- สงั เกตพฤติกรรม
พฤติกรรมทัว่ ไปของอีเหน็ เครือ
พฤตกิ รรมการกนิ อาหาร จะเลือกกนิ ผลไม้มากกวา่ เนื้อสตั ว์
มปี ริมาณการกนิ อาหารเฉลีย่ 461.50 กรัม/ตัว (ภาพที่ 25)
พฤติกรรมการนอน พบพฤติกรรมการนอนบนขอนไม้
(ภาพท่ี 26) บางเวลา แตจ่ ะนอนในกล่องไม้มากกวา่
ภาพที่ 25 พฤติกรรมการกนิ อาหาร
43
ภาพที่ 26 พฤตกิ รรมการนอนบนขอนไม้
พฤติกรรมการผสมพนั ธุ์ของอเี หน็ เครอื
พฤติกรรมจะเกดิ ขึน้ ในช่วงท้ายๆของช่วงการเปน็ สัด โดยพ่อ
พันธจุ์ ะเรม่ิ พยายามกดั คอแมพ่ ันธ์ุเพื่อให้แม่พันธุ์อยู่น่ิง และแม่พันธ์ุก็
จะยอมให้ผสมพนั ธ์ุ ซงึ่ จะอย่นู ่งิ และไม่ตอ่ สู้ ทาให้พ่อพันธ์ุสามารถขึ้น
คร่อมเพื่อผสมพันธุ์ได้ (ภาพท่ี 27) เม่ือข้ึนผสมพันธ์ุแล้วตัวเมียจะมี
พฤติกรรมนอนกลิ้งไปมากับพื้นดิน กลิ้งตัวกับกองหญ้า หรือ ถูลาตัว
กับต้นไม้ บริเวณข้างกรง ใช้ลิ้นเลียทาความสะอาดขนลาตัวและ
บริเวณอวัยวะเพศ ส่วนพ่อพันธุ์จะใช้ลิ้นเลียทาความสะอาดขนตัว
และอวัยวะเพศ บางครง้ั อาจมีอาการว่ิงคึกไปมารอบกรง
44
ภาพที่ 27 แสดงการขน้ึ ครอ่ มผสมพันธุข์ องอเี หน็ เครือ
ลักษณะของอเี หน็ เครือที่ตั้งท้องมีดังนี้
• ลกั ษณะลาตัวจะอว้ นข้ึนจากปกติ หน้าทอ้ งมขี นาดโต
ขน้ึ อยา่ งเหน็ ไดช้ ัด (ภาพท่ี 28)
• ลกั ษณะเต้านมโตขน้ึ หัวนมเปน็ สีชมพู
• ใชเ้ วลาในการนอนเยอะขนึ้
• ลักษณะการเดินดอู ้ยุ อา้ ย การวง่ิ ไม่ว่องไว
• กินอาหารเพิ่มมากขึน้
• นอนตะแคง
45
ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิในช่วงขณะท่ีอีเหน็ เครือตั้งทอ้ ง
• ลดการเขา้ ไปรบกวนบริเวณคอกเพาะขยายพันธ์ุ ไม่
สง่ เสยี งดงั รบกวน
• คนเล้ยี งควรเปน็ คนเดิม
• เพิ่มปรมิ าณอาหารและชนดิ อาหารเสริมให้
หลากหลาย
• นา้ ด่มื ต้องสะอาดเสมอ
ภาพท่ี 28 ลกั ษณะรูปรา่ งในการตั้งท้องของอีเหน็ เครอื เพศเมีย
46
พฤตกิ รรมการคลอดลูกของอเี หน็ เครือ
อีเห็นเครือเพศเมียเมื่อท้องแก่พฤติกรรมต่างๆจะลดลง จะ
อยู่กับท่ีและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอนจะลุกขึ้นเม่ือกินอาหาร ตื่น
ตกใจอยู่ตลอดเวลา เม่ือถึงเวลาใกล้คลอดจะนอนตะแคงข้างเกร็งตัว
และใช้ขาหลังขยับไปมาพร้อมเบ่ง เพ่ือให้ลูกคลอดออกมา เมื่อลูก
อีเห็นเครือคลอดออกมา (ภาพท่ี 29) แม่อีเห็นเครือจะกัดสายสะดือ
ลูกที่ติดกับตัวเอง กัดถุงน้าคร่าท่ีพันติดมากับตัวลูกและกินถุงน้าคร่า
นั้น มีน้าคร่าเป็นเมือกใสๆติดตามตัวลูก แม่อีเห็นเครือเลียน้าคร่า
ตามบริเวณใบหน้า จมูก และลาตัวลูกจนแห้ง พร้อมกันน้ีลูกอีเห็น
เครือก็จะกินนมแม่ (ภาพที่ 30) (ซึ่งน้านมจากแม่แรกเกิดนี้จะเป็น
น้านมเหลือง จะมีสารอาหารและมีประโยชน์ต่อลูกเป็นอย่างมาก มี
ผลต่อการสร้างภมู ิคุ้มกันของลูก ทาให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์
มีภูมติ ้านทานโรค)
47
ภาพที่ 29 แสดงอเี หน็ เครือคลอดลกู
ภาพท่ี 30 แสดงลูกอีเห็นเครือกินนม
48
การอนบุ าลลกู อเี ห็นเครือ
1. การอนุบาลด้วยแม่อเี ห็นเครอื
แมอ่ เี หน็ เครือสามารถให้นมลูกได้เลยหลังจากคลอด โดยแม่
อีเห็นเครือจะนอนตะแคงข้างเพ่ือให้ลูกกินนมและคอยให้ความ
อบอุ่นแก่ลูก จะพบว่าการให้นมลูกมีความถี่สูงในช่วงแรกหลังคลอด
ลูกและจะลดจานวนความถ่ีลงเมื่อลูกอีเห็นเครือเร่ิมกินอาหาร และ
กินอาหารเองได้ การพยายามลดการให้นมแก่ลูกโดยแม่อีเห็นเครือ
จะลุกขึ้นพร้อมกับหมุนวนลาตัวก่อนนอนและนอนงอตัวขดเป็น
วงกลมโดยจะใช้บริเวณลาตัวแนบชิดติดกันไม่ให้ส่วนของบริเวณเต้า
นมเปิดสู่ดา้ นบนเพ่ือให้ลูกกนิ นมได้
1.1 การเลียขนไซรข้ นลูก
แม่อีเห็นเครือมีการเลียขนลูกอีเห็นเครือ (ภาพที่ 31) มักพบ
บ่อยครั้งในช่วงแรกคลอด โดยจะเลียขนตามบริเวณรอบปากใบหน้า
ใบหู หรือส่วนหัวของลูกอีเห็นเครือ ตลอดลาตัวจนถึงส่วนหาง
บางครง้ั มีการแทะหรือขบเบาบรเิ วณขาและมีการไซร้ขนร่วมด้วย มัก
พบการเลียขนบ่อยครั้งในขณะท่ีลูกนอนหลับและลูกกินนม ซ่ึงการ
แสดงพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทาความสะอาดร่างกายให้แก่ลูก
และยงั สามารถกาจดั แมงหรือแมลงต่างๆท่รี บกวนผิวหนังลูกได้
49
ภาพท่ี 31 แสดงแม่อเี ห็นเครือเลยี ขนลกู
1.2 การคาบลูก
พบว่าแม่อเี ห็นเครอื มกี ารคาบลกู (ภาพที่ 32) เดินว่ิงบริเวณส่วน
แสดง เป็นการเตือนภัยแก่ลูกหรือหาท่ีหลบซ่อนใหม่ให้แก่ลูก
เน่ืองจากรู้สึกไม่ปลอดภัยและเมื่อถูกรบกวน มักพบในขณะท่ีลูกยัง
เล็กอยู่ ซึ่งการคาบลูกขณะเดินมักจะใช้เวลาไม่เกิน 3-4 นาทีต่อคร้ัง
เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อลูกได้เม่ือใช้เวลาในการคาบที่นาน
เกินไป
50
ภาพท่ี 32 แสดงแม่อเี หน็ เครือคาบลูก
2. การอนุบาลโดยคนเล้ยี ง
(ในกรณีที่แม่อเี หน็ เครอื ไมเ่ ล้ียงลูก)
ในกรณีที่แม่อีเห็นเครือไม่เล้ียงลูก จึงมีความจาเป็นท่ีคนเล้ียง
ต้องนาลูกอีเห็นเครือออกมาอนุบาลเอง (โดยอยู่ในความดูแลของ
สัตวแพทย์) ลูกอีเห็นเครือในช่วงแรกเกิดยังไม่สามารถกินนมได้เอง
ทันที คนเล้ยี งจงึ ตอ้ งทาการอนุบาลลกู อเี ห็นเครือ โดยการป้อนนมให้
ลูกอีเห็นเครือ (ภาพที่ 33) ซึ่งใช้นมแพะในการเลี้ยงลูกอีเห็นเครือ
แรกเกิด โดยนานมแพะชนิดกระป๋อง (ภาพท่ี 34) ใส่ในขวดนม
พลาสติก (ภาพที่ 35) เพื่อความสะดวกต่อการกินนมของ
ลูกอเี ห็นเครือ
51
ภาพท่ี 33 แสดงการป้อนนมลกู อเี ห็นเครือ
ภาพท่ี 34 แสดงนมแพะชนดิ กระป๋อง
52
ภาพท่ี 35 แสดงขวดนมพลาสติก
250
200
150
100
50
0
กราฟที่ 1 แสดงค่าเฉล่ียปรมิ าณนมท่ใี ห้ในแต่ละสัปดาห์
53
สัปดา ์ห ี่ท 1
สัปดา ์ห ่ีท 2
สัปดา ์ห ่ีท 3
สัปดา ์ห ี่ท 4
ัสปดา ์ห ี่ท 5
ัสปดาห์ ่ีท 6
สัปดา ์ห ี่ท 7
ัสปดา ์ห ่ีท 8
สัปดาหท์ ี่ ปริมาณน้านมท่ีกนิ
สปั ดาห์ที่ 1 80.5
สัปดาห์ที่ 2 115.645
สัปดาหท์ ่ี 3 138.485
สัปดาหท์ ่ี 4 158.075
สปั ดาห์ที่ 5 171.43
สปั ดาห์ท่ี 6 151.665
สปั ดาห์ท่ี 7 211.43
สปั ดาหท์ ี่ 8 159.925
ตารางท่ี 1 แสดงค่าเฉล่ียปรมิ าณนมท่ใี ห้ในแตล่ ะสัปดาห์
ขั้นตอนเบอ้ื งต้นการอนุบาลลูกอีเห็นเครอื โดยคนเลย้ี ง
1. เกบ็ ข้อมลู เบ้ืองต้น เชน่ ช่ังนา้ หนกั ,วัดขนาดลาตวั
2. บนั ทกึ ข้อมูลการใหน้ ม
3. ความช้นื ข้นั ตา่ ประมาณ 50 เปอรเ์ ซ็นต์
4. ทาให้ร่างกายลูกอีเห็นเครืออบอุ่น อยู่ท่ีประมาณ 26.5
ถงึ 32 องศาเซลเซยี ส
5. สัตวแพทยต์ รวจสขุ ภาพรา่ งกาย
54
การเจรญิ เตบิ โตและการเลี้ยงดูลกู อเี ห็นเครือโดยคนเลี้ยง
1. ทาการช่ังน้าหนักลูกอีเห็นเครือแรกเกิด มีน้าหนัก
ประมาณ 170 – 190 กรัม (ภาพที่ 36) อายุ 4 – 5
วัน เริ่มลืมตา ปีนป่ายและเล่น เริ่มให้นมแพะชนิด
กระป๋องใส่ขวดนมพลาสติก ประมาณ 3 - 5 มิลลิลิตร
ทกุ ๆ 2 ชัว่ โมง โดยคนเล้ียงหรือสัตวแพทย์ป้อนนมทีละ
น้อย หากลูกอีเห็นเครือหิวจะมีการตอบสนอง และเร่ิม
แสดงพฤติกรรมการกินนม
2. ให้ความอบอุ่นแก่ลูกอีเห็นเครือแรกเกิดจนถึง 8
สัปดาห์ ทาได้โดยการนาถุงน้าร้อนห่อด้วยผ้าขนหนู
วางไว้บริเวณรอบๆตัวลูกอีเห็น เปล่ียนถุงน้าร้อนทุกๆ
2–3 ช่ัวโมง
3. เม่ืออายุ 2 สัปดาห์ มีน้าหนักตัวเฉล่ีย 408 กรัม
(ภาพที่ 37) ให้นมทุกๆ 3 – 4 ชั่วโมงต่อครั้ง และเม่ือ
อายุ 4 สัปดาห์ มีน้าหนักตัวเฉลี่ย 534 กรัม (ภาพท่ี
38) สามารถทดลองให้นมโดยการเทใส่ภาชนะให้ฝึกกิน
ด้วยตวั เอง
4. เม่ืออายุ 6 สัปดาห์ มีน้าหนักตัวเฉล่ีย 642 กรัม
(ภาพที่ 39) เร่ิมลดปริมาณนมแพะและฝึกเรียนรู้การ
กินผลไม้ เมื่ออายุ 8 สัปดาห์ มีน้าหนักตัวเฉลี่ย 1,205
กรัม (ภาพท่ี 40) ให้กล้วยบดประมาณ 70 กรัม ผสม
55
นมแพะ 20 มิลลิลิตร และไก่สับละเอียด 30 กรัม คลุก
กับไข่ไก่ต้มสุข 1 ฟอง และค่อยๆปรับลดนมลงพร้อม
เพ่ิมอาหารชนดิ อ่นื ๆ
5. เมอื่ อายุ 12 สัปดาห์ จงึ เริ่มหย่านม ให้เนื้อไก่สับเป็นชิ้น
เลก็ ๆ ประมาณ 50 กรัม กลว้ ย 100 กรัม มะละกอ 30
กรมั และผลไม้อืน่ ๆ ห่ันเปน็ ชน้ิ เล็กๆพอดีคาพร้อมเสริม
แคลเซียม ลงในอาหาร (ภาพท่ี 41)
6. เม่ืออายุ 20 สัปดาห์ ฝึกลงส่วนแสดง โดยปล่อยในช่วง
กลางวัน (ภาพที่ 42) และนาเข้าคอกอนุบาลในช่วงค่า
เปน็ เวลา 1 สปั ดาห์
7. อายุ 21 สัปดาห์ ปล่อยสู่ส่วนแสดง (ภาพท่ี 43) โดยมี
คนเล้ียงคอยเฝา้ สังเกตอย่างใกล้ชดิ
ภาพท่ี 36 แสดงลูกอเี หน็ เครือแรกเกิด
56
ภาพที่ 37 แสดงลูกอีเหน็ เครืออายุ 2 สัปดาห์
ภาพที่ 38 แสดงลูกอีเหน็ เครืออายุ 4 สปั ดาห์
57
ภาพที่ 39 แสดงลูกอีเหน็ เครืออายุ 6 สัปดาห์
ภาพที่ 40 แสดงลูกอีเหน็ เครืออายุ 8 สปั ดาห์
58
ภาพท่ี 41 แสดงลูกอีเหน็ เครืออายุ 12 สปั ดาห์
เร่มิ หยา่ นมให้กินเนอ้ื สัตว์และผลไม้
ภาพท่ี 42 แสดงลูกอเี ห็นเครืออายุ 20 สัปดาห์
ฝึกลงสว่ นแสดง
59
ภาพท่ี 43 แสดงอายุ 21 สัปดาห์
ปลอ่ ยลกู อเี ห็นเครอื สสู่ ่วนแสดง
60
การชง่ั น้าหนกั ลกู อเี ห็นเครอื
ชั่งน้าหนักลูกอีเห็นเครือแรกเกิด ชั่ง 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์
(ภาพท่ี 44) เพื่อประเมินการเจริญเติบโต และความสมบูรณ์แข็งแรง
ของลูกอีเห็นเครอื
อายุ 2 สัปดาห์
อายุ 4 สัปดาห์
ภาพท่ี 44 แสดงการชง่ั น้าหนักลกู อีเหน็ เครือ
61
การวดั ขนาดลาตัวลกู อเี หน็ เครือ
วัดขนาดลาตัวลูกอีเห็นเครือ 2 คร้ังต่อสัปดาห์ (ภาพท่ี 45)
โดยแบง่ การวดั เป็น 7 ส่วน คือ
1. ความสูง
2. ความยาวลาตัว
3. รอบอก
4. รอบเอว
5. ปลายจมกู ถงึ คอ
6. ปลายจมกู ถงึ ปลายหาง
7. ต้นคอถงึ ปลายหาง
อายุ 2 สปั ดาห์
62
อายุ 4 สปั ดาห์
ภาพท่ี 45 แสดงการวัดขนาดลาตัวลูกอเี ห็นเครือ
โปรแกรมตรวจสุขภาพ (ลูกอเี ห็นเครอื )
1. โปรแกรมวัคซนี ทาวัคซีน 2 ชนดิ ฉดี ปลี ะ 1 ครั้ง
- Fel-o-Vac เขม็ แรกอายุ 2 เดือน เขม็ ที่ 2 อายุ 3 เดอื น
- Rabies อายุ 3 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 4 เดอื น
2. โปรแกรมถา่ ยพยาธิ ถา่ ยปลี ะ 2 ครั้ง
(ตามโปรแกรมของงานสุขภาพสัตว)์
63
ข้อควรปฏบิ ัตแิ ละขอ้ ควรระวังในการอนุบาลลูกอีเห็น
เครือ
1. ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสตัวลูก
อีเห็นเครอื
2. ควรระวังการสาลักนม ท่าการกิน หรือหัวจุกนมท่ีใช้
ป้อนไม่ควรให้กินเร็วจนเกินไป หากเกิดการสาลักอาจ
ทาให้นมเข้าไปในจมกู ได้
3. นมที่ให้ลูกอีเห็นเครือกินต้องนามาอุ่นก่อน หรือถ้าเป็น
นมชงต้องชงใหม่ และควรแช่ตเู้ ยน็
4. ควรล้างขวดนมให้สะอาดและนึ่งฆ่าเชื้อ หรือต้มในน้า
เดอื ด
5. การขับถ่ายต้องช่วยกระตุ้นในระยะแรกๆ หลังกินนม
เสร็จ โดยการใช้สาลีชุบน้าอุ่น ถูเบาๆบริเวณรูทวาร
(ภาพที่ 46)
6. ควรระวังอาการท้องเสยี ทอ้ งผกู
64
ภาพที่ 46 แสดงการกระต้นุ การขบั ถา่ ย
65
การจดั การการดา้ นสุขภาพ
• สังเกตตัวสัตว์จากภายนอก สังเกตความปกติของตัวสัตว์
และการแสดงออกของพฤตกิ รรมการมีความผิดปกติไปจากเดิม
• วางยาสลบเพื่อตรวจสุขภาพหากสัตว์ป่วย หรือวางปีละ 1
ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น เจาะเลือด ถ่ายพยาธิ ทาวัคซีน
พิษสนุ ขั บา้ วคั ซีนรวมแมว ตรวจสุขภาพปากเลบ็ ฟัน เปน็ ตน้
- การสังเกตสตั ว์ปว่ ยเบื้องตน้
เม่ือตัวสัตว์มีพฤติกรรมแสดงออกที่ผิดไปจากปกติและไม่
แสดงรอ่ งรอยบาดแผลภายนอก การตรวจสขุ ภาพสัตวโ์ ดยให้คนเล้ียง
สังเกตสิ่งผิดปกติของสัตว์ทุกวัน และทุกครั้งที่ไปให้อาหารหรือทา
ความสะอาด สังเกตพฤติกรรมและอาการต่างๆ เมื่อพบส่ิงผิดปกติให้
แจ้งสัตวแพทย์ทันที เพื่อเป็นการป้องกันและลดปัญหาเร่ืองสุขภาพ
สัตว์เจ็บป่วย หรือตายได้ ท้ังนี้ก็เป็นการดูแลของสัตวแพทย์หรือ
คนเลี้ยงทต่ี อ้ งทาตามคาแนะนาของสัตวแพทย์
- พฤติกรรมท่ีพบเมอื่ สัตวป์ ่วย เช่น
• ไม่กินอาหาร
• ซึม เคลอื่ นไหวน้อยกวา่ ปกตหิ รือไมม่ กี ารเคลื่อนไหว
• มีน้ามูกไหล มีข้ีตา ตาบวม ตัวส่ัน ชักเกร็ง ต่ืนตกใจง่าย
กว่าปกติ
• มีร่องรอยการอาเจียน ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นก้อนแข็ง
รวมไปถงึ ตัวสตั วไ์ มม่ กี ารถา่ ยออกมาตดิ ต่อกันหลายวนั
66
- การจดั การเบอื้ งตน้ เม่ือพบสตั ว์ป่วย
• แยกสัตวป์ ่วยออกจากสัตวต์ วั อนื่ ๆ
• แจ้งสัตวแพทย์มาตรวจสอบอาการพร้อมท้ังบอกอาการ
ของสัตว์อย่างละเอียด
- โรคที่พบในชะมดและอีเห็น
1. โรคผิวหนัง เป็นโรคท่ีพบบ่อยและสามารถติดต่อกันได้
ง่ายซ่ึงมีสาเหตมุ าจาก พยาธภิ ายนอกเชน่ เหบ็ ไร หมดั เหา ร่างการมี
ภมู ิต้านทานต่าและรวมถงึ สภาวะความเครียดในสตั ว์
อาการ : ผิวหนังแดงบริเวณท่ีเกิดโรค มีขนร่วงเป็นวงเช้ือราจะ
ทาลายเสน้ ขนและรขู มุ ขน ทาใหเ้ สน้ ขนอ่อนแอ แตกหักได้ง่ายในบาง
ตัวมีสะเก็ดรอบวง บริเวณขอบวงหนานูนขึ้น ให้เกิดอาการคันและ
เกิดการติดเช้ืออ่ืน ๆตามมา
การติดต่อ : ผ่านทางการสัมผัสตัวสัตว์โดยตรง หรือผ่านทาง
สิ่งแวดล้อม
การรักษา : พ่นยากาจัดพยาธิภายนอกหรือให้ยากลุ่มต้านเช้ือรา
การป้องกัน
- เสรมิ อาหารเพอ่ื เพิม่ ภมู ิคมุ้ กันให้มีร่างกายสมบูรณ์ลดความเส่ียงต่อ
การเกดิ โรค
- ปรบั สภาพแวดลอ้ มไมค่ วรอยูใ่ นบริเวณหรือคอกเพาะขยายพันธุ์ท่ีมี
ความชนื้ สูง
67
2. โรคไข้หัดสุนัข เป็นโรคท่ีสามารถติดต่อกันได้ง่ายหากท่ี
สตั วน์ าโรค เช่นสัตว์เลี้ยง สุนัข แมว ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการได้รับเชื้อ
ไวรสั ไข้หดั สุนขั
อาการ : อาเจียน ถ่ายเหลวจนกระทั้งท้องเสีย มีน้าลายไหล มีไข้สูง
หายใจลาบากมีน้ามกู มขี ตี้ า และเบอื่ อาหาร
การติดต่อ : ติดต่อจาการสัมผัสตัวสัตว์ อุจจาระ น้ามูก น้าลายของ
สตั ว์ทต่ี ิดเชอื้ และตดิ ต่อผา่ นทางการหายใจ
การักษา : รักษาตามอาการที่ตัวสัตว์แสดงออกมาเน่ืองจากไม่มียาที่
สามารถรักษาได้
การป้องกนั ควรป้องกันไมใ่ หส้ ุนขั เข้าในบรเิ วณคอกเพาะขยายพันธุ์
3. โรคท้องเสีย เป็นโรคที่สามารถติดต่อจากการกินเช้ือเข้า
ไปในร่างกาย เชน่ เช้อื ไวรสั พารโ์ ว เชอ้ื แบคทีเรียอีโคไลเป็นต้น
อาการ : อุจจาระเหลวมีมูกปนและมีกลิ่นคาว ตัวสัตว์ซึม มีไข้สูงเบื่อ
อาหาร แสดงพฤตกิ รรมต่าง ๆผิดไปจากปกติ
การตดิ ตอ่ : การสัมผัสกับเช้ือโดยตรงหรือสัมผัสกับอุจจาระของสัตว์
ทีต่ ดิ เชอื้ รวมไปถึงการกินอุจจะระนัน้ เขา้ ไป
การรักษา
- แยกตวั ป่วยออกจากตัวอน่ื
- ให้ยาปฏิชีวนะ
- ใชน้ ้ายาฆ่าเชือ้ ลา้ งบริเวณคอกเพาะขยายพนั ธุ์
68
เอกสารอา้ งอิง
บุญชู ธงนาชยั มา และโรเบิร์ต มาเธอร์. สัตว์เล้ียงลกู ด้วยนมในเขต
รักษาพนั ธส์ุ ัตวป์ า่ หว้ ยขาแข้ง. WWF-Thailand และสถาบัน
เทคโนโลยแี ห่งเอเชยี . โรงพมิ พ์สยามทอง จากัด.
บุษบง กาญจนสาขา. (2543). อาหารของชะมดแผงหางปล้องใน
สวนยางพารา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารสัตว์ป่า
เมอื งไทย, 8(1) ,133-143
พันทิพา พงษเ์ พยี จนั ทร์. (2543). หลกั การอาหารสัตว์เลม่ 1 :
โภชนะ (ฉบับปรับปรุงครั้งที่1)., 860 - 862 วังบูรพา
กทม. 10200, 210 หนา้ .
สานกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม,
(2560) สรปุ ชนดิ พันธทุ์ ่ถี ูกคุกคามของประเทศไทย: สตั ว์มี
กระดูกสนั หลงั กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
กรงุ เทพฯ. 122 หนา้ .
สวนสตั ว์เชยี งใหม่. (2561). การเลี้ยงและเพาะขยายพนั ธุ์
ชะมดเชด็ . พิมพค์ รั้งที่ 1. สวนสัตวเ์ ชยี งใหม่ องค์การสวน
สตั วใ์ นพระบรมราชปู ถมั ภ์, เชยี งใหม.่
อารยี า ทองประยูร. (2540). การเล้ียงและพฤติกรรมของ
ชะมดแผงหางปล้องหางปล้อง (Vierra zibetha) ในสถานี
เพาะเลยี้ งสตั วป์ ่า เอกสารวชิ าการ สว่ นอนรุ ักสตั วป์ า่
กรมป่าไม้.
69
โอภาส ขอบเขตต์. (2551). ทรัพยากรสัตว์ป่า. การอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มของประเทศไทย., 1,
กรงุ เทพฯ: คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
Corbet, G.B. and J.E. Hill, 1992. The Mammals oF
Ewer. R.F. and C. Wemmer. 1974. The Behavior in
Captivity of African Civet Civettictis Civetta
(Schreber.) Z. Tierpsychol. 34 : 359 – 394.
Lekagul.B. and J.A.McNeely. (1977). Mammals of Thailand.
Kurusapsha Ladprao Press, Bangkok.
Nowak,R.M. (1991). Walker’s Mammals of the World. 5th
ed. Vol.2 The Johns Hopkins University Press,
Baltimore and London.
70