Electronics SEPTEMBER 28 - 30 วงจรขขยายแบบกลับเฟส (Inverting Amplifier) วงจรขยายแบบไม่ก ม่ ลับเฟส(Non-Inverting Amplifer) วงจรบัฟบั เฟอร์ (Bร์ uffer) วงจร Differential Amplifier Circuit วงจร Intrgaterd Circuit,IC COLLECT OP-AMP CIRCUIT DATA
วงจรขยายออปแอมป์แ ป์ บบกลับ เฟส(Inverting Amplifier)
ในวงจรขยายออปแอมป์นั้นสามารถที่จะกำ หนด อัตราการขยายของวงจรได้โดยการใช้ วงจร เนกาทีฟฟีดแบ็ค(Negative Feedblack)เมื่อ เราป้อนสัญญาณเข้าทางขากลับเฟส(ขา - )แรง ดันด้านทางออกจะมีมุมเฟสต่างไปจากแรงดัน ทางเข้า180 องศา ซึ่งมีลักษณะตรงข้าม สัญญาณตรงกันข้ามนี้จะถูกป้อนกลับผ่าน R2 เข้ามายังขาอินเวอร์ติ้งอีกครั้งหนึ่ง ตรงจุดนี้จะ ทำ ให้สัญญาณเกิดการหักล้างกันอัตราการ ขยายก็จะลดลง ถ้าตัวต้านทานที่เป็นตัวป้อน กลับมีค่ามาก จะทำ ให้สัญญาณป้อนกลับมี ขนาดเล็กอัตราการขยายออกจึงสูง ถ้าตัว ต้านทานที่ป้อนกลับมีค่าน้อยสัญญาณป้อน กลับไปได้มากอัตราการขยายก็จะลดลง ฉะนั้น อัตราส่วนของความต้านทาน R1 และ R2 จะเป็น ตัวกำ หนดอัตราการขยายของวงจรโดยไม่ขึ้น กับอัตราการขยายของออปแอมป์ ซึ่งสามารถ หาอัตราการขยายแรงดันได้จากสูตร
วงจรขยายนี้เป็นวงจรขยายอีกแบบหนึ่งที่ ต้องการเฟสในการขยายเป็นเฟสเดียวกัน ดังนั้น การป้อนสัญญาณอินพุทจึงต้องป้อนเข้าที่ขาอินพุ ทไม่กลับเฟส (+) ซึ่งเมื่อขยายออกที่เอาท์พุทแล้ว จะได้สัญญาณเอาท์พุทที่มีเฟสเหมือนเดิม ดังนั้น ในวงจรขยายแบบไม่กลับเฟสนี้การป้อนกลับเพื่อ ลดอัตราการขยายจึงยังคงต้องป้อนไปยังขาอิน เวอร์ติ้ง (-) เพื่อให้เกิดการหักล้างของสัญญาณ กันภายในตัวไอซีออปแอมป์ โดยสามารถหาอัตรา การขยายของวงจรได้จากสูตร
วงจรบัฟเฟอร์ (Buffer) วงจรบัฟเฟอร์หรือวงจรกันชน เป็นวงจรที่ใช้ เชื่อมวงจรสองวงจรเข้าด้วยกัน เช่นระบบไอซีที่ ต่างตระกูลกันหรือทรานซิสเตอรืที่ไม่แมทชิ่งอิมพี แดนซ์กัน คือวงจรที่จำ เป็นต้องใช้บัฟเฟอร์เพราะ คุณสมบัติของออปแอมป์ทางเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ ต่ำ เมื่อเชื่อมต่อกับวงจรอื่นแล้วจะไม่ทำ ให้วงจร อื่นมีผลแตกต่างไปจากเดิม วงจรบัฟเฟอร์นั้นจะมี อัตราการขยายเท่ากับ 1
วงจร differential amplifier วงจรขยายผลต่าง (Differential Amplifier Circuit) คือ วงจรที่มีสอง อินพุตมีภาคขยายสอง ภาคมาต่อร่วม กัน โดยวงจรจะเปรียบเทียบสัญญาณที่ ได้จากทั้งสองอินพุตและขยายออกมา เป็นสัญญาณ เอาท์พุต โดยทั่วไปจะใช้ ทรานซิสเตอร์เบอร์เดียวกันสองตัวหรือ เฟตเบอร์เดียวกันกันสองตัวต่อร่วมกัน เป็นวงจรขยายผลต่าง โดยถูกผลิต ออกมาในรูปของแบบไอซีลักษณะของ วงจร
หลักการของวงจรดิฟเฟอเรนเชียลจะมีอินพุต 2 อินพุตแยกจากกันและมี 2 เอาต์พุตโดยส่วนมาก วงจรดิฟเฟอเรนเชียลจะใช้แหล่งจ่ายแรงดัน 2 แหล่งจ่ายคือแรงดันบวกและแรงดันลบวงจร
วงจร Intrgaterd Circuit,IC ไอซี (IC) มีหลากหลายรุ่น ตัวอย่างเช่น IC ตระกูล 7400 ที่ใช้กันมากที่สุดบางตัวพร้อมฟัง ก์ชั่นจะกล่าวถึงด้านล่าง IC 7400 , IC 7402 , IC 7404 , IC 7408 , IC 7432 , IC 7447 , IC 7474 , IC 7470 , IC 7486, IC 7490, IC 74138, IC 74153, IC 74157, IC 74160, IC 74164, IC 74174, IC 74193, IC 74245, IC 74266, IC 74373, IC 74374
วงจรรวม หรือ วงจรเบ็ดเสร็จ ( อังกฤษ : integrated circuit ; IC ) หมายถึง วงจรที่นำ เอา ไดโอด , ทรานซิสเตอร์ , ตัวต้านทาน , ตัว เก็บประจุ และองค์ประกอบวงจรต่าง ๆ มา ประกอบรวมกันบนแผ่นวงจรขนาดเล็ก ใน ปัจจุบันแผ่นวงจรนี้จะทำ ด้วยแผ่นซิลิคอน บางที อาจเรียก ชิป (Chip) และสร้างองค์ประกอบ วงจรต่าง ๆ ฝังอยู่บนแผ่นผลึกนี้ ส่วนใหญ่เป็น ชนิดที่เรียกว่า Monolithic การสร้างองค์ ประกอบวงจรบนผิวผลึกนี้ จะใช้กรรมวิธีทาง ด้านการถ่ายภาพอย่างละเอียด ผสมกับ ขบวนการทางเคมีทำ ให้ลายวงจรมีความละเอียด สูงมาก สามารถบรรจุองค์ประกอบวงจรได้ จำ นวนมาก ภายในไอซี จะมีส่วนของ ลอจิก มากมาย ในบรรดาวงจรเบ็ดเสร็จที่ซับซ้อนสูง เช่น ไมโครโปรเซสเซอร์ ซึ่งใช้ทำ งานควบคุม คอมพิวเตอร์ จนถึง โทรศัพท์มือถือ แม้กระทั่ง เตาอบไมโครเวฟ แบบดิจิทัล สำ หรับชิป หน่วย ความจำ (RAM) เป็นอีกประเภทหนึ่งของวงจร เบ็ดเสร็จ ที่มีความสำ คัญมากในยุคปัจจุบัน