วิ จั ย ใ น ชั้ น เ รี ย น
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Google
slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่องไฟฟ้าสถิต สำหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
น า ง ส า ว รั ช นี ก ร นึ ก ส ม
นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
โ ร ง เ รี ย น ค ล อ ง ใ ห ญ่ วิ ท ย า ค ม
อำ เ ภ อ ค ล อ ง ใ ห ญ่ จั ง ห วั ด ต ร า ด
ก
ชอื่ งานวิจยั การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถติ
สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5/2
ชอื่ ผู้วจิ ัย นางสาวรชั นีกร นึกสม รหสั นักศึกษา 6015901020
สาขาวชิ า ฟิสกิ ส์
คณะ ครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยราชภฏั รำไพพรรณี
ปีการศกึ ษา 2564
ทป่ี รึกษางานวิจยั ผศ.ดร.ธีรังกูร วรบำรงุ กลุ
อ.ดร.วฑิ ูรย์ หนูเลก็
คุณครฉู ันทวรรณ สวุ รรณหิตาทร
บทคดั ยอ่
การวจิ ัยครง้ั น้ีมวี ัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้โดยใช้ Google
slides ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถติ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 5/2
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-
คณิตศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 3 ห้องเรียน รวม 73 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จงั หวัดตราด ภาคเรยี น
ที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกลุ่ม
ตวั อย่างได้รบั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง ไฟฟา้ สถติ โดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) Google slides เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ที่นำเสนอผ่านเว็บไซต์
(Google sites) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เรื่อง ไฟฟ้าสถิต จำนวน 20 ข้อ 3) แบบวัดความ
พึงพอใจในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต สำหรับนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 5/2
ผลการวิจยั พบวา่ 1) ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นทไ่ี ด้รับการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เรือ่ ง ไฟฟา้
สถติ โดยใช้ Google slides ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน 2) ความพงึ พอใจของนักเรียนในการ
เรียนรู้โดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ซึ่งมี
คา่ เฉลี่ย 4.22 คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.08
ข
กติ ตกิ รรมประกาศ
รายงานวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ไปได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความอนุเคราะห์คำปรึกษาและ
คำแนะนำเป็นอย่างดีจากคุณครูฉันทวรรณ สุวรรณหิตาทร ผู้เป็นครูพี่เลี้ยงสาขาฟิสิกส์ โรงเรียนคลองใหญ่
วิทยาคม ผศ.ดร.ธีรังกูร วรบำรุงกลุ และอ.ดร.วิฑูรย์ หนเู ล็ก ผู้เปน็ อาจารย์นิเทศก์และทป่ี รึกษาในการทำการ
วิจยั ซง่ึ ไดร้ ับแนวทางการศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู และแนวทางในการปฏิบัตงิ าน ตลอดจนช่วยตรวจสอบและแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการเขียนรปู แบบรายงานการวจิ ัยด้วยความเต็มใจ จนทำให้งานวจิ ัยสำเร็จลุล่วงสมดังท่ี
ได้ตั้งจุดมุ่งหมายทุกประการ ซึ่งผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและความเมตตาที่ได้รับเป็นอย่างยิ่ง จึงขอ
กราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
ขอขอบคณะครูกลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ให้กำลังใจและขอบคณุ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 5/2 โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม ที่ให้ความร่วมมือจนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้สำเร็จลุล่วงไป
ดว้ ยดี
ผู้วิจัยขออุทิศความสำเร็จของงานวิจัยฉบับนี้แด่ครูอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ และ
บดิ า มารดาทไ่ี ด้ใหช้ ีวิต สตปิ ัญญา และอบรมสั่งสอนให้ลกู ประสบความสำเรจ็ สมความตง้ั ใจทกุ ประการ
รชั นีกร นกึ สม
มกราคม 2565
สารบัญ ค
เรื่อง หน้า
บทคัดยอ่ ก
กติ ตกิ รรมประกาศ ข
สารบญั ค
สารบญั ตาราง จ
บทท่ี 1 บทนำ 1
1
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 2
ประโยชน์ทไี่ ด้รบั จากการวิจยั 2
ขอบเขตของการวจิ ยั 3
กรอบแนวคดิ ในการวิจัย 3
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 4
บทท่ี 2 เอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ ง 4
Google slides 5
Google sites 6
แนวคิดทฤษฎที ี่เกย่ี วข้องกับการจดั การเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 (E-Learning) 8
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 20
ความพงึ พอใจ 23
บทท่ี 3 วิธีการดำเนนิ งาน 23
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง 23
เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั 24
วิธีดำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู 24
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 24
สถิติที่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
ง
สารบัญ (ตอ่ )
เรอื่ ง หน้า
26
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 26
การวิเคราะห์ข้อมลู เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นฟสิ กิ ส์ของนกั เรียน กอ่ นเรียน
และหลงั เรยี น 26
การศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรยี นในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทาง
เว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟา้ สถติ 28
28
บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 28
สรุปผลการวจิ ัย 29
อภิปรายผลการวจิ ัย 30
ข้อเสนอแนะในการทำวิจยั 31
32
บรรณานกุ รม 34
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
ภาคผนวก ข
จ
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
26
ตารางท่ี 4.1 ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนฟสิ ิกส์ของนกั เรยี น ก่อนเรียนและหลังเรยี น 27
ตารางที่ 4.2 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรียนในการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides
33
ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถติ
ตาราง ก คะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนฟสิ กิ ส์ของนักเรียนก่อนเรยี นและหลังเรยี น
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
การจดั การศกึ ษาในปัจจุบันมีการนำนวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษามาใช้เพื่อเพิม่ ทางเลือกในการ
เรียนรู้ของผู้เรียน เพราะการพัฒนาผู้เรียนในยุคโลกาภิวัฒน์ให้มีความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์และ
สังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้นั้น บทบาทของผู้สอนต้องเปลี่ยนจากการเป็นผู้ให้หรือผู้ถ่ายทอดมาเป็น
ผู้ออกแบบการศึกษาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ และเลือกสรรความรู้ที่เหมาะสมด้วยตนเอง
ควบคู่ไปกับการเรียนรู้เนื้อหา เพื่อสนองตอบผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความต้องการ ความสนใจ
การเรียนการสอนจึงไม่ควรถูกจำกัดให้อยู่เฉพาะในห้องเรียนและภายในสถาบันการศึกษา (ฐาปนีย์ ธรรมเมธา,
2557) จึงมกี ารใชเ้ ทคโนโลยีเพอื่ เชอ่ื มโยงขอ้ มูลตา่ ง ๆ ของทุกภูมภิ าคของโลกเข้าดว้ ยกนั สง่ ผลต่อวิถีการดำรงชีวิต
ของสังคมในทกุ มิติรอบดา้ น (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2557) และการเรียนรู้ไดเ้ ปลีย่ นจากการเรียนรู้
อะไร (Know what) เป็นการเรียนรู้อย่างไร (Know how) การรู้ว่าจะเรียนอย่างไร จะค้นหาสารสนเทศอย่างไร
จะใชส้ ารสนเทศอย่างไร การใช้และการเข้าถึงเปน็ จุดเนน้ ใหม่ของการเรียนรู้ในโลกปจั จุบนั (Thomas. 1995: 54)
ดงั นนั้ การจดั การเรียนรู้ผ่านเว็บ หรอื Online learning จงึ เป็นกระแสสำคญั ของการเปล่ียนแปลงทางการเรียนรู้
ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดระบบการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล
Google slides และ Google sites เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน โดยอาศัย
คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ไวด์เว็บมาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดในลักษณะของ บทเรียนในรูปแบบ
ออนไลน์ สามารถเชอื่ มโยงเนื้อหา และแหล่งความรตู้ ่าง ๆ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถเขา้ ถึงแหล่งข้อมลู ไดง้ ่ายยง่ิ ขึ้น
จากการวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคลพบว่าผู้เรียนมีลักษณะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และใช้เวลาในการ
เรียนรู้มากน้อยไม่เท่ากัน วิธีการเรียนที่ใช้เอกสารประกอบการเรียนและทำกิจกรรมในห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่
ไมส่ ามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ของนักเรียนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
จากเหตุผลและความสำคัญดงั กล่าว ผวู้ จิ ยั จึงพฒั นาการจัดการเรยี นรูด้ ้วยบทเรียนในรูปแบบออนไลน์โดย
ใช้ Google slides และ Google sites เพือ่ ใช้เปน็ สอ่ื การเรียนรู้ที่นักเรียนสามารถเข้าถึงได้ทกุ ที่ ทุกเวลา ช่วยให้
ผเู้ รียนเกิดความกระตอื รือรน้ ในการเรียน สอดคลอ้ งกบั การจัดการเรยี นการสอนในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่ตอ้ งการให้
ทั้งครแู ละนกั เรยี นไดน้ ำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษามาใชใ้ นหอ้ งเรียนเพ่อื เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้มาก
ทีส่ ุด
2
วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 หลังเรียนสงู
กว่าก่อนเรียน
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้โดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต
ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5/3
ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการวจิ ัย
1. นักเรียนสามารถทบทวนความรู้จากบทเรียน โดยไมม่ ขี อ้ จำกัดดา้ นเวลาและสถานท่ใี นการเรยี นรู้
2. เป็นแนวทางในการพัฒนาบทเรยี นรูปแบบออนไลน์ ในเน้อื หาอ่นื หรอื รายวชิ าอน่ื ๆ ต่อไป
ขอบเขตของการวจิ ัย
ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจัย
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-
คณติ ศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญว่ ิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จงั หวดั ตราด ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน
3 หอ้ งเรียน รวม 73 คน
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์-
คณติ ศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน
24 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ เร่ือง ไฟฟ้าสถติ โดยใช้ Google slides ผา่ นทางเวบ็ ไซต์
ตัวแปรทศ่ี ึกษา
1. ตัวแปรตน้ ได้แก่ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนฟิสิกส์ เรือ่ ง ไฟฟา้ สถิต โดยใช้ Google slides ผา่ น
ทางเว็บไซต์
2. ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่
2.1 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี น เรื่อง ไฟฟา้ สถิต
2.2 ความพงึ พอใจของนกั เรียนในการเรยี นรโู้ ดยใช้ Google slides ผ่านทางเวบ็ ไซต์
ขอบเขตของเนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต รายวิชา ฟิสิกส์ไฟฟ้า (ว32207) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ตามหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม
3
ระยะเวลาที่ใชใ้ นการศกึ ษา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 โดยผู้วจิ ัยเป็นผู้ดำเนินการจดั การเรียนรู้และเก็บรวบรวมข้อมลู
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนฟิสิกส์ 1. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียน เร่ือง ไฟฟา้
เรื่อง ไฟฟ้าสถิต โดยใช้ Google slides สถิต
ผา่ นทางเว็บไซต์ 2. ความพึงพอใจของนักเรียนในการเรยี นรูโ้ ดยใช้
Google slides ผ่านทางเว็บไซต์
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นฟิสิกส์ หมายถึง ความสามารถของนักเรียนในการเรยี นวิชาฟิสกิ ส์ เรื่อง ไฟฟ้า
สถิต ซง่ึ วดั ได้จากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นฟิสิกส์ ในดา้ นความรูค้ วามจำ ดา้ นความเข้าใจ ด้านการ
นำไปใช้ ด้านการวเิ คราะห์ ดา้ นการสงั เคราะห์ และดา้ นการประเมินคา่ โดยพจิ ารณาใหค้ รอบคลุมตามจดุ ประสงค์
การเรียนรูใ้ นเนือ้ หา เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ซึ่งเปน็ แบบทดสอบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้าง
ขึ้น
2. Google slides หมายถึง โปรแกรมสำเร็จรูปสาหรับสร้างสไลด์ ที่สามารถสร้าง แก้ไข และทำงาน
รว่ มกับผูอ้ ่ืนได้ ท้งั ในรปู แบบออนไลน์และออฟไลน์
3. Google sites หมายถึง โปรแกรมที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรี สามารถสร้างเว็บไซต์ได้งา่ ย ปรับแตง่
รปู ลกั ษณ์ไดอ้ ยา่ งอิสระ และสามารถรวบรวมความหลากหลายของขอ้ มูลไว้ในทีเ่ ดยี ว เชน่ วิดโี อ, ปฏิทิน, เอกสาร
4
บทท่ี 2
เอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ ง
การวิจัยเร่อื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนโดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต
สำหรับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/2 ผู้วิจัยไดท้ ำการศกึ ษาเอกสารทเ่ี กี่ยวข้องดงั น้ี
2.1) Google slides
2.2) Google site
2.3) แนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกบั การจดั การเรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 (E-Learning)
2.4) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
2.5) ความพึงพอใจ
2.1 Google slides
เป็นโปรแกรมทีส่ ามารถนำเสนอชิน้ งานให้มีความหลากหลาย ในรูปแบบที่ทันสมัย พร้อมเทคนิคทีท่ ำให้
ชิน้ งานเปน็ ที่โดดเดน่ โดยมจี ดุ เด่นดังนี้
1. สร้างงานนำเสนอใหมห่ รือแกไ้ ขงานนำเสนอท่ีสรา้ งไว้บนเว็บไซต์หรอื อุปกรณอ์ ่ืน ๆ
2. แชร์งานนำเสนอและทำงานร่วมกับบคุ คลอ่ืนในงานนำเสนอเดยี วกันไปพรอ้ ม ๆ กัน
3. ทำงานให้เสรจ็ ในทุกเวลาทต่ี ้องการ แม้ไมม่ กี ารเชอ่ื มตอ่ อนิ เทอรเ์ นต็
4. เพมิ่ และจัดเรยี งสไลดใ์ หม่ จัดรปู แบบข้อความและรปู รา่ ง และอน่ื ๆ
5. นำเสนอจากอุปกรณ์ทเี่ ชอ่ื มตอ่ อินเทอรเ์ น็ต เชน่ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ PC แท็บเล็ต โนต๊ บุค๊ สมาร์ทโฟน
6. ระบบจะบันทกึ ทกุ อยา่ งทีก่ ำลงั พิมพโ์ ดยอตั โนมัติ ทำให้ผใู้ ชง้ านไม่ตอ้ งกงั วลเร่อื งงานหาย
7. Google Slides ทำใหไ้ อเดยี ของคุณโดดเดน่ ดว้ ยธีมงานนำเสนอหลากหลายแบบ สามารถแทรกอักษร
แทรกวดิ ีโอ ภาพเคลอ่ื นไหว
ประโยชน์ของ Google slides
1. ทำงานรว่ มกันแบบ Real-Time
Google slides มีคุณสมบัติที่ทำให้คุณและคนอื่น สามารถแก้ไขสไลด์ไปพร้อม ๆ กันได้ และมี
การบนั ทกึ การเปลย่ี นแปลงอัตโนมัติ โดยทคี่ ุณไม่ตอ้ งกดบันทกึ ด้วยตนเอง ซ่งึ ผูท้ จ่ี ะสามารถแก้ไขได้ก็ต้อง
เปน็ บุคคลท่ีได้รับอนุญาตให้แก้ไขได้เทา่ น้ัน และยงั สามารถเพิ่มความคิดเห็นในแต่ละส่วนได้
2. แทรกรูปภาพจากเว็บไซต์
5
Google slides ทำให้การเพิ่มรูปภาพลงบนสไลด์เป็นเรื่องที่สะดวก เพราะมีตัวเลือกที่
หลากหลายในการเพิ่มรปู ภาพลงบนสไลด์ของคุณ ไม่ว่าจะเลือกอัปโหลดรูปภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์ของคุณ, นำรูปภาพมาจาก อัลบั้ม Google Drive, หรือสามารถแทรกรูปภาพจากเว็บไซต์
ลงบนสไลด์ได้โดยตรง เพยี งเเคใ่ ช้ URL ของรปู ภาพ ข้อดีคอื คณุ ไมต่ อ้ งดาวนโ์ หลดรูปภาพมาไว้บนเครื่อง
คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ของคุณ ทำให้ช่วยประหยัดเวลาและยังประหยัดพื้นที่บนเครื่องคอมพิวเตอร์
หรอื อปุ กรณ์ของคณุ ไดอ้ ีกดว้ ย
3. เชือ่ มตอ่ ได้แม้ Offline
คุณไม่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเรียกใช้ Google Slides เพราะคุณสามารถดาวน์โหลด
Google Slides แบบ Offline ได้ แถมคุณยังสามารถแก้ไขสไลดน์ ำเสนอไดอ้ กี ดว้ ย และเมอ่ื มีการเช่ือมต่อ
อนิ เตอร์เนต็ อีกคร้ัง ทกุ อย่างทไ่ี ด้รับการแกไ้ ขก็จะถกู ซงิ คข์ ึ้นบนเวบ็ ไซต์
4. เปิดและแกไ้ ขไฟล์ PowerPoint ไดท้ นั ที
หากคุณต้องการเปิดไฟล์ หรือแก้ไขไฟล์นำเสนอที่คุณเคยทำใน PowerPoint มาก่อน คุณ
สามารถทำไดท้ ันที เพยี งแค่เปดิ ไฟล์ PowerPoint ใน Google slides และไม่มคี า่ ใชจ้ ่ายเพ่ิมเตมิ
5.แทรกวิดีโอจาก YouTube
สามารถแทรกวดิ ีโอจาก YouTube มาลงบนสไลด์ได้ โดยอปั โหลดไฟล์วิดีโอ หรอื ไฟล์เพลงลงบน
YouTube และเชื่อมตอ่ เขา้ กบั สไลด์
2.2 Google sites
Google sites คือเว็บไซต์ของ Google เป็นโปรแกรมออนไลน์ที่ทำให้การสร้างเว็บไซต์สะดวกมากข้ึน
เหมือนกับการแก้ไขเอกสาร Google sites สามารถใส่วิดีโอ ปฏิทินนำเสนอ เอกสารหรือสิ่งที่แนบ และข้อความ
สามารถร่วมกันแกไ้ ขหนา้ เวบ็ กับผรู้ ว่ มงานได้
ลกั ษณะเดน่ ของ Google sites
- สรา้ งเว็บไซต์ได้รวดเร็ว และนำเสนอเป็นสาธารณะไดท้ ันที
- สามารถพิมพ์ข้อความที่ตอ้ งการไดโ้ ดยไมต่ อ้ งใช้ภาษา HTML
- มแี ถบเมนภู าษาไทย
- มีแบบเทมเพลตสำเรจ็ รูปให้เลอื กหลากหลาย
- สามารถแบ่งปันเวบ็ ให้ผรู้ ่วมงานรว่ มสร้างสรรคไ์ ด้
6
2.3 แนวคิดทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การจดั การเรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 (E-Learning)
การพัฒนาของโลกในยคุ ปจั จุบันมงุ่ สทู่ ศิ ทางของสงั คมแหง่ การเรียนรู้ วธิ กี ารเรียนรู้ของมนษุ ยจ์ ึงตอ้ งมีการ
ปรับเปลี่ยนให้ทนั ยุคทนั สมัยและเข้ากนั ได้กับสิง่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรในปัจจบุ นั ซ่ึงในขณะนเ้ี ป็นช่วงยุคดิจิตอล
ในศตวรรษท่ี 21 หรอื ทีเ่ รียกอีกอย่างหน่งึ วา่ ยุคสงั คมสารสนเทศ ดังนัน้ ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญ
เปน็ อย่างมากในการถ่ายทอดความร้ดู ว้ ยกระบวนต่าง ๆ ท่ีหลากหลาย ไปสู่กลุม่ เปา้ หมายทม่ี ีความตอ้ งการต่างกัน
นับตงั้ แต่มีการพัฒนาอนิ เทอรเ์ น็ต การตดิ ตอ่ สอ่ื สารระหวา่ งมนษุ ย์กเ็ ปน็ ไปดว้ ยความสะดวกรวดเร็วมากขนึ้ รวมทง้ั
การเรียนการสอนและการศึกษาหาความรู้ก็สามารถทำได้อย่างไร้พรมแดนทำให้เกิดคำว่า E-Learning หรือ
Electronic Leaning เปน็ ทร่ี จู้ ักกันไปทว่ั โลก (ศนู ย์เทคโนโลยที างการศึกษา ; 8 มกราคม 2550) โดยมีนักวิชาการ
ไดใ้ หค้ วามหมายของคำว่า E-learning ไว้มากมาย โดยขอสรุปว่า E-Learning คอื กระบวนการเรยี นการสอนผ่าน
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (ICT) และสือ่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์อืน่ ๆ ทีเ่ หมาะสม ซ่ึงช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลา
และสถานทีร่ ะหว่างผู้เรยี นและผู้สอน ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนสามารถเรียนได้ตามความต้องการและความจำเป็นของตนได้
อยา่ งตอ่ เน่ืองตลอดเวลา
ประเภทของการศึกษา
พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 การจดั การศึกษามี 3 รปู แบบ คือการศึกษาในระบบ
การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั
(1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาทกี่ ำหนดจดุ มุง่ หมาย วธิ ีการศกึ ษา หลกั สตู ร ระยะเวลาของ
การศกึ ษา การวัดและการประเมนิ ผล ซึ่งเปน็ เงอ่ื นไขของการสำเรจ็ การศกึ ษาท่ีแน่นอนศกึ ษา โดยมีการศกึ ษา
ระดับปฐมวัย ประถมศกึ ษา มัธยมศึกษา และระดบั อุดมศึกษา
(2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัด
การศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสม
สอดคล้องกับสภาพปญั หาและความตอ้ งการของบุคคลแตล่ ะกลมุ่
(3) การศึกษาตามอธั ยาศัย เปน็ การศกึ ษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศกั ยภาพ
ความพรอ้ มและโอกาส โดยศกึ ษาจากบุคคล ประสบกรณ์ สภาพแวดล้อม สงั คม สื่อหรอื แหล่งความรอู้ น่ื ๆ ในท่นี ้ี
จะขอกล่าวถงึ การใช้ e-learning ทีเ่ ข้ามามีบทบาทกบั การศกึ ษาไทย ซ่งึ จะกลา่ วถึงการศกึ ษาในระบบ เพราะจะ
เหน็ พัฒนาการเปลีย่ นแปลงทเ่ี ดน่ ชดั ท่สี ุด
E-learning กบั การศกึ ษาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการนำสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้สนับสนุนการศึกษาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ พ.ศ. 2498
เมอื่ กระทรวงศึกษาธิการไดก้ ่อต้ังสถานีวิทยกุ ระจายเสียงเพอ่ื การศกึ ษาขนึ้ มาเป็นครั้งแรก หลงั จากนนั้ ไมน่ านเมื่อมี
7
การจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้น กระทรวงศึกษาธิการก็มีโอกาสผลิตรายการเพื่อการศึกษาออกอากาศ
ไปสู่ประชาชนทว่ั ไปอกี ชอ่ งทางหนึ่ง วทิ ยุกระจายเสยี งและวิทยโุ ทรทัศน์จึงเปน็ สอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ท่มี ีบทบาทในการ
สนับสนุนการศึกษามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีการกอ่ ตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ
ขน้ึ ใน พ.ศ. 2537
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาในประเทศไทยเร่ิมต้นในระดับอุดมศึกษา การใช้คอมพิวเตอร์
เพื่อการศึกษาในระยะแรกเป็นการใช้ในรูปแบบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction:
CAI) ต่อมาเม่ือมเี ทคโนโลยีเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตเกิดข้นึ จึงพัฒนาไปสกู่ ารเรียนการสอนออนไลน์หรือ Web-
Based Instruction (WBI) e-Learning ในประเทศไทยเริม่ ดำเนินการในปี พ.ศ. 2538 โดยรฐั บาลได้เปดิ เครือข่าย
คอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย เพื่อต้องการจะเชื่อมโยงโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศเข้าด้วยกันโดยผ่านเทคโนโลยี
อินเทอร์เน็ต เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการศึกษาร่วมกันบนเครือข่าย
ต่อมาคณะรัฐมนตรีไดใ้ ห้ความเห็นชอบเมือ่ วนั ที่ 5 ตลุ าคม 2542 ให้ขยายเครอื ข่ายให้ครอบคลมุ โรงเรียนในระดับ
ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และอาชวี ศกึ ษาท่วั ประเทศโดยความรับผิดชอบของเนคเทค ปจั จบุ นั เนคเทคได้ดำเนิน
กิจกรรมบนเครื่อขา่ ยหลายอย่าง ประกอบดว้ ยการจัดทำเวบ็ ไชตข์ องโครงการเพ่ือเป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ยี น
ความรแู้ ละเรยี นรู้ (เยาวลักษณ์ พิพัฒนจ์ ำเริญกลุ :11 กุมภาพันธ์ 2555) กระทรวงศกึ ษาไดม้ กี ารรบั รองการศึกษา
ทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตอยา่ งเป็นทางการตั้งแต่ต้นปี 2549 จึงทำให้การเติบโตของหลักสูตร E-learning มีอัตรา
การเติบโตเป็นเท่าตัวเพราะการศึกษาทางไกลไม่เพียงจะอำนวยความสะดวกและเอื้อประโยชน์ต่อผู้เรียนแล้ว
ยังอำนวยประโยชน์ให้กับสถาบันการศึกษาในแง่ของการบริหารจัดการอีกด้วย คือ ทำให้ต้นทุนในการจัดการ
หลักสูตรต่ำลง ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนในระบบทางไกลที่นักศึกษาไม่ต้องเดินทางมาเข้าชั้นเรียน และ
สามารถรองรับนักศึกษาได้อย่างไม่จำกัด เป็นช่องทางในการสร้างและขยายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงผู้ที่มี
ความต้องการในวงกว้างข้ึน โดยเฉพาะนักศึกษาทีอ่ าศัยในตา่ งจังหวดั ดังนั้น e-Learning จึงเป็นช่องทาง โอกาส
และทางเลือก ไม่เพียงแต่นักศกึ ษาเท่านั้น มหาวทิ ยาลัยทัง้ ภาครัฐและภาคเอกชนยงั ได้ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
โดยมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้มีการเปิดหลักสูตร e-Learning กันมากมาย เช่น หลักสูตร
วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาการพัฒนาชอฟต์แวร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตร
บริหารธุรกจิ มหาบัณฑิตสาขาการทอ่ งเทยี่ ว มหาวิทยาลยั นรศวร หลักสตู รศิลปศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาวิชาการ
จัดการความรู้ คณะศกึ ษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร จะเหน็ ได้วา่ จากการขยายตัวของหลกั สูตรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
นั้นได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของe-Learning ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในงานการศึกษา (อรวรรณ รักรู้ : 6
กรกฎาคม 2550) ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (wireless) ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทและเติบโตอยา่ ง
มาก อปุ กรณแ์ บบไร้สายต่าง ๆ ได้เขา้ มาแทนที่อุปกรณ์แบบมีสาย (wired) ท่เี ราเหน็ ไดช้ ัดเจนคือ โทรศัพท์มือถือ
8
เมอื่ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยแี บบไรส้ าย เทคโนโลยสี ำหรับอุปกรณ์ไรส้ ายต่าง ๆ กถ็ ูกพัฒนาตามข้ึน
ไปด้วย ซึ่งได้แก่ Bluetooth, WAP(Wireless Application Protocol) และ GPRS (General Packet Radio
System) เมื่อเทคโนโลยไี ดก้ ้าวหน้าไป วธิ กี ารศกึ ษาหาความรู้ก็ถกู พัฒนาตามไปด้วย จงึ เกิด m-Learning ข้ึน ย่อ
มาจาก mobile learning ซึ่งเป็นการพัฒนาอีกขั้นของ e-Learning เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของการพัฒนา
การศึกษาเรียนรู้ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาชว่ ย เทคโนโลยีที่กล่าวถึงนีก้ ็คอื เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้
สาย เราเรียกการเรียนแบบนี้ว่า Wireless Learning , Mobile Learning หรือ m-Learning ดังนั้น m-learning
คือ การศึกษาทางไกลผ่านทางอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบไร้สายต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ , PDA , Laptop , iPad,
tablet เป็นต้น (ชนะศึก โพธิ์นอก : 8 กันยายน 2554) ซึ่งในขณะนี้ในหลาย ๆ สถาบันก็ได้มีการเรียนการสอน
แบบ e-learning ผ่านสื่อ m-learning เช่น iPad, tablet เพื่อความสะดวกต่อการเรียนการสอน เพราะใน
มหาวทิ ยาลยั ก็มรี ะบบ wifi อยา่ งทัว่ ถงึ ทำให้การเรียนผา่ น iPad, tablet เป็นจรงิ และไดผ้ ลมากข้ึน เช่นไมเ่ พยี งแต่
อาจารยส์ ามารถทำตาราเรียนเปน็ Power point ใหน้ ักศึกษาดาวนโ์ หลดมาเรยี นได้ แต่ยงั เพ่ิมความสนุกสนานใน
การเรียนมากขนึ้ อีกดว้ ย VDO Clip และ interactive ทำใหก้ ารเรียนมชี วี ติ มากขึ้น
จะเหน็ ได้วา่ การเรียนการสอนแบบ e-learning นน้ั ได้เขา้ มาเป็นสว่ นหนึ่งของการศึกษาไทยเป็นเวลานาน
และ e-learning ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อจะตอบสนองความ
ต้องการในการเรียนร้ขู องผู้เรียนและเพ่ือตอบสนองนโยบายการเรียนรู้ เนื่องจากบคุ ลากรถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญ
ในการขับเคลือ่ นองค์กรใหก้ ้าวไปในทิศทางท่ีถกู ตอ้ ง เพอ่ื พัฒนาประเทศให้เกิดการแขง่ ขันไดก้ ับประเทศอ่ืน ๆ จึง
ตอ้ งการบุคลากรทมี่ ีคุณภาพ โดยได้จัดการศึกษาทีเ่ ปน็ ระบบ มปี ระสทิ ธิภาพ และสอดคล้องกบั ความสามารถของ
แต่ละคน ประกอบกบั วิวฒั นาการของเทคโนโลยีต่าง ๆ ทีเ่ ปล่ยี นไปในทางทด่ี ีข้นึ เรว็ ขึ้น ดังนนั้ ระบบการเรียนการ
สอนทางไกลโดยใช้เครือข่ายอินเตอร์เนต็ ในลกั ษณะของ e-Learning จึงเกิดข้นึ เพ่อื ใช้สนบั สนนุ การศึกษาและการ
ฝกึ อบรมใหบ้ คุ ลากรได้รับการศึกษาอยา่ งตอ่ เนือ่ งตลอดชวี ิต อันเป็นแนวทางที่สำคญั ในการพัฒนาประเทศ
2.4 ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
2.4.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
ศิริชัย กาญจนวาสี (2552, หน้า 166) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าหมายถึง ผลการ
เรียนรตู้ ามแผนท่กี ำหนดไวล้ ่วงหน้า อันเกดิ จากกระบวนการเรียนการสอนในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึง่ ที่ผา่ นมา
ชนนิ ทรช์ ยั อนิ ทริ าภรณ์ และสวุ ิทย์ หริ ัณยกาณฑ์ (2548, หนา้ 5) ได้ใหค้ วามหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน ว่าหมายถึง ความสำเร็จที่ได้รับจากความสามารถ ความรู้และทักษะ หรือผลของการเรียนการสอน หรือ
ผลงานท่ีเดก็ ไดจ้ ากการประกอบกิจกรรมส่วนน้ัน ๆ
9
ราชบัณฑิตยสถาน (2553, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าหมายถึง ผลการ
เรียนรู้ที่วัดหรือเทียบจากเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้แบบทคสอบหรือเครื่องมืออื่นที่เหมาะสมประเมินผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน
จากความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรียน สรุปไดว้ ่า ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถงึ ผลทีเ่ กดิ จากการ
เรียนรู้ของผู้เรียนในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา ซึ่งในงานวิจัยครัง้ นีผ้ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะหมายถงึ
ความรู้ความสามารถของผู้เรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์ เรื่อง ไฟฟ้าและ
สนามแมเ่ หลก็ ในวชิ า ฟสิ กิ สไ์ ฟฟา้ ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5
2.4.2 การวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์
Bloom (1956 อ้างถงึ ใน ภพ เลาหไพบลู ย์, 2542, หน้า 97-99) ไดจ้ ำแนกประเภทของวัตถปุ ระสงค์ทาง
การศกึ ษาออกเปน็ 3 ด้าน ได้แก่ ค้นพุทธพิ ิสยั ดา้ นเจตพสิ ัย และดา้ นทกั ษะพิสยั
1. พุทธพิ ิสยั เป็นวตั ถปุ ระสงค์ทางการศกึ ษาทีเ่ กยี่ วกับความรู้ ความเขา้ ใจ การใช้ความคิด เปน็ การเรียนรู้
ทางด้านสติปัญญา การเรียนร้ดู ้านพุทธพิ สิ ยั แบง่ เป็น 6 ขัน้ ซึง่ เรยี งลำดับจากขั้นตำ่ ไปสูข่ ั้นสงู ดงั น้ี
1.1 ความรู้ เป็นความสามารถในการรับรู้และจำเรื่องต่าง ๆ อาจจำแนกย่อยได้เป็นความรู้
เกี่ยวกับคำศัพท์หรือเทอมเฉพาะ ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้ในแบบแผนข้อตกลงลำดับขั้นตอน
และแนวโน้ม การจัดประเภท เกณฑ์ และเทคนคิ วิธีการ
1.2 ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยายความ สรุป อ้างอิง
อธบิ าย บรรยายในเรื่องราวและเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ
1.3 การนำไปใช้ เป็นความสามารถในการนำหลักการ กฎเกณฑ์ ไปใช้ในการแก้ปัญหาใน
สถานการณใ์ หมไ่ ด้
1.4 การวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการแยกแยะความรู้ต่าง ๆ เป็นการหาองค์ประกอบยอ่ ย
จนกระทง่ั มองเหน็ ความสำคัญ และหาความสมั พนั ธ์ระหว่างความรขู้ อ้ มลู ยอ่ ย ๆ เหล่านั้น และหาหลกั การ
ของความรูน้ นั้ ได้
1.5 การสังเคราะห์ เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน การ
สังเคราะห์แบ่งออกได้เป็น การสังเคราะห์เป็นแผนงานหรือกิจกรรมที่จะปฏิบัติ การสังเคราะห์เป็น
นามธรรม หรือการสรา้ งหลักการ ทฤษฎีต่าง ๆ
1.6 การประเมินค่า เป็นความสามารถในการวินิจฉยั หรอื ตัดสินเก่ียวกับคุณค่าของการกระทำส่ิง
หน่ึงส่ิงใดลงไป โดยยดึ ถอื เกณฑ์เป็นหลกั
10
2. เจตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับความสนใจ เจตคติ คุณธรรม หรือค่านิยม ความ
ซาบซึ้ง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางด้านความรูส้ ึก การเรียนรู้ด้านเจตพิสัยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ซึ่งเรียงลำดับจากขั้นต่ำ
ไปสขู่ นั้ สงู ดังนี้
2.1 การรบั รสู้ ง่ิ เร้า คือ การท่ีผเู้ รยี นได้รับประสบการณ์จากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ แล้วเกิดความ
สนใจและรับรูส้ ่ิงแวดลอ้ มนนั้ โดยทผ่ี ้เู รียนมีความรูต้ วั ตง้ั ใจ รับรู้ หรือต้ังใจทีถ่ ูกควบคุมให้รบั รู้
2.2 การตอบสนอง เมื่อผู้เรียนได้รับรู้สิ่งแวดล้อม ผู้เรียนเริ่มมีปฏิกิริยาโด้ตอบกับสิ่งแวดล้อมท่ี
รบั เข้ามา มีความตัง้ ใจทจ่ี ะตอบสนอง มีความพงึ พอใจในการตอบสนองตอ่ สิง่ แวดลอ้ มนั้น
2.3 การสรา้ งคา่ นยิ ม เมอ่ื ผูเ้ รียนไดร้ บั ร้แู ละมีปฏกิ ิรยิ าโต้ตอบแล้ว ต่อมาเปน็ การสร้างค่านิยม คือ
การยอมรบั คณุ ค่าของสิง่ นน้ั มีความพงึ พอใจในคุณค่าของสิ่งนน้ั และมีความแน่ใจผูกพนั ในค่านิยมน้ัน
2.4 การจัดระบบค่านิยม เมื่อผู้เรียนได้สร้างค่านิยมแล้ว ผู้เรียนจะพิจารณาจัดรวบรวมค่านิยม
เหล่านั้นท่ีมีความสมั พนั ธก์ ันเปน็ หมวดหมเู่ ดยี วกัน และจัดเปน็ ระบบค่านิยม
2.5 การสร้างลักษณะนสิ ัยตามค่านิยม เป็นการผสมผสานค่านิยมที่สรา้ งขึ้นจนเป็นลกั ษณะนสิ ัย
เฉพาะของแต่ละบคุ คลจนกลายเป็นความประพฤติ บุคลกิ ภาพ อคุ มคตขิ องชวี ติ
3. ทักษะพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการกระทำอย่างมีทักษะในการดำเนินการ
เกีย่ วกับเรอื่ งต่าง ๆ มคี วามสามารถในการใช้อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกายปฏิบัตงิ าน การเรยี นรู้ด้านการปฏิบัติแบ่ง
ออกเปน็ 7 ขั้น ซง่ึ เรยี งลำดบั จากขัน้ ต่ำไปส่ขู ้ันสูงดงั นี้
3.1 การรับรู้ เป็นขั้นแรกของการเริ่มกิจกรรมใดก็ตาม เป็นการรับรู้โดยการกระตุ้นต่อโสต
ประสาทความรู้สึกอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง ได้แก่ การได้ยนิ ทางหู การเกิดภาพในสมองทางตา
การสัมผัสทางมือ การกระตุ้นให้ได้รสทางสิ้น การกระตุ้นให้ได้กลิ่นทางจมูก การกระตุ้นทางกล้ามเน้ือ
และเป็นการตัดสินว่าจะเลือกสิ่งเร้าใดที่จะตอบสนอง เป็นการแปลความเกี่ยวข้องของสิ่งเร้าและแสดง
อาการตอบสนอง
3.2 การเตรียมพร้อมปฏิบัติ เปน็ การเตรียมการปรบั ตวั ทัง้ ทางรา่ งกาย สมองและอารมณใ์ ห้พรอ้ ม
ที่จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง การพร้อมทางสมองเป็นการพร้อมในเชิงความคิดที่ต้องมีมาก่อน อาศัย
ความรู้ทม่ี มี าก่อนประกอบดว้ ยการพร้อมทางร่างกาย เปน็ การจดั ท่าของร่างกายใหพ้ ร้อม และการพร้อม
ทางอารมณ์เปน็ การปรับเจตคติใหเ้ กดิ ความต้งั ใจตอบสนอง
3.3 การตอบสนองตามแนวทางที่ให้เป็นการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละคน ภายใต้
คำแนะนำของผู้สอน จำแนกเป็นการเลยี นแบบและการลองผิดลองถูก การเลียนแบบเป็นการตอบสนอง
11
ตามแบบที่ให้ เช่น การแสดงให้ดูแล้วให้ทำตาม การลองผิดลองถูกเป็นความพยายามที่จะตอบสนองใน
รปู แบบต่าง ๆ
3.4 กลไกในการปฏิบัติ เป็นการสร้างระบบ วิธีการ จากประสบการณ์ความรู้ทีส่ ะสมไว้เปน็ การ
แสดงออกที่เกิดจากการเรียนรู้จนเป็นนิสัย ผู้เรียนมีความมั่นใจและมีความชำนาญพอที่จะปฏิบัติงาน
นั้น ๆ ได้
3.5 การตอบสนองท่ชี บั ซอ้ น เป็นการแสดงออกท่อี าศัยทักษะมาก เพอื่ ใหส้ ามารถแสดงออกอยา่ ง
ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เป็นการตอบสนองโดยไม่ลังเลใจแบบอัตโนมัติ คือใช้เวลาและพลังงานน้อย
ท่ีสดุ
3.6 การดัดแปลงให้เหมาะสม เป็นการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางร่างกาย ทาง
สมอง ใหส้ อดคล้องกับความต้องการในปญั หาแบบใหม่
3.7 การริเริ่มสิ่งใหม่ เป็นการริเริม่ รูปแบบการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ที่เหมาะกับสถานการณเ์ ฉพาะ
อย่างหรอื ปญั หาเฉพาะอย่างโดยไม่เคยทำมาก่อน
Klopfer (n.d. อ้างถึงใน ภพ เลาห ไพบูลย์, 2542, หน้า 99-110) ได้ศึกษาวัตถุประสงค์ทางการศึกษา
ของบลูม แล้วนำมากำหนดเป็นวัตถุประสงคใ์ หเ้ หมาะสมกับการเรยี นการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื ให้ได้ท้ังเนื้อหา
ที่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรยี น ซึ่งวัตถุประสงค์การเรียนการสอน
วทิ ยาศาสตร์ตามแนวของคลอปเฟอร์มดี งั น้ี
1. ความร้แู ละความเข้าใจ ผ้เู รยี นอาจได้รบั มาจากกระบวนการค้นคว้าทางวิทยาศาสตรแ์ บ่งได้เป็นความรู้
วทิ ยาศาสตร์ และความเขา้ ใจวิทยาศาสตร์
1.1 ความรูว้ ทิ ยาศาสตร์ หมายถึง เนื้อหาทีเ่ ป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบ่งเปน็ 9 ประเภท คอื
1.1.1 ความรเู้ กย่ี วกับขอ้ เท็จจรงิ
ขอ้ เท็จจรงิ เปน็ ความจริงเฉพาะทีเ่ ลก็ ที่สดุ ของความรู้ซ่งึ มอี ยู่แล้วในธรรมชาติ สามารถสงั เกตเห็น
ได้โดยตรง และทดสอบซ้ำแลว้ ไดผ้ ลเหมอื นเดิมทกุ ครั้ง
1.1.2 ความรูเ้ กย่ี วกับคำศพั ท์ทางวทิ ยาศาสตร์
คำศพั ทท์ างวิทยาศาสตร์ เป็นคำศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ หรอื คำนิยามศัพท์
1.1.3 ความรเู้ กย่ี วกับมโนมติทางวิทยาศาสตร์
มโนมติหรือความคิดรวบยอด คือ การนำความจริงเฉพาะหลายข้อที่มีความเกี่ยวข้องกันมา
ผสมผสานกันเป็นรปู ใหม่
1.1.4 ความร้เู กี่ยวกบั ข้อตกลง
12
ข้อตกลง หมายถึง ข้อตกลงร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ในการใช้อักษรย่อ สัญลักษณ์ และ
เครอื่ งหมายต่าง ๆ แทนคำพดู เฉพาะ
1.1.5 ความรเู้ กีย่ วกบั แนวโน้มและลำดบั ขั้นตอน
ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างมีการหมนุ เวียนเป็นวัฏจักรเป็นวงจรชีวติ ซงึ่ ทำให้สามารถบอก
ลำดับขั้นตอนของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกตอ้ ง หรือในการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ก็จะมี
ลำดับข้ันตอนเชน่ กัน
1.1.6 ความรูเ้ กยี่ วกบั การจำแนกประเภท จัดประเภทและเกณฑ์
ในการแบง่ สิง่ ตา่ ง ๆ ออกเป็นประเภทน้ัน ตอ้ งมเี กณฑเ์ ปน็ มาตรฐานในการแบ่งผเู้ รียน ต้องบอก
หมวดหมู่ของสิ่งของหรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ ได้ตามที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้ และสามารถจดจำ
ลักษณะหรอื คณุ สมบัตซิ งึ่ ใชเ้ ป็นเกณฑ์ได้
1.1.7 ความร้เู ก่ียวกับเทคนิคและกรรมวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์
เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายใช้กันอยู่มีมากมายหลายวิธี ซึ่งเทคนิคและ
กรรมวธิ ีทางวิทยาศาสตร์นีจ้ ะเนน้ เฉพาะความสามารถที่ผู้เรียนได้เรียนร้เู ท่าน้นั เป็นความรู้ที่ได้รับมาจาก
การบอกเลา่ ของครู หรอื จากการอ่านหนังสอื ไมใ่ ชค่ วามรู้ท่ีไดม้ าจากกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้
1.1.8 ความรเู้ กี่ยวกับหลักการและกฎวิทยาศาสตร์
หลักการ เป็นความจริงท่ีใช้เป็นหลักอ้างอิง ได้จากการนำมโนมติหลายอันท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งกนั
มาผสมผสานกันเป็นรูปใหม่ เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนกฎวิทยาศาสตร์ คือ หลักการที่เน้นใน
เร่อื งความสัมพันธร์ ะหว่างเหตกุ บั ผล
1.1.9 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์
ทฤษฎี หมายถึง ข้อความที่ใช้อธิบายและพยากรณ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นแนวคิดหลักที่ใช้
อธบิ ายไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางในวิชาน้นั ๆ
1.2 ความเข้าใจวทิ ยาศาสตร์ เป็นการใช้ความคิดท่สี ูงกวา่ ความจำ แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื
1.2.1 การนำความรูไ้ ปใช้ในสิ่งใหม่
มีความเข้าใจข้อเท็จจริง วิธีการ กฎเกณฑ์ หลักการและทฤษฎีต่าง ๆ คือ สามารถบรรยายใน
รปู แบบใหม่ท่แี ตกต่างจากรปู แบบทเ่ี คยเรยี นมา
1.2.2 การแปลความหมายของความร้ใู นรปู ของสญั ลกั ษณห์ น่งึ ไปเป็นรปู ของอกี สัญลกั ษณ์หน่ึง
มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแปลความหมายของข้อเทจ็ จริง คำศัพท์ มโนมติ หลักการ และทฤษฎี
ทอ่ี ยใู่ นรูปของสัญลกั ษณ์หนง่ึ ไปเป็นรูปของสัญลกั ษณอ์ ่นื ได้
13
2. กระบวนการสืบเสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ คือ การทผ่ี ้เู รียนได้แสดงพฤตกิ รรมถึงการมีส่วนรว่ มใน
การสืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้สำหรับการศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ
และสร้างสรรค์แนวความคดิ ใหม่ ๆ ข้ึนมา ซึ่งกระบวนการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์มดี ังนี้
2.1 การสังเกตและการวัด การสังเกตเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าไปสำรวจวัตถุหรือ
ปรากฏการณธ์ รรมชาตโิ ดยตรง ซง่ึ ถา้ ใช้การสงั เกตเพียงอยา่ งเดียวก็จะไม่สามารถบอกปรมิ าณทีถ่ ูกต้องแน่นอนได้
ตอ้ งใช้ทง้ั การสงั เกตและการวดั ควบค่กู ันไป
2.2 การมองเห็นปัญหาและหาทางท่ีจะแกป้ ญั หา การสังเกตและการวัดจะช่วยให้ผ้เู รยี นมองเห็นปัญหา
ต่าง ๆ และหาทางท่ีจะแก้ปญั หาน้ัน
2.3 การตคี วามหมายขอ้ มลู และการสร้างขอ้ สรุป ขอ้ มูลทผ่ี ู้เรียนไดจ้ ากการทดลองนัน้ เปน็ การบันทึกผล
ของการสังเกตและการวดั ตา่ ง ๆ ซึ่งขอ้ มลู เหลา่ นัน้ จะต้องถูกจัดกระทำต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธท์ ี่มีคุณค่าสงู ขึน้ ใน
การศึกษาเร่ืองนนั้ ๆ
2.4 การสร้าง ทดสอบ และปรับปรุงแบบจำลองทฤษฎี การศึกษาทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้าไป ทำให้
ได้ข้อสังเกตและความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทั้งหลายเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ได้กฎเกณฑ์ หลักการและ
ขอ้ สรปุ ตา่ ง ๆ มากขน้ึ แตใ่ นบางครั้งหลักการเกี่ยวกับปรากฎการณ์ท่ศี ึกษายงั ไม่ได้กำหนดชัดเจน หรือบางคร้ังผล
การศึกษาคน้ ควา้ ใหม่ขดั กับข้อสรุปเดิม ทำให้ผู้เรียนจำเปน็ ต้องสรา้ งแบบจำลองทฤษฎีท่ีเข้ากนั กับข้อเท็จจริงและ
หลักการต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบข่ายของเรื่องที่ศึกษา แบบจำลองทฤษฎีที่ได้นั้นต้องสามารถที่จะใช้แสดงถึง
ความสมั พันธร์ ะหว่างขอ้ เท็จจรงิ และหลักการเหลา่ นน้ั ได้
3. การนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้นั้น คือ การที่
ผู้เรียนใชค้ วามรู้หรือวิธีการเพื่อจัดการกบั ปัญหาใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่ถ้าเป็นการแก้ปญั หาที่เคยพบหรอื
ทำมาแลว้ จะเปน็ แค่เพยี งความจำไม่ใชก่ ารนำไปใช้ ซ่ึงผู้เรยี นควรฝึกการแกป้ ญั หา 3 ประการดังน้ี
3.1 การนำไปใชแ้ ก้ปญั หาท่ีเปน็ เร่อื งของวทิ ยาศาสตรใ์ นสาขาเดียวกัน
3.2 การนำไปใชแ้ กป้ ัญหาที่เปน็ เรือ่ งของวิทยาศาสตร์สาขาอืน่
3.3 การนำไปใชแ้ ก้ปญั หาท่นี อกเหนอื ไปจากเรื่องของวิทยาศาสตร์
4. ทักษะปฏบิ ตั ิในการใช้เครือ่ งมอื ในการเรยี นการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ผเู้ รยี นตอ้ งทำการทดลองเพ่ือหา
คำตอบของปญั หา จึงจำเปน็ ต้องฝกึ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดม้ ที กั ษะในการใช้เครือ่ งมอื ทางวิทยาศาสตร์ และทักษะในการตดิ ตง้ั
เคร่ืองมือสำหรับการทดลอง เพ่อื ใหเ้ กิดความคล่องแคลว่ ในการปฏิบัติ ไมท่ ำให้เคร่ืองมอื ท่ีใช้ชำรุดเสียหายไม่เป็น
อันตรายตอ่ ตนเองและผ้อู ่ืน
14
5. เจตคติและความสนใจ คือ ต้องการให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเกี่ยวกับเจตคติและความสนใจใน
วิทยาศาสตร์
6. การมีแนวโน้มในทางวิทยาศาสตร์ คือ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความประทับใจในวิทยาศาสตร์ เป็นผู้มี
จิตใจเป็นวทิ ยาศาสตร์ และชักนำใหผ้ ูเ้ รียนมคี วามสนใจในความสมั พนั ธท์ ซ่ี ับซอ้ นระหว่างวิทยาศาสตร์กับสงั คม
Robert M. Gagne and Leslie J. Briggs (n.d. อ้างถึงใน สมนึก ภัททยิ ธนี , 2546, หนา้ 27) ได้จำแนก
ประเภทของจดุ มงุ่ หมายทางการศึกษาไว้ 5 ด้านดงั นี้
1. ทักษะทางปัญญา หมายถึง ความสามารถทางสมองของบุคคลในการเรียนรู้และการคิดในด้านต่าง ๆ
และเปน็ สมรรถภาพทีท่ ำให้บคุ คลสามารถตอบสนองตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม โดยผา่ นทางสัญลักษณท์ เี่ ป็นภาษา ตวั เลขและ
สัญลักษณอ์ ่นื ๆ ซ่ึงทกั ษะทางปัญญาแบ่งออกตามความซับซอ้ นเป็น 5 ประเภท คือ
1.1 การจำแนก คือ ความสามารถในการจำแนกความเหมอื นหรือความตา่ งของสิ่งต่าง ๆ
1.2 มโนทศั น์รูปธรรม คอื ความสามารถในการจดั พวกสิ่งตา่ ง ๆ ตามคุณสมบตั ทิ ี่เหมือนกันได้
1.3 มโนทศั นน์ ิยาม คือ ความสามารถในการสาธติ ความหมายของประเภทของสงิ่ ตา่ ง ๆ หรือเหตกุ ารณ์
ต่าง ๆ หรอื ความสมั พันธต์ ่าง ๆ ได้
1.4 กฎ มนุษย์ทุกคนจำเปน็ ต้องเรียนรู้และปฏิบัตติ ามกฎในสถานการณ์ต่าง ๆ กฎเป็นตัวคอยควบคมุ
เพื่อให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิต ปฏิบัติภารกิจ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น การขับรถยนต์ การ
เลน่ กีฬา การพดู จาส่ือสารกนั เป็นต้น ล้วนแตต่ ้องควบคมุ ดว้ ยกฎทัง้ น้ัน
1.5 การแก้ปัญหา คือ สภาพการณ์ที่ผู้เรียนค้นพบการใช้กฎต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาก่อนร่วมกันในการ
แกป้ ญั หาท่ีเปน็ ปญั หาใหม่ เรียกได้ว่า เป็นการใช้กฎทซ่ี บั ซ้อน การแกป้ ญั หาไมไ่ ดห้ มายถึง การนำเอากฎที่ได้เรียนรู้
มาก่อนมาใช้ แต่เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ เมื่อผู้เรียนเผชิญกับปัญหา เขาระลึกกฎต่าง ๆ
ทเี่ รียนรมู้ าก่อน เพอื่ หาทางแกป้ ัญหา เขาอาจตัง้ สมมติฐานจำนวนหน่ึงและทคสอบสมมติฐานเหล่านน้ั เมือ่ สามารถ
แก้ปัญหาได้ โดยใชก้ ฎตา่ ง ๆ ร่วมกัน เขาจะเกดิ การเรยี นรสู้ ิ่งใหม่ นั่นคอื ได้กฎใหม่ หรือชุดของกฎใหม่ อาจเป็นกฎ
ทซ่ี ับซอ้ นมากขึ้น
2. ยุทธศาสตร์ทางความคิด คือทักษะทางปัญญาชนิดพิเศษ ซึ่งมีความสำคัญมาก เป็นสมรรถภาพที่
ควบคุมการเรียนรู้ ความตั้งใจ การจำ และพฤติกรรมการคิดของบุคคล เป็นกระบวนการทำงานภายในสมอง
ทักษะนี้จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการคดิ ของผู้เรียนและแตกต่างจากทักษะทางปัญญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดลอ้ ม
ภายนอกคือต้องมีสิ่งภายนอกเป็นสื่อ เช่น การฝึกให้เขียนประโยค เขียนกราฟ การแก้สมการทางคณิตศาสตร์
เป็นต้น แต่ในบางขณะการฝึกดังกล่าว นักเรียนบางคนอาจจะใช้กระบวนการคิดที่ต่างจากครูสอน หรือใช้
กระบวนการคิดพเิ ศษซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตวั ส่งิ เหลา่ นค้ี อื ยทุ ธศาสตรท์ างความคิด
15
3. สารสนเทศ มนุษย์ทุกคนเรียนรู้สารสนเทศ หรือข้อมูลความรู้จำนวนมหาศาลและสั่งสมไว้ในสมอง
ทั้งจากโรงเรียนหรือภายนอกโรงเรียน เช่น จากการอ่านหนังสือ ตำรา หนังสือพิมพ์ ฟังรายการวิทยุ ดูโทรทัศน์
ใชร้ ะบบสบื ค้นด้วยคอมพิวเตอร์ เปน็ ต้น ซ่งึ การเรียนรเู้ กี่ยวกบั สารสนเทศมี 3 ประเภทดังนี้
3.1 การเรียนรูช้ อื่ หมายถึง ความสามารถในการจดจำช่อื และบอกชื่อได้
3.2 การเรียนรู้ข้อเท็จจริง หมายถึง การจดจำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริง ก็คือ ข้อความที่แสดง
ความสมั พันธร์ ะหวา่ งชื่อของสิ่งตา่ ง ๆ หรอื เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ
3.3 การเรียนรู้เรื่องราว หมายถึง การเรียนรู้สาระของเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งก็คือความเชื่อมโยงของ
ขอ้ เท็จจรงิ ท่ไี ดจ้ ดั ระบบไว้แลว้
4. ทักษะการเคล่ือนไหว หมายถงึ ความชำนาญในการเคลอ่ื นไหวกลา้ มเนื้อหรอื การใช้อวัยวะสว่ นต่าง ๆ
ของร่างกายในการทำกิจกรรมตา่ ง ๆ การประสานงานของกล้ามเนือ้ และประสาทดา้ นตา่ ง ๆ
5. เจตคติ หมายถงึ ความร้สู กึ ทีม่ ีตอ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ตอ่ บคุ คล และต่อสถานการณ์ โรงเรยี นควรสรา้ งเจตคตดิ ้าน
การนับถอื บคุ คลอ่ืน การร่วมมอื กัน การรบั ผิดชอบ และเจตคติที่ดตี ่อการเรียนรู้ ตอ่ วิชา ต่อสังคม
จากการทนี่ กั การศกึ ษาได้จำแนกวัตถุประสงค์ทางการศกึ ษา สามารถสรปุ ได้ว่า การวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรยี นวทิ ยาศาสตรน์ ัน้ เปน็ การวัด 3 ดา้ น คือ ดา้ นพุทธิพสิ ัย ด้านเจตพิสยั และด้านทกั ษะพสิ ัย ซ่ึงในงานวิจัยครั้งน้ี
ผู้วิจัยได้ทำการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์ในด้านพุทธิพิสัย (ด้านความรู้) ตามแนวคิดของบลูม 6 ด้าน คือ
ด้านความรู้ความจำ ดา้ นความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ ด้านการวเิ คราะห์ ด้านการสังเคราะห์ และดา้ นการประเมิน
ค่า เน่อื งจากการจำแนกวัตถุประสงคท์ างการศกึ ษาของบลูมในดา้ นพุทธพิ ิสัยไดแ้ บ่งเป็นดา้ นท่ชี ัดเจน ผู้วจิ ัยจึงเห็น
ว่าเหมาะท่จี ะนำมาใช้ในงานวิจัยครงั้ น้ี
2.4.3 ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
พิชติ ฤทธ์จิ รูญ (2548, หน้า 96) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์วิ า่ หมายถึง แบบทดสอบ
ทีใ่ ช้วดั ความรู้ ทกั ษะ และความสามารถทางวิชาการท่ีผ้เู รียนได้เรียนรูม้ าแล้ว ว่าบรรลผุ ลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่
กำหนดไว้เพยี งใด
สมนึก ภัททิยธนี (2546, หน้า 73) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง
แบบทดสอบท่วี ดั สมรรถภาพสมองดา้ นต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รบั การเรยี นรู้ผา่ นมาแล้ว
ศิริชัย กาญจนวาสี (2552, หน้า 165) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง
เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผลสัมฤทธ์ิของการเรียนรู้ของผู้เรยี นตามเป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ ทำให้ผู้สอนทราบว่า
ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาความรู้ ความสามารถถึงระดับมาตรฐานที่ผู้สอนกำาหนดไวห้ รอื ยงั หรือมคี วามรู้ความสามารถถึง
ระดบั ใด หรอื มคี วามรู้ความสามารถดีเพียงไร เม่ือเปรยี บเทยี บกบั เพอื่ น ๆ ท่เี รียนด้วยกัน
16
ชนินทร์ชัย อนิ ทริ าภรณ์ และสวุ ิทย์ หิรณั ยกาณฑ์ (2548, หน้า 5) ไดใ้ ห้ความหมายของแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธ์ิ วา่ หมายถงึ แบบทจ่ี ัดไว้เพ่ือทดสอบความรู้ ทักษะ ทศั นกติ และความสามารถอื่น
ชวาล แพรัตกุล (2552, หน้า 74) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง
แบบทดสอบท่ีวัดความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่เี ดก็ ไดร้ บั จากประสบการณ์ทั้งปวง ทั้งจากทาง
โรงเรียนและทางบ้าน
ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2541, หนา้ 146-147) ได้ใหค้ วามหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์
ว่าหมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมักจะเป็นข้อคำถามให้นักเรียนตอบด้วย
กระดาษและดนิ สอ (Paper and pencil test) กบั ให้นักเรียนปฏิบตั จิ รงิ (Performance test)
บุญชม ศรีสะอาด (2545, หน้า 53) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้วดั ความรู้ความสามารถของบุคคลในค้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหา สาระ และ
ตามจุดประสงคข์ องวชิ า หรอื เนือ้ หาทีส่ อนนน้ั โดยท่วั ไปจะวัดผลสมั ฤทธใิ์ นวชิ าต่าง ๆ ท่เี รียนในโรงเรียน วิทยาลัย
มหาวทิ ยาลัย หรอื สถาบันการศึกษาตา่ ง ๆ
จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้และทักษะความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนเคยเรียนรู้มาแล้ว ซึ่งในงานวิจัยครั้งนี้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จะหมายถึงเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์ เรื่อง ไฟฟ้าและ
สนามแม่เหล็ก ในวิชา ฟิสิกส์ไฟฟ้า ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งวัดพฤติกรรม 6 ด้านตามการ
จำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาของบลูม ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การ
สงั เคราะห์ และการประเมนิ ค่า โดยพจิ ารณาให้ครอบคลุมตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
2.4.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2548, หน้า 96) ไดส้ รุปประเภทของแบบทคสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ไว้ 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทคสอบที่มุ่งวัดวัคผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่ครู
สอน เปน็ แบบทคสอบทคี่ รูสร้างข้นึ ใช้กนั โดยทว่ั ไปในสถานศกึ ษา มลี กั ษณะเป็นแบบทดสอบขอ้ เขยี น ซึง่ แบ่งได้อีก
2 ชนดิ คือ
1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาให้ แล้วให้ผู้ตอบเขียน
โดยแสดงความรู้ ความคิด และเจตคติได้อยา่ งเตม็ ท่ี
1.2 แบบทดสอบปรนยั หรอื แบบให้ตอบส้ัน ๆ เปน็ แบบทดสอบท่กี ำหนดใหผ้ ตู้ อบเขียนตอบส้ัน ๆ
หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ผ้ตู อบไม่มโี อกาสแสดงความรู้ ความคิดได้อยา่ งกวา้ งขวางเหมือน
17
แบบทสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้ แบ่งออกเปน็ 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบเติมคำ
แบบทคสอบจับคู่ แบบทดสอบเลือกตอบ
2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่ว ๆ ไป ซึ่งสร้างโดย
ผู้เชี่ยวชาญ มกี ารวิเคราะห์และปรบั ปรุงอย่างดีจนมีคณุ ภาพและมมี าตรฐาน
ศิริชัย กาญจนวาสี (2552, หน้า 167-169) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้หลาย
ลักษณะขน้ึ อยู่กับเกณฑ์ทใ่ี ชใ้ นการจำแนก ดังน้ี
1. จำแนกตามผสู้ ร้าง
1.1 แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นด้วยกระบวนการมาตรฐานโดยสำนัก
ทดสอบ หรือบริษัทสร้างแบบทดสอบซึ่งมักออกแบบให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระอย่างกว้าง ๆ ที่สอนใน
หลักสูตรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้ได้กับสถาบันการศึกษาทั่ว ๆ ไป โดยทั่วไปมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน
สำหรับการให้บริการ การดำเนินการสอบ การตรวจให้คะแนน การแปลผลเปรียบเทียบกับบรรทัดฐาน
ระดบั ชาติ การรายงานผล และการรายงานคุณภาพของแบบทดสอบ
1.2 แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้าง เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอนเป็นคนสร้างขึ้นมาใช้เอง จึงมักเป็น
แบบทดสอบที่ครอบคลุมเน้ือหาเฉพาะตามหลักสตู รของสถาบันใดสถาบนั หนึ่ง การตรวจให้คะแนนและ
การแปลผลจึงมักทำการเปรียบเทียบผลเฉพาะกลุ่มที่สอบด้วยกัน หรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ผู้สอน
กำหนดไว้เฉพาะ
2. จำแนกตามเนอื้ หาวิชา
แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์สามารถใช้กับวิชาต่าง ๆ ได้ จึงอาจจำแนกแบบสอบตามชื่อเนื้อหาวิชา
เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์
แคลคูลัส สถิตศิ าสตร์ วิจัยทางสงั คมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้
3. จำแนกตามการใช้
3.1 แบบทดสอบความพร้อม เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดทักษะพ้ืนฐานที่จำเป็นสำหรับการเรยี นรู้
วิชา/ บทเรียน/ หน่วยการเรียน เพื่อพิจารณาว่าผู้เรียนมีพื้นฐานเพียงพอหรือไม่ จะได้ทบทวนหรือ
ปูพื้นฐานที่จำเป็นก่อนเรมิ่ เรยี นวิชา/ บทเรยี น/ หน่วยการเรียนนนั้
3.2 แบบทดสอบวินิจฉัย เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดจดุ เด่นจุดด้อยของทักษะการเรียนรู้สำคัญอัน
เป็นปัญหาของผู้เรียน แบบทดสอบมุ่งตรวจสอบกลไก องค์ประกอบย่อย ๆ ที่ครอบคลุมกระบวนการ
สำคัญของทักษะที่เป็นเป้าหมายของการเรียนรู้ เพื่อระบุว่าผู้เรียนมีปัญหาของการเรียนรู้ตรงจุดไหน
อนั จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การปรบั ปรุงแกไ้ ขและสอนซ่อมเสรมิ
18
3.3 แบบทดสอบสมรรถภาพ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดว่าผู้สอบมีสมรรถนะถึงระดับที่เหมาะสม
หรือยัง เพื่อใช้เป็นเครื่องบ่งขี้ถึงระดับความสามารถสำหรับการคัดเลือกหรือให้สิทธิบางประการ เช่น
การสอบใบขับขร่ี ถยนต์ การสอบความสามารถทางภาษา การสอบความสามารถทางคอมพวิ เตอรเ์ บ้ืองต้น
เป็นต้น
3.4 แบบทดสอบเชิงสำรวจ เป็นแบบทดสอบที่ใช้สำรวจวัดระดับความรู้เชิงสรุปทั่วไปของ
นกั เรยี นหรือนิสิตนักศกึ ษาในสาขาวิชาเฉพาะ แบบทดสอบจึงควรครอบคลุมเนอื้ หาท่ัวไปที่สุ่มได้จากมวล
เนือ้ หาอยา่ งกว้างขวาง เพ่อื ทดสอบผลการเรียนรทู้ วั่ ไป เช่น แบบทดสอบปลายภาคเรียน เปน็ ตน้
4. จำแนกตามการแปลผล
4.1 แบบทดสอบอิงกลุ่ม เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง
ความรู้ ความสามารถของผู้สอบ ข้อสอบอิงกลุ่มจึงถูกสร้างและเลือกมาใช้เพื่อทำหน้าที่จำแนกระดับ
ความสามารถของผู้สอบที่แตกต่างกัน คะแนนสอบที่ได้จึงนำไปใช้แปลความหมายโดยการเปรียบเทียบ
ความรู้ ความสามารถระหวา่ งกลุ่มผ้สู อบดว้ ยกันเอง
4.2 แบบทดสอนอิงเกณฑ์ เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนว่ามีความรู้
ความสามารถอะไรบ้าง ข้อสอบอิงเกณฑ์ถูกสร้างให้ครอบคลุมความรู้ หรือทักษะสำคัญของการเรียนร้ทู ่ี
ตอ้ งการให้เกดิ ข้ึน คะแนนสอบทไ่ี ดจ้ งึ แปลผลโดยการเปรียบเทยี บกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่กี ำหนดไว้
5. จำแนกตามรูปแบบการตอบ
5.1 แบบทดสอบประเภทเสนอคำตอบ
5.1.1 แบบทดสอบความเรยี ง
- แบบทดสอบความเรยี งไมจ่ ำกดั คำตอบ
- แบบทดสอบความเรยี งจำกัดคำตอบ
5.1.2 แบบทดสอบแบบตอบสน้ั
5.1.3 แบบทดสอบแบบเติมคำ
5.2 แบบทดสอบประเภทเลือกคำตอบ
5.2.1 แบบทดสอบแบบถกู -ผดิ
5.2.2 แบบทดสอบแบบจับคู่
5.2.3 แบบทดสอบแบบหลายตัวเลอื ก
ชวาล แพรตั กุล (2552, หน้า 74-75) ได้สรปุ ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิไ์ ว้ 2 ประเภท คือ
19
1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ข้อสอบ ข้อปัญหา และ โจทย์ข้อค้าถามต่าง ๆ ที่ครูสร้างขึ้นใช้เอง
ขอ้ สอบชนิดนีค้ รูสามารถพลิกแพลงให้เหมาะสมกับสภาพและเหตกุ ารณไ์ ด้ และใชเ้ ป็นเครื่องมอื วัดพ้ืนฐานความรู้
เดิม วัดความงอกงามในการเรียนการสอน วัดดูความบกพร่องเพื่อจัดสอนซ่อมแซม วัดดูความพร้อมที่จะขึ้น
บทเรียนใหม่ เป็นต้น
2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นด้วยกระบวนการมาตรฐานซึ่งมาตรฐานตรง
วิธีดำเนนิ การและวธิ ีการแปลคะแนน
สมนึก ภัททยิ ธนี (2546, หน้า 73-97) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น
2 ประเภท คือ 1) แบบทคสอบที่ครูสร้าง และ 2) แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนประเภทท่คี รูสรา้ งมีหลายรปู แบบ แต่ท่ีนิยมใชม้ ี 6 แบบคือ
1. ข้อสอบแบบอตั นัยหรอื ความเรียง
2. ขอ้ สอบแบบกาถกู -ผิด
3. ข้อสอบแบบเติมคำ
1. ข้อสอบแบบตอบสนั้ ๆ
5. ข้อสอบแบบจบั คู่
6. ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2545, หน้า 53) ไดจ้ ำแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น 2
ประเภทคือ
1. แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทคสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนน
จุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับใช้ตัดสนิ ว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑท์ ี่กำหนดหรอื ไม่ การวัดตรงตามจุดประสงค์
เปน็ หวั ใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้
2. แบบทดสอบอิงกลุม่ หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลกั สูตรจึงสร้างตามตาราง
วิเคราะหห์ ลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเกง่ ออ่ นได้ดี เป็นหวั ใจของข้อสอบในแบบทดสอบ
ประเกทน้ี การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซงึ่ เป็นคะแนนทสี่ ามารถให้ความหมายแสดงถึงคุณภาพ
ความสามารถของบคุ คลน้ันเม่อื เปรยี บเทยี บกับบคุ คลอน่ื ๆ ทใี่ ช้เป็นกลุ่มเปรยี บเทยี บ
สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ ความสามารถทางวิชาการ
ที่ผู้เรียนเคยเรียนมาแล้ว ซึ่งมีทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองและแบบทดสอบมาตรฐานที่สร้างโคยผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งในงานวจิ ัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ทำการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นฟิสิกส์ในด้านพุทธิพิสัย (ด้านความรู้) ตามแนวคิด
ของบลูม 6 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความจำ ด้านความเขา้ ใจ ด้านการนำไปใช้ ดา้ นการวิเคราะห์ ดา้ นการสงั เคราะห์
20
และด้านการประเมินค่า ในวิชาฟิสิกส์ไฟฟ้า ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าและแม่เหล็ก ดังนั้น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงหมายถึง เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์ ในเนื้อหาเรื่อง
ไฟฟ้าและแม่เหล็ก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวนทั้งหมด 20 ข้อ ซึ่งวัดพฤติกรรมทั้งหมด 6 ด้านตามแนวคิดของบลมู
ได้แก่ ด้านความรู้ความจำ ด้านความเขา้ ใจ ด้านการนำไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการสังเคราะห์ และด้านการ
ประเมินคา่ โดยพิจารณาใหส้ อดคล้องและครอบคลุมกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เรอื่ ง ไฟฟา้ และสนามแมเ่ หล็ก
2.5 ความพงึ พอใจ
ไพบูลย์ ช่างเรียน (2516. หน้า 146-147 อ้างอิงมาจาก นริษา นราศรี 2544. หน้า 28) ได้กล่าวถึง
ความหมายของความพงึ พอใจสรุปไดว้ า่ ความพงึ พอใจเป็นความตอ้ งการทางรา่ งกาย มีความรนุ แรงในตวั บุคคล ใน
การร่วมกจิ กรรมเพ่ือสนองความตอ้ งการทางร่างกายเป็นผลทำใหเ้ กดิ ความพึงพอใจแลว้ จะรสู้ กึ ตอ้ งการความมั่นคง
ปลอดภยั เมอ่ื บคุ คลได้รบั การตอบสนองความต้องการทางร่างกายและความต้องการความมนั่ คง แล้วบุคคลจะเกิด
ความผกู พนั มากข้นึ เพ่อื ใหเ้ ปน็ ท่ยี อมรบั วา่ ตนเป็นส่วนหนึง่ ของกลมุ่
อทุ ัย หิรญั โต(2523. หนา้ 272 อ้างอิงมาจาก นรษิ า นราศร๒ี ๕๔๔. หนา้ ๒๘) ไดใ้ ห้ความหมายของความ
พึงพอใจไวว้ า่ “ ความพงึ พอใจเป็นสิ่งทีท่ ำให้ทุกคนเกิดความสบายใจเนอื่ งจากสามารถตองสนองความต้องการของ
เขา ทำให้เขาเกิดความสขุ ”
กิตมิ า ปรีดดี ิลก(2524. หนา้ 278-279) ไดร้ วบรวมความหมายของความพึงพอใจในการทำงานดังนี้
1. ความพึงพอใจในการทำงานตามแนวคิดของคาร์เตอร์ (Carter) หมายถึง คุณภาพ สภาพหรือระดับ
ความพงึ พอใจของบคุ คลซงึ่ เปน็ ผลมาจากความสนใจและทัศนคติของบุคคลทม่ี ีต่อคณุ ภาพและสภาพของงานน้นั ๆ
2. ความพึงพอใจในการทำงานตามแนวคิดของเบนจามนิ (Benjamin) หมายถึง ความรู้สกึ ทมี่ ีความสุขเม่ือ
ไดร้ ับผลสำเรจ็ ตามความม่งุ หมาย ความต้องการหรอื แรงจงู ใจ
3. ความพึงพอใจในการทำงานตามแนวคิดของเอร์เนสท์ (Ernest) และโจเซพ (Joseph) หมายถึงสภาพ
ความตอ้ งการตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ัติหนา้ ทีก่ ารงานแลว้ ได้รับการตอบสนอง
4. ความพงึ พอใจตามแนวคิดของจอรจ์ (George) และเลโอนารด์ (Leonard) หมายถึง ความรสู้ กึ พอใจใน
งานที่ทำและเต็มใจที่จะปฏิบัตงิ านนัน้ ให้บรรลวุ ัตถุประสงค์หรือตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน (2525. หนา้
577-578) ความหมายจากพจนานุกรมฉบับบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายว่า
พอใจ หมายถึง สมใจ ชอบใจ เหมาะ
พึงใจ หมายถงึ พอใจ ชอบใจ
21
ธงชัย สนั ติวงษ์ (2533. หน้า 359) กลา่ ววา่ ถ้าบุคคลหนง่ึ ได้มองเห็นชอ่ งทางหรอื โอกาสจะสามารถสนอง
แรงจงู ใจทตี่ นมีอยแู่ ล้ว กจ็ ะทำให้ความพึงพอใจของเขาดีขึน้ หรืออย่ใู นระดบั สูง
สมศกั ดิ์ คงเทีย่ ง และอญั ชลี โพธ์ทิ อง (2542. หน้า 278-279) กล่าววา่
1. ความพงึ พอใจเปน็ ผลรวมของความรสู้ ึกของบุคคลเกีย่ วกบั ระดับความชอบหรอื ไม่ชอบตอ่ สภาพต่าง ๆ
2. ความพงึ พอใจเปน็ ผลของทศั นคตทิ เี่ ก่ียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ
3. ความพึงพอใจในการทำงานเปน็ ผลมาจากการปฏิบัตงิ านที่ดี และสำเร็จจนเกิดเป็นความภมู ิใจ และได้
ผลตอบแทนในรูปแบบตา่ ง ๆ ตามทห่ี วงั ไว้
กลิ เมอร์(Gilmer, 1966.p. 80) ได้ให้ความหมายวา่ ความพึงพอใจในการทำงานเป็นทัศนคติของบุคคลที่มี
ตอ่ ปจั จยั ต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การดำรงชีวิตโดยท่วั ไปทีไ่ ดร้ ับมา
ไพรซ์ และมูลเลอร์(Price and Muller, 1986. P.215) ให้ทัศนะว่าความพึงพอใจในงานคือ ระดับของ
ความรสู้ กึ ในทางบวกหรือในทางที่ดขี องพนกั งานหรือลกู จา้ งตอ่ งาน
จากความคดิ เหน็ ของนักวิชาการไดก้ ล่าวถงึ สิ่งที่สร้างความพึงพอใจสรุปได้ว่าความพึงพอใจจะทำให้บุคคล
เกดิ ความสบายใจหรือสนองความตอ้ งการ ทำใหเ้ กิดความสขุ เป็นผลดีตอ่ การปฏบิ ัติงาน
สมพงศ์ เกษมสิน (2518. หน้า 298 อ้างอิงมาจาก นริษา นราศรี 2544. หน้า 28) บุคคลจะเกิดความพงึ
พอใจได้น้ันจะต้องมกี ารจงู ใจ ได้กล่าวถงึ การจูงใจว่า “การจูงใจเป็นการชักจูงให้ผู้อื่นปฏบิ ตั ิตาม โดยมีมลู เหตคุ วาม
ตอ้ งการ 2 ประการ คือ ความตอ้ งการทางรา่ งกาย และความต้องการทางจติ ใจ”
นฤมล มีชัย (2535. หนา้ 15) กล่าววา่ ความพงึ พอใจเป็นความรู้สึกหรือเจตคตทิ ่ีดีตอ่ การปฏิบัติงานตาม
ภาระหนา้ ท่แี ละความรับผิดชอบนั้น ๆ ดว้ ยใจรัก มคี วามกระตอื รือร้นในการทำงาน พยายามต้ังใจทำงานให้บรรลุ
เป้าหมาย และมปี ระสิทธิภาพสูงสดุ มีความสขุ กบั งานท่ที ำและมีความพอใจเมอ่ื งานน้นั ได้ผลประโยชน์ตอบแทน
จรูญ ทองถาวร (2536. หน้า 222-224 อ้างอิงมาจาก นริษา นราศรี 2544. หน้า 28) ได้กล่าวถึงความ
ต้องการพื้นฐานของมนุษย์ โดยได้สรุปเนื้อความมาจากแนวคิดของมาสโลว์(Maslow) สรุปได้ว่า ความต้องการ
พนื้ ฐานของมนษุ ยแ์ บ่งเป็น 5 ระดับดังน้ี
1. ความตอ้ งการทางร่างกาย เป็นความตอ้ งการพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ ความต้องการอาหาร เครอ่ื งนงุ่ หม่ ท่ีอยู่
อาศัย และยารกั ษาโรค
2. ความต้องการมั่นคงและปลอดภัย ได้แก่ ความต้องการมีความเป็นอยู่อย่างมั่นคงมีความปลอดภัยใน
ร่างกายและทรัพยส์ ินมีความมน่ั คงในการทำงาน และมชี ีวิตอยู่อยา่ งมน่ั คงในสงั คม
3. ความต้องการทางสังคม ได้แก่ ความตอ้ งการความรัก ความต้องการเปน็ สว่ นหน่ึงของสงั คม
4. ความตอ้ งการเกียรติยศชื่อเสยี ง ได้แก่ ความภูมิใจ การไดร้ บั ความยกยอ่ งจากบุคคลอ่ืน
22
5. ความต้องการความสำเร็จแหง่ ตน เป็นความต้องการระดบั สงู สดุ เปน็ ความตอ้ งการระดับสงู เป็นความ
ตอ้ งการทอี่ ยากจะใหเ้ กดิ ความสำเรจ็ ทกุ อย่างตามความคดิ ของตน
สเต้าส์และเชเลย์ (Srauss and Sayles, 1960. P. 119-121) กล่าววา่ ความรู้สกึ พอใจในงานท่ีทำและเต็ม
ใจที่จะปฏิบัติงานนั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร คนที่จะพอใจในงานที่ทำเม่ืองานนั้นให้ผลประโยชน์ตอบ
แทนดา้ นวตั ถแุ ละจติ ใจ ซงึ่ สามารถสนองความต้องการข้นั พ้ืนฐานของเขาได้
โวแมน (Wolman, 1973. p. 95) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจคือความรู้สึกมี
ความสขุ เมือ่ ไดร้ บั ผลสำเร็จตามความมงุ่ หมายต้องการหรอื แรงจูงใจ
การวัดความพงึ พอใจ
หทัยรัตน์ ประทุมสูตร (2542. หน้า 14) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบได้กับ
ความเข้าใจทั่ว ๆ ไป ซึ่งปกติจะวัดได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะถาม มีเครื่องมือที่ต้องการจะใช้ใน
การวิจัยหลาย ๆ อย่าง อย่างไรกด็ ีถึงแมว้ ่าจะมกี ารวัดอยูห่ ลายแนวทางแตก่ ารศึกษาความพงึ พอใจ อาจแยกตาม
แนวทางวดั ได้สองแนวคดิ ตามความคิดเห็นของ ซาลซี นคิ ค์ คริสเทนส์ กลา่ วคอื
1. วัดจากสภาพทั้งหมดของแต่ละบุคคล เช่น ท่ีทำงาน ที่บ้านและทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
การศกึ ษาตามแนวทางน้จี ะได้ขอ้ มลู ท่สี มบรู ณ์ แตท่ ำใหเ้ กิดความยงุ่ ยากกับการท่จี ะวัดและเปรยี บเทียบ
2. วัดไดโ้ ดยแยกออกเปน็ องค์ประกอบ เชน่ องคป์ ระกอบทีเ่ ก่ียวกบั งาน การนิเทศงานเกยี่ วกับนายจา้ ง
23
บทท่ี 3
วธิ กี ารดำเนนิ งาน
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต สำหรับ
นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5/2 ผู้วิจัยไดด้ ำเนนิ การดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี
1. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
2. เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
3. วิธดี ำเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4. การวเิ คราะห์ข้อมูล
5. สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-
คณิตศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญว่ ิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน
3 หอ้ งเรียน รวม 73 คน
2. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5/2 แผนการเรยี นวทิ ยาศาสตร์-
คณติ ศาสตร์ โรงเรยี นคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวดั ตราด ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน
24 คน ซ่งึ ไดม้ าจากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกล่มุ ตวั อย่างไดร้ บั การจัดการเรียนรู้ เรื่อง
ไฟฟ้าสถติ โดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์
2. เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย
1. Google slides เร่อื ง ไฟฟ้าสถติ ทน่ี ำเสนอผา่ นเวบ็ ไซต์ (Google sites)
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรอื่ ง ไฟฟา้ สถติ จำนวน 20 ข้อ
3. แบบวัดความพึงพอใจในการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต สำหรับ
นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5/2 มรี ายละเอียดดงั นี้
3.1) แบบประเมินแบบ Rating scale เรื่อง ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ภาค
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการจัดการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถติ โดย
แบง่ คา่ ระดบั คะแนนออกเป็น 5 ระดับ คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยทส่ี ดุ ดงั น้ี
24
4.6 – 5 คะแนน หมายถึง ระดบั ความพึงพอใจอยู่ในระดบั “มากทีส่ ดุ ”
3.6 – 4.5 คะแนน หมายถงึ ระดับความพงึ พอใจอยใู่ นระดับ “มาก”
2.6 – 3.5 คะแนน หมายถงึ ระดบั ความพึงพอใจอยู่ในระดับ “ปานกลาง”
1.6 – 2.5 คะแนน หมายถงึ ระดบั ความพงึ พอใจอยู่ในระดบั “น้อย”
0 – 1.5 คะแนน หมายถงึ ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดบั “น้อยทส่ี ุด”
3.2) แบบประเมนิ แบบปลายเปดิ
3. วธิ ดี ำเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล
1. แนะนำขั้นตอนการทำกจิ กรรมและบทบาทของนักเรยี นในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
2. ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เรื่อง ไฟฟ้าสถิต โดยใช้ Google
slides ผา่ นทางเว็บไซต์
3. ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทาง
เว็บไซต์ เรอื่ ง ไฟฟ้าสถิต
4. นำผลคะแนนทีไ่ ด้จากการตรวจแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง ไฟฟ้าสถิต มาวิเคราะห์
โดยวิธีการทางสถติ ิ
4. การวิเคราะหข์ ้อมูล
1. วเิ คราะหข์ ้อมลู เพ่ือเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นฟสิ ิกส์ของนกั เรยี น ก่อนเรยี นและหลังเรียน
2. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง
ไฟฟา้ สถติ
5. สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู
5.1 หาค่าเฉล่ียของคะแนน ( x ) โดยใช้สูตร (สมบตั ิ ท้ายเรือคำ, 2555, หน้า 128)
x = x
n
เมือ่ x แทน คา่ เฉลีย่ ของคะแนน
x แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด
n แทน จำนวนนกั เรยี นในกลุ่มตัวอย่าง
25
5.2 หาความเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้สตู ร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543, หนา้ 307)
S.D. = Nx2 − (x)2
N(N − 1)
เม่ือ S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละด้านยกกำลังสอง
(x)2 แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดยกกำลงั สอง
N แทน จำนวนนกั เรยี นในกลุ่มตวั อยา่ ง
26
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์
เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต สำหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/2 ผู้วิจยั ไดน้ ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยแบ่งออกเป็น
2 ข้อ ดังน้ี
1. การวเิ คราะหข์ อ้ มูลเพือ่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นฟิสิกส์ของนกั เรียน ก่อนเรยี นและหลังเรียน
2. การศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นในการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรือ่ ง
ไฟฟา้ สถิต
4.1 การวเิ คราะหข์ ้อมลู เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนฟสิ กิ ส์ของนักเรยี น ก่อนเรียนและหลังเรยี น
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลปรากฏดังตารางท่ี 4.1
ตารางที่ 4.1 ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นฟสิ กิ สข์ องนักเรียน กอ่ นเรียนและหลังเรยี น
การทดสอบ n คะแนนเตม็ x S.D.
กอ่ นเรียน 1.76
24 20 4.63
หลงั เรยี น 24 20 16.08 2.12
จากตารางที่ 4.1 พบว่า ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนที่ไดร้ ับการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ไฟฟา้
สถิต โดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.63 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 1.76 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.08 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.12 แสดงให้เห็นว่า
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรอ่ื ง ไฟฟา้ สถติ โดยใช้ Google slides ผ่าน
ทางเว็บไซต์ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี น
4.2 การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง
ไฟฟา้ สถติ
ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจปรากฏดังตารางท่ี 4.2 และมีเกณฑก์ ารประเมินดงั นี้
คา่ เฉล่ยี 4.50 – 5.00 หมายถึง มากท่ีสดุ
ค่าเฉลยี่ 3.50 – 4.49 หมายถงึ มาก
27
ค่าเฉลีย่ 2.50 – 3.49 หมายถงึ ปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง น้อย
คา่ เฉลีย่ 0.01 – 1.49 หมายถึง น้อยที่สุด
ตารางที่ 4.2 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรียนในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์
เรื่อง ไฟฟา้ สถติ
ขอ้ ท่ี หัวขอ้ การประเมนิ x S.D. ระดบั คณุ ภาพ
1 เน้ือหามคี วามสมบูรณ์ ถกู ต้องตามหลกั วชิ าการ และทันสมยั 4.21 0.83 มาก
2 การจัดลำดบั ขัน้ การนำเสนอเนื้อหาที่เหมาะสมเข้าใจงา่ ย 3.92 0.65 มาก
3 ภาษาทใี่ ชส้ ่ือความหมายและเขา้ ใจไดง้ ่าย 4.21 0.59 มาก
4 มีวธิ กี ารใชง้ าน การเก็บ การบำรุงรกั ษาไดส้ ะดวก 4.38 0.65 มาก
5 มีความนา่ สนใจ สามารถเขา้ ถึงได้ง่าย 4.38 0.65 มาก
6 ภาพรวมในการใช้ Google slides ในการจดั การเรียน 4.21 0.66 มาก
การสอน
รวม 4.22 0.08 มาก
จากตารางที่ 4.2 พบว่า ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้ Google
slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต มีวิธีการใช้งาน การเก็บ การบำรุงรักษาได้สะดวก มีความน่าสนใจ
สามารถเข้าถึงได้งา่ ย มีค่าเฉลี่ยมากที่สดุ คือ 4.38 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65 ส่วนการจดั ลำดับขั้นการนำเสนอ
เนื้อหาที่เหมาะสมเข้าใจง่าย มคี า่ เฉลี่ยน้อยทส่ี ดุ 3.92 ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.65
โดยภาพรวมผลการศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นในการเรยี นการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทาง
เว็บไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถติ มีระดบั ความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ซ่ึงมีค่าเฉล่ีย 4.22 ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.08
28
บทที่ 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจยั เร่ือง การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรือ่ ง ไฟฟา้ สถติ
สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5/2 มวี ัตถปุ ระสงค์ คอื 1) เพอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้โดยใช้
Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ประชากรที่ใช้ในการวจิ ัย
ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม
อำเภอคลองใหญ่ จังหวดั ตราด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 3 หอ้ งเรยี น รวม 73 คน กลุ่มตัวอย่างที่
ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5/2 แผนการเรยี นวทิ ยาศาสตร์-คณติ ศาสตร์ โรงเรียนคลอง
ใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาจากการ
เลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกลุ่มตัวอย่างไดร้ ับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ไฟฟา้ สถิต โดย
ใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์
เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) Google slides เรื่อง ไฟฟา้ สถิต ท่ีนำเสนอผา่ นเว็บไซต์ (Google
sites) 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื ง ไฟฟา้ สถิต จำนวน 20 ขอ้ 3) แบบวดั ความพึงพอใจในการ
เรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะหข์ ้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ( x ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
สรุปผลการวจิ ัยไดด้ งั นี้
5.1 สรุปผลการวจิ ยั
1. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียนทไ่ี ดร้ ับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ Google slides ผ่านทาง
เวบ็ ไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น
2. ความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้า
สถติ มีระดับความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก ซง่ึ มคี ่าเฉล่ีย 4.22 คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.08
5.2 อภปิ รายผลการวจิ ัย
1. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรยี นที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ Google slides ผ่านทาง
เวบ็ ไซต์ เรือ่ ง ไฟฟา้ สถติ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน เนอ่ื งจากการจัดการเรยี นรู้ฟิสกิ สโ์ ดยใช้ Google slides ผ่าน
29
ทางเว็บไซต์ ช่วยให้นักเรียนสามารถทำการศึกษาเพิ่มเติมตามความสามารถ ความสะดวกของตนเอง มีความ
ยดื หยุ่นในการเรียนรู้ ตอบสนองต่อความต้องการเรยี นของนกั เรยี นแตล่ ะคนอย่างเหมาะสม
2. ความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้า
สถิต มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.22 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.08 เนื่องจากการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนเพิม่ ขึ้น สง่ ผลใหน้ ักเรยี นเกดิ ความพงึ พอใจ
5.3 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัย
จากผลการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Google slides ผ่านทางเว็บไซต์ เรื่อง
ไฟฟา้ สถิต สำหรบั นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5/2 ผู้วจิ ัยมขี ้อเสนอแนะดงั ตอ่ ไปนี้
1. ข้อเสนอแนะท่ัวไป
ในการจัดทำเนื้อหาผ่าน Google slides ครูสามารถนำวิดีโอ หรือกจิ กรรมการทดลองเสมือนมาแทรก
เพิม่ เตมิ เพอ่ื เพ่มิ ความน่าสนใจให้กับบทเรยี น
2. ขอ้ เสนอแนะสำหรบั การวิจยั ครัง้ ตอ่ ไป
ควรมีการศึกษาผลการจัดทำเนื้อหาผ่าน Google slides ในบทเรียนอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาให้ดี
ย่งิ ขนึ้
30
บรรณานกุ รม
แบบประเมนิ ความพงึ พอใจเวบ็ ไซตส์ ่อื การเรียนการสอนรายวิชาระบบฐานขอ้ มลู . สบื คน้ เม่ือ 25
ธนั วาคม 2565, จาก https://www.surveycan.com/survey/2c374a29-2ef2-49c4-
b893-ac1b22609ee5
การใชง้ าน Google site. (2557). สืบคน้ เม่อื 29 ธันวาคม 2565. จาก https://ajpondsan.files.
wordpress.com/2014/10/google_sites.pdf
จิราภรณ์ ศริ ที วี และคณะ. (2549). หลักการวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: ภาควิชา
การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์
ณรงค์ฤทธ์ิ นาคเม้า. (2561). การศกึ ษาความพงึ พอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้
โปรแกรม Plickers ช่วยสอน เร่อื งฟิสกิ สอ์ ะตอม หวั ขอ้ การทดลองของทอมสัน มลิ ลิแกน และ
รทั เทอรฟ์ อร์ด ของนักเรียนเตรยี มทหารชน้ั ปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561. สืบค้นเมือ่
21 ธันวาคม 2565. จาก http://www.afaps.ac.th/~edbsci/website/news/public/
PR00056.pdf
ทยาภรณ์ ตุ้มสุข. (2559). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนบน Google Site
เรอื่ ง ระบบเรดาร์สำหรับกรมอิเล็กทรอนกิ สท์ หารเรือ. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาครศุ าสตร์
อุตสาหกรรมมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร.์ กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนอื .
พชิ ิต ฤทธิง์ รญู . (2548). หลกั การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: เฮา้ ส์ ออฟ เคอรม์ ีสท.์
ราชบณั ฑิตยสถาน. (2525). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน (พมิ พ์ครง้ั ที่ 4). กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2555). พจนานกุ รมศพั ท์ศกึ ษาศาสตร์ ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพฯ: อรณุ การพิมพ.์
ลัดดาวรรณ ศรฉี มิ . (2557). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ ่านเว็บ ดว้ ยโปรแกรม Google Site ตามแนวทฤษฎี
สรา้ งสรรค์ความรู้ เร่อื ง หลักการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ สำหรบั ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญาหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต คณะครศุ าสตร์. พษิ ณโุ ลก: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พิบูลสงคราม.
อาทิตยา สขี าวรส. (2558). Google slide. สบื ค้นเมอ่ื 28 ธันวาคม 2565. จาก https://sites.google.com/a/
moeipit.ac.th/athittaya/google-slide
31
ภาคผนวก
32
ภาคผนวก ก
ตาราง ก คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นฟิสิกสข์ องนกั เรยี นก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
33
ตาราง ก คะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนฟิสิกสข์ องนักเรียนก่อนเรียนและหลงั เรยี น
เลขที่ กอ่ นเรยี น หลงั เรยี น
(20 คะแนน) (20 คะแนน)
14 13
24 14
37 13
47 12
52 15
63 16
76 17
83 16
94 17
10 4 19
11 7 17
12 4 16
13 5 16
14 3 17
15 5 18
16 5 18
17 3 14
18 4 18
19 5 17
20 6 19
21 3 19
22 6 13
23 9 18
24 2 14
34
ภาคผนวก ข
- Google slides ผา่ นทางเว็บไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถติ
- แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
- แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรยี นในการเรียนการสอนโดยใช้ Google slides ผา่ นทาง
เวบ็ ไซต์ เรอ่ื ง ไฟฟ้าสถิต
35
Google slides ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ เรอื่ ง ไฟฟ้าสถิต
แบบทดสอบก่อน-หลังเรียนเรื่องไฟฟ้ าสถิต
* Required
1. ชื่อ - นามสกุล *
2. เลขที่ *
3. ชั้น *
Mark only one oval.
ม.5/2
ม.5/3
ม.5/4
โปรดเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
4. เหตุใดเมื่อนำแท่งแก้วไปถูผ้าสักหลาดแล้วแท่งแก้วมีประจุไฟฟ้าสะสมเป็ นบวก * 1 point
Mark only one oval.
เพราะแท่งแก้วจ่ายประจุลบ (อิเลกตรอน) ให้แก่ผ้าสักหลาดฝ่ ายเดียว
เพราะแท่งแก้วรับประจุบวก (โปรตอน) จากผ้าสักหลาด
เพราะแท่งแก้วรับประจุบวก (โปรตอน) จากสิ่งแวดล้อม
เพราะแท่งแก้วจ่ายประจุลบ (อิเลกตรอน) ให้แก่ผ้าสักหลาดมากกว่าที่รับมา
5. เมื่อนำแท่งแก้วที่มีประจุไฟฟ้าบวกสะสมอยู่ไปจ่อใกล้เม็ดโฟมที่เป็ นกลางทางไฟฟ้า 1 point
แท่งแก้วจะมีแรงดึงดูดเม็ดโฟมได้หากเปลี่ยนแท่งแก้วเป็ นแท่งพีวีซีที่มีประจุไฟฟ้าลบ
สะสมอยู่ไปจ่อใกล้เม็ดโฟมแทน แท่งพีวีซีจะมีแรงดูดหรือแรงผลักเม็ดโฟม *
Mark only one oval.
ดูด
ผลัก
ดูดแล้วผลัก
ผลักแล้วดูด
6. ข้อใดเรียงลำดับการทำให้อิเล็กโทรสโคปที่เป็ นกลางทางไฟฟ้าแยกออกห่างกันได้ถูก 1 point
ต้อง 1. นำสายดินต่อเข้ากับอิเล็กโทรสโคป 2. นำสายดินออกจากอิเล็กโทรสโคป 3. นำ
วัตถุที่มีประจุเข้ามาใกล้อิเล็กโทรสโคป 4. นำวัตถุที่มีประจุออกจากอิเล็กโทรสโคป *
Mark only one oval.
1234
2341
3124
3142
7. วางจุดประจุ 5 ไมโครคูลอมบ์, 4 ไมโครคูลอมบ์ และ 8 ไมโครคูลอมบ์ วางต่อกันเป็ นเส้นตรง 1 point
เรียงกันเป็ นเส้นตรง ดังภาพ จงหาแรงลัพธ์ที่จุดประจุ 5 ไมโครคูลอมบ์ *
Mark only one oval.
18 N
27 N
36 N
63 N
8. จากรูป มีแรง F ขนาด 2 นิวตัน กระทำต่อประจุที่ตำแหน่ง B ถ้านำประจุที่ตำแหน่ง B ออกไป 1 point
สนามไฟฟ้าที่ตำแหน่ง B จะมีค่าเท่าไหร่ *
Mark only one oval.
4 x 10^5 N/C
4 x 10^-5 N/C
-4 x 10^6 N/C
-4 x 10^5 N/C
9. จากรูป มีแรง F ขนาด 4 นิวตัน กระทำต่อประจุที่ตำแหน่ง B ถ้านำประจุที่ตำแหน่ง B 1 point
ออกไป สนามไฟฟ้าที่ตำแหน่ง B จะมีค่าเท่าไหร่ *
Mark only one oval.
8 x 10^5 N/C
4 x 10^-5 N/C
5 x 10^6 N/C
2 x 10^5 N/C
10. จากรูปจงหาแรงไฟฟ้าที่กระทำต่ออิเล็กตรอนที่อยู่ภายในระหว่างแผ่นโลหะขนาน AB 1 point
*
Mark only one oval.
5.3 x 10^-20 N/C
5.3 x 10^-19 N/C
3.2 x 10^-19 N/C
4.8 x 10^-20 N/C
11. จากรูปจงหาแรงไฟฟ้าที่กระทำต่ออิเล็กตรอนที่อยู่ภายในระหว่างแผ่นโลหะขนาน AB * 1 point
Mark only one oval.
5.3 x 10^-19 N/C
4.8 x 10^-19 N/C
5.3 x 10^-20 N/C
4.8 x 10^-20 N/C
12. ประจุไฟฟ้า q1 = -12 ไมโครคูลอมบ์ และ q2 = 3 ไมโครคูลอมบ์ วางห่างกัน 1 เมตร 1 point
ดังรูป บริเวณใดที่มีค่าสนามไฟฟ้าเป็ นศูนย์ได้*
Mark only one oval.
ขวามือของจุด B
ซ้ายมือของจุด A
ระหว่างจุด A และ จุด B
ไม่มีบริเวณใดที่มีสนามไฟฟ้ าเป็ นศูนย์
13. ถ้าต้องนำประจุ +10 ไมโครคูลอมบ์ จากระยะอนันต์มายังตำแหน่งที่ห่างจากจุดประจุ 1 point
+ 20 ไมโครคูลอมบ์ เป็ นระยะ 5 เมตร ต้องใช้งานกี่จูล *
Mark only one oval.
0.05 จูล
0.18 จูล
0.36 จูล
0.72 จูล
14. ตัวนำทรงกลม รัศมี 20 เซนติเมตร ความจุประจุของทรงกลมมีค่ากี่ฟารัด * 1 point
Mark only one oval. 1 point
2.2x10^7 ฟารัด
1.8x10^7 ฟารัด
1.8x10^-11 ฟารัด
2.2x10^-11 ฟารัด
15. ตัวนำทรงกลม รัศมี 20 เมตร ความจุประจุของทรงกลมมีค่ากี่ฟารัด *
Mark only one oval.
2.2x10^-9 ฟารัด
1.8x10^-9 ฟารัด
1.8x10^-11 ฟารัด
2.2x10^-11 ฟารัด
16. จงหาประจุบนตัวเก็บประจุขนาด 500 นาโนฟารัด เมื่อถูกอัดประจุให้มีศักย์ไฟฟ้า 20 1 point
โวลต์ *
Mark only one oval.
10 นาโนคูลอมบ์
100 นาโนคูลอมบ์
1,000 นาโนคูลอมบ์
10,000 นาโนคูลอมบ์
17. จงหาประจุบนตัวเก็บประจุขนาด 200 นาโนฟารัด เมื่อถูกอัดประจุให้มีศักย์ไฟฟ้า 25 1 point
โวลต์ *
Mark only one oval.
50 นาโนคูลอมบ์
100 นาโนคูลอมบ์
5,000 นาโนคูลอมบ์
10,000 นาโนคูลอมบ์
18. จากรูป ประจุ q1 , q2 และ q3 มีค่า -1x10^-6 , +2x10^-6 และ -3x10^-6 คูลอมบ์ตาม 1 point
ลำดับ โดยที่ q3 ห่างจาก q1 10 เซนติเมตร และ q2 ห่างจาก q1 15 เซนติเมตร จง
คำนวณแรงกระทำบนประจุ q1
Mark only one oval.
2.2 N
2.4 N
2.6 N
2.8 N
19. วัตถุตัวนำทรงกลมตันมีรัศมี เท่ากับ 70 เซนติเมตร มีประจุ 6 x 10-9 C จงหาขนาด 1 point
ของสนามไฟฟ้าที่ตำแหน่ง 45 เซนติเมตร
Mark only one oval.
0 N/C
2 N/C
8.2 N/C
10 N/C
20. วัตถุตัวนำทรงกลมตันมีรัศมี เท่ากับ 50 เซนติเมตร มีประจุ – 5 x 10^-6 C จงหาศักย์ 1 point
ไฟฟ้าที่ตำแหน่ง 20 เซนติเมตร *
Mark only one oval.
90 V
-90 V
180 V
-180 V
21. ตัวเก็บประจุที่มีความจุ 60 ไมโครฟารัด ต่อเข้าอนุกรมกับตัวเก็บประจุที่มีความจุด 1 point
120 ไมโครฟารัด ค่าความจุไฟฟ้ารวมจะมีค่าเท่าไหร่ *
Mark only one oval.
32.25 ไมโครฟารัด
34.28 ไมโครฟารัด
40.00 ไมโครฟารัด
47.23 ไมโครฟารัด
22. ตัวเก็บประจุที่มีความจุ 60 ไมโครฟารัด ต่อเข้าขนานกับตัวเก็บประจุที่มีความจุด 80 1 point
ไมโครฟารัด ค่าความจุไฟฟ้ารวมจะมีค่าเท่าไหร่ *
Mark only one oval.
140 ไมโครฟารัด
120 ไมโครฟารัด
80 ไมโครฟารัด
60 ไมโครฟารัด