เรยี บเรียงโดย นายวชั รพงศ์ ฝ้ันติบ๊
นกั ศึกษา ปริญญาเอกสาขาบรหิ ารการศกึ ษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
“…ปิดทองหลงั พระ คอื ทำดโี ดยไมป่ ระสงคโ์ อ้อวด และชงิ ดีชงิ เดน่ ทำใหไ้ ดค้ นดีมารว่ มงาน…”
เป็นหลักการหนึ่งจากกระแสรับสั่งให้ใช้ในการดำเนิน งานโครงการหลวงของ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง เพื่อการมุ่งมั่น
กระทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อปณิธานในการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ โดยถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าท่ี
เปน็ บำเหน็จรางวัลอันสมบรู ณ์แล้ว ไม่จำเปน็ ทีจ่ ะต้องประกาศการกระทำนั้นให้เปน็ ที่เปิดเผย พระอัจฉริยภาพ
และสายพระเนตรอันยาวไกล คือ การก่อเกิดปรัชญาในการดำรงชีวิต ทฤษฎีในการปฏิบัติตน และโครงการ
พระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการ ทุกภูมิภาคของประเทศ นับเป็นเป้าหมายอันสูงสุด คือ การพัฒนา
ที่ยั่งยืน สมดุล และการอยู่ร่วมกันของทุกสรรพชีวิตด้วยความสงบสุขในสังคมแห่งความเอื้ออาทร
(วชั รพงศ์ ฝัน้ ต๊ิบ, 2563)
จุดเร่ิมต้นของโครงการหลวงเกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินจำนวน
สองแสนบาทให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี พ.ศ. 2513 ให้ซ้ือสวนที่ดอยปุยจากชาวบ้าน
เพ่อื ดำเนนิ การทดลองและขยายพันธ์ุพืชเมืองหนาวต่าง ๆ มาปลูกบนดอย การดําเนินงานในระยะแรกเป็นการ
บุกเบิกพัฒนาในเขตพื้นที่สูง โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โครงการหลวง
แตกต่างจากโครงการตามพระราชดําริ ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินงานโดยหน่วยงานราชการและได้รับการ
สนบั สนุนจากสำนักงาน กปร. ส่วนโครงการหลวงดําเนินงานโดยใช้พระราชทรัพย์เพยี งส่วนหนึ่งจากสำนักงาน
กปร. และมีการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “พระประมุข”
ของโครงการ และได้รับการสนับสนุนจากราษฎร รัฐบาลไทยและต่างประเทศด้วย (ม.จ.ภีศเดช รัชนี, 2531)
นอกจากน้ีการใช้ชื่อ “โครงการหลวง” เป็นชื่อเรียกยังสะท้อนถึงโครงการที่มีลักษณะส่วนพระองค์มากกว่า
โครงการตามพระราชดําริ
ในการจัดตั้งโครงการหลวงใน พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งและ
พระราชทานเป้าหมายของโครงการพระบรมราชานเุ คราะหช์ าวเขาไว้ดงั นี้
(1) ชว่ ยชาวเขาเพื่อมนษุ ยธรรม
(2) ช่วยชาวไทยโดยลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไม้ และตน้ น้ำลำธาร
(3) กาํ จดั การปลกู ฝน่ิ
(4) รักษาดินและใช้พื้นท่ีให้ถูกต้อง คือ ให้ป่าอยู่ในส่วนที่เป็นป่า และทำไร่ ทำสวน ในส่วนที่ควร
เพาะปลกู อย่าให้ส่วนทง้ั สองน้รี กุ ล้ำซง่ึ กนั และกัน
(5) ผลติ พชื เพือ่ เพ่มิ ประโยชน์ทางเศรษฐกจิ แก่ประเทศ
เปา้ หมายในขอ้ (1) และ (2) ในการให้ความชว่ ยเหลือชาวเขาและชาวไทยแสดงให้เห็นชดั เจนถึงความ
ตั้งใจที่จะดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ผู้เดือดร้อน และในกรณีโครงการหลวง คือการทำงานกับกลุ่มชายขอบ
ซึ่งประกอบด้วยชาวเขากลุ่มต่าง ๆ ท่ียากจน รวมทั้งชาวไทยยากจนที่อาศัยอยู่บริเวณต้นน้ำลำธาร
ในทางปฏิบัติ “โครงการหลวง” มีลักษณะเป็นโครงการส่วนพระองค์มากกวาโครงการตามพระราชดําริอื่น ๆ
มีลักษณะของการทำงานกับ “คน” มีหน่วยแพทย์พระราชทานออกตรวจตามหมู่บ้านชาวเขา ทุกวันจันทร์
และองั คาร อาทิตย์เว้นอาทิตย์ แตล่ ะคร้งั มแี พทย์ 2 คน พยาบาลของโรงพยาบาลภมู ภิ าค 1 คน และตัวแทน
จากพระราชวัง 2 คน ทำกน้าท่ีจา่ ยยา (ม.จ.ภีศเดช รัชนี, 2531: 35)
ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2513 โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขาไดข้ ยายงานออกไปอีก โดยจัดต้งั สถานี
เกษตรหลวงขนึ้ ท่ีดอยอา่ งขางอีกแห่งหนึ่งเพ่ือเป็นสถานวี ิจัยและส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนฝิน่ และการปลูก
พืชไม้เมืองหนาว จากนั้นต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา” และเปลี่ยนอีกเป็น
“โครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือ” จนกระทั่งปี พ.ศ. 2523 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นการถาวรเป็น “โครงการหลวง”
ตลอดมาจนทกุ วนั นี้ (สมัยสทุ ธธิ รรม, 2531: 25)
การเปลี่ยนชื่อโครงการมาหลายครั้ง สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดําเนินงาน
ของโครงการหลวงในทศวรรษแรก ภายใต้โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ให้การดําเนินงานในลักษณะ
“สังคมสงเคราะห์” แต่นอกเหนือจากการสงเคราะห์ชาวเขาแล้ว การดําเนินงานของโครงการหลวง
ในทศวรรษแรก มลี ักษณะของงาน “พัฒนา” ดว้ ยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 9 ทรงมพี ระราชดําริ
ตั้งโครงการหลวงเพื่อช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาดี โดยมีจุดมุ่งหมายทางด้านมนุษยธรรม
และสนับสนุนนโยบายปราบฝิ่นของรัฐบาล ส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชฤดูหนาวทดแทนการปลูกฝิน่ ส่งเสริม
ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง สนับสนุนนโยบายรักษาไม้รักษาดิน ในระยะแรกโครงการดำเนินการควบคู่กับ
การศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มกี ารร่วมมือกับตำรวจตระเวนชายแดนจดั อบรมวิชาการเกษตร
โดยโครงการหลวงได้นําครูและผู้นําชุมชนชาวเขาจากหมู่บ้าน 17 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และน่าน
เข้ารับการฝึกอบรมความรู้ด้านการเกษตรเพื่อนําไปถ่ายทอดแก่ชาวเขาในแต่ละหมู่บ้าน (ม.จ.ภีศเดช รัชนี,
2531: 31)
เม่อื มองในภาพกวา้ ง โครงการหลวงเสมอื นเปน็ โครงการเพือ่ การพฒั นา การศึกษากเ็ ชน่ กันจำเป็นต้อง
มีการบริหารพัฒนาองคก์ รอยา่ งมีระบบ และกระบวนการที่อยูบ่ นพื้นฐานของหลกั การและเหตุผล อันจะเหน็
ได้จากการดำเนินการโครงการหลวงในลักษณะที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ คือการพยายามลดพื้นที่
การปลูกฝิ่นเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดและลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่ในระดับพื้นท่ีการดําเนินงาน
ของโครงการหลวง คือ การทำงานกับคนในพื้นที่ ในระยะต้นเป็นการช่วยเหลือ “คน” ด้วยเหตุผล
ทางมนษุ ยธรรม และตอ่ มาเม่ือทำงานด้านการพฒั นาก็เป็นการทำงาน กับ “คน” ทอ่ี าศัยอยู่ในชุมชน ส่งเสริม
การปลูกพืชเศรษฐกิจ ให้คำแนะนํา ให้ความรู้ และแสดงความห่วงใยด้านการศึกษาและสุขภาพอนามัย
สายสมั พนั ธท์ เี่ จ้าหนา้ ท่ีโครงการหลวง (ไม่ว่าจะมาจากหนว่ ยงานใด) สร้างกบั “คน” ในพ้ืนท่ีเป็นสายสัมพันธ์
ระหว่าง “คน” ต่อ “คน” ซึ่งสอดคล้องกับการบริหารการศึกษา ที่มีปัจจัยสำคัญในการบริหาร 4 อย่าง
ที่เรียกว่า 4MS ได้แก่ คน (Man) เงิน (Money) วัสดุสิ่งของ (Materials) และการจัดการ
(Management) ล้วนต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของผู้นำ นั่นหมายถึง ผู้บริหาร ทั้งสิ้น โดยหลักการ
บริหารทั่วไปมอี ยู่ 14 ข้อ ตามที่ (Fayol) กล่าวไว้ และในต่อมา (Luther Gulick) ได้นำมาปรับตอ่ ยอดเปน็ ที่
รู้จักกันดีในตัวอักษรย่อที่ว่า “POSDCoRB” กลายเป็นคัมภีร์ของการจัดองค์การในต้นยุคของศาสตร์
การบรหิ ารซ่ึงตวั ย่อแต่ละตัว มคี วามหมายดังน้ี
P – Planning หมายถึง การวางแผน
O – Organizing หมายถงึ การจดั องค์การ
S – Staffing หมายถึง การจดั คนเข้าทำงาน
D – Directing หมายถึง การสงั่ การ
Co – Coordinating หมายถึง ความรว่ มมือ
R – Reporting หมายถงึ การรายงาน
B – Budgeting หมายถงึ งบประมาณ
นอกจากน้ี “การบริหารการศึกษา” หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ
เพ่อื พัฒนาสมาชิกของสงั คมในทุก ๆ ดา้ น นบั แต่บุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ เจตคติ พฤติกรรม คณุ ธรรม
เพื่อให้มีค่านิยมตรงกันกับความต้องการของสังคม โดยกระบวนการต่าง ๆ ที่อาศัยควบคุมสิ่งแวดล้อมให้มผี ล
ต่อบุคคล และอาศัยทรัพยากร ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคคลพัฒนาไปตรงตาม
เป้าหมายของสังคมท่ีตนดำเนนิ ชวี ิตอยู่ (ภาวดิ า ธาราศรีสุทธิ, 2542: 6)
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การบริหารเป็นสาขาวิชาที่มีการจัดการระเบียบอย่างเป็นระบบ
คือ มีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่พึงเชื่อถือได้ อันเกิดจาการค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการบริหาร
โดยลักษณะนี้ การบริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science) เป็นศาสตร์สังคม ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับวิชาจิตวิทยา
สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์แต่ถ้าพิจารณาการบริหารในลักษณะของการปฏิบัติที่ต้องอาศัยความรู้
ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะของผู้บริหารแต่ละคน ที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นการ
ประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
และสิง่ แวดล้อม การบรหิ ารกจ็ ะมลี ักษณะเปน็ ศิลป์ (Arts)
ทฤษฎีและการปฏิบัติดังกล่าวก่อให้เกิดรูปแบบการจัดการของมูลนิธิโครงการหลวงเป็นการเผยแพร่
องค์ความรู้ด้วยวิธีการจัดการความรู้ผ่านระบบการจัดการ ซึ่งสามารถอธิบายการเปลี่ยนผ่านความรู้จากแหล่ง
ความรู้ไปสู่การใช้ความรู้ อันประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การแสวงหาความรู้ การสร้างองค์ความรู้
การดำเนินการจัดเก็บ รวบรวมความรู้ และการถ่ายทอดความรู้เผยแพร่ความรู้ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็น
รูปธรรม สะทอ้ นให้เห็นว่ากระบวนการบรหิ ารงานของมลู นธิ โิ ครงการหลวงสามารถสร้างผลกระทบหรือข้อมูล
ทางวิชาการเกษตรที่ได้รบั จากการจัดการความรูถ้ ูกการประเมินจัดเก็บสู่กระบวนการจัดทำวจิ ัย หรือการสกดั
ขอ้ มลู ในการสรา้ งองค์ความรู้เพ่ือให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ในมูลนิธโิ ครงการหลวง โดยมีปัจจัยจากองค์กร
ที่สำคัญ เช่น ผู้นำองคก์ ร วัฒนธรรมองค์กร การทำงานเปน็ ทมี ขององคก์ ร หรือการกระบวนการมีส่วนร่วมใน
การบรหิ ารองค์กรรว่ มกันของผู้มสี ่วนได้สว่ นเสยี ในองคก์ ร ซึ่งสอดคลอ้ งกับ สมชาย รัตนคช (2557) ได้ศึกษา
การพัฒนาองค์การ แห่งการเรียนรู้ของสถาบันอุดมศึกษา ได้อธิบายให้เห็นว่าแนวคิดเรื่ององค์การแห่งการ
เรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำมาใช้พัฒนาสถาบันได้อย่างเหมาะสม ยิ่งในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสร้างสิ่งใหม่ ๆ และการถ่ายโอนความรู้
ที่องค์การมีภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นจากบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ หรือภายนอกตัวบุคคลที่มีการเรียนรู้
การพัฒนา สถาบันอุดมศึกษาสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ นอกจากนี้การส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นท่ี
โครงการหลวงมคี วามย่ังยืนมากขน้ึ เปน็ ตอ้ งอาศยั การสนบั สนนุ จากองค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ และหนว่ ยงาน
ที่เกี่ยวข้อง/ภาคีเครือข่ายร่วมกันตั้งแต่พัฒนาวิชาการเกษตร การตลาด สิ่งแวดล้อม การคมนาคม
สาธารณะสขุ ในชุมชน สถานศึกษา ตลอดจนระบบสหกรณ์ท่เี ข้มแข็ง เป็นตน้ สะท้อนใหเ้ ห็นว่าในการจัดการ
ความรู้ของมูลนิธิโครงการหลวงมาจากกระบวนการแบบมีส่วนรว่ ม โดยมีบุคลากรโครงการหลวง นักวิชาการ
สถาบันการศึกษา เกษตรกร ซึ่งมีข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุนวิจัย ระยะเวลา ทำให้ใช้งบประมาณจำนวนมาก
จำเป็นตอ้ งอาศยั หนว่ ยงานภาครัฐในการสนบั สนุนรว่ มดำเนินการ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งภาครฐั หรอื สว่ น ท้องถิ่น
ในพื้นที่ควรให้การสนับสนุนสง่ เสริมเกษตรในพื้นที่และพัฒนาระบบ สาธารณูปโภคชั้นพืน้ ฐานให้กบั เกษตรกร
และสมาชิกมูลนิธิโครงการหลวงเพื่อจัดสรรทรัพยากรชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาพื้นที่ได้
อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม
น้ำพระราชหฤทัยของกษัตริย์นักพัฒนาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและมั่งคงที่หลอมรวมจนเกิดเป็นศาสตร์
พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” สู่หลักการทรงงานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะเห็นได้ว่าเป็นการสื่อสารทั้งทางไปและกลับ
ถ้าสามารถทำทั้งสองประการได้สำเร็จ “การพัฒนา” จะลงเอยได้อย่างดี เพราะเมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน
ต่างฝ่ายอยากจะเข้าถึงกันแล้ว การพัฒนาจะเป็นการตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ
(วัชรพงษ์ ฝั้นติ๊บ, 2563) สะท้อนให้ว่าหลักการทรงงานในการบริหารจัดการดังกล่าวนั้น คือการทำงาน
ด้วยความร่วมมือจนเกิดเป็น “วัฒนธรรมองค์กร” ซึ่งในองค์กรทั้งหลายเกิดจากการรวมกลุ่มของคนอย่างมี
ระเบียบ ถ้าเรามองท่ีปจั เจกบุคคลจะเห็นว่า บุคคลจะกระทำการไปสเู่ ป้าหมายใด ๆ ไดน้ ้ัน ตอ้ งอาศัยศูนย์รวม
ของใจหรือจิตใจเป็นตัวนำ ดังที่มักกล่าวกันว่า “สำเร็จด้วยใจ” เมื่อปัจเจกบุคคลมารวมกันในองค์กรมีจติ ใจ
มากมายแตกต่างกันไป สิ่งที่จะผูกความแตกต่างของจิตใจเหล่านี้ให้อยู่ด้วยกันได้ และทำงานไปในทิศทาง
เดียวกันได้ หรือมีค่านิยมในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะค่านิยมที่เกี่ยวกับงานในหน่วยงานที่ตนเองมีวิถีชีวิตอยู่
สอดคล้องกันได้ สิ่ง ๆ นั้นก็คือ “วัฒนธรรม” ในองค์กร ในปัจจุบันเมื่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม
มีผลกระทบต่อองค์กร โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีสามารถทำให้งานง่ายขึ้นและทำให้การ
ทำงานในยุคข้อมูลข่าวสารหรือยุคโลกาภิวัฒน์สามารถจัดขนาดองค์กรให้เล็กลง มีการกระจายอำนาจออกไป
ใหบ้ ริการอย่างกวา้ งขวางเฉพาะพ้นื ท่ี เฉพาะราย เฉพาะด้าน จนกล่มุ คนเหลา่ นมี้ ีเป้าหมายเฉพาะของกลุ่ม เชน่
กลุ่มนิติกร กลุ่มบัญชี กลุ่มบริหารงานบุคคล และกลุ่มอื่น ๆ กลุ่มเหล่านี้อาจมีชื่อเป็นแผนก ฝ่าย กอง กรม
หรือกระทรวงก็ได้ อย่างไรก็ดีจะมีสายโยงใยคือ วัฒนธรรมในการทำงาน เป็นศนู ย์รวมของจิตใจจากองค์กร
ต่าง ๆ เพ่ือให้องคก์ รสามารถทำงานมงุ่ ไปส่ทู ิศทางเดยี วกนั ได้….
จะเห็นได้ว่ารูปแบบประสิทธิผลการจัดการความรู้ของมูลนิธิโครงการหลวงในการพัฒนาภาคเหนือ
ของประเทศไทย ในการดำเนินการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาจากการมีวิถีความเชื่ อ
และขนบธรรมเนยี มในการทำการเกษตรดว้ ยวธิ กี ารแบบดั้งเดิม ให้มคี วามสนใจในกระบวนการถ่ายทอดความรู้
ทางวิชาการ และกระบวนการบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของพระราชประสงค์ของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันจะนำไปสู่ประโยชน์ในทางวิชาการ ด้านการเป็นต้นแบบ
การจัดการองค์ความรู้ที่ได้รับ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบในการบริหารจัดการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
ใหย้ ่ังยนื สืบไป
โครงการหลวง และการประยกุ ตใ์ ช้เพอ่ื การบริหารการศกึ ษา
1) กรณศี กึ ษา โครงการเคร่อื งผสมเกลือไอโอดีน วิทยาลัยเทคนิคเชยี งใหม่
โครงการเครื่องผสมเกลือไอโอดีน จัดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่สำนักงาน
คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ได้จัดอยู่ใน
ประเภทโครงการพัฒนาด้านสาธารณสุข ที่วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ ได้รับมอบหมายให้จัดทำเป็นโครงการ
นำร่องในการส่งหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลปา่ แป๋ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จงั หวดั เชยี งใหม่ ฯลฯ
1.1) วตั ถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อนำไอโอดีนไปผสมในกระบวนการการผลิตเกลือ ทำให้ประชาชนได้บริโภคเกลือผสม
ไอโอดนี ซง่ึ จะสง่ ผลใหป้ ระชาชนไม่เปน็ โรคขาดสารไอโอดนี
1.2) ประโยชน์ของโครงการเครอื่ งผสมเกลือไอโอดีน
1.2.1) ตอ่ ประชาชนและประเทศชาติ
(1) ทำใหเ้ ดก็ ไทยเฉลียวฉลาดเตบิ โตเปน็ กำลังท่ีสำคัญของประเทศชาติในอนาคต
(2) ทำให้ไม่เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่เกิดปัญหาทางสังคม ต่อชุมชนและ
ประเทศชาติเพราะว่า โรคขาดสารไอโอดีนมีผลกระทบต่อประชากรทุกกลุ่มวัย มีปัญหาการเรียนและกระทบ
ต่อการเจริญเติบโต ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และการชะลอตัวในการพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจ
ของชุมชนนัน้ ๆ
(3) ทำใหป้ ระชาชนมีคุณภาพชวี ิตที่ดีขึน้
1.2.2) ตอ่ นักเรยี น นกั ศกึ ษาและสถานศกึ ษา
(1) ทำให้นักเรียน นักศึกษา และครู อาจารย์ได้มีจิตอาสา ในการนำความรู้ ทักษะ
และประสบการณ์ไปบริการ ประชาชน ชุมชนและสังคม ในการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ที่เครื่องผสมเกลือไอโอดีน
ตง้ั อยู่
(2) เป็นการเผยแพร่เกียรติยศ ชื่อเสียงของวิทยาลัยเทคนิคเชยี งใหม่ ให้กับประชาชน
ชุมชนและสังคม ในการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปรัชญาของวิทยาลัย “การศึกษา
เพือ่ อาชพี และพฒั นาสังคม”
2) กรณีศึกษา โครงการ หลักสูตรสาขาวิชาเทคนิคกายอุปกรณ์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ (ผู้พระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี : สมเด็จพระ
กนิษฐาธิราชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี)
2.1) ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา
โครงการหลักสูตรสาขาวิชาเทคนิคกายอุปกรณ์ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ จัดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานคำแนะนำให้มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนีและวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ ร่วมพิจารณาจัดการเรียนการสอน
สาขากายอุปกรณ์ ระดับประกาศนียบตั รวชิ าชพี ช้ันสงู
2.2) วัตถุประสงค์ของโครงการ
2.2.1) เพอื่ จัดทำขาเทยี มใหแ้ กผ่ ปู้ ว่ ยยากจนทกุ เชื้อชาติ ศาสนา โดยไม่คดิ มลู ค่า
2.2.2) เพื่อผลติ ช้ินสว่ นขาเทียมด้วยวสั ดุภายในประเทศให้แก่หนว่ ยงานที่สามารถทำขาเทียม
ดงั กลา่ วได้ เพอื่ หน่วยงานน้นั จะทำขาเทียมใหผ้ ปู้ ว่ ยโดยไมค่ ดิ มูลค่า
2.2.3) เพื่อแจกจ่ายอุปกรณ์ช่วยเดินโดยไม่คิดมลู ค่าเพื่อให้ผู้ทีใ่ ส่ขาเทียมแล้ว มีคุณภาพชีวิต
ทด่ี แี ละสามารถประกอบอาชพี ได้
2.2.4) เพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ช่างขาเทียมที่ปฏิบตั งิ านตามโรงพยาบาลตา่ ง ๆให้สามารถทำ
ขาเทยี มตามแบบมูลนิธฯิ
2.2.5) เพื่อค้นคว้า วิจัย พัฒนาคุณภาพของขาเทียมตามแบบมูลนิธิฯ เพื่อลดการนำเข้าจาก
ต่างประเทศและลดการขาดดลุ การค้า
2.2.6) เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ เพ่ือ
สาธารณประโยชน์
2.3) ประโยชนข์ องหลักสูตรสาขาวชิ าเทคนคิ กายอุปกรณ์
2.3.1) ตอ่ ประชาชนและประเทศชาติ
(1) หน่วยงานต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลของภาครัฐและเอกชน มีช่างกายอุปกรณ์
ที่สามารถปฏิบัติงานตามคำสั่งแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วยและผู้พิการ โดยการตรวจวัดสัดส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกายผู้ป่วยและให้การวินิจฉัยเพื่อออกแบบ ผลิต ประดิษฐ์ ตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไข เสริมแต่ง และพัฒนา
อุปกรณเ์ คร่ืองชว่ ยคนพิการ ได้ถูกต้องเหมาะสมกับความพิการตามหลักวชิ าการ
(2) ผ้พู ิการไดร้ ับความสะดวก สบาย สามารถชว่ ยเหลอื ตนเองไดม้ ากขนึ้ ดขี ึน้ โดยไม่เป็น
ภาระใหก้ บั ผ้อู ืน่ รวมทั้งมคี ณุ ภาพชีวิตที่ดขี น้ึ
2.3.2) ตอ่ นกั เรยี น นักศึกษาและสถานศึกษา
(1) ทำให้นักเรียน นักศึกษาที่เรียนหลักสูตรเทคนิคกายอุปกรณ์มีโอกาสอันดีที่จะมี
ตำแหน่งงานรองรับ รวมทั้งลูกจ้างชั่วคราวที่ทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์ช่วยคนพิการ ของหน่วยงาน เช่น
โรงพยาบาลทั้งภาครฐั และเอกชน
(2) วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ได้มีโอกาสพัฒนา นักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชน
ทวั่ ไป ให้มีอาชพี มงี านทำอย่างมั่นคง สมกบั ปรัชญาการศึกษา “การศกึ ษาเพ่ืออาชพี และพฒั นาสงั คม”
รายการอางองิ
ปนแกว เหลอื งอรามศรี. (2546). “บทบรรณาธกิ าร” ใน อัตลักษณ ชาติพนั ธุและความเปนชายขอบ.
เอกสารวิชาการ ลาํ ดับที่ 34 ศูนยมานุษยวทิ ยาสิรนิ ธร หนา 1-26.
ภาวดิ า ธาราศรีสุทธิ, และวบิ ลู ย์ โตวณะบตุ ร. (2542). หลกั และทฤษฎีการบรหิ ารการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ :
สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยรามคำแหง.
ภศี เดช รัชนี, ม.จ. (2531). พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู วั และโครงการหลวง.กรงุ เทพมหานคร: อกั ษร
สัมพันธ.
ศิรพิ งษ์ เศาภายน, (2548). หลักการบริหารการศกึ ษา : ทฤษฎีและแนวปฏิบัติ. พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
บคุ๊ พอยท์.
สมศักดิ์ คงเที่ยง, (ม.ป.ป.) หลักและทฤษฎีการบรหิ ารการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : มิตรภาพ การพิมพ์และสตดู โิ อ
สมยั สุทธธิ รรม. (2531). ดอยคาํ : เรอ่ื งราวของโครงการหลวงทีไ่ ดรับรางวลั แมกไซไซ ป 2531.
กรงุ เทพมหานคร: อักษรบณั ทิต.
สรุ ชิ ัย หวันแกว. (2546) . กระบวนการกลายเปนคนชายขอบMarginalization. กรุงเทพมหานคร:
คณะกรรมการสภาวจิ ัยแหงชาติ สาขาสงั คมวทิ ยา สำนกั งานคณะกรรมการวิจยั แหงชาติ.