นาฏศิลป์นานาชาติ
จัดทำโดย
นายภานุวัฒน์ อุดมคำ ม.6.1 เลขที่ 4
คำนำ
E-book เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดเรียนการรู้กลุ่มสาระศิลปะ
ในเนื้อหาส่วนของนานาชาติ ความเป็นมาของการแสดง วิธีการแสดง
และการแต่งกายประกอบการแสดง จากประเทศที่ผู้จัดทำสนใจ 5 ประเทศ
ผู้จัดทำหวังว่า E-book เล่มนี้จะเกิดประโยชน์ผู้อ่านที่กำลังหาข้อมูลใน
เรื่องนี้อยู่ หากมีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
นาฏศิลป์นานาชาติ
หมายถึง การแสดงของชนชาติต่างๆ ที่มีลักษณะ
เฉพาะตัว ทั้งลักษณะการแสดง การเคลื่อนไหว
ร่างกาย การแต่งกาย และดนตรีประกอบการร่ายรำ
นาฏศิลป์จีน
ประวัตินาฏศิลป์จีน
นาฏศิลป์ของจีนนั้น อาจมีความเก่าแก่มากที่สุด เพราะมันมีจุดเริ่มต้นเมื่อ
ประมาณ 2 พันปีก่อน มันมีลักษณะคล้ายกับนาฏศิลป์ของประเทศอื่นๆคือการ
ที่มันพัฒนามาจากการฟ้อนรำในแบบโบราณ ซึ่งสมัยก่อนถูกใช้ประกอบพิธี
ทางไสยศาสตร์ ก่อนที่จะมีการคิดภาษาพูดขึ้นมาใช้ นับจากนั้นก็ได้รับการ
พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกลายมาเป็นละครรูปแบบต่างๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่าง
เช่น “งิ้ว” ถือเป็นศิลปะที่ได้ผ่านการพัฒนามาหลายชั่วอายุคน จนกลายเป็นการ
แสดงประจำชาติที่มีความสง่าสงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
อุปรากรจีน (งิ้ว)
การแสดงงิ้วเป็นการแสดงที่เน้นดนตรี ขับร้อง ศิลปะการต่อสู้ การแสดง
อารมณ์ นักแสดงจะต้องมีทักษะรอบได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะ มีความ
อดทนอดกลั้น มีความจำที่ดีเลิศ โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการแสดงงิ้ว
ประกอบไปด้วย
1. บทบาทตัวละคร: ในเรื่องจะแบ่งออกเป็น 2 ตัว คือ “บู๊” กับ “บู๋น”
โดยฝ่ายที่รับบทเป็นบู๊จะรับหน้าที่ในการแสดงกายกรรม ในขณะที่บุ๋น
รับหน้าที่ขับร้องเพลง
2. เทคนิคการแสดง: นักแสดงจะต้องเคลื่อนไหวให้มีจังหวะที่งดงาม
ทุกการเคลื่อนไหวจะไม่เสียเปล่า เพื่อเป็นการสื่อความหมายกับละครใบ้
3. เครื่องแต่งกาย: ชุดมีอยู่มากมายที่ต้องแต่งตัวตามเนื้อเรื่อง เช่น
ชุดจักรพรรดิ ชุดนักรบ
4. เครื่องดนตรี: เครื่องดนตรีประกอบไปด้วย บู๊ และ บุ๋น ได้แก่ ซอ
ปักกิ่ง กรับ กลองหนัง ฆ้องใหญ่ ฆ้องชุด ฯลฯ
5. เวที และอุปกรณ์: ในสมัยก่อนเวทีมักจะถูกทำขึ้นจากวัสดุที่หาได้
ตามง่าย คือ “อิฐ” หรือ “หิน”
นาฏศิลป์ญี่ปุ่น
ประวัตินาฏศิลป์ญี่ปุ่น
ประวัติของละครญี่ปุ่นเริ่มต้นประมาณศตวรรษที่ 7แบบแผนการแสดงต่างๆที่
ปรากฏอยู่ในครั้งยังมีเหลืออยู่ และปรากฏชัดเจนแสดงสมัยปัจจุบันนี้ ได้แก่ ละคร
โนะ ละครคาบูกิ ปูงักกุ ละครหุ่นบุนระกุ การกำเนิดของละครญี่ปุ่น กล่าวกันว่ามี
กำเนิดมาจากพื้นเมืองเป็นปฐม กล่าวคือวิวัฒนาการมาจากการแสดง ระบำบูชา
เทพเจ้าแห่งภูเขาไฟและต่อมาญี่ปุ่นได้รับแบบแผนการแสดงมาจากประเทศจีนโดย
ได้รับผ่านประเทศ เกาหลีช่วงหนึ่ง
ละครคาบูกิ
เป็นละครอีกแบบหนึ่งของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากกว่าละครโน้ะ มี
ลักษณะเป็นการเชื่อมประสานความบันเทิงจากมหรสพของยุคเก่าเข้ากับ
ยุคปัจจุบันคำว่า “คาบูกิ” หมายถึง การผสมผสาน ระหว่างโอเปร่า บัลเล่ต์
และละคร ซึ่งมีทั้งการร้อง การรำ และการแสดงละคร
1.ลักษณะการแสดง: ละครคาบูกิตัวละครมีทั้งพูดเอง หรือมีผู้พากย์แบบ
โขน ท่าทางที่แสดงมีแบบแผนเคร่งครัด แม้แต่การแต่งหน้า จะกำหนดไว้
เป็นแบบแผนว่าละครตัวไหนจะต้องแต่งหน้าอย่างไร มีการเขียนหน้าคล้าย
งิ้วของจีน ตัวร้ายจะแต่งหน้าแดง ตัวพระเอกจะแต่งหน้าข่าว เส้นทุกเส้นที่
เขียนบอกอายุ ตำแหน่ง อารมณ์ของตัวละคร การต่อสู้ ในการแสดงจะ
แสดงแต่เฉพาะวิธีฟันโดยที่อาวุธจะไม่โดนกัน ผู้แสดงจะทราบว่าฟันแบบ
ไหน แรงเท่าใด และฟันท่าไหนตัวละครถึงจะตาย การกินน้ำชาในเรื่องก็
ทำท่าดื่มโดยไม่มีถ้วยชา ผู้แสดงเป็นชายทั้งหมด
2.ดนตรีประกอบการแสดง: ได้แก่ ขลุ่ย ซามิเซน กลองเล็ก ฆ้อง ไม้เคาะ
หรือเรียกว่า "กรับ" ผู้เคาะไม้จะกำกับการเปิด ปิดม่าน เริ่มตีด้วยจังหวะช้า
แล้วรัวถี่ขึ้น เมื่อตัวละครออกมาจะเคาะ 1 ที
3.เครื่องแต่งกาย: เครื่องแต่งกายวิจิตรงดงามและสีสดสวยงาม ในฉาก
ต่อสู้จะมีดาบ และจะมีการแต่งหน้าตามตัวละครนั้นๆ
นาฏศิลป์เกาหลี
ประวัตินาฏศิลป์เกาหลี
นาฏศิลป์เกาหลีเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในราวศตวรรษที่ 3 นาฏศิลป์เกาหลีในสมัย
โบราณใช้แสดงในพิธีทางศาสนา เพื่อบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ จัดแสดงปีละ 2 ครั้ง
คือ ในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นฤดูหว่าน และในเดือนตุลาคมฤดูเก็บเกี่ยว
วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เกาหลีก็ทำนองเดียวกับของชาติอื่น มักจะเริ่มและ
ดัดแปลงให้เป็นระบำปลุกใจในสงคราม เพื่อให้กำลังใจแก่นักรบ หรือไม่ก็เป็นพิธีทาง
พุทธศาสนา หรือเป็นการร้องรำทำเพลงในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ หรือแสดงเป็นหมู่
นาฏศิลป์ในราชสำนักก็มีมาแต่โบราณกาลเช่นเดียวกัน
นาฏศิลป์เกาหลีสมบูรณ์ตามแบบฉบับทางการละครที่สุดและเป็นพิธีรีตอง ได้แก่
ละครสวมหน้ากาก นาฏศิลป์เกาหลีสมัยใหม่ พัฒนามาจากนาฏศิลป์ที่ใช้ในพิธีเลี้ยง
ต้อนรับอาคันตุกะชั้นผู้ดีและมั่งคั่ง
ระบำหน้ากาก “ทัลชุม”
เป็นการแสดงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังสามารถหา
ชมกันได้ในงานเทศกาลหรือการแสดงในแต่ละเมือง ในสมัยก่อนการระบำหน้ากาก
เกาหลีนั้นเป็นการแสดงของชนชั้นล่าง ที่มีการคับข้องใจจากการถูกกดขี่จากชนชั้น
ที่สูงกว่า เนื้อหาที่ใช้แสดงจึงจะเกี่ยวกับการเสียดสีสังคม การเกิดความเหลื่อมล้ำ
ระหว่างชนชั้น และเรื่องราวในวังต่างๆ ซึ่งขณะแสดงผู้แสดงจะสวมหน้ากากเพื่อ
ปกปิดตัวตน และว่ากันว่าเสมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดใจภายใต้หน้ากากอีกด้วย
1.ลักษณะการแสดง: การแสดงระบำหน้ากากทัลชุม นักแสดงจะยืนตรง
กลางและมีผู้คนมารวมตัวกันเพื่อชมและส่งเสียงเชียร์ โดยนักแสดงจะซ่อน
ตัวตนเอาไว้หลังหน้ากาก จากนั้นก็สามารถแสดงเป็นตัวละครอะไรก็ได้ ซึ่ง
ก็จะมีการพูดถึงเรื่องต่าง ๆ รวมถึงความคับข้องใจที่คนธรรมดาไม่กล้าพูด
ในเวลาปกติ
2.เครื่องดนตรีประกอบการแสดง: Haegum ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสองแบบ
ที่โค้งคำนับเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในการถ่ายทอดเนื้อร้อง ขลุ่ยไม้ไผ่ขวาง
และพิริย, เครื่องดนตรีคู่กกคล้ายกับปี่ โอโบยังเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปเพื่อให้
ท่วงทำนองอันไพเราะ ,kkwaenggwari ,ฆ้องเล็ก changgu ,กลองรูป
นาฬิกาทราย และปุก, กลองรูปชามตื้น
3.เครื่องแต่งกาย: นักแสดงและนักแสดงแป้งสวมหน้ากากมักสวมชุดผ้า
ไหมสีสันสดใส "ฮันบก" หรือ "เสื้อผ้าเกาหลี" ชุดฮันบกข้างต้นมีต้นแบบมา
จากช่วงปลายราชวงศ์โชซอน
นาฏศิลป์สเปน
ประวัตินาฏศิลป์สเปน
ประเทศสเปน มีชื่อเสียงเรื่องการเฉลิมฉลอง งานรื่นเริง และความสนุกสนานของผู้คน ชาว
สเปนมีอุปนิสัยชื่นชอบการเข้าสังคมและการสังสรรค์เป็นอย่างมาก ชาวสเปนไม่เพียงแค่
หลงใหลในการเต้นรำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเล่นดนตรีพื้นเมืองเพื่ออนุรักษ์
วัฒนธรรมไว้ พวกเขาจะรวมตัวกันในช่วงเทศกาลพิเศษต่างๆ และบรรเลงดนตรีพื้นเมือง
ระบำฟลามิงโก มีกำเนิดจากนิทานพื้นบ้านของสเปนใต้ แล้วพัฒนาเป็นศิลปะที่มีรูปแบบ
ซับซ้อน ทั้งเพลง ดนตรี และการเต้นรำ โดยเมื่อแรกอยู่ในหมู่คนยากไร้ในสังคม ความ
เป็นมาของระบำฟลามิงโกกล่าวกันหลายแบบ บ้างว่ามาจากชาวตาร์เตสซาน ที่อพยพมา
จากแอฟริกา เมื่อ 400-600 ปีก่อนคริสตกาล
ระบำฟลาเมงโก
ระบำฟลาเมงโก (Flamenco) มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปด การเต้นที่แสนโดดเด่น
และมีชื่อเสียงของ ประเทศสเปน แต่เดิมได้รับอิทธิพลมาจากชาวยิปซี นอกจากนี้ยัง
ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกด้านวัฒนธรรมอีกด้วย ระบำฟลาเมง
โก ไม่ใช่เพียงการเต้นเท่านั้น แต่ยังผสมผสานระหว่างการร้องเพลง การเล่นกีตาร์
เต้นรำ การจับนิ้วมือและการปรบมือไปพร้อมกับจังหวะ
1.ลักษณะการแสดง: เป็นการเต้นที่เน้นความสง่างามของท่วงท่า และความ
ชัดเจนของ Footwork โดยมีการใช้อุปกรณ์ประกอบการเต้น เช่น manton
(ผ้าคลุมไหล่) castanets (กรับ) พัด หรือ jacket เป็นต้น
2.ดนตรีประกอบการแสดง: ระบำฟลาเมงโก แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
2.1.Grande หรือ Hondo (ยิ่งใหญ่ หรือ ลึก ชิด) คือชนิดของเพลงที่เข้ม
ข้น มีเนื้อหาเอาจริงเอาจัง หรือเศร้าสลด
2.2.Intermedio ( ปานกลาง ) เป็นบทเพลงที่ไม่มีเนื้อหาเอาจริงเอาจังเท่า
“Grande หรือ Hondo” บางครั้งบทเพลงจะมีกลิ่นอายของตะวันออกปนอยู่
ด้วย
2.3.Paqueno (เล็ก) คือเพลงระบำฟลามิงโก ที่สนุกสนานแสดงออกถึง
ความรัก หรือ ความสวยงามของธรรมชาติ
3.เครื่องแต่งกาย: ผู้แสดงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส จัดจ้าน
นาฏศิลป์อินเดีย
ประวัตินาฏศิลป์อินเดีย
นาฏศิลป์อินเดียมีความผูกพันอยู่กับคติความเชื่อ และศรัทธาในศาสนาฮินดู การแสดง
นาฏศิลป์สะท้อนให้เห็นถึงการเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เน้นความลึกลับ ศักดิ์สิทธิ์ อินเดีย
ถือว่านาฏศิลป์เป็นทิพยกำเนิดตามคัมภีร์ภารตะนาฏยศาสตร์ ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติความ
เป็นมาของนาฏศิลป์อินเดีย และการแสดงที่อินเดียยึดถือเป็นแบบแผน
ยุคที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อินเดียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทางด้าน
นาฏศิลป์ การละคร วัฒนธรรม ตะวันตกได้เข้ามาผสมผสานทำให้นาฏศิลป์ที่เป็นแบบ
ฉบับในราชสำนักกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ขาดการดูแลรักษา จนเกือบจะสูญ ต่อมาเมื่ออินเดีย
เป็นเอกราช จึงฟื้ นฟูนาฏศิลป์ประจำชาติขึ้นมาใหม่ อันได้แก่ ภารตะนาฏยัม กถักกฬิ และ
มณีปุรี
ภารตะนาฏยัม
เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของศาสนาฮินดูสมัยโบราณ
สตรีฮินดูจะถวายตัวรับใช้ศาสนาเป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะ
เริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาพระเวท วรรณกรรม ดนตรี การขับร้องของเทวทาสี
เปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่ายรำบนสวรรค์
1. การแสดง: ผู้แสดงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ด้วยระยะเวลา
ยาวนานจนมีฝีมือยอดเยี่ยม สามารถเครื่องไหวร่างกายได้สอดคล้องกับ
จังหวะดนตรี เนื้อหาสาระของการแสดง สะท้อนสัจธรรมที่ปลูกฝังยึดมั่นใน
คำสอนของศาสนา แสดงได้ทุกสถานที่ ไม่เน้นเวที ฉาก เพราะความโดด
เด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของภารตะนาฏยัม คือลีลาการเต้น และการ่ายรำ
2. ดนตรี: ที่ใช้ประกอบการแสดง ในวงดนตรีจะมีผู้ขับร้อง 2 คน คนหนึ่งจะ
ตีฉิ่ง คอยให้จังหวะแก่ผู้เต้น อีกคนจะเป็นผู้ขับร้องและตีกลองเป็นหัวใจ
สำคัญของการแสดงภารตะนาฏยัม ส่วนเครื่องดีด และเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย
เป็นเพียงส่วนประกอบให้เกิดความไพเราะเท่านั้น
3. เครื่องแต่งกาย: ในยุคโบราณ จากหลักฐานที่ปรากฏตามรูปปั้ น รูปแกะ
สลัก ไม่สวมเสื้อ สวมแต่ผ้านุ่งยาวแค่เข่า ใส่เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู
กำไล ข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน ปละเครื่องประดับที่ศีรษะ ปัจจุบันสวมเสื้อ ยึด
หลักการแต่งกายสตรีที่เป็นชุดประจำชาติของอินเดีย
Thank you for reading