The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สื่อการเรียน หลักความอริยสัจ4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chanakan1271, 2021-08-31 20:04:25

สื่อการเรียน หลักความอริยสัจ4

สื่อการเรียน หลักความอริยสัจ4

หลกั ความเปน็

อรยิ สจั ๔

ความจริงวา่ ด้วยความทกุ ข์ ทกุ ข์ สมทุ ัย

ความจรงิ ว่าด้วยเหตุเกดิ แห่งทุกข์

อริยสจั ๔

ความจรงิ อนั ประเสริฐ ๔ ประการ

อันเป็นหลักคาสอนสาคัญ

ของพระพุทธศาสนา

ความจริงว่าด้วยความดับทกุ ข์ นิโรธ มรรค

ความจรงิ วา่ ด้วยทางแห่งความดับทกุ ข์

อรยิ สัจ ๔ ทุกข์ (ธรรมท่คี วรรู้)

• ความจรงิ วา่ ด้วยความทกุ ข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความทุกข์น้ันเกิดขึ้นกับใคร เม่ือไหร่ก็ได้ เราจึงไม่
ควรประมาทและพร้อมทจ่ี ะเผชิญหนา้ กบั ความจรงิ

หลักธรรมท่ีควรรู้เพ่ือใหร้ ้คู วามจรงิ ของการเกดิ ทกุ ข์

ขันธ์ ๕ อายตนะ

อรยิ สจั ๔ ทุกข์ (ธรรมท่คี วรรู้)

ขนั ธ์ ๕
องคป์ ระกอบของชีวติ มี ๕ ประการ

รูป ส่วนท่ีเป็นรา่ งกาย
เวทนา ความรู้สกึ ท่เี กดิ ข้นึ มี ๓ อย่าง คอื สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา และอุเบกขาเวทนา
สญั ญา การกาหนดหมายร้สู ิ่งใดสิ่งหน่งึ เชน่ รปู รส กลนิ่ เสียง และอารมณ์ เป็นต้น
สงั ขาร สง่ิ ปรงุ แตง่ จิตเปน็ ผลรวมของการรับรู้
วิญญาณ การรบั รผู้ ่านประสาทสมั ผัสท้ัง ๕ และใจ

อริยสจั ๔ ทกุ ข์ (ธรรมที่ควรรู้)

จกั ขวุ ญิ ญาณ ชิวหาวิญญาณ

ความรู้อารมณ์ทางตา รู้รปู ด้วยตา เหน็ ความรู้อารมณท์ างลิ้น รู้รสดว้ ยลิน้ ร้รู ส

โสตวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ

ความรู้อารมณ์ทางหู รู้เสยี งดว้ ยหู ไดย้ ิน ความรอู้ ารมณ์ทางกาย รสู้ กึ สมั ผสั

ฆานวญิ ญาณ มโนวิญญาณ

ความรู้อารมณท์ างจมูก รูแ้ ละได้กลิน่ ดว้ ยจมกู ความรอู้ ารมณ์ทางใจ รู้ความนึกคิด

อรยิ สจั ๔ ทกุ ข์ (ธรรมทีค่ วรรู้)

อายตนะ

• อายตนะจัดเป็นองค์ประกอบของวิญญาณ คือการรับรู้ กล่าวคือ ในการรับรู้จะต้องมีผู้รู้และสิ่งท่ีถูกรู้ ขันธ์
๕ คือ ผู้รู้ ซงึ่ รบั รผู้ า่ นอายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ล้นิ กาย และใจ ส่วนสง่ิ ท่ถี ูกรู้ คือ รูป เสยี งกลนิ่ รส
การสัมผสั และการนกึ คดิ (ธรรมารมณ์) เรยี กวา่ อายตนะภายนอก

• อายตนะภายในเป็นเครอ่ื งเชอื่ มตอ่ ใจกับโลกภายนอก พระพุทธศาสนาจงึ สอนให้มคี วามสารวมในอายตนะ

อรยิ สัจ ๔ ทุกข์ (ธรรมทีค่ วรรู้)

อายตนะภายใน จกั ขปุ ระสาท
ตา ประสาททเ่ี ห็นรปู ตา่ งๆ ได้ เรยี กว่า โสตประสาท
หู ประสาททรี่ บั ฟังเสยี งได้ เรยี กว่า ฆานประสาท
จมกู ประสาทท่สี ูดกลิ่นได้ เรียกว่า ชวิ หาประสาท
ลนิ้ ประสาททลี่ ้ิมรสได้ เรยี กวา่ กายประสาท
กาย ประสาทรบั สัมผัสได้ เรียกว่า
ใจ หมายถึง จิต

อรยิ สจั ๔ ทกุ ข์ (ธรรมทีค่ วรรู้)

อายตนะภายนอก

รูป สงิ่ ทีเ่ หน็ ด้วยตา
เสียง สง่ิ ที่ไดย้ ินด้วยหู
กลนิ่ สิ่งทสี่ ูดดมได้ดว้ ยจมูก
รส สิ่งท่ลี ้ิมรสไดด้ ว้ ยลนิ้
สมั ผัส (โผฏฐพั พะ) ส่ิงทถ่ี ูกต้องกาย
อารมณ์ (ธรรมารมณ)์ เร่ืองที่คดิ ขึน้ ดว้ ยใจ

อรยิ สจั ๔ สมทุ ยั (ธรรมท่คี วรละ)

• ความจริงว่าด้วยเหตุเกิดแห่งทุกข์ เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นน้ันต้องมีสาเหตุ ไม่ได้มีขึ้นลอยๆ ในที่น้ีจะ
พูดถึงหลกั ธรรมท่คี วรละ ๓ อย่าง เพ่อื ไม่ใหเ้ กิดทกุ ข์

หลักธรรมท่ีควรละเพอ่ื ไม่ให้เกดิ ทกุ ข์

หลกั กรรม

อกุศลกรรมบถ ๑๐
อบายมุข ๖

อรยิ สัจ ๔ สมทุ ัย (ธรรมที่ควรละ)

หลักกรรม

• หลักกรรม หรือกฎแห่งกรรม เป็นคาสอนที่สาคัญของพระพุทธศาสนา ผลของกรรมมีทั้งผลชั้นในและ
ผลชั้นนอก สิ่งสนับสนนุ ใหก้ รรมดีให้ผล เรียกว่า สมบตั ิ สงิ่ สนบั สนุนใหก้ รรมช่วั ใหผ้ ล เรยี กวา่ วบิ ัติ

สมบตั ิ ๔

คตสิ มบัติ เกดิ ในภพ หรือ ประเทศท่ีเจรญิ
อุปธสิ มบัติ เกดิ มามรี ่างกายท่สี ง่างาม แข็งแรง
กาลสมบตั ิ
ปโยคสมบัติ เกิดในสมัยบา้ นเมืองสงบสขุ
การทาใหค้ รบถ้วนทาอยา่ งต่อเนือ่ ง

อรยิ สัจ ๔ สมุทัย (ธรรมทค่ี วรละ)

หลกั กรรม

• หลักกรรม หรือกฎแห่งกรรม เป็นคาสอนท่ีสาคัญของพระพุทธศาสนา ผลของกรรมมีท้ังผลชั้นในและ
ผลชั้นนอก สิ่งสนับสนุนให้กรรมดใี ห้ผล เรยี กวา่ สมบัติ สิ่งสนบั สนนุ ให้กรรมชว่ั ใหผ้ ล เรยี กวา่ วิบัติ

วิบัติ ๔ เกิดในภพ หรอื ประเทศที่ไม่เจริญ
เกิดมามีร่างกายพิกลพิการ ไม่สงา่ งาม
คตวิ ิบัติ
อุปธวิ บิ ตั ิ เกิดในสมยั บา้ นเมอื งมีทกุ ขเ์ ขญ็
กาลวิบัติ การทาไม่ครบถว้ นไมต่ ่อเนอื่ ง
ปโยควิบตั ิ

อรยิ สจั ๔ สมทุ ยั (ธรรมทค่ี วรละ)

ตัวอยา่ งแสดงให้เห็นถึงการเกดิ ในที่ตา่ งๆ

• เกิดในท่เี จรญิ มกี ารบรกิ ารดี การศกึ ษาดี ทง้ั ทไี่ มข่ ยนั
• มสี ตปิ ญั ญาดี แตเ่ กิดเปน็ คนป่า

• มคี วามรู้ ความสามารถดี แตไ่ ปอยใู่ นท่ที ่เี ขาไม่เหน็ คณุ คา่

• เป็นคนซื่อสัตย์ เกิดในยุคผู้ปกครองดี สังคมยกย่องเชิดชู
คนนัน้ ก็มีเกยี รตมิ ีความเจริญ

อรยิ สัจ ๔ สมุทยั (ธรรมทีค่ วรละ)

อกศุ ลกรรมบถ ๑๐

• อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม หรือทางแห่งความชั่ว หรืออาจหมายถึง กรรมช่ัวอันเป็นทางไปสู่
ความเสอื่ ม ความทุกข์กไ็ ด้ กรรมชั่วนี้แบง่ ได้เป็น ๓ ทางใหญๆ่ ไดแ้ ก่

กรรมชัว่ ทางกาย กรรมช่ัวทางวาจา กรรมชวั่ ทางใจ

อรยิ สจั ๔ สมุทยั (ธรรมทีค่ วรละ)

อกุศลกรรมบถ ๑๐

กรรมช่วั ทางกาย

• ปาณาตบิ าต คอื การปลงชวี ติ การทาให้สัตวโ์ ลกถงึ แกค่ วามตาย
• อทินนาทาน คือ การขโมยของผอู้ ืน่ การถือเอาของทเ่ี ขาไม่ให้ รวมถึงการฉอ้ โกง ยักยอก หลอกลวง

คอรร์ ัปชนั ด้วย
• กาเมสมุ จิ ฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม การละเมดิ คูค่ รอง ของรกั ของหวงของผอู้ ื่น

อรยิ สจั ๔ สมทุ ยั (ธรรมทค่ี วรละ)

อกุศลกรรมบถ ๑๐

กรรมชั่วทางวาจา

• มสุ าวาท คือ การพดู เท็จ พูดสงิ่ ที่ไม่จริงโดยทร่ี ู้วา่ ไม่จริง การพูดกากวมเพ่อื หลอกลวงผอู้ น่ื ด้วย
• ปิสุณวาจา คือ พูดส่อเสียด ทาให้คนเกิดแตกสามัคคี พูดกระทบกระเทียบเหน็บแนม ให้อีกฝ่ายหน่ึงเจ็บ

ใจ การพูดเสียดสีมกั เกดิ จากความอจิ ฉา
• ผรสุ วาจา คอื พดู คาหยาบ การพดู หยาบก่อให้เกดิ ความแตกรา้ ว ทาให้เร่อื งเล็กกลายเป็นเรอ่ื งใหญ่
• สมั ผปั ปลาปะ คือ พูดเพอ้ เจอ้ ไมม่ แี กน่ สาร ไม่มีประโยชนแ์ ก่ใครไม่วา่ ตนเองหรือผ้อู ่นื

อรยิ สจั ๔ สมุทัย (ธรรมท่ีควรละ)

อกุศลกรรมบถ ๑๐

กรรมชั่วทางใจ

• อภิชฌา คือ คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา ไม่นึกว่าของใครใครก็หวง แม้ยังไม่ได้ขโมย แต่ก็ทาให้จิตใจเส่ือม
ไมค่ ดิ ทจี่ ะขยนั ขันแข็งเพอ่ื หามาดว้ ยตนเอง

• พยาบาท คือ คิดร้ายผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสียหาย ประสงค์ร้าย ความคิดร้ายน้ีจะบ่ันทอน
ความสามารถและความดขี องตนเอง

• มิจฉาทิฏฐิ คือ เหน็ ผิดจากคลองธรรม เช่น ไมเ่ ชอ่ื ว่าทาดไี ดด้ ี ทาชัว่ ได้ช่ัว

อรยิ สจั ๔ สมุทัย (ธรรมทค่ี วรละ)

อบายมุข ๖

• อบายมุข ๖ คอื ทางแหง่ ความเสอ่ื ม ซ่งึ เป็นสงิ่ ท่เี ราควรละ มี ๖ ประการ

ติดสรุ าและของมึนเมา ติดการพนัน
ชอบเท่ยี วกลางคืน คบคนช่ัวเปน็ มิตร
เกียจครา้ นการงาน
ชอบเทยี่ วดูการละเลน่

อรยิ สจั ๔ สมทุ ยั (ธรรมที่ควรละ)

อบายมุข ๖

ติดสุราและของมึนเมา ชอบเท่ยี วกลางคืน

• ทาให้เสยี ทรัพย์ • เปน็ การไม่รกั ตัว
• ทาให้เกดิ การทะเลาะววิ าท • เปน็ การไมร่ กั ลูกเมยี หรือครอบครัว
• เป็นบ่อเกิดแหง่ โรค • เปน็ การไมร่ กั ษาทรพั ยส์ มบัติ
• ทาให้เสยี เกียรตยิ ศและชื่อเสียง • เปน็ ทร่ี ะแวงสงสัยของผู้อ่ืน
• ทาใหไ้ ม่ร้จู ักอาย • เปน็ เปา้ ใหเ้ ขาใส่ความ
• บ่ันทอนสตปิ ัญญา • เป็นทม่ี าของความเดอื ดรอ้ นนานาชนิด

อรยิ สจั ๔ สมทุ ัย (ธรรมท่คี วรละ)

อบายมขุ ๖

ชอบเทีย่ วดกู ารละเลน่ ติดการพนนั

• ถ้าเที่ยวมากเกินไป ทาให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่ง • เม่ือชนะย่อมก่อเวร เมื่อเล่นได้ย่อมมี
เหล่าน้ัน ไม่เป็นอันทามาหากิน เสียท้ังเวลา คนอยากแก้มอื เรยี กรอ้ งให้เลน่ อีก
เสียท้ังเงิน ทาให้คนอื่นเชื่อถือน้อยลง ทาให้
ถูกมองวา่ เปน็ คนไมเ่ อาการเอางาน • เมอื่ แพย้ อ่ มเสียดายทรพั ย์
• ทรพั ยส์ นิ เสยี หาย
• ไมม่ ีใครเชื่อถอื
• เพื่อนฝงู ดหู มนิ่
• ไม่มใี ครอยากได้เปน็ คู่ครอง

อรยิ สจั ๔ สมุทยั (ธรรมท่คี วรละ)

อบายมุข ๖

คบคนชวั่ เปน็ มิตร เกยี จครา้ นการงาน

คนเราเม่ืออยู่ใกล้ชิดกับใคร ก็มีโอกาสที่จะมี • ความเกียจคร้านมีโทษอย่างไร แทบไม่ต้องพูดถึง ทุก
พฤติกรรมเช่นเดยี วกบั เขา เชน่ คนร้อู ย่แู ก่ใจว่าสิ่งที่เปน็ ประโยชนแ์ ละส่งิ ดงี ามทั้งหลาย
• นกั เลงการพนนั ย่อมไม่เกิดจากความเกียจคร้าน เรียนหนังสือก็สู้เขา
• นักเลงเจ้าชู้ ไม่ได้ ทามาหากินกส็ ูเ้ ขาไม่ได้
• นกั เลงสุรายาเสพตดิ
• นักลวงเขาด้วยของปลอม
• นกั หลอกลวง
• นักเลงหัวไม้

อรยิ สัจ ๔ สมทุ ัย (ธรรมท่คี วรละ)

คุณประโยชนข์ องการละเว้นอบายมขุ

• ไม่เสยี ทรัพยไ์ ปโดยเปล่าประโยชน์
• ไมห่ มกม่นุ ในส่ิงทห่ี าสาระไมไ่ ด้
• ประกอบหนา้ ที่การงานไดเ้ ต็มที่
• ชีวติ ไม่ตกตา่
• เปน็ ที่รักใคร่และเปน็ ท่ีไว้ใจของผู้อน่ื
• มีพลานามัยสมบูรณ์ สตปิ ัญญาไมเ่ สือ่ มถอย
• สามารถประกอบหน้าท่ีไดด้ ้วยความสจุ ริต

อรยิ สัจ ๔ นิโรธ (ธรรมทค่ี วรบรรล)ุ

• ความจริงว่าดว้ ยความดบั ทุกข์ เม่ือความทุกข์เกิดจากสาเหตุ ถ้าเราดับสาเหตุนั้นเสีย ความทุกข์นั้นย่อมดับไป
ด้วย ดังพทุ ธดารสั ว่า “เม่อื ส่งิ น้ไี มม่ ี ส่ิงนน้ั ก็ไม่มี เพราะสิ่งน้ดี ับ สงิ่ นั้นกด็ บั ” ณ ทน่ี จ้ี ะพดู ถึงหลกั ธรรมบางข้อท่ี
เราควรบรรลุเพื่อเปน็ ทางดับทกุ ข์ตามหลักอริยสจั ๔

หลักธรรมท่ีควรบรรลุเพอื่ ใหด้ ับความทุกข์

สามสิ สขุ นริ ามสิ สขุ

อรยิ สจั ๔ นโิ รธ (ธรรมทีค่ วรบรรล)ุ

สามสิ สขุ

• สามิสสุข คือ ความสุขทางวัตถุ หรือ ความสุขทางเน้ือหนัง การเสพสามิสสุขเป็นธรรมดาของคนทั่วไป
พระพทุ ธศาสนาสอนเร่อื ง “คหิ สิ ขุ ” คือ ความสุขของชาวบ้าน ได้แก่

ความสุขทีเ่ กิดจากการมีทรัพย์ อัตถสิ ุข
ความสุขทเ่ี กดิ จากการใช้จ่ายทรพั ย์ โภคสขุ
ความสุขทเี่ กดิ จากการไม่มหี นีส้ นิ
ความสขุ ท่เี กิดจากการประพฤติในสิ่งท่ีสจุ รติ อนณสขุ
อนวัชชสขุ

อรยิ สัจ ๔ นโิ รธ (ธรรมท่คี วรบรรล)ุ

นิรามสิ สุข

• นิรามิสสขุ คอื ความสขุ ที่ไม่อิงวตั ถุภายนอก เรยี กงา่ ยๆ วา่ ความสุขทางใจ มีต้ังแต่ขั้นต่าสุดไปถึงข้ันสูงสุด
คอื นพิ พาน ความสขุ ทางใจในระดับชาวบา้ น เช่น การไดร้ บั ความอบอุน่ จากครอบครัว ไม่มีศัตรู ขั้นสูง เช่น
การมีจิตใจสงบ ไม่คดิ รา้ ยใคร สงู ขนึ้ ไปอีก เชน่ เกดิ ความอิ่มใจเม่อื ไดเ้ สียสละ

• ความสุขประเภทนี้ ไม่ได้ข้ึนอยู่กับวัตถุภายนอกหรือข้ึนอยู่น้อยมาก เป็นความสุขทาง ทาได้โดยเริ่มต้นด้วย
การปฏบิ ัติตามศลี ๕ และธรรม ๕ ช่วยใหจ้ ิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ความสุขที่พ่ึงวัตถุภายนอกก็จะน้อยลงเร่ือยๆ
เป็นตัวของตัวเอง ไมเ่ ป็นทาสของคา่ นยิ มที่ฟมุ่ เฟือย หรือท่ีเรียกว่า วตั ถุนิยม

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทค่ี วรเจรญิ )

• ความจริงว่าด้วยทางแห่งความดับทุกข์ ถ้าใครปฏิบัติตามก็จะลดความทุกข์หรือปัญหาได้ ณ ท่ีนี้จะพูด
ถึงหลกั ธรรมบางขอ้ ที่เราควรปฏบิ ตั ิ เพอ่ื เปน็ ทางที่นาไปสคู่ วามดบั ทกุ ข์ ดังนี้

หลักธรรมที่ควรเจรญิ เพื่อเปน็ ทางไปสคู่ วามดบั ทกุ ข์

บพุ พนิมิตของมัชฌิมาปฏปิ ทา กศุ ลกรรมบถ ๑๐
สติปัฏฐาน ๔
ดรณุ ธรรม ๖ มงคล ๓๘
กลุ จิรัฏฐิติธรรม ๔

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมที่ควรเจรญิ )

บุพพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา

• มัชฌิมาปฏปิ ทา คือ ทางสายกลาง
• บุพพนมิ ิต แปลว่า สงิ่ ทเี่ ป็นเครอ่ื งหมายหรอื สิง่ บอกล่วงหน้า

พระพุทธเจ้าไดต้ รัสเปรยี บไว้วา่
“ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นย่อมมีแสงเงิน แสงทองปรากฏให้เห็นก่อนฉันใด ในทานองเดียวกัน ก่อนที่อริยมรรค

หรือมัชฌิมาปฏิปทา ซ่ึงเป็นข้อปฏิบัติสาคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดข้ึน ก็มีธรรมบางประการปรากฏข้ึนก่อน
เหมือนแสงเงินแสงทองฉันนน้ั ”

• กอ่ นจะเกดิ ปัญญาขึ้นน้นั มปี จั จัย ๒ อย่างเป็นเคร่อื งช่วย คอื กลั ยาณมติ ร และโยนิโสมนสิการ

อรยิ สัจ ๔ มรรค (ธรรมท่คี วรเจริญ)

บพุ พนมิ ิตของมชั ฌิมาปฏิปทา

กัลยาณมติ ร

• การมีกัลยาณมิตรเป็นสัญญาณที่บอกว่า เรากาลังจะเดินทางไปสู่อริยมรรค บางทีเรียกกัลยาณมิตรว่า
“ปรโตโฆสะ” แปลวา่ เสยี งจากผูอ้ ื่น คือ เสียงหรือคาพดู ทด่ี งี าม ถูกตอ้ ง เสยี งจากมิตรท่ีดี ช่วยแนะนาให้เรา
เกดิ ความคดิ เห็นทีถ่ กู ต้อง (สมั มาทฐิ ิ) การมีกัลยาณมิตรเป็นจุดเร่ิมต้นของการพัฒนาปัญญาท่ีจะทาให้เราเห็น
สัจธรรม

โยนิโสมนสกิ าร

• โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใช้ความคิดถูกวิธี รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ คิดอย่างมีระเบียบ บางทีเรียกว่า “การ
ทาใจโดยอุบายอันแยบคาย” โยนิโสมนสิการเป็นอาหารหล่อเล้ียงสติมิให้คิดไปในทางท่ีผิด แม้ศรัทธาหรือ
กัลยาณมิตรเปน็ สิ่งสาคัญท่จี ะเดินตามอรยิ มรรค แต่ตวั ตัดสนิ คือ ปัจจัยภายใน ซ่ึงเรียกว่า โยนโิ สมนสิการ

อรยิ สัจ ๔ มรรค (ธรรมท่คี วรเจรญิ )

คณุ สมบัตขิ องกัลยาณมิตร

ปิโย • มคี วามน่ารกั เป็นกนั เอง
ครุ • มคี วามนา่ เคารพ
ภาวนโี ย • มีความน่ายกย่อง
วตั ตา • รู้จักชแ้ี จงให้เข้าใจ
วจนักขโม • อดทนทจ่ี ะรบั ฟงั
คมั ภีรัญจะ กะถงั กตั ตา • แถลงเรอ่ื งลา้ ลกึ ได้
โน จฏั ฐาเน นโิ ยชะเย • ไมช่ กั จูงกันไปทางเส่อื มเสีย

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทค่ี วรเจริญ)

ดรณุ ธรรม ๖

• ดรณุ หมายถงึ เดก็ หรอื ผเู้ ยาว์ เดก็ นนั้ ยังมีอนาคตอนั ยาวไกลควรจะมีหลักธรรมทเ่ี ป็นทางไปสู่ความ
เจรญิ ก้าวหนา้ ของชีวติ เรยี กวา่ ดรุณธรรม ๖ คอื ทางไปสคู่ วามเจรญิ ก้าวหนา้ ๖ ประการ

รักษาสุขภาพดี (อโรคยะ) ไดเ้ ห็นแบบอย่างจากคนดี
(พทุ ธานวุ ตั ิ)

มีระเบยี บวินัย (ศลี )

ดรณุ ธรรม ๖ ทาส่ิงท่ถี ูกต้องดงี าม
(ธรรมานุวัติ)
ตั้งใจเรียน (สุตะ)
มคี วามขยนั หม่นั เพยี ร (วริ ิยะ)

อริยสัจ ๔ มรรค (ธรรมท่ีควรเจริญ)

กุลจิรฏั ฐิตธิ รรม ๔

• กุลจิรัฏฐิติธรรม ๔ คือ ธรรมที่เป็นเหตุทาให้ตระกูลมั่งค่ังมั่นคงต้ังอยู่ได้นาน ทาให้ตระกูลดารงอยู่ด้วย
ความสงบสขุ เรยี บรอ้ ย และมฐี านะอนั ม่นั คง

• เมื่อเครื่องอุปโภคบรโิ ภคหายหรือหมดไปตอ้ งร้จู กั จดั หามาไว้
• ซ่อมแซมส่ิงของท่ีเก่าและชารดุ เสยี หาย
• ประมาณตนในการอุปโภคบริโภค
• ตั้งผู้มศี ีลธรรมเป็นพ่อบา้ นแม่เรอื น

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทค่ี วรเจริญ)

กุศลกรรมบถ ๑๐

• กุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ทางแห่งการกระทาของผู้ฉลาดหรือคนดี เพื่อก่อให้เกิดความดีและความถูกต้อง
กศุ ลกรรมบถ ๑๐ แบ่งออกเป็น ๓ หมวดใหญๆ่

ความประพฤตดิ ที างกาย

ความประพฤตดิ ที างวาจา

ความประพฤตดิ ที างใจ

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทคี่ วรเจริญ)

กุศลกรรมบถ ๑๐

ความประพฤตดิ ที างกาย • เว้นจากการฆ่าสตั ว์
ความประพฤตดิ ีทางวาจา • เวน้ จากการขโมย
ความประพฤติดที างใจ • เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

• เว้นจากการพดู เทจ็
• เวน้ จากการพูดส่อเสียด
• เว้นจากการพูดคาหยาบคาย
• เว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ

• ไมโ่ ลภอยากไดข้ องผูอ้ ื่น
• ไมค่ ดิ พยาบาท
• มคี วามเห็นชอบ

อรยิ สัจ ๔ มรรค (ธรรมทีค่ วรเจริญ)

สตปิ ัฏฐาน ๔

• สตปิ ฏั ฐาน ๔ หมายถึง ที่ตง้ั ของสติ สัมมาสติ (หรือสติท่ีชอบ) เป็นองค์มรรคข้อหนึ่งในมรรคมีองค์แปด ส่ิงท่ีตรงกัน
ข้ามกบั สติ คอื ความประมาท สติ คือความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่เล่ือนลอย สติเป็นตัวคอยเตือนให้เรายับยั้งตนเอง
ไม่ให้ หลงเพลนิ ไปในทางทีผ่ ดิ

• สติ มีความหมายว่า ความไม่ประมาท (อัปปมาทธรรม) องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ความสาคัญแก่ความไม่ประมาท
มาก พระดารัสครั้งสุดทา้ ยของพระพุทธเจา้ ก็เปน็ เร่อื งอัปปมาทธรรม ว่า “สิ่งทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งข้ึน ย่อมมีความ
เส่อื มสนิ้ ไปเป็นธรรมดา ทา่ นทัง้ หลายจงยังประโยชน์ทม่ี ่งุ หมายใหส้ าเร็จด้วยความไม่ประมาทเถดิ ”

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมที่ควรเจริญ)

สตปิ ฏั ฐาน ๔

• พิจารณาเห็นภายในกาย การต้ังสติกาหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกายไม่ใช่
สัตว์ ไม่ใช่บคุ คล ไม่ใชต่ ัวตนของเรา ตวั ตนของเขา

• พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนา การตั้งสตกิ าหนดพิจารณาเวทนา ใหร้ ้เู หน็ ความเป็นจรงิ วา่ เปน็ แตเ่ พยี งเวทนาไมใ่ ช่
สตั ว์ บคุ คล ตัวตนของเรา ของเขา

• พิจารณาเห็นในจิต การตั้งสติกาหนดพิจารณาจิตให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิตมิใช่สัตว์ บุคคล
ตวั เรา ตัวเขา

• พิจารณาเห็นธรรมในธรรม การตั้งสติพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงธรรมไม่ใช่สัตว์
บคุ คล ตวั เรา ตัวเขา

อรยิ สัจ ๔ มรรค (ธรรมท่คี วรเจริญ)

มงคล ๓๘

• มงคล ๓๘ คือ สิ่งท่ีทาให้เกิดความดีงาม เป็นธรรมที่นามาซ่ึงความสุขความเจริญ มีท้ังหมด ๓๘ ข้อ แต่ ณ ท่ีนี้
จะกล่าวถงึ ๓ ข้อ

ประพฤติธรรม เวน้ ความช่ัว เว้นจากการดื่มน้าเมา

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทคี่ วรเจรญิ )

มงคล ๓๘

ประพฤตธิ รรม

• คนเราเกดิ มาย่อมต้องการความสุข ความสขุ ของแต่ละคนไม่เหมอื นกัน บางครง้ั บางคนตอ้ งการความสุขทางใจ
มากกว่าความสขุ ทางกาย บางคนตอ้ งการความสุขทางกายมากกว่าความสุขทางใจ ความสุขเหล่าน้ีจะเกิดกับ
ใครไมไ่ ด้ ถ้าคนคนนน้ั ปราศจากสิ่งสาคัญทส่ี ุดสิง่ หน่ึง คอื “ธรรมะ” ไมว่ ่าจะม่ังมีหรือยากจน โง่หรือฉลาด เด็ก
หรือผ้ใู หญ่ เป็นชาวกรุงหรือชาวชนบท เปน็ หญงิ หรือชาย ทางานเก่งหรือไม่เก่ง หากขาดธรรมะแล้ว ชีวิตก็จะ
ไม่มีความสขุ ความสงบ

• ในพระพทุ ธศาสนามีคาสอนท่เี กี่ยวกับหลกั ธรรมใหเ้ ราถือปฏิบัตมิ ากมาย แต่ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงหลัก เบญจธรรม
๕ และเบญจศีล ๕

อริยสัจ ๔ มรรค (ธรรมท่คี วรเจรญิ )

มงคล ๓๘

ประพฤตธิ รรม

เบญจธรรม ๕ เบญจศลี ๕

๑. เมตตากรุณา มีความรักใคร่เพ่ือนมนุษย์ ช่วยเหลือ ๑. เว้นจากการทาลายชีวติ
เทา่ ท่ตี นทาได้ ๒. เว้นจากการลกั ขโมย ฉอ้ โกง
๓. เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม
๒. สมั มาอาชวี ะ หาเล้ยี งชพี ทางสจุ ริต ๔. เวน้ จากการพดู เทจ็
๓. กามสงั วร เดนิ สายกลางเกย่ี วกบั ความสุขทางเน้อื หนัง ๕. เว้นจากนา้ เมา และสิง่ เสพติดท้งั หลาย
๔. สจั จะ พูดแตค่ วามจรงิ
๕. สติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าอะไรควร อะไรไม่

ควร

อริยสัจ ๔ มรรค (ธรรมท่คี วรเจรญิ )

มงคล ๓๘

เวน้ ความช่วั

• ความช่ัวท่ีพระพุทธศาสนาสอนให้ละเว้นมีมากมาย แต่จริงๆ แล้วอาจรวบรวมได้เป็น ๓ อย่าง นั่นคือ อกุศล
มลู ๓ แปลวา่ ตน้ ตอของความชว่ั ๓ ประการ อนั ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ โมหะ หรอื โลภ โกรธ หลง

โลภะ ความโลภ ความอยากไดอ้ ยากมโี ดยมิชอบ
โทสะ ความโกรธแคน้ พยาบาท อิจฉารษิ ยา
โมหะ ความหลง ไม่อยู่ในหลักของเหตผุ ลและปัญญา

อรยิ สจั ๔ มรรค (ธรรมทคี่ วรเจริญ)

มงคล ๓๘

เวน้ จากการด่ืมนา้ เมา

• การดื่มสุรา โทษท่ีเห็นชัดก็คือ เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แทนท่ีจะใช้เงินไปกับอาหารท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
ร่างกาย เกิดการทะเลาะวิวาทในหมู่นักเลงสุรา เรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นเร่ืองใหญ่ ทาให้ขาดสติ ทาให้
รา่ งกายเสอื่ มลง ทลี ะนอ้ ย และทาให้คนปัญญาดกี ลายเป็นคนโง่ได้

• ในบรรดาสิ่งช่วั ท้งั หลาย โทษของสุราและส่ิงเสพตดิ เป็นสง่ิ ที่เห็นไดช้ ดั และง่ายที่สุด ผู้ท่ียังเป็นเยาวชนและอยู่
ในวัยศึกษาเล่าเรียนควรอย่างยิ่งที่จะหลีกหนีให้ห่างเพราะถ้าติดสุราหรือส่ิงเสพติดใดๆ จนถอนตัว ไม่ข้ึน
แลว้ อาจทาให้เสียการเรียนและเสยี อนาคตได้


Click to View FlipBook Version