หนังสือเรียน
ออนไลน์
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5
โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม
รายวิชา ประวัติศาสตร์
HISTORY หนังสือเรียนออนไลน์
รายวิชาประวัติศาสตร์
เหตุการณ์สำคัญ
ในสมัยกลาง
• ระบอบการปกครองแบบฟิวดัล
• สงครามครูเสด
• การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
HISTORY
1 ระบอบการปกครองแบบฟิวดัล
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
1 ระบอบการปกครองแบบฟิวดัล
เป็นลักษณะการปกครองและสังคมของชนเผ่า
เยอรมัน(เน้นความผูกพันระหว่างนักรบกับและหัวหน้านักรบ
ตามประเพณี Comitatus โดยกษัตริย์กระจายอำนาจไปสู่
หัวหน้าหรือกลุ่มนักรบ)และลักษณะการปกครองที่สืบทอดมา
จากโรมัน(ระหว่างผู้อุปการะกับผู้รับอุปการะและความสัมพันธ์
ระหว่าง นายกับข้าทาส) ผสมผสานกันเป็นรากฐานของยุโรป
สมัยกลาง ในช่วงที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ชาวนาเจ้าของ
ที่ดินต้องหลบหนี ลี้ภัย เกิดความหวาดกลัว จึงต้องยกที่ดิน
ให้ผู้มีอำนาจเพื่อขอความคุ้มครองเจ้าของที่ดินเดิมเปลี่ยน
สภาพมาเป็นผู้เช่าที่ดิน แต่เป็นเสรีชนและกษัตริย์มี
อาณาจักรกว้าง
ระบบฟิวดัลแบ่งชนชั้นออกเป็น 5 ชนชั้น
1. กษัตริย์ มีฐานะเป็น Lord สูงสุดโดยมีขุนนางเป็น Vassal มีพันธะผูกพันทาง
หน้าที่ต่อกัน กษัตริย์จะพระราชทานที่ดินเป็นการมอบหมายอำนาจในการปกครองให้
กับขุนนาง ขุนนางมีข้อผูกพันกับกษัตริย์เพราะมีที่ดินอยู่ในอาณาเขตจึงย่อมเป็น
Vassal มีหน้าที่ช่วยเหลือกษัตริย์ยามสงคราม ที่ดินที่พระราชทานให้สามารถริบคืน
ได้ถ้าVassal ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือสิ้นชีวิตโดยไม่มีทายาท
2. ชนชั้นปกครองหรือขุนนางเจ้าของที่ดิน (Suzerain) นับตั้งแต่อัศวินขึ้นไปใน
ฝรั่งเศส มีบรรดาศักดิ์เป็น Duke,Earl, Lord, Baron, Count มีการปกครองลด
หลั่นตามลำดับขั้น ขุนนางจะคอยดูแลปกครองเสรีชน เสรีชนมีฐานะเป็นVassal ของ
ขุนนาง ขุนนางมีฐานะเป็นทั้ง Vassalของกษัตริย์ ขุนนางชั้นสูงยังมีฐานะเป็น Lord
ของขุนนางชั้นต่ำกว่าลงมา
3. เสรีชน (Villain) ส่วนใหญ่เป็นชาวนา เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งเคยเป็นของตนเองแต่
ไม่มีภาระผูกติดกับที่ดินหรือเป็นเจ้าของที่นาขนาดเล็ก ชาวนารายเล็กๆ
4. ทาสติดที่ดิน (Serf) คือชาวนาที่อาศัย ทำกินบนที่ดินตั้งแต่บรรพบุรุษ ต้องผูกติด
กับที่ดิน จะโยกย้ายไปไหนไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเจ้านาย
5. พระและนักบวช มีบทบาททางการอบรมจิตใจให้แก่สามัญชน
2 สงครามครูเสด
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
2 สงครามครูเสด
สงครามครูเสด คือ สงคราม
ระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึง
สงครามระหว่างชาวคริสต์ต่าง
นิกายด้วยกันเอง หรือชาวคริสต์กับ
ผู้นับถือศาสนาอื่นก็ได้ แต่โดยส่วน
ใหญ่มักหมายถึงสงครามครั้งใหญ่
ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ใน
ช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ส่วน
มุสลิมเรียกสงครามครั้งนี้ว่า สง
ครามฟีสะบีลิ้ลลาฮ์ และดินแดนแห่ง
นี้ยังเป็นสถานที่สำคัญของสาม
ศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และ
คริสต์ ในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้คือ
ประเทศอิสราเอล หรือ ปาเลสไตน์
ความรู้เพิ่มเติม
สงครามครูเสดในมุมมองของมุสลิม คือ การรุกรานของชาวคริสต์ที่
กระทำต่อมุสลิม สาเหตุสงครามเกิดจากการที่ชาวคริสต์ไม่พอใจชาวมุสลิมที่
ไม่ต้อนรับพวกตนในการเข้าไปแสวงบุญที่ เยรู-ซาเลม เป็นต้น
"สงครามครูเสด" มีความหมายว่า เป็น การต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบ
ธรรม เป็นความถูกต้องชอบธรรมตามหลักศรัทธาทางศาสนา เป็นสงครามที่
ต่อสู้ความถูกต้องตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งชาวมุสลิมใช้คำว่า
"จิฮัด" ในภายหลังคำว่า สงครามครูเสดถูกนำไปใช้ในทำนอง การรณรงค์
ต่อสู้เพื่อความชอบธรรมด้านต่างๆ เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์
ของพระผู้เป็นเจ้า "ฆ่าคนนอกรีต-คนต่างศาสนา ไม่บาป แล้วยังได้ขึ้น
สวรรค์"
สาเหตุของสงครามครูเสด
1.สงครามครูเสดเป็นผลของความขัดแย้งกันเป็นเวลาช้านาน ระหว่างคริสต
จักรทางภาคตะวันตกกับทางภาคตะวันออก ต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะมีอำนาจ
เหนืออีกฝ่ายหนึ่ง โดยนำเสนอความเป็นผู้นำในการรบเพื่อทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ
และหยุดยั้งการแพร่ขยายของศาสนาอิสลามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดความ
หวาดกลัวขึ้นทั่วไปในหมู่ชาวคริสเตียนในยุโรป ด้วยเหตุดังกล่าว ในศตวรรษที่ 11
ชาวคริสเตียนจึงได้ส่งกองกำลังมาปะทะกับมุสลิม
2.ความกระตือรือร้นในการแสวงบุญของชาวคริสเตียนยังนครเยรูซาเล็มมี
มากกว่าที่เคยเป็นมา ในช่วงนั้น เยรูซาเล็มตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ผู้
แสวงบุญชาวคริสเตียนจึงมีความต้องการดินแดนเยรูซาเล็มเป็นของตนเอง เพื่อ
ความสะดวกในการแสวงบุญมากยิ่งขึ้น
3.มุสลิมช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่ระส่ำระสายอยู่ทั่วไปในยุโรป พวก
เจ้าเมืองต่างๆ ต่างก็ต่อสู้ทำสงครามซึ่งกันและกัน พระสันตะปาปา มีความเห็นว่า ถ้า
ปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้จะทำให้ชาวคริสเตียนในยุโรปต้องอ่อนแอลง เขาจึงยุยง
ปลุกระดมให้ประชาชนหันมาต่อสู้กับชาวมุสลิมแทนโดยอ้างว่าจะได้รับกุศลผลบุญ
และเพื่อเอานครอันศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเล็มกลับคืนมา
4.ได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่ งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนตั้งแต่
ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา การค้าพาณิชย์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนจึงตกอยู่ในความ
ควบคุมของมุสลิมอย่างเต็มที่ ดังนั้นชาวคริสเตียนในยุโรปจึงต้องทำสงครามกับ
มุสลิมเพื่อหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของมุสลิม
5.สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสต์จักรของกรีกมาไว้ใต้อิทธิพล
ของท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่เมืองเลอมองค์ในภาคตะวันออกเฉียง
ใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียน ทำ
สงครามกับชาวมุสลิม ท่านได้สัญญาว่าผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู่จะได้รับการยกเว้นจาก
บาปที่เคยทำมา และผู้ที่ตายในสงครามก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ภายในเวลาไม่นานก็รวบรวม
คนได้ถึง 150,000 คน ส่วนมากเป็นชาวแฟรงค์ (Frank ) และนอร์แมน ( Norman
) คนเหล่านี้ได้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม
3 การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
3 การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ
การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ (RENAISSANCE) เกิดในช่วงเวลาระหว่าง
คริสต์ศตวรรษที่ 14-16 คือ ปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ถือว่า
เป็นจุดเชื่อมต่อ (TRANSITIONAL PERIOD) ของ ประวัติศาสตร์
สองยุค การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการเริ่มขึ้นที่นครรัฐต่างๆ บน
คาบสมุทรอิตาลี ซึ่งมีความ มั่งคั่งและร่ำรวยจากการค้าขาย ต่อมา
จึงแพร่หลายไปสู่บริเวณอื่นๆ ในยุโรป
คำว่า RENAISSANCE แปลว่า เกิดใหม่ (REBIRTH) หมายถึง
การนำเอาศิลปวิทยาการของ กรีกและโรมันมาศึกษาใหม่ ทำให้
ศิลปวิทยาการกรีก-โรมันเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมัยที่ ชาว
ยุโรปเกิดความกระตือรือร้นสนใจอารยธรรมกรีก-โรมัน จึงถือว่า
เป็นยุคเจริญรุ่งเรืองที่ ชาวยุโรปมีสิทธิและเสรีภาพ ช่วงเวลานี้จึง
ถือว่าเป็นขบวนการขั้นสุดท้ายที่จะปลดปล่อยยุโรปจาก สังคมในยุค
กลางที่เคยถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา
สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ
สาเหตุและความเป็นมาของศิลปวิทยาการ
1. การขยายตัวทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปและบรรดาเจ้าผู้ครอง
นครในนครรัฐ อิตาลีมีความมั่งคั่งขึ้น เช่น เมืองฟลอเรนซ์ เมืองมิลาน
หันมาสนใจศิลปะและวิทยาการความ เจริญในด้านต่างๆ ประกอบกับที่ตั้ง
ของนครรัฐในอิตาลีเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
2. ความเจริญทางเศรษฐกิจและการเกิดรัฐชาติในปลายยุคกลาง ทำให้เกิด
การ เปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านองค์กรทางการเมือง องค์กรทาง
เศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ความรู้ความ สามารถมาบริหารจัดการ แต่การศึกษา
แบบเดิมเน้นปรัชญาทางศาสนาและสังคมในระบบฟิวดัล จึงไม่สามารถตอบ
สนองความต้องการของสังคมได้ ดังนั้นนักปราชญ์สาขาต่างๆ จึงหันมา
ศึกษา อารยธรรมกรีกและโรมัน เช่น นักกฎหมายศึกษากฎหมายโรมัน
โบราณเพื่อนำมาใช้พิพากษาคดี ทางการค้า
ความเจริญในสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ
1. วรรณคดีประเภทคลาสสิก นักมนุษยนิยมที่กระตุ้น จินตนาการของชาวยุโรปให้มา
สนใจงานวรรณคดีและปรัชญา ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งมนุษยนิยม คือ ฟรานเซ
สโก เพทราร์ก (FRANCESCO PETRARCA : ค.ศ. 1304-1374) ชาวอิตาลี ผู้ซึ่งชี้ความ
งดงามของภาษาละตินและการใช้ภาษาละตินให้ถูกต้อง ผู้ที่สนใจและ นิยมงานเขียน
วรรณคดีประเภทคลาสสิกจะค้นคว้าศึกษางานของ ปราชญ์สมัยโรมันตามห้องสมุด
ของวัดและโบสถ์วิหารในยุโรป แล้วนำ มาคัดลอกรวมทั้งนำวรรณคดีและแนวคิดของ
ปรัชญากรีกมาแปลเป็น ภาษาละตินเผยแพร่ทั่วไป
2. ศิลปกรรม ในยุคกลางศิลปกรรม รูปแกะสลักเดวิดประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของ ไมเคิลแอนเจโล
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา
โดยเฉพาะ ทำให้ ไม่สามารถถ่ายทอด
จินตนาการอย่างเสรีได้ ผลงานส่วน
ใหญ่จึงขาดชีวิตชีวา แต่ศิลปกรรมใน
สมัย ฟื้ นฟูศิลปวิทยานิยมงานศิลปะ
ของกรีก-โรมันที่เป็นธรรมชาติ จึงให้
ความสนใจความสวยงามใน สรีระ
ของมนุษย์ มิติของภาพ สี และแสง
ในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้
สมจริง สมดุล และกลมกลืน
สอดคล้องมากขึ้น
3. ด้านวิทยาการความเจริญอื่นๆ ได้แก่
– ด้านดาราศาสตร์ เป็นสาขาวิชาที่ชาวยุโรปสนใจกันมากในช่วงเวลานี้ นัก ดาราศาสตร์ที่
สำคัญ คือ คอเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีที่ขัดแย้งกับคำสอนของ คริสต์
ศาสนา โดยระบุว่าโลกไม่ได้แบนและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นบริวารที่โคจร
รอบดวงอาทิตย์
– ด้านการพิมพ์ ในช่วงสมัยนี้ได้มีการคิดค้นการพิมพ์ที่ใช้วิธีการเรียงตัวอักษรได้ สำเร็จ
เป็นครั้งแรก โดยโยฮัน กูเตนเบิร์ก ( JOHANNES GUTENBURG : ค.ศ. 1400-1468) ชาว
เมืองไมนซ์ (MAINZ) ในเยอรมนี ทำให้ราคาหนังสือถูกลงและเผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวาง
เหตุการณ์สำคัญในสมัยใหม่
จนถึงสมัยปัจจุบัน
• การค้นพบและการสำรวจทางทะเล
• การปฏิรูปศาสนา
• การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
• การปฏิวัติอุตสาหกรรม
• แนวคิดเสรีนิยม
• แนวคิดจักรวรรดินิยม
• แนวคิดชาตินิยม
• แนวคิดสังคมนิยม
1 การค้นพบและการสำรวจทาง
ทะเล
เหตุการณ์สำคัญในสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
1 การค้นพบและการสารวจทางทะเล
ยุคแห่งการสำรวจ หรือ ยุคแห่งการค้นพบ (อังกฤษ: Age of Exploration
หรือ Age of Discovery) เป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่
คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่
ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่กว้างออกไปจากตัวทวีปยุโรป
เองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อการแสวงหาสินค้า
เพื่อสนองความต้องการของตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกัน
มากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ
ยุคแห่งการสำรวจประจวบกับช่วงที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มใช้เข็มทิศในการ
กำหนดและระบุเส้นทาง การใช้วิธีการเดินเรือเดินทะเลแบบใหม่ การมีแผนที่
ใหม่ และความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยในการ
แสวงหาเส้นทางการค้าขายใหม่ไปยังเอเชียโดยเลี่ยงอุปสรรคถ้าการใช้ทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์ สิ่งที่
สำคัญที่สุดที่วิวัฒนาการขึ้นสำหรับการเดินทางทางทะเลคือเรือชนิดใหม่สอง
แบบที่ออกแบบโดยโปรตุเกส--เรือคาร์แร็ค (Carrack) และ เรือคาราเวล
(Caravel) ที่วิวัฒนาการมาจากการออกแบบเรือในยุคกลางที่ใช้ในการเดิน
เรือในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรือสองชนิดนี้เป็นเรือสองชนิด
แรกที่ให้ความปลอดภัยพอที่จะฝ่าคลื่นฝ่าลมในมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อ
เทียบกับเรือรุ่นก่อนหน้านั้นที่ใช้กันเฉพาะในบริเวณที่คลื่นลมไม่รุนแรงเทียบ
เท่ากับการเดินทางกลางมหาสมุทร
2 การปฎิรูปศาสนา
2 การปฏิรูปศาสนา
การปฏิรูปศาสนา (RELIGIOUS REFORMATION) เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ สำคัญมาจาก
ความเสื่อมความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากมีการศึกษาคัมภีร์
ไบเบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความ
เข้าใจใหม่ การปฏิรูปศาสนาจึงเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยมีผู้นำการปฏิรูปหลายคนและใช้ชื่อแตกต่างกัน
การปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ แสดงความเห็น
คัดค้านการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล การปฏิรูปเป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง จนในที่สุดคริสต์
ศาสนาในยุโรปได้แตกแยกเป็น 2 นิกาย คือโรมันคาทอลิกและ โปรเตสแตนต์
ผลของการปฏิรูปการศาสนา
คริสตศาสนาแบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มี
สันตะปาปาเป็นประมุข และนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ ได้แก่ นิกา
ยลูเธอร์แรน นิกายคาลวิน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น (ส่วนนิกายออร์ทอดอกซ์ แยก
ตัวไม่ขึ้นกับสันตะปาปา ใน ค.ศ. 1045 โดยมีสังฆราช ที่เรียกว่า PATRIARCH เป็น
ประมุข ซึ่งแพร่หลายในกรีซ รัสเซีย เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย) ทำให้ความเป็น
เอกภาพทางศาสนาสิ้นสุดลง
3 การปฎิวัติวิทยาศาสตร์
3 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นสิ่งสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่
เป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจากเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความเชื่อจาก
ศรัทธาของคริสต์ศาสนามาสู่การใช้สติปัญญามีเหตุมีผล และในขณะ
เดียวกันนั้นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ยังส่งผลต่ออิทธิพลในสมัยยุคภูมิธรรม
ซึ่งเป็นขบวนการทางความคิดทางภูมิปัญญาโดยใช้พื้นฐานความคิดในรูป
แบบวิทยาศาสตร์ ทำให้วิทยาศาสตร์กลายมาเป็นศาสนาใหม่ของชุมชน
วิทยาศาสตร์ อีกทั้งในเวลาต่อมาแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ได้แพร่ขยายออก
เป็นวงกว้างไปทั่วมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในยุโรปจวบจนกระทั่งได้กลายมาเป็น
ระบบการศึกษาของทั่วโลกในปัจจุบัน
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นในทวีปยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่
16-18 ทำให้มนุษย์สามารถค้นพบวิทยาศาสตร์และเอาชนะธรรมชาติได้
และยังสามารถนำธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดการเรียนรู้และเกิด
การพัฒนา ทำให้สังคมชาวตะวันตกสามารถพัฒนาความก้าวหน้าได้
รวดเร็วกว่าดินแดนอื่น ๆ ของโลก และกลายเป็นประเทศที่ทันสมัยของ
โลกจนถึงปัจจุบัน การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เป็นผลสืบเนื่องมาจาก
แนวคิดของมนุษย์นิยมที่ยึดหลักการของเหตุและผลแทนความเชื่อที่
งมงาย ซึ่งในยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยาการทำให้เกิดการค้นคว้าเพื่อแสวงหา
ความรู้ใหม่ ๆมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดองค์
ความรู้และการประดิษฐ์ คิดค้นด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย
4 การปฏิวัติอุตสาหกรรม
เหตุการณ์ในสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
4 การปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลกระทบใน
เกือบทุกแง่มุมของชีวิตประจำวันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือการที่รายได้
และจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยเริ่มที่จะขยายตัวอย่างยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำให้สองร้อยปีหลังจาก ค.ศ. 1800 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของโลกขยายตัวมากกว่าสิบ
เท่า ในขณะที่จำนวนประชากรขยายตัวมากกว่าหกเท่า
ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โรเบิร์ต อี.
ลูคัส จูเนียร์ ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการ
เปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรมว่า: "เป็น
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาตรฐานการ
ดำรงชีวิตของประชาชนธรรมดาส่วนมาก
เริ่มเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งไม่เคยมี
พฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้เกิดขึ้นมา
ก่อน"
เหล็กและถ่านหิน โดยวิลเลียม เบลล์ สกอตต์, ค.ศ. 1855-60 โรงงานปั่นด้ายในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกรวมเข้ากับการปฏิวัติครั้งที่
สองในราวปี ค.ศ. 1850 เมื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รับแรงขับเคลื่อนจาก
การพัฒนาเรือกลไฟ ทางรถไฟ และต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน
และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ช่วงของเวลาที่ถูกครอบคลุมด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นหลากหลาย
และแตกต่างกันออกไปในนักประวัติศาสตร์แต่ละคน
การเปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือการผลิตชิ้นส่วนซึ่งสามารถ
สับเปลี่ยนกันได้ เครื่องกลึงและเครื่องกลอื่น ๆ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้การผลิตสินค้ามี
ความละเอียดแม่นยำสูงและสามารถผลิตซ้ำเช่นเดิมได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การผลิตปืน
ซึ่งในอดีตผลิตได้ทีละกระบอกด้วยการนำชิ้นส่วนเข้าประกอบกันอย่างพอดีจนได้ออกมาเป็นหนึ่ง
กระบอก
นวัตกรรม
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมถูกเชื่อมโยงอย่างมากกับนวัตกรรมจำนวน
หนึ่ง ที่ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ดังต่อไปนี้
ตัวอย่างเดียวของเครื่องปั่นด้าย สปินนิงมูล 1. สิ่งทอ การปั่ นฝ้ายโดยใช้เครื่องปั่ นด้าย
พลังน้ำ วอเทอร์เฟรม ของริชาร์ด อาร์คไรต์,
เครื่องปั่ นด้าย สปินนิงเจนนี ของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์
และเครื่องปั่ นด้าย สปินนิงมูล ของแซมมูเอล ค
รอมป์ตัน (สิ่งประดิษฐ์ผสมผสานระหว่างวอเทอร์
เฟรมและสปินนิงเจนนี) สิ่งประดิษฐ์นี้ได้รับสิทธิ
บัตรในปี ค.ศ. 1769 ก่อนจะหลุดจากสิทธิบัตรใน
ปี ค.ศ. 1783 จากจุดนี้เองที่ตามมาด้วยการสร้าง
โรงงานปั่ นฝ้ายมากมาย เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไป
ประยุกต์กับการปั่ นผ้าเนื้อละเอียดและเส้นด้ายใน
ภายหลังเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผ้าลินินและ
สิ่งทอต่างๆ การปฏิวัติฝ้ายครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นใน
เมืองเดอร์บี ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า
"โรงไฟฟ้าแห่งภาคเหนือ"
2. เครื่องจักรไอน้ำ ถูกประดิษฐ์โดยเจมส์ วัตต์ แบบจำลองของเครื่องจักรไอน้ำแบบคาน
และได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1775 ซึ่งจุดประสงค์ ที่มีข้อต่อแบบขนาน ของเจมส์ วัตต์
หลักก็เพื่อสร้างพลังงานในการสูบน้ำออกจาก สำหรับการดับเบิ้ลแอ็กชัน
เหมือง แต่เมื่อถึงยุค ค.ศ. 1780 เป็นต้นไป มันก็
ถูกประยุกต์ใช้กับการสร้างพลังงานให้แก่เครื่องจักร
ชนิดอื่น ๆ ก่อให้เกิดการพัฒนาโรงงานกึ่งอัตโนมัติ
ขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดการณ์
ไว้มาก่อน โดยเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่
ผู้คนไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ แรงงานสัตว์ จาก
ลมหรือจากน้ำอีกต่อไป เครื่องจักรไอน้ำจึงถูกใช้
งานอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้สูบน้ำออกจากเหมือง,
ใช้ลากล้อเลื่อนบรรทุกถ่านหินขึ้นมายังผิวโลก ใช้เป่า
ลมเข้าสู่เตาหลอมเหล็ก ใช้บดดินในอุตสาหกรรม
เครื่องปั้ นดินเผา และใช้สร้างพลังงานแก่โรงงานทุก
ประเภ
5 แนวคิดเสรีนิยม
เหตุการณ์ในสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
5 แนวคิดเสรีนิยม
เสรีนิยม (อังกฤษ: liberalism) เป็นปรัชญาการเมืองหรือมุมมองทางโลกซึ่งตั้งอยู่บน
ความคิดเสรีภาพและความเสมอภาค นักเสรีนิยมยอมรับมุมมองหลากหลายขึ้นอยู่กับ
ความเข้าใจหลักการเหล่านั้น แต่โดยทั่วไปสนับสนุนความคิดอย่างเสรีภาพในการพูด
เสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางศาสนา ตลาดเสรี สิทธิพลเมือง รัฐบาลฆราวาส ความเสมอภาค
ทางเพศ และ การร่วมมือระหว่างประเทศ
แรกเริ่ม เสรีนิยมเป็นขบวนการทางการเมืองต่างหากระหว่างยุคเรืองปัญญา เมื่อได้รับ
ความนิยมในหมู่นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตก เสรีนิยมปฏิเสธความ
คิดซึ่งสามัญในเวลานั้น เช่น เอกสิทธิ์แบบสืบเชื้อสาย ศาสนาประจำชาติ สมบูรณาญา
สิทธิราชและเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ มักยกย่องจอห์น ล็อก นักปรัชญาสมัยคริสต์ศตวรรษ
ที่ 17 ว่าเป็นผู้ก่อตั้งเสรีนิยมเป็นประเพณีปรัชญาต่างหาก ล็อกแย้งว่ามนุษย์มีสิทธิ
ธรรมชาติในชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สิน และตามสัญญาประชาคม(social contract)
รัฐบาลต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ นักเสรีนิยมคัดค้านอนุรักษ์นิยมประเพณีและมุ่งเปลี่ยน
สมบูรณาญาสิทธิ์ในการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนและหลักนิติธรรม
นักปฏิวัติผู้โด่งดังในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ การปฏิวัติอเมริกา และการปฏิวัติฝรั่งเศสใช้
ปรัชญาเสรีนิยมเพื่ออ้างความชอบธรรมการโค่นสิ่งที่มองว่าเป็นการปกครองทรราชด้วย
อาวุธ เสรีนิยมเริ่มลามอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษ
ที่ 19 มีการตั้งรัฐบาลเสรีนิยมในประเทศต่าง ๆ ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาใต้และ
อเมริกาเหนือ ในช่วงนี้คู่แข่งอุดมการณ์หลัก คือ อนุรักษ์นิยม แต่ภายหลังเสรีนิยมรอด
การท้าทายทางอุดมการณ์สำคัญจากคู่แข่งใหม่อย่างฟาสซิสต์และลัทธิคอมมิวนิสต์
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความคิดเสรีนิยมยิ่งลามอีกเมื่อประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็น
ฝ่ายชนะสงครามโลกทั้งสองครั้ง ในทวีปยุโรปและอเมริกา การสถาปนาเสรีนิยมสังคม
(social liberalism) หรือ เสรีนิยมฝ่ายซ้าย เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายรัฐ
สวัสดิการ ปัจจุบัน พรรคการเมืองเสรีนิยมสังคมยังครองอำนาจและอิทธิพลทั่วโลก
6 แนวคิดจักวรรดินิยม
เหตุการณ์ในสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
6 แนวคิดจักวรรดินิยม
ลัทธิจักรวรรดินิยม (อังกฤษ: Imperialism) คือ นโยบายขยายอำนาจในการเข้าควบคุม
หรือมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือดินแดนต่างชาติ อันเป็นวิถีทางเพื่อการได้มาและ/หรือ
การรักษาจักรวรรดิให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้งจากการขยายอำนาจเข้ายึดครองดินแดน
โดยตรง และจากการเข้าคุมอำนาจทางอ้อมในด้านการเมือง และ/หรือทางเศรษฐกิจของ
ประเทศอื่น ๆ บางคนใช้คำศัพท์นี้เพื่ออธิบายถึงนโยบายของประเทศใดประเทศหนึ่งใน
การคงไว้ซึ่งอาณานิคม และอิทธิพลเหนือดินแดนอันไกลโพ้น โดยไม่คำนึงว่าประเทศนั้น
ๆ จะเรียกตนเองว่าเป็นจักรวรรดิหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มีการนำเอาคำว่า
'จักรวรรดินิยม' ไปใช้ในบริบทที่แสดงถึงความมีสติปัญญา/ความเจริญที่สูงกว่าด้วย ซึ่ง
ในบริบทนี้คำว่า "จักรวรรดินิยม" มีนัยแสดงถึงความเชื่อที่ว่า การเข้าถือสิทธิยึดครอง
ดินแดนต่างชาติและการคงอยู่ของจักรวรรดิเป็นสิ่งดีงาม เนื่องจากมีการประสมผสาน
รวมเอาหลักสมมุติฐานที่ว่า โดยธรรมชาติแล้วชาติมหาอำนาจจักรวรรดินิยมนั้นจะมี
วัฒนธรรมและความเจริญด้านอื่น ๆ เหนือกว่าชาติที่ถูกรุกรานเข้าไว้ด้วย
เดอะโรดส์โคลอสซัส การ์ตูนล้อเลียนเมื่อปี
ค.ศ. 1892 เป็นภาพนายซีซิล โรดส์ นักล่า
อาณาริคมชาวอังกฤษ ยืนอยู่บนทวีป
แอฟริกา
หลายคนโต้แย้งการขยายคำจำกัดความดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลว่าเรื่องของ
"วัฒนธรรม" นั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน ยากที่จะแยกความแตกต่างให้เห็นชัดเจน
ได้ว่า การรับวัฒนธรรมของชาติใดชาติหนึ่งไปนั้น เป็นเรื่องของปฏิกิริยาที่ชนในชาติมีต่อ
กันและกันทั้งสองฝ่าย หรือเป็นเรื่องของอิทธิพลที่แผ่ขยายจนเกินขีดจำกัด นอกจากนี้
แล้วการนำเอา "วัฒนธรรมจักรวรรดินิยม" ไปใช้ในการอธิบายหรือวิเคราะห์นั้น ยังมีการ
"เลือกปฏิบัติ" ด้วย ตัวอย่าง เช่น "แฮมเบอร์เกอร์" ถูกจัดว่าเป็น "วัฒนธรรม
จักรวรรดินิยม" ขณะที่ "น้ำชา" นั้นไม่ใช่. ความโต้แย้งในเรื่องนี้จึงยังมีอยู่ต่อไปใน
ปัจจุบัน
จักรวรรดินิยมยุคใหม่ ในระยะแรกเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มขึ้นใน
อังกฤษตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษเป็นชาติผู้นำการผลิตอุตสาหกรรม
ผ้าและเหล็กแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ประเทศในภาคพื้นยุโรปและสหรัฐอเมริกายังมี
อาชีพทางกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงจำต้องพึ่งสินค้าอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ต่อมา
เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมแพร่หลายไปทั่วยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมหนักเกิดความ
จำเป็นต้องแสวงหาตลาดสินค้าใหม่ๆ และแหล่งวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ต้น
คริสต์ศตวรรษที่ 19 การล่าอาณานิคมในยุคนี้ ชาวยุโรปต้องการเข้าไปควบคุม ทั้ง
การปกครองและเศรษฐกิจของประเทศอาณานิคมอย่างเต็มที่ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า
จักรวรรดินิยมยุคใหม่
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมือง การปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี้
1 ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้
บรรยากาศทางการเมืองของโลกเข้าสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2 ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่างๆ
เป็นอาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรม
ความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากร
ในดินแดนอาณานิคมเกิดการซึมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่า
นิยมแบบตะวันตก
จักรวรรดินิยมยุคใหม่ ในระยะแรกเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มขึ้นใน
อังกฤษตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษเป็นชาติผู้นำการผลิตอุตสาหกรรม
ผ้าและเหล็กแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ประเทศในภาคพื้นยุโรปและสหรัฐอเมริกายังมี
อาชีพทางกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงจำต้องพึ่งสินค้าอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ต่อมา
เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมแพร่หลายไปทั่วยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมหนักเกิดความ
จำเป็นต้องแสวงหาตลาดสินค้าใหม่ๆ และแหล่งวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ต้น
คริสต์ศตวรรษที่ 19 การล่าอาณานิคมในยุคนี้ ชาวยุโรปต้องการเข้าไปควบคุม ทั้ง
การปกครองและเศรษฐกิจของประเทศอาณานิคมอย่างเต็มที่ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า
จักรวรรดินิยมยุคใหม่
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมือง การปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี้
1 ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้
บรรยากาศทางการเมืองของโลกเข้าสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2 ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่างๆ
เป็นอาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรม
ความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากร
ในดินแดนอาณานิคมเกิดการซึมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่า
นิยมแบบตะวันตก
7 แนวคิดชาตินิยม
7 แนวคิดชาตินิยม
แชาตินิยม (อังกฤษ: nationalism) เป็นความคิดและการเคลื่อนไหวที่ถือได้ว่าประเทศชาติควร
จะสอดคล้องกับรัฐ[1][2] เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ ลัทธิชาตินิยมมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผล
ประโยชน์ของชาติโดยเจาะจง (เช่น ในกลุ่มคน)[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีจุดมุ่งหมายในการ
ได้มาและรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติ(การปกครองตนเอง) เหนือบ้านเกิดเพื่อสร้างรัฐชาติ
ลัทธิชาตินิยมถือได้ว่าแต่ละประเทศควรที่จะปกครองตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงจาก
ภายนอก (การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง) ว่าประเทศชาตินั้นเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติ
และอุดมคติสำหรับการเมือง[4] และประเทศชาติเป็นแหล่งอำนาจทางการเมืองโดยชอบธรรม
เท่านั้น[5][6] นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าหมายในการสร้างและรักษาเอกลักษณ์ประจำชาติเพียงอย่าง
เดียว ตามลักษณะทางสังคมที่ใช้ร่วมกันของวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภาษา
การเมือง (หรือรัฐบาล) ศาสนา ประเพณี และความเชื่อในประวัติศาสตร์ของนามเอกพจน์ที่ใช้
ร่วมกัน[7][8] และส่งเสริมความสามัคคีของชาติหรือภราดรภาพ(solidarity)[9] ลัทธิชาตินิยม
จึงพยายามปกปักรักษาและอุปถัมภ์วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศชาติ[10] มีคำจำกัดความ
ต่าง ๆ ของคำว่า "ชาติ" ซึ่งนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมประเภทต่าง ๆ มีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ
ลัทธิชาตินิยมที่เน้นทางชาติพันธุ์(ethnic nationalism) และลัทธิชาตินิยมแบบพลเมือง(civic
nationalism)มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเผชิญปัญหาร่วมกัน
8 เเนวคิดสังคมนิยม
8 แนวคิดสังคมนิยม
แสังคมนิยม (อังกฤษ: Socialism) เป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจซึ่งมีลักษณะคือ สังคม
เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและการจัดการเศรษฐกิจแบบร่วมมือ[1][2] ตลอดจนทฤษฎี
และขบวนการทางการเมืองซึ่งมุ่งสถาปนาระบบดังกล่าว[3][4] "สังคมเป็นเจ้าของ" อาจ
หมายถึง การประกอบการสหกรณ์ การเป็นเจ้าของร่วม รัฐเป็นเจ้าของ พลเมืองเป็น
เจ้าของความเสมอภาค พลเมืองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือที่กล่าวมารวมกัน[5] มีความ
ผันแปรของสังคมนิยมจำนวนมากและไม่มีนิยามใดครอบคลุมทั้งหมด[6] ความผันแปร
เหล่านี้แตกต่างกันในประเภทของการเป็นเจ้าของโดยสังคมที่ส่งเสริม ระดับที่พึ่งพา
ตลาดหรือการวางแผน วิธีการจัดระเบียบการจัดการภายในสถาบันการผลิต และบทบาท
ของรัฐในการสร้างสังคมนิยม[7]
คาร์ล มาร์กซ์ ฟรีดริช แองเกลส์
แลัทธิมาร์กซิสม์เป็นผลงานร่วมกันของยุคคล 2 คน คือ คาร์ล มาร์กซ์ และฟรีดริช แอง
เกลส์
ความขัดแย้งและความร่วมมือของมนุษย์
ชาติในคริสต์ศตวรรษที่20จนถึงปั จจุบัน
ความขัดแย้งใน คริสต์ศตวรรษ
ที่20จนถึงปัจจุบัน
ความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษ
ที่20จนถึงปัจจ
1 ความขัดแย้งใน คริสต์
ศตวรรษ ที่20จนถึงปัจจุบัน
1 ความขัดแย้งใน คริสต์
ศตวรรษ ที่20จนถึงปัจจุบัน
20 โลกเกิดสงครามครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง คือ สงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2
ทำให้มนุษย์ต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมหาศาลความพินาศหายนะจากสงคราม
ทำให้มนุษย์ได้บทเรียนจากความขัดแย้งต่างๆ และพยายามแสวงหาสันติภาพโดยมีการร่วม
มือและประสานประโยชน์กัน เพื่อให้โลกเกิดความมั่นคงและความสงบสุข
สงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: World War I หรือ First World War) หรือที่มักเรียกว่า
"สงครามโลก" หรือ "มหาสงคราม (Great War) ก่อน ค.ศ. 1939 เป็นสงครามใหญ่ที่มี
ศูนย์กลางในยุโรประหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ทุก
ประเทศมหาอำนาจของโลกเกี่ยวพันในสงคราม ซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร (มี
ศูนย์กลางอยู่ที่ไตรภาคี ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (มี
ศูนย์กลางอยู่ที่ไตรพันธมิตร ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี) พันธมิตรทั้งสองมี
การจัดระเบียบใหม่ และขยายตัวเมื่อมีชาติเข้าสู่สงครามมากขึ้น ท้ายสุด มีทหารกว่า 70 ล้าน
นาย ซึ่งเป็นทหารยุโรปเสีย 60 ล้านนาย ถูกระดมเข้าสู่สงครามใหญ่ที่สุดสงครามหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์นี้ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยังนับว่าเป็นความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรป
ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียนทหารผู้เข้าร่วมรบเสียชีวิตเกิน 9 ล้านนาย สาเหตุ
หลักเพราะความร้ายแรงของพลังทำลายของอาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะเทคโนโลยี
ใหม่ ๆ โดยไม่มีพัฒนาการในการคุ้มครองหรือความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ที่สอดคล้อง
กัน สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่หก
สงครามนี้เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน และกรุย
ทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง เช่น การปฏิวัติในชาติที่เข้าร่วมรบ
สงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่สอง (อังกฤษ: World War II หรือ Second
World War; มักย่อว่า WWII หรือ WW2) เป็นความขัดแย้งทาง
ทหารในระดับโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
ประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด ประเทศผู้ร่วม
สงครามรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางทหารสองฝ่ายคู่สงคราม คือ
ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ร
ะหว่างสงครามมีการระดมทหาร
มากกว่า 100 ล้านนาย ด้วยลักษณะของ "สงครามเบ็ดเสร็จ"
ประเทศผู้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเทขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อความพยายามของสงคราม
ทั้งหมด โดยไม่เลือกว่าทรัพยากรนั้นจะเป็นของพลเรือนหรือทหาร
ประมาณกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วย
ประการทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาด
ใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุดและนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์
มนุษยชาติประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 40 ถึงมากกว่า 70
ล้านคน
2 ความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษ
ที่20จนถึงปัจจ
2 ความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษ
ที่20จนถึงปัจจ
ความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ
ความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น นอกจากเป็นหนทางในการสร้างสันติภาพ
แล้วยังเป็นการประสานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการค้า การทหาร
ตลอดจนวัฒนธรรม จึงทำให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญในการจัดตั้ง
องค์การระหว่างประเทศเพื่อประสานผลประโยชน์ในด้านต่างๆของตน
ประเภทของความร่วมมือระหว่างประเทศ
ความร่วมมือระหว่างประเทศมีหลายประเภท
1. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเมือง เป็นความร่วมมือของประเทศ
ต่างๆ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
2. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านทหาร ในการให้ความช่วยเหลือทาง
ด้านการทหารต่อกัน เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต
เป็นต้น
3. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ เป็นการร่วมมือเพื่อให้
เกิดความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งหลายประเทศจะร่วมมือกันจัด
ตั้งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจ เช่น สหภาพยุโรป เอเปก องค์การการค้าโลก เป็นต้น
องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่รัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป
ร่วมกันก่อตั้ง มีการประชุมร่วมกันเป็นประจำ และมีเจ้าหน้าที่ทำงาน
เต็มเวลา นโยบายขององค์การระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อผล
ประโยชน์ส่วนรวมของรัฐสมาชิก การเข้าเป็นสมาชิกเป็นไปตามความ
สมัครใจของรัฐองค์การระหว่างประเทศตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่
แน่นอน กล่าวคือ ถ้าวัตถุประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นมีลักษณะทั่วไปในการ
ธำรงรักษาสันติภาพและแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ องค์การ
ระหว่างประเทศนั้นจะมีลักษณะเป็นสากล