สัตสั ว์ป่ว์ าป่ สงวนของไท THAIL ย AND'S PROTECTCD WILDLIFE
คำ นำ หนังสือสัตว์ป่าสงวนฉบับนี้ได้กล่าวถึง เรื่องราวของสัตว์ป่าสงวน (Thailand's protectcd wildlife) ได้สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับ ความหมาย ลักษณะ อุปนิสัย ที่อยู่ อาศัย สาเหตุของการสูญพันธ์ของสัตว์ป่าสงวน ผู้จัดทำ หนังสือสัตว์ป่าสงวนของไทยฉบันี้ ได้อธิบายเนื้อหาของสัตว์ป่าสงวนของไทยไว้ในฉบับนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือฉบับ นี้จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ที่สนใจ ผู้จัดทำ หวังว่า หนังสือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษาที กำ ลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ ขอน้อมรับ และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ สัตว์ป่าสงวน เรื่อง หน้า สัตว์ป่าสงวนในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมันหรือเนื้อสมัน กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ เลียงผา , เยือง , กูรำ , โครำ พะยูนหรือหมูน้ำ 1 2 3 5 7 9 10 12 14 15 17 19 21 22 24 25 27
สัตว์ป่าสงวน คือ สัตว์หายาก, ใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออาจสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำ เป็นต้องมีบทบัญญัติเข้ม งวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่าง ประเทศด้วยการซื้อขาย โดยมีรายชื่อตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฉบับนั้น การครอบคลุมถึง ซากสัตว์ และครอบคลุมถึงสัตว์ที่สูญพันธุ์แล้วนั้น เพื่อเก็บรวบรวมซากไว้ให้ผู้มีหน้าที่ โดยตรงได้ศึกษาทางวิชาการ, เพื่อเป็นมรดกของชาติ และเพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดสะสมเป็นส่วนตัวซึ่งเป็นเหตุให้ มีความต้องการล่า หากมีโอกาสหลงเหลือแม้สักตัว ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคาม เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศ ใน การควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่าง ประเทศว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่า หรือ CITES ซึ่งเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2526 ประเทศไทยได้ร่วม ลงนามรับรองอนุสัญญาในปีพ.ศ.2518 และได้ให้สัตยาบันนับเป็นสมาชิกลำ ดับที่ 80 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 มีการตรา พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดยปรับปรุงและยกเลิกพระราช บัญญัติฉบับเดิม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 สัตว์ป่าสงวน 1
สัตว์ป่าสงวนในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ฉบับนี้และตามที่กำ หนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำ ให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวก โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไขหรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้ มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง 7 ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะ สูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก 1 ชนิด คือ เนื้อทราย ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ที่ประชุมสงวนคุ้มครองสัตว์ป่ามีมติเห็นชอบให้เพิ่มสัตว์ 4 ชนิด เป็นสัตว์สงวน รวมสัตว์ป่าสงวนมีทั้งสิ้น 19 ชนิด 2
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรหรือนกตาพอง (White-eyed River-Martin , ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pseudochelidon sirintarae) เป็นนกจับคอนหนึ่งในสองชนิดของสกุล นกนางแอ่นแม่น้ำ ในวงศ์ นกนางแอ่น พบบริเวณ บึงบอระเพ็ด ในช่วงฤดูหนาวเพียงแห่งเดียวในโลก แต่อาจสูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ลักษณะ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นนกนางแอ่นที่มีลำ ตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร สีโดยทั่วไปมีสีดำ เหลือบเขียวแกม ฟ้า โคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่ มีวงสีขาวรอบตา ทำ ให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมา จึงเรียกว่านกตาพอง นกที่ โตเต็มวัย มีแกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมา ๒ เส้น ทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน นกวัยอ่อนมีหัวสีน้ำ ตาล คอแกมขาว ลำ ตัวออกสีน้ำ ตาลมากกว่านกโตเต็มวัย ไม่มีขนเส้นเรียวเล็กที่ปลายหาง นกวัยอ่อนจะผลัดขนในเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ อุปนิสัย แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ ในบริเวณบึงบอระเพ็ด นกเจ้าหญิงสิรินธรจะ เกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่นๆ ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อ และใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่ม นกกระจาบ และนกจาบปีกอ่อน กลุ่มนกเหล่านี้มีจำ นวนนับพันตัว อาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ในอากาศ ที่อยู่อาศัย นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรพบในบริเวณ บึงบอระเพ็ด เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นในช่วงเดือน พฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคม คาดว่าถิ่นอาศัยในช่วงฤดูหนาวจะเป็นบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งน้ำ จืดที่เปิดโล่งเพื่อ สำ หรับหาอาหาร และมีอ้อและพืชน้ำ สำ หรับจับคอนนอนในเวลากลางคืน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจเป็นนกอพยพ แต่ พื้นที่แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ยังไม่เป็นที่ทราบ อาจเป็นหุบเขาที่มีแม่น้ำ ไหลผ่านอย่างภาคเหนือของประเทศไทยหรือทาง ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ถ้าถิ่นอาศัยของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเหมือนกับนกนางแอ่นแม่น้ำ แอฟริกา ถิ่นอาศัยจะเป็นป่าในหุบเขาที่มี แม่น้ำ ขนาดใหญ่ไหลผ่าน มีตลิ่งทรายและเกาะสำ หรับทำ รัง และมีป่าไม้มากพอที่นกจะสามารถจับแมลงกินได้ 3
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร สถานภาพ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็น นกเฉพาะถิ่น(endermic) ที่พบได้เพียงแห่งเดียวในโลกคือที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ จากรายงานการพบเห็นในปีพ.ศ. 2515, 2520 และ2523 และก็ไม่มีการพบเห็นอีกเลยจนปัจจุบัน แม้จะมีรายงานว่าพบนกในปีพ.ศ. 2529 แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยัน สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและ ทรัพยากรธรรมชาติ ( IUCN ) และ สำ นักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม(2540) จัดนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นสัตว์ ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่ง มีการประมาณจำ นวนของนกชนิดนี้ว่าลดลงหรือจะลดลงถึง 80% ภายในสามรุ่น IUCN จะไม่พิจารณาว่านกชนิดสูญพันธุ์จนกว่าได้ดำ เนินการสำ รวจเป้าหมายครอบคลุมแล้ว แต่นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจจะ สูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทยหรือจากโลก สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกที่สำ คัญอย่างยิ่งในด้านการศึกษาความสัมพันธ์ของ นกนางแอ่น เพราะนกชนิดที่มีความสัมพันธ์กับนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมากที่สุด คือนกนางแอ่นคองโก (Pseudochelidon euristomina ) ที่พบตามลำ ธารในประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก แหล่งที่พบ นกทั้ง ๒ ชนิดนี้ห่างจากกันถึง ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ประชากรในธรรมชาติของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเชื่อว่ามีอยู่น้อย มาก เพราะเป็นนกชนิดที่โบราณที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่ละปีในฤดูหนาวจะถูกจับไปพร้อมๆกับนกนางแอ่นชนิด อื่น นอกจากนี้ที่พักนอนในฤดูหนาว คือ ดงอ้อ และพืชน้ำ อื่นๆที่ถูกทำ ลายไปโดยการทำ การประมง การเปลี่ยนหนอง บึงเป็นนาข้าว และการควบคุมระดับน้ำ ในบึงเพื่อการพัฒนาหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อการคงอยู่ของ พืชน้ำ และต่อนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมาก 4
แรดชวา แรดชวาหรือระมาดหรือแรดซุนดา (Javan Rhinoceros) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในอันดับสัตว์กีบ คี่ ในวงศ์แ ศ์ รด อยู่ในสกุลเดียวกันกับแรดอินเดีย เป็นหนึ่งในห้าชนิดของแรดที่ยังเหลืออยู่ ลำ ตัวยาว 3.1–3.2 ม.สูง 1.4–1.7 ม.มีขนาดใกล้เคียงกับแรดดำ เหนือจมูกมีนอสั้นๆ หนึ่งนอมีขนาดเล็กกว่าแรดทุกชนิด จึงได้อีกชื่อว่า แรดนอ เดียว ลักษณะ แรดชวามีขนาดเล็กกว่าแรดอินเดียซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับมัน มันมีขนาดใกล้เคียงกับ แรดดำ ลำ ตัวยาว (รวมหัว) 3.1–3.2 ม. สูง 1.4–1.7 ม. เมื่อโตเต็มที่หนัก 900-2,300 กก. เนื่องจากแรดชวาอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ จนถึงขั้นวิกฤติการวัดที่แม่นยำ จึงไม่เคยกระทำ และไม่มีความสำ คัญ ไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศเด่นชัด แต่เพศเมีย อาจใหญ่กว่าเพศผู้เล็กน้อย แรดชวาในเวียดนามมีขนาดเล็กกว่าในชวาโดยคำ นวณจากรูปถ่ายและรอยเท้า แรดชวาไม่มีขน มีหนังสีเทาหรือน้ำ ตาลเทา มีรอยพับที่ไหล่ หลังขาหน้า และสะโพก ทำ ให้ดูคล้ายกับว่ามันสวม เสื้อเกราะอยู่ รอยพับที่คอของแรดชวาเล็กกว่าของแรดอินเดีย แต่จะมีรูปร่างคล้ายอานม้าปกคลุมไปที่ไหล่ ง่ามก้นไม่ เป็นร่อง อุปนิสัย ในอดีตเคยพบแรดหากินร่วมเป็นฝูง แต่ในปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน จึงสามารถ ผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท่องนานประมาณ ๑๖ เดือน 5
แรดชวา สถานภาพ ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S.Endanger Species สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ ปัญหาหลักที่ทำ ให้จำ นวนประชากรของแรดชวาลดลงก็คือการล่าเอานอซึ่งเป็น ปัญหาในแรดทุกชนิด การซื้อขายนอแรดในประเทศจีนมีมานานกว่า 2,000 ปี คนจีนเชื่อกันว่านอแรดเป็นยาในการ แพทย์แผนจีน ตามประวัติศาสตร์มีการนำ หนังมาทำ เกราะสำ หรับทหารจีนและคนในบางพื้นที่ของประเทศเวียดนาม เชื่อกันว่าหนังสามารถแก้พิษงูได้ เนื่องจากการกระจายพันธุ์ของแรดชวาอยู่ในหลาย ๆ พื้นที่อยู่ในพื้นที่ยากจน ทำ ให้ ยากที่จะชักจูงให้คนในพื้นที่ไม่ฆ่าสัตว์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์นี้เพราะแรดสามารถขายได้ในราคาที่สูงมาก ที่อยู่อาศัย แรดชวาอาศัยอยู่ในป่าต่ำ ที่เป็นป่าดิบชื้น หญ้าสูงและมีต้นกกปกคลุมริมแม่น้ำ ที่ลุ่มขนาดใหญ่ หรือ พื้นที่ชุ่มชื้นที่มีปลักโคลน แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วแรดชวาจะอาศัยอยู่ในที่ราบ แต่ชนิดย่อยในเวียดนามกลับอาศัยอยู่ใน ป่าสูง (มากถึง 2,000 ม.) อาจเป็นเพราะการล่าและการบุกรุกถิ่นอาศัยจากมนุษย์ 6
กระซู่ กระซู่,แรดสุมาตรา ( Sumatran rhinoceros )หรือแรดขน (hairy rhinoceros) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ใน อันดับสัตว์กีบคี่ จำ พวกแรด กระซู่เป็นแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกและเป็นแรดเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Dicerorhinus มีลักษณะเด่นคือมี นอ 2 นอ เหมือนแรดแอฟริกา โดยนอจะไม่ตั้งยาวขึ้นมาเหมือน แรดชวา นอหน้า ใหญ่กว่านอหลัง โดยทั่วไปยาว 15-25 ซม. ลำ ตัวมีขนหยาบและยาวปกคลุม เมื่อโตเต็มที่สูง 120–145 ซม.จรดหัว ไหล่ ยาว 250 ซม. และมีน้ำ หนัก 500-800 กก. ลักษณะ กระซู่ที่โตเต็มที่มีความสูงจรดหัวไหล่ประมาณ 120–145 ซม. ลำ ตัวยาวประมาณ 250 ซม. มีน้ำ หนัก 500–800 กก. ถึงแม้ว่าจะมีกระซู่บางตัวในสวนสัตว์ที่หนักมากกว่า 1000 กก. กระซู่เหมือนกับแรดใน แอฟริกา ที่มี สองนอ นอใหญ่อยู่บริเวณจมูก โดยทั่วไปมีขนาด 15–25 ซม. ยาวที่สุดเท่าที่มีบันทึกไว้คือ 81 ซม. นอด้านหลังมี ขนาดเล็กกว่ามาก ปกติแล้วจะยาวน้อยกว่า 10 ซม. และบ่อยครั้งที่เป็นแค่ปุ่มขึ้นมา นอมีสีเทาเข้มหรือสีดำ เพศผู้มี นอใหญ่กว่าเพศเมียหรือในเพศเมียบางตัวอาจไม่มีนอใน และไม่มีลักษณะแบ่งเพศที่เด่นชัดอื่นอีก กระซู่มีอายุโดย ประมาณ 30-45 ปีเมื่ออยู่ตามธรรมชาติ อุปนิสัย กระซู่เป็นสัตว์สันโดษปกติจะอยู่เพียงลำ พังตัวเดียวยกเว้นช่วงเวลาจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงดูลูกอ่อน ตัวผู้จะมีอาณาเขตประมาณ 50 กม ขณะที่ตัวเมียมีอาณาเขตประมาณ 10–15 กม อาณาเขตของตัวเมียจะแยกจาก กัน ขณะที่ตัวผู้บ่อยครั้งจะมีอาณาเขตเหลื่อมซ้อนกัน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากระซู่มีการต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาเขต เมื่อ ต่อสู้หรือป้องกันตัว กระซู่จะไม่ใช้นอพุ่งชนเหมือนแรดชนิดอื่น ๆ แต่จะใช้ริมฝีปากซึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยมงับแทน ทำ ให้ คาดกันว่ากระซู่มีนอเพื่อใช้ดันสิ่งกีดขวางเสียมากกว่า การบอกอาณาเขตกระทำ โดยการขูดผิวดินด้วยเท้า การงอไม้ หนุ่มด้วยรูปแบบที่แตกต่าง และการถ่ายมูล ละอองเยี่ยว กระซู่ออกหาอาหารเมื่อรุ่งเช้าและหลังเวลาเย็นก่อนค่ำ ระหว่างวันกระซู่จะนอนเกลือกกลิ้งในปลักโคลนเพื่อผ่อนคลายและพักผ่อน ในฤดูฝนกระซู่จะย้ายถิ่นสู่พื้นที่สูง ในฤดู หนาวก็จะย้ายกลับมาที่พื้นราบ 7
กระซู่ สถานภาพ ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ ในAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ที่อยู่อาศัย กระซู่อาศัยอยู่ใน ป่าดิบชื้น ป่าพรุ และป่าเมฆในประเทศอินเดีย ภูฏาน บังกลาเทศ พม่า ลาว ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมณฑลเสฉวน ปัจจุบันกระซู่ถูกคุกคามจนอยู่ในขั้นวิกฤติ เหลือ สังคมประชากรเพียงหกแหล่งในป่ามีสี่แหล่งในสุมาตราหนึ่งแหล่งในบอร์เนียวและอีกหนึ่งแหล่งในมาเลเซียตะวันตก จำ นวนกระซู่ในปัจจุบันยากที่จะประมาณการได้เพราะเป็นสัตว์สันโดษที่มีพิสัยกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง แต่คาดว่า เหลืออยู่ไม่ถึง 100 ตัว สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ กระซู่ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอานอ และอวัยวะ ทุกส่วนของตัว ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นยา กระซู่จึงถูกล่าอยู่เนืองๆ ประกอบกับกระซู่มีอยู่ในธรรมชาติน้อย และประชากร แต่ละกลุ่มและแม้แต่กลุ่มเดียวกันก็อยู่ห่างกันมากไม่มีโอกาสจับคู่ขยายพันธุ์ได้ 8
กูปรีหรือโคไพร กูปรีหรือโคไพร ( Kouprey ) มีชื่ มีชื่ อวิทยาศาสตร์ว่ ร์ ว่ า Bos sauveli เป็นสัตว์จำ พวกกระทิงและวัวป่า เป็นสัตว์ กีบคู่ ตัวโต โคนขาใหญ่ ปลายหางเป็นพู่ขน ลักษณะ ตัวผู้ มีขนสีดำ ขนาดความสูง 1.71 - 1.90 เมตร ขนาดลำ ตัว 2.10 - 2.22 เมตร น้ำ หนักตัวประมาณ 680 ถึง 910 กิโลกรัม เขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาด แข็งขาทั้ง 4 มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง ในตัวผู้ที่มีอายุมาก จะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน ตัวเมีย มีขนสีเทา มีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบน ไม่มีพู่ที่ปลายเขา มีเขากลวงแบบ Horns ขนาดเท่ากัน โคนเขาใหญ่ ปลายเขาแหลม ไม่มีการแตกกิ่ง ยาวประมาณ 1 เมตร อุปนิสัย อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า ใบไม้ดินโป่งเป็นครั้งคราว ผสมพันธุ์ในราวเดือนเมษายน ตั้งท้อง นาน ๙ เดือน จะพบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ที่อยู่อาศัย ปกติอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง ที่มีทุ่งหญ้าสลับกับป่าเต็งรังและในป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง สถานภาพ ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบมานานแล้วจนครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไธุ์ปจากโลกเป็นที่เรียบร้อย แล้ว แต่ ณ ปัจจุบันเชื่อว่าอาจจะยังพอมีหลงเหลืออยู่ในชายแดนไทยกับกัมพูชาแถบจังหวัดศรีสะเกษ รวมถึงบริเวณ ชายแดนระหว่างลาวตอนใต้และเวียดนามด้วยเพราะมักจะมีข่าวว่าพบสัตว์ลักษณะคล้ายกูปรีบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีหลัก ฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอ นอกจากคำ เล่าลือเท่านั้น สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบันกูปรีเป็นสัตว์ป่าที่หายากกำ ลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากโลก เนื่องจาก การถูกล่าเป็นอาหารและสภาวะสงครามในแถบอินโดจีน ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยเฉพาะกูปรี ทำ ให้ยากในการอยู่ร่วมกันใน การอนุรักษ์กูปรี 9
ควายป่า ควายป่า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งมีชื่ มีชื่ อวิทยาศาสตร์ว่ ร์ ว่ า Bubalus arnee ลักษณะ มีลักษณะคล้ายควายบ้าน ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ควายป่าแต่มีลำ ตัวขนาดลำ ตัวใหญ่กว่า มีนิสัย ว่องไวและดุร้ายกว่าควายบ้านมาก สีลำ ตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำ ตาล ดำ ขาทั้ง 4 สีขาวแก่หรือสีเทาคล้ายใส่ ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำ ตัวเป็นลาย สีขาวรูปตัววี ควายป่ามีเขาทั้ง 2 เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายบ้านมาก วง เขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ ไหล่เกือบ 2 เมตร ความยาวหัวและลำ ตัว 2.40–2.80 เมตร ความยาวหาง 60–85 เซนติเมตร น้ำ หนักมากกว่า 1,000 กิโลกรัม อุปนิสัย ควายป่ามีนิสัยดุร้ายโดยเฉพาะตัวผู้และตัวเมียที่มีลูกอ่อน เมื่อพบศัตรูจะตีวงเข้าป้องกันลูกอ่อนเอาไว้ มีอายุยืนประมาณ 20–25 ปี โดยควายป่ามักตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะ เสือโคร่ง ในอินเดีย ควายป่า มักอาศัยอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกับ แรดอินเดีย ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย แม้จะเป็นสัตว์กินพืชเหมือนกัน แต่ก็มักถูกแรดอินเดีย ทำ ร้ายอยู่เสมอ ๆ จนเป็นบาดแผลปรากฏตามร่างกาย ที่อยู่อาศัย ปกติควายป่ามักชอบอยู่ที่ต่ำ แต่ในเนปาล ควายป่ามักพบในที่สูงถึง 2,800 เมตร ควายป่าอาศัยกันเป็นฝูงโดยมีสมาชิกในฝูงเป็นตัวเมียและควายเด็กมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง ส่วนควายหนุ่มที่ไม่ได้ร่วม ฝูงตัวเมียก็หากินโดยลำ พังหรืออาจรวมกลุ่มกันเป็นฝูงควายหนุ่มราวสิบตัว ในฤดูผสมพันธุ์จะอาศัยรวมฝูงกับตัวเมีย ควายหนุ่มจะมีการประลองกำ ลังกันเพื่อชิงสิทธิ์ในการครอบครองตัวเมีย แต่การต่อสู้นี้มักไม่ดุเดือดรุนแรงมากนัก 10
ควายป่า สถานภาพ ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำ นวนน้อยมาก จนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจาก ประเทศ ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการถูกล่าเพื่อเอาเนื้อและเอาเขาที่สวยงาม และการสูญเชื้อพันธุ์ เนื่องจากไปผสมกับควายบ้าน การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ที่มีผู้เอาไปเลี้ยงปล่อยเป็นควายปละในป่า ในกรณีหลังนี้บาง ครั้งควายป่าจะติดโรคต่างๆ จากควายบ้าน ทำ ให้จำ นวนลดลงมากยิ่งขึ้น 11
ละอง ละองละมั่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Panolia eldii) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง เป็นกวาง ขนาดกลาง ขนตามลำ ตัวสีน้ำ ตาลแดง แต่สีขนจะอ่อนลงเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ขนหยาบและยาว ในฤดูหนาวขนจะยาว มาก แต่จะร่วงหล่นจนดูสั้นลงมากในช่วงฤดูร้อน ในตัวผู้จะเรียกว่า ละอง ตัวเมียซึ่งไม่มีเขาจะเรียกว่า ละมั่ง แต่จะนิยมเรียกคู่กัน ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิดย่อยใน ประเทศไทยพบ 2 ชนิดได้แก่ 1.ละองละมั่งพันธุ์ไทย หรือ ละองละมั่งอินโดจีน มีลักษณะสีขนอย่างที่กล่าวข้างต้น เขาจะโค้งขึ้น กางออกแล้ว โค้งไปข้างหน้าคล้ายตะขอ ปลายเขาจะแตกออกเป็นแขนงเล็ก ๆ มีการกระจายพันธุ์อยู่ที่ภาคอีสานตอนใต้ของไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนาม สถานะปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติของไทย 2.ละองละมั่งพันธุ์พม่า หรือ ทมิน ในภาษาพม่า มีหน้าตาคล้ายละองละมั่งพันธุ์ไทย แต่สีขนจะออกสีน้ำ ตาล เหลือง กิ่งปลายเขาจะไม่แตกแขนงเท่าละองละมั่งพันธุ์ไทย พบกระจายพันธุ์อยู่ที่ตะเข็บชายแดนระหว่างไทยกับพม่า แถบเทือกเขาตะนาวศรี 3.ซันไก พบในรัฐมณีปุระทางตะวันออกของอินเดียติดกับพม่า ถือเป็นชนิดต้นแบบของละองละมั่ง ลักษณะ เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทราย แต่เล็กกว่ากวางป่า เมื่อโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำ หนัก ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำ ตาลแดง ตัวอายุน้อยจะมีจุดสีขาวตามตัว ซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุด จางๆ เมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย แต่จุดขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมด ในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาว และมีเขาและเขา ของละอง จะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งที่กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า จะทำ มุม โค่งต่อไปทางด้านหลัง และลำ เขาไม่ทำ มุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ 12
ละอง อุปนิสัย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ออกหากินใบหญ้า ใบไม้ และผล ไม้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน แต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ร่ม ละอง ละมั่งผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึง เดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๘ เดือน ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว ที่อยู่อาศัย ละองชอบอยู่ตามป่าโปร่งและป่าทุ่ง โดยเฉพาะป่าที่มีแหล่งน้ำ ขัง สถานภาพ มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ละอง ละมั่งจัดเป็น ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ใน Appendix สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบัน ละอง ละมั่งกำ ลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพ ป่าโปร่ง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำ ลายเป็นไร่นาและที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทั้งยังถูกล่าอย่างหนักนับตั้งแต่หลัง สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา 13
สมัน สมัน หรือ ฉมัน หรือ เนื้อสมัน หรือ กวางเขาสุ่ม ( Schomburgk's deer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำ พวก สัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rucervus schomburgki ลักษณะ เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำ ตัวสีน้ำ ตาลเข้ม ท้องมีสีอ่อนกว่า ริมฝีปากล่างและด้านล่างของหางเป็น สีขาว มีลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีเขาแตกแขนงออกไปมากมายเหมือนกิ่งไม้ ดูสวยงาม จึงได้ชื่อว่าเป็นกวางที่มีเขาสวย ที่สุดในโลก มีกิ่งรับหมาหรือกิ่งเขาที่ยื่นออกไปข้างหน้ายาวกว่ากิ่งรับหมาของกวางชนิดอื่น ๆ สมันมีความยาวลำ ตัว 180 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 100-110 เซนติเมตร น้ำ หนักประมาณ 100-120 กิโลกรัม สมันนั้นวิ่งเร็วประมาณ 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง อุปนิสัย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์ และตัวผู้จะแยกตัว ออกมาอยู่โดดเดี่ยว สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้ และใบไม้หลายชนิด ที่อยู่อาศัย สมันจะอาศัยเฉพาะในทุ่งโล่ง ไม่อยู่ตามป่ารกทึบ เนื่องจากเขามีกิ่งก้านสาขามาก จะเกี่ยวพันพัน กับเถาวัลย์ได้ง่าย สถานภาพ สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อเกือบ ๖๐ ปีที่แล้ว สมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิด หนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออก นอกราชอาณาจักร สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยได้ถูกเปลี่ยนเป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด และสมันที่เหลือ อยู่ตามที่ห่างไกลจะถูกล่าอย่างหนักในฤดูน้ำ หลากท่วมท้องทุ่ง ในเวลานั้นสมันจะหนีน้ำ ขึ้นไปอยู่รวมกันบนที่ดอน ทำ ให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย 14
กวางผา กวางผาจีนหรือกวางผาจีนถิ่นใต้ (Chinese goral, South China goral) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำ พวก สัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naemorhaedus griseus อยู่ในวงศ์ Bovidae ลักษณะ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแพะ มีหูยาว ขนตามลำ ตัวหยาบและหนามีสีเทาหรือน้ำ ตาลเทา มีแถบสีดำ พาด อยู่กลางหลัง ตัวเมียจะมีสีขนอ่อนกว่าตัวผู้ บริเวณลำ คอด้านในมีขนสีอ่อน ริมฝีปากและรอบ ๆ ตาสีขาว เขาสั้นมีสีดำ ตัวผู้จะมีเขาที่หนาและยาวกว่าตัวเมีย มีความยาวลำ ตัวและหัว 82–120 เซนติเมตร ความยาวหาง 7.5–20 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 50–60 เซนติเมตร น้ำ หนัก 22–32 กิโลกรัม อุปนิสัย ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้ และชะง่อนหินในเวลากลาง คืน อาหาร ได้แก่ พืชที่ขึ้นตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ และลูกไม้เปลือกแข็งจำ พวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒ ตัว ผสมพันธุ์ในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตั้ง ท้องนาน ๖ เดือน ที่อยู่อาศัย มักอาศัยและหากินรวมกันเป็นฝูงตามทุ่งหญ้าบนภูเขาและชะง่อนผาบนเทือกเขาสูง ที่มีความสูง จากระดับน้ำ ทะเลตั้งแต่ 1,000–4,000 เมตร ฝูง ๆ หนึ่งจะมีสมาชิกประมาณ 4–12 ตัว 15
กวางผา สถานภาพ สถานภาพของกวางผาจีน ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์แล้ว ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าสงวน ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ปัจจุบัน พบว่ามีเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวที่ดอยม่อนจอง ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อำ เภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และ อำ เภอสามเงา จังหวัดตาก มีชื่อเรียกของผู้คนใน ท้องถิ่นว่า "ม้าเทวดา" เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ลึกลับ หายากมาก และเมื่อพบเห็นตัวก็จะหลบหนีไปด้วยความรวดเร็ว โดย ถูกล่าเพราะมีความเชื่อว่าน้ำ มันจากกะโหลกของกวางผาจีนมีคุณสมบัติทางยาสมานกระดูกรักษาโรคไขข้ออักเสบได้ เหมือนกับของเลียงผา สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกถางป่าที่ทำ ไร่เลื่อนลอยของชาวเขาในระยะเริ่มแรกและชาว บ้านในระยะหลัง ทำ ให้ที่อาศัยของกวางผาลดน้อยลง เหลืออยู่เพียงตามยอดเขาที่สูงชัน ประกอบกับการล่ากวางผา เพื่อเอาน้ำ มันมาใช้ในการสมานกระดูกที่หักเช่นเดียวกับเลียงผา จำ นวนกวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยู่น้อยมาก 16
นกแต้วแล้วท้องดำ นกแต้วแร้วท้องดำ หรือ นกแต้วแล้วท้องดำ (อังกฤษ: Gurney's Pitta, ชื่อวิทยาศาสตร์: Hydrornis gurneyi) เป็นนกที่พบในพม่าและไทย ปัจจุบันพบได้ที่ เขานอจู้จี้ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำ เภอ คลองท่อม จังหวัดกระบี่ และบางส่วนในประเทศพม่า ลักษณะ เป็นนกขนาดเล็ก ลำ ตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร จัดเป็นนกที่มีความสวยงามมาก นกตัวผู้มีส่วนหัวสีดำ ท้ายทอยมีสีฟ้าประกายสดใส ด้านหลังสีน้ำ ตาลติดกับอกตอนล่าง และตอนใต้ท้องที่มีดำ สนิท นกตัวเมียมีสีสดใสน้อย กว่า โดยทั่วไปสีลำ ตัวออกน้ำ ตาลเหลือง ไม่มีแถบดำ บนหน้าอกและใต้ท้อง นกอายุน้อยมีหัว และคอสีน้ำ ตาลเหลือง ส่วนอกใต้ท้องสีน้ำ ตาล ทั่วตัวมีลายเกล็ดสีดำ อุปนิสัย นกแต้วแล้วท้องดำ ทำ รังเป็นซุ้มทรงกลม ด้วยแขนงไม้และใบไผ่ วางอยู่บนพื้นดิน หรือในกอระกำ วางไข่ ๓-๔ ฟอง ทั้งพ่อนกและแม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลี้ยงลูก อาหารได้แก่หนอนด้วง ปลวก จิ้งหรีด ขนาดเล็ก และแมลงอื่นๆ ที่อยู่อาศัย อาศัยอยู่ในป่าดิบที่ราบต่ำ ซึ่งมีระดับความสูงไม่เกิน 200 เมตรจากระดับน้ำ ทะเล มักพบตามที่ราบ ใกล้ร่องน้ำ หรือลำ ธารที่ชื้นแฉะ ไม่ชอบอยู่บริเวณที่มีไม้พื้นล่างขึ้นรกทึบ หากินด้วยการกระโดดหาแมลงบนพื้นดินกินหรืออาจขุดไส้เดือนดินขึ้นมากิน บางครั้งอาจจับกบ และสัตว์เลื้อย คลานขนาดเล็กด้วย โดยเฉพาะในช่วงมีลูกอ่อน 17
นกแต้วแล้วท้องดำ สถานภาพ เคยพบชุกชุมในระยะเมื่อ ๘๐ ปีก่อน แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์เลยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จนมี รายงานพบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑ นกแต้วแล้วท้องดำ ได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ชนิดที่หายากชนิด หนึ่ง ในสิบสองชนิดที่หายากของโลก สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ นกชนิดนี้ จัดเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่เฉพาะในป่าดงดิบต่ำ ซึ่งกำ ลังถูกตัดฟันอย่างหนัก และสภาพที่อยู่เช่นนี้มีน้อยมากในบริเวณเขตคุ้มครองในภาคใต้ นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นนกที่หายากเป็นที่ต้องการ ของตลาดนกเลี้ยง จึงมีราคาแพง อันเป็นแรงกระตุ้นให้นกแต้วแล้วท้องดำ ถูกล่ามากยิ่งขึ้น 18
นกกระเรียน นกกระเรียนไทย หรือ นกกระเรียน (Grus antigone) เป็นนกขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่นกอพยพ พบในบางพื้นที่ ของอนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศออสเตรเลีย เป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก เมื่อยืนจะสูงถึง 1.8 เมตร สังเกตเห็นได้ง่าย ในพื้นที่ชุ่มน้ำ เปิดโล่ง นกกระเรียนไทยแตกต่างจากนกกระเรียนอื่นในพื้นที่เพราะมีสีเทา ทั้งตัวและมีสีแดงที่หัวและบริเวณคอด้านบน ลักษณะ นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำ ตัวและปีกสีเทา คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยียดตรงไม่เหมือนกับนกกระสาซึ่งจะงอพับไปด้านหลัง ขน ปลายปีกและขนคลุมขนปลายปีกสีดำ ขนคลุมขนปีกด้านล่างสีเทา ขนโคนปีกสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผ่นขนหูสี เทา ม่านตาสีส้มแดง ปากแหลมสีดำ แกมเทา นักวัยอ่อนมีปากสีค่อนข้างเหลืองที่ฐาน หัวสีน้ำ ตาลเทาหรือสีเนื้อ ปกคลุมด้วยขนนก หนังเปลือยสีแดงบริเวณหัวจะแดงสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หนังบริเวณนี้จะหยาบเป็นตะปุ่มตะป่ำ มีขนสีดำ ตรง ข้างแก้มและท้ายทอยบริเวณแคบ ๆ ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีคล้ายกัน เพศผู้ใหญ่กว่าเพศเมียเล็กน้อย ไม่มีความ แตกต่างทางเพศอื่นที่ชัดเจนอีก นกกระเรียนไทยเพศผู้ในอินเดียมีขนาดสูงที่สุดคือประมาณ 200 เซนติเมตร ช่วงปีก ยาว 250 เซนติเมตร ทำ ให้นกกระเรียนไทยเป็นนกที่บินได้ที่สูงที่สุดในโลก อุปนิสัย เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุม มีลักษณะเป็น ปุ่มหยาบสีแดง ยกเว้นบริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทา ในฤดูผสมพันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่าเดิม ขนลำ ตัวสีเทาจนถึงสี เทาแกมฟ้า มีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุมส่วนหาง จะงอยปากสีออกเขียว แข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้า นกอายุ น้อยมีขนสีน้ำ ตาลทั่วตัว บนส่วนหัวและลำ คอมีขนสีน้ำ ตาลเหลืองปกคลุม ในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อย Sharpii ซึ่งไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลำ คอ 19
นกกระเรียน ที่อยู่อาศัย นกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำ ท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi) สำ หรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำ ตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าว หรือข้าวสาลีบ่อย ๆ สถานภาพ นกกระเรียนเคยพบอยู่ทั่วประเทศ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ พบ ๔ ตัว ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัด ปทุมธานี จากนั้นมีรายงานที่ไม่ยืนยันว่าพบนกกระเรียน ๔ ตัว ลงหากินในทุ่งนาอำ เภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๘ สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ นกกระเรียนไทยจัดอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และไซเตสจัดอยู่ในบัญชีอนุรักษ์ที่ 2 การคุกคามประกอบไปด้วยภัย คุกคามทำ ลายถิ่นที่อยู่หรือทำ ให้เสื่อมลง การล่าและดักจับ เช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ โรค และการแข่งขัน ในสปีชีส์ ผลของการผสมพันธุ์กันในเชื้อสายที่ใกล้เคียงกันมากในประชากรของประเทศออสเตรเลียยังต้องศึกษาต่อไป นกกระเรียนไทยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้วในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย มีโครงการนำ นก กระเรียนกลับสู่ธรรมชาติในประเทศไทยโดยนำ นกมาจากประเทศกัมพูชา 20
แมวลายหินอ่อน แมวลายหินอ่อน (อังกฤษ: Marbled cat; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pardofelis marmorata) เป็นสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมในวงศ์เสือ (Felidae) ที่มีขนาดเท่ากับแมวบ้าน (Felis catus) ลักษณะ แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง น้ำ หนักตัวเมื่อโตเต็มที่ ๔-๕ กิโลกรัม ใบหูเล็กมนกลมมีจุดด้าน หลังใบหู หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชัด สีขนโดยทั่วไปเป็นสีน้ำ ตาลอมเหลือง มีลายบนลำ ตัวคล้ายลายหินอ่อน ด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า ด้านหลังขาและหางมีจุดดำ เท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิ้ว นิ้วมีปลอกเล็บสองชั้น และ เล็บพับเก็บได้ในปลอกเล็บทั้งหมด อุปนิสัย ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่มักอยู่บนต้นไม้ อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบทุกชนิดตั้งแต่ แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก งู นก หนู กระรอก จนถึงลิงขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย ที่อยู่อาศัย ถิ่นอาศัยของแมวลายหินอ่อนอยู่ในรัฐอัสสัมทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล (P. m. chartoni) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาะบอร์เนียว และเกาะสุมาตรา เมื่ออยู่ในป่าทึบตามธรรมชาติจะพบเห็นได้น้อย ปัจจุบันยังมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมวชนิดนี้อยู่น้อย และยังไม่ทราบจำ นวนประชากรที่แน่นอน ขณะเดียวกันป่าที่ เป็นถิ่นอาศัยก็มีพื้นที่ลดลง ทำ ให้ปัจจุบันแมวชนิดนี้อยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ในประเทศไทยพบอยู่ตามป่าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่าดงดิบชื้น ในภาคใต้ สถานภาพ แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ ในAppendix I สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากแมวลายหินอ่อนเป็นสัตว์ที่หาได้ยาก และมีปริมาณในธรรมชาติค่อนข้าง ต่ำ เมื่อเทียบกับแมวป่าชนิดอื่นๆ จำ นวนจึงน้อยมาก และเนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำ ลาย และถูกล่าหรือจับมาเป็น สัตว์เลี้ยงที่มีราคาสูง จำ นวนแมวลายหินอ่อนจึงน้อยลง ด้านชีววิทยาของแมวป่าชนิดนี้ยังรู้กันน้อยมาก 21
สมเสร็จ สมเสร็จมลายู หรือ สมเสร็จเอเชีย ( Malayan tapir, Asian tapir) บ้างเรียกผสมเสร็จ เป็นสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคี่ นับเป็นสมเสร็จชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นชนิดเดียวที่พบในทวีปเอเชีย มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Tapirus indicus ลักษณะ สมเสร็จมลายูเป็นสัตว์มีหน้าตาประหลาด คือ มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมอยู่ในตัวเดียวกัน มี จมูกที่ยื่นยาวออกมาคล้ายงวงของช้าง รูปร่างหน้าตาคล้ายหมูที่มีขายาว หางสั้นคล้ายหมีและมีกีบเท้าคล้ายแรด ลักษณะเด่น คือ บริเวณส่วนหัวไหล่และขาทั้งสี่ข้างมีสีดำ ส่วนกลางลำ ตัวเป็นสีขาว ใบหูกลม ขนปลายหูและริมฝีปาก มีสีขาว มีแผ่นหนังหนาบริเวณสันก้านคอเพื่อป้องกันการโจมตีของเสือโคร่ง ที่จะตะปบกัดบริเวณก้านคอ ลูกที่เกิดใหม่ จะมีลวดลายคล้ายแตงไทยและขนยาว และลายนี้จะค่อย ๆ จางลงเมื่ออายุได้ 6-8 เดือน ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัว เมีย โตเต็มที่ความยาวลำ ตัวและหัว 220-240 เซนติเมตร ความยาวหาง 5-10 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นดินถึงหัว ไหล่ 100 เซนติเมตร มีน้ำ หนัก 250-300 กิโลกรัม อุปนิสัย สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้ กิ่งไม้ หน่อไม้ และพืชอวบน้ำ หลายชนิด มักมุด หากินตามที่รกทึบ ไม่ค่อยชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่า มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก ผสมพันธุ์ในเดือน เมษายนหรือเดือนพฤษภาคม ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ ๑๓ เดือน สมเสร็จที่เลี้ยงไว้มีอายุนาน ประมาณ ๓๐ ปี 22
สมเสร็จ ที่อยู่อาศัย อาศัยและหากินอยู่ตามลำ พัง มักอาศัยในป่าที่มีความชื้นสูงและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ เนื่องจาก ชอบแช่น้ำ เมื่อหลบภัยก็จะหลบไปหนีแช่ในน้ำ จนกว่าแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงขึ้นมา รวมทั้งผสมพันธุ์ในน้ำ ด้วย มี ความสามารถว่ายน้ำ ได้เก่ง อาหารของสมเสร็จได้แก่ ยอดไม้อ่อน, ยอดหวาย, หน่อไม้ นอกจากนี้ยังกินดินโป่งเพื่อเพิ่ม แร่ธาตุให้แก่ร่างกาย ออกหากินในเวลากลางคืน มีนิสัยชอบถ่ายมูลซ้ำ ในที่เดิมจนเป็นกองใหญ่ มีสายตาไม่ดีนัก แต่มี ระบบประสาทดมกลิ่นและฟังเสียงที่ดีมาก มักใช้จมูกที่ยาวเหมือนงวงช้างช่วยในการดมกลิ่นหาอาหาร และใช้คอที่ หนาดันตัวเองเข้าพุ่มไม้ มีการเคลื่อนไหวตัวที่เงียบมาก สถานภาพ ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดย อนุสัญญาCITES ไว้ใน Appendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endanger Species Act. สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ การล่าสมเสร็จเพื่อเอาหนังและเนื้อ การทำ ลายป่าดงดิบที่อยู่อาศัยและหากิน โดยการตัดไม้ การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ และถนน ทำ ให้จำ นวนสมเสร็จลดปริมาณลงจนหาได้ยาก 23
เก้งหม้อ เก้งหม้อ หรือ กวางเขาจุก หรือ เก้งดำ หรือ เก้งดง (อังกฤษ: Fea's muntjac, Tenasserim muntjac; ชื่อวิทยาศาสตร์: Muntiacus feae) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่จำ พวกกวาง ลักษณะ มีลักษณะคล้ายเก้งธรรมดา แต่ต่างกันเก้งหม้อจะมีขนบริเวณลำ ตัวที่เข้มกว่า ใบหน้ามีสีน้ำ ตาลเข้ม บริเวณกระหม่อมและโคนขามีสีเหลืองสด ด้านล่างของลำ ตัวมีสีน้ำ ตาลอ่อน ขาทั้ง 4 ข้างมีสีดำ จึงเป็นที่มาของอีกชื่อ สามัญที่เรียก ด้านหน้าด้านหลังมีสีขาวเห็นได้ชัดเจน หางสั้น หางด้านบนมีสีเข้ม แต่ด้านล่างมีสีขาว มีเขาเฉพาะตัวผู้ เขาของเก้งหม้อสั้นกว่าเก้งธรรมดา ผลัดเขาปีละ 1 ครั้ง มีความยาวลำ ตัวและหัว 88 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร น้ำ หนัก 22 กิโลกรัม อุปนิสัย เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ ตามลาดเขา จะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ออกหากิน ในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว เวลาตั้งท้อง นาน ๖ เดือน ที่อยู่อาศัย ชอบอยู่ตามลาดเขาในป่าดงดิบและหุบเขาที่มีป่าหนาทึบและมีลำ ธารน้ำ ไหลผ่าน สถานภาพ องค์การสวนสัตว์ได้ประสบความสำ เร็จในการเพาะเลี้ยงเก้งหม้อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ในปัจจุบัน เก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและองค์การ IUCN จัดเก้งหม้อให้เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้ จะสูญพันธุ์ สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศ เนื่องจากมี เขตแพร่กระจายจำ กัด และที่อยู่อาศัยถูกทำ ลายหมดไปเพราะการตัดไม้ทำ ลายป่า การเก็บกักน้ำ เหนือเขื่อนและการ ล่าเป็นอาหาร เก้งหม้อเป็นเนื้อที่นิยมรับประทานกันมาก 24
เลียงผา เลียงผาใต้ (อังกฤษ: common serow, Sumatran serow, southern serow, mainland serow) เป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง อยู่ในอันดับสัตว์กีบคู่ วงศ์ Bovidae อันเป็นวงศ์เดียวกับแพะ, แกะ และวัว ลักษณะ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแพะ ลำ ตัวสั้น ขายาว ขนมีเส้นเล็กและหยาบ ขนตามลำ ตัวมีสีเทาอมดำ บริเวณ ท้องจะมีสีอ่อนกว่า สีของเลียงผาวัยอ่อนจะมีสีเข้ม แต่จะอ่อนลงเรื่อย ๆ เมื่อโตตามวัย จนดูคล้ายกับสีเทา สีขน บริเวณหน้าแข้งหรือใต้หัวเข่ามีสีดำ ตรงหัวเข่ามีสีน้ำ ตาลอมแดง มีแผงคอยาวในบางตัวอาจพาดไปถึงหัวไหล่ มีต่อม ขนาดใหญ่อยู่ใต้ตาเห็นได้ชัดเจน ริมฝีปากมีสีขาว หูยาวคล้ายลา มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีรูปร่างคล้ายเขาของแพะ แต่เขาตัวเมียจะสั้นกว่าตัวผู้ โดยทั่วไปมีขนาดเล็กกว่าเลียงผาเหนือ มีขนาดความยาวลำ ตัวและหัว 140-155 เซนติเมตร ความยาวหาง 115- 160 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 85-94 เซนติเมตร น้ำ หนัก 85-100 กิโลกรัม อุปนิสัย ในเวลากลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในพุ่มไม้ ออกหากินในตอนเย็นถึงพลบค่ำ และในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด เลียงผามีประสาทหู ตา และรับกลิ่นได้ดี ผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตกลูกครั้ง ละ ๑-๒ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องราว ๗ เดือน ในที่เลี้ยง เลียงผามีอายุยาวกว่า ๑๐ ปี 25
เลียงผา ที่อยู่อาศัย มักอาศัยและหากินตามลำ พังบนภูเขาสูงหรือหน้าผา ที่มีพุ่มไม้เตี้ยขึ้นอยู่ กินพืช เช่น ใบไม้และยอด ไม้เป็นหลัก ปีนหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว ออกหากินในเวลาเช้าตรู่ และพลบค่ำ นอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวัน ตามพุ่มไม้ ชอบลับเขาตามต้นไม้หรือโขดหินที่เคยทำ อยู่ประจำ มีนิสัยชอบถ่ายมูลซ้ำ ที่เดิม ว่ายน้ำ เก่ง เคยมีรายงาน หลายครั้งว่า สามารถว่ายน้ำ ข้ามแม่น้ำ ขนาดใหญ่ได้ หรือบางครั้งอาจว่ายไปมาระหว่างเกาะในทะเลได้ด้วย เมื่อพบ ศัตรูจะยืนอยู่นิ่ง ๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงกระโจนหลบหนีไป มีประสาทหูและตาดีเยี่ยม จมูกรับกลิ่นดีมาก มีฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 7 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว สถานภาพ เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดเรียง ผาไว้ใน Appendix I สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ ในระยะหลังเลียงผามีจำ นวนลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการล่าอย่างหนักเพื่อ เอาเขา กระดูก และน้ำ มันมาใช้ทำ ยาสมานกระดูก และพื้นที่หากินของเลียงผาลดลงอย่างรวดเร็ว จากการ 26
พะยูน พะยูน เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เป็นสัตว์น้ำ ชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้รับการกำ หนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon อยู่ในอันดับพะยูน (Sirenia) ลักษณะ พะยูนมีรูปร่างคล้ายแมวน้ำ ขนาดใหญ่ที่อ้วนกลมเทอะทะ ครีบมีลักษะคล้ายใบพายซึ่งมีวิวัฒนาการมา จากขาหน้าใช้สำ หรับพยุงตัวและขุดหาอาหาร ไม่มีครีบหลัง ไม่มีใบหู ตามีขนาดเล็ก ริมฝีปากมีเส้นขนอยู่โดยรอบ ตัวผู้บางตัวเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะมีฟันคู่หนึ่งงอกออกจากปากคล้ายงาช้าง ใช้สำ หรับต่อสู้เพื่อแย่งคู่กับใช้ขุดหาอาหาร ใน ตัวเมียมีนมอยู่ 2 เต้า ขนาดเท่านิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ถัดลงมาจากขาคู่หน้า สำ หรับเลี้ยงลูกอ่อน มี ลำ ตัวและหางคล้ายโลมา สีสันของลำ ตัวด้านหลังเป็นสีเทาดำ หายใจทางปอด อุปนิสัย พะยูนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝูงใหญ่ ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว ใช้เวลาตั้ง ท้องนาน ๑๓ เดือน และจะโตเต็มที่เมื่อมีอายุ ๙ ปี ที่อยู่อาศัย ชอบอาศัยหากินพืชจำ พวกหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่ง ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน สถานภาพ ปัจจุบันพบพะยูนน้อยมาก พยูนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มเล็กหรืออยู่โดดเดี่ยว บางครั้งอาจจะเข้า มาจากน่านน้ำ ของประเทศใกล้เคียง พะยูนจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดย อนุสัญญา CITES ไว้ใน Appendix I สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากพะยูนถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร ติดเครื่องประมงตาย และเอาน้ำ มันเพื่อเอา เป็นเชื้อเพลิง ประกอบกับพะยูนแพร่พันธุ์ได้ช้ามาก นอกจากนี้มลพิษที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตาม ชายฝั่งทะเล ได้ทำ ลายแหล่งหญ้าทะเล ที่เป็นอาหารของพยูนเป็นจำ นวนมาก จึงน่าเป็นห่วงว่าพะยูนจะสูญสิ้นไปจาก ประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ 27
บรรณานุกรม 1.กรมทรัพรัยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฝั่ .พระราชบัญบัญัติญัสติงวนและคุ้มคุ้ครองสัตสัว์่ป่ว์่ าป่พ.ศ2562[ออนไลน์]น์.2562จาก https://www.dmcr.go.th/detailAll/32592/nws/255[สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 5 มกราคม 2566] 2.สวนสัตสัว์อุ ว์ บ อุ ลราชธานี.นี สัตสัว์ป่ว์ าป่สงวน[ออนไลน์]น์.2565จาก https://www.zoothailand.org/ewtadmin/ewt/ubon_th/ewt_news.php?user=wm&nid=489&fbclid [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 5 มกราคม 2566] 3. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.สัตสัว์ป่ว์ าป่สงวน[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/สัตสัว์ป่ว์ าป่สงวน [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 5 มกราคม 2566] 4. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.นกเจ้า จ้ฟ้า ฟ้ หญิงญิสิริสินริธร[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/นกเจ้า จ้ฟ้า ฟ้ หญิงญิสิริสินริธร [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 5 มกราคม 2566] 5. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.แรดชวา[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/แรดชวา [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 6 มกราคม 2566] 6. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.กระซู่[ซู่ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/กระซู่[สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 6 มกราคม 2566] 7. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.กูป กู รี[รี ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/กูป กู รี [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ วันวัที่ 6 มกราคม 2566] 8. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.ควายป่าป่ [ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ควายป่าป่ [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 7 มกราคม 2566] 9. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.ละอง[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ละอง [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 7 มกราคม 2566] 10. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.สมันมั[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/สมันมั [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 7 มกราคม 2566] 11. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.กวางผา[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/กวางผา [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 9 มกราคม 2566] 12. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.นกแต้ว ต้ แล้ว ล้ ท้อ ท้ งดำ [ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/นกแต้ว ต้ แล้ว ล้ ท้อ ท้ งดำ [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 9 มกราคม 2566] 13. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.นกกระเรีย รี น[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/นกกระเรีย รี น [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 9 มกราคม 2566] 14.วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.แมวลายหินหิอ่ออ่น[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/แมวลายหินหิอ่ออ่น [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 9 มกราคม 2566] 15.วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.สมเสร็จ ร็[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/สมเสร็จ ร็ [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 10 มกราคม 2566] 16. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.เก้ง ก้ หม้อ ม้[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เก้ง ก้ หม้อ ม้ [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 10 มกราคม 2566] 17. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.เลีย ลี งผา[ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เลีย ลี งผา [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 12 มกราคม 2566] 18. วิกิวิพีกิเ พี ดีย ดี สารานุก นุ รม.พะยูน ยู [ออนไลน์]น์.2565จาก https://th.wikipedia.org/wiki/พะยูน ยู [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 12 มกราคม 2566] 19.Manod Taengtum.Taengtum White-eyed River-Martin[ออนไลน์]น์.2550จาก http://www.lowernorthernbird.com/checklist.php?c_id=433&fbclid [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 12 มกราคม 2566] 20สำ นักนัอนุรั นุ กรัษ์สั ษ์ ตสัว์ป่ว์ าป่ .โปรเตอร์สั ร์ ตสัว์ป่ว์ าป่สงวน[ออนไลน์]น์.2562จาก http://portal.dnp.go.th/Content/WildlifeConserve?contentId=17144[สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 13 มกราคม 2566] 21LINETODAY.15 พันพัธุ์สัธุ์ตสัว์ส ว์ งวนในประเทศไทย[ออนไลน์]น์.2563จาก https://today.line.me/th/v2/article/R6O7nz [สืบ สื ค้น ค้ เมื่อ มื่ 13 มกราคม 2566]
สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ระดับชั้น ปวช.3/3 ประวัติผู้จัดทำ สัตว์ป่าสงวนของไทย Thailand's protectcd wildlife จัดทำ โดย นางสาวนภัสสร ฉลาดพันธ์ รหัสนักศึกษา 63202040062 นางสาวชลธิชา ปิ่นทอง รหัสนักศึกษา 63202040074 นางสาวจิราภา ใจคำ รหัสนักศึกษา 63202040061
สัต สั ว์ป่ว์ า ป่ สงวนของไทย สัต สั ว์ป่ว์ า ป่ สงวนของไทย THAILAND'S PROTECTCD WILDLIFE Chonthicha Pinthong Jhirapha Jaikam ร วมสัตว์ป่าสงวนของไทย 15 ชนิด ให้คว ามรู้และอนุรักษ์สัตว์ป่าสงวน ให้ทุกคนได้อ่านได้ศึกษา Includ ing 15 s p e ci e s o f c ons e r v e d wi l d l if e in Tha i l and E duc a t e and c ons e r v e wi l d l if e c ons e r v a ti on f o r e v e r y one t o r e a d and s tud y Napat son Chaladpun