51 3. รอยลิปสติก : ถ้าเปื้อนมากให้ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันที่มีอยู่ในลิปสติกออกจากผ้าก่อน แล้วใช้ผ้าชุบน้ำมันเบนซินหรือแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เช็ด ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วซักด้วยผงซักฟอก 4. หมากฝรั่ง : ให้เอาปลายมีดขูดเบาๆ บนรอยเปื้อนกอกด้วยไข่ขาว หรือแช่น้ำมันสน จากนั้นซักด้วยผงซักฟอก 5. สนิมเหล็ก : ถ้าเปื้อนบนผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน สามารถทำให้รอยเปื้อนหายไปอย่างสนิทได้ ถ้าไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน ควรนำมาชุปน้ำให้เปียก แล้วโรยเกลือ บีบมะนาวชยี้หลายๆครั้งแล้วซักให้มดคราบหมด กลิ่นด้วยผงซักฟอก 6. โลหิต : ผ้าที่เปื้อนเลือกควรซักทันที และไม่ควรให้ถูกความร้อน เพราะจะทำให้เลือด เกาะติดแน่น ดังนั้นจึงควรใช้น้ำเย็น แช่ทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง ถ้ามีรอยเปือนมากให้ใช้ผ้าชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ถูตรงรอยเปื้อนแล้วซักให้หมดคราบหมดกลิ่นด้วยผงซักฟอก 7. ยางจากดอกไม้ใบไม้ : ให้นำผ้าที่เปื้อนมาแช่ในสบู่เข้มข้นและร้อน ทิ้งไว้สักครู่หนึ่งแล้ว กำจัดคราบสนิทด้วยผงซักฟอก 8. เทียนไขหรือขี้ผึ้ง : ให้ใช้ปลายมีดขูดออกเบาๆ ก่อนแล้วใช้กระดาษซับนุ่มๆวางช้อนทั้ง ข้างล่างและข้างบน รีดทับด้วยความร้อนจากเตารีด เทียนไขและขี้ผึ้งจะละลายติดกระดาษขับออกา จากนั้น ซักด้วยผงซักฟอกในน้ำค่อนข้างอุ่น 9. โคลน : ควรปล่อยไว้ให้แห้งก่อน แล้วใช้แปรงปัดออก ซักด้วยน้ำเย็นหลายๆครั้ง จนไม่มีสี น้ำโคลนออกมา แล้วจึงซักด้วยผงซักฟอก ข้อพึงระวังคือไม่ควรซักในน้ำสบู่อุ่นๆ เพราะจะทำให้ผ้ากลายเป็นสี แดงหรือสีเหลืองได้ ซึ่งจะทำให้ซักออกยาก 10. กาว : ให้นำมาแช่ในน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบกรดน้ำส้มสายชูเช็ดตรงรอยเปื้อนหลายๆครั้งแล้ว ค่อยซักด้วยผงซักฟอก 11. น้ำหมึก : ถ้าสามารถนำออกซักได้ทันทีจะทำให้รอยเปื้อนหมดไปได้ให้ใช้เกลือโรยตรง รอยเปื้อนแล้วบีบมะนาว ขยี้หลายๆครั้ง นำวางอังบนไอน้ำเดือดจะช่วยให้คราบหลุดออกไปได้ง่ายมากขึ้น จากนั้นนำมาแช่ในน้ำ แล้วซักด้วยผงซักฟอกให้หมดคราบรอยเปื้อน
52 12. น้ำผลไม้หรือน้ำมันพืช : ให้ขึงผ้าบนปากถัง แล้วเทน้ำเดือดราดตรงรอยเปื้อน คราบจะ หลุดออกได้ง่าย แล้วซักด้วยผงซักฟอก ผ้าจะสดใสไม่มีรอยเปื้อนดังเดิม 13. มัสตาด : ให้ใช้น้ำส้มสายชูเช็ด แล้วนำไปซักด้วยผงซักฟอก 14. น้ำมันตับปลา : ให้ใช้น้ำมันหมูทาตรงรอยเปื้อน ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง แล้วซักด้วย ผงซักฟอก 15. น้ำยาทาเล็บ : อย่ารีบร้อนเช็ดออก เพราะจะทำให้ยาทาเล็บขยายวงกว้างออกไป น้ำยา ประเภทนี้จะติดทนกับเสื้อผ้า ถ้าเปื้อนมากให้ใช้ อซิโตน มาหยุดตรงรอยเปื้อนจะทำให้คราบจางไปจากนั้นซัก ด้วยผงซักฟอกอีกครั้งให้หมด 16. รอยไหม้จากเตารีด : ขึงผ้าตรงที่มีรอยเปื้อนไว้บนหม้อต้อมน้ำหรือกาที่กำลังเดือด เพื่อให้ไอน้ำพุ่งขึ้นมา ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำมะนาวผสมเกลือแล้วเช็ดตรงรอยเปื้อน ล้างออกด้วยน้ำแล้วซักให้หมด คราบใหม่ด้วยผงซักฟอก 17. น้ำชา : ให้แช่ในน้ำอุ่นๆแล้วซักด้วยผงซักฟอก 4. การซักผ้า การซักผ้านั้นควรเริ่มด้วยการแยกซักผ้าชาวและผ้าสีออกจากกัน ผ้าสีตกควรแยกซักต่างฟาก ด้วยมือ ถ้าเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ มีวิธีทดสอบง่ายๆ ว่าสีตกหรือไม่ด้วยการทดลองซักเศษผ้า หรือมุมผ้าดูประมาณ 2-3 นาที ถ้าน้ำเปลี่ยนสีแสดงว่าสีตก การซักผ้าทำได้ 2 วิธี คือ 1. การซักด้วยมือ 2, การซักด้วยเครื่องซักผ้า 4.1 การซักผ้าด้วยมือ ควรปฏิบัติดังนี้ 1. ซักผ้าก่อนที่จะสกปรกมาก 2. ตรวจแนวชำรุดและรอยขาด ซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนซัก
53 3. แยกผ้าสีและผ้าขาวออกเป็นพวก ๆ แล้วซักผ้าสีขาวก่อน 4. ล้างน้ำผ้าที่จะซักก่อนหนึ่งครั้ง จึงนำไปแช่ในน้ำผสมสารซักฟอก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ขยี้ผ้าเพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากผ้า 5. ซักด้วยน้ำสะอาด 3-4 ครั้งให้สะอาดแล้วนำไปผึ่งให้แห้ง 4.2 การซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ปัจจุบันไม่มีเคมีใดที่สามารถขจัดสิ่งสกปรกออกได้โดยไม่ต้องใช้แรงขัดสี ดังนั้น เครื่องซักผ้าจึงทำให้เกิดแรงขัดสี โดยเกิดจากแรงเหวี่ยงของเครื่องซักผ้า ซึ่งจะทำให้ 1. สร้างแรงเสียดทานระหว่างเนื้อผ้าเพื่อให้เกิดแรงขัดสี 2. เพิ่มอัตราการหมุนเวียนของน้ำซักผ้า ในขณะซักผ้าน้ำจะถูกสลัดออกและดูดซึม กลับเข้าไปอีก ทำใหสิ่งสกปรกหลุดไป 3. ช่วยให้อณูของสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากเนือผ้าแขวนลอยอยู่ในน้ำได้ง่ายขึ้น 5. การซักเปียก การซักเปียก หมายถึง การทำความสะอาดเสื้อผ้าโดยการใช้น้ำเป็นสิ่งสำคัญ ในการทำความ สะอาดซึ่งจะเลือกใช้สารทำความสะอาดตัวไดก็ได้ ที่พิจารณาเห็นว่าเหมาะสมกับเส้นใยชนิดนั้นๆเพราะสารทำ ความสะอาดแต่ละตัว มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ผงซักฟอกซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะ ถือว่าซักผ้าได้สะดวกกว่า มี่ด่างเกิดขึ้นในน้ำซักสามารถใช้กับกรดหรือเกลือเพื่อช่วยให้สีตกน้อยลง ถึงแม้ว่าจะ ซักออกไม่หมดในเวลาซักผ้าก็ไม่บังเกิดผลร้ายในผ้าบางชนิด สำหรับสบู่ใช้ได้ดีเฉพาะฝ้ายและลินินเท่านั้น ใช้ ซักเรยอนได้เหมือนกัน แต่ต้องซักน้ำสบู่ออกให้หมดจริงๆ การเตรียมผงซักฟอกและสบู่ให้เหมาะสมกับชนิดของผ้า ถ้าพิจารณาจากคุรภาพในการทำ ความสะอาดแล้ว อาจแบ่งออกได้เป็น 5 ชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดทำความสะอาดผ้าได้ไม่เท่ากัน 1. สบู่ที่ใช้สำหรับผ้าเปื้อนน้อยเป็นสบู่ธรรมดาไม่มีสารพิเศษใดๆ เพิ่มขึ้น นิยมใช้ซักผ้าที่มี เนื้อบางเบาทออย่างสวยงาม เย็บประณีตและผ้าที่มีสีไม่ทน เช่น สบู่อ่อน
54 2. สบู่ที่ใช้สำหรับผ้าที่เปื้อนมากเป็นสบู่ธรรมดา แต่เพิ่มด่างพิเศษเพื่อให้มีอำนาจในการทำ ความสะอาดมากขึ้น อาจเติมสารที่ช่วยลดความกระด้างของน้ำลงไปด้วย เช่น ผงซักฟอกที่จำหน่าย 3. ผงซักฟอกชนิดฟองมากใช้กับผ้าเปื้อนน้อยสำหรับซักด้วยมือ ไม่เหมาะสำหรับเครื่องซักผ้า ผ้าเนื้อบาง ผ้าที่สีไม่ใคร่ทน เช่น สบู่เหลว 4. ผงซักฟอกชนิดฟองมากใช้กับผ้าเปื้อนมาก ต้องเพิ่มสารที่จะไปช่วยทำความสะอาดให้ มากชึ้นเหมาะสำหรับใช้กับเครื่องซักผ้า เช่น ตามประเภทีที่เครื่องซักผ้ากำหนด 5. ผงซักฟอกชนิดฟองน้อย ผลิตขึ้นมาใช้กับเครื่องซักผ้า บางชนิดที่ผงซักฟอกมีฟองมากจะ ซักผ้าไม่สะอาด แต่ผงซักฟอกชนิดนี้จะนำไปใช้ซักผ้าทั่วๆไปไม่ได้ เพราะอำนาจในการซักจะไม่เหมือนกัน จะต้องใช้เฉพาะกับเครื่องซักผ้าเท่านั้น สบู่และผงซักฟอกปัจจุบันผสมสารสีสวลลงไปด้วย ทำให้ผ้าดูมีสีสะอาดนวลใยมากขึ้นเมื่อมี แสงสว่าง แต่ถ้าเป็นวันซึ่งมีเมฆหมอกมากหรือในแสงไฟฟ้าจะมีสีคล้ำตามเดิม เพราะสารสีสวลหรือที่เรียกกัน ว่าผงฟอกนวลนั้นมิได้ไปฟอกเสื้อผ้าให้ขาวแต่ไปเคลือบเส้นใยไว้ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบอีกชนิดหนึ่งมีชื่อ การค้าว่า CMC เป็นสารที่ช่วยให้ความสกปรกที่สบู่หรือผงซักฟอกละลายออกจากเสื้อผ้าไม่ให้กลับเข้าไปในผ้า อีก แต่มิได้ช่วยให้ผ้าขาวขึ้น เมื่อเตรียมสารทำความสะอาดแล้ว สิ่งสำคัญในการซัก คือ น้ำ ภาชนะสำหรับใช้เป็นเครื่อง ทุ่นแรง กระดานซักผ้า แปรง และเครื่องซักผ้า สถานที่ ฯลฯ แปรงซักผ้าไม่ควรใช้แปรงขนแข็ง ควรเป็นแปรง ขนนุ่มๆ อาจทำด้วยพลาสติกหรือแปรงสีฟันเก่าก็ใช้ได้ การเตรียมผ้าก่อนการซัก การทำความสะอาดเสื้อผ้าควรทำทุกวันหลักจากใช้แล้ว เพราะผ้าเปื้อนแล้วรีบซักจะง่ายกว่า ผ้าที่ทิ้งไว้นอน สิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นละอองและเหงื่อไคล รอยเปรอะเปื้อนต่างๆ จะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อผ้าทำ ความสะอาดยาก เสื้อผ้าจะขาดเร็วสิ้นเปลืองเวลาและแรงงานในการขยี้ บางชนิดไม่จำเป็นต้องซักทุกวัน เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ เสื้อผ้าที่ไม่เปรอะเปื้อนมาก การเตรียมตามลำดับขั้นต่อไปนี้จะเป็นการช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และเงิน 1. แยกชนิดของผ้าและถอดเครื่องตกแต่งที่ถอดออกได้ออกเสียก่อน
55 2. ซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ชำรุด 3. กำจัดรอยเปื้อน 4. นำไปซัก การแยกชนิดของผ้า อาจแยกออกได้ดังนี้ ก. สีของผ้า ผ้าขาว ผ้าสี ข. ชนิดของเส้นใย ใยธรรมชาติ ใยสังเคราะห์ ค. ลักษณะของความเปื้อน ผ้าที่เปื้อนมาก ผ้าที่เปื้อนน้อย ง. ชนิดของเสื้อผ้า ได้แก่ เสื้อ กางเกง เสื้อเด็กอ่อน เครื่องนอย เสือผ้าก่อนซัก ควรถอดหรือปลดเครื่องตกแต่งที่ถอดได้ออกเสียก่อน เช่น กระดุมเข็มกลัด หัวเข็มขัด โบว์ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการซัก และช่วยไม่ให้เครื่องตกแต่งเหล่านี้เสียรูปทรงหรือเกิดความ เสียหาย การซ่อมแซมเสื้อ้าที่ชำรุด เช่น ติดกระดุม ขอเกี่ยว ซ่อมแซมชายเสือ ชายกระโปรง ติดซิป ปะรอยขาด เปลี่ยนยางยืด การกำจัดรอยเปื้อน เสื้อผ้าบางชนิดมีรอยเปื้อนมากไม่สามารถซักออกได้ด้วยวิธีธรรดา เช่น เปื้อนน้ำมัน น้ำหมีก สนิม ยางผลไม้ เลือด ควรกำจัดรอยเปื้อนก่อนซัก และทำโดยเร็วอย่าทิ้งไว้นาน เพราะ รอยเปื้อนจะแทรกซึมเข้าในเนื้อผ้า ก่อนลงมือกำจัดรอยเปื้อนให้สังเกตก่อนว่าเป็นเส้นใยอะไร และรอยเป้อน อะไร ทั้งนี้เพื่อจะหาวิธีลบรอยเปื้อนได้อย่างถูกต้องและได้ผลดีที่สุด วิธีซัก 1. แซ่ผ้าในน้ำเย็นก่อนประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้ฝุ่นละอองและเหงื่อไคลหลุดออกจากผ้า จะได้ซักง่าย ประหยัดเวลา แรงงา ไม่ต้องเสียแรงขยี้มากในการแซ่เอาสิ่งสกปรกออกช่วยให้น้ำกระด้างน้อยลง ไม่เปลืองผงซักฟอก เป็นการประหยัดเงินได้อีกด้วย
56 2. การซักหรือการทำความสะอาด เลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับผ้าแต่ละชนิด เช่น การซัก ยกทรงไม่ควรแช่รวมกับผ้าอื่นๆ เพราะถ้าหากเสื้อผ้านั้นสกปรก เวลาแช่ร่วมกันความสกปรกก็จะซึมเข้าอีลา สติกได้ง่าย ใช้วิธีขยำไม่ขยี้ วิธีบิดยกทรงให้เอาผ้าขนหนูแห้งๆ ห่อยกทรงเสียก่อน แล้วจับบีบน้ำให้ออกจาก ยกทรงน้ำจะซึมเข้าผ้าขนหนู ยกทรงจะแห้งกว่าใช้มือบีบธรรมดา แล้วเอาผึ่งลม ถุงน่องหรือกางเกงชั้นในจะทำ ความสะอาดมากน้อยเพียงไรชึ้นอยู่กับการใช้ และชนิดของเส้นใยนั้นๆ การทำความสะอาดถ้าทำถูกวิธีจะช่วย รักษาเสื้อผ้า เครื่องใช้นั้นให้คงทนและดูใหม่เสมอ การล้างเสื้อผ้าน้ำสุดท้าย ควรเติมน้ำส้มสายชูกลั่นลงไปเล็กน้อย จะเป็นการช่วยรักษาสีของ เสื้อผ้าให้คงทน เพราะในน้ำส้มสาบชูนี้มีกรดเพียง 5% กรดนี้ไม่สามารถทำลายคุณภาพของเส้นใยได้ แต่มี คุณภาพแรงพอที่จะทำลายด่างในผงซักฟอกได้ ตามร้านรับจ้างซักรีดมักจะนิยวิธีนี้ เพื่อช่วยรักษาสีของเสื้อผ้า ให้ลูกค้า 3. การตกแต่งผ้า เช่น ลงคราม เพื่อช่วยให้ผ้าสีขาวดูสะอาดสดใสขึ้น ห่อนลงครามใช้เกลือ หรือโซดาซักผ้าก้อนเล็กๆ ละลายในน้ำร้อน แล้วเจือลงในน้ำคราม จะช่วยให้การลงครามผ้ามีสีสม่ำเสมอ การตกแต่งให้ผ้านุ่ม ก็ใช้น้ำยาปรับผ้าให้นุ่มแซ่จะเป็นการไปคลายความกระด้างของเส้นใยทำ ให้ผ้านุ่มน่าใช้ การตกแต่งให้ผ้าแข็ง ใช้สำหรับผ้าบางชนิดที่ต้องการให้คงรูปหรืออยู่ตัว เช่น ผ้าไหม หรือผ้า แก้ว เป็นต้น 4. การตากใช้วิธีแขวนตากหรือตากในที่ร่ม ปัจจุบันในโรงแรมจะใช้อบผ้าให้แห้งด้วย เครื่องอบผ้า บริเวณสำหรับการซักรีดอาจจัดเป็นห้องๆหนึ่ง ควรอยู่ชั้นล่างสุดของตัวอาคาร ประกอบด้วย หน่วยต่าง ๆ ดังนี้ หน่วยเตรียม หน่วยซัก หน่วยอบ หน่วยรีด หน่วยเก็บ วิธีซักผ้ามีทั้งซักด้วยมือและซักด้วย เครื่อง การซักด้วยมือราจะดูตามลักษระของผ้าที่นำมาซักว่าควรขยี้หรือขยำเบาๆ และเลือกขยี้ตรงที่เปื้อน มากๆ เช่นบริเวณคอ แขนก่อน หรือจะใช้แปรงขนนิ่มๆแปรงเพื่อเป็นการผ่อนแรง
57 การอบผ้า เครื่องอบผ้าที่พบเห็นทั่วไปมี 3 ชนิด 1. ใช้ไฟฟ้า 2. ใช้แก้ส 3. ใช้ไอน้ำ สถานที่ซักรีดส่วนใหญ่จะมีเครื่องซักและสลัดในตัว ในกรณีถ้าเครื่องซักผ้าไม่มีเครื่องสลัดก็จะ หาเครื่องสลัดมาต่างหาก ซึ่งต้องเตรียมพื้นที่เพิ่มเติมไว้เมื่อสลัดผ้าให้น้ำออกจากผ้าหมดแล้วจึงนำมาใส่ใน เครื่องอบผ้าเพื่ออบให้ผ้าแห้ง 6. การซักแห้ง น้ำยาซักแห้ง ( Drycleaning Solvents ) คุณสมบัติของน้ำยาซักแห้ง น้ำยาซักแห้งที่ใชในปัจจุบันมี 3 ประเภท ซึ่งต่างก็มีองค์ประกอบ และคุณสมบัติแตกต่างกันหลายประการ ประเภทแรก คือ ตัวทำละลายประเภทสารประกอบไฮโดรคาร์บอน คลอรีเนตเตท ซึ่งนิยมใช้มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา รองลงมาคือ ตัวทำละลายที่ได้จากน้ำมันดิบ ประเภทที่สาม คือ ตัวทำละลายประเภทสารสังเคราะห์ฟลูออโรคาร์บอน พิจารณาเลือใช้อย่างเหมาะสม คุณสมบัติของน้ำยาซักแห้งที่ดีมีดังนี้ 1. สามารถชจัดรอยเปื้อนจากไขมัน น้ำมัน โดยไม่ทำอันตรายต่อเส้นใยและผ้า 2. ไม่มีกลิ่นน้ำยาซักแห้งติดอยู่บนผ้าหลังจากที่ซักเสร็จแล้ว 3. น้ำยาซักแห้งต้องไม่ทำอันตรายต่อส่วนประกอบของเครื่องซักแห้งที่เป็นโลหะ หรือทำให้ ส่วนที่เป็นท่อ ข้อต่อ ที่ปั้มน้ำขยายตัวออกมา 4. ต้องมีการระเหยตัวอย่างเหมาะสมเพียงพอ
58 5. สามารถใช่ร่วมกับสารซักล้า Detergent แล้วเกิดความชื่นอย่างเพียงพอ เพื่อจะชำระรอย เปื้อนประเภทท่ละลายในน้ำได้ สารซักล้าง Detergent หลายชนิดละลายในน้ำยาซักแห้งได้ดี แต่ไม่อาจขจัด รอยเปื้อนได้ คุณสมบัติของน้ำยาซักแห้งแต่ละชนิด 1. เปอร์โคลอโรเอทิลีน (Perchloroethylene)และไตรคลอดรอีเทน (Trichloroethane) ทั้งสองชนิดเป็นคลอรีเนเตดโฮโดรคาร์บอน ซึ่งได้จากการเติมคลอรีนลงในสารไฮโดรคาร์บอน สารชนิดนี้มี หลายชนิด แต่มีคุณสมบัติเคมีเหมือนกัน คุณสมบัติป้องกันการกัดทำลายแตกต่างกัน ขึ้นกับการใชใน อุตสาหกรรมแต่ละประเภท ดังนั้นเปอร์โคลอโรเอทิลีนอาจจะเหมาะสมกว่าในการซักแห้ง ส่วนไตรคลอดโรอีเท นซึ่งผลิตมุ่งใช้ด้านอุตสาหกรรม สารพวกนี้ล้างไขมันได้ดีมากแต่กัดมือ 2. สารละลายจากปิโตรเลียม ( Petroleum Solvents ) ได้จากขบวนการกลั่นน้ำมันดิบ โครงสร้างอยู่ระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันก๊าด เนื่องจากเป็นสารผสมไฮโดรคาร์บอนจึงมีแต่ไฮโดรเจนและ คาร์บอนเท่านั้น สารละลายจากปิโตรเลียมที่ผลิตเพื่อใช้ในด้านอุตสาหกรรมมี 4 ชนิด คือ สต๊อดดาร์ดโซล เว้นท์ ( Stoddard Solvent ) สารละลาย 140 เอฟ ( 140 F Solvent ) สารละลายไร้กลิ่น ( Odorless Solvent ) และสารละลายแห้งเร็ว ( Fast Dry Solvent ) ซึ่งทั้ง 4 ชนิดนี้ผสมเข้ากันได้ดี สารละลายจาก ปิโตรเลียมจะติดไฟที่อุณหภูมิตั้งแต่ 100F สารพวกนี้ราคาถูกใช้ง่ายแต่ติดไฟได้ 3. สารละลายฟลูออโรคาร์บอน ( Fluorocabon Solvent ) สารละลาย F-113 เป็นสารเคมี ที่มีควาอยู่ตัวมากที่สุด ประกอบด้วยฟูลูออรีน คลอรีนและคาร์บอน น้ำยาซักแห้งที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาใช้ F113 ผสม Detergent และ Addtives เช่น พวก Valclene F-113 ผลิตมาจากเปอร์โคลโรเอทิลีน วิธีขจัดรอยเปื้อน มีปัจจัยหลายประการที่จำทำให้การขจัดรอยเปือนทำได้ง่ายขึ้น ปัจจัยเหล่านี้คือ 1. ตัวทำละลาย ( Solvent ) สารละลายมีคุณสมบัติกำจัดรอบเปื้อนจากน้ำมันไขมัน ได้เป็น อย่างดี แต่ตัวทำละลายไม่อาจชำระรอยเปื้อนชนิดที่ละลายน้ำได้ เพราะมีปริมาณความชื้นไม่พอเพียงจะดึง คราบสกปรกออกจากผ้าได้ ความชื้นอาจเกิดขึ้นจากสภาพอากาศขณะนั้น หรืออาจได้จากสารที่ใช้ขจัดรอย สกปรกเฉพาะที่หรือการเติมความชื่นในเครื่องซักแห้ง การใช้สารซักแห้งจะช่วยให้เกิดความชื้นเพียงพอสำหรับ การขจัดรอยเปื้อนประเภทนี้ แต่หากความชื่นเกิดมากไป จะทำให้ผ้าบางชนิดเกิดการหดตัว วิธีการทำความ
59 สะอาดที่ดีจึงขึ้กับการปรับความชืนให้เหมาะสม หรือให้ใช้น้ำยาทาร์โก ( Tarko ) ที่มีส่วนผสมของตัวทำ ละลาย และสารซักล้างที่เหมาะมกับรอยเปื้อนดังกล่าว 2. วิธีการซักหรือเข่าโดยเครื่อง ( Mechanical Action ) การซักด้วยเครื่องมีความสำคัญยิ่ง ในการทำความสะอาด หากใส่ผ้าปริมาณมากเกินกำหนด เครื่องทำงานได้ไม่เต็มที่ ผ้าจะไม่สะอาดเท่าที่ควร ค่าที่กำหนดกัโดยทั่วไปสำหรับเครื่องซักแห้งแบบธรรมดา ขนาดความจุ 1 ลูกบาศก์ฟุต ใส่ผ้าจำนวนไม่เกิน 3 ปอนด์ หากเป็นเครื่องซักแห้งแบบต่อเนื่อง หรือแบบอุโมงค์จะใส่ปริมาณผ้าได้ 4-4.5 ปอนด์/ความจุ 1 ลูกบาศก์ฟุต 3. อัตราการไหลของตัวทำละลาย ( Flow Rate ) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขจัดรอย เปื้อนเพราะจะช่วยมีให้สิ่งสกปรกที่หลึดออกมาแล้วย้อนกลับมาติดเนื้อผ้าอีก อัตราการไหลของตัวทำละลาย จะต้องแรงพอที่จะล้างิ่งสกปรกเข้าสู่เครื่องกรองค่าที่เหมาะสม คือ การไหลของตัวทำละลาย 1 แกลลอน/ วินาที สำหรับความจุของเครื่องทก 1 ปอนด์ 4. สารซักแห้ง มีบทบาทสำคัญยิ่งในการขจัดรอยเปื้อนน้ำมันซักแห้งทำความสะอาดเฉพาะ รอยเปื้อนจากสารที่ละลาย ตัวทำละลายได้ หากเป็นรอยเปื้อนจากสารท่ละลายในตัวทำละลายไม่ได้ จะต้องใช้ สารซักล้างเข้าช่วย สารนี้จะป้องกันมิให้คราบสกปรกย้อนกลับมาติดบนผ้าอีก น้ำมันซักแห้ง เป็นสารเคีประเภทไฮโดรคาร์บอนที่ไม่ติดไฟ เรียก เปอร์โคลอโรเอธิลีน ระเหย ได้แห้งเร็วมาก ไม่ทำลายเนื้อผ้า สีของผ้า ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อในท้องตลาดคุณภาพและราคาไม่แตกต่างกัน มากนัก ควรเลือกซือจากผู้ที่เข้าใจกับงานซักแห้ง และมีแผนกบริการให้คำปรึกษาแก่ท่านได้ เพราะสามารถ ทดแทนกันได้ เช่น เปอร์สเคบิลของโซลเวย์ ประเทศเบลเยี่ย หรือเปอร์โคลน ดี ของ ไอ.ซี.ไอ. ประเทศ อังกฤษ เป็นต้น น้ำมันนี้จะกัดมือและถ้าหายใจเข้าไปมาก ๆ อาจจะเป็นโรคมะเร็บงได้ น้ำมันก๊าดขาวหรือเบนซีนขาว เป็นสารละลายไฮโดรคาร์บอนที่ระเหยง่าย ราคาถูกกว่าแต่ติด ไฟได้ มากจากโรงกลั่นน้ำมัน ใช้ในกรณีไม่มีเครื่องซักผ้า
60 บทที่ 6 การจัดการห้องผ้า 1. การบริการซักรีด ( Laundry Service ) การบริการซักรีด เป็นการทำความสะอาดผ้าให้สะอาดปราศจากสิ่งสกปรก และทำให้ผ้านั้นเรียบร้อย โดยใช้เตารีดหรือเครื่องรีดผ้า โดยผ้าที่ซักรีดจะเป็นผ้าของโรงแรมและผ้าของแขก การซักรีดประกอบด้วย ขั้นตอน 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การกำจัดคราบ 2. การซัก รวมไปถงการตากหรืออบให้แห้ง 3. การซักแห้ง รวมไปถึงการรีด ผ้าที่จะต้องซักบ่อยๆนั้นจะเก่าเร็วมากกว่าการหมดอายุการใช้งานปกติ อายุการใช้งานของผ้า ฝ้ายที่ใช้ทำผ้าปูที่นอนจะถูกกำหนดด้วยการซัก 200-250 ครั้ง มากกว่าการจะถูกกำหนดด้วยระยะเวลา เช่น 2 หรือ 3 ปี ต่ายุการใช้งานของผ้าก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานและการดูแลรักษานอกจากนี้คุณภาพของผ้าก็เป็นสิ่งที่ ต้องพิจารรณา ผ้าที่มีคุณภาพดีย่อมจะมีอายุการใช้งานได้นานกว่าผ้าที่มีคุณภาพด้อยกว่า 1.1 วิธีการซักรีดที่ดี มีขั้นตอนดังนี้ 1. จับผ้าอย่างถูกวิธี รวมถึงการขนย้ายผ้า 2. เนื้อผ้าไม่ถูกทำลาย ไม่ใช้สารเคมีที่ทำลายเนื้อผ้า 3. ผ้าขาวต้องให้ขาวอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้ดำจะเป็นคราบฝังแน่น 4. ต้องกำจัดคราบทุกครั้งที่ได้รับการบอกเล่า หรือตรวจสอบ 5. ผ้าจะต้องไม่เสียเพราะใช้น้ำยากำจัดคราบมากเกินไป 6. การทำงานต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการร่วมมือในการปฏิบัติงานดี เพื่อป้องกัน ความเสียหายและการสูญเสีย 1.2 การซักแห้ง น้ำยาซักแห้งไม่ทำให้เกิดผลเสียกับเนื้อผ้าเช่นเดียวกับน้ำ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เกิดการ หด การยับ ผ้าเสียรูปทรงหรือสีตก อาจจะมีการหดบ้างเนื่องจากการปั่น หรือเพราะมีน้ำหลงเหลืออยู่ หลังจาก ได้ทำความสะอาดตามกรรมวิธีการซักแล้วก็จะนำมาปั่นให้แห้ง เพื่อจะให้หมดคราบน้ำยา แล้วจึงนำมาเป่าให้ แห้งด้วยไออุ่นๆ ผ้าสีจะสามารถนำมาซักรวมได้ แต่โดยปกติแล้วเราจะแยกสีไว้เป็นประเภท เช่น สีขาว สีอ่อน และสีแก่ เพื่อจะไม่ให้สีตกใส่ผ้าชิ้นอื่น นอกจากนี้ยังต้องแบ่งผ้าที่เปื้อนมาก เป้อนน้อย โดยไม่นำมาซักปนกัน
61 อีกด้วย หลังจากนั้นจะนำผ้าทั้งหมดมาซักด้วยน้ำยาซักแห้งในเครื่องซักผ้า ซึ่งมีตั้งแต่การซัก การกำจัดคราบ และเป่าให้แห้งในเครื่องเดียวกัน 2. สัญลักษณ์ในเนื้อผ้า หลายครั้งที่ห้องผ้าของโรงแรมไม่ใส่ใจในสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายชี้แนะ หรือระบุถึงการ เก็บรักษาผ้า หรืออาจจะเป็นเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจเพียงพอ ทำให้เสื้อผ้าของแขกที่ส่งมาซักรีดโดยเฉพาะเสื้อมา จากต่างประเทศ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีพอจะเกิดชำรุดเสียหายได้ “สัญลักษณ์ซักผ้า” บนป้ายเสื้อ ช่วยให้ซักผ้าแบบถูกวิธี ไม่เสียรูปทรง ทำไมต้องมีสัญลักษณ์ซักผ้า ? น้อยครั้งที่เราจะอ่านสัญลักษณ์ซักผ้าสากลบนป้ายเสื้อ (Care label) ที่นอกจากจะบอกไซส์แล้ว ยังมีไว้เพื่อให้ข้อมูลว่าเสื้อผ้าตัวนี้ทอมาจากเส้นใยประเภทไหนควรซักที่อุณหภูมิเท่าไรและซักอย่างไรจึงจะ เหมาะกับชนิดผ้าแต่ละแบบเพื่อป้องกันการซักพลาดจนทำให้เสื้อผ้าเสียหายจึงเป็นเหมือนคู่มือที่ช่วยยืด อายุขัยของเสื้อผ้าเรารวมทั้งเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อเพราะเสื้อผ้าบางชิ้นอาจมีค่าใช้จ่ายใน การรักษาทำความสะอาดสูง เช่น เสื้อผ้าที่ระบุว่าต้องซักแห้งเท่านั้นหากเราไม่สามารถรับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ care labels ก็จะช่วยเราได้อย่างมาก
62
63 สัญลักษณ์ซักผ้า 6 ประเภท กลุ่มสัญลักษณ์ซักผ้าถูกแยกตามขั้นตอนต่างๆ ออกเป็น 6 ประเภท เรียงตั้งแต่การซัก การฟอก การซักแห้ง การปั่นแห้งหรืออบแห้ง การตาก ไปจนถึงการรีด ซึ่งบางสัญลักษณ์จะมีรายละเอียดต่างกันไปตาม โซนทวีปและแบรนด์เสื้อผ้า เช่น แบรนด์อเมริกาใช้จุดกลมสีดำแทนอุณหภูมิน้ำ ส่วนแบรนด์ยุโรปและแบรนด์ เอเชีย (จีน ญี่ปุ่น) ใช้ตัวเลขบอกอุณหภูมิแทน 1.การซัก โดยปกติ สัญลักษณ์การซักเครื่องจะเป็นรูปกะละมังมีน้ำอยู่ภายใน ซึ่งหากมีตัวเลขอุณหภูมิใน กะละมังด้วย แสดงว่าเราควรซักด้วยน้ำที่อุณหภูมิ 30 ํC หรือต่ำกว่านั้น และถ้าตัวเลขเปลี่ยน เราก็ขยับ อุณหภูมิเรื่อยๆ ตามตัวเลขที่ระบุในรูปกะละมัง แต่จะสัญลักษณ์สไตล์อเมริกาจะมีความพิเศษขึ้นมาและอ่าน ยากกว่าปกติเล็กน้อย เพราะใช้จุดกลมๆ แทนตัวเลขอุณหภูมิน้ำ โดยมีความหมายตามรายละเอียดข้างล่างนี้ 1 จุด คือ 30 ํC 2 จุด คือ 40 ํC 3 จุด คือ 50 ํC 4 จุด คือ 60 ํC 5 จุด คือ 70 ํC 6 จุด คือ 95 ํC
64 นอกจากเรื่องอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมกับผ้าแต่ละชิ้นแล้ว เรายังต้องสังเกตด้วยว่าควรซักใน โหมดใด โดยสังเกตจาก ขีดแนวนอนใต้กะละมัง • ไม่มีขีดใต้กะละมัง = ซักเครื่อง โหมดซักทั่วไป (อุณหภูมิน้ำ 50 - 60 ํC) : สามารถซักได้ในน้ำร้อน รอบหมุนเร็ว กำจัดกลิ่นเหม็น เหมาะสำหรับการซักผ้าขาว ผ้าฝ้าย (cotton) • 1 ขีดใต้กะละมัง = ซักเครื่อง โหมด Permanent press (อุณหภูมิน้ำ 30 - 40 ํC) : ซักในน้ำอุ่นและล้างด้วยน้ำเย็น รอบหมุนปานกลาง เหมาะสำหรับผ้าสี ผ้าใยสังเคราะห์ ผ้าที่ไม่ต้อง รีดหรือรีดสำเร็จแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดรอยยับ • 2 ขีดใต้กะละมัง = ซักเครื่อง โหมดถนอมผ้า (อุณหภูมิน้ำ 18 - 24 ํC) : ซักในน้ำเย็น รอบหมุนไม่รุนแรง ถนอมผ้า เหมาะสำหรับผ้าที่บอบบาง เช่น ลินิน คอตตอนที่ผสมใย สังเคราะห์ (cotton blend) dry fit ผ้าใยขนสัตว์ ตัวอย่าง หากเห็นสัญลักษณ์ผสมกันอยู่ในรูปแบบเดียวกับรูปข้างล่างนี้ แสดงว่า คุณต้องซักด้วย เครื่องในโหมดถนอมผ้า อุณหภูมิน้ำไม่เกิน 40 ํC
65 2.ฟอกขาว สารฟอกขาวแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. คลอรีน บลีช (Chlorine Bleach) : เหมาะกับการซักผ้าขาวที่เป็นผ้าฝ้ายและผ้าลินิน เพราะ สามารถขจัดคราบหนักฝังแน่นสูง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี ฟอกผ้าให้ขาวสว่างสดใส จึง แต่ไม่เหมาะที่จะ ใช้กับผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ และผ้าไนลอน เพราะจะทำให้เส้นใยเนื้อผ้าเสียหายได้ 2. ออกซิเจน บลีช (Oxygen Bleach) : เหมาะกับการฟอกทำความสะอาดผ้าสีเพราะสามารถขจัด คราบเปื้อนทั่วๆ ไป ทำให้ผ้าสีสดใสเหมือนใหม่ • รูปสามเหลี่ยมว่างเปล่า : สามารถใช้สารฟอกขาวชนิดใดก็ได้ • รูปสามเหลี่ยมมีขีดแนวทแยง 2 เส้นภายใน : ห้ามใช้สารฟอกที่มีคลอรีนเป็นส่วนผสม • รูปสามเหลี่ยมมีอักษร CL ภายใน : สามารถใช้สารฟอกขาวที่มีคลอรีนเป็นส่วนผสมได้ • รูปสามเหลี่ยมมีกากบาททับ : ห้ามใช้สารฟอกขาวเด็ดขาด นอกจากนี้ ควรระมัดระวังในการใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำตามฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะสารฟอก แต่ละขวดบรรจุสารเคมีอันตรายที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ถ้าไม่ระวังอาจทำให้ผ้าเสียหายได้ หรือหากผ้าที่สกปรกและ มีคราบหนักของคุณไม่เหมาะกับการใช้น้ำยาฟอก เราแนะนำให้ขยี้ด้วยมือ เพื่อกำจัดคราบเฉพาะจุดก่อน แล้ว จึงนำไปซักเครื่องหรือซักมือตามที่ฉลากระบุ
66 3.ซักแห้ง ซักแห้ง หมายถึง การซักทำความสะอาดเสื้อผ้าโดยไม่ใช้ผงซักฟอกหรือน้ำเป็นตัวทำละลาย แต่ ซักด้วยน้ำยาหรือน้ำมันพิเศษ เพอร์คลอโรเอทิลีน (Perchloroethylene) ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่ น้อยมากๆ ไปจนถึงไม่มีเลย จึงช่วยถนอมใยผ้าได้ และควรซักกับเครื่องซักแห้งโดยเฉพาะ ไม่ควรซักด้วยมือ เด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายต่อผิว • รูปวงกลม : ซักแห้งเท่านั้น • รูปวงกลมมีตัวอักษร A ภายใน : ซักแห้งได้ด้วยน้ำยาทุกชนิด • รูปวงกลมมีตัวอักษร P ภายใน : ใช้น้ำยาซักแห้งได้ทุกชนิด ยกเว้นไตรคลอโรเอทธิลีน ซึ่งเป็นสารทำ ความสะอาดที่มักใช้ในอุตสาหกรรมโรงงาน • รูปวงกลมมีตัวอักษร F ภายใน : ใช้น้ำยาซักแห้งชนิดสารละลายปิโตรเลียมเท่านั้น • รูปวงกลมมีกากบาททับ : ห้ามซักแห้งโดยเด็ดขาด 4.อบแห้ง ร้านซักอบแห้ง 24 ชม. มีอยู่แทบทุกมุมเมือง ด้วยความสะดวกรวดเร็วในการซัก ไม่เสียเวลา ตาก และยิ่งถ้าเราต้องอบแห้งเสื้อผ้าบ่อยๆ ยิ่งต้องใส่ใจเรื่องชนิดของผ้าให้มากขึ้น เพราะเคยมีกรณีไฟไหม้ เครื่องอบแห้งมาแล้ว สาเหตุจากการอบผ้าที่ทนความร้อนสูงไม่ได้หรือไม่เหมาะกับการอบ
67 สัญลักษณ์สากลในการอบแห้ง จะเห็นได้ว่ามีการใช้จุดทึบกลม เป็นตัวกำหนดอุณหภูมิสูง กลาง ต่ำ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน : สามารถอบแห้ง ด้วยอุณหภูมิใดก็ได้ • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมสีดำภายใน : อบผ้าแบบเป่าลม โดยไม่ใช้ความร้อน • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน พร้อมจุด 1 จุด : อบแห้ง ด้วยระดับความร้อนต่ำ หรือประมาณ 60 ํC • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน พร้อมจุด 2 จุด : อบแห้ง ด้วยระดับความร้อนปานกลาง หรือประมาณ 70 ํC • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน พร้อมจุด 3 จุด : อบแห้ง ด้วยระดับความร้อนสูง หรือประมาณ 80 ํC • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน พร้อมขีดแนวนอนข้างล่าง 1 ขีด : อบแห้งอุณหภูมิใดก็ได้ ด้วยโหมด Permanent press ที่เหมาะกับผ้าที่ไม่ต้องรีดหรือรีดสำเร็จมาแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดรอยยับ • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน พร้อมขีดแนวนอนข้างล่าง 2 ขีด : อบแห้งอุณหภูมิใดก็ได้ ด้วยโหมด ถนอมผ้า • รูปสี่เหลี่ยม มีวงกลมภายใน ถูกกากบาททับ : ห้ามอบแห้งเด็ดขาด 5.ตาก ส่วนมากเราจะห้อยไม้แขวนแล้วตาก หรือไม่ก็พาดไว้บนราว ซึ่งจะหลายๆครั้งก้ทำให้เสื้อผ้าของ เราเสียรูปทรง หรือเป็นรอยไม้แขวนเสื้อบริเวณไหล่ได้ สามารถเลี่ยงปัญหานี้ได้ ด้วยการอ่านความหมายของ แต่ละสัญลักษณ์ และนำไปใช้กับเสื้อผ้าของคุณเอง
68 • รูปสี่เหลี่ยม : ตากให้แห้งด้วยวิธีใดก็ได้ • รูปสี่เหลี่ยม มีเส้นครึ่งวงกลมมุมบน / รูปสี่เหลี่ยม ภายในมีขีดแนวตั้ง 1 เส้น : แขวนตากให้แห้ง • รูปสี่เหลี่ยม ภายในมีขีดแนวตั้ง 2-3 ขีด : ตากโดยใช้ไม้หนีบ หนีบผ้าติดกับราวในขณะที่ผ้ายังเปียก และต้องจัดให้เรียบ พยายามให้มีรอยยับหรือรอยพับให้น้อยที่สุด • รูปสี่เหลี่ยม ภายในมีขีดแนวนอน 1 ขีด : พาดหรือวางตากในแนวราบ • รูปสี่เหลี่ยม ภายในมีเส้นแนวทแยงมุมซ้ายบน 2 ขีด : ตากด้วยวิธีใดก็ได้ แต่ควรตากในที่ร่มเท่านั้น เพราะถ้าเจอแสงแดดโดยตรงจะทำให้เนื้อผ้ากระด้าง เสียหายได้ • รูปสี่เหลี่ยมถูกกากบาททับ : ห้ามตากเด็ดขาด (พบในเสื้อผ้าที่ห้ามซัก) • รูปผ้าที่ถูกบิด (มักพบในแบรนด์เสื้อผ้าจากญี่ปุ่น) : บิดผ้าอย่างทะนุถนอม ไม่ให้ผิดจากไปรูปทรง เดิมของเสื้อผ้า • รูปผ้าถูกบิด มีกากบาททับ : ห้ามบิดผ้าก่อนตากเด็ดขาด 6.รีดผ้า หลายบ้านใช้เตารีดไอน้ำรีดเสื้อผ้าทุกตัว แต่ก็มีบางตัวที่ไม่สามารถใช้เตารีดไอน้ำรีดได้เช่นกัน • รูปเตารีด : รีดผ้าด้วยอุณหภูมิใดก็ได้ • รูปเตารีด มีจุดกลม 1 จุด : รีดผ้าด้วยความร้อนต่ำ • รูปเตารีด มีจุดกลม 2 จุด : รีดผ้าด้วยความร้อนปานกลาง • รูปเตารีด มีจุดกลม 3 จุด : รีดผ้าด้วยความร้อนสูง
69 • รูปเตารีด พร้อมขีดแนวทแยงข้างล่างถูกกากบาททับ : ห้ามใช้ไอน้ำในการรีด หรือห้ามรีดด้วยเตา รีดไอน้ำเด็ดขาด • รูปเตารีดถูกกากบาททับ : ห้ามรีดเด็ดขาด 4. ขั้นตอนการบริการซักรีด 1. การรับบริการซักรีดไม่ว่าจะเป็นซักน้ำ ซักแห้ง หรือรีด ต้องมีเอกสารบันทึกสำหรับลง รายการ และรายละเอียดกำหนดส่งผ้า เวลาส่งผ้ารับเข้าห้องพัก ราคาที่ซักรีดทุกชนิด รวมถึงชี้แจงบางอย่าง เช่น ไม่รับรองเรื่องผ้าสีตก หรือไม่รับซักรีดผ้าที่รอยชำรุดมากๆ 2. เมื่อรับผ้าที่ส่งซักมาแล้วกรอกรายการให้ถูกต้อง ลงรายละเอียดให้มากที่สุดในสมุด ทะเบียนรับ-ส่งผ้า ควรตรวจตามกระเป๋าเสื้อไม่ให้มีของมีค่าหรือไม่มีค่าติดมาและถ้าตรวจพบผ้าชำรุดมากๆ ต้องแจ้งให้แขกทราบทันทีเพื่อป้องกันการโต้เถียงในภายหลัง 3. ต้องจัดทำระเบียบคุมรายการ การบริการซักรีดต่างๆ ของผ้าที่ส่งซักอย่างละเอียดที่สุด เพื่อป้องกันการผิดพลาดหรือสับสนในภายหลัง 4. ผ้าทุกชนิดต้องใส่ถุงซักผ้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ เพื่อป้องกันความสกปรก และป้องกัน สำหรับผ้าชิ้นเล็กๆซึ่งอาจตกหายกลางทางได้ 5. ห้ามแตะต้องผ้าทุกชิ้นที่ไม่มีรายการส่งซักรีดโดยเด็ดขาด 6. ถ้าพบว่าผ้าชำรุดเล็กน้อย เช่น กระดุมเสื้อหลุด ตะเข็บปริ ต้องช่วยซ่อมแซมให้ ถ้าขาด มากหรือมีรอยไหม้ ต้องแจ้งให้เจ้าของทราบทันที ซึ่งเจ้าของอาจส่งซ่อมก่อนส่งซัก 7. ของมีค่าหรือของไม่มีค่าอาจติดมาในกรเป๋าเสื้อผ้า เช่น เงิน แหวน ต่างหู เข็มกลัด เศษ กระดาษ ฯลฯ ต้องรีบแจ้งให้หัวหน้าทราบทันทีเพื่อนำส่งคืนยังห้องพัก 8. เมื่อรับผ้าที่ส่งซักรีดคืนจากห้องซักรีด ต้องตรวจดูจำนวน รายละเอียดอื่นๆและความ เรียบร้อยให้ตรงกันทุกครั้ง ก่อนนำส่งคืนยังห้องพัก
70 9. ถ้าพบว่าเสื้อผ้าที่ซักรีดแล้วเกิดชำรุด ยืด หรือหดจากเดิมที่ได้จดบันทกไว้ในทะเบียนรับ หรือส่ง ต้องรีบแจ้งทางโรงซักรีดให้ทราบไว้เป็นหลักฐาน และต้องยายามพบแขกเพื่อแจ้งให้ทราบอย่าปิดบัง เพราะจะทำให้แขกไม่พอใจอย่างมากถ้าทราบภายหลัง 10. เมื่อตรวจความเรียบร้อยครบถ้วน ถูกต้องตามลักษณะต่างๆ ที่จดบันทึกไว้ ให้จัดนำส่ง ห้องพักให้ถูกต้อง ควรนำส่งโดยตรงให้แขกตรวจรับเสียก่อน หรือวางไว้ให้แขกเห็นชัดเจน ซึ่งโดยปกติจะวางไว้ หรือแขวนผ้าที่ทำการซักรีดแล้วในตู้เสื้อผ้า ส่วนผ้าพับจะวางไว้บนเตียง 5. การส่งผ้าซัก เมื่อแขกเข้าพักในโรงแรมก็จะต้องมีบริการซักผ้าให้แขก แผนกซักรีดถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดงานหนึ่ง ของแม่บ้านที่จะต้องดูแลเอาใจใส่ผ้าของแขก ซค่งวิธีการดำเนินงานดังนี้ 1. แขกจะโทรศัพทไปยังห้องผ้าตามหมายแลขที่ห้องพักแขก 2. แผนกซักผ้าจะต้องส่งพนักงานขึ้นไปเก็บผ้าตามห้องพัก โดยผ่านทางพนักงานทำความ สะอาดห้องพักประจำห้อง 3. พนักงานทำความสะอาดห้องพักจะต้องนับจำนวนผ้าของแขกทุกครั้ง 4. ตรวจสอบว่ามีรอยขาดหรือเปื้อนหรือไม่ 5. บันทึกลงในสมุดทุกห้องที่ส่งผ้าซัก 6. เมื่อห้องซักรีดรับผ้าไปแล้วจะต้องจดอีกครั้งหนึ่ง และติดเบอร์บริเวณคอเสื้อ หรือด้านใน กางเกง 7. เสื้อกล้าม ผ้ายืด จะติดเมกลัด หรือผูกเบอร์ผ้าพอที่จะเอาออกได้เมื่อจะต้องส่งกลับ 8. ตรวจดูว่ามีของมีค่าทิ้งไว้หรือไม่ ถ้าพบของมีค่าต้องส่งคืนให้แขก 9. หากพบรอยเปื้อน รอยด่าง ต้องรีบรายงานให้แขกทราบก่อน อย่ารีบซัก เพราะบางครั้ง อาจจะผิดพลาด ต้องใช้คืนให้แขกถ้าทำผิดหรือซักผิด คำแนะนำ
71 1. เวลาซักต้องแยกซักเสื้อสีและเสื้อขาวออกจากกัน อย่าซักทุกอย่างรวมกัน บางครั้งต้อง แปรงที่คอก่อนเพื่อชจัดคราบสกปรกออกก่อน 2. แยกผ้าสีที่ตกออกจากผ้าอื่นไว้ก่อน 3. ผ้าบางชนิดต้องซักด้วยมือ ขยี้เขาๆไม่ซักด้วยเครื่อง ผ้าบางชนิดห้ามบิด ซักแล้วต้องแซ่น้ำ ห้ามบิด ตากเฉยๆ ให้แห้งแล้วรีด 4. ผ้าเช็ดหน้าสามารถซักรวมกันได้ 5. ถุงเท้า ชุดชั้นใน ควรแยกซักเฉพาะ 6. วิธีส่งผ้าคืน เมื่อซักรีดแล้วแผนกซักรีดจะเป็นคนส่งผ้าขึ้นมาที่ห้องพัก ก่อนส่งต้องตรวจรายการที่จัดส่งไว้ เป็นข้อๆ ให้ครบ ถูกต้องตามห้องพักที่ส่งผ้าซัก โดยดูหมายเลขที่ติดไว้ เมื่อเรียบร้อยต้องแกะหมายเลขออก นำ ใส่ถุงซักรีดพร้อมใบราคา นำสำเนาส่งไปที่แคชเชียร์ ห้ามรับและจ่ายเงินกับแขกโดยตรง ให้ติดไปในใบเสร็จ ของแขกเท่านั้น การส่งผ้าคืนมี 2 ชนิด คือ 1. ชนิดธรรมดา ( Regular Service ) ส่งเข้าได้เย็นก่อนเวลา 18:00 น. แต่ต้องส่งซักรีดก่อน เวลา 10:00 น. ราคาย่อมเยากว่า 2. ชนิดด่วน ( Express Service ) คือ บริการด่วน ต้องสามารถส่งคืนแขกได้ภายใน 4 ชั่วโมง การบริการชนิดนี้ราคาจะแพงขึ้นเท่าตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับทางโรงแรกำหนด ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ส่วนใหญ่จะ คิดเงินเพื่ม 50% ของราคาซักปกติ 7. การจัดการเครืองแบบพนักงาน เครื่องแบบพนักงานโรงแรม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของบุคคลไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งหรือหน้าที่ในการทำงาน โรงแรมที่มีการกำหนดเครื่องแบบของพนักงานแตกต่างกันออกไปตามหน้าที่ และความเหมาะสมของงาน เครื่องแบบที่สวมต้องสะอาด สบาย สวยงาม เพื่อเพิ่มบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ พนักงาน ดังน้นโรงแรมจึงมีการจัดการด้านเครื่องแบบดังนี้
72 7.1 ห้องเครื่องแบบพนักงาน ( Uniform Room ) เป็นห้องที่จ่าย จัดเก็บ และซ่อมแซม เครื่องแบบพนักงานของโรงแรม ส่วนมากพนักงานดรงแรมจะมีเครื่องแบบ 3 ชุดต่อคน และจะแบ่งเป็นหน้าที่ โดยใช้รูปแบบของเครื่องแบบหรือสีสันที่แตกต่างกัน 7.1.1 พนักงานห้องเครื่องแบบมีหน้าที่ดังนี้ 1. รับเครื่องแบบที่ใช้แล้วจากพนักงาน 2. แขวนเรียงไว้ตามลำดับและตามแผนก ซึ่งอาจจะใช้วิธีนำของเก่ามาแลก ของใหม่ แล้วนำไปใส่ตู้เก็บของ ( Locker ) ของแต่ละคน หรือเบิกจากห้องเครื่องแบบพนักงานก่อนจะเข้า ทำงาน 3. ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ถ้าจุดใดชำรุดเล็กๆน้อยๆซ่อมได้ก็ให้ ซ่อมเพื่อยืดอาการใช้งาน ถ้าซ่อมไม่ได้ควรแจ้งผู้บริหารตามสายการบังคับบัญชาทันที 7.1.2 การควบคุมดูแลเครื่องแบบพนักงานจะเป็นการจัดระบบควบคุมที่ดี สำหรับ เครื่องแบบพนักงานเป็นสิ่งจำเป็น เริ่มด้วยการมีจำนวนในการสวมใส่หรือหมุนเวียนอย่างถูกต้อง ดดยควรจะมี 3 ชุดต่อคน ถ้ามีปริมาณตามความต้องการแล้ว ชั้นที่ 2 และ 3 คือการควบคุมพนักงานแต่ละคนส่งซักผ้าเวลา ที่กำหนดเป็นกฎระเบียบพื้นฐาน และควรมีหลักฐานการจ่ายเครื่องแบบให้แก่พนักงาน ซึ่งจีผลกับเครื่องแบบ ของแต่ละคน ดังนี้ 1. สามารถควบคุมดูแลเครื่องแบบพนักงานได้ดี 2. ชุดที่อยู่ในตู้เก็บของ ( Locker ) ถือเป็นความรับผิดชอบของพนักงานแต่ ละคนที่จะดูแลรักษา 3. ลดความสิ้นเปลือง 7. การจัดการผ้าโรงแรม ( Linen Operation ) ผ้าที่ใช้ในส่วนต่าง ๆ ของโรงแร ได้แก่ ผ้าของห้องพัก ผ้าสำหรับห้องอาหาร ผ้าสำหรับงาน จัดเลี้ยง ผ้าสำหรับการทำความสะอาดต่าง ๆ ดังนั้น การจัดการผ้าโรงแรมสามารถดำเนินการได้ดังนี้
73 8.1 ห้องผ้าของโรงแรม ( Linen Room ) เป็นที่จัดเก็บรักษาผ้าทุกชนิดที่ใช้อยู่ภายใน โรงแรม เช่น ผู้ปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดปาก เนื่องจากห้องผ้าเป็นส่วนงานที่สำคัญของงาน แม่บ้าน และผ้าที่ต้องใช้ในโรงแรมมีจำนวนมากและราคาสูง จึงต้องมีพนักงานควบคุมดูแลรับผิดชอบในเรื่อง ผ้าโดยเฉพาะ พนักงานที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้มีหน้าที่ความรับผิดชอบดังนี้ 1. หน้าที่ความรับผิดชอบองหัวหน้าห้องผ้า ( Linen Supervisor ) - จำหน่ายผ้าที่อยู่ในสภาพที่ดีให้กับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง - รับผ้าที่ใช้แล้วจากแผนกอื่นเพื่อส่งซัก - ควบคุมจำนวนผ้าที่ถูกเบิกไป - ตรวจเช็กจำนวนผ้าที่รับผิดชอบทั้งหมด - ซ่อมและทำเครื่องหมายผ้า 2. หน้าที่ของพนักงานเย็บผ้า ( Seamstress ) ทำหน้าที่ซ่อมแซม เย็บผ้า และดัดแปลงสภาพผ้าไปใช้เพื่อประโยชน์อื่น 2.1 การคัดเลือกผ้า พนักงานห้องผ้าควรจะคัดแยกผ้าสกปรกมากออกจาก ผ้าที่สกปรกธรรมดา เช่น ผ้าเปื้อนคราบเลือด ไขมัน และเศษอาหาร เพื่อจะได้ใช้นำยากำจัดคราบสกปรก ( Spotting ) ออกจากเสื้อผ้าก่อน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการทำงานของพ้อง ซักรีด รวมทั้งไม่ทำให้ผ้าชำรุดก่อนเวลาอันสมควร 2.2 การชำรุดของผ้า เกิดจากสาเหตุการใช้ผ้าผิดประเภท ขาดความ ระมัดระวังเกี่ยวกับผ้าชื้น ผ้าสกปรก ขาดความระมัดระวังจากการปฏิบัติงาน ใช้ผงซักฟอกมากเกินความ จำเป็น ขาดการป้องกันเวลาเก็บผ้า ขาดการตรวจตรา ขาดการใช้ผาหมุนเวียน ขาดความระมัดระวังในการ เคลื่อนย้าย 2.3 การส่งผ้า หลังจากที่แผนกซักรีดได้ซักผ้าต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือนำผ้าที่สะอาดมาคืนตามห้องผ้าตามจำนวนที่ส่งซัก ก่อนที่พนักงานห้องผ้าจะนำผ้าสะอาดวาง
74 บนชั้น ควรตรวจดูรายละเอียด เช่น รอยชำรุดของผ้า ความกปรกต่างๆ รอยพับของผ้าแต่ละชนิดถูกต้อง หรือไม่ ผ้าที่ไม่ใช่ของโรงแรม 2.4 การตรวจนับ ( Inventory ) การตรวจนับผ้ามีความสำคัญมาก เพราะ จะได้ทราบว่าขณะนี้มีผ้าเพียงพอที่จะหมุนเวียนหรือไม่ หรือสมควรจะสั่งซื้อใหม่ และเป็นการตรวจนับจำนวน ผ้าที่สูญหายด้วย การตรวจนับผ้าบางแห่งอาจทำเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก ๆ 3 เดือน และ ต้องตรวจนับให้เสร็จภายในวันเดียวเพื่อป้องกันการสับสนด้านตัวเลข ผ้าทุกชิ้นจะต้องถูกนับ รวมถึงผ้าที่อยู่ใน ที่จัดเก็บทุกแห่ง ผ้ากำลังใช้อยู่และผ้าที่กำลังซักอยู่ท่ห้องซัก 2.5 การเก็บผ้า การเก็บผ้าที่ถูกวิธีจะทำให้ผ้ามีคุณภาพดี และยืดอายุการ ใช้งาน วิธีการปฏิบัติมีดังนี้ - ผ้าที่ใช้นาน ๆ ครั้งควรจะมีผ้าสะอาดคลุมกันฝุ่น - ผ้าที่เก็บเป็นผ้าสำรองไว้ในห้องผ้า ควรเก็บห่อไว้ด้วยกระดาษเดิม หลังจากผ่านการตรวจเช็คแล้ว - ควรใช้ผ้าทุกชิ้นแบบหมุนเวียน - เพื่อให้การนับผ้าง่ายขึ้น ให้วางผ้าเอาทางด้านพับออก 2.6 ผ้าที่ใช้ในห้องพักแขก ผ้าชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในห้องพักแขก และต้อง หมุนเวียนทุกวันมีดังนี้ - ผ้าปูที่นอน ( Bed Sheet ) ทุกขนาดตามมาตรฐานของโรงแรม - ปลอกหมอน ( Pillow Case ) - ผ้าเช็ดตัว ( Bath Tower ) - ผ้าเช็ดมือ ( Hand Tower ) - ผ้าเช้ดเท้า ( Bath Tower )
75 - ปลอกผ้านวม ( Duvet Cover ) - เสื้อคลุมอาบน้ำ ( Bathrobe ) ผ้าที่ใช้ในห้องพักแขกนี้ ขนาดและน้ำหนักของผ้า ทางโรงแรมจะเป็นผู้กำหนดว่าต้องการ ขนาดไหนและน้ำหนักเท่าใด ซึ่งมาตรฐานของน้ำหนักผ้าโดยทั่วไปได้มีกำหนดไว้แล้ว 2.7 ผ้าที่ใช้สำหรับฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าที่ต้องลง แป้งเพื่อความแข็งตัวในการจัดวางให้ได้รูปทรงสายงาม ได้แก่ ผ้าปูตะ ( Table Cloth ) ผ้าเช็ดปาก ( Napkin ) ผ้าปูรองจาน ( Place Mat ) ผ้าระบาย ( Skirting ) ผ้าสำหรับห้องอาหารควรมีระบบการแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้แล้วกับผ้าที่สะอาดอย่าง รัดกุมเพื่อให้จำนวนผ้ามีเพียงพอต่อการใช้งาน คือ 1. แต่ละห้องอาหารควรมีที่เก็บผ้าให้เพียงพอตลอด 2. การนับผ้าส่งห้องซักรีด ควรนับส่งเมื่อสิ้นสุดการใช้ผ้าแต่ละมื้ออาหาร 3. ผ้าชำรุดและผ้าเปื้อนควรนับแยกส่งคืนห้องผ้าทันที 4. การส่งผ้าซัก ควรตรวจนับอีกครั้งหนึ่งระหว่างส่งผ้าและผู้รับผ้าประจำห้องผ้า และควรมีหลักฐานการรับส่งผ้าคืน
76 บทที่ 7 การบริหารงานในแผนกซักรีด การตัดสินใจในการบริหารเกี่ยวกับงานซักรีดของโรงแรมนั้นว่า โรงแรมจะสร้างแผนกซักรีด ของ ตนเองขึ้นมา หรือจะนำเอาผ้าที่ใช้ในโรงแรมไปให้บุคคลที่รับจ้างภายนอกจัดการเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เนื่องจากการตัดสินใจครั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องและอาจมีผลกระทบต่อการทำงาน และ ให้บริการของโรงแรมโดยภาพรวม ซึ่งในแต่ละโรงแรมก็จะมีปัจจัยและความจำเป็นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องเงินลงทุน เครื่องมือ วัสดุ แรงงงาน และยังรวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่อาจมองไม่เห็น เช่น สวัสดิการของ พนักงาน ค่าเอกสารต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องมาจากทำงานร่วมกันของแผนกอื่น ๆ (แผนกบริการส่วนหน้า แผนกบัญชี แผนกรับของและแผนกบุคคล) รวมทั้งค่าหนี้สงสัยจะสูญ ค่าประกัน ค่าเจ้าหน้าที่ตรวจบัญชี และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกหลายรายการที่จำเป็นต้องมี การศึกษาอย่างละเอียด จากนั้นจึงจะรวมกับค่า สาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า (ซึ่งค่อนข้างสูงส าหรับ การใช้งานของเครื่องอบผ้า) ค่าน้ำและในบางครั้งอาจ รวมถึงค่าเช่าพื้นที่ด้วย เราสามารถแบ่งค่าใช้จ่าย ของแผนกซักรีดออกมาเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้ ❖ 1. ค่าแรงงาน ประมาณ 15 % ❖ 2. ค่าใช้จ่ายในการทดแทนผ้าลินิน ประมาณ 20 % ❖ 3. ค่าพลังงาน ประมาณ 15 % ❖ 4. ค่าสารเคมีในการซักรีด ประมาณ 10 % ❖ 5. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประมาณ 10 % Managing Laundry หลังจากที่คิดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องประมาณค่าสิ้นเปลืองส าหรับ ผ้าลินิน โดยทั่วไปแล้วการใช้บริการซักรีดจากภายนอกมักจะมีการสิ้นเปลืองของผ้าลินิน มากกว่าการซักรีดของแผนก ซักรีดในโรงแรมเอง ในต่างประเทศนั้น การใช้บริการซักรีด จากภายนอกมักจะเช่าผ้าลินินจากภายนอกด้วย ซึ้งผู้ประกอบการภายนอกมักจะซื้อผ้าลินินที่มี
77 คุณภาพต่ำกว่าหรือซื้อเท่าที่จำนวนที่เราต้องการ ทำให้มีการสิ้นเปลืองของผ้าลินินเร็วกว่า เพราะเส้น ใยมีคุณภาพต่ำ และมีการซักรีดบ่อยครั้งเกินความจำเป็น นอกจากนี้ การใช้บริการ ซักรีดจากภายนอกยังต้อง คำนึงถึงในเรื่องของเวลาในการส่งและรับผ้าลินินด้วย เพราะปัจจัยนี้ มีผลกระทบอย่างมากต่อการให้บริการ ในภาพรวมของโรงแรม เช่น ถ้ามีการส่งผ้าลินินที่ซักรีด มาล่าช้า พนักงานทำความสะอาดห้องพักจะไม่ สามารถทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าลินินต่าง ๆ ในห้องพักได้ทันเวลาที่แขกจะเข้าพักหรือพนักงานแผนกจัด เลี้ยงไม่มีผ้าคลุมโต๊ะ หรือผ้าเช็ด ปากบริการให้กับแขกที่มาร่วมในงงานจัดเลี้ยง เป็นต้น ดังนั้น ในโรงแรมที่มีขนาดของห้องพักจำนวนปานกลางจนถึงจำนวนมากหรือโรงแรมที่มี การ ให้บริการระดับกลางจนถึงโรงแรมที ่มีการให้บริการในระดับสูงมักจะมีแผนกซักรีด ของตนเอง เพราะคิด ค่าใช้จ่ายแล้วคุ้มค่ากว่าและความสะดวกสบายที่ได้รับทั้งในด้านความ รวดเร็วและความประหยัดเวลา ถ้า แผนกซักรีดมีอยู ่ในแผนกแม ่บ้าน ซึ ่งเราจะเรียกว ่า On-premise laundry (OPL) ภาระหน้าที่ของแผนกซักรีด การซักผ้าเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกจากเส้นใยของเนื้อผ้า ซึ่งทั้งมีเส้นใย จากธรรมชาติ และใยสังเคราะห์ ดังนั้น การซักฟอกจึงจำเป็นต้องมีวิธีการที ่เหมาะสมกับ ชนิดของเส้นใยผ้าชนิดนั้น ๆ เพื่อ ป้องกันไม่ให้เส้นใยผ้าถูกทำลายหรือเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ ข้อคำนึงที่สำคัญในการซักผ้านั้น คือ เลือกวิธีที่มี ความประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย งานซักรีดในโรงแรมนั้น มีภาระหน้าที่หลัก ๆ คือ เพื่อทำให้ผู้ใช้บริการได้ “ผ้า” ไปใช้ งานตาม ต้องการ โดยที่ผ้านั้นจะต้อง 1. ขาวและสะอาด ความขาวและสะอาดนั้นถือเป็นความจำเป็นที่จะต้องได้รับ เพราะ นั้นคือ วัตถุประสงค์หลักในการซักรีด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายเข้ามามีบทบาทในการทำให้ผ้าขาว และสะอาดใน งบประมาณที่ไม่มมากนัก “ความขาว” หมายถึงผ้าขาว ซึ่งเป็นผ้าที่ใช้ในโรงแรม ประมาณ 70-90 % ของผ้า ทั้งหมด ถ้าผ้าไม่ขาวก็สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าของบุคคลทั่วไป ซึ่ง ถือว่าเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของผู้รับผิดชอบที่ไม่ปฏิเสธได้ ส่วนคำว่า “สะอาด” หมายถึง ผ้า ที่ ปราศจากสิ่งสกปรกหรือบ่นเปื้อน กลิ่นหรือความหม่นหมองทั้งปวง การรักษาผ้าให้ “ขาวและ สะอาด” ถือ เป็นข้อสังเกตพื้นฐานถึงความเจริญก้าวหน้าในมาตรฐานของงานซักรีด
78 ภาระหน้าที่ของแผนกซักรีด 2. ทันเวลา คือ กำหนดการที่ต้องรีบนำผ้าไปซักรีดให้ทันการ ตามความต้องการของแต่ละ สถานที่ที่ ต้องการจะใช้ เช่น ภายใน 3 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง เป็นต้น ตามปกตินั้น ช่วงเวลายิ่ง สั้นค่าใช้จ่ายในการซัก รีดจะยิ่งสูงขึ้น ดังนั้น โรงแรมจำเป็นต้องพิจารณาว่า สิ่งใดสำคัญ กว่ากันระหว่างเวลากับค่าใช้จ่าย 3. งบประมาณ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการควบคุมงานซักรีดให้อยู่ใน เป้าหมายที่ ต้องการในงบประมาณที่น้อยที่สุด ส่วนใหญ่นั้นผู้บริหารมักจะคำนึงถึงตาค่าใช่จ่าย ที่สามารถมองเห็นและจับ ต้องได้ แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอีกหลายประเภทที่จำเป็นต้องนำไปคำนวณ เป็นค่าใช้จ่ายในแผนกซักรีด ซึ่งในบาง กรณี ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถมองเห็นมักจะสูงกว่า ค่าใช้จ่ายที่มองเห็นได้ เช่น ค่าเสิ่อมราคาของเครื่องจักร ค่า ดอกเบี้ยในการลงทุน ค่าใช้พื้นที่ หรือค่าเสียโอกาส เป็นต้น การวางแผนแผนกซักรีด หรือ OPL การสร้างระบบซักรีดที่ดีนั้นจ าเป็นต้องการวิเคราะห์ในรายละเอียดต่าง ๆ ที่โรงแรมนั้น ต้องการ ดังนั้น OPL จะเกิดผลดีที่สุด เมื่อมีการจัดการให้เข้ากับคววามต้องการของโรงแรม ที่ต้องการจะใช้ประโยชน์ จากแผนกซักรีด การงานแผนกก่อนการสร้างแผนกซักรีดเป็นสิ่งจำเป็น อย่างมาก เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจ ตามมา เช่น ไม่มีที่เพียงพอในการทำงานภายในห้องซักรีด ไม่มีเครื่องมือเพียงพอในการซักรีดที่มีจำนวนมาก ขึ้น มีท่อมากเพราะพื้นที่แคบ เป็นต้น หลักในการพิจารณาการวางแผนแผนกซักรีด หรือ OPL 1. จำนวนของผ้าที่ OPL จะรองรับได้มากที่สุดเท่าไร โดยทั่ว ๆ ไป จำนวนของผ้าจะสามารถวัดออกมาในจำนวนของหน่อยวัดน้ำหนัก เช่น ปอนด์ หรือ กิโลกรัม ซึ่งจำนวนของผ้าที่จะมาซักรีดนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของจำนวนแขกที่เข้ามา พัก หรือ Occupancy rate และจำนวนแขกที่มาใช้บริการในแผนกอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้น OPL ควรมีการออกแบบให้สามารถ รองรับจำนวนของผ้าที่ต้องการจะซักให้มากที่สุดของ ช่วงเวลาที่ธุรกิจขายดีที่สุดในแต่ละวัน 2. จำนวนพื้นที่ของโรงแรมเท่าไรที่จะมาเป็นพื้นที่ของ OPL พื้นที่ในห้องซักรีดนั้นจะต้องมีการออกแบบให้สามารถที่จะวางเครื่องมือและอุปกรณ์ ทุกชนิดที่ จำเป็นลงไป โดยที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอสำหรับพนักงานสามารถทำงานได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว รวมทั้งมี
79 พื้นที่มากพอที่จะแยกผ้าสะอาดและผ้าที่สกปรกออกจากกัน ปัจจัยหลัก ในการพิจารณาพื้นที่ ๆ ต้องการจะใช้ คือ ความต้องการของการซักรีดจำนวนของเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ใน OPL และจำนวนผ้าที่จะเก็บไว้ในห้อง เก็บผ้า นอกจากนี้ โรงแรมมักจะเผื่อพื้นที่ ว่างเอาไว้สำหรับการติดตั้งไฟฟ้า เครื่องจักร และระบบระบายของ เสีย เพื่อเอาไว้ขยายออกไป อีกในกรณีที่มีความต้องการใน OPL เพิ่มขึ้นในอนาคต การวางแผนแผนกซักรีด หรือ OPL 3. ควรจะซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ จำนวนเท่าไร เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ ระดับของจำนวนผ้าที่ต้องการจะซัก จะสามารถเป็นตัวตัดสินหรือปัจจัยส าคัญว่าโรงแรม ต้องซื้อ เครื่องมือและอุปกรณ์เท่าไรและประเภทใดบ้าง เพื่อจะได้สามารถตอบสนองความ ต้องการการซักรีดของ โรงแรมได้ ชนิดของผ้าที่จะซักเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการตัดสินใจว่า เครื่องมือและอุปกรณ์ชนิดไหนที่ ต้องการ เช่น โรงแรมมีกลุ่มลูกค้าที่เน้นในเรื่องการจัดเลี้ยงและ ห้องอาหาร อาจจำเป็นต้องมีการติดตั้ง เครื่องจักรที่ใช้ส าหรับการซักผ้าเช็ดปากและผ้าคลุมโต๊ะ มากขึ้น หรือ ในบางโรงแรมที่ใช้ผ้าลินินที่ไร้รอยยับ (no-iron sheets) จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้ง เครื่องรีดผ้าแบบลูกกล สำหรับปัจจัยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและน้ำ เป็นอีกสิ่งหนึ่งต้องคำนึงถึง รวมทั้ง เรื่องของ การติดตั้งไฟฟ้าและการระบายของเสียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศและน้ำ การเลือก เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ ถูกต้องและจำเป็นต่อการทำงานนั้นจะช่วยให้โรงแรมประหยัดค่าใช้จ่ายอย่าง มาก ในเรื่องเครื่องจักรอุปกรณ์ และแรงงานที่ใช้ในการทำงาน และเมื่อโรงแรมสามารถที่จะเลือก เครื่องจักรอุปกรณ์ที่จำเป็นได้แล้ว ควรที่จะ มีการติดตั้งให้เหมาะสมกับระบบการทำงานให้มากที่สุด รวมทั้งมีพื้นที่เพียงพอในระบบการทำงานที ่ควรจะ เป็น เนื่องจากการทำงานให้ห้องซักรีดนั้น มีบรรยากาศที่ค่อนข้างร้อนและมีความชื้นสูง จึงควรที่จะมีพื้นที่ว่างและระบบระบายอากาศสำหรับ ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และพื้นห้องในห้องซักรีดควรที่จะใช้วัสดุที่ไม่ลื่นและป้องกันน้ำและ ความชื้นต่าง ๆ ได้ รวมทั้งมีแสงสว่างที่เพียงพอในการตรวจสอบรอยเปื้อนและสิ่งสกปรกต่าง ๆ บนเนื้อผ้า การวางเครื่องจักร ต่าง ๆ นั้นควรเหลือพื้นที่ออกจากกันและกันและผนังอย่างน้อย 2 ฟุต เพื่อใช้ในการทำความสะอาดและ ซ่อมแซม การวางแผนแผนกซักรีด หรือ OPL 4.โรงแรมจะมีการให้บริการทางด้าน Valet Service หรือไม่
80 Valet Service คือ การบริการซักรีดให้กับแขกที่มาใช้บริการกับโรงแรมในโรงแรมที่มี การให้บริการ ระดับสูง (world-class service) อาจมีความจำเป็นต้องมีบริการซักรีดและ ซักแห้งให้กับแขกที่มาเข้าพัก แต่ ในบางกรณี อาจใช้บริการซักรีดจากภายนอก เพราะต้นทุนใน การลงทุนสูงเกินไป ซึ่งถ้าโรงแรมตัดสินใจว่าจะ มีการให้บริการซักรีดและซักแห้งให้กับแขกแล้ว จำเป็นต้องมีการติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการซัก แห้งเพิ่มขึ้น รวมทั้งพื้นที่ว่างที่จำเป็น สำหรับการทำงานของพนักงานแผนก Valet ต่างหาก นอกจากนี้ยังต้องมีการว่าจ้างพนักงาน ใน แผนกนี้เพิ่มเติมในการทำงานส่วนของ Valet เท่านั้น เพื่อไม่ให้ก้าวก่ายการทำงานในส่วน ของพนักงานซักรีด อื่นและป้องกันมิให้เสื้อผ้าของแขกปะปนกับการซักรีดผ้าลินินโรงแรม ข้อสังเกต ขนาดของโรงแรมและชนิดของการให้บริการ สามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้อง นำมา พิจารณาด้วย เช่น ถ้าโรงแรมมีขนาดเล็ก (น้อยกว่า 150 ห้อง) และมีการให้บริการ จำนวนจำกัด อาจมีความ ต้องการในพื้นที่ของ OPL แค่ 400-800 ตารางฟุต แต่ถ้าเป็นโรงแรม ขนาดกลางและมีการให้บริการทางด้าน อาหารและเครื่องดื่มด้วย ก็อาจมีความต้องการใช้พื้นที่ 1500-2000 ตารางฟุต 03 ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL ขั้นตอนที่สำคัญในการซักรีดของแผนกซักรีด หรือ OPL ประกอบด้วย 1. การเก็บผ้าที่สกปรกหรือใช้แล้ว 2. การขนย้ายผ้าที่สกปรกหรือใช้แล้วมายังแผนกซักรีด 3. การคัดแยกผ้า 4. การซักผ้า 5. การล้างผ้า/การปั่นน ้าออกจากผ้า 6. การอบผ้า 7. การรีดผ้า
81 8. การผับผ้า 9. การเก็บผ้า 10. การขนย้ายผ้าไปยังสถานที่ ๆ ต้องการจะใช้ ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL 1. การเก็บผ้าที่สกปรกหรือใช้แล้ว เมื่อพนักงานทำความสะอาดห้องพักทำความสะอาดห้องพักแขก จะเก็บผ้าต่าง ๆ ภายใน ห้องพักแขก ทั้งจากเตียงนอนและห้องน้ำ จากนั้นจะนำเอาผ้าที่สกปกหรือใช้แล้วเหล่านี้มาไว้ใน รถเข็นหรือใส่ลงในปล่องส่ง ผ้า (linen chute) ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรนำผ้าเหล้านี้วางกองอาไว้ บนพื้นหรือบริเวณทางเดิน เพราะอาจจะ ทำให้ผ้าต่าง ๆ สกปรกมากขึ้นหรือถ้ามีผู้คนเดินมาอาจจะ เหยียบย่างลงบนผ้า ทำให้เกิดความเสียหายถาวรได้ พนักงานทุกคนไม่ควรนำเอาผ้าต่าง ๆ เหล่านี้ ไปใช้อย่างผิดวิธีหรือในการทำความสะอาดใด ๆ การใช้ผ้าต่าง ๆ ในทางที่ผิดอาจทำความเสียหาย ให้แก่ผ้าได้ ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการหาผ้ามาทดแทนมากขึ้น ในบาง โรงแรมมีนโยบายให้ พนักงานเพื่อสัญลักษณ์ว่าผ้าผืนนี้สกปรกมากหรืออาจมีการใช้ถุงพลาสติกสีต่าง ๆ เพื่อใช้ ในการคัด แยกผ้า สำหรับในบริเวณห้องอาหารต่าง ๆ และห้องจัดเลี้ยง ผู้ที่รับผิดชอบในการเก็บจานจะเก็บผ้า ใช้แล้ว เมื่อมีการเก็บโต๊ะ ควรระวังในเรื่องเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร เช่น ช้อน ส้อม หรือมีด อาจปะปนไปกับผ้าต่าง ๆ ได้ ดังนั้น พนักงานเก็บโต๊ะควรมีการเขย่าผ้าทุกครั้ง ก่อนที่ นำผ้าไปใส่ในที่ ใส่ผ้า เพื่อเป็นการขจัดเศษอาหารต่าง ๆ ควรมีการแยกออกมาต่างหาก เพื่อให้ง่ายต่อ การกำจัดคราบเหล่านี้ ในขั้นตอนต่อไป 2. การขนย้ายผ้าที่สกปรก หรือ ใช้แล้วไปยังแผนกซักรีด พนักงานอาจขนย้ายผ้าที่สกปรกหรือใช้แล้วไปด้วยมือหรือรถเข็นก็ได้ ในกรณีที่ขนย้ายไป ด้วยมือ ควรระวังในเรื่องของการลากผ้าไปบนพื้น เพราะอาจทำให้ผ้าสกปรกมากขึ้น และ อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือ อันตรายกับผู้อื่นได้ แต่ถ้าขนย้ายไปด้วยรถเข็น ควรใช้รถเข็นที่ออกแบบ มาเป็นพิเศษ คือ มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีสิ่ง เกาะเกี่ยวที่เป็นอันตรายต่อผ้า และมีขนาดเหมาะสม สามารถขนย้ายผ้าได้สะดวก โดยที่พนักงานไม่ต้องก้มหรือย่อตัว
82 3. การคัดแยกผ้า (Sorting) แผนกซักรีด หรือ OPL ควรมีบริเวณในการคัดแยกผ้าที่ใหญ่เพียงพอหลักในการคัดแยก ผ้าควร พิจารณาจากระดับความสกปรกของผ้า และชนิดของผ้า ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพของผ้า ให้มีอายุการใช้งานได้ นานขึ้น และป้องกันการถูกทำลายของผ้าเร็วเกินไป ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรเอาผ้าเช็ดเท้ามาซักรวมกับผ้าอื่น ๆ ที่แขกใช้ หลักการคัดแยกผ้า (Sorting) 1. การคัดแยกผ้าโดยวิธีพิจารณาจากระดับความสกปรกของผ้า ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง และมาก ถ้าผ้าสกปรกมากจำเป็นต้องมีสูตรของน ้ายาซักผ้าที่ แรง และต้องใช้เวลาในการซักนาน ขึ้น ถ้าไม่มีการคัดแยกผ้าก่อนจะทำให้ผ้าที่มีความ สกปรกน้อยต้องซักผ้านสูตรน้ำยาซักที่แรงเกินความจำเป็น และใช้เวลาในการซักนานกว่า ปกติ ซึ่งจะทำให้ผ้านั้นเสียหายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ควรขจัดรอย เปื้อนเฉพาะ จุดด้วยสสารเคมีก่อนนำไปซักด้วย เช่น คราบสนิม คราบเลือด เป็นต้น 2. การคัดแยกผ้าตามชนิดของผ้า-ตามชนิดของใยผ้า การทอหรือสี เพื่อให้แน่ใจว่า นั้นได้ซักใน อุณหภูมิที่เหมาะสมและสูตรน้ำยาซักเหมาะสมกับผ้าชนิดนั้น ๆ ใน OPL บาง แห่งมีการซื้อเครื่องซักผ้าส าหรับผ้าแต่ละชนิดโดยเฉพาะ หลักเบื้องต้นในการขจัดรอยเปื้อนพิเศษ 1. ให้แยกชนิดของผ้าก่อนว่าเป็นผ้าชนิดใด เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม เพื่อจะได้ทราบว่า เหมาะสมกับการ ซักแบบใดและสารเคมีใด เช่น ห้ามใช้ด่างในการขจัดรอยเปื้อนกับผ้าไหม้และ ผ้าขนสัตว์เด็ดขาด 2. ให้แยกประเภทของรอยเปื้อน เช่น สนิม ไขมัน คราบไคล หมึก สีย้อม สีน้ำมัน เครื่องสำอาง หรือ อื่น ๆ 3. ทดสอบน้ำยาขจัดรอยเปื้อนบนผ้า โดยการทดสอบกับมุมผ้าที่ลับตา เช่น ชายผ้าด้าน ใน เพื่อดูว่ามี ผลต่อสี ทำให้สีจางลงหรือไม่ หรือมีผลต่อเส้นใยหรือไม่ 4. เริ่มจากเคมีที่มีฤทธิ์อ่อนไปหาฤทธิ์มาก 5. ให้ขจัดรอยเปื้อนทันที เพราะถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ยิ่งขจัดรอยเปื้อนออกยากขึ้น และ ทำให้เนื้อผ้า และสีผ้าเสียหายได้
83 6. ให้ทิ้งเวลาในการทำงานส าหรับน้ำยาขจัดรอยเปื้อนบางชนิด 7. ให้ล้างน้ำยาขจัดรอยเปื้อนออกจากผ้าให้หมดทุกครั้ง อย่าให้ตกค้างอยู่บนผ้า เพื่อ ปกป้องกันการ กัดกร่อนเนื้อผ้าและระคายเคืองต่อผิวหนังของผู้สวมใส่ผ้า ระบบการท างานของแผนกซักรีด หรือ OPL 4. การซักผ้า (Washing) หลังจากการคัดแยกผ้าเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานจะมาขนย้ายผ้าที่คัดแยกแล้ว ไปยังเครื่องซัก ผ้าก่อนใส่ ผ้าลงไปในเครื่องซักผ้า ควรมีการชั่งน้ำหนักของผ้าก่อน เพื่อไม่ให้น้ำหนักของผ้าเกิด ความสามารถที่จะรับได้ ต้องเครื่องซักผ้า การชั่งน้ำหนักของผ้าจะเป็นสิ่งสำคัญในการวัดผลผลิต ของแผนกซักรีดหรือOPL คำถามที่ใช้เป็นหลักในการซักผ้า 1. จะใช้เวลานานเท่าใดในการซัก ตามปกติดแล้วเรามักเข้าใจว่าการซักผ้านั้นยิ่งนานยิ่งดี แต่จากการ ทดลองพบว่า การซักผ้าที่ใช้เวลาในการซักนานเกินไป จะทำให้ความสามารถใน การแขวนลอยสิ่งสกปรก ลดลง เนื่องจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ เมื่อถูกแรงเหวี่ยงหรือแรงขัดสีมากขึ้น อาจกลายเป็นเม็ดเล็กลง เป็นผลให้สิ่ง สกปรกมีโอกาสตกค้างบนผ้าได้ ดังนั้นการซักผ้าจึงควร มีการใช้ระยะเวลาที่เหมาะสม คือ - ผ้าสกปรกน้อย ใช้เวลาประมาณ 35-40 นาที - ผ้าสกปรกปานกลาง ใช้เวลาประมาณ 40- 45 นาที - ผ้าสกปรกมาก ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL 2. ควรจะใช้อุณหภูมิระดับไหน โดยปกติแล้ว พนักงานจะเลือกใช้อุณหภูมิต่ำเพื่อเป็น การประหยัด พลังงานของโรงแรม แต่ในบางกรณีผงซักฟอกหรือสารเคมีบางชนิดจะสามารถท างาน ได้ดีกับน้ำร้อน และถ้า ผ้ามีสิ่งสกปรกบางอย่างก็จ าเป็นต้องซักในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง เช่น คราบไขมัน ต่าง ๆ การใช้อุณหภูมิที่ถูกต้อง จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของเคมีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยไม่เป็น อันตรายต่อผ้าอุณหภูมิที่เหมาะสม มี ดังนี้
84 3. ควรจะปรับระดับการหมุนของเครื่องซักผ้าเป็นระดับไหน ระดับการหมุนของเครื่องซักผ้า คือ การ ซักผ้านั่นเอง 4. ควรจะใช้สารเคมีประเภทไหน เช่น ผงซักฟอง สารฟอกขาว น้ำยาซักผ้านุ่ม เครื่องซักผ้าในปัจจุบัน นั้นมีทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานคนในการ กำหนดเวลาซัก ระดับการหมุน หรือแม้แต่สารซักฟอกที่ใช้อีกต่อไป ระบบคอมพิวเตอร์จะเลือกการ ซักที่เหมาะสมให้เอง ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL 5. การล้างผ้า/การปั่นน้ำออกจากผ้า (Extracting) ผ้าที่ผ่านการซักแล้ว จำเป็นต้องมีการล้างผ้าให้สะอาด การล้างน้ำหลายครั้งช่วยทำให้ ผ้าสะอาด การ ล้างผ้านั้นถือว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผงล้างผ้าเข้าช่วยในการล้างผ้าเข้าช่วย ในการล้างผ้า เพราะผงซักฟอก สำหรับเครื่องนั้น ส่วนใหญ่จะด่างค่อนข้างสูงจากการอบหรือ รีดประจำและด่างที่ตกค้างนี้เองที่เกิดปฏิกิริยา ทำลายเส้นใยผ้า โดยเฉพาะเมื่อผ้าผ่านความร้อน สูง ๆ จากการอบหรือรีดเป็นผลให้ผ้าเปื่อยยุ่ยหลังการล้างน้ำ แต่ละครั้ง จะมีการปั่นน้ำออกจาก ผ้า นั่นคือ การขจัดความชื่นออกจากผ้าโดยการปั่นแรงสูง ๆ จากการอบ หรือรีด เป็นผลให้ ผ้าเปื่อยยุ่ย หลังการล้างน้ำแต่ละครั้งจะมีการปั่นน้ำออกจากผ้า นั่นคือ การขจัดความชื้น ออก จากผ้าโดยการปั่นแรงสูงโดยทั่วไปจะใช้เครื่องสัดผ้า ซึ่งจะช่วยทำให้น้ำหนักของ ผ้าน้อยลง ทำให้ พนักงานขอย้ายผ้าที่ซักแล้วที่ซักแล้วมายังเครื่องอบผ้าได้ง่ายขึ้น และช่วยลดเวลาใน การอบผ้า การปั่นน้ำ ออกจากผ้านั้นย่อมช่วยให้การล้างผ้าสะอาดมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาเครื่องซักผ้าให้มีการปั่นน้ำออก จากผ้าใน ตัวเอง จึงทำให้โรงแรมประหยัดในเรื องของพื้นที่และงบประมาณมากกว่าในอดีต ที่จำเป็นต้องซื้อเครื่องสลัด ผ้าแยกต่างหาก ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL 6. การอบผ้า (Drying) เวลาและอุณหภูมิที่ใช้ในการอบผ้านั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของผ้า เมื่ออบผ้า เสร็จแล้ว ควร นำผ้าออกจากเครื่องและพับผ้าทันที เพื่อป้องกันรอยยับ 7. การรีดผ้า (Ironing)
85 ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ และผ้าเช็ดปากที่ยังเปียกชื้นอยู่จะถูกส่งไปรีดยังเครื่อง รีดแบบ ลูกกลิ้ง ส่วนยูนิฟอร์มจะถูกส่งไปรีดด้วยมือ 8. การพับผ้า (Folding) โดยส่วนมากแล้วจะใช้วิธีการพับผ้าด้วยมือ โดยอาจใช้เครื่องทุ่นแรงในการพับ คือ แท่นช่วยในการ พับผ้าที่สามารถพับผ้าใหญ ่ได้โดยใช้แรงงานแค่คนเดียวหรือในปัจจุบัน มีการผลิตเครื่องจักรที่สามารถทั้งทำ ให้แห้ง รีด และพับได้โดยอัตโนมัติ (Mangles) ซึ่งพนักงาน ควรมีการตรวจผ้า เก็บผ้า และส่งคืนผ้าที่มีรอย เปื้อน ขาด หรือไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ระบบการทำงานของแผนกซักรีด หรือ OPL 9. การเก็บผ้า (Storing) หลังจากพับผ้าแล้วควรมีการเก็บรักษาผ้าในสถานที่ ๆ เหมาะสม โดยการเก็บผ้าแยกตาม ประเภท ของผ้าและขนาด ควรมีการพักผ้าเอาไว้ในห้องเก็บผ้า ก่อนจะมีการนำผ้าไปใช้ใหม่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพราะจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผ้า และยืดอายุการใช้งาน ของผ้าได้ ลักษณะของห้องเก็บผ้าที่ดี ควรมีการระบายอากาศได้สะดวกไม่ควรใช้สถานที่ที่อับชื้น เพราะจะเป็นเหตุให้ผ้ามีกลิ่นไม่ดีและอาจเกิดเชื้อ ราได้ด้วย 10. การขนย้ายผ้าไปยังสถานที่ ๆ ต้องการจะใช้ ผ้าต่าง ๆ จะถูกขนย้ายไปโดยรถเข็น รถเข็นที่ใช้นี้ควรเป็นรถเข็นที่สะอาด โดยจะต้อง มีการทำความ สะอาดทุกวัน ควรมีการแยกการใช้งานรถเข็นด้วย เช่น มีรถเข็นสำหรับขนผ้า สกปรกและสะอาดอย่างละคัน อีกทั้งเวลาขนย้ายผ้าสะอาดควรมีการใช้ผ้าคลุม เพื่อเป็นการ ป้องกันสิ่งสกปรกอีกชั้นหนึ่ง คุณลักษณะและตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานในแผนกซักรีด ลักษณะของการทำงานในแผนกนี้ ทำให้พนักงานที่ทำงานส่วนใหญ่นั้นมีความรักและ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ระหว่างกัน ทำงานหนักและแข่งขันกับเวลา ผู้บริหารและผู้ใช้บริการมักมองข้าม ความสำคัญของแผนกนี้ สถานที่ทำงานจะแคบและร้อนกว่าแผนกอื่น ดังนั้น พนักงานส่วนใหญ่ มักจะเป็นชาย โดยจำเป็นต้องมี ลักษณะเพิ่มเติม คือ
86 ➢ มีร่างกายและสุขภาพแข็งแรง ทดต่อความร้อน ความชื้นและสารเคมีต่าง ๆ ในสถานที่ทำงานได้ ➢ มีความอดทนสูง สามารถทำงานในเวลาที่ยาวนานมากต่อวันได้ เช่น 12-16.ชั่วโมง เพราะ ลักษณะของงานมักจะเป็นฤดูกาลตามจำนวนแขกที่เข้าพัก ➢ มีความประนีประนอมสูง ➢ มีความรู้เกี่ยวกับผ้า สารเคมี เครื่องจักรและน้ำพอควร คุณลักษณะและตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานในแผนกซักรีด ตำแหน่งหน้าที่ในแผนกซักรีดประกอบด้วย พนักงานที่สำคัญในหลายตำแหน่งหน้าที่ ได้แก่ ➢ หัวหน้าแผนกซักรีด เป็นผู้รับผิดชอบงานในแผนกซักรีดทั้งหมด บริหารงานซักรีดในแผนกให้ มี สิทธิภาพ คือ ซักรีดผ้าให้ทันกับความต้องการที่จะใช้ของโรงแรม โดยมีการควบคุมทั้งใน ด้านคุณภาพ ปริมาณ ต้นทุนการผลิตและงบประมาณที่กำหนด นอกจากนี้ ยังต้องรับผิด ชอบ ในการบริหารบุคคลต่าง ๆ ภายในแผนกให้สามารถทำงานร่วมกัน แก้ไขคววามขัดแย้งต่าง ๆ และกระตุ้นจูงใจในการทำงาน ➢ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกซักรีด เป็นผู้ที่สามารถกระทำหน้าที่แทนหัวหน้าแผนกซักรีดได้ มักจะมีความ เชี่ยวชาญในบางด้าน แต่อยู่ในระหว่างการพัฒนาทักษาความสามารถและความชำนาญงาน ➢ หัวหน้างานย่อยหรือซุปเปอร์ไวเซอร์ เป็นผู้รับผิดชอบงานในแต่ละด้านในแผนก เช่น การซัก การซักแห้ง หรือการรีด เป็นต้น ➢ พนักงานซักผ้า เป็นพนักงานที่ควบคุมเครื่องจักรในการซักและอบผ้า ซึ่งอาจรวมถึงเครื่องสลัดผ้า ด้วย เป็นพนักงานที่รู้จักเครื่องผ้าเป็นอย่างดี ใช้งานได้อย่างถูกต้อง รู้เรื่องการใช้น้ำยาซักรีด ประเภทต่าง ๆ เป็นอย่างดี รู้จักแยกประเภทของผ้าชนิดต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ➢ พนักงานรีดผ้า เป็นพนักงานที่รับผิดชอบในการรีดผ้าทุกชนิด รวมทั้งเครื่องรีดลูกกลิ้งที่รีดผ้าปู ที่ นอน และเครื่องรีดมือใช้กับชุดผ้าต่าง ๆ พนักงานรีดผ้าที่ดีต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นเวลานานต้อง รู้จักการใช้ อุปกรณ์ในด้านรีดประเภทต่าง ๆ ให้เชี่ยวชาญด้วย คุณลักษณะและตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานในแผนกซักรีด
87 ตำแหน่งหน้าที่ในแผนกซักรีดประกอบด้วย พนักงานที่สำคัญในหลายตำแหน่งหน้าที่ ได้แก่ ➢ พนักงานรับผ้า (Valet Boy) เป็นพนักงานที่มีหน้าที่รับผ้ามาจากส่วนต่าง ๆ ในโรงแรม มักเป็น พนักงานที่มีอาวุโสน้อย เพราะไม่ได้ใช้ทักษะในงานซักรีดมากนัก มีความคล่องแคล่ว สามารถ ติดต่อโต้ตอบกับ แขกได้ดี บางครั้งจำเป็นต้องสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้บ้าง ➢ พนักงานตรวจสอบผ้า (Checker) เป็นพนักงานที่ตรวจตราชนิด จำนวนความเสียหายของผ้า รวมถึงมูลค่าของผ้าที่เข้าออกในแต่ละวันให้ถูกต้อง ต้องมีการลงบันทึกเป็นระเบียบ ควรมีความ ละเอียด รอบคอบและความรู้เบื้องต้นทางด้านบัญชีหรือเก็บเอกสารพอสมควรส่วนใหญ่มักเป็น ผู้หญิง ➢ พนักงานควบคุมปริมาณ (Linen room operator) เป็นผู้ควบคุมผ้าเฉพาะในส่วนที่ได้ทำความ สะอาดแล้ว และอยู่ในห้องผ้ามีหน้าที่เหมือนกับพนักงานพัสดุมีทักษะเช่นเดียวกับพนักงาน ตรวจสอบผ้า ➢ พนักงานเสมียน (Clerk) เป็นพนักงานที่ทำการรับ เบิก-จ่าย ลงบันทึก สิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมด ในแผนก ควบคุมระบบเอกสารให้ถูกต้อง รวมทั้งเรื่องการเงินและบันทึกด้านบุคคล ➢ พนักงานทั่วไป (Laundry staff) เป็นพนักงานที่รับเข้ามาทำงานใหม่รอการบรรจุลงในด้าน ต่าง ๆ และยังไม่มีความชำนาญเฉพาะด้านมากนัก องศ์ประกอบสำคัญในการซักผ้า 1. น้ำ เป็นตัวประกอบสำคัญในการกำหนดคุณภาพในการซักผ้า น้ำที่เราใช้ในการซักผ้าจะ แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 น้ำประปา เป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับซักผ้า เพราะผ่านขบวนการทำให้ บริสุทธิ์ อย่างครบ ขั้นตอน มีสารละลายในน้ำต่ำ 1.2 น้ำบาตาล เป็นน้ำที่ได้จากการขุดเจาะลงไปในดิน น้ำประเภทนี้ผ่านขบวนการทำ ให้บริสุทธิ์น้อย ทำให้น้ำมีลักษณะกระด้างและมีสารทำลายปะปนอยู่จำนวนมากไม่เหมาะกับการซัก ผ้า เพราะจะทำให้เนื้อผ้า เกิดการแข็งกระด้าง หยาบ และสีสันหม่นหมอง องศ์ประกอบสำคัญในการซักผ้า
88 2. สารเคมี เป็นส่วนประกอบสำคัญประการหนึ่งในการซักผ้า การใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง และ เหมาะสมจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผ้าออกได้อย่างหมดจด นอกจากนี้ยังช่วย ในการประหยัด ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากถนอมเส้นใยของผ้าให้ยาวนานและไม่สิ้นเปลือง ในการใช้สารเคมีมาก สารเคมี ที่ใช้อยู่ทั่วไปในแผนกซักรีด มีดังนี้ ➢ ผงซักฟอก ทำจากกรดไขมันผสมกรดกำมะถัน ช่วยในการขจัดสิ่งสกปรกและขจัดคราบฝังแน่น ต่าง ๆ สามารถลดแรงดึงผิวของน้ำทำให้ตัวเคมีซึมลงไปในเนื้อผ้าได้เร็ว ในบางชนิดจะมี สารฟอกขาวผสมอยู่ เหมาะกับผ้าทุกชนิด ➢ เคมีเสริมด่าง (Builder) เป็นเคมีที่ช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการซักผ้าดีขึ้นจะใช้เฉพาะกับ ผ้าที่ สกปรกมากและเปื้อนน้ำมัน ใช้กับผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดปาก ผ้าขี้ริ้ว เป็นต้น องศ์ประกอบส าคัญในการซักผ้า ➢ สารฟอกขาว (Bleach) เป็นสารเคมีที่มีส่วนผสมของเคมีฟอกขาว เพื่อกำจัดรอยเปื้อนต่าง ๆ ออกและทำให้ผ้าขาวขึ้น ใช้เฉพาะกับผ้าฝ้ายสีขาวเท่านั้น แต่มีบางชนิดที่เราเรียกว่าแบบ ออกซิเจนที่สามารถ ใช้ได้กับทั้งผ้าสีและผ้าขาว ➢ ผงล้างผ้า เพื่อขจัดด่างทีหลงเหลือจาการซัก ถ้าไม ่ขจัดออกอาจทำให้ใยผ้าถูกทำลาย ผ้าดู เหลืองซีด สีหม่นลง เกิดกลิ่น และระคายเคืองเมื่อถูกผิวหนังของคน สามารถใช้ได้ทั้งผ้าสี และผ้าขาว ➢ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ทำให้ผ้านุ่มรักษาสภาพเส้นใยผ้าให้คืนสู้สภาพเดิมและฆ่าเชื้อโรค ➢ ผลิตภัณฑ์ขจัดคราบไขมันจากอาหาร เป็นน้ำยาที่ใช้กับผ้าที่เปื้อนคราบไขมันมาก ๆ เช่น ผ้าปู โต๊ะ ผ้าเช็ดปาก โดยใช้ร่วมกับเคมีเสริมด่างและผงซักฟอก มี 2 ประเภท คือ ชนิดเหลวใส และชนิดเหลวข้น องศ์ประกอบสำคัญในการซักผ้า ➢ แป้งลงผ้า ใช้กับผ้าที่ใช้ในห้องครัวเป็นส่วนใหญ่ อาจจจะใช้แป้งมันมาต้มก่อนใช้แต่ข้อเสีย คือ เหนียวมากและต้องต้มก่อนใช้ อีกชนิดหนึ่งมาในรูปของเหลวหรือของแข็งที่ละลายน้ำได้ทันที ไม่ต้องต้ม ละลายเร็ว แต่มีราคาแพง
89 ➢ เคมีขจัดรอยเปื้อนเฉพาะจุด ใช้ในการขจัดรอยเปื้อนต่าง ๆ เช่น ขจัดคราบสนิม เลือด สีตก ก่อนที่จะนำเข้าซัก ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิดแล้วเหมาะกับรอยเปื้อนแต่ละชนิด และลักษณะ ของปัญหา ➢ น ้ามันซักแห้ง ใช้เฉพาะกับเครื่องซักแห้งเท่านั้น ปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภท คือ ตัวทำลายประเภท สารประกอบไฮโดรคาร์บอน คลอรีเนตเดท หรือเปอร์คลอโรเอธิลีน ซึ่งนิยมใช้มากที่สุด ในสหรัฐฯ รองลงมา คือ ตัวทำละลายที่ได้จากน้ำมันดิบ ประเภทสุดท้าย คือ ตัวทำละลาย ประเภทสังเคราะห์ฟลูออโรคาร์บอน องศ์ประกอบสำคัญในการซักผ้า 3. อุณหภูมิในการซักผ้า การควบคลุมอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่ส าคัญอย่างหนึ่งในการซักผ้า แต ่ละชนิด และคราบรอยเปื้อนแต ่ละชนิดจะใช้อุณหภูมิไม ่เท ่ากันต้องมีการก าหนดตาม ความเหมาะสมการใช้อุณหภูมิ ที่ถูกต้องจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของเคมีดียิ่งขึ้น โดยไม่ ท าอันตรายต่อผ้า 4. เวลาในการซักผ้า เรามักเข้าใจกันเสอมว่าเวลาในการซักผ้ายิ่งนานจะยิ่งท าให้ผ้าสะอาด ความ เข้าใจนี้ยังเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากสิ่งสกปรกเมื่อถูกแรงเหวี่ยงหรือแรงขัดสีมากขึ้น อาจกลายเป็นเม็ด เล็กลงเป็นผลให้สิ่งสกปรกมีโอกาสตกค้างลงบนผ้า ดังนั้น การซักผ้าจึงควร ใช้ระยะเวลาที่เหมาะสมกับความ สกปรกของผ้าด้วย เครื่องมือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องในแผนกซักรีด ในแผนกซักรีดจะมีเครื่องจักรในการซักรีดอยู่หลายประเภท เพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการ ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 1. เครื่องซักผ้า ในปัจจุบันเครื่องซักผ้าทุกประเภทจะต้องทำให้เกิดแรงขัดสีขึ้น โดยเกิดจาก แรง เหวี่ยงของเครื่องซักผ้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากผ้า เครื่องซักผ้าปัจจุบันมีมากมายหลาย แบบ ซึ่ง สามารถแบ่งได้เป๋น 1.1 เครื่องซักผ้าอย่างเดียว เป็นเครื่องซักผ้าที่ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศไทย จึงมีราคาถูก แต่ความ ทนทานน้อย เสียง่าย ลักษณะเป็นเครื่องเปิดด้านข้าง มี 1-4 ประตู มีรอบในการหมุนประมาณ 20-30 รอบ ต่อนาที แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะประสิทธิภาพต่ำ เปลืองเนื้อทีเสียเวลาในการทำงาน เวลานำผ้าออกไปเข้า เครื่องสลัดผ้าอีกครั้งก่อนอบผ้า
90 1.2 เครื่องซักสลัดในตัว เป็นเครื่องซักระบบอัตโนมัติ มีราคาแพงส่วนใหญ่เป็นเครื่องที่สั่ง มาจาก ต่างประเทศ สามารถสลัดน้ำออกได้หลังจากขั้นตอนซัก มีขนาดตั้งแต่ 35-500 ปอนด์ เครื่องมือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องในแผนกซักรีด 2. เครื่องสลัดผ้า เป็นเครื่องที่มีหน้าที่สลัดน้ำที่ผ่านในขั้นตอนการซักแล้วออก ราคาถูก รวดเร็ว แต่ ข้อเสีย คือ เปลืองพื้นที่และเพิ่มภาระงาน 3. เครื่องซักแห้ง เป็นเครื่องที่รวมเอาระบบการซักผ้า การสลัดผ้า การอบผ้า และการกลั่น น้ำมันมา ใช้ใหม่พร้อมกัน เป็นเครื่องที่มีราคาแพง มีขนาดตั้งแต่ 5-100 ปอนด์ แต่นิยมใช้กันมาก คือ ขนาด 30 ปอนด์ 4. เครื่องสป๊อตติ้ง เป็นโต๊ะดูดลมเล็ก ๆ ที่มีการพ่นลมและน้ำออกมาเฉพาะที่บนรอยเปื้อน ของผ้า เพื่อช่วยในการขจัดรอยเปื้อนนั้น เครื่องมือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องในแผนกซักรีด 5. เครื่องรีดผ้า เราสามารถแบ่งเครื่องรีดออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 5.1 แบบรีดเสื้อผ้าและรีดผ้าชิ้นเล็ก ประกอบด้วยเครื่องรีดผ้า 4 ชนิด ดังนี้ ➢ เตารีดไฟฟ้า (เตารีดด้าน) ให้ความร้อนที่ผิวหน้าสูง สามารถรีดผ้าหนาและผ้าที่เรียบยากได้เป็น อย่างดี ➢ เตารีดไอน้ำให้ความร้อนสม่ำเสมอเหมาะกับผ้าที ่รีดง่าย สามารถแยกไอน้ำออกมาจากเตารีด โดยมีหม้อต้มน้ำต่างหาก ➢ เครื่องปั๊มผ้าหรือเครื่องเพรส (Press) เป็นเครื่องรีดผ้าขนาดใหญ่เท่าโต๊ะท างาน สามารถทำการ รีดได้ รวดเร็ว ➢ เครื่องเป่าหุ่น (Form Finisher) เป็นโครงเหล็กและมีผ้าพิเศษหุ้มพร้อมท่อพ่นไอน้ำติดอยู่ วิธีการใช้ คือ นำเอาผ้าที่ต้องการรีดมาสวมใส่ลงในหุ่นนี้ เครื่องเป่าหุ่นจะพ่นไอน้ำลงบนผ้า ทำให้ผ้าแห้งและ เรียบ อย่างรวดเร็ว เหมาะกับเสื้อที่เสียทรงง่าย เช่น เสื้อยืด
91 5.2 แบบรีดผ้าผืน ซึ่งใช้เครื่องมืดรีดผ้าที่เราเรียกว่า เครื่องรีดผ้าผืนหน้ากว้างหรือเครื่องรีด ลูกกลิ้ง (Flatwork Ironer) มีลูกกลิ้งตั้งแต่ 1-5 ลูก วางในแนวนอน ลูกกลิ้งจะหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ มีความร้อน ผ่านในลูกกลิ้ง ท าให้ร้อนเหมือนผิวเตารีด เครื่องมือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องในแผนกซักรีด 6. เครื่องปั๊มหมายเลขผ้า เป็นเครื่องที่ให้อักษรและตัวเลขที่ควบคุม ชนิดและปริมาณผ้าตามที่ แผนก กำหนด เพื่อการบันทึกผลงาน ป้องกันการสับสน ควบคุมงบประมาณ ปรับปรุงงานและป้องกัน การทุจริต การ บันทึกเป็นการบันทึกชั่วคราวลงบนกระดาษพิเศษ (ไฟเบอร์โรล) ที่มีหลายสีหรือกระดาษ กาวพิเศษ ที่เรียกว่า เทอร์โมซีล 7. เครื่องแพ็กผ้า เป็นเครื่องที่คอยจัดพลาสติดหรือกระดาษที่จะคลุมผ้าที่ผ่านการซักแห้งแล้ว ก่อน ส่งให้ลูกค้าเพื่อความสวยงามมีทั้งแบบหอในแนวตั้งและแนวอื่น ๆ 8. เครื่องอบผ้า เป็นเครื่องที่ทำให้ผ้าแห้ง โดยการใช้ความร้อน มีหลายชนิด หลายประเภท โดยการ แบ่งตามประเภทของพลังงานที่ใช้หรือการใส่ผ้า เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) ❖ คุณลักษณะของเส้นใยผ้า คือ ปัจจัยสำคัญประการที่แผนกซักรีดจำเป็นต้องทราบ และตระหนัก ถึง ก่อนการซักรีดทุกครั้ง การทราบถึงคุณลักษณะเฉพาะของเส้นใยแต่ละประเภทจะช่วยทำให้การซัก รีดนั้นมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยในการถนอมเนื้อผ้าและใช้สารเคมีต่าง ๆ ได้ถูกประเภทของ ใยผ้านั้น เส้นใยบาง ชนิดนั้นอาจไม่เหมาะสมกับสารเคมีหรือตัวทำละลายบางประเภท ดังนั้น ถ้าแผนกซักรีดไม่ตระหนักถึงความจำเป็นเหล่านี้ก็จะท าให้เนื้อผ้าถูกทำลายอย่างถาวรและ การ บริการที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายให้กับโรงแรมด้วย ❖ เส้นใย คือ วัสดุที่มีความยาวมากกว่าความกว้างและมีคุณสมบัติต่าง ๆ พร้อมที่จะนำมาปั่นเป็น เส้นด้วยคุณสมบัติดังกล่าว เช่น คุณภาพในการดูดความชื้น ความยืดหยุ่นตัว ความแข็งแรง การรวมตัวได้ง่าย ของเส้นใยหรือการเกาะติด การหยิกงอ ความแข็งแรง แล้วจึงนำไปทอเป็น ผืนผ้าต่อไป เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) ❖ ปัจจุบันเส้นใยสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1. เส้นใยธรรมชาติ (Natural Fibers) เช่น เส้นใยจากพืช (ฝ้าย ปอ ป่าน ใยมะพร้าว) เส้นใย จาก สัตว์ (ไหม ขนแกะ ขนกระต่าย) เส้นใยจากสินแร่ (แอสเบสตอส) 2. เส้นใยประดิษฐ์ (Man-made Fibers) สามารถแบ่งได้เป็น 2.1 เส้นใยประดิษฐ์จากธรรมชาติ (Natural-polymer Fibers) เช่น เรยอน เซลลูโลสอะซิเตท
92 2.2 เส้นใยประดิษฐ์จากสังเคราะห์ (Synthetic-polymer Fibers) เช่น ไนล่อน โพลีเอสเตอร์ อะครี ลิค เป็นต้น 2.3 เส้นใยอินทรีย์ (Inorganic Fibers) เช่น เส้นใยแก้ว เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) ❖ คุณสมบัติของเส้นใยต่าง ๆ ประกอบด้วย 1. เส้นใยฝ้าย (Cotton Fibers) เป็นเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากเมล็ดฝ้ายเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ ใช้กัน มากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งทอ สามารถดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น ทอด้วยฝ้าย ล้วน หรือนำมา ผสมกับแส้นใยชนิดอื่น เนื่องจากคุณสมบัติของเส้นใยฝ้ายนั้นสวมใส่สบาย ระบาย ความร้อนได้ดี มีความ แข็งแรงทนทานต่อความร้อนสูงและการซัก ไม่เป็นกรดแต่เป็นราและยับง่าย 2. เส้นใยไหม (Silk Fibers) เป็นเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากสัตว์ประเภทแมลงผีเสื้อชนิดหนึ่ง คือ ตัว ไหม แล้วนำเอาใยรังไหมมาทอเป็นผืนผ้า เส้นใยไหมมีความงามมาก เหนียว มีความมันวาวและ ลื่น เมื่อ สัมผัส สีสดใส แต่ง่ายต่อการยับและถูกทำลายเมื่อถูกสารเคมี เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) 3. เส้นใยขนสัตว์ (Wool หรือ Hair Fibers) เป็นเส้นใยจากขนแกะและสัตว์อื่น ๆ มีความ คงรูปและ ป้องกันความหนาวได้ดี แต่ต้องซักและย้อมสีอย่างระมัดระวัง เพราะเส้นใยไม่ทนต่อกรดและ ด่างอย่างรุนแรง ผ้าประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้การซักแห้ง เพื่อทำความสะอาด 4. เส้นผ้าโพลีเอสเตอร์ หรือ เส้นใยเทโตรอน (Polyester หรือ Tatoron Fibers) เป็นเส้นใย ประดิษฐ์ที่ทำจากขบวนการทางเคมี เส้นใยมีความเหนียว ทำเป็นผืนผ้าได้ดีแต่ไม่ซึมซับน้ำทนต่อ รอยยับ ดูแล รักษาง่ายไม่ต้องรีด แห้งเร็ว มีความคงตัวได้ดีทนต่อการขึ้นราและแสงแดดได้ดีทนต่อ กรดอ่อน ๆ และกรด รุนแรงทุกชนิดแต่จะไม่ทนต่อด่าง ย้อมสีติดได้ยาก ปัจจุบันถือเป็นเส้นใยที่คนนิยม นำมาผลิตเป็นเสื้อผ้ามาก ที่สุดในโลก เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) 5. เส้นใยฝ้ายสังเคราะห์ หรือ เส้นใยเรยอน (Rayon Fibers) เป็นเส้นใยประดิษฐ์ที่ได้จาก เส้นใย เซลลูโลส เช่น เยื่อไม้หรือเศษฝ้าย ทำปฏิกิริยาเคมีก่อนมาปั่นเป็นเส้นใยยาวต่อเนื่องกันจะทำให้ ความเงามัน ได้ตามความต้องการ เนื่องจากเส้นใยมีความเรียบสม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกัน นิยมใช้ แพร่หลายในเสื้อผ้าหลาย ชนิด หรือนำมาใช้วัสดุตกแต่งเสื้อผ้าก็ได้ นิยมนำมาผสมกับผ้าฝ้าย 6. เส้นใยไนล่อน (Nylon Fibers) เป็นเส้นใยประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นชนิดแรกและนิยมใช้กัน โดยทั่วไป คุณสมบัติของเส้นใยนั้นมีความเหนียวและยืดหยุ่นได้ดี นิยมนำมาผลิตถุงน่อง กางเกงชั้นใน เสื้อในสตรี เสื้อผ้า ยืด ลักษณะของเส้นใยย้อมติดสีได้ง่ายแต่ยืดหดง่าย จึงทำให้เส้นใยมีความทนน้อย เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) 7. เส้นใยอะครีลิค (Acrylic Fibers) เป็นเส้นใยประดิษฐ์ที่ได้มาจากเม็ดพลาสติกอะครีลิคแล้ว นำมา ฉีดเป็นเส้นใย นิยมนำมาใช้ทอเป็นไหมพรม เนื่องจากเส้นใยมีความฟู สามารถย้อมสีเป็นสีต่าง ๆ น้ำหนักเบา และกันความหนาวได้ดี
93 8. เส้นใยอาซิเตท (Acetate Fibers) เป็นเส้นใยประดิษฐ์ที่มีความมันแต่ไม่แข็งแรง ใช้ทำ ผ้าบาง และ มัน เช่น เสื้อผ้าแพร เส้นใย (Fibers) และผ้า (Fabrics) 9. เส้นใยพลาสติก (Plastic Fibers) เป็นเส้นใยประดิษฐ์ที่นำเอาเส้นใยพลาสติกมาทำเป็นผ้า ตาม ความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เส้นใยโพลีโปรปิลีน ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในโรงงานอิเลค โทรนิคส์ เพราะ งานในโรงงานต้องการเส้นใยที่ไม่มีฝุ่นผ้าปนเปื้อนในการผลิต 10. เส้นใยผสม คือ การนำเอาเส้นใยมากกว่าหนึ่งชนิดมารวมกันเพื่อเพิ่มข้อดีและลดจุดด้อย ของเส้น ใยอีกชนิดหนึ่ง เช่น การนำเส้นใยโพลีเอสเตอร์หรือเทโตรอนมาผสมกับผ้าฝ้าย เพื่อเพิ่ม ความแข็งแรงและ สวมใส่สบาย ในอัตราส่วนที่ต่างกันตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศนั้น ๆ
94