รายงาน เรื่อง สืบวันวาน.. ตำนานลากู จัดทำโดย นางสาวธัญญรัตน์ เบ็ญฤทธิ์ และคณะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ เสนอ อาจารย์ ดร.พนัชกร พิทธิยะกุล รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวัฒนธรรมสังคมดิจิตอล (1163204) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล
รายงาน เรื่อง สืบวันวาน.. ตำนานลากู จัดทำโดย นางสาวธัญญรัตน์ เบ็ญฤทธิ์ รหัสนักศึกษา 6341104006 นางสาวผกาวรรณ แก้วไฝ รหัสนักศึกษา 6341104010 นางสาวอรอนงค์ วงศ์ชู รหัสนักศึกษา 6341104016 นางสาวฟาติม๊ะ หนูยาหมาด รหัสนักศึกษา 6341104019 นางสาวสกาวเดือน ศรีสุวรรณ์ รหัสนักศึกษา 6341104021 นางสาวสมิตา พรศิลป์ รหัสนักศึกษา 6341104028 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ เสนอ อาจารย์ ดร.พนัชกร พิทธิยะกุล รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวัฒนธรรมสังคมดิจิตอล (1163204) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวัฒนธรรมสังคมดิจิทัล รหัสวิชา 1163204 ที่กล่าวถึง การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นท้องถิ่นละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ "วัฒนธรรมในท้องถิ่นละงู" ทั้งนี้ในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาสาระซึ่งประกอบด้วยความรู้ที่เกี่ยวกับประวัติความ เป็นมาของสถานที่ต่าง ๆ ในละงูวัฒนธรรมด้านภาษา อาชีพ สถานที่ท่องเที่ยวในชุมชน ดังนั้นจึงได้จัดทำ รายงานฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ "วัฒนธรรมในท้องถิ่นละงู" ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ผู้ที่ศึกษา หรือ นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นท้องถิ่นละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล และ ทางคณะผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วม ช่วยให้รายงานฉบับนี้สำเร็จ มา ณ โอกาสนี้ด้วย คณะผู้จัดทำ นางสาวธัญญรัตน์ เบ็ญฤทธิ์ และคณะ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ............................................................................................................................... ก สารบัญ............................................................................................................................ ข สารบัญรูปภาพ................................................................................................................ ค ข้อมูลเบื้องต้นอำเภอละงู................................................................................................ 1 คำขวัญอำเภอละงู.................................................................................................... 1 สัญลักษณ์ประจำอำเภอละงู..................................................................................... 1 ที่ตั้งและอาณาเขต .................................................................................................... 2 สภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศ ..................................................................... 2 การปกครองส่วนท้องถิ่น ........................................................................................... 3 ตำนานลากู...................................................................................................................... 4 บทสัมภาษณ์............................................................................................................. 5 ตำนานกัวลาบารา ........................................................................................................... 6 บทสัมภาษณ์............................................................................................................. 8 การดำนา เกี่ยวข้าว ......................................................................................................... 9 ปันหยาบาติก .................................................................................................................. 10 ความเป็นมาของปันหยาบาติก .................................................................................. 10 ลายผ้าดาวน์บูดิง ....................................................................................................... 10 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู.................................................................................................... 12 ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู.................................................................... 12 ประมงพื้นบ้าน ................................................................................................................ 13 ความหมายของการทำประมงพื้นบ้าน ...................................................................... 13 เรือไก่และเรือหัวโทง ................................................................................................. 13 บทสัมภาษณ์............................................................................................................. 15 ขนมบุหงาบูดะ ................................................................................................................ 16 ความเป็นมาของขนมบุหงาบูดะ ................................................................................ 16 ขั้นตอนการทำขนมบุหงาบูดะ ................................................................................... 17 บทสัมภาษณ์............................................................................................................. 18 การแสดงรองเง็ง ............................................................................................................. 19 ความเป็นมาของรองเง็ง ............................................................................................ 19 การแต่งกาย เพลง และเครื่องดนตรีที่ใช้.................................................................... 20 บทสัมภาษณ์ ............................................................................................................. 21 บรรณานุกรม .................................................................................................................. 22 ภาคผนวก ............................................................................................................... ง
ค สารบัญรูปภาพ เรื่อง หน้า ภาพที่ 1 เต่ากระอาน ........................................................................................................... 1 ภาพที่ 2 คุณสหรัฐ ยาหยาหมัน ผู้ให้สัมภาษณ์ตำนานลากู .................................................. 4 ภาพที่ 3 คุณพิศาล สะออละ ผู้ให้สัมภาษณ์ตำนานกัวลาบารา ............................................ 6 ภาพที่ 4 ด่านศุลกากรปากบารา ........................................................................................... 7 ภาพที่ 5 การเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย “แกะ” กับ “เคียว” ............................... 9 ภาพที่ 6 การเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย “แกะ” กับ “เคียว” ............................... 9 ภาพที่ 7 ปันหยาบาติกวิสาหกิจชุมชน .................................................................................. 10 ภาพที่ 8 ปันหยาบาติกวิสาหกิจชุมชน .................................................................................. 10 ภาพที่ 9 ผ้าปาเต๊ะ “ลายดาวน์บูดิงฟอสซิลสตูล” ................................................................. 11 ภาพที่ 10 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู......................................................................................... 12 ภาพที่ 11 อาหารทะเลสดของประมงพื้นบ้าน ...................................................................... 13 ภาพที่ 12 อาหารทะเลสดของประมงพื้นบ้าน ...................................................................... 13 ภาพที่ 13 เรือไก่ เรือประมงเอกลักษณ์ประจำจังหวัดสตูล ................................................... 14 ภาพที่ 14 เรือหัวโทง ............................................................................................................ 14 ภาพที่ 15 ขนมบุหงาบูดะ ..................................................................................................... 16 ภาพที่ 16 การทำขนมบุหงาบูดะ ......................................................................................... 17 ภาพที่ 17 การทำขนมบุหงาบูดะ ......................................................................................... 17 ภาพที่ 18 รองเง็งและการแต่งกาย ...................................................................................... 19
1 สืบวันวาน.. ตำนานลากู ข้อมูลเบื้องต้นอำเภอละงู คำว่า “ละงู” มาจากภาษามลายูโบราณโดยเพี้ยนมาจากคำว่า “ลากู” ซึ่งแปลว่า ซื้อง่าย ขายคล่อง “ละงู” ในอดีตเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เคยมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอขึ้นอยู่กับอำเภอทุ่งหว้า ต่อมา ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2474 โดยย้ายสับเปลี่ยนกับ “ทุ่งหว้า” จากอำเภอทุ่งหว้าเป็นกิ่ง อำเภอทุ่งหว้า ระยะแรกอำเภอละงูมีเขตการปกครอง 7 ตำบล ต่อมายุบเหลือ 5 ตำบล ในปี 2484 จนถึงปี 2522 แยกเพิ่มเป็น 1 ตำบล ทำให้มีเขตปกครองทั้งสิ้น 6 ตำบล จนถึงปัจจุบันและชื่อเมืองละงูปรากฏใน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ.1950 สมัยเจ้าผู้ครองเมืองนครพระพนมวังนางสะเยงทองได้แต่งตั้ง เจ้าเมืองให้เจสาวังกินเมืองละงูให้ชื่อ "ราชาจุราเจนาคาลายังเมีย" เป็นผู้ปกครองเมืองละงู ซึ่งในสมัยราชาจุรา เจนาคาลายังเมียปกครองเมืองละงูก่อนเมืองสตูลหรือสโตยจะเกิดถึง 350 ปี คำขวัญอำเภอละงู ละงูเมืองน่าอยู่ ประตูสู่ตะรุเตา ลือลั่นถ้ำ - เกาะ แหล่งเพาะเต่ากระอาน สัญลักษณ์ประจำอำเภอละงู เต่ากระอาน ภาพที่ 1 เต่ากระอาน ที่มา : https://sites.google.com/site. เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
2 ที่ตั้งและอาณาเขต อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดสตูล อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ตำบลละงูมีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ ๗๖.๑๔ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๔๗,๕๘๗.๕๐ ไร่ (พื้นที่บกไม่รวมพื้นที่ทะเล) รายละเอียดดังนี้ หมู่ที่ ๑ บ้านท่าชะมวง ๒,๓๗๑ ไร่ หมู่ที่ ๒ บ้านปากละงู ๒,๕๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๓ บ้านเกาะยวน ๒,๓๗๕ ไร่ หมู่ที่ ๔ บ้านลาหงา ๒,๐๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๕ บ้านทุ่ง ๓,๙๗๕ ไร่ หมู่ที่ ๖ บ้านหัวทาง ๒,๐๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๗ บ้านบากันโต๊ะทิด ๒,๕๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๘ บ้านนาพญา ๒,๘๗๘ ไร่ หมู่ที่ ๙ บ้านคลองขุด ๒,๖๓๗.๕๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๐ บ้านห้วยไทร ๕,๑๕๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๑ บ้านห้วยมะพร้าว ๒,๗๘๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๒ บ้านในเมือง ๖,๒๕๘ ไร่ หมู่ที่ ๑๓ บ้านทุ่งพัฒนา ๓,๕๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๔ บ้านหลอมปืน ๑,๕๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๕ บ้านในใส ๘๐๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๖ บ้านคลองน้ำเค็ม ๑,๕๖๒.๕๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๗ บ้านวังช่อนชัย ๑,๒๕๐ ไร่ หมู่ที่ ๑๘ บ้านโคกพะยอม ๑,๕๕๐.๕๐ ไร่ อำเภอละงูมีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอทุ่งหว้า ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอมะนัง อำเภอควนกาหลง และอำเภอท่าแพ ทิศใต้ ติดต่อกับ อำเภอท่าแพ และทะเลอันดามัน ทิศตะวันตก จรดทะเลอันดามัน สภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศ สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ลูกคลื่นดอนลาดเล็กน้อยกึ่งที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลโดยทอดตัวจากทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือสู่ตอนกลางตะวันตกและตอนใต้ของตำบล ซึ่งทางทิศตะวันตกและทิศใต้ของตำบล ประกอบด้วยพื้นที่ป่าชายเลนระดับความสูงของพื้นที่ ๒๐ เมตร ๑๐ เมตร ๒ เมตร ๑ เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามลำดับ การใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบันมีการทำนาในที่ราบ ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ดิน ดอน มีการปลูกมะพร้าวและเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่ง
3 ลักษณะภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งได้ เป็น ๒ ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมในปีถัดไป อากาศร้อน ความชื้นต่ำ มีฝนตก ใน ส่วนฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคมโดยอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีฝนตกเกือบตลอด ฤดู บางครั้งทำให้เกิดน้ำท่วม อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ ๒๗-๓๒ องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย ๘๐% มีปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยในรอบปี ๒,๔๒๒ มิลลิเมตร ส่วนการกระจายตัวของน้ำฝนในระยะ 6 เดือนของปี ค่อนข้างดี ทำให้พืชผลที่เพาะปลูกไม่กระทบจากภัยธรรมชาติ การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอละงูประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง ได้แก่ 1) เทศบาลตำบลกำแพง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลกำแพง 2) องค์การบริหารส่วนตำบลกำแพง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกำแพง 3) องค์การบริหารส่วนตำบลละงูครอบคลุมพื้นที่ตำบลละงูทั้งตำบล 4) องค์การบริหารส่วนตำบลเขาขาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขาขาวทั้งตำบล 5) องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากน้ำทั้งตำบล 6) องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำผุด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลน้ำผุดทั้งตำบล 7) องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมสน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแหลมสนทั้งตำบล อำเภอละงูแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 ตำบล 61 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. ตำบลกำแพง 12 หมู่บ้าน 2. ตำบลละงู 18 หมู่บ้าน 3. ตำบลเขาขาว 7 หมู่บ้าน 4. ตำบลปากน้ำ 7 หมู่บ้าน 5. ตำบลน้ำผุด 11 หมู่บ้าน 6. ตำบลแหลมสน 6 หมู่บ้าน
4 ตำนานลากู ภาพที่ 2 คุณสหรัฐ ยาหยาหมัน (บังศักดิ์) ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ละงู หรือที่เรียกว่า “ลากู” อันหมายถึงการซื้อง่ายขายคล่อง ซึ่งสมัยนั้นการสัญจรไปมาระหว่างเมือง สตูล - ละงู ไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน ทุกอย่างต้องเดินทางด้วยเท้าหรือเรือ ท่าเรือปากบาราเป็นท่าเรือที่ใหญ่ ที่สุดทางแถบฝั่งแหลมมาลายู เพราะเคยเป็นที่ทำการค้าขายระหว่างท่าเรือมำบัง ท่าเรือสุไหงอุเป หรือท่าเรือ ปีนัง นอกจากนี้ก็ยังมีการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยผ่านทางท่าเรือปากบาราเป็นหลัก เพราะ เป็นท่าเรือสำคัญในการขนส่งสินค้า แต่ทั้งนี้ลากูหรือละงูก็ได้มีความเป็นมาที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นถิ่นกำเนิด เรื่องราวในสมัยอดีตและเป็นแหล่งชุมชนที่สำคัญของอำเภอละงู ตำนานลากู หรือ ละงู เบื้องต้นมีที่มาของตำนานคือ “การทำสงครามระหว่างเมืองไทรบุรีกับเมืองศรี ธรรมราช เมืองไทรบุรีแข่งข้อกับประเทศสยาม จังหวัดสตูล ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 เขต โดยมีคลองราเกตุ (คลองท่าแพ ปัจจุบัน) ทางทิศตะวันออกติดเมืองไทรบุรี ทางทิศตะวันตกติดเขตเมืองนครศรีธรรมราช เดิม เมืองไทรบุรีส่งเครื่องบรรณาการต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้กับเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาไม่มีการส่งมายังเมือง นครศรีธรรมราชจึงสั่งให้มีการหลอมปืนเพราะกลัวว่าเมืองไทรบุรีจะเข้ามาตีเมืองนครศรีธรรมราชทางด้าน บ้านท่าชะมวงและบ้านหัวหินในปัจจุบัน แต่ปืนที่หลอมไว้ยังไม่ได้ใช้งานเพราะพระยานครศรีธรรมราชยก กองทัพช้างมาทางบกเข้าไปเมืองไทรบุรี กองทัพพระยานครศรีธรรมราชรบชนะหลังจากนั้นทหารจึงแยกย้าย กันกลับ แต่มีทหารอยู่ 2 คน ที่เดินทางกลับบ้านได้เดินผ่านมายังปากถ้ำจึงได้หยุดพักและใช้หอกในมือปักปาก ถ้ำไว้และมีน้ำสีเหมือนสีเลือดไหลออกมาจากหอกและได้ตะโกนออกมาว่า “ปากงู ปากงู” ทั้ง 2 คน ได้เสีย สติ” จึงเป็นที่มาของคำว่าปากงู ลากู หรือละงู ในปัจจุบัน
5 บทสัมภาษณ์ คุณสหรัฐ ยาหยาหมัน (บังศักดิ์) เจ้าของร้านอาหาร “ครัวบ้านโจรสลัด” เรื่อง ตำนานลากู ผู้สัมภาษณ์ : เมืองละงูของเรามีความเป็นมาอย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์ : เมืองลากู (ละงู) แห่งนี้ มีความหมาย 2 อย่าง คือ เป็นเมืองซื้อง่ายขายคล่องและเป็นพื้นที่ที่ เป็นทะเล เนื่องจากละงูซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ทะเลปากบาราและเป็นท่าเรือสำคัญในการเดินทางไปยังเกาะอื่น ๆ ในสมัยอดีตนั้น ทะเลละงูยังเป็นพื้นที่หนึ่งที่ติดต่อกับเกาะตะรุเตาในปี 2475 ได้เป็นแหล่งกักขังนักโทษ ทางการเมืองมีภูมิประเทศยากแก่การหลบหนี เป็นเกาะใหญ่อยู่กลางทะเลลึก รอบ ๆ เกาะก็เต็มไปด้วยฉลาม ในคลองมีจระเข้ชุกชุม คลื่นลมมรสุมก็รุนแรง ไม่มีเรือผ่านไปมา จนเกิดเหตุการณ์ปล้นสะดมบ่อยครั้งจนทำให้ ประเทศเพื่อนบ้านไม่สามารถผ่านบริเวณนั้นได้ โดยให้เหตุผลว่า “ได้รับความเดือดร้อนจากการปล้นสะดมของ โจรสลัดตะรุเตา” นักโทษบนเกาะได้พยายามหนีบ้างก็ล้มตายเพราะโดนฉลามกัดกิน บ้างก็เป็นไข้มาลาเรีย เสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก ผู้สัมภาษณ์: ละงูเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมอย่างไรบ้าง ผู้ให้สัมภาษณ์ : การเริ่มต้นในการเป็นชุมชนละงูนั้นเริ่มจากการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แห่งนี้อย่าง หลากหลายศาสนา โดยผู้คนในพื้นที่ได้นับถือศาสนาอิสลาม พุทธ และจีน ตามลำดับ ทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็น สังคมพหุวัฒนธรรมและมีวัฒนธรรมภาษาอย่างหลากหลายเพราะมีหลายเชื้อชาติบ้างก็พูดภาษายาวี เนื่องจาก มีผู้คนอพยพมาจากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย บ้างก็พูดภาษาจีน โดยเป็นจีนฮกเกี้ยนเสียส่วนใหญ่ใน พื้นที่แห่งนี้ อีกทั้งในพื้นที่ละงูก็ยังมีชนชาติพันธุ์มันนิได้อาศัยอยู่ เมืองละงูจึงมีความหลากหลายในด้านเชื้อชาติ ภาษา และวิถีชีวิต ผู้สัมภาษณ์: รู้สึกหรือมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างที่เมืองละงูตอนนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศและไปยังระดับโลก ผู้ให้สัมภาษณ์ : ภูมิใจที่ได้เกิดมาในชุมชนแห่งนี้ เพราะเป็นชุมชนที่มีความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ผู้คนแม้มี หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา แต่สามารถดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยในทุกศาสนามีการช่วยเหลือกัน และกันแบบไม่แบ่งแยกศาสนา จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้มีผู้คนที่เข้าใจกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจที่เมตตา และร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนเองให้เป็นที่รู้จักแก่หมู่คนทั้งในจังหวัดและในประเทศไทย สรุป เมืองละงูเป็นเมืองซื้อง่ายขายคล่องและเป็นพื้นที่ที่เป็นทะเล เนื่องจากละงูซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ทะเลปาก บารา เป็นท่าเรือสำคัญในการเดินทางไปยังเกาะอื่น ๆ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเป็นอุทยานธรณีโลกสตูล อีกทั้งละงูยังเป็นชุมชนสังคมพหุวัฒนธรรม มีความหลายหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และวิถีชีวิต แต่ทุกเชื้อชาติ สามารถอยู่ได้ในสังคมส่วนรวม ทุกคนมีจิตใจที่เมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร่วมด้วยช่วยกันโดยไม่แบ่งแยกศาสนา
6 ต ำนำนกัวลำบำรำ ภาพที่ 3 คุณพิศาล สะออละ (บังป๋อง) ที่มา : อุเทน บุญสวัสดิ์. เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2566 “ปากน้ำเมืองถ่าน” นามที่แปลมาจากคำว่ากัวลาบารา (Kualabara) ในอดีตคือชื่อดั้งเดิมของเมือง ท่าเรือหรือเมืองหน้าด่านที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใน อำเภอละงู จังหวัดสตูล ใน อดีตเป็นท่าเรือสำคัญเพื่อขนถ่ายสินค้าจากเกาะปีนังไม่ว่าจะเป็น ถ่าน ปลาเค็ม หอยแห้ง เป็ด ไก่ มะพร้าวแห้ง ยางพารา บุหรี่ น้ำมันก๊าด น้ำตาล ผ้าปาเต๊ะ จนปัจจุบันได้กลายเป็นท่าเรือสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ ไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ อันมีชื่อเสียง แต่ในเรื่องประวัติศาสตร์ของชุมชนก็มักมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป บ้าง เช่น อีกเรื่องราวซึ่งบอกเล่ากล่าวกันว่าบ้านปากบาราที่เรียกกันอยู่ในปัจจุบันนั้น “ปากบารา” มาจากคำ ว่า “ กัวลาปารา” ซึ่งเป็นภาษามลายู แปลว่าหินที่ชุกชุมของปลาแดง ซึ่งเป็นปลาที่ชาวบ้านเรียกว่า ปลาปารา จะพบมากในบริเวณนี้ จึงเพี้ยนมาเป็นปากบาราในปัจจุบัน ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยที่ปากบารา คือ “ชาวเล (ชาวน้ำหรืออูรักลาโว้ย)” ซึ่งอพยพมาจาก ประเทศมาเลเซียและส่วนใหญ่มีเชื้อสายอิสลาม ได้ประกอบอาชีพค้าขายและประมงเป็นอาชีพหลัก ซึ่งทำให้ ปากบาราแห่งนี้เป็นทั้งท่าเรือท่องเที่ยว และท่าเรือประมง ในส่วนของท่าเรือท่องเที่ยวเป็นจุดสำคัญของสตูลใน การบริการนักท่องเที่ยวไปยังเกาะต่าง ๆ ที่สำคัญและสวยงาม เช่น เกาะไข่ เกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง ฯลฯ และ ท่าเรือประมงก็จะมีเป็นแพเล็กและแพใหญ่ ซึ่งมีแพประมงจำนวน 3 แพ ทำให้ปากบาราเป็นแหล่งค้าขาย อาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในสตูล และมีการส่งขายอาหารทะเลไปยังพ่อค้าแม่ค้าคนกลาง โรงงานแปรรูป และ ร้านอาหารทะเล เป็นหลักและแหล่งสำคัญของจังหวัดสตูล นอกจากนี้ยังมีการนำเอาปลาหรือหมึกบางส่วน นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลาแห้งหรือหมึกแห้งส่งขายทั่วประเทศไทยและส่งขายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
7 ภาพที่ 4 ด่านศุลกากรปากบารา ที่มา : http://satun.customs.go.th. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ในสมัยอดีตยังเคยเป็นด่านศุลกากรมาก่อน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2529 ต่อมาในปี พ.ศ.2543 ได้มี ประกาศยกเลิกด่านศุลกากรปากบาราแล้วให้มารวมกับด่านศุลกากรสตูล ซึ่งระบบเจ้าภาษีนายอากรที่ใช้ใน เมืองสตูลสมัยพระยาภูมินารถภักดีนั้น ทำให้เจ้าเมืองรู้ล่วงหน้าว่าแต่ละปีจะมีรายได้ทั้งหมดเท่าไหร่ สามารถ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการบริหารราชการแผ่นดินได้ถูก และเป็นหลักประกันได้ว่าจะได้จัดเก็บรายได้ตาม จำนวนเงินที่ประมูลได้แน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นด่านที่ตั้งอยู่ใกล้กันและปฏิบัติหน้าที่อย่างเดียวกัน จึงเป็นการ ประหยัดงบประมาณและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ขณะเดียวกันเป็นการอำนวยความสะดวกการค้าระหว่าง ประเทศให้แก่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ปัจจุบันหน่วยสืบสวนและปราบปราม จังหวัดสตูลขอใช้เป็นสถานที่ ปฏิบัติงาน
8 บทสัมภาษณ์ คุณพิศาล สะออละ (บังป๋อง) เจ้าของคาเฟ่“Pong Kopee” เรื่อง กัวลาบารา ผู้สัมภาษณ์ : ทำไมพื้นที่แห่งนี้ถึงเรียกว่ากัวลาบารา ผู้ให้สัมภาษณ์ : กัวลาบารามันแปลมาจาก “ปากน้ำเมืองถ่าน” เพราะที่นี่เคยเป็นท่าเรือสำคัญเพื่อขนถ่าย สินค้าจากเกาะปีนัง จนปัจจุบันได้กลายเป็นท่าเรือสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ อันมีชื่อเสียง และในอีกความหมายคือ “ปากบารา” มาจากคำว่า “กัวลาปารา” ซึ่งเป็นภาษามลายู แปลว่าหิน ที่ชุกชุมของปลาแดง และได้เพี้ยนมาจนเป็น “ปากบารา” ผู้สัมภาษณ์ : ในอดีตเคยเป็นด่านสำคัญ แล้วทำไมถึงมีการยกเลิก ผู้ให้สัมภาษณ์: เมื่อก่อนปากบาราเคยเป็นด่านศุลกากร แต่เพราะมีด่านที่ตั้งอยู่ใกล้กันและปฏิบัติหน้าที่อย่าง เดียวกันจึงเป็นการประหยัดงบประมาณและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และขณะเดียวกันเป็นการอำนวยความ สะดวกการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ด่านศุลกากรปากบาราจึงได้ปิดตัวลงและมีเพียงใน พื้นที่ตำมะลังเท่านั้น ผู้สัมภาษณ์ : ประเพณีกีฬาฟุตบอลจาบัง มีความเกี่ยวเนื่องกับคุณพิศาลและอำเภอละงูอย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์ : ในอดีตครอบครัวเป็นเชื้อสายอินโดนีเซีย คุณปู่เป็นผู้นำกีฬาฟุตบอลเข้ามาเล่นเป็นครั้งแรก และได้จัดตั้งสนามฟุตบอลจาบังขึ้นมา จึงเป็นที่มาของคำว่ากีฬาจาบัง ผู้สัมภาษณ์ : การท่องเที่ยวชายหาดปากบารามีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง ผู้ให้สัมภาษณ์ : ปากบาราเป็นท่าเรือสำคัญในการลงไปเที่ยวเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะไข่ เกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง เป็นเกาะที่สวยงาม และเป็นพื้นที่ในอุทยานธรณีโลกสตูล อีกทั้งยังมีกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารา “กะลาบา รา” ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจากกะลามะพร้าว สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์คือ เต่ากะลามะพร้าว เป็นเต่ากระอานและ เป็นสัตว์โบราณ สัตว์อนุรักษ์ หาพบได้ยากและใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งพบในคลองละงู อำเภอละงู เป็นที่เดียวใน ประเทศไทย สรุป กัวลาบารามันแปลมาจาก “ปากน้ำเมืองถ่าน” และในอีกความหมายคือ “กัวลาปารา” ซึ่งเป็นภาษา มลายู แปลว่าหินที่ชุกชุมของปลาแดงและได้เพี้ยนมาจนเป็น “ปากบารา” ปากบาราในอดีตยังเคยจัดตั้งด่าน ศุลกากรเพราะในพื้นที่นี้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญ ในปัจจุบันได้ยกเลิกและเป็นท่าเรือสำคัญในการ ท่องเที่ยวและเพื่อการประมง และมีสินค้ากลุ่มหัตถศิลป์ที่โดดเด่นของที่นี่คือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจาก กะลามะพร้าว สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์คือ เต่ากะลามะพร้าวเป็นเต่ากระอาน
9 การดำนา เกี่ยวข้าว ภาพที่ 5-6 การเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย “แกะ” กับ “เคียว” ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2566) ในปัจจุบันมีการแบ่งวิธีการปลูกข้าวอยู่ 4 วิธี คือ การปลูกข้าวนาดำ การปลูกข้าวนาหว่าน การปลูก ข้าวนาไร่ และการปลูกข้าวนาขั้นบันได ซึ่งการปลูกข้าวในแต่ละวิธีก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่นั้นๆ เช่น ใน พื้นที่ราบลุ่มก็จะมีการปลูกข้าวแบบข้าวนาหว่านหรือข้าวนาดำ ส่วนในพื้นที่สูง หรือบนดอยก็จะปลูกข้าวแบบ ข้าวไร่หรือข้าวนาขั้นบันได เป็นต้น การปลูกข้าวในปัจจุบันมีการใช้แรงงานคนน้อยเนื่องจากแรงงานในภาค เกษตรลดลงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการและมีค่าจ้างแรงงานสูงทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน รวมทั้งจะใช้เวลา ในการผลิตข้าวมาก ทำให้ไม่ทันต่อการทำนาในครั้งต่อไป ดังนั้นเครื่องจักรกลเกษตรในรูปแบบต่างๆ จึงเข้ามา บทบาทสามารถทดแทนแรงงานคนได้ในเกือบทุกขั้นตอนของการผลิตข้าวในปัจจุบันและอนาคต การปลูกข้าวของเกษตรกรในชุมชนหัวหิน อำเภอละงู นิยมปลูกข้าวแบบนาดำ คือ การปลูกข้าวนา สวนในสภาพพื้นที่ลุ่มน้ำขังโดยใช้ต้นกล้าข้าวทำการปักดำลงไปในดินแปลงนา โดยเกษตรกรที่นี้ร่วมด้วย ช่วยกันในการปักดำต้นกล้าข้าวด้วยตนเอง ไม่นิยมใช้เครื่องจักรในการดำนา ในการดำนาแต่ละครั้งก็จะมีผู้คน ภายในหมู่บ้านมาช่วยกันดำนาและมีความสุขสนุกสานกันไป เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวทุกคนก็จะมารวมตัวกัน ช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวโดยการเก็บเกี่ยวนั้นจะเป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่ใช้เครื่องจักรเช่นเดิม แต่ใช้เคียวเกี่ยวข้าว และแกะในการเก็บเกี่ยวข้าว แต่จุดเด่นของการเก็บเกี่ยวข้าวในชุมชนหัวหิน อำเภอละงู คือการเก็บเกี่ยวข้าว ด้วยแกะที่เป็นอุปกรณ์เก็บเกี่ยวข้าวที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นแทนการซื้อเคียวเกี่ยวข้าว เนื่องจากบางครอบครัว ไม่ได้มีเคียวเกี่ยวข้าวแต่ก็สามารถนำเอาแกะไปเกี่ยวข้าวแทนกันได้ สำหรับในอดีต “แกะ” เป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวข้าวหลักของชาวภาคใต้ชาวใต้ เพราะชาวนาภาคใต้นั้น มีเคารพยกย่องแม่โพสพซึ่งเป็นเทวดาประจำต้นข้าวและถือว่าข้าวเป็นของประเสริฐ การเก็บข้าวจึงต้องใช้ ความระมัดระวังไม่ให้เมล็ดข้าวตกเรี่ยราดจะถือว่าเป็นบาปและแม่โพสพจะหนีไป การใช้แกะเก็บข้าวจึงเป็นวิธี ที่ดีเพราะไม่ทำให้เมล็ดข้าวตกหล่นเสียหาย และในปัจจุบันการใช้แกะเก็บเกี่ยวข้าวนั้นก็เป็นสิ่งที่พบเจอได้ยาก ในการใช้เคียวเกี่ยวข้าวนั้นให้กระหวัดกอข้าวทีละกอ ในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับกอข้าว และออกแรงดึงเคียวให้คมเคียวตัดลำต้นข้าวให้ขาดออกมา โดยทั่วไปจะเกี่ยวให้มีความยาวของต้นข้าวห่างจาก รวงข้าวให้พอเหมาะที่จะนำไปฟาดข้าวได้สะดวกหรือให้มีความยาวของต้นข้าวพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์อย่าง อื่นต่อไปได้ เช่น ใช้คลุมแปลงผัก และเป็นอาหารให้กับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
10 ปันหยาบาติก ภาพที่ 7-8 ปันหยาบาติกวิสาหกิจชุมชน ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ความเป็นมาของปันหยาบาติก ปันหยาบาติกวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตและจำหน่ายผ้าบาติกและผ้ามัดย้อมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมี ฝีมือในการวาดลายผ้าที่สวยงาม โดยมีคุณจุมพล โชติสกุล ประธานวิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก เป็นผู้ริเริ่ม และก่อตั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะต้องการเพิ่มรายใด้ให้กับกลุ่มแม่บ้าน โดยในขั้นแรกได้มี การเชิญวิทยากรจากภายนอกมาสอนให้กับกลุ่มแม่บ้านจนทำให้มีทักษะในการวาด ผลิตผ้าบาติก และผ้ามัด ย้อม และปัจจุบันทางกลุ่มจะผลิตผ้าบาติกและผ้ามัดย้อมและผ้าบาเต๊ะออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง กลุ่มลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มข้าราชการในจังหวัดสตูลและนักท่องเที่ยวทั่วไป ในความโดดเด่นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปันหยาบาติกคือการเน้นใช้สีธรรมชาติในการผลิตชิ้นงาน เช่น พวกแร่ธาตุ ใบไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ ที่มีในพื้นที่ หมู่บ้านและพื้นที่ที่เป็นอุทยานธรณีโลกสตูลมาทำเป็นวัสดุย้อมสี เช่น สีแดง ที่ได้จากดินที่ผุผังจากพื้นที่หินปูน สีเหลืองจากโคลน สีน้ำตาลจากเปลือกโกงกาง เป็นต้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติใน พื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลจนเกิดเป็นเอกลักษณ์และความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์จึงเป็นที่ยอมรับในจังหวัดสตูล ทำให้สินค้าของทางกลุ่มใด้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ลายผ้าดาวน์บูดิง ลายดาวน์บดิงฟอสซิลสตูลเกิดจากการนำลายดาวน์บูดิงมาผสมผสานกับลายฟอสซิลหอยในพื้นที่ จังหวัดสตูล ลายดาวน์บูดิงที่ปรากฏบนผืนผ้าเป็นลวดลายคล้ายซุ้มดอกไม้โบราณชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นไม้ เลื้อย โดยสำนักงานประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซียได้สันนิษฐานว่าดอกไม้ที่ปรากฏบนผืนผ้า คือ ดาวน์บูดิง (Daun Buding) ดอกบูติง มาจากภาษามลายู หรือ ตั๋วน์บูดี (Daun Budy) มาจากภาษาอินโดนีเชีย ซึ่งดอกไม้ ชนิดนี้พบมากในคาบสมุทรมลายูมีลักษณะคล้ายดอกสายหยุด ดอกมีสีเหลือง กลิ่นหอม ใบมีลักษณะเป็นรูป หอก ปลายใบแหลมหรือมีติ่งแหลม ประเทศในแถบคาบสมุทรมลายูนิยมนำดอกไม้ชนิดนี้มาทำเป็นซุ้มดอกไม้ เพื่อใช้ในพิธีต้อนรับบ่าวสาวในงานแต่งงาน จึงกล่าวได้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ถือเป็นดอกไม้มงคลของชาวมลายู โบราณ ส่วนลายฟอสซิลเป็นการนำลายฟอสซิลในอุทยานธรณีสตูลซึ่งได้รับประกาศให้เป็นอุทยานธรณีโลก แห่งแรกของประเทศไทยและเป็นแห่งที่ ๕ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยยูเนสโก ทางกลุ่มผ้าปั่นหยาบาติก จึงได้นำลวดลายดาวน์บูดิงและฟอสซิลหอยในมหายุคพาลีโอโซอิก (อายุประมาณ ๒๙๙-๕๔๒ ล้านปี) มา ผสมผสานเป็นลวดลายผ้าที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดสตูล
11 ภาพที่ 9 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าปาเต๊ะ “ลายดาวน์บูดิงฟอสซิลสตูล” ที่มา : ฟาติม๊ะ หนูยาหมาด. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ต่อมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงคัดเลือกผ้าบาเต๊ะลายโบราณ ของกลุ่มปันหยาบาติก มาตัดเย็บสำหรับฉลองพระองค์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้ผ้าบาเต๊ะลาย โบราณให้เป็นที่นิยมขึ้นมาใหม่ จังหวัดสตูลได้คัดเลือกผ้าบาเต๊ะโบราณลาย “ดาวน์บูดิงฟอสซิลสตูล” เป็นลาย ผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดสตูล ประกอบการจัดทำหนังสือและจัดงาน “ภาษาศิลป์จากท้องถิ่นสู่สากล” ปี ๒๕๖๕ ของกระทรวงวัฒนธรรมเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระ-บรมราช ชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕ เพื่อเป็นการเฉลิมพระ เกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” พร้อมทั้งยกระดับผ้าไทยให้มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงในเวทีโลก
12 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงูเดิมจัดตั้งอยู่ที่หมู่บ้านหัวหิน แต่เนื่องจากการเดินทางที่ค่อนข้างซับซ้อนและอยู่ นอกตัวอำเภอละงูจึงทำให้ผู้คนและนักเที่ยวไม่สามารถเข้าไปชมหรือศึกษาได้ และจึงได้มีการย้ายพิพิธภัณฑ์มา จัดตั้งตรงข้ามวัดอาทรรังสฤษฎิ์เป็นอาคารสองชั้นอยู่ติดกับจุดจำหน่ายตั๋วรถตู้ตรัง-สตูล ทำให้มีนักเรียนและ นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาและเข้าชมในสถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก การก่อตั้งพิพิธภัณฑ์นี้ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ ชัยวัฒน์ ไชยกุล ซึ่งชื่นชอบการสะสมของเก่าอยู่ก่อนแล้ว คุณชัยวัฒน์เริ่มสะสมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เมื่อของ สะสมมีมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณชัยวัฒน์จึงนำของสะสมมาจัดแสดงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ สิ่งของในพิพิธภัณฑ์นั้นมี ความหลาก แต่สิ่งที่เป็นของอำเภอละงูเอง คุณชัยวัฒน์ได้เก็บรวบรวมสิ่งของเหลือใช้ เครื่องประดับที่เป็นของ เก่าแก่ เช่น แหวน แจกัน นาฬิกา โอ่ง มีรถโบราณ หลายยี่ห้อ หลายคัน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเงิน เตารีด ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เครื่องแก้ว เครื่องเสียง เครื่องดนตรี เครื่องจักสาน พัดลม นาฬิกา มากมาย รวมแล้ว ประมาณ 500 ชิ้น และมีชิ้นที่ได้รับการยกย่องและยืนยันว่ามีอายุเก่าแก่ที่สุด ประมาณ 1,500 ปี ไว้ ณ บ้าน หัวหิน ซึ่งเป็นของเก่าแก่ของครอบครัวและบรรพบุรุษที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายมายังพิพิธภัณฑ์ใหม่นี้ได้ เนื่องจากสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดวางสิ่งของที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงูจึงมี 2 สถานที่ คือ หมู่บ้านหัวหินและในตัวอำเภอละงู การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้เพื่อต้องการให้ผู้คนในปัจจุบันได้ตระเห็นถึงความสำคัญของ สิ่งของเครื่องใช้แต่ละชนิดในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง รวมถึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนละงู ในสมัยอดีตต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความอุตสาหะโดยเฉพาะละงูที่เป็นเมืองค้าขาย ดังนั้นจึงมีการทำมา ค้าขายส่วนใหญ่มักเป็นขนมสดและต้องใช้โม่หินที่ใชสำหรับโม่แป้งในการทำแป้งขนม ภาพที่ 10 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู ที่มา : FB พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู. เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566
13 ประมงพื้นบ้าน ความหมายของการทำประมงพื้นบ้าน การทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่งไม่ว่าจะใช้เรือประมงหรือใช้เครื่องมือโดยไม่ใช้เรือประมง ทั้งนี้ที่ มิใช่เป็นประมงพาณิชย์ และเป็นการประมงที่ถือเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านเพื่อการดำรงชีพของชุมชนในพื้นที่ หากเป็นอุตสาหกรรมก็เป็นอุตสาหกรรมแบบพื้นบ้านมีขนาดเล็ก เช่น กะปิ น้ำปลา ปลาหมึก ปลาแห้ง อาหาร ทะเลแห้ง หมักดอง แบบพื้นบ้าน การประมงขนาดเล็กของชาวบ้านในชุมนชนบ้านหัวหินหรือละงูมีการออกเรือประมงเพื่อเลี้ยงชีพและ เพื่อสร้างรายได้ในครัวเรือนโดยผู้ชายจะออกเรือหาปลา ปู กุ้ง หอย และผู้หญิงมีอาชีพรับจ้างบ้างก็รับปลาไป ขายและรับจ้างกะเนื้อปูขาย โดยมีแพปูที่เป็นธุรกิจแพประมงขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในชุมชนหัวหินซึ่งเป็นแหล่งหา รายได้ให้กับผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งแพแห่งนี้เป็นสถานที่คัดกรองอาหารทะเลสดเพื่อทำการส่งขายและแปรรูปเป็น อาหารทะเลแห้งของชุมชนจนกลายเป็นสินค้าที่เป็นของฝากให้กับนักท่องเที่ยว ภาพที่ 11-12 หอยและหมึกสาย อาหารทะเลสดของประมงพื้นบ้าน ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 เรือไก่และเรือหัวโทง เรือหัวโทง เป็นเรือที่นิยมใช้ในทะเลภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตั้งแต่จังหวัดภูก็ต พังงา กระ ระนอง ตรัง สตูล โดยใช้เป็นเรือประมงพื้นบ้าน นอกจากจะใช้ออกหาปลาก็ยังใช้สัญจรเดินทางที่สำคัญและเป็นรือที่ถูกออก แบบอย่างมีเอกลักษณ์ และเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนภาคใต้ โดยเรือหัวโทง เป็นเรื่อขนาดเล็กถูกออกแบบ ให้ลักษณะพิเศษด้านหัวที่เป็นที่มาของชื่อเรียกมีลักษณะเชิดสูงขึ้นใช้ประโยซน์ได้หลายอย่าง สามารถฝ่า แรงลมจากคลื่นทะเลฝั่งอันดามันที่มีคลื่นลมแรง ใช้เป็นเข็มทิศในการนำทางและป้องกันน้ำทะลักเข้าเรือได้ เรือไก่คือเรือประจำหวัดสตูล ซึ่งลักษณะความยาวของเรือจะสั้นกว่าเรือหัวโทงและตรงหัวลักษณะ คล้ายกับปากไก่ จึงเป็นที่มาของคำว่าเรือไก่ เรือหัวไก่ หรือเรือแม่ไก่ ในยุคก่อนชาวบ้านจะใช่ในการสัญจรไป มาหาสู่กันโดยการแจวและใช้ใบกางเหมือนเรือใบซึ่งตอนนี้หาดูได้ยากมากในยุคปัจจุบันเรือไก่กำลังหายไปจาก จังหวัดสตูลเพราะได้รับความนิยมน้อยและชาวประมงจังหวัดสตูลก็หันมาใช้เรือหัวโทงเรือท้องแบนแทนเรือไก่
14 ภาพที่ 13 เรือไก่ ที่มา : FB : ของดีเมืองสตูล. เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ภาพที่ 14 เรือหัวโทง ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
15 บทสัมภาษณ์ บังดำ (เจ้าของแพปูบังดำ) เรื่อง ประมงพื้นบ้าน ผู้สัมภาษณ์: ในการออกเรือประมงแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะได้ปูหรือหมึกสายจำนวนเท่าไหร่ ผู้ให้สัมภาษณ์: ออกเรือแต่ละครั้งจะได้ปูกับหมึกไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม และส่วนใหญ่เป็นหมึกสายกับปูม้า และปูดาว ผู้สัมภาษณ์: มีการส่งขายหรือแปรรูปอย่างไรบ้าง ผู้ให้สัมภาษณ์: ส่วนใหญ่ที่แพนี้จะเป็นการประมงจับปูเป็นมาเพื่อเลี้ยงและคัดแยกไซส์ขายเป็นปูสดไปยัง ต่างจังหวัด ปูที่ตายก็นำส่งแม่ค้าในตลาดสดและบางส่วนนำเอามาต้มเพื่อแกะเนื้อขาย ในส่วนของหมึกสายก็ นำส่งแม่ค้าในตลาดสดและร้านอาหารก็จะมารับไปประกอบอาหารบ้าง ผู้สัมภาษณ์: ทำไมถึงได้มีการทำแพปูขนาดเล็กภายในชุมชน ผู้ให้สัมภาษณ์: เพื่อให้คนในชุมชนได้มีงานทำ มีรายได้ให้กับครัวเรือนแทนการออกไปทำงานข้างนอก อีก อย่างยังเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในชุมชนของตนเอง และนำขายในราคาที่ถูกกว่าแพที่มีขนาด ใหญ่ เพราะแพปูเราเป็นแพปูขนาดเล็กเนื่องจากเรือที่เราใช้ในการประมงนั้นเป็นเรือหัวโทง จึงได้ของสดมาไม่ เยอะ แต่สมัยก่อนในการประมงพื้นบ้านของที่นี่มีการใช้เรือไก่ที่เป็นเรือประจำจังหวัดสตูล โดยแต่ละบ้านได้ ประดิษฐ์หรือต่อเรือขึ้นมาเองแต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้เรือไก่นั้นไม่ได้มีการนำมาใช้แต่จะใช้เป็นเรือหัว โทงแทนเพราะหาซื้อได้ง่ายและสะดวกในการทำประมงพื้นบ้านที่เป็นประมงเพียงเล็ก ๆ ผู้สัมภาษณ์: ชุมชนบ้านหัวหินเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลตากแห้งคืออะไรบ้าง ผู้ให้สัมภาษณ์: อาหารทะเลตาแห้งในชุมชนนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากแต่ละครอบครัวได้ออกเรือหาปลา และอาหาร สดที่เหลือจากขายนั้นก็นำมาแปรรูปเป็นอาหารทะเลตากแห้งส่วนใหญ่เป็นลูกปลาตากแห้งที่นี่จะเรียกว่า “ปลาจิ้งจั้ง” และสินค้าที่ขายดีคือหมึกกะตอยตากแห้ง ถือได้ว่าชุมชนของเราเป็นแหล่งผลิตและแปรรูปอาหาร ทะเลในจังหวัดสตูล และอำเภอละงู สรุป ประมงพื้นบ้านของชุมชนหัวหินเป็นการประมงด้วยเรือไก่และเรือหัวโทง มีการส่งขายไปยังแม่ค้าคน กลางและนำมาแปรรูปเป็นอาหารทะเลตากแห้ง อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชนหัวหิน และเป็นการ สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
16 ขนมบุหงาบูดะ ภาพที่ 15 ขนมบุหงาบูดะ ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ความเป็นมาของขนมบุหงาบูดะ บุหงาบูดะ เป็นขนมพื้นบ้านที่ทำสืบทอดกันมานานกว่าร้อยปีในอดีตขนมชนิดนี้ถือเป็นขนมหวาน สำหรับชนชั้นสูงที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยพระยาสมันตรัฐ โดยคนในสายสกุลกรมเมืองที่เข้าไปรับใช้อยู่ในวังเก่าเจ้า เมืองสะโตยหรือจังหวัดสตูลในปัจจุบัน ขนมบุหงาบูดะได้รับอิทธิพลเข้ามาจากประเทศมาเลเซียแต่ปัจจุบันไม่ พบขนมชนิดนี้ในประเทศมาเลเซียแล้วแต่หาซื้อได้ในบางอำเภอของจังหวัดสตูลที่มีเขตแดนติดกับประเทศ มาเลเซีย และหาซื้อได้ง่ายในพื้นที่อำเภอละงูและในอำเภออื่น ๆ ในสมัยอดีตขนมบุหงาบูดะมีเฉพาะสีขาวนิยม ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและใช้เป็นบททดสอบหญิงสาวที่จะคัดเลือกเป็นคู่ครองเนื่องจากขนมบุหงาบูดะ เป็นขนมที่ทำยาก คนที่ทำขนมชนิดนี้ได้จะต้องเป็นคนสุขุมเยือกเย็นอย่างมากจึงจะได้ขนมบุหงาบูดะที่สวยงาม ตามต้องการ ขณะเดียวกันนิยมใช้ขนมชนิดนี้ในพิธีแห่ขันหมากในงานมงคลสมรสเพราะขนมชนิดนี้มีรูปทรง คล้ายหมอนเปรียบเสมือนการเริ่มใช้ชีวิตคู่ร่วมเรียงเคียงหมอนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ปัจจุบันขนมบุหงาบูดะทำด้วยมะพร้าวทึนทึกและแป้งข้าวเหนียวผสมด้วยน้ำตาล เกลือ น้ำ และกะทิ เป็นขนมพื้นบ้านของชาวมุสลิมที่นิยมทำเป็นขนมใช้ในงานเทศกาลงานพิธีที่สำคัญๆ ทางศาสนาอิสลาม อาทิ งานเทศกาลฮารีรายอ ตรุษของอิสลาม เทศกาลถือศีลอด งานแต่งงาน และเทศกาลงานอื่นๆ อีกมากมายใน อดีตขนมบุหงาบูดะจะทำกันเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญไม่มีขายตามท้องตลาดจะต้องรอจนถึงช่วงเวลา เทศกาลถึงจะได้รับประทาน แต่ปัจจุบันขนมบุหงาบูดะได้มีกลุ่มเยาวชนและกลุ่มแม่บ้านที่ได้สืบทอดภูมิปัญญา ดั้งเดิมของบรรพบุรุษรวมกลุ่มทำขนมพื้นบ้านชนิดนี้จนกลายเป็นสินค้าโอทอปที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสตูล
17 ภาพที่ 16 การทำขนมบุหงาบูดะ ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ภาพที่ 17 การทำขนมบุหงาบูดะ ที่มา : พรรษชล หมินหมัน. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ขั้นตอนการทำขนมบุหงาบูดะ ขั้นตอนที่ 1 การทำไส้มะพร้าว นำมะพร้าวขูดขาวมาผัดกับน้ำ น้ำตาลทราย และสีผสมอาหาร ผัด จนเริ่มแห้ง แล้วนำไปตากแดดจนแห้งสนิท 1 วัน ขั้นตอนที่ 2 ผัดแป้งผสมน้ำ ผัดแป้งข้าวเหนียวด้วยไฟอ่อนจนมีลักษณะขึ้นเงาและนำขึ้นพักไว้ค่อย ๆ ใส่น้ำผสมลงในแป้งข้าวเหนียวที่ผัดไว้ทีละนิด คอยใช้มือขยำไม่ให้แป้งจับตัวกันเป็นก้อนเมื่อแป้งชื้นได้ที่แล้ว แป้งจะไม่เป็นฝุ่นติดมือ ขั้นตอนที่ 3 ประกอบร่าง ตั้งกระทะไฟปานกลางนำแป้งที่ผสมน้ำแล้วมาร่อนผ่านกระชอนลงใน กระทะใส่ไส้มะพร้าวที่แห้งสนิทแล้วลงตรงกลางเมื่อแป้งในกระทะร่อนเป็นแผ่น พับทั้ง 4 ด้านให้เป็นทรงสี เหลี่ยมเหมือนหมอนและตักขึ้น
18 บทสัมภาษณ์ คุณซายูรา นิลสกุล กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านปากปิง เรื่อง ขนมบุหงาบูดะ ผู้สัมภาษณ์: ขนมบุหงาบูดะมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมขนมบุหงาบูดะถึงเป็นขนมที่เป็นเอกลักษณ์ของ จังหวัดสตูล ผู้ให้สัมภาษณ์: ในอดีตขนมบุหงาบูดะเป็นขนมที่ใช้รับรองแขกในชนชั้นสูง เป็นขนมที่มีอยู่ในวังเจ้าสมัยพระ ยาสมันตรัฐเจ้าเมืองสะโตย และเป็นขนมที่มีเฉพาะวันสำคัญหรือเทศกาลสำคัญเท่านั้น หาทานได้ยาก เป็น ขนมมงคลสำหรับงานแต่งและชาวสตูลอีกด้วย ขนมนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซียแต่ในปัจจุบันขนม บุหงาบูดะไม่ปรากฏในประเทศมาเลเซียแล้วแต่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงในจังหวัดเท่านั้น สมัยอดีตขนมบุหงาบู ดะ มีเฉพาะสีขาวนิยมใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและใช้เป็นบททดสอบหญิงสาวที่จะคัดเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากขนมบุหงาบูดะเป็นขนมที่ทำยาก คนที่ทำขนมชนิดนี้ได้จะต้องเป็นคนสุขุมเยือกเย็นอย่างมากจึงจะได้ ขนมบุหงาบูดะที่สวยงามตามต้องการ ขณะเดียวกันนิยมใช้ขนมชนิดนี้ในพิธีแห่ขันหมากในงานมงคลสมรส เพราะขนมชนิดนี้มีรูปทรงคล้ายหมอนเปรียบเสมือนการเริ่มใช้ชีวิตคู่ร่วมเรียงเคียงหมอนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อย่างมีความสุข ผู้สัมภาษณ์: ขนมบุหงาบูดะมีส่วนผสมของขนมที่โดดเด่นหรือเอกลักษณ์ของขนมเป็นอย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์: ขนมบุหงาบูดะนั้นทำด้วยมะพร้าวทึนทึกและแป้งข้าวเหนียวผสมด้วยน้ำตาล เกลือ น้ำ และ กะทิมะพร้าวทึนทึกนั้นเราต้องนำมาผัดให้แห้งเสมือนมะพร้าวแก้วและห่อด้วยแป้งข้าวเหนียวที่กร่อนลงบน เตาและห่อเป็นสี่เหลี่ยม ขนมมีรสชาติหวาน มีกลิ่นหอม มีความกลมกล่อมและความอร่อยของมะพร้าวที่โดด เด่นในขนม ผู้สัมภาษณ์: ทำไมถึงยกให้ขนมบุหงาบูดะเป็นขนมขึ้นชื่อของอำเภอละงู ผู้ให้สัมภาษณ์: ในทุกวันนี้มีแหล่งผลิตขนมบุหงาบูดะที่สำคัญและมีชื่อเสียงอยู่หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มได้พัฒนา รูปร่างหน้าตา รสชาติ สีสัน และรูปแบบบรรจุภัณฑ์แตกต่างกัน และแหล่งผลิตที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่ รู้จักกันมากที่สุดในจังหวัดสตูล คือ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านปากปิง หรือกลุ่มทำขนมของเรานั่นเอง เพราะ เป็นกลุ่มเดียวที่สามารถทำรสชาติได้อร่อย สีสัน รูปร่างหน้าตาดี และสามารถทำเพื่อขายเป็นสินค้าโอทอปได้ ตลอดทั้งปี สรุป ขนมบุหงาบูดะเป็นขนมขึ้นชื่อ เป็นสินค้าโอทอป ที่เป็นแอกลักษณ์ของจังหวัดสตูล เป็นขนมที่ได้รับ อิทธิพลมากจากประเทศมาเลเซีย ในส่วนตำบลละงูมีการทำขนมบุหงาบูดะที่อร่อยที่และผลิตได้ทั้งปี
19 การแสดงรองเง็ง ความเป็นมาของรองเง็ง เป็นการแสดงประเภทศิลปะการเต้นรำประกอบดนตรีของคนพื้นเมืองในภาคใต้ตลอดจนเมืองต่างๆ ของมาเลเซียตอนเหนือ เช่น กะลันตัน ไทรบุรี ปาหัง ตรังกานู ล้วนเป็นที่นิยมเล่นกันทั่วไปและแพร่ไปถึง อินโดนีเซีย โดยกล่าวกันว่ารองเง็งได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากชาวยุโรป คือ ปอร์ตุเกส สเปน ซึ่งเดินเรือเข้า มาติดต่อค้าขาย สร้างคลังสินค้า และตั้งเป็นอาณานิคมขึ้นในย่านนี้ เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ มีงานรื่น เริงใด ๆ พวกฝรั่งซึ่งมีการเต้นรำขึ้น ซึ่งก็เต้นรำกันสนุกสนาน ชาวมลายูพื้นเมืองเห็นเป็นแบบอย่างจึงนำมา ฝึกซ้อมหัดเล่นขึ้นบ้างโดยเริ่มแรกฝึกหัดจัดแสดงกันอยู่ในวงแคบเฉพาะแต่ในบ้านขุนนางและวังเจ้าเมือง สุลต่านเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อหรือเวลามีงานรื่นเริงต่าง ๆ เป็นการภายใน ภายหลังจึงได้แพร่หลายออกสู่ชาว พื้นเมือง ในยุคแรกการแสดงรองเง็งยังอยู่ในวงจำกัด ใช้ผู้หญิงข้าทาสบริวารฝึกหัดกัน เนื่องจากวัฒนธรรม มุสลิมไม่นิยมให้สตรีเข้าสังคมใกล้ชิดกับบุรุษอย่างประเจิดประเจ้อ ต่อมาจึงใช้รองเง็งเป็นการแสดงสลับฉาก ฆ่าเวลาขณะเมื่อการแสดงละครมะโย่งหยุดพักครั้งละ ๑๐-๑๕ นาที เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเชิญให้ผู้ชมลุก ขึ้นมาร่วมวงด้วย ในที่สุดรองเง็งจึงได้พัฒนารูปแบบจนเป็นที่ถูกใจชาวบ้าน มีการตั้งคณะรองเง็งขึ้นรับจ้างไป แสดงตามงานต่าง ๆ ทำนองคณะรำวงรับจ้างของไทย โดยกล่าวกันว่าในพื้นที่ตำบลละงูได้มีคณะรองเง็งที่ได้รับอิทธิมาจากมาเลเซียและได้รับการถ่ายทอด มาจากรุ่นปู่ย่า ตลอดจนปัจจุบันได้นำเอาการแสดงรองเง็งเข้ามายังพื้นที่ละงูเป็นพื้นที่แรกและเป็นการแสดง รองเง็งพื้นบ้านดั้งเดิม คือ คณะรองเง็งศรีปากบาง ที่ยังคงหลงเหลือความเป็นรองเง็งพื้นบ้านดั้งเดิมอยู่ เพราะ ในปัจจุบันได้มีการแสดงในแบบประยุกต์มีการเต้นในท่าทางที่ไม่เหมาะสม แต่คณะรองเง็งศรีปากบางยังคง อนุรักษ์การแสดงในรูปแบบพื้นบ้านดั้งเดิมเอาไว้และถ่ายทอดสู่รุ่นต่อไป ภาพที่ 18 รองเง็งและการแต่งกาย ที่มา : https://sites.google.com. เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566
20 การแต่งกาย และเครื่องดนตรีและเพลงที่ใช้ ผู้ชายสวมหมวกหนีบไม่มีปีก (หรือที่เรียกหมวกแขก) สีดำหรือบางทีอาจจะสวม “ชะตางัน” หรือโพก ผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิม นุ่งกางเกงขากว้าง (คล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน) ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสี เดียวกับกางเกง ใช้ผ้าหน้าแคบคล้ายผ้าขาวม้าเรียก “ผ้าลิลินัง” หรือ “ผ้าซาเลนดัง” เป็นผ้าไหมยกดอกดิ้น ทองดิ้นเงินผืนงาม พันรอบสะโพกคล้ายนุ่งโสร่งสั้นทับกางเกงอีกชั้นหนึ่ง ผู้หญิง ใส่เสื้อเข้ารูปแขนกระบอกเรียกเสื้อ “บันดง” ยาวคลุมสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทอง เป็น แถวยาว นุ่งผ้าถุงสีหรือลายยาวกรอมเท้า มีผ้าผืนยาวบางๆ คลุมไหล่ให้สีตัดกับสีเสื้อ เครื่องดนตรี: ๑. กลองรำมะนา ๒. ฆ้อง ๓. ไวโอลิน (เป็นเครื่องดนตรีหลักที่สำคัญ) เพลงที่ใช้: 1. เพลงลาฆูดูวอ 2. เพลงลานัง 3. เพลงปูโจ๊ะปิซัง 4. เพลงจินตาซายัง 5. เพลงอาเนาะดีดิ 6. เพลงมะอีนังชวา 7. เพลงมะอีนังลามา
21 บทสัมภาษณ์ คุณก่อดีย๊ะ ปองแท้ คณะรองเง็ง “ศรีปากบาง” เรื่อง การแสดงรองเง็ง ผู้สัมภาษณ์: รองเง็งมีความเป็นมาอย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์: รองเง็งเป็นการแสดงประเภทศิลปะการเต้นรำประกอบดนตรีของคนพื้นเมืองในภาคใต้ซึ่ง ได้รับอิทธิมาจากมาเลเซียและได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นปู่ย่าที่เป็นชาวมาเลเซีย และได้นำเข้ามายังพื้นที่ ตำบลละงูเป็นครั้งแรกโดยเป็นการแสดงรองเง็งแบบพื้นบ้านดั้งเดิม ผู้สัมภาษณ์: การแสดงรองเง็งของคณะศรีปากบางมีการแสดงแบบประยุกต์หรือไม่ ผู้ให้สัมภาษณ์: มีการแสดงแบบประยุกต์บ้าง แต่ก็ยังมีการแสดงแบบดั้งเดิมอยู่ เพราะต้องการที่จะอนุรักษ์ และสืบสานการแสดงแบบดั้งเดิมเอาไว้ ในการแสดงแบบประยุกต์ทางคณะไม่ค่อยนิยมรับงานเนื่องจากไม่มี ความเหมาะสมในท่าเต้นและชุดที่ใช้ ผู้สัมภาษณ์: การแสดงรองเง็งใช้ในงานอะไรได้บ้าง ผู้ให้สัมภาษณ์: ใช้ได้ในทุกงาน ทุกเทศกาล หรือจะรับการแสดงเพื่อไปเล่นแก้บนก็สามารถรับงานได้เช่นกัน ต้องการแสดงเพื่อดูเพลินเพลินหรือเพื่อความสนุกสนานก็สามารถกำหนดได้ว่าต้องการแบบใด แบบดั้งเดิมหรือ แบบประยุกต์ และคณะศรีปากบางก็มีการรับงานไปทั่วภาคใต้ สรุป การแสดงรองเง็งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งการแสดงมี 2 รูปแบบ คือ แบบดั้งเดิม และ แบบประยุกต์ ในส่วนของแบบดั้งเดิมในปัจจุบันกำลังหายไปจากภาคใต้แต่ยังคงหลงเหลือและสืบทอดในรุ่น ต่อไปของทางคณะรองเง็งศรีปากบาง ในการแสดงแบบประยุกต์ไม่เกิดความเหมาะสมของท่าเต้นและชุดที่ใช้ ทางคณะจึงไม่นิยมรับการแสดงแบบประยุกต์
22 บรรณานุกรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2021). เรือหัวโทง ภูมิปัญญาแดนใต้. สืบค้น 15 กุมภาพันธ์ 2566, จาก https://tatcontactcenter.com. นาย อักขณิช ศรีดารัตน์. (2012). ดำนา. สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2566, จาก https://www.gotoknow.org/posts/497075. องค์การบริหารส่วนตำบลละงู. (2012). ประวัติตำบลละงู. สืบค้น 13 กุมภาพันธ์ 2566, จาก http://www.langu.go.th/history.php. Tanthai Partikornwong. (2019). “บุหงาปูดะ” เมนูของหวานจากสตูล ของดีหากินยาก ที่อยากให้ลอง. สืบค้น 13 กุมภาพันธ์ 2566, จาก https://www.wongnai.com/recipes/fried-glutinous-flourstuffing-dried-coconut. Thai PBS. (2022). หนึ่งเดียวในไทย ลายฟอสซิล-ย้อมสีดิน ต่อลมหายใจ 20 ปี "ปันหยาบาติก". สืบค้น 14 กุมภาพันธ์ 2566, จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/318355. ปนัดดา ทองศรีจันทร์. รองเง็ง. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2566, จาก https://sites.google.com/site/looknampattalung/phumipayya-ni-dan-silpkarsaedng/rxngngeng.
ง ภาคผนวก
รายนามผู้ให้สัมภาษณ์ 1. คุณซายูรา นิลสกุล กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านปากปิง (ขนมบุหงาบูดะ) 2. คุณจุมพล โชติสกุล ประธานวิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก 3. คุณก่อดีย๊ะ ปองแท้ ปราชญ์ชุมชน "รองเง็งศรีปากบาง" 4. คุณพิศาล สะออละ เจ้าของคาเฟ่ "Pong Kopee" (เรื่องเล่ากัวลาบารา) 5. คุณสหรัฐ ยาหยาหมัน เจ้าของร้านอาหาร "ครัวบ้านโจรสลัด" (เรื่องเล่าลากู) 6. คุณอาดัม องศารา เจ้าของธุรกิจประมงขนาดเล็ก แพปูบังดำ (ประมงพื้นบ้าน) เว็บไซต์สืบวันวาน... ตำนานลากู ภาพที่ 19 คิวอาร์โค้ดเว็บไซต์สืบวันวาน... ตำนานลากู ที่มา :https://sites.google.com/parichat.skru.ac.th/langu. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2566