ังการรับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาปฐมวัย ข้ันพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่
ต่ากว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน และการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ตลอดจนการสนับสนนุ การศึกษา ใหบ้ รกิ ารหรือปฏบิ ัติงานเกีย่ วเน่ืองกับการจัดกระบวนการเรยี นการสอน การ
นิเทศ และการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ

ดังนั้นวิชาชีพจึงหมายถึง วิชาที่นาไปใช้ในการประกอบอาชีพซึ่งจะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นระยะ
เวลานาน เพ่ือใหเ้ กิดความชานาญเฉพาะด้าน มขี อ้ กาหนดคุณลักษณะเฉพาะบางประการเพ่ือให้มีความต่างกับ
อาชีพอ่นื

ความหมายของคาว่า “ครู”
คาว่า “คร”ู มาจากรากศัพท์ภาษาบาลีวา่ ครุ(คะรุ) แปลว่าหนักแนน่ หรือจากภาษาสันสกฤตว่า ครุ ุ

(คุ-ร)ุ ซ่ึงแปลว่า ผูช้ ี้แสงสว่าง

พันเอก ปนิ่ มทุ ุกันต์ (2524 : 46-47, 49-50) ให้ความหมายของ “คร”ู ไว้ในหนังสือ “มงคลชีวติ ” ว่า
คาว่า “คร”ุ หรือ “คร”ู น้ี ซึง่ แผลงไปเปน็ “คารวะ” แตเ่ ดิมแปลว่า หนกั

คาว่า หนกั น้นั หมายถึง คนท่ีมาเปน็ ครูนน้ั จะต้องผ่านการศกึ ษาเลา่ เรียนมาอย่างหนกั เมื่อต้องสอน
นกั เรยี นก็ต้องรับภาระอันหนัก กล่าวคอื ต้องหนักทง้ั กายและหนกั ท้งั จติ ใจ หนกั ทางกาย หมายความว่า ต้อง
ศึกษาค้นควา้ หาความรู้อย่เู สมอเพ่ือหาความรู้ใหมๆ่ มาสอนศษิ ยใ์ หม้ ีความรทู้ ันโลกทันเหตุการณ์ สว่ นที่กล่าว
ว่าหนกั ท้ังจิตใจด้วยนนั้ หมายความวา่ ผู้ท่มี วี ญิ ญาณความเป็นครูจะต้องคอยดแู ลเอาใจใสใ่ นความทุกข์สุขของ
ศษิ ย์อยู่ตลอดเวลา ต้องคอยอบรมบม่ นสิ ยั ใหน้ ักเรียนเปน็ ผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 อธิบายว่า คาว่า “ครู” นั้นมาจากรากศัพท์ ในภาษา
บาลีว่า “คุรุ” ในความหมายท่ีเป็นคานาม แปลว่า “ผู้สั่งสอนศิษย์หรือถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์” ส่วนใน
ความหมายท่ีเป็นคาวิเศษณ์ในภาษาบาลี แปลว่า หนัก สูง ส่วนในภาษาสันสกฤต แปลว่า ใหญ่ หรือหนัก
(ราชบัณฑติ ยสถาน. 2546 : 225)

ความหมายของครูตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 2 ) พ.ศ.
2545 ตามมาตรา 4 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
นิยามความหมายของคาว่าครูไว้ว่า “ครู” หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียน
การสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของผ้เู รียนด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ในสถานศึกษาทง้ั ของรฐั และเอกชน

ตามกฎหมายน้ี ครูมีองค์ประกอบท่ีสาคัญ คือ (1) ทาหน้าท่ีหลักทางด้านการเรียนการสอน และ
ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ (2) ทาการสอนในสถานศึกษาท้ังของรัฐและเอกชน (3) เป็น
บคุ ลากรวชิ าชีพ นอกจากนีย้ งั มีผู้ให้ความหมายอื่น ๆ อีก เชน่

ครู คือ ปูชนียบุคคล หมายถึง ครูท่ีเสียสละ เอาใจใส่เพ่ือความเจริญของศิษย์ ซ่ึงเป็นบุคคลที่ควร
เคารพเทดิ ทูน

ครู คอื แม่พิมพข์ องชาติ หมายถึง การเปน็ แบบอย่างทดี่ ีของลกู ศษิ ย์ทจี่ ะ ปฏบิ ัติตัวตามอย่างครู

ครู คือ ผู้แจวเรือจ้าง หมายถึง อาชีพครูเป็นอาชีพท่ีไม่ก่อให้เกิดความ ร่ารวย ครูต้องมีความพอใจใน
ความเป็นอยอู่ ยา่ งสงบเรียบรอ้ ยอยา่ หวั่นไหวตอ่ ลาภยศความ สะดวกสบาย

เพ่ือให้ได้เกิดความเข้าใจในความหมายของคาว่า “ครู” ยิ่งขึ้น จึงขอสรุปดังนี้ ครู คือผู้ส่ังสอนศิษย์
และเป็นบุคลากรวิชาชีพที่ทาหน้าด้านการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้มีความรู้ ควบคู่
คุณธรรมและจริยธรรม โดยจะจดั การสอนในสถานศึกษาทง้ั ของรฐั และเอกชน

ส่วนคาว่า ครูช่าง มักจะพบคานี้ได้กับผู้ที่ทาหน้าที่สอนในระดับอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา โดยมี
ผู้ให้ความหมายไว้ดังน้ี ครูช่าง หมายถึง ผู้ท่ีทาหน้าที่สอน อบรมให้ความรู้ ทักษะ และเจตคติให้แก่ผู้เรียนใน
สายวิชานัน้ ๆ การฝกึ สอนครชู า่ งจึงเปน็ การสรา้ งคนให้มจี ติ สานึกในความเปน็ ครู มคี วามรอบร้ทู างด้านเทคนิค
วธิ กี ารสอน และมคี วามสามารถทั้งภาคทฤษฎแี ละปฏิบัติงานทางชา่ งอีกดว้ ย(https: //www.facebook.com/
ครชู า่ ง-อุตสาหกรรม-642861272449046)

ความสาคญั ของวชิ าชพี ครู 3

เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร.จริ พันธ์ุ ศรีสมพนั ธุ์

ความหมายของคาว่า “อาจารย์”

ปัจจุบันมักมีการใช้คาว่า “ครู” กับ “อาจารย์” แทนตัวของผู้สอนเหมือนกัน โดยไม่สามารถแยกถึง
ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 คาได้ แต่เม่ือพิจารณารากศัพท์เดิมของคาทั้งสองน้ีแล้วจะเห็นความแตกต่างกัน
รากศัพท์เดิมของคาว่า “อาจารย์” มาจากภาษาบาลีว่า “อาจารฺย” และภาษาสันสกฤตว่า “อาจาริย” พระ
ธรรมโกศาจารย์หรือพุทธทาสภิกขุ (2529 : 93) อธิบายว่า ความหมายด้ังเดิมของอาจารย์ หมายถึง ผู้ฝึก
มารยาทหรือควบคุมให้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นผู้รักษาระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจารย์เป็นผู้วาง เป็นผู้ดูแลให้
อยู่ในระเบยี บ

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 1,361) อธิบายว่า
อาจารย์ คือ ผู้สั่งสอนวิชาความรู้ ใช้เรียกนาหน้าชื่อบุคคลเพ่ือแสดงความยกย่องว่ามีความรู้ในทางใดทางหนง่ึ
แต่ตามมาตรา 4 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 ไม่ได้
กาหนดคาว่า “อาจารย์” ไว้ แตจ่ ะใช้คาว่า “คณาจารย์” แทน โดยใหค้ วามหมาย คณาจารย์ ไว้วา่ บคุ ลากรซ่ึง
ทาหน้าที่หลักทางด้านการสอนและวิจยั ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปรญิ ญาของรัฐและเอกชน

ปัจจุบนั คาวา่ อาจารยจ์ ะใช้นาหน้าชื่อของผู้สอนในระดับอุดมศกึ ษาระดับปริญญาของรฐั และเอกชน ที่
ยังไม่มีวิทยาฐานะ ดารงตาแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ข้ึนไป แต่เราจะสรุปได้ว่าคาว่า ครู กับ อาจารย์
ความหมายเหมือนกันนั้นคือการเป็นผู้ทาหน้าที่ในการสอน เพียงแต่คาว่าอาจารย์จะแสดงถึงผู้สอนที่มีความ
เช่ียวชาญด้านเฉพาะศาสตร์ใดด้านหน่ึงเราจึงมักจะได้พบคาว่าอาจารย์ใช้เรียกผู้สอนในระดับอุดมศึกษา
มากกวา่ ดงั นน้ั ผทู้ ่ีสอนในสถานศกึ ษาซ่งึ ต่ากว่าระดบั ปริญญาให้เรียกว่า “คร”ู ส่วนผสู้ อนในสถาบนั อุดมศึกษา
ระดบั ปริญญาให้เรียกวา่ “คณาจารย์” หมายถงึ อาจารย์ของหมคู่ ณะ หรือคณะอาจารย์

คณุ ลักษณะของวิชาชีพ

อาชีพท่ีสังคมยกย่องหรือมีสถานะพิเศษในสังคมน้ัน ต้องมีคุณลักษณะตามเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งนักสังคม
วิทยาและนักทฤษฎีทางการศึกษาไดร้ ว่ มกันเสนอไวห้ ลายเกณฑ์

วิจิตร ศรสี อา้ น (2535 : 823-824) อธบิ ายลกั ษณะของวิชาชพี ชนั้ สูงไว้ว่ามี 6 ลักษณะ ดังนี้

1. วิชาชีพชั้นสูงจะต้องมีบริการท่ีให้แก่สังคมท่ีมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและจาเป็น (social service)
วิชาชีพหลักๆ ในแต่ละวิชาชีพต่างก็มีบริการที่ให้แก่สังคมเป็นการเฉพาะของแต่ละวิชาชีพโดยไม่ซ้าซ้อนกัน
บริการของวิชาชีพน้ีอาจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น บริการของแพทย์กับพยาบาลหรือวิศวกรกับ

สถาปนิก แต่ทุกฝ่ายก็มีขอบเขตบริการของตนเองที่ชัดเจนแยกออกจากกันได้ วิชาชีพชั้นสงู เน้นการบริการตอ่
สังคมมากกวา่ การหาประโยชน์จากผรู้ ับบรกิ าร

2. สมาชิกของวิชาชีพช้ันสูงจะต้องใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ (intellectual method)
หมายความว่า การวินิจฉัยตัดสินใจในการปฏิบัติต่อผู้รับบริการของวิชาชีพนั้น จะต้องอาศัยความรู้ ความคิด
และสติปัญญาเป็นพ้นื ฐานสาคัญ มากกวา่ การใช้ทักษะและความชานาญการแตเ่ พียงดา้ นเดียว แต่เปน็ กิจกรรม
ที่ต้องอาศัยความรู้ ความคิด หลักการ และทฤษฎี จึงจะประกอบการได้ วิธีการอย่างน้ีเรียกว่า วิธีการแห่ง
ปญั ญา

3. สมาชกิ ของวิชาชีพช้นั สูงจะต้องได้รับการศึกษาอบรมให้มีความรู้กวา้ งขวางลึกซ้ึง โดยใชร้ ะยะเวลา
ยาวนานพอสมควร (long period of training) เนื่องจากต้องใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ โดยปกติ
มักจะถือเป็นเกณฑ์ว่า อย่างน้อยควรต้องได้รบการศึกษาในสาขาวชิ าชีพน้ันๆ ไม่ต่ากว่าระดับปริญญาตรี และ
มักจะใช้เวลาศึกษามากกว่า 4 ปี หลังจากมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ท้ังน้เี พ่อื จะใหห้ ลกั ประกนั แกผ่ ู้รบั บริการวา่ ผู้
ใหบ้ ริการสามารถให้บรกิ ารทีม่ คี ุณภาพตามมาตรฐานวชิ าชีพได้ เพราะมกี ารศึกษาอบรมมามากพอ

4. สมาชิกของวิชาชีพชั้นสูงจะต้องมีเสรีภาพในการใช้วิชาชีพนั้นๆ ตามมาตรฐานของวิชาชีพ
(professional autonomy) หมายความว่า การวินิจฉัยในการให้บริการภายในขอบเขตของวิชาชีพแต่ละ
วิชาชีพน้ัน สมาชิกของวิชาชีพนั้นๆ ควรจะมีเสรีภาพในการให้บริการโดยปราศจากการแทรกแซงจาก
บุคคลภายนอก การใช้เสรีภาพทางวิชาชีพเป็นความรับผิดชอบสาคัญ เมื่อผู้ที่เป็นสมาชิกของวิชาชีพได้รับ
การศึกษาอบรมมาดีพอแล้ว ก็เป็นธรรมดาท่ีจะสามารถวินิจฉัยเพ่ือให้บริการได้ถูกต้องตามลาพัง ความเป็น
อิสระในการให้บริการเป็นลักษณะที่จาเป็นท่ีทุกวิชาชีพต้องมี แต่จะมีมากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับความยอมรับ
ของสังคมและผูร้ บั บริการเปน็ สาคญั

5. วิชาชีพช้ันสูงจะต้องมีจรรยาบรรณ (professional ethics) จรรยาบรรณเป็นแนวทางของการ
ปฏิบัติวิชาชีพ ผู้ท่ีละเมิดจรรยาบรรณจะต้องได้รับการลงโทษ ในกรณีร้ายแรงอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ประกอบวชิ าชพี ไดใ้ นทุกสังคมจะมกี ฎหมายควบคุมการประกอบวชิ าชีพ โดยเฉพาะวิชาชีพหลักๆ ซึ่งให้บริการ
อันอาจมีผลกระทบต่อสวัสดิการ สวัสดิภาพ และความมั่นคงปลอดภัยของสังคม ในประเทศไทยก็มีกฎหมาย
คุ้มครองการปฏิบัติวิชาชีพอยู่หลายวิชาชีพ ผู้จะปฏิบัติวิชาชีพจะต้องได้รับใบอนุญาตประกอวิชาชีพจึงจะ
กระทาได้ เช่น วิชาชีพเวชกรรม วิศวกรรม หรอื สถาปตั ยกรรม เป็นตน้

ความสาคญั ของวิชาชพี ครู 5

เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร.จิรพนั ธุ์ ศรสี มพนั ธ์ุ

6. วิชาชีพชัน้ สูงจะตอ้ งมีสถาบนั วชิ าชีพเป็นแหลง่ กลางในการสรา้ งสรรค์ จรรโลงมาตรฐานของวิชาชีพ
(professional institution) สถาบันหรือองค์กรวิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
สมาชิกของวิชาชีพ สถาบันวิชาชีพมีสองลักษณะ คือ ลักษณะที่หน่ึงเป็นสถาบันควบคุมละพัฒนามาตรฐาน
และการปฏิบัติวิชาชีพ เช่น แพทยสภาหรือเนติบัณฑิตสภา ครุสภา เป็นต้น ลักษณะท่ีสองเป็นสมาคมวิชาชีพ
เพ่ือเป็นแหลง่ สง่ เสรมิ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมาชิกและเสรมิ สรา้ งความแขง็ แกร่งและความก้าวหนา้ ของวิชาชีพ
เชน่ สมาคมพยาบาล แห่งประเทศไทย หรือสมาคมครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา เปน็ ตน้

วิชาชพี ครูมีคณุ สมบัติเข้าเกณฑ์มาตรฐานของวชิ าชีพ 8 ประการ ดงั นี้

1. ยึดเป็นอาชีพได้ตลอดชีวิต (life – long career commitment) บุคคลที่สามารถเข้ามาประกอบ
วิชาชีพจะมีความม่ันคงในการทางานไปตลอดชีวิต บุคคลผู้นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและได้ใช้ความรู้
ความสามารถซ่ึงได้ศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ รวมทั้งเป็นผู้ท่ีมีคุณธรรม จริยธรรมอันดีงาม ปฏิบัติงานโดยยึด
จรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัด วิชาชีพครูก็เช่นเดียวกัน เมื่อบุคคลใดได้มีโอกาสเข้ามาทาหน้าที่ทางการ
สอนดว้ ยความศรัทธาและต้งั ใจจรงิ แล้ว จะรู้สกึ มคี วามมน่ั คงและปลอดภยั ในการทางานตลอดชวี ติ

2. บริการสังคม (social service) กล่าวคือการสอนเป็นงานที่มีความสาคัญต่อการปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรมและค่านิยมท่ีดีงามให้แก่สังคมเป็นอย่างย่ิง ครูที่มีคุณภาพและคุณธรรมจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลท่ีสุดต่อ
การมีชีวิตของบุคคลในสังคม ผู้ที่เข้ามาประกอบวิชาชีพครูจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความปรารถนาจะรับใช้สังคม
มากกว่ารางวัลหรือทรัพย์สินเงินทอง การสอนเป็นงานที่ให้บริการสังคมอย่างแท้จริง การให้บริการของครูนั้น
ส่วนใหญ่จะกระทากับนักเรียนนักศึกษามากกว่าท่ีจะกระทากับบุคคลอ่ืนๆกล่าวคือ ครูจะเป็นผู้ที่คอยช่วยให้
นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในวิชาการต่างๆ เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีชีวิตดีข้ึน การให้บริการของครูต่อนักเรียนใน
ลักษณะน้ีจึงไม่แตกต่างไปจากการที่แพทย์ หรือพยาบาลท่ีพยายามรักษาผู้ป่วยให้มีสภาพกลับคืนไปสู่การมี
สขุ ภาพอนามยั ท่ีดสี มบรู ณ์ หรอื มลี กั ษณะเช่นเดียวกับการท่นี ักกฎหมายพยายามออกกฎหมายเพ่ือป้องกันการ
กระทาความผิดของบคุ คลในสังคม

3. ใช้วิธกี ารทางปญั ญา (intellectual techniques) กล่าวคอื วิชาชพี ครูเขา้ เกณฑ์มาตรฐานขอ้ นี้อย่าง
แน่นอนเพราะการสอนเป็นงานท่ีเก่ียวกับกิจกรรมทางปัญญามากกว่าอย่างอ่ืน และงานของครูทุกระดับถือได้
ว่าเป็นมาตรฐานสาหรับการเตรยี มบุคคลท่ีจะออกไปประกอบวิชาชีพอ่ืนๆ ทุกอาชีพ ดังน้ันจึงพออนุมานได้ว่า
“วชิ าชพี ครเู ปรยี บเสมอื นแมข่ องวิชาชพี ต่างๆ”(Mother of profession) (Stinnett. 1970 : 55)

4. มีจรรยาบรรณ (code of ethics) กล่าวคืออาชีพช้ันสูงหรอื วิชาชีพทุกอย่างจะต้องมีจรรยาวชิ าชีพ
สาหรับคอยควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพ หรือมีไว้สาหรับให้สมาชิกได้ยึดถือปฏิบัติ เพื่อ
ก่อใหเ้ กิดความเจรญิ รุ่งเรือง ทง้ั ทางด้านส่วนตวั ของผปู้ ระกอบวชิ าชีพและความเจริญก้าวหน้าของวชิ าชีพน้นั ๆ

5. มีอิสระในการตดั สินใจตามสมรรถนะของผปู้ ระกอบวิชาชพี (independent judgement relative
to professional performance) relative กล่าวคือ งานวิชาชีพหรืออาชีพช้ันสูงทุกอย่าง ผู้ประกอบวิชาชีพ
นั้นๆ จะต้องมีอิสระในการวินิจฉัยหรือดาเนินงานในหน้าท่ีของตน เช่น แพทย์ย่อมมีอิสระในการวินิจฉัยโรค
ของผู้ป่วยที่ตนรับผิดชอบดูแล รวมทั้งมีอิสระในการเยียวยารักษาเช่นเดียวกับผู้ประกอบวิชาชีพครูมีอิสระใน
การสอนการสอบ ตลอดจนการประเมินผลการเรยี นการสอนของนักเรยี นตามความเหมาะสมดว้ ย

6. ใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน (professional training of requires extended
professional preparation) กล่าวคือ งานวิชาชีพครูทุกอย่างต้องการให้ผู้ประกอบวิชาชีพเป็นผู้ท่ีมีความรู้
ความชานาญมากเป็นพิเศษ ดังน้ัน จึงจาเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน หรือใช้เวลาในการ
เตรียมการมากเป็นพิเศษมากกว่าอาชีพท่ัวไป โดยปกติต้องใช้เวลาฝึกฝนอบรม หรือเตรียมการอย่างน้อยเป็น
ระยะเวลา 4 มีหลงั จากการเรยี นจบชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย

7. มีการฝึกอบรมประจาการอย่างต่อเนื่อง (continuous in – service grourth) กล่าวคือ การ
ฝึกอบรมประจาการอย่างต่อเน่ือง เป็นหลักพยานท่ียืนยันถึงความเป็นวิชาชีพ ทั้งนี้เนื่องด้วยความเจริญ
ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดข้ึน อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น จึงจาเป็น
สาหรับผู้ประกอบวิชาชีพที่จะต้องศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ วิชาชี พครูก็เช่นเดียวกัน
จาเป็นตอ้ งมกี ารพฒั นาตวั ครูผ้สู อนอยู่เสมอด้วยการจัดให้มีการฝึกอบรมประจาปีอยา่ งต่อเน่ือง

8. มีองค์กรพิทักษ์ประโยชน์ (professional organization) กล่าวคือ การมีองค์กรพิทักษ์ประโยชน์ก็
เพอื่ คอยควบคุมดูแลและพิทักษ์ประโยชนใ์ หแ้ กส่ มาชกิ ในองค์กรวิชาชพี ของตน สาหรับองค์กรพิทักษ์ประโยชน์
ของครู คอื “คุรุสภา”

ความเป็นมาของครุ ุสภา

รัฐบาลในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและนายทวี บุณยเกตุ เป็นรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาวิกฤติในวิชาชีพครู กล่าวคือ คนดี คนเก่ง ไม่อยาก

ความสาคญั ของวิชาชีพครู 7

เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร.จริ พนั ธุ์ ศรสี มพันธุ์

เรียนครู และครูเก่ง ครูดีมีความสามารถจานวนมากได้ละท้ิงอาชีพครูไปประกอบอาชีพอื่น จึง
ได้ตราพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 ขึ้นมาเพ่ือแก้ปัญหาวิกฤติวิชาชีพครู ดังกล่าว
โดยมีสาระสาคัญคือให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า "คุรุสภา" มีฐานะเป็นนิติบุคคล
มีอานาจหน้าที่ให้ความเห็นเรื่ อง นโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาท่ัวไป แก่กระทรวง
ศึกษาธิการ ควบคุมจรรยา และวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ และส่งเสริมฐานะครู และ
ครอบครัวให้ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู และ
ทาหน้าที่แทน ก.พ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล โดยกาหนดให้ครูทุกคนต้องเป็นสมาชิก
คุรุสภา เม่ือปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลในสมัยของพันตารวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีและนายปองพล
อดิเรกสาร เป็นรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
พ.ศ. 2546 ออกมาบังคับใช้ ต้ังแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดยปรับปรุงคุรุสภาเดิมตามพระราชบัญญัติครู
พทุ ธศกั ราช 2488 เป็นสภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา มีช่อื เรยี กเหมอื นเดมิ วา่ คุรสุ ภา

เป็นสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา พ.ศ. 2546 มีบทบาทในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
กากับ ดูแล การปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมท้ังการพัฒนาวิชาชีพทาง
การศึกษา ซ่งึ เป็นการยกระดบั วชิ าชพี ทางการศึกษาใหเ้ ปน็ วิชาชีพช้ันสงู

ความสาคัญของวชิ าชีพครู

ทุกอาชีพย่อมมีความสาคัญต่อบุคคลและสังคมด้วยกันทั้งน้ัน เป็นการยากที่ จะบ่งบอกว่า
อาชพี ใดสาคัญกว่าอาชีพใด แต่ในท่นี ้เี ราจะพจิ ารณาเฉพาะอาชีพครวู ่ามีความสาคญั ต่อสังคมและประเทศชาติ
เพยี งใด จงึ ขออญั เชิญพระราโชวาทของสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในพธิ ีพระราชทาน
ปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จ การศึกษาจากวิทยาลัยครู ณ อาคารใหม่สวนอัมพร วันพุธท่ี 18 พฤษภาคม พ.ศ.
2526 ความตอนหนึง่ ว่า

“.....อาชีพครูถอื ว่าสาคัญอยา่ งยิ่ง เพราะครมู ีบทบาทสาคัญในการพัฒนาประเทศ ใหเ้ จริญมนั่ คง และ
ก่อนท่ีจะพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญได้น้ัน จะต้องพัฒนาคน ซึ่งได้แก่ เยาวชนของชาติเสียก่อน เพื่อให้เยาวชน
เติบโตเปน็ ผ้ใู หญ่ที่มีคณุ คา่ สมบรู ณ์ทุกดา้ นจงึ สามารถ ช่วยกนั สรา้ งความเจรญิ ให้แกช่ าตติ อ่ ไปได้......”

จากพระราโชวาทของสมเด็จพระเทพฯ ตามที่ได้อัญเชิญมากลา่ วไวข้ ้างต้น เป็นเครื่องยนื ยันใหเ้ หน็ ถงึ
ความสาคญั ของครทู ่ีมตี ่อความเจริญของบคุ คล และชาตบิ า้ นเมืองเปน็ อย่างย่ิง ชาตบิ ้านเมอื งจะเจริญไดเ้ พราะ
ประชาชนในชาติได้รับการศกึ ษาที่ดี และมีครู ท่มี คี ุณภาพ

หนา้ ที่และความรบั ผดิ ชอบของครู

1. สอนศิลปวิทยาให้แก่ศิษย์ ซ่ึงถือเป็นหน้าที่สาคัญสาหรับครู ครูที่ดีต้องทาการสอนอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ มีการพฒั นาการสอนใหส้ อดคลอ้ งกับความสามารถและความสนใจของนักเรียน นอกจากน้นั ต้อง
สามารถให้บริการการแนะแนวในด้านการเรียน การครองตน และรักษาสุขภาพอนามัย จัดทาและใช้ส่ือการ
เรียนการสอนอย่างมีประสิทธภิ าพรวมทง้ั สามารถปรบั หลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับนโยบายการ
พฒั นาสภาพแวดลอ้ มของทอ้ งถิน่ และสถานการณ์บ้านเมืองในปจั จบุ ัน

2. แนะแนวการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสมให้แก่ศิษย์ เพื่อช่วยให้ศษิ ย์ของตนสามารถเลือกวิชาเรยี น
ได้ตามความเหมาะสม ทั้งน้ีครูต้องคานึงถึงสติปัญญา ความสามารถ และความถนัดของบุคลิกภาพของศิษย์
ดว้ ย

3. พัฒนาและส่งเสรมิ ความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ โดยการจัดกิจกรรม ซ่ึงมีท้ังกิจกรรมการเรียนการ
สอนในหลกั สูตร และกิจกรรมการเรยี นการสอนนอกหลกั สูตร

4. ประเมินผลความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ เพ่ือจะได้ทราบว่า ศิษย์ได้พัฒนาและมีความ
เจรญิ ก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดแล้ว การประเมินผลความเจรญิ ก้าวหน้าของศษิ ยค์ วรทาอยา่ งสม่าเสมอ

5. อบรมคุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบียบวินัย และค่านิยมท่ีดีงามให้แก่ศิษย์ เพื่อศิษย์จะได้เป็น
ผู้ใหญท่ ่ดี ีของสังคมในวันหนา้

6. ปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานและสถานศึกษา ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติครูและ
จรรยาบรรณครู เพอ่ื เป็นแบบอยา่ งทดี่ แี ก่ศษิ ย์

7. ตรงต่อเวลา โดยการเข้าสอนและเลือกสอนตามเวลา ทางานสาเร็จครบถ้วนตามเวลาและรักษา
เวลาทน่ี ดั หมาย

8. ปฏบิ ัติงาน ทางานในหน้าที่ ท่ไี ด้รบั มอบหมายอยา่ งมีประสิทธิภาพ

9. สง่ เสรมิ และพัฒนาความร้คู วามสามารถของตน โดยการศกึ ษาค้นคว้าหาความรเู้ พม่ิ เตมิ อยู่เสมอ

ความสาคญั ของวชิ าชีพครู 9

เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร.จริ พันธุ์ ศรีสมพันธุ์

สรปุ

วชิ าชพี ครเู ป็นวชิ าชพี ท่ีสาคัญต่อชาติบ้านเมือง คนท่ีจะประกอบอาชีพครูจะต้องใช้ทงั้ ศาสตรแ์ ละศิลป์
ในการประกอบอาชีพ วิชาชีพครูจึงจัดได้ว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงเพราะเป็นวิชาท่ีนาไปใชใ้ นการประกอบอาชีพซึ่ง
จะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นระยะเวลานาน เพื่อให้เกิดความชานาญเฉพาะด้าน ตรงกับเกณฑ์ 8 ประการของ
วชิ าชพี องค์กรวิชาชีพทดี่ ูแลวิชาชีพครูได้แก่ คุรุสภา ดังนัน้ หน้าที่ของครู ได้แก่ สอนศลิ ปวทิ ยาให้แก่ศษิ ย์ แนะ
แนวการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสมให้แก่ศิษย์ พัฒนาและส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ ประเมินผล
ความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ อบรมคุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบียบวินัย และค่านิยมท่ีดีงามให้แก่ศิษย์
ตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานและสถานศึกษา ปฏิบัติงานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมี
ประสิทธภิ าพ ส่งเสริมและพฒั นาความรคู้ วามสามารถของตน

คาถามทา้ ยบทเรียน

1. คาว่า ครู และ อาจารย์ มคี วามเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร
2. จงยกตัวอยา่ งลักษณะของการใช้ ศาสตร์ และ ศลิ ป์ ของอาชพี ครู
3. เหตใุ ดอาชีพครจู ึงจัดว่าเป็นวิชาชีพ
4. “ปัจจุบนั เรามอี งคค์ วามร้มู ากมายบนอินเทอรเ์ นต็ ในอนาคตจึงไม่จาเปน็ ต้องมีครู” ทา่ นเห็นดว้ ย

กบั คากลา่ วนี้หรอื ไม่ เพราะเหตุใด
5. หากทา่ นไดป้ ระกอบอาชพี เป็นครู หน่วยงานใดจะควบคุมการปฎิบัตงิ านทา่ น ทา่ นจะทาหน้าท่ี

อยา่ งไร และจะประกอบอาชีพอยา่ งไรให้มีความสุข


Click to View FlipBook Version