The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chutinan0812, 2021-08-17 14:34:43

จารีตนาฏศิลป์

หนังสือ E-BOOK

Keywords: จารีตนาฏศิลป์

คำนำ

หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี -นาฏศิลป์
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ได้จัดทาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัด
และสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมีเนื้อหาเก่ียวกับ ความหมาย
ของจารีต ความสาคัญของจารีตนาฏศิลป์ไทย การได้มาซึ่ง
จารีต จารีตจากความเช่ือดั้งเดิม จารีตจากศาสนา ประโยชน์
ของความเชื่อ จารีตทางพิธีกรรม พิธีไหว้ครู ครอบครู
โขนละคร จารตี ท่ีเป็นข้อปฏบิ ตั ิ ข้อห้ามทางการแสดง

เพื่อให้เกิดประโยชน์สูดสุดแก่ผู้เรียน หนังสือเล่มนี้จึงได้
จัดทาเนื้อหาที่ทันสมัยเพื่อให้เหมาะกับวัยของผู้เรียน กระตุ้น
กระบวนการคิด นอกจากน้ียังได้สอดแทรกข้อมูลเกี่ยวกับการ
อนุรักษณว์ ฒั นธรรมไทย



สำรบญั

เร่อื ง หน้า

ความหมายของนาฏศลิ ปไ์ ทย 1
นาฏศลิ ป์ไทยกาเนดิ มาจาก 5
ความสาคัญของนาฏศลิ ปไ์ ทย 6
ความหมายของจารีต 9
ความสาคญั ของจารตี นาฏศลิ ป์ไทย 10
การได้มาซงึ่ จารีต 13
จารีตจากความเชือ่ ดง้ั เดิม 14
จารตี จากศาสนา 15
จารีตทางพธิ กี รรม พธิ ีไหว้ครู ครอบครู โขนละคร 21
จารตี ทเี่ ป็นข้อปฏบิ ตั ิ ข้อหา้ มทางการแสดง 24



ควำมหมำยของนำฏศลิ ป์ไทย

นาฏ หมายถึง การร่ายราเคล่ือนไหวไปมา สันสกฤตใช้รูปคาศัพท์ว่า
นาฏตย เปน็ ชือ่ อย่างหนึง่ ของการฟ้อนราบวงสรวงพระผ้เู ปน็ เทวาลยั
โดยเลือกเอาจังหวะและท่าราที่เต็มไปด้วยท่าสักการะและเลือก
แสดงตอนที่เป็นการกระทาเน่ืองในชีวประวัติของพระผู้เป็น เจ้า
มีคาอธิบายเพ่ิมเติมอีก ได้แก่ การฟ้อนราพื้นเมืองชาวบ้าน ระบา
เดี่ยว ระบาคู่ ระบาชดุ ซึ่งอยใู่ นอิเดยี จนบดั น้ี
ศิลป์ ความหมายของศิลป์กว้างขวางไปตามความคิดแต่ละแขนง
สาขา กาหนดแน่นอนไม่ได้ในสมัยแรกๆ ศิลป์ หมายถึง การช่างทั่ว
ๆ ไป โดยอาศัยความคิด ความประณีตก่อให้เกิดความช่ืนชมแก่ผพู้ บ
เห็น
ศิลป์ อาจหมายถึง การแสดงออกเพื่อสนองความต้องการทาง
อารมณ์ การลอกเลียนแบบหรือส่ิงท่ีมนุษย์จินตนาการออกมาใน
รูปแบบต่าง ๆ หรือได้พบเห็นจากธรรมชาติแล้วนามาดัดแปลงให้
วิจิตรละเอยี ดออ่ น
นาฏศิลป์ หมายถึง การแสดงฟ้อนราโดยคนทงั้ หมด หรือโดยคน
เป็นส่วนสาคัญต่อหน้าคนดู เป็นการร้ องราที่ไม่มีการดาเนิน
เร่ืองราวหรือมีเรื่องราวเพียงเลก็ น้อย โดยท่ีผ้ทู าหน้าท่ีฟอ้ นรายงั คง
เป็นตัวของตัวเอง ตลอดไปจนถึงการแสดงท่ีผู้ทาหน้าที่ฟ้อนรา
แสดงเป็นตวั ละครในท้องเร่ืองและดาเนินการแสดงเป็นเร่ืองราว
ตงั้ แตเ่ ริ่มเรื่องไปจนจบเร่ืองในการแสดงครัง้ หนง่ึ ๆ ผ้ทู าหน้าทฟ่ี อ้ น
ราอาจพูดหรือร้องบทของตนเองด้วยการด้นเอง หรือด้วยการทา
ตามบทท่มี อี ยเู่ ดมิ หรือฟอ้ นราทาทา่ ทางคือราตบี ทไปตามคาร้อง

1

ของคนร้อง การแต่งกายมีท้ังที่แต่งกายปกติไปจนเคร่ืองแต่งกายอัน
วิจิตรที่ถือเป็นแบบแผนของการแสดงแต่ละชนิด ผู้แสดงเป็นทั้งชาย
ล้วน ผู้หญิงล้วน และผสมชายหญิง รูปแบบของการฟ้อนราเป็นไป
ตามลักษณะของวัฒนธรรมแห่งการฟ้องราของชนชาติไทยใน
ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคท้ังท่ีเป็นระดับวิจิตรศิลป์ และระดับ
พ้ืนบ้านนาฏศิลป์ไทยตามคาจากัดความข้างต้น ปรากฏท่ีมีชื่อเสียง
มากมายหลายชนิด อาทิ ระบา รา เตน้ หนงั ระเบง โมงครุ่ม กุลาตีไม้
โขนและละครแบบตา่ ง ๆ
ดังนั้น นาฏศิลป์ไทย หมายถึง ศิลปะของการร่ายรา สามารถแบ่ง
ประเภทการแสดงได้คือ นาฏศิลป์มาตรฐาน นาฏศิลป์พื้นบ้านและ
นาฏศลิ ป์ปรบั ปรุง แบ่งตามรูแบบในการแสดงออกเป็น รา ระบา โขน
การละเล่นละคร ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตามรูปแบบวัฒนธรรมและวิถี
ชีวิตของไทย การแสดงนาฏศิลป์ไทยนั้นมีองค์ความรู้ต่าง ๆ ประกอบ
รวมกันขึ้นเปน็ ศาสตรด์ ้านนาฏศิลปโ์ ดยมีรานละเอียด ดงั นี้
1. ประวตั คิ วามเปน็ มาและวิวัฒนาการของนาฏศลิ ป์ คือ กระบวนการ
ผลิต การคงอยู่การเสื่อมสลายและการเปลี่ยนไปของนาฏศิลป์ เช่น
มูลเหตุในการเกิดนาฏศิลป์ ประวัติความเป็นมาของละคร รูปศัพท์คา
ว่าละคร หนังใหญ่ โขน ลิเก ฯลฯ และประเภทของนาฏศิลป์ไทยท่ีมี
ทั้งนาฏศิลป์แบบมาตรฐาน นาฏศิลป์พื้นบ้านหรือนาฏศิลป์ปรับปรุง
หรือมีประโยชน์กบั ผ้ปู ฏิบตั ินาฏศลิ ป์อยา่ งไร
2. บทบาท ประโยชน์ หมายถึง ความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับสังคม
ในด้านต่าง ๆ หรือมีประโยชนก์ ับผปู้ ฏบิ ัตนิ าฏศิลป์อย่างไร

2

3. องค์ประกอบการแสดง มรี ายละเอียดตา่ ง ๆ ดงั น้ี
3.1 บทละครและวรรณคดี เป็นส่วนสาคัญต่อการแสดง

เน่ืองจากใชก้ าหนดอรงคป์ ระกอบอืน่ ทมี่ ใี นเร่อื งนน้ั
3.2 ตัวละคร มีรายละเอียดประกอบด้วย ประวัติความเป็นมา

ลกั ษณะนสิ ัย บทบาทและความสมั พนั ธ์ของตัวละคร และการคัดเลอื ก
ผแู้ สดงจะรบั บทบาทเป็นตัวละครนัน้

3.3 ดนตรี มีรายละเอียดประกอบด้วยประวัติเครื่องดนตรี
ประเภทวงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงเพลงหน้าพาทย์ท่ีใช้ในการ
แสดง

3.4 ผู้แสดง ประกอบด้วย ศิลปิน ครู โดยกล่าวถึงประวัติและ
ผลงาน เทคนิควิธีการแสดง วิธีการถ่ายทอด วิธีการสร้างสรรค์ วิธีคิด
มมุ มอง ทัศนคติ ประสบการณ์การแสดง

3.5 อุปกรณ์ประกอบการแสดง ประวัติ วิธีการใช้ วัสดุท่ีใช้
ประดิษฐ์และแสดงลกั ษณะกายภาพของอุปกรณก์ ารแสดง

3.6 การแสดง หมายถึง กระบวนการท่ารา วิธีการแสดงของ
ชุดการแสดง

3.7 นาฏยลักษณห์ รอื เอกลกั ษณข์ องการแสดงประเภทต่าง ๆ
3.8 เคร่ืองแต่งกาย ประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ หรือ
วิธีการออกแบบการสร้างสรรค์ชุดเคร่ืองแต่งกาย สีเคร่ืองแตง่ กายของ
ตัวละคร
3.9 โรงละคร ฉาก มีรายละเอียดประกอบด้วยการสร้าง การ
ใช้พื้นที่และส่วนประกอบต่าง ๆ ของโรงละครและความสาคัญของ
ฉากท่ีมีบทบาทต่อการแสดง หรอื ลักษณะของฉากประเภทต่าง ๆ

3

4. การเรียนการสอน มีรายละเอียดประกอบด้วยประวัติการสร้าง
การใช้พื้นที่และส่วนประกอบต่าง ๆ ของโรงละครและความสาคัญ
ของฉากท่ีมีบทบาทต่อการแสดง หรือลักษณะของฉากประเภทต่าง

5. จารีต ประเพณี ความเช่ือในการแสดงนาฏศิลป์ หรือพิธีการไหว้
ครูและครอบโขนละคร ประวัติเทพเจ้า หรือครูสาคัญในพิธีการไหว้
ครู และข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ รวมถึงความเช่ือท่ีสืบทอดต่อ
กันมา
6. นาฏยศัพท์ มีรายละเอยี ดประกอบด้วย ความหมาย การบรรยาย
กิริยาอาการตามช่ือของการปฏิบัติท่าราหรือนาฏยศัพท์ เฉพาะใน
การแสดงนนั้ ๆ
7. องค์กร คือ หน่วยงานท่ีมีความสาคัญต่อการแสดง ซึ่งหมายถึง
การรวมตัวข้ึนเป็นคณะนักแสดงหรือหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีมีบทบาท
ความสัมพันธ์กับนาฏศิลป์ไทย โดยล้วนมีจุดมุ่งหมายหรือพันธกิจที่
สง่ ผลตอ่ วงการนาฏศลิ ปไ์ ทยทง้ั สน้ิ
8. การสร้างสรรค์การแสดง ประกอบด้วยการคิด การออกแบบและ
การสร้างสรรค์ กล่าวคือ กระบวนการทาให้เกิดการแสดงนาฏศิลป์
ไทยท้งั ชุดการแสดงใหม่ หรอื ปรับปรุงจากการแสดงเดิม
กล่าวโดยสรุป คาว่า นาฏศิลป์ หมายถึง การฟ้อนราท่ีมนุษย์
ประดษิ ฐ์ขึ้นนจากธรรมชาตดิ ้วยความประณีตเพียบพร้อมด้วยความ
วจิ ิตรละเอยี ดอ่อน นอกจากหมายถึงการฟ้อนราระบาราเต้นแล้ว ยัง
หมายถงึ การรอ้ งและบรรเลงอีกด้วย

4

นำฏศลิ ปไ์ ทยกำเนดิ มำจำก

1. การเลียนแบบธรรมชาติ ผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทางซ่ึงแสดง
อารมณ์ต่าง ๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้องติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อน
ราใหเ้ หน็ งาม จนเป็นทตี่ อ้ งตาตดิ ใจคน
2.การเซ่นสรวงบูชา มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อในสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ
จึงมีการบูชาเซ่นสรวงเพ่ือขอให้ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิประทานพรให้ตนสม
ปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าส่ิงที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การ
บูชาเซ่นสรวง มักถวายส่ิงท่ีตนเห็นว่าดีหรือท่ีตนพอใจ เช่น ข้าว
ปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ จนถึงการขับร้อง ฟ้อนรา
เพ่ือให้สิ่งที่ตนเคารพบูชาน้ันพอใจ ต่อมามีการฟ้อนราบาเรอ
กษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบาบัดทุกข์สุขให้มีการฟ้อน
รารบั ขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ท่ีมีชัยในการสงครามปราบข้าศึก
ศัตรู ต่อมาการฟ้อนราก็คลายความศักด์ิสิทธิ์ลงมา กลายเป็นการ
ฟ้อนราเพื่อความบันเทงิ ของคนท่วั ไป
3. การรับอารยธรรมของอิเดีย เม่ือไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ ๆ
น้ัน มีชนชาติมอญและชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติท้ัง
สองน้ันได้รับอารยธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน เมื่อ
ไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติท้ังสองน้ีก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด
ไทยจึงพลอยได้รับอารยธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา
ประเพณี ตลอดจนศลิ ปะการละคร ไดแ้ ก่ ระบา ละครและโขน

5

ควำมสำคัญของนำฏศลิ ปไ์ ทย

นาฏศิลป์เป็นศิลปวัฒนธรรมของไทยมาแต่โบราณ และสืบ
ทอดมาจนถึงทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์นับเน่ือง
มาแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงรัชกาลปัจจุบัน มิทรงละเลยในการ
ทะนุบารุงมรดกของชาติ ถึงแม้ในบางรัชกาลมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา
ก็ยังมิทรงละทิ้ง เช่น ในสมัยกรุงธนบุรีทรงมุ่งมั่นในการก่อสร้าง
ประเทศสยามใหมแ่ ละมีศกึ สงครามอยเู่ กอื บตลอด กย็ งั ทรงใสพ่ ระทัย
ในการบารุงนาฏศิลป์อยู่ไม่น้อย รวบรวมเอาละครหลวงซ่ึงกนีจาก
อยุธยาไปอยู่นครศรีธรรมราชมาปรับปรุงละครหลวงขึ้นใหม่ ในสมัย
กรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงบารุง
การละครเป็นราชกิจสาคัญอันหนึ่ง ทรงขอแรงพระบรมวงศานุวงศ์
และข้าราชการที่สันทัดทางบทกลอนช่วยกันแต่งเร่ืองละครข้ึน มี
ละครหลายคณะและตัวละครดี ๆ เกิดข้ึนในรัชกาลน้ีเป็นอับมาก ใน
รัชกาลที่ 2 ทรงชาระบทละครของเก่าต่าง ๆ ทรงแก้ไขและแต่งใหม่
ให้เหมาะสมกับการแสดงละครเป็นอันมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์
รามเกียรต์ิใหม่ให้เหมาะแก่การแสดงโขน ในรัชกาลท่ี 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดการละครเท่าใดนัก จึง
เป็นเหตุให้พวกขุนนางข้าราชการชั้นสูง ๆ ได้ละครดี ๆ ไปไว้ในคณะ
ของตนเป็นอันมาก ครั้นมาถึงรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบารุงนาฏศิลป์ในราชสานักให้กลับฟ้ืนข้ึน ได้มี
ประกาศเม่ือ พ.ศ. 2398 อนุญาตให้คนทั่วไปมีละครผู้หญิงได้ “มี
ละครด้วยกันหลายรายดี บ้านเมืองจะได้ครึกคร้ืน จะได้เปน็ เกียรตยิ ศ
แก่แผ่นดิน”นับว่าเป็นประกาศฉบับแรกที่พระมหากษัตริย์ได้ทรง
แสดงออกใหช้ ดั วา่ นาฏศลิ ป์ เปน็ เครื่องชูเกยี รติของประเทศชาติ

6

ในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง
บารุงนาฏศิลป์อย่างมาก เช่นเดียวกับในรัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระราช
นพิ นธบ์ ทละครเรือ่ งเงาะปา่ และสันบสนุนละครคณะอ่ืน ๆ ให้เจริญ
ได้มกี ารเปล่ยี นแปลงในรชั กาลที่ 5 คือ เจ้าพระยาเทเวศร์ ฯ ได้ริเริ่ม
ตั้งโรงแสดงละครไทย เก็บเงินจากผู้เข้ามาดูเป็นครั้งแรกในประเทศ
สยาม ส่วนเจ้าพระยาเทเวศนรวงศ์-วิวัฒน์ ได้คิดวิธีแสดงละครข้ึน
อีกอย่างหนึ่ง โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ทรงช่วย
เรียบเรียงบทและบรรจุเพลงเป็นแบบละครอย่างใหม่เรียกว่า
“ละคร ดึก ดา บรร พ์ ” ใ น รั ชก าลท่ี 6 ซ่ึงเป็นรั ชสมัย แห่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้ทรงบารุงการละคร
ให้ดขี ึ้นอย่างมากมาย ความก้าวหน้าของการละครในรัชกาลนี้เป็นที่
ประจักษ์โดยทั่วกันอีก ทั้งยังใช้การละครเป็นเคร่ืองมือหนึ่งในการ
สอนใหค้ นเข้าใจในเรอ่ื งประชาธปิ ไตย
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีระยะส้ัน
เพียง 9 ปีเท่าน้ัน เกดิ วกิ ฤติการณท์ างเศรษฐกิจอันเปน็ ผลกระทบมา
จากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทาให้ต้องทรงเร่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง มี
การปรับเปลี่ยนและยุบหน่วยราชการจนถึงมีการเปลี่ยนแปลงการ
ป ก ค ร อ ง จ า ก ร ะ บ อ บ ส ม บู ร ณ า ญ า สิ ท ธิ ร า ช ย์ เ ป็ น ร ะ บ อ บ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ในช่วง
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ. ศ. 2468 –2475 พระองค์ได้ทรง
แก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่าด้วยการยุบเลิกหน่วยงาน ลดขนาด
หน่วยงานและลดปริมาณข้าราชการ การนี้มีผลทาให้ต้องยกเลิก
กรมมหรสพทตี่ ัง้ ขึ้นในสมยั รชั กาลท่ี 6 ในชว่ งประชาธปิ ไตย

7

พ.ศ. 2475 – 2477 ได้มีการดาเนินการจดั ตง้ั กรมศิลปากรข้นึ มาใหม่
ในปี พ.ศ. 2476 มีแผนกละครและสงั คีต ดงั นั้น เมื่อพิจารณานาฏศิลป์
ไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวท่ามกลางความ
รุนแรงทางเศรษฐกิจและการเมืองนับว่านาฏศิลป์ไทยได้รับการ
ประคับประคองมิให้ล่มสลายและค่อย ๆ พัฒนาจนรุ่งเรืองดังท่ีเห็นใน
ปจั จบุ นั

8

ควำมหมำยของจำรีต

จารีต หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่ยึดถือและปฏิบัติสืบเน่ืองกันมา
ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและยังคงปฏิบัติต่อเน่ืองสืบไป จารีตจึงอาจ
เป็นเคร่ืองมือกาหนดแบบแผนของสังคม หรือสิ่งใดสิ่งหน่ึง
เชน่ เดยี วกับจารีตการฝึกหัดและการแสดงโขนของทศกัณฐ์ ซึง่ ปฏิบัติ
สืบเน่ืองกันมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยการจดจาและการ
ปฏิบัตเิ ปน็ สาคัญ
จารีตนาฏศิลป์ไทย หมายถงึ ระเบียบหรือแบบแผนท่ีเปน็ ขอ้ ปฏิบัติท่ี
สืบเนื่องกันมาจนบางคร้ังนับถือเป็นกฎเกณฑ์ที่เหล่าศิลปินและผู้
ศึกษาวิชานาฏศิลป์จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความเคร่งครัดของ
จารีตอาจข้ึนอยู่กับสภาพสังคมความเช่ือในแต่ละยุคสมัยด้วย
บางครั้งจารีตที่นับถือและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในสมัยหน่ึงอาจไม่
จาเป็นต้องปฏบิ ตั ิอยา่ งเคร่งครดั ในอกี สมยั หนงึ่ กเ็ ปน็ ได้

9

ควำมสำคัญของจำรตี นำฏศลิ ปไ์ ทย

ความสาคัญของจารีตนาฏศิลป์ไทย สามารถประมวลเป็นหัวข้อ
ใหญ่ ๆ ไดด้ ังนี้
1. เป็นส่ิงท่ีแสดงภูมิปัญญาของครูอาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ท่ี
สืบทอดกันมา

จารีตนาฏศิลป์ไทย โดยภาพรวมจะเป็นเร่ืองของข้อห้าม
ข้อปฏิบัติและเคล็ดลางในส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ีเกิดขึ้นจากความเชื่อ
และค่านิยมที่ได้รับการปลูกฝังกันสืบมา บางข้ออาจเป็นเพียงข้อ
ปฏิบัติที่ดูเสมือนว่าไม่มีความสาคัญมากนัก แต่ถ้าพิจารณาให้
ลึกซ้ึงจะมองเห็นคุณประโยชน์อย่างมาก อาทิ นาฏศิลปินหรือผู้
ศกึ ษาวิชานาฏศลิ ป์ เม่ือได้ยินเพลงหน้าพาทย์จะยกมือขึ้นน้อมไหว้
การไหวเ้ ป็นวิธีการแสดงความเคารพท่ที ุกคนมีความเข้าใจเปน็ อนั ดี
ถ้าจะถามว่าน้อมไหว้นั้น ไหว้ใคร ก็จะได้คาตอบที่หลากหลายเช่น
ไหว้ครูมนุษย์ที่ประสิทธิประสาทความรู้ ไหว้ครูเทพเจ้าผู้ให้กาเนิด
ท่ารา หรือว่าไหว้เพราะในหมู่ศิลปินด้วยกันเขาไหว้ คาตอบเหล่าน้ี
ข้ึนอยู่กับภูมิปัญญาของแต่ละคน ทุกคนถูกต้องหมดแต่สิ่งท่ีลึกซ้ึง
ไปกว่าน้ันก็คือ ในการไหว้เป็นการสอนให้เกิดความกตัญญูต่อเทพ
เจา้ ครอู าจารย์ประการหน่งึ อีกประการหนึ่ง ขณะไหว้จติ เป็นสมาธิ
ก็สามารถนึกถึงท่าราประกอบเพลงไปตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นการ
ทบทวนท่าราไปโดยปรยิ าย
สิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี ครูอาจารย์มิได้มีแบบการเรียนการสอน แต่ใช้
วิธีการปฏิบัติสืบทอดเป็นสิ่งท่ีแสดงภูมิปัญญาแฝงซ่อนแง่คิดและ
ประโยชน์ไว้ท้ังทางตรงและทางอ้อม ซึ่งมีอยู่มากมายในจารีต
นาฏศิลปไ์ ทย

10

2. เป็นการสร้างปทัสถานหรือระเบียบประเพณีอันเป็นแนวทาง
สาหรับปฏิบัติ
ปทัสถานนั้นไม่ได้หมายถึงวิถีแห่งความคิด แต่หมายถึงวิถีแห่งการ
กระทาตา่ ง ๆ หรือ การงดเว้นการกระทาในฐานะท่ีราเปน็ สมาชิกคน
หนง่ึ ของสังคมน้ัน ฉะนน้ั จึงมลี กั ษณะเป็นแนวทางปฏบิ ัติ
จารีตนาฏศิลป์ไทย เป็นระเบยี บประเพณีอนั เป็นแนวทางปฏิบตั ิ เป็น
เสมือนกฎข้อบังคับให้นาฏศิลปินหรือผู้มีอาชีพเก่ียวข้องได้ปฏิบัติไป
ในทางเดียวกัน มีความเช่ือความคิดในแนวเดียวกันและที่สาคัญคือ
บรรลุจุดประสงค์ท่ีความสามัคคีในหมู่คณะ ซึง่ จะนาไปสู่ความสาเร็จ
ความกา้ วหน้ารุง่ เรอื งในวชิ าชพี เดยี วกนั
3. เป็นเครือ่ งบ่งชถี้ งึ สภาพสังคมและวฒั นธรรมในแต่ละยุคสมยั
นาฏศิลป์โขน - ละคร มีประวัติความเป็นมาท่ียาวนานมานับร้อยปี
โดยเฉพาะโขนหลวง ละครหลวง ซึ่งแต่เดิมเป็นมหรสพที่เป็นเคร่ือง
ประกอบอิสริยศของพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ภายในเนื้อหา
รูปแบบจึงได้รับการกล่ันกรองแก้ไข ให้มีรูปแบบวิธีการที่เป็นศิลปะ
วิจิตร และในขณะเดียวกันก็ได้สอดสภาพสังคม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ซ่ึงเป็นวัฒนธรรมแขนงหนึ่งไว้รูปแบบ นาฏศิลป์
โขน - ละครเหล่านี้ ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นครูอาจารย์มาสู่ศิษย์
โดยมีการเปลยี่ นแปลงแก้ไขน้อยมาก อาทิ วัฒนธรรมการแต่งกายใน
การแสดงละคร จะตอ้ งมีการอาบนา้ แต่งตวั ซ่ึงบรรยายแต่ละข้ันตอน
อย่างละเอียด ผู้ศึกษาในปัจจุบันก็จะมองเห็นภาพการแต่งกายของ
บุคคลช้ันสูงไดจ้ ากการแสดงละครนี้ หรือการจัดทัพในการแสดงโขน
กจ็ ะเรม่ิ ตน้ ดว้ ยผแู้ สดงที่ต่าศักด์ไิ ปถงึ ผ้แู สดงทส่ี ูงศักด์ิ

11

ซงึ่ เป็นนายทพั ก็เปน็ วธิ ีการจัดทพั ของกองทพั ไทยในสมยั โบราณท่ไี ม่
ปรากฏในปัจจุบัน เป็นต้น
4. เป็นการสบื ทอดความเช่อื และข้อปฏบิ ตั จิ ากคนรนุ่ หนง่ึ ไปสอู่ ีกร่นุ
หนึ่งโดยไมจ่ าเปน็ ต้องสั่งสอนแต่ใชว้ ธิ ีการปฏิบัตติ ามแบบอย่างของ
ครู
จารีตนาฏศิลป์ท่ีสืบทอดและปรากฏอยู่ทุกวันน้ีไม่เคยปรากฏเป็นรูป
ตาราท่ีใช้ส่ังสอน และมิได้เน้นท่ีการสงั่ สอนของครู แต่เป็นรูปแบบท่ีครู
ปฏบิ ัตเิ ปน็ ตวั อยา่ ง ศิษย์ได้เห็นได้สมั ผสั จงึ ได้ปฏิบัติตามสืบมา บางคร้ัง
ครูอาจจะอธิบายให้ฟังบ้าง หรือเม่ือศิษย์วีวุฒิภาวะสูงขึ้นก็สามารถ
วิเคราะห์ถึงความหมายได้ เช่น การท่ีนาฏศิลปิน เม่ือได้ยินเพลงหน้า
พาทย์สาคัญจะยกมือข้ึนน้อมไหว้ ศิษย์รุ่นต่อ ๆ มาเมื่อได้เห็นครูและ
ศิษย์รุ่นพ่ีปฏิบัติก็ปฏิบัติกันตามมา โดยไม่รู้ความหมาย แต่เมื่อวุฒิ
ภาวะสูงข้ึนก็สามารถรู้ความหมายได้ว่า การไหว้นั้นเป็นการราลึกถึง
พระคุณครูอาจารย์ที่ได้สร้างสรรค์ทานองเพลงและท่ารา ประการหนี่ง
อาจนึกถึงเทพเจ้าผู้ให้กาเนิดท่าราก็เป็นได้ นอกจากน้ันอาจวิเคราะห์
ไปอีกไดว้ ่า ถ้าได้ยนิ เพลงแลว้ ทาใจใหเ้ ปน็ สมาธิกาหนดทบทวนในท่ารา
ประกอบเพลงที่ได้ยิน ก็เท่ากับว่าเป็นการทบทวนท่าราไปด้วยก็ได้
จารีตเหลา่ นี้เปน็ การสบื ทอดความเชอ่ื และขอ้ ปฏิบัติจาดคนรุ่นหนี่งไปสู่
อีกรุ่นหน่งึ ด้วยวิธีการดังกล่าว นับเปน็ ภมู ปิ ัญญาที่เปน็ วิธีการสอนอย่าง
ชาญฉลาดของโบราณจารย์ทางนาฏศิลป์ เพลงการได้เห็น ได้ปฏิบัติ
ไดร้ คู้ วามหมายด้วยตนเองกอ่ ให้เกิดทกั ษะทย่ี าวนานไม่รลู้ มื

12

กำรได้มำซ่งึ จำรีต

ในสังคมอดีตความเช่ือเป็นบ่อเกิดของพลังชีวิตที่สาคัญท่ีสุด
ประการหน่ึง ความเชื่อเป็นบอ่ เกิดแห่ง “ความรู้” ความรู้ที่สมั พนั ธ์
กับชีวิตและจรรโลงชีวิตของพวกเขาให้อยู่ในเกณฑ์ของธรรมชาติ
กฎเกณฑ์นั้นคือ ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งของคนกับทุกส่ิงทุก
อย่างรอบตัวเขา สิ่งเหล่านี้มีรูปธรรมและนามธรรม มีส่วนท่ีเห็น
รู้สึกสัมผัสได้ด้วยหูตาจมูกลิ้น มีส่วนท่ีสัมผัสได้ด้วยญาณท่ีล้าลึกลง
ไปจากโสตประสาทอน่ื

สังคมไทยเราแต่โบราณมาน้ัน มีระบบความเช่ือในเรื่องผี
วิญญาณเช่นเดียวกับชนชาตอิ ื่น ๆ ในกลุ่มภาคนี้มีการกลวั ผี นับถือ
ผที ี่สาคัญ ๆ ซึ่งก็มักขนานนามให้เป็นเจ้าพ่อบ้าง เจ้าปู่บ้าง แล้วแต่
ความสาคัญของผี นอกจากนั้นก็นับถือเทวดาซ่ึงก็มีช้ันต่าง ๆ
มากมาย นับตั้งแต่เจา้ ทเ่ี จ้าทาง รุกขเทวดา ผรู้ กั ษาป่า เจ้าแม่โพสพ
อันเป็นเทวดาผู้หญิงซึ่งมีอานาจบันดาลให้พืชพันธ์ุธัญญาหารงอก
ตลอดจนพระแมธ่ รณี เทวดาผู้รกั ษาแผ่นดนิ และอ่ืน ๆ มากมาย

13

จำรตี จำกควำมเชื่อดง้ั เดมิ

ความเช่ือดั้งเดิมหรือการนับถือผีเป็นลักษณะวัฒนธรรมพ้ืนฐานของ
มนุษย์ในสมัยท่ีวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ มนุษย์ต้องการส่ิงยึดเหน่ียว
เพื่อเป็นขวัญและกาลังใจ ประกอบกับสัญชาตญาณแห่งการกลัวภัย
โดยเฉพาะภัยท่ีมองไม่เห็นเป็นภัยท่ีเกิดข้ึนจากสภาวะของธรรมชาติ
เช่น ฟ้าผ่า น้าท่วม อากาศแห้งแล้ง ภัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความ
ทุกข์ยาก เป็นสิ่งท่ีมนุษย์ไม่ต้องการได้พบ เป็นอานาจเร้นลับไม่
สามารถอธิบายได้ มนุษย์จึงสมมติพลังอานาจเหล่าน้ันว่า น่าจะเกิด
มาจาก “ผี” และนับถือผีเหล่าน้ันว่ามีความสาคัญ สามารถดล
บันดาลความสุข ความปลอดภัย จึงเกิดเป็นลัทธิบูชาผีขึ้น
นอกจากน้ันมนุษย์ยังมีความเช่ืออีกว่า เมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตแล้วจะ
เปล่ียนสภาพไปอยู่อีกภพหน่ึงที่เรียกว่า “ผี” หรือ “วิญญาณ”
ตราบใดที่ยังไม่ไปเกิดในภพใหม่ตามผลกรรมท่ีตนได้กระทาไว้ จณะ
ท่ียังมีชีวิตอยู่ ผีหรือวิญญาณจะล่องลอยอยู่ท่ัวไป สามารถบันดาล
ความเจ็บไขไ้ ดป้ ่วยให้กบั ผทู้ เ่ี คราะหร์ ้าย ถงึ กับมีสานวนว่า “ผีซ้า ดา้
พลอย” และจะต้องมีการขอโทษผี หรือการขบั ไล่ซึง่ เปน็ หน้าท่ีของผู้
ที่มญี าณพิเศษ ท่เี รียกว่า “หมอผ”ี เป็นผปู้ ระกอบพิธีดงั กลา่ ว

14

จำรตี จำกศำสนำ

ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยหลายประการ เป็น
พัฒนาการอีกขั้นหนึ่งจากเดิมท่ีเป็นการนับถือผี เป็นการยกย่องผีให้
อยู่ในฐานะท่ีสูงขึ้น คือ เป็นเทพเจ้า อันท่ีจริงคาว่า “พราหมณ์”
หมายถึง นักบวชในศาสนาฮินดู แต่ชาวไทยมีความคุ้นเคยกับ
พราหมณ์มาเปน็ เวลายาวนาน พราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมและ
เป็นส่วนหน่ึงในวิถีของชาวไทย ความใกล้ชิดดังกล่าวจึงได้ยกย่อง
เรียกขานพราหมณ์ประดุจศาสนาหนง่ึ

พรามหณ์ นอกจากเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมแล้ว ยังเป็นครู
ถ่ายทอดความรู้ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะบทบาท
ของพราหมณ์ในพระราชสานัก เป็นผู้ประกอบพิธีในพระราชพิธีท่ี
เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ อาทิ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระ
ราชพิธอี ภเิ ษกและพระราชพธิ ีเน่ืองในการสมโภช บวงสรวงต่าง ๆ

ลัทธิภักดี คือ การท่ีมีความเช่ือต่อเทพเจ้า ปฏิบัติการต่าง ๆ
เพื่อให้เทพเจ้าพึงพอใจ เช่น การสวดอ้อนวอน การบูชาด้วยวัตถุส่ง
ขิงต่าง ๆ เมื่อเทพเจ้าพอใจในความเพียรที่มนุษย์ปฏิบัติต่อพระองค์
ก็จะประทานความสขุ ความสาเร็จให้

15

ความเช่ือในข้อนี้ เห็นได้จากการบวงสรวงด้วยเครื่องสังเวยกระยา
บวชต่าง ๆ ในพิธีไหว้ครูโขน - ละคร การอัญเชิญเทพเจ้าผู้ให้
กาเนิดสรรพสิ่งในนาฏศิลป์ให้มาร่วมในมณฑลพิธีเพื่อให้พิธีนั้น
บังเกิดความศักด์ิสิทธ์ิ เช่น เชิญพระอิศวรผู้ให้กาเนิดการฟ้อนรา
เชิญพระพรหมผู้สรรค์สร้างและดลบันดาลความเป็นไปของวิถีชีวิต
เชิญพระนารายณ์ผู้การาบความชั่วร้ายท้ังปวง เชิญพระพฆิ เนศเทพ
แห่งศิลปะและผู้ขจัดอุปสรรค แม่แต่พระวิสสุกรรม นายช่างของ
พระอนิ ทร์ ผู้สรรคส์ ร้างอปุ กรณใ์ นการละเลน่ ท้ังปวง

สรุปได้ว่า อิทธิพลความเช่ือจากศาสนาพราหมณ์มี
ความสาคัญต่อจารีตในพธิ ีไหว้ครูโขน - ละคร ตลอดจนจารีตต่าง ๆ
ทั้งในการจัดเตรียมสถานท่ีในการแสดงและขณะแสดงมากมาย
หลายประการ

จากพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจาชาติไทยมาก
ยาวนาน โดยเฉพาะลิทธิหินยานหรือเถรวาทน้ีเป็นที่ยอมรับนับถือ
กันเป็นอย่างมากในสมัยสุโขทัย การที่ชาวไทยเลือกนับถือ
พระพุทธศาสนาลัทธิหินยานเป็นศาสนาประจาชาติ เพราะเห็นกัน
ว่า คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสอดคล้องต้องกันเป็นอย่างดีกับ
ความต้อการทางจิตใจของตน พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของ
พระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าพระองค์จะมีกาเนิดเป็นชนชาติอริยกะใน
ชมพูทวีป หรือดินแดนในอิเดียปัจจุบัน แต่ชาวไทยก็มีความเคารพ
ผูกพันประดุจชนในชาติเดียวกนั

16

พระพุทธเจา้ ทรงเปน็ “บรมครู” ทรงตรสั รชู้ อบดว้ ยพระองค์เอง สิง่ ท่ี
พระองค์ตรัสรู้นั้น เป็นสิ่งท่ีแท้จริงถูกต้องทั้งหมด เร่ืองที่เก่ียวกับ
กาลเวลาก็รู้ทั้งหมด ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้เหตุรู้ผลทั้งสายเกิด
สายดับ และรู้ตลอดจนถึงส่วนที่พ้นจากกาลเวลาหรือจะยกโลกข้ึน
เป็นที่ตั้งก็เป็นผู้รู้โลก ตลอดจนถึงส่วนท่ีพ้นโลกเหนือโลก
“พระพทุ ธเจ้าทรงเป็นศาสดาเอกในโลก มบี คุ คลซ่ึงได้รบั แสงสว่าง
จากพระองค์ กล่าวสรรเสริญว่า เหมือนทรงชูประทีปในทมี่ ืด เพื่อ
ผู้มีจักษุจักได้มองเห็นรูปท้ังหลาย ข้อน้ีบ่งบอกว่าพระองค์เป็นผู้
ตรัสรู้ เพราะได้ทรงแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้รู้แจ้งเห็นจริง”(สมเด็จ
พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช)

พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอนั ย่ิงใหญ่ตอ่ มวลมนุษย์ชาติ และ
ด้วยเหตุที่ตลอดพระชนม์ชีพ ภายหลังการตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิ
ญาณแล้ว ทรงโปรดที่จะจารึกส่ังสอนบุคคลท่ัวไป จึงได้รับการยก
ย่องวา่ “บรมครู” เป็นครทู ่ียง่ิ ใหญ่กว่าครอู ่นื ใด และนอกเหนือจากท่ี
พระองค์ทาหน้าท่ีเป็นบรมครูแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเห็นความสาคัญ
และหน้าท่ีครูแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเห็นความสาคัญและหน้าที่ครูดัง
ปรากฏหลักฐานในพระธรรมท่ีทรงแสดงไว้ในที่ต่าง ๆ อาทิ สิงคาล
สตู ร ซ่ึงเปน็ พระสูตรทท่ี รงแสดงโปรดสิงคาลมานพในเรื่องการปฏิบัติ
ตอ่ บคุ คลต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในพระสตุ นั ตปฎิ ก ปาฏิกวรรค

17

สงิ คาลสูตร มีเน้ือหาสาระสาคัญเก่ียวกับการปฏิบตั ิบูชา และ
การสงเคราะห์บคุ คลไว้ 6 ฐานะ

1. ปุรัตถมิ ทิศ คอื ทิศเบือ้ งหนา้ อนั ไดแ้ ก่ มารดา
2. ทกั ษณิ ทศิ คือ ทศิ เบอ้ื งขวา อันได้แก่ ครูอาจารย์
3. ปจั ฉิมทศิ คอื ทิศเบ้อื งหลัง อนั ไดแ้ ก่ บุตร ภรรยา
4. อุตตรทิศ คือ ทศิ เบื้องซา้ ย อนั ได้แก่ มติ ร
5. เหฏฐมิ ทิศ คือ ทศิ เบอ้ื งต่า อันไดแ้ ก่ บ่าว
6. อปุ ริมทิศ คอื ทศิ เบ้อื งบน อนั ไดแ้ ก่ สมณพราหมณ์
หลักธรรมข้อปฏิบัติในสิงคาลสูตร ส่วนท่ีเป็นข้อปฏิบัติใน
ทักษิณทักษิณทิศ มีเน้ือความโดยสรุปกล่าวถึง ข้อปฏิบัติที่ศิษย์พึง
กระทาต่อครู อาจารย์ของตน และในขณะเดียวกัน ครู อาจารย์ พึง
สงเคราะห์ศิษย์ในสถานเดียวกัน เป็นการสอนท่ีเน้นให้ศิษย์มีความ
กตัญญูต่อครู
หลักธรรมเรื่องความกตัญญู มีอิทธิพลต่อจารีตในไหว้ครูโขน
ละคร เป็นอย่างยิ่ง นาฏศิลปินทุกคนได้รับการส่ังสอนให้ยึดม่ันใน
หลักธรรมข้อน้ีประจาอยู่ในจิตใจของทุกคน คาว่า “ครู” เป็นเสมือน
สรณะที่เคารพของศิษย์นาฏศิลป์และแสดงออกมาเป็นรูปแบบ
ข้ันตอนพิธีกรรมต่าง ๆ ท้ังในข้ันตอนการถ่ายทอดหรือการแสดงก็
ตาม พธิ ไี หว้ครูเปน็ พธิ ีกรรมที่จะต้องจัดข้นึ ทุกครัง้

18

สรุปได้ว่า อิทธิพลความเชื่อจาก พระพุทธศาสนา
มคี วามสาคญั ต่อจารีตนาฏศิลป์หลายประการ และที่มีความสาคัญ
ย่ิง คือ เรื่องความสาคัญของครูและเรื่องความกตัญญูของศิษย์
วิถที างวัฒนธรรมอันว่าด้วยระบบคุณค่า ความถูกต้องดงี าม ความ
พอดีและเหมาะสม ซึ่งแสดงออกทางประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ
ทั้งในครอบครัวและในชุมชนล้วนโยงเขา้ หาจดุ รวมแห่งความหมาย
ในระดับมหภาค คือ จักรวาลและนิรันดร์กาล สื่ออันโยงไปสู่
ความหมายนี้คือ พิธีกรรมในการเกิดการเติบโตสู่วัยต่าง ๆ การ
แต่งงาน การสร้างบ้าน การเจ็บป่วยและการตาย คือการสะท้อน
ระบบคุณค่าอันเป็นพื้นฐานของชีวิตแบบด้ังเดิมทั้งสิ้น คนไทยนับ
ถือ “ผี” ก่อนท่ีศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาจะเข้ามาใน
เมืองไทย เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมข้ึนมาตามลาดับ โดยท่ี
คนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนชนบทไม่ได้ละทิ้งความเช่ือและวิถี
ปฏิบัติด้ังเดิมไป มีแต่การปรับเปล่ียนให้เข้ากับความเช่ือใหม่
แม้แต่ภายในบริเวณวัดหลายแห่งยังมีศาลพระภูมิเจ้าท่ี แตก่ ็ยังอยู่
นอกบริเวณโบสถ์ พิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับผีก็ยังยึดถือปฏิบัติ
อย่างไรก็ดีชาวพุทธทั้งในชนบทและในเมือง ต่างถือว่าพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เหนือผีท้ังหลาย ไม่ว่าจะโดยอานาจบารมี
หรือความศกั ดสิ์ ิทธิ์

19

ประโยชน์ของความเช่ือ
1. ความเชื่อทาใหเ้ กิดความมัน่ ใจ
2. ความเชื่อทาให้เกดิ พลงั
3. ความเชอ่ื ทาให้เกิดการสร้างสรรค์
4. ความเชอ่ื ทาให้เกดิ ความสามคั คี
5. ความเชื่อทาให้เกิดรูปธรรม
6. ความเชอ่ื เป็นพ้นื ฐานให้เกิดปัญญา
7. ความเชื่อทาใหเ้ กิดการนับถือศาสนาได้อยา่ ง
มั่นคง
8. ความเชอ่ื ทาใหเ้ กิดฤทธิ์ทางใจ

20

จำรตี ทำงพิธีกรรม พิธไี หวค้ รู ครอบครู โขนละคร

พิธี แผลงมาจากคาว่า วิธี นั่นเอง แต่มาในภายหลังคาว่าพิธีมี
ความหมายเลือนรางหรือคลากเคลื่อนไป แต่ท่ีจริงเดิมนั้นมันคือ
การกระทาท่ีเป็นวิธีการ เพ่ือจะให้เกิดความเป็นจริงเป็นจัง เพื่อจะ
ใหไ้ ด้ผลข้ึนมาเราจึงทาพธิ กี รรม
คณุ ค่าของพธิ กี รรม

เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่คิดว่า เด็กรุ่นใหม่เกิดมาแล้วจะให้
เขาอยู่ร่วมในชุมชนหรือในสังคมได้อย่างไร พอเรามีพิธีกรรมอะไร
ตา่ ง ๆ ข้นึ มา เด็กก็จะเร่ิมเขา้ สชู่ ุมชนนั้นและเขา้ สู่วิถีชีวิตของสงั คม
นั้น เข้าเร่ิมเรียนรู้ว่าระเบียบแบบแผน วัฒนธรรม ประเพณีของ
ชุมชนหรือสังคมน้ันเป็นอย่างไรและด้วยการร่วมพิธีน้ัน ซึ่งเป็น
กิจกรรมทางวัฒนธรรม เข้าก็กลมกลืนเข้าไปในชีวิตของชุมชนและ
ในวัฒนธรรม พธิ ีกรรมจึงหลายเปน็ ลักษณะหรือเป็นรูปแบบเฉพาะ
แห่งวฒั นธรรมของสังคมน้นั ๆ อย่างท่ีเรียกวา่ เปน็ เอกลกั ษณ์

21

อันน้ีก็เป็นคุณค่าอีกด้านหนึ่งของพิธีกรรม ซึ่งเป็นเร่ืองเก่ียวกับศีล
อันสืบเนื่องจากวินัยที่แสดงผลอกมาจากทางด้านวัฒนธรรม เป็น
เรื่องของวิถชี วี ิตชุมชน หรอื ของหมคู่ ณะ ซงึ่ เป็นเอกลกั ษณ์ของสังคม

พีกรรมเป็นสิ่งน้อมนาจิตใจให้เกิดความเลื่อมใสและเพ่ิมพูน
ศรัทธา เพราะว่าพิธีกกรรมท่ีทาถูกต้องจะมีความเป็นระเบียบ
เรียบร้อย ความพรักพร้อม ความพร้อมเพรียง และความประสาน
กลมกลนื ความสงา่ งามน่าเกรงขาม ความน่าประทับใจและความน่า
เลอ่ื มศรัทธาสามารถเกิดได้จากพิธีกรรมท่ีเปน็ ไปตามความหมายแท้
ๆ คอื มคี วามเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบ ทาให้เกิดความงดงามใน
ตัว

จารีตนาฏศิลป์ไทยเป็นรูปแบบพิธีกรรมท่ีสาคัญย่ิง คือ เร่ือง
ประเพณีการไหว้ครูโขน - ละคร ซ่ึงเป็นจารีตประเพณีท่ีสืบทอดกัน
มาช้านาน ในแวดวงนาฏศิลปินและบุคคลที่มีส่วนเก่ียวข้องในการ
แสดง มีความเช่ือสืบกันมาว่าเป็นพิธีกรรมที่มีความศักด์ิสิทธ์ิ เพราะ
ระบบความเช่ือน้ีได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงเชื่อว่า
นาฏยศาสตร์วิชาแห่งการฟ้อนรามีกาเนิดมาจากเทพเจ้า และได้
ถา่ ยทอดลงมาสูม่ นุษยโ์ ลก สืบมาเป็นแบบแผนในปัจจุบันอักทั้งเน้ือง
เรอื่ งทีใ่ ช้แสดงบางส่วนเป็นตานานเร่ืองราวของเทพเจา้ โดยตรง ด้วย
เหตุนี้ความเชื่อในส่วนนี้จึงมีอิทธิพลท่ีก่อให้เกิดรูปแบบพิธีกรรม
และเป็นจารีตประเพณีให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องในแวดวงนาฏศิลป์จัดพิธีไหว้
ครูข้นึ เปน็ ประจาอย่างน้อยปลี ะครัง้ หลกั ฐานการประกอบพิธีไหว้ครู
ท่ีปรากฏเปน็ รปู เอกสารน้อยมาก และปรากฏเปน็ คร้งั แรกในสมยั

22

กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในพิธีไหว้ครูละครหลวง เมื่อปีขาล
พ.ศ. 2397 รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พิธีไหว้ครูโขน - ละคร เป็นพิธีกรรมที่มีความสาคัญยิ่งของ
หมู่นาฏศิลปิน เพราะเป็นพิธีที่แสดงถึงความกตัญญูต่อครูอาจารย์ผู้มี
พระคุณด้วยการบวงสรวงบูชา เปน็ สานกึ ในหนา้ ทีท่ ่ศี ิษยพ์ งึ กระทาตอ่
ครูผู้มีพระคุณ เป็นข้อปฏิบัติหรือจารีตท่ีได้รับการปลูกฝังให้มีอยู่ใน
จิตใจของนาฏศลิ ปนิ ทกุ คน

23

จำรีตท่เี ป็นขอ้ ปฏิบตั ิ ข้อหำ้ มทำงกำรแสดง

นอกจากนี้ ประเมษฐ์ บุณยะชัย กล่าวถึงจารีตนาฏศิลป์ไทยทั้งที่
เปน็ ข้อปฏบิ ตั แิ ละขอ้ หา้ มไว้ว่า
ข้อปฏบิ ัติ ประกอบด้วย

1. เมื่อได้ยินเพลงหน้าพาทย์สาคัญก็จะยกมือขึ้นไหว้ด้วย
ความเคารพและราลกึ ถงึ พระคณุ ครูอาจารย์ผู้ประสทิ ธปิ ระสาทวิชา

2. การเคารพนับถือผี กล่าวคือ เม่ือไปแสดง ณ สถานที่ใด
ก็ตามจะต้องบอกกล่าวเจา้ ของสถานทีท่ ุกครง้ั

3. การแบ่งอาหารใส่กระทงไปวางไว้ที่มุมโรงพิธีไหว้ครู
ครอบครูท้ัง 4 ด้าน เพื่อเป็นเครื่องเซ่นให้กับภูตผีและบริวารที่ไม่
สามารถเขา้ ไปรว่ มในมณฑลพธิ ีได้

4. การเรียน การสอน การถา่ ยทอดท่าราและการแสดงต้อง
ไหวค้ รูทุกคร้ัง

5. การแสดงที่เป็นเรื่อง เร่ิมการแสดงป่ีพาทย์บรรเลงเพลง
วาจบการแสดงบรรเลงเพลงกราวรา

24

6. การแสดงโขน เร่ิมแสดงจะตอ้ งใหพ้ ระหรอื ยักษ์ลงโรงฃ
7. ตาแหนง่ ผู้แสดงทางด้านขวามือของเวทีเป็นตาแหน่งของ
ฝา่ ยธรรมะ ด้านซา้ ยมอื เป็นฝ่ายอธรรม
8. ตาแหน่งของตัวนางจะน่ังอยู่ด้านขวาของตัวพระ ยักษ์
หรอื ลงิ
9. การไหว้ราลึกถึงครูเมอื่ สวมศรี ษะโขนหรอื สวมสงั วาล
10. การเรียนหน้าพาทย์ธรรมดาประกอบการแสดงแทน
หน้าพาทย์ชั้นสงู เม่ือมตี ัวละครที่สูงศกั ด์ิกวา่ ร่วมแสดงอยู่ในฉาก
หลกั เกณฑ์หรอื ขอ้ กาหนดเครง่ ครดั ไดแ้ ก่
1. ห้ามเดินข้ามเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบการ
แสดง
2. ห้ามวางหัวโขนซ้อนกันเพราะอาจก่อให้เกิดการชารุด
เสยี หาย
3. ห้ามนอนในขณะทแ่ี ต่งเครอ่ื งละครแล้ว
4. หา้ มตั้งจอโขนรับตะวันและขวางทศิ ทางลม
5.ห้ามถอื หวั โขนห้อยหัวลงหรือนาอาวุธยาวเสยี บหัวโขน
6. ห้ามใชน้ ว้ิ หรือวตั ถแุ หยช่ อ่ งตาหัวโขน
7. ห้ามราหน้าพาทย์แบบเล่น ๆ หรือพร่าเพร่ือ การรา
จะตอ้ งราให้จบเพลงทุกครงั้
8. ห้ามตัวแสงดสาคัญตายกลางโรง
9. ห้ามผู้แสดงเดินผ่านบนเวทโี ดยไม่เคารพ

25

10. ห้ามถวายเครอื่ งสังเวยในตอนเยน็
11. ห้ามมีพธิ ีเบกิ หน้าพระในการแสดงโขน - ละคร ในงาน
ราชการ (งานหลวง)
คุณค่าและจารีตนาฏศิลป์ไทย สรุปได้ว่า จารีตนาฏศิลป์
ไทยเป็นระเบียบวิธีปฏิบัติที่มีเหตุผลเพ่ือให้นาฏศิลป์ไทยเป็นไปใน
ทิศทางเดียวกัน เพ่ือมิให้นาฏศิลป์ไทยสูญเสียคุณค่าสาคัญ ทั้ง
ทางจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ และจารีตยังเป็นการกระทา
ความดีที่จะช่วยกล่อมเกลาให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนดีของสังคม เป็น
ระเบียบข้อห้ามในสิ่งที่อาจเกิดผลร้ายแก่ตนเอง (ผู้เรียน) ให้
แนวทางปฏบิ ัติทเ่ี ป็นประโยชน์แก่ตนเองและหมคู่ ณะ

26


Click to View FlipBook Version