คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป.1 35
ชั่วโมงท่ี หมายเหตุ
ที่ 80 ทดสอบปลายปี
ปรับเปลี่ยนชว่ั โมง
ทดสอบตามความ
เหมาะสม
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 36
ตอนท่ี 2
แผนการจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 37
แผนการจดั การเรียนรู้ปฐมนิเทศ
แผนการจัดการเรียนรู้ ปฐมนิเทศ เวลา 1 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
1. สาระสาคญั
การปฐมนิเทศเป็นการสร้างความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั ระหวา่ งครูกบั นกั เรียน เป็นการตกลงกนั ในเบ้ืองตน้
ก่อนที่จะเร่ิมการเรียนการสอน ครูไดร้ ู้จกั นกั เรียนดีย่ิงข้ึน รับทราบความตอ้ งการ ความรู้สึก และเจตคติต่อวิชาที่
เรียน ในขณะเดียวกนั นกั เรียนไดท้ ราบความตอ้ งการของครู แนวทางในการจดั การเรียนการสอน และการวดั และ
ประเมินผล สิ่งต่าง ๆ ดงั กลา่ วจะนาไปสู่การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ครูสามารถจดั กิจกรรมการเรียนการ
สอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ช่วยใหน้ กั เรียนคลายความวติ กกงั วล สามารถเรียนไดอ้ ยา่ งมีความสุข อนั จะส่งผลให้
นกั เรียนประสบความสาเร็จบรรลตุ ามเป้ าหมายท่ีไดก้ าหนดไว้
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
–
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. มีความรู้ความเขา้ ใจแนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผล
วชิ าวิทยาศาสตร์ (K)
2. ช้ีแจงเจตคติท่ีมีต่อวิทยาศาสตร์ได้ (A)
3. สื่อสารและนาความรู้ความเขา้ ใจเจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) –
ซกั ถามความรู้เรื่อง แนวทางการ 1. ประเมินเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
จดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อ เป็นรายบุคคล
วชิ าวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และ 2. ประเมินเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
ประเมินผลวิชาวิทยาศาสตร์ เป็ นรายบุคคล
5. สาระการเรียนรู้
การปฐมนิเทศ
– แนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 38
– เจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์
– การวดั และประเมินผลวชิ าวิทยาศาสตร์
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย แสดงความคิดเห็นและสรุปความเขา้ ใจเกี่ยวกบั แนวทางการจดั การเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ เจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผลวชิ า
วทิ ยาศาสตร์
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูแนะนาตนเองแลว้ ใหน้ กั เรียนในหอ้ งเรียนแนะนาตนเองทุกคน
2) ครูอาจใหน้ กั เรียนแนะนาทีละกลุ่มตวั อกั ษร หรือตามลาดบั หมายเลขประจาตวั หรือตามแถวท่ีนง่ั ตาม
ความเหมาะสม
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
1) ครูอธิบายขอ้ ตกลงในการเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน รวมถึงคาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน โครงสร้างรายวชิ าพ้ืนฐาน
และเน้ือหาที่ตอ้ งเรียนรู้ในรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 วา่ มีอะไรบา้ ง
2) ครูถามความคิดเห็นของนกั เรียนเกี่ยวกบั สิ่งประดิษฐข์ องนกั วิทยาศาสตร์วา่ ส่ิงประดิษฐท์ ่ีนกั เรียนใชอ้ ยใู่ น
ปัจจุบนั มีอะไรบา้ ง แลว้ ใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั วา่ สิ่งประดิษฐด์ งั กล่าวเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร
3) ใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั วา่ การเรียนดว้ ยวธิ ีการ ให้นกั เรียนค้นคว้าด้วยตนเอง จากการทดลองและปฏิบตั ิ
จริงเหมือนนักวิทยาศาสตร์ นกั เรียนคิดวา่ มีประโยชนห์ รือไม่
4) ครูเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนซกั ถามปัญหาเพ่ือทาความเขา้ ใจร่วมกนั
5) ครูแนะนาวธิ ีการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์วา่ นกั เรียนมีวิธีการเรียนรู้หลายแบบ เช่น
– ลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมที่บา้ นและที่โรงเรียน
– คน้ ขอ้ มูลจากแหล่งการเรียนรู้ตา่ ง ๆ
– อภิปรายกลุ่มยอ่ ย
– แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
6) ครูถามความคิดเห็นของนกั เรียนเก่ียวกบั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์วา่ การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ใหป้ ระสบ
ความสาเร็จตอ้ งมีลกั ษณะนิสยั อยา่ งไร
7) ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น (แนวคาตอบ 1. ช่างสังเกต เพราะการสังเกตทาให้
ค้นพบส่ิงใหม่ ๆ ซึ่งนาไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ 2. อยากรู้อยากเห็น เพราะการเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ช่างคิดช่าง
สงสัย มกั คิดตงั้ คาถามเพื่อค้นหาคาตอบ ลกั ษณะนิสัยแบบนีน้ าไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่เสมอ 3. มีเหตผุ ล เพราะ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องอธิบายด้วยเหตแุ ละผล เม่ือได้ความรู้ใหม่ต้องอธิบายได้ว่าผลที่ได้เกิดจากสาเหตใุ ด เม่ือ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 39
ทราบสาเหตแุ ล้วกอ็ ธิบายได้ว่าผลเป็นอย่างไรโดยเช่ือในหลกั ฐานท่ีสนับสนุน 4. มีความคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ เพราะ
ผู้ที่มีความคิดริเร่ิมสร้ างสรรค์เป็นผู้ท่ีอยากคิดอยากทาในส่ิงใหม่ ๆ อย่เู สมอ ซึ่งนาไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ได้
5. มีความพยายามและอดทน เพราะผลของคาตอบไม่ใช่ได้มาโดยการค้นคว้าและทดลองเพียงครั้งเดียว แต่ต้องใช้
ความพยายามและความอดทนในการผ่านอปุ สรรคต่าง ๆ เพ่ือให้ได้คาตอบ)
8) ครูแนะนาวิธีการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของนกั เรียน ซ่ึงมีอตั ราส่วนคะแนน ดงั น้ี
(1) การวดั และประเมนิ ผลด้านความรู้ (K) 60 คะแนน
สอบกลางปี (ตามกาหนดการของโรงเรียน) 30 คะแนน
สอบปลายปี (ตามกาหนดการของโรงเรียน) 30 คะแนน
(2) การวดั และประเมนิ ผลด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 30 คะแนน
– การประเมินการสงั เกต
– การประเมินการสารวจ
– การประเมินการทดลอง
– การประเมินการสืบคน้ ขอ้ มูล
– การประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์
– การประเมินแฟ้ มสะสมผลงาน
– การประเมินดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ
– การประเมินดา้ นสมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน
(3) การวดั และประเมนิ ผลด้านคุณธรรม จริยธรรม
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) 10 คะแนน
– การประเมินดา้ นเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 10 คะแนน
คะแนนรวม 100 คะแนน
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปความเขา้ ใจเก่ียวกบั แนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิชา
วิทยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผลวิชาวิทยาศาสตร์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอ่ื จดั การเรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้
นกั เรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อการจาแนกสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มชี ีวิตโดยใช้ใบงาน สังเกตก่อนเรียน 1 ทค่ี รู
จดั เตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั
สานกั พมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบตั กิ จิ กรรมและมอบหมายให้นกั เรียนไปปฏิบตั กิ จิ กรรมทบี่ ้าน พร้อมท้ังให้
นกั เรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอื่ นามาอภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนฝึ กเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้และรับผดิ ชอบงานที่ไดร้ ับมอบหมายร่วมกบั ผอู้ ่ืน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 40
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสงั เกตก่อนเรียน 1
2. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
3. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
จากดั
5. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ……….…….……………………………..…………….…
แนวทางการพฒั นา ………………………………..…………….……………..……………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………….……….…
แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………….……………
3. ส่ิงท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน …………………………………………………….…………..…
เหตุผล …………………………………………………….………………….………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ ………………………….……..………..……...………
ลงชื่อ ...................................................... ผสู้ อน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 41
ส่ิงมชี ีวติ และส่ิงไม่มชี ีวติ เวลา 4 ช่ัวโมง
ผงั มโนทศั น์เป้ าหมายการจัดการเรียนรู้และขอบข่ายภาระงาน
ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ
ลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ของ 1. การสารวจ
ส่ิงมีชีวิตและส่ิงไมม่ ีชีวิต 2. การสงั เกต
3. การอภิปราย
4. การนาความรู้ไปใชใ้ น
ชีวติ ประจาวนั
ส่ิงมชี ีวติ และ
ส่ิงไม่มชี ีวติ
ภาระงาน/ชิน้ งาน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. สารวจส่ิงต่าง ๆ บริเวณโรงเรียน 1. มีเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
2. สงั เกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียว 2. มีเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
3. เห็นคุณค่าของการนาความรู้
และดินสอไม้
3. ฝึ กทายภาพสตั ว์ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั
4. สงั เกตการเคลื่อนไหวของส่ิงมีชีวติ 4. ใฝ่ เรียนรู้
5. ฝึ กการนบั จานวนส่ิงมีชีวติ และ 5. มุง่ มนั่ ในการทางาน
ส่ิงไมม่ ีชีวติ
6. โครงงานประดิษฐแ์ ผน่ ภาพพลิก
แสดงสิ่งมีชีวติ และส่ิงไมม่ ีชีวิต
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 42
ผงั การออกแบบการจดั การเรียนรู้แบบ Backward Design
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สิ่งมชี ีวติ และสิ่งไม่มชี ีวติ
ข้ันที่ 1 ผลลพั ธ์ปลายทางทีต่ ้องการให้เกดิ ขึน้ กบั นักเรียน
ตวั ชี้วดั ช้ันปี
เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งสิ่งมีชีวิตกบั สิ่งไม่มีชีวติ (ว 1.1 ป. 1/1)
ความเข้าใจทีค่ งทนของนกั เรียน คาถามสาคัญท่ีทาให้เกดิ ความเข้าใจทคี่ งทน
นกั เรียนจะเข้าใจว่า...
1. ส่ิงมีชีวิตมีลกั ษณะที่แตกต่างจาก 1. ลกั ษณะสาคญั ของส่ิงมีชีวิตมีอะไรบา้ ง
สิ่งไมม่ ีชีวติ 2. ลกั ษณะสาคญั ของส่ิงไม่มีชีวิตมีอะไรบา้ ง
2. สิ่งมีชีวติ มีการเคลื่อนไหว กินอาหาร
ขบั ถา่ ย หายใจ เจริญเติบโต และสืบพนั ธุ์
แต่สิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มีลกั ษณะดงั กล่าว
ความรู้ของนักเรียนทนี่ าไปสู่ความเข้าใจท่ี ทักษะ/ความสามารถของนักเรียนทนี่ าไปสู่ความ
คงทน นักเรียนจะรู้ว่า ... เข้าใจทีค่ งทน นักเรียนจะสามารถ...
1. คาสาคญั ไดแ้ ก่ ส่ิงมีชีวิต ส่ิงไม่มีชีวติ 1. สงั เกตลกั ษณะที่แตกต่างกนั ของส่ิงต่าง ๆ รอบตวั
2. ส่ิงมีชีวติ ประกอบดว้ ยคน สตั ว์ และพืช 2. ระบุความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิต
3. สิ่งมีชีวติ ทุกชนิดมีการกินอาหาร ขบั ถ่าย 3. จาแนกสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมม่ ีชีวติ
หายใจ และเจริญเติบโต 4. อธิบายการเคลื่อนไหวท่ีแตกต่างกนั ของสิ่งมีชีวิต
4. ส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดมีการเคล่ือนไหวท่ี ชนิดต่าง ๆ
แตกต่างกนั
5. สิ่งมีชีวติ มีการสืบพนั ธุ์หรือการมีลกู หลาน
6. สิ่งไมม่ ีชีวติ ไม่มีการเคลื่อนไหว กินอาหาร
ขบั ถ่าย หายใจ เจริญเติบโต และสืบพนั ธุ์
ข้นั ท่ี 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็ นหลกั ฐานท่แี สดงว่านกั เรียนมผี ลการ
เรียนรู้ตามท่กี าหนดไว้ อย่างแท้จริง
1. ภาระงานทน่ี กั เรียนต้องปฏิบตั ิ
– สารวจสิ่งต่าง ๆ บริเวณโรงเรียน
– สงั เกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียวและดินสอไม้
– ฝึ กทายภาพสตั ว์
– สงั เกตการเคล่ือนไหวของสิ่งมีชีวติ
– ฝึ กการนบั จานวนสิ่งมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวิต
– โครงงานประดิษฐแ์ ผน่ ภาพพลิกแสดงสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวติ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 43
2. วธิ ีการและเครื่องมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการประเมนิ ผลการเรียนรู้ เครื่องมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
– การทดสอบ – แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
– การสนทนาซกั ถาม – แบบบนั ทึกการสนทนา
– การวดั เจตคติ – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์และ
เจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
– การวดั ทกั ษะ – แบบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
– การประเมินตนเอง – แบบประเมินตนเองของนกั เรียน
3. ส่ิงที่มุ่งประเมนิ
– ความสามารถในการอธิบาย ช้ีแจง การแปลความและตีความ การประยกุ ต์ ดดั แปลง และนาไปใช้
การมีมมุ มองที่หลากหลาย การใหค้ วามสาคญั และใส่ใจในความรู้สึกของผอู้ ่ืน และการรู้จกั ตนเอง
– เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์และเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล
– ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
– พฤติกรรมการปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
ข้ันที่ 3 แผนการจดั การเรียนรู้
– แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 การจาแนกส่ิงมีชีวิตและสิ่งไมม่ ีชีวิต 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 การเคล่ือนไหวของส่ิงมีชีวติ 2 ชวั่ โมง
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 44
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
การจาแนกส่ิงมชี ีวติ และส่ิงไม่มชี ีวติ
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มชี ีวติ
1. สาระสาคญั
ส่ิงต่าง ๆ รอบตวั เราสามารถจาแนกไดเ้ ป็นส่ิงมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวิต
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ (ว 1.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เปรียบเทียบลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ของสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ (K)
2. ระบุช่ือสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวติ (K)
3. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
5. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
6. ส่ือสารและนาความรู้เร่ืองการจาแนกส่ิงมีชีวติ และสิ่งไมม่ ีชีวิตไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
1. ซกั ถามความรู้เร่ืองการ 1. ประเมินเจตคติทาง ทางวทิ ยาศาสตร์
จาแนกส่ิงมีชีวิตและ วิทยาศาสตร์เป็ นรายบุคคล 2. ประเมินทกั ษะการคิด
3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ส่ิงไมม่ ีชีวติ 2. ประเมินเจตคติต่อ 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกล่มุ
ทกั ษะระหวา่ งเรียน
3. ทดสอบก่อนเรียน
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะที่แตกต่างกนั ของสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 45
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยเกี่ยวกบั สิ่งมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวติ ที่พบ
ในชีวิตประจาวนั
คณิตศาสตร์ จาแนกและนบั จานวนส่ิงมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวิต
ศิลปะ วาดภาพและระบายสีสิ่งท่ีนกั เรียนสารวจบริเวณ
โรงเรียนใหส้ วยงาม
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สนทนาพดู คุยเกย่ี วกบั การดูแลสัตว์เลยี้ ง เพอ่ื ให้นกั เรียน
ปฏบิ ตั ติ นเป็ นผู้มนี า้ ใจ เออื้ เฟื้ อ แบ่งปันต่อผู้อนื่ ตามหลกั
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อ่าน เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั ช่ือหรือ
ลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตและส่ิงไมม่ ีชีวิตท่ีเรียนรู้หรือ
ท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 2
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียนโดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนเพ่ือตรวจสอบความ
พร้อมและพ้ืนฐานของนกั เรียน
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ระหวา่ งทางมาโรงเรียนนกั เรียนเห็นอะไรบา้ ง
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นกั เรียนนาใบงาน สังเกตก่อนเรียน 1 ท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน
มาอภิปรายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– นกั เรียนพบเห็นอะไรบ้าง (แนวคาตอบ แมว ลกู บอล ต้นหญ้า มด จาน และโต๊ะ)
– ส่ิงต่าง ๆ ท่ีนักเรียนพบเห็นสามารถกนิ อาหาร เคลอื่ นไหว อย่กู บั ที่ หรือเจริญเตบิ โต
ได้หรือไม่ (แนวคาตอบ มีท้ังได้และไม่ได้)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 46
– ถ้าต้องการจัดกลุ่มสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ นักเรียนสามารถนาลกั ษณะดงั กล่าวมาจดั กล่มุ สิ่ง
ทีพ่ บเห็นได้หรือไม่ ถ้าได้ ดูจากอะไร (แนวคาตอบ ได้ โดยกลุ่มท่ี 1 คือ แมว มด และต้นหญ้า และกล่มุ
ท่ี 2 คอื ลกู บอล จาน และโต๊ะ โดยดจู ากลักษณะสาคัญท่ีเหมอื นและแตกต่างกนั )
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้งั ประเดน็ คาถามทีน่ กั เรียนสงสัยจากการทากจิ กรรม
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับกิจกรรม สังเกตก่อนเรียน 1 โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นกั เรียนเข้าใจว่า ส่ิงที่อยู่รอบตวั เรามที ้งั ส่ิงมชี ีวติ และส่ิงไม่มชี ีวติ
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สารวจบริเวณโรงเรียน ตามข้นั ตอน
ดงั ต่อไปน้ี
– ใหน้ กั เรียนสงั เกตสิ่งต่าง ๆ บริเวณรอบโรงเรียน
– เขียนช่ือ และวาดภาพสิ่งท่ีเห็น
(2) แบ่งนกั เรียนกลมุ่ ละ 2–3 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียว
และดินสอ ตามข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี
– นาเมลด็ ถวั่ เขียวแช่น้าไว้ 1 คืน
– ใส่กระดาษทิชชูลงในจานท้งั 2 ใบ ใบละ 5 แผน่ และพรมน้าใหช้ ุ่ม
– นาเมลด็ ถวั่ เขียวที่แช่น้าขา้ มคืนและดินสอใส่ลงในจานคนละใบ
– รดน้าทุกวนั ดกู ารเปลี่ยนแปลงของเมลด็ ถวั่ เขียวและดินสอนาน 1 สปั ดาห์
– แบ่งกลุม่ และบอกส่ิงใดที่เจริญเติบโตได้ และส่ิงใดที่เจริญเติบโตไม่ได้
(3) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ชั่วโมงที่ 3
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุม่ นาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
กิจกรรม สารวจบริเวณโรงเรียน
– เราสารวจพบอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ ก้อนหิน ปลา สุนัข แมว โต๊ะ และเก้าอี)้
– เราสามารถจดั กลุ่มส่ิงท่ีสารวจไดห้ รือไม่ ถา้ ไดด้ ูจากอะไร (แนวคาตอบ ได้ โดยใช้
เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การเคล่ือนไหว การหายใจ และการกินอาหารและนา้ )
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 47
กิจกรรม สังเกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียวและดินสอ
– เมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ เมล็ดถวั่ เขียวและดินสอมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
และมีการเปล่ียนแปลงในลกั ษณะใด (แนวคาตอบ เมลด็ ถวั่ เขียวมีการเปล่ียนแปลงโดยมีรากและใบงอก
ออกมาและมีลาต้นที่สูงขึน้ ส่วนดินสอไม่มีการเปล่ียนแปลง)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม สารวจบริเวณโรงเรียน โดยเนน้ ให้
นกั เรียนเขา้ ใจวา่ เราพบส่ิงต่าง ๆ มากมายรอบ ๆ โรงเรียน ท้งั สิ่งที่อย่กู บั ที่ เช่น โต๊ะ เกา้ อ้ี และกอ้ นหิน
หรือสิ่งท่ีมีการเคลื่อนไหวหรือกาลงั กินอาหาร เช่น สุนขั ปลา และแมว แลว้ ร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิ
กิจกรรม สังเกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียวและดินสอ โดยเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่า เมลด็ ถว่ั เขียวมีการ
เจริญเติบโต โดยมีขนาดใหญ่และมีรากงอกยาวออกมา ส่วนดินสอไม่มีการเจริญเติบโต เพราะมีขนาด
เท่าเดิม
4) ข้ันขยายความรู้
(1) นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมเสริมการเรียนรู้เรื่อง ทายภาพสัตว์ โดยแบ่งนกั เรียนเป็น 2 กลุ่ม
และเล่นเกมทายภาพว่าภาพใดเป็นภาพของส่ิงมีชีวิต ภาพใดเป็นภาพของส่ิงไม่มีชีวิตจากบตั รภาพ 10
แผน่ ซ่ึงครูจะเป็นคนเตรียมบตั รภาพสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวติ
(2) ครูแนะนาใหน้ กั เรียนลองสงั เกตส่ิงต่าง ๆ รอบตวั ในสถานที่และโอกาสต่าง ๆ กนั
แลว้ จาแนกออกเป็นส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต โดยการวาดภาพและระบายสีส่ิงท่ีสงั เกตใหส้ วยงาม และ
นบั จานวนวา่ ส่ิงมีชีวติ มีจานวนเท่าไร และส่ิงไมม่ ีชีวติ มีจานวนเท่าไร
(3) ครูเช่ือมโยงความรู้เข้ากบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง เพอื่ ให้นักเรียนปฏบิ ัตติ นเป็ นผู้มนี า้ ใจ
เอือ้ เฟื้ อ แบ่งปันต่อผู้อื่น โดยครูถามนักเรียนว่านักเรียนมีสัตว์เลีย้ งหรือไม่ และนักเรียนมีวิธีดูแลสัตว์
เลี้ยงอย่างไร จากน้ันครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าส่ิงมีชีวิตต้องการอาหารและน้าในการดารงชีวิต
ถ้านักเรียนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแล้ว นักเรียนต้องให้อาหารและน้าแก่สัตว์เลี้ยงตรงเวลาเพื่อแสดงความ
เออื้ เฟื้ อเผือ่ แผ่กบั สัตว์เลีย้ ง หรือเมื่อนักเรียนและครอบครัวไปทาบุญท่ีวัด นักเรียนอาจชวนครอบครัว
ไปให้อาหารปลาซ่ึงเป็ นการทาบุญให้ทานอย่างหนึง่
การให้อาหารสัตว์เป็ นการแสดงถึงความเอือ้ เฟื้อเผ่ือแผ่
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 48
(4) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั ชื่อหรือลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตและ
สิ่งไมม่ ีชีวติ จากหนงั สือเรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ท์
พร้อมท้งั คาแปลลงสมุดส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดม้ ี
การแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– พืชจดั เป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ เพราะอะไร
– อปุ กรณ์เคร่ืองเขียนจดั เป็นส่ิงไมม่ ีชีวิต เพราะอะไร
– เราแบ่งกล่มุ ส่ิงมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวติ โดยใชเ้ กณฑใ์ ด
– จกั รยานจดั อยใู่ นกลมุ่ เดียวกบั ลูกสุนขั หรือไม่ เพราะอะไร
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปความเขา้ ใจเกี่ยวกบั แนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผลวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพอื่ จัดการเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อการเคลื่อนไหวของส่ิงมีชีวิต โดยใช้ใบงาน
สารวจก่อนเรียน 2 ท่ีครูจัดเตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในส่ือการเรียนรู้ PowerPoint
วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานักพมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกิจกรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมท่ีบ้าน
พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ประดิษฐแ์ ผน่ ภาพพลิกแสดงการจาแนกสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตที่นกั เรียนสังเกตไดจ้ าก
สิ่งต่าง ๆ รอบตวั ในชีวิตประจาวนั
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบงานสงั เกตก่อนเรียน 1
3. ใบกิจกรรมที่ 1 สารวจบริเวณโรงเรียน
4. ใบกิจกรรมท่ี 2 สงั เกตการเจริญเติบโตของถว่ั เขียวและดินสอ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 49
5. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ท่ี 1 ทายภาพสตั ว์
6. ใบงานสารวจก่อนเรียน 2
7. ค่มู ือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
8. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
9. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพ์
วฒั นาพานิช จากดั
10. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพ์
วฒั นาพานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา ……………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………….…………………...…..….
3. ส่ิงท่ีไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน …………………………………………………………..…
เหตุผล …………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 50
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2
การเคลอื่ นไหวของส่ิงมชี ีวติ
สาระที่ 1 ส่ิงมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มชี ีวติ
1. สาระสาคญั
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีการเคล่ือนไหวไดเ้ องดว้ ยวิธีท่ีแตกต่างกนั ส่วนส่ิงไม่มีชีวติ ไม่สามารถ
เคลื่อนไหวไดเ้ อง
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งส่ิงมีชีวติ และส่ิงไม่มีชีวิต (ว 1.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตลกั ษณะการเคล่ือนไหวท่ีแตกต่างกนั ของสิ่งมีชีวติ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เรื่องการเคล่ือนไหวของส่ิงมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิตไปใชใ้ น
ชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เรื่องการ 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
เคล่ือนไหวของสิ่งมีชีวติ วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทดสอบหลงั เรียน 4. ประเมินพฤติกรรมใน
การปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
การเคล่ือนไหวของส่ิงมีชีวิต
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 51
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยเกี่ยวกบั การเคล่ือนไหวของสิ่งมีชีวิตท่ี
พบในชีวติ ประจาวนั
คณิตศาสตร์ จาแนกและนบั จานวนส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สนทนาพดู คุยเกย่ี วกบั คาศัพท์ที่ใช้เรียกกระเป๋ าของ
ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเก่ียวกบั การ
เคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 4
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดมีการเคลื่อนไหวแตกต่างกนั หรือไม่ เพราะอะไร
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้
ข้ันจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 2 ทคี่ รูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าท่บี ้าน
มาอภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากจิ กรรมท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบันทึกของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั กิจกรรม ดงั นี้
– สิ่งที่อยู่รอบตวั นกั เรียนในบริเวณบ้านสามารถเคลอื่ นไหวเอง ได้หรือไม่ (แนวคาตอบ
มที ้ังได้และไม่ได้)
– นกั เรียนสามารถแบ่งกลุ่มสิ่งท่ีอย่รู อบตวั นกั เรียนในบริเวณบ้านได้หรือไม่ ถ้าได้ใช้
อะไรเป็ นเกณฑ์ (แนวคาตอบ ได้ คือ ส่ิงมชี ีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต โดยใช้ลักษณะการเคลอื่ นไหวเป็ นเกณฑ์)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนต้งั ประเดน็ คาถามที่นกั เรียนสงสัยจากการทากิจกรรมอย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกนั ตอบและแสดงความ
คดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั กจิ กรรม สารวจก่อนเรียน 2 โดยครูช่วยอธิบายให้
นกั เรียนเข้าใจว่า สิ่งท่เี คลอื่ นไหวเองได้ เรียกว่า ส่ิงมีชีวติ ส่ิงท่ีเคลอ่ื นไหวเองไม่ได้ เรียกว่า ส่ิงไม่มีชีวติ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 52
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนแต่ละคนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตการเคล่ือนไหวของส่ิงมีชีวิต ตามข้นั ตอน
ดงั ต่อไปน้ี
– ใหน้ กั เรียนนาดินสอ กิ่งไมแ้ หง้ และกระดาษมาวางบนโต๊ะ ดูการเคล่ือนไหวของ
ท้งั 3 ชนิด
– ดูการเคลื่อนไหวของปลาในสระน้า นกและแมวที่อยใู่ นบริเวณโรงเรียนบอกความ
แตกต่างของการเคล่ือนไหวของสิ่งท่ีสงั เกต
– บอกความแตกต่างของการเคลื่อนไหวของส่ิงท่ีสงั เกต
– แบ่งกลุ่มสิ่งใดบา้ งที่เคลื่อนไหวเองได้ และสิ่งใดบา้ งท่ีเคลื่อนไหวเองไม่ได้
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ช่ัวโมงที่ 5
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใชแ้ นวคาถาม
ต่อไปน้ี
– นกั เรียนใชก้ ารเคล่ือนไหวจาแนกส่ิงต่าง ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตและส่ิงไมม่ ีชีวิตได้
หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตเคล่ือนไหวเองได้ แต่สิ่งไม่มีชีวิตเคล่ือนไหวเอง
ไม่ได้)
– ลกั ษณะการเคล่ือนไหวของสิ่งที่เราเห็นมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ บางสิ่ง
เคล่ือนไหวเองได้ แต่บางสิ่งเคล่ือนไหวเองไม่ได้)
– เราเรียกสิ่งท่ีเคล่ือนไหวเองไดว้ า่ อะไร และเรียกสิ่งที่เคล่ือนไหวเองไม่ไดว้ า่ อะไร
(แนวคาตอบ ส่ิงที่เคล่ือนไหวเองได้ เรียกว่า ส่ิงมีชีวิต ส่ิงที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้ เรียกว่า ส่ิงไม่มีชีวิต)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ส่ิงที่เคลื่อนไหวเองได้ เรียกวา่ สิ่งมีชีวิต และสิ่งท่ีเคลื่อนไหวเองไมไ่ ด้ เรียกวา่ ส่ิงไม่มีชีวิต
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) นกั เรียนทากิจกรรมเสริมการเรียนรู้เร่ือง คณิตฯ ในวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งนกั เรียนกลุ่ม
ละ 2–3 คน ดูภาพในใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ แลว้ จาแนกส่ิงท่ีเห็นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือส่ิงไม่มีชีวิต
โดยเขียนชื่อกากบั และนบั จานวนว่าแต่ละสิ่งมีเท่าไร บนั ทึกจานวนที่นบั ไดแ้ ละเปรียบเทียบวา่ สิ่งใดมี
จานวนรวมมากกวา่ กนั
(2) ครูแนะนานกั เรียนวา่ เมื่อนกั เรียนเดินทางไปยงั สถานท่ีต่าง ๆ และไดพ้ บส่ิงมีชีวติ ใด
กล็ องสงั เกตคุณสมบตั ิของการมีชีวิต เช่น กินอาหารอยา่ งไร เคล่ือนไหวแบบใด ลกู ของมนั มีลกั ษณะใด
และการเจริญเติบโตของมนั เกิดข้ึนในลกั ษณะใด
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 53
(3) ครูเชื่อมโยงความรู้เข้ากบั บูรณาการอาเซียน เพอื่ ให้นักเรียนรู้คาศัพท์ท่ีใช้เรียกกระเป๋ า
ของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ โดยครูถามนักเรียนว่า กระเป๋ าเป็ นสิ่งมชี ีวิตหรือไม่ เพราะ
อะไร และถามต่อไปว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศเรียกกระเป๋ าว่าอะไร จากน้ันครูอธิบายให้
นักเรียนเข้าใจว่า คาศัพท์ท่ีใช้เรียกกระเป๋ าของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ มดี งั นี้
– บรูไนดารุสซาลาม เรียกว่า เบค็
– เวยี ดนาม เรียกว่า ตุ๊ย
– กมั พชู า เรียกว่า กาโบบ
– ไทย เรียกว่า กระเป๋ า
– เมยี นมา เรียกว่า ปะตาเอ๊ะ
– ฟิ ลปิ ปิ นส์ เรียกว่า ซูพด
– ลาว เรียกว่า กระเป๋ า
– อนิ โดนีเซีย เรียกว่า แทส
– สิงคโปร์ เรียกว่า ไต้
– มาเลเซีย เรียกว่า เบ็ค
(4) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเก่ียวกบั ลกั ษณะการเคล่ือนไหวของส่ิงมีชีวิต จาก
หนงั สือเรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปล
ลงสมดุ ส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่ม วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– คนและสตั วท์ ่ีนงั่ อยกู่ บั ที่จดั เป็นส่ิงไม่มีชีวติ ไดห้ รือไม่ เพราะอะไร
– นกั เรียนเรียกการเคล่ือนไหวของกบ มา้ และปลาวา่ อะไร
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวติ โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผน
ที่ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพื่อวดั ความ
กา้ วหนา้ /ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ของนกั เรียน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 54
3) ครูเชื่อมโยงเนือ้ หาจากบทเรียนนีก้ บั บทเรียนช่ัวโมงหน้า เพอื่ ให้นกั เรียนเตรียมความพร้อม
ในการเรียนชั่วโมงต่อไป โดยการใช้คาถามกระตุ้น ดังนี้
– พชื เป็ นส่ิงมีชีวติ จึงต้องการอาหาร มกี ารเจริญเตบิ โต และสามารถสืบพนั ธ์ุได้ นกั เรียน
ทราบหรือไม่ว่า พชื มสี ่วนประกอบภายนอกท่ีสาคัญอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ราก ลาต้น ใบ ดอก และผล)
4) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อโครงสร้างของพชื
5) ครูให้นกั เรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอื่ นามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนเขียนบรรยายเรื่องราวเก่ียวกบั การเคล่ือนไหวของส่ิงต่าง ๆ ที่นกั เรียนพบใน
ชีวติ ประจาวนั ท่ีบา้ น ระหวา่ งทางมาโรงเรียน หรือสถานที่ที่นกั เรียนไปเท่ียว แลว้ นามาเสนอใหเ้ พ่ือน
ฟัง
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 2
2. ใบกิจกรรมที่ 3 สงั เกตการเคล่ือนไหวของสิ่งมีชีวิตและส่ิงไมม่ ีชีวิต
3. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ท่ี 2 คณิตฯ ในวิทยาศาสตร์
4. แบบทดสอบหลงั เรียน
5. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
6. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
7. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
8. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงท่ีไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 55
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 พชื ในสวน เวลา 14 ช่ัวโมง
ผงั มโนทศั น์เป้ าหมายการจัดการเรียนรู้และขอบข่ายภาระงาน ทกั ษะ/กระบวนการ
1. การสงั เกต
ความรู้ 2. การอภิปราย
1. ลกั ษณะทวั่ ไปของพืช 3. การจาแนก
2. รูปร่างลกั ษณะและหนา้ ท่ีของ 4. การนาความรู้ไปใชใ้ น
ราก ลาตน้ ใบ ดอก และ ผล ชีวติ ประจาวนั
3. ประโยชนท์ ่ีไดจ้ ากแต่ละส่วน
ของพืช
4. ลกั ษณะของพืชในทอ้ งถ่ิน
ภาระงาน/ชิน้ งาน พชื ในสวน
1. สงั เกตลกั ษณะรากของพืช
2. สงั เกตใบไมห้ ลากหลาย คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
3. สงั เกตผลไมแ้ สนอร่อย 1. มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
4. คน้ หาผลไมป้ ริศนา 2. มีเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
5. จาแนกพืชหลากหลาย 3. เห็นคุณค่าของการนาความรู้
6. คน้ หาช่ือพืชสมนุ ไพร ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั
7. โครงงานสารวจส่วนต่าง ๆ ของ 4. ใฝ่ เรียนรู้
พืชท่ีนามารับประทานได้ 5. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 56
ผงั การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Backward Design
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พชื ในสวน
ข้ันที่ 1 ผลลพั ธ์ปลายทางท่ตี ้องการให้เกดิ ขึน้ กบั นกั เรียน
ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี
1. สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
2. ระบุลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตในทอ้ งถ่ินและนามาจาแนกโดยใชล้ กั ษณะภายนอกเป็นเกณฑ์
(ว 1.2 ป. 1/1 )
ความเข้าใจทค่ี งทนของนักเรียน คาถามสาคญั ท่ที าให้เกดิ ความเข้าใจท่คี งทน
นักเรียนจะเข้าใจว่า...
1. พืชเป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีมีส่วนประกอบสาคญั 1. พืชมีส่วนประกอบท่ีสาคญั อะไรบา้ ง
ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล 2. ส่วนประกอบของพืชแต่ละส่วนมีหนา้ ที่
2. ส่วนประกอบของพืชแต่ละส่วนมีหนา้ ที่ อะไรบา้ ง
แตกต่างกนั 3. เราใชเ้ กณฑใ์ ดในการจาแนกพืชในทอ้ งถ่ินได้
3. เราสามารถใชล้ กั ษณะของพืชหรือท่ีอยอู่ าศยั บา้ ง
ของพืชเป็นเกณฑใ์ นการจาแนกพืชในทอ้ งถ่ิน
ความรู้ของนักเรียนทนี่ าไปสู่ความเข้าใจที่ ทกั ษะ/ความสามารถของนักเรียนทน่ี าไปสู่ความ
คงทน นกั เรียนจะรู้ว่า... เข้าใจที่คงทน นักเรียนจะสามารถ...
1. คาสาคญั ไดแ้ ก่ รากแกว้ รากฝอย ผลเดี่ยว 1. ระบุส่วนประกอบหลกั ของพืช
ผลรวม พืชในทอ้ งถิ่น จาแนก 2. สงั เกตความแตกต่างของรากแกว้ และรากฝอย
2. ส่วนประกอบหลกั ของพืช คือ ราก ลาตน้ ใบ และระบุหนา้ ท่ีของราก
ดอก และผล 3. สงั เกตความแตกต่างของลาตน้ แต่ละชนิด และ
3. รากมีหนา้ ที่ยึดลาตน้ พืชไวก้ บั ดินและดูดซบั ระบุหนา้ ที่ของลาตน้
น้าและธาตุอาหารจากดินเขา้ สู่พืช 4. สงั เกตส่วนประกอบของใบแต่ละชนิดและระบุ
4. ลาตน้ มีหนา้ ที่ลาเลียงน้า ธาตุอาหาร และ หนา้ ท่ีของใบ
อาหารไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ 5. สงั เกตส่วนประกอบของดอกแต่ละชนิด และ
5. ใบมีหนา้ ท่ีสร้างอาหารใหพ้ ืชโดยใช้ ระบุหนา้ ท่ีของดอก
แสงแดด อากาศ และน้า 6. สงั เกตความแตกต่างของผลเดี่ยวและผลรวม
6. ดอกมีหนา้ ท่ีสืบพนั ธุ์และทาใหเ้ กิดผล และระบุหนา้ ที่ของผล
7. ผลมีหนา้ ที่ขยายพนั ธุ์โดยปกป้ องเมลด็ และ 7. จาแนกพืชในทอ้ งถิ่นโดยใชล้ กั ษณะภายนอก
รักษาไวจ้ นถึงเวลางอกใหม่ และแหล่งท่ีอยอู่ าศยั ของพืชเป็นเกณฑ์
8. พืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะของราก ลาตน้ ใบ
ดอก และผลแตกต่างกนั ไป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 57
9. เราพบพืชในทอ้ งถิ่นไดท้ ว่ั ไปภายในทอ้ งถ่ิน
น้นั ๆ
10. เราใชล้ กั ษณะภายนอกของพืชหรือแหล่งท่ีอยู่
อาศยั ในการจาแนกพืชในทอ้ งถ่ิน
ข้ันที่ 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็ นหลกั ฐานที่แสดงว่านกั เรียนมผี ลการเรียนรู้
ตามทกี่ าหนดไว้อย่างแท้จริง
1. ภาระงานที่นกั เรียนต้องปฏิบตั ิ
– สงั เกตลกั ษณะรากของพืช
– สงั เกตใบไมห้ ลากหลาย
– สงั เกตผลไมแ้ สนอร่อย
– คน้ หาผลไมป้ ริศนา
– จาแนกพืชหลากหลาย
– คน้ หาช่ือพืชสมุนไพร
– โครงงานสารวจส่วนต่าง ๆ ของพืชท่ีนามารับประทานได้
2. วธิ ีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้ เคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการประเมนิ ผลการเรียนรู้ – แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
– แบบบนั ทึกการสนทนา
– การทดสอบ – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์
– การสนทนาซกั ถาม
– การวดั เจตคติ และเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
– แบบวดั ทกั ษะกระบวนการทาง
– การวดั ทกั ษะ วิทยาศาสตร์
– แบบประเมินตนเองของนกั เรียน
– การประเมินตนเอง
3. ส่ิงทีม่ ุ่งประเมนิ
– ความสามารถในการอธิบาย ช้ีแจง การแปลความและตีความ การประยกุ ต์ ดดั แปลง และนาไปใช้
การมีมมุ มองท่ีหลากหลาย การใหค้ วามสาคญั และใส่ใจในความรู้สึกของผอู้ ื่น และการรู้จกั ตนเอง
– เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์และเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล
– ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
– พฤติกรรมการปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 58
ข้นั ที่ 3 แผนการจดั การเรียนรู้ 1 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 โครงสร้างของพืช 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของรากและลาตน้ 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 5 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของใบ 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6 โครงสร้างและหนา้ ที่ของดอก 2 ชว่ั โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 7 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของผล 1 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8 ประโยชนข์ องพืช 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 9 พืชในทอ้ งถ่ิน 2 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 10 การจาแนกพืชในทอ้ งถ่ิน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 59
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
โครงสร้างของพชื
สาระท่ี 1 สิ่งมชี ีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 1 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 พชื ในสวน
1. สาระสาคญั
พืชเป็นส่ิงมีชีวิตที่มีส่วนประกอบภายนอก ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลกั ษณะทว่ั ไปของพืชได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. ส่ือสารและนาความรู้เร่ืองโครงสร้างของพืชไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการทาง
ลกั ษณะทวั่ ไปของพืช วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล วทิ ยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทดสอบก่อนเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลมุ่
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะทว่ั ไปของพืช
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 60
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เล่าเร่ืองพืชท่ีนกั เรียนปลูกไวท้ ่ีบา้ น พืชในสวนสาธารณะ หรือพืช
ในสถานที่ท่องเที่ยวที่นกั เรียนเคยไป
ศิลปะ วาดภาพและระบายสีพชื ที่นกั เรียนสารวจรอบ ๆ โรงเรียน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างของพืช
ท่ีเรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 6
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียนโดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบ
ความพร้อมและพ้ืนฐานของนกั เรียน
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนชอบพืชหรือไม่ เพราะอะไร
– พืชท่ีนกั เรียนชอบมากที่สุดคืออะไร เพราะอะไร
– เพ่ือนบา้ นของนกั เรียนปลกู พืชใดไวบ้ า้ ง เหมือนหรือต่างกบั ท่ีบา้ นของนกั เรียน
– นกั เรียนปลกู พืชอะไรไวท้ ่ีบา้ นบา้ ง แต่ละตน้ มีลกั ษณะใด
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เรื่องโครงสร้างของพืช
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกลุ่มนกั เรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมลู เกย่ี วกบั โครงสร้าง
ของพชื ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพอ่ื น ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกล่มุ ส่งตวั แทนมา
นาเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบันทึกของนักเรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– นกั เรียนรู้จกั พชื ชนิดใดบ้าง (แนวคาตอบ พลดู ่าง ชบา มะลิ ตาลึง และมะพร้าว)
– พชื มสี ่วนประกอบทีส่ าคญั อะไรบ้าง (แนวคาตอบ ราก ลาต้น ใบ ดอก และผล)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้งั ประเดน็ คาถามที่นกั เรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นกั เรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกนั ตอบและแสดงความ
คิดเห็น
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 61
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
พชื มสี ่วนประกอบท่ีสาคญั ได้แก่ ราก ลาต้น ใบ ดอก และผล
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนสารวจพืชบริเวณรอบ ๆ โรงเรียนวา่ มีพืชชนิดใดบา้ ง วาดภาพพืชที่นกั เรียน
ชอบอยา่ งนอ้ ย 3 ชนิด พร้อมท้งั ระบุวา่ พืชชนิดน้นั ชื่ออะไร มีส่วนประกอบใดอยบู่ า้ ง แลว้ ระบายสีให้
สวยงาม
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดรู อบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– พืชที่นกั เรียนสารวจบริเวณรอบ ๆ โรงเรียนมีก่ีชนิด อะไรบา้ ง (แนวคาตอบ
6 ชนิด ได้แก่ บัว กล้วย มะพร้าว เทียนทอง เฟื่ องฟ้ า และเขม็ )
– พืชท่ีนกั เรียนชอบคืออะไร เพราะอะไร (แนวคาตอบ บวั เพราะมีดอกสวยงามและ
มีใบขนาดใหญ่)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายการปฏิบตั ิกิจกรรมสารวจ โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
วา่ พืชแต่ละชนิด มีส่วนประกอบสาคญั คือ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล โดยพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะ
ของส่วนประกอบแตกต่างกนั
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครูแนะนาใหน้ กั เรียนลองสงั เกตและบรรยายพืชท่ีข้ึนอยตู่ ามหม่บู า้ นของนกั เรียน
วา่ มีส่วนประกอบและลกั ษณะใดบา้ ง แลว้ นามาเล่าใหเ้ พ่ือนฟัง ซ่ึงครูอธิบายเพ่ิมเติม โดยครูเนน้ ให้
นกั เรียนเขา้ ใจวา่ พืชแต่ละชนิดมีส่วนประกอบสาคญั คือ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล โดยพืชแต่ละ
ชนิดมีลกั ษณะของส่วนประกอบท่ีแตกต่างกนั
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเก่ียวกบั ส่วนประกอบของพืชจากหนงั สือเรียน
ภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมุดส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งที่ยงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคอะไร
และไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 62
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใหน้ กั เรียนดูแผน่ ภาพหรือ สื่อมลั ติมีเดียท่ี
แสดงใหเ้ ห็นถึงตน้ ไมห้ ลากหลายชนิดตามสถานท่ีต่าง ๆ เช่น ในป่ า สวนพฤกษชาติ หรือร้านขายพนั ธุ์
พืชแลว้ ใหน้ กั เรียนตอบคาถาม เช่น
– พืชในภาพมีส่วนประกอบใดบา้ ง
– พืชในภาพไมม่ ีส่วนประกอบใดบา้ ง
– ส่วนประกอบของพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะแบบใดบา้ ง
– ส่วนประกอบของพืชมีอะไรบา้ ง
– พืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะของส่วนประกอบเหมือนหรือแตกต่างกนั
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั โครงสร้างของพืช โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิด
หรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นกั เรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อโครงสร้างและหน้าที่ของรากและลาต้น
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ครูพานกั เรียนไปทศั นศึกษาท่ีสวนสาธารณะ อุทยาน หรือสวนดอกไมท้ ี่มีป้ ายชื่อบอกชนิด
ของพืช ใหน้ กั เรียนจดชื่อ ศึกษาลกั ษณะ และวาดภาพพืชท่ีนกั เรียนสนใจ
9. ส่ือ/ แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
4. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 63
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงท่ีไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงช่ือ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 64
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4
โครงสร้างและหน้าทขี่ องรากและลาต้น
สาระท่ี 1 ส่ิงมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พชื ในสวน
1. สาระสาคัญ
รากมีรูปร่างเรียว ยาว และปลายแหลม ทาหนา้ ท่ียดึ ลาตน้ พืชไวก้ บั ดิน และดดู น้าและธาตุอาหาร
ส่วนลาตน้ มีรูปร่างเหมือนทรงกระบอกต้งั ตรงหรือโคง้ งอข้ึนอยกู่ บั ชนิดของพืช ทาหนา้ ที่ลาเลียงน้า
และธาตุอาหารไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของพืช
2. ตัวชี้วดั ช้ันปี
สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตและอธิบายรูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ที่ของรากและลาตน้ ของพืช (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ท่ีของรากและลาตน้ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เรื่องรูปร่าง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ลกั ษณะ และหนา้ ท่ีของ วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
รากและลาตน้ 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมใน
การปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกลมุ่
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 65
5. สาระการเรียนรู้
รูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ที่ของรากและลาตน้
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย อภิปรายถึงหนา้ ท่ีและลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ของรากและลาตน้ พืช
แต่ละชนิด
ศิลปะ วาดภาพและระบายสีลกั ษณะรากและลาตน้ ของพืชที่สงั เกตได้
คณิตศาสตร์ วดั ระดบั น้าในแกว้ ที่ใส่ตน้ เทียนทุกวนั เป็นเวลา 5 วนั และคานวณ
ความเปลี่ยนแปลงของระดบั น้าในแต่ละวนั
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างและ
หนา้ ท่ีของรากและลาตน้ ที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ 7
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนเคยเห็นรากของพืชชนิดใดบา้ ง และพืชชนิดน้นั มีลกั ษณะของรากเป็นแบบใด
– ลาตน้ ของพืชแต่ละชนิดที่นกั เรียนเห็นมีลกั ษณะแบบใด
– นกั เรียนคิดวา่ รากและลาตน้ มีหนา้ ท่ีเก่ียวขอ้ งกนั หรือไม่ เพราะอะไร
– นกั เรียนคิดวา่ พืชจะเป็นอยา่ งไร ถา้ ไม่มีรากหรือลาตน้
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การ
เรียนรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ท่ีของรากและลาตน้
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกล่มุ นักเรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกยี่ วกบั โครงสร้าง
และหน้าทข่ี องรากและลาต้น ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพอ่ื น ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่
ละกลุ่มส่งตวั แทนมานาเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านกั เรียนทาภาระงานทไี่ ด้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบันทกึ ของนักเรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– นกั เรียนอธิบายถึงลกั ษณะรากของพชื ทแ่ี ตกต่างกนั (แนวคาตอบ บางชนิดมีราก
ขนาดใหญ่ 1 ราก มีรากแตกออกจากรากใหญ่ และมรี ากฝอยอย่ทู ่ปี ลายราก แต่พชื บางชนดิ มีรากขนาด
เล็กแตกออกจากโคนต้น)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 66
– รากและลาต้นมหี น้าท่เี กยี่ วข้องกนั หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ เกย่ี วข้องกนั
เพราะรากมหี น้าที่ยดึ ลาต้นพชื ไว้กบั ดนิ )
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงาน
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นกั เรียนเข้าใจว่า
รากทาหน้าทยี่ ึดลาต้นพชื ไว้กบั ดนิ และดดู นา้ และธาตอุ าหาร ส่วนลาต้นพชื ทาหน้าท่ีลาเลยี งนา้ และ
อาหารไปเลยี้ งส่วนต่าง ๆ ของพชื
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนแต่ละคนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตลกั ษณะรากของพืช ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– ดูรากของพืชท่ีเตรียมมาจากบา้ น
– วาดภาพและเขียนลกั ษณะของรากพืชแต่ละชนิด
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ชั่วโมงที่ 8
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละคนนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– พืชชนิดใดที่นกั เรียนสามารถถอนออกจากดินไดด้ ว้ ยมือเปล่า เพราะอะไร (แนว
คาตอบ ต้นหญ้าและต้นตะไคร้ เพราะมีรากขนาดเลก็ เป็นฝอยแตกออกจากโคนต้น)
– รากของพืชแต่ละชนิดเหมือนหรือแตกต่างกนั และแต่ละชนิดมีลกั ษณะแบบใด (แนว
คาตอบ รากของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน ต้นหญ้าและต้นตะไคร้มีรากขนาดเลก็ เป็นฝอยแตกออกจาก
โคนต้น ส่วนต้นเขม็ ขนาดเลก็ มีรากขนาดใหญ่ 1 ราก มีรากแตกออกจากรากใหญ่ และมีรากฝอยท่ี
ปลายราก)
– นกั เรียนคิดวา่ พืชไม่มีรากไดห้ รือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่ได้ เพราะถ้าพืชไม่
มีรากจะทาให้ลาต้นล้มและไม่มีส่วนท่ีดูดนา้ และแร่ธาต)ุ
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ราก
แบ่งเป็นรากแกว้ และรากฝอย ซ่ึงมีหนา้ ท่ียดึ ลาตน้ พืชไวก้ บั ดิน และดดู ซบั น้าและธาตุอาหาร ส่วนลาตน้
พืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะแตกต่างกนั มีหนา้ ท่ีลาเลียงน้าและธาตุอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช
4) ข้ันขยายความรู้
(1) นกั เรียนนาพลดู ่าง ตน้ เทียน หรือพืชขนาดเลก็ ที่มีรากติดอย่ดู ว้ ยมา 2–3 ตน้ ใส่ลงใน
แกว้ น้าขนาดพอเหมาะ เติมน้าลงในแกว้ จนเกือบเตม็ วาดภาพพืชและวดั ระดบั น้าในแกว้ ทุกวนั เป็นเวลา
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 67
1 สปั ดาห์ บนั ทึกระดบั น้าในแกว้ ของแต่ละวนั ลงในใบบนั ทึกกิจกรรม และคานวณระดบั น้าในแกว้ วา่
เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดในแต่ละวนั
(2) นกั เรียนสารวจในบา้ นและละแวกบา้ นของนกั เรียนวา่ ลกั ษณะของรากและลาตน้ พืช
น้นั มีรูปร่างและลกั ษณะเป็นแบบใด แตกต่างจากรากและลาตน้ พืชชนิดอ่ืนหรือไม่
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ที่ของรากและลาตน้
จากหนงั สือเรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคา
แปลลงสมุดส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– นกั เรียนสามารถถอนตน้ เขม็ ดว้ ยมือไดห้ รือไม่ เพราะอะไร
– เราตอ้ งรดน้าลงไปท่ีพ้ืนดินเพราะอะไร
– ลาตน้ ที่ต้งั ตรงกบั ลาตน้ ท่ีเล้ือยไปตามพ้ืนดินมีหนา้ ที่เหมือนหรือแตกต่างกนั
เพราะอะไร
– นกั เรียนสามารถถอนหญา้ ดว้ ยมือไดห้ รือไม่ เพราะอะไร
– มะม่วงและตาลึงมีลกั ษณะของลาตน้ ต่างกนั อยา่ งไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ท่ีของรากและลาตน้ โดยร่วมกนั
เขียนเป็นแผนท่ีความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อจัดการ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อโครงสร้างและหน้าท่ีของใบโดยใช้ ใบ
งาน สารวจก่อนเรียน 3 ท่ีครูจัดเตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในสื่อการเรียนรู้ PowerPoint
วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกจิ กรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกจิ กรรมท่ีบ้าน
พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 68
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนสังเกตรูปร่างและลกั ษณะรากและลาตน้ ของพืชชนิดต่าง ๆ รอบตวั ในสถานที่และ
โอกาสต่าง ๆ กนั
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมที่ 4 สงั เกตลกั ษณะรากของพืช
2. ใบงานสารวจก่อนเรียน 3
3. ค่มู ือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. สิ่งท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 69
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5
โครงสร้างและหน้าทขี่ องใบ
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 พชื ในสวน
1. สาระสาคญั
ใบพืชส่วนใหญ่มีสีเขียว แต่ละชนิดมีรูปร่างและลกั ษณะที่แตกต่างกนั เช่น กลม เรียวยาว หรือ
มีขอบหยกั ใบพืชทาหนา้ ที่สร้างอาหาร
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตและอธิบายรูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ท่ีของใบพืช (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. ส่ือสารและนาความรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ท่ีของใบไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เรื่อง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
รูปร่าง ลกั ษณะและ วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
หนา้ ที่ของใบพืช 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมใน
การปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกลมุ่
5. สาระการเรียนรู้
รูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ท่ีของใบพืช
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 70
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เลา่ ลกั ษณะใบพืชที่นกั เรียนสงั เกตไดจ้ ากที่บา้ น
ระหวา่ งทางมาโรงเรียนหรือสถานท่ีที่นกั เรียนเคยไป
ศิลปะ วาดภาพและระบายสีใบพืชที่นกั เรียนสงั เกตได้ ประดิษฐ์
งานศิลปะจากใบพืชที่ร่วงแลว้
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเก่ียวกบั โครงสร้าง
และหนา้ ท่ีของใบพืชท่ีเรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 9
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนกินส่วนใดของผกั
– ผกั เหล่าน้ีมีใบสีอะไรบา้ ง และรูปร่างของใบมีลกั ษณะใด
– ถา้ นกั เรียนใชถ้ ุงสีดาครอบใบพืชไวท้ ุกใบเป็นเวลา 1 เดือน จะเกิดอะไรข้ึน
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ที่ของใบ
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน
ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 3 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่
บ้านมาอภิปรายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ใบพชื ท่นี กั เรียนสารวจมลี กั ษณะใดบ้าง (แนวคาตอบ ขอบใบเรียบและขอบใบหยกั )
– ใบพชื ส่วนมากมีสีอะไร (แนวคาตอบ สีเขียว)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามที่นักเรียนสงสัยจากการทากิจกรรม
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกย่ี วกับกิจกรรม สารวจก่อนเรียน 3 โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นกั เรียนเข้าใจว่า ใบของพชื ส่วนมากมสี ีเขยี ว ทาหน้าที่ผลติ อาหารให้กบั พชื
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 71
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนกลุม่ ละ 2–3 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตใบพืชหลากหลาย ตามข้นั ตอน
ดงั ต่อไปน้ี
– ใหน้ กั เรียนแต่ละคนในกลมุ่ นาใบไมท้ ี่มีลกั ษณะไมเ่ หมือนกนั มา 2 ชนิด
– นกั เรียนเลือกใบไมข้ องเพ่ือนท่ีชอบมา 2 ใบ และตอ้ งมีลกั ษณะใบไมเ่ หมือนกนั
– วางใบไมล้ งบนกระดาษ ใชด้ ินสอลากตามขอบใบ แลว้ วาดภาพเสน้ ใบลงในรูป
ใบไม้
– ดูความแตกต่างของใบไมแ้ ต่ละชนิด และเปรียบเทียบกบั เพื่อนในกลุ่มแลว้ บอกสิ่งที่
สงั เกตไดแ้ ละบนั ทึกลงในสมุด
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ชั่วโมงที่ 10
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– นกั เรียนนาใบพืชใดมาและมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ใบบัว ขอบใบมีลักษณะเรียบ
และท้ังใบมีสีเขียว)
– ใบพืชที่เพื่อนนามาส่วนใหญ่มีสีอะไร (แนวคาตอบ สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู โดย
เป็ นสี เขียวมากท่ีสุด)
– ใบพืชของนกั เรียนและของเพื่อนมีส่วนใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บา้ ง และแตกต่าง
กนั ในลกั ษณะใด (แนวคาตอบ มีท้ังส่วนท่ีเหมือนกันและแตกต่างกัน ส่วนที่เหมือนกัน เช่น สีของใบ
ส่วนท่ีแตกต่างกัน เช่น ขนาดของใบ ลวดลายของใบ และลักษณะของขอบใบ)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
รูปร่างใบของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกนั บางชนิดกลม บางชนิดรี บางชนิดมีขอบใบเรียบ บางชนิดมี
ขอบใบหยกั
4) ข้ันขยายความรู้
(1) แบ่งกลุ่มนกั เรียนใหช้ ่วยกนั หาภาพใบพืชท่ีนกั เรียนไม่รู้จกั พร้อมท้งั เขียนคาอธิบาย
ประกอบภาพ โดยสืบคน้ จากแหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ หอ้ ง
กิจกรรมวิทยาศาสตร์ รายการวทิ ยาศาสตร์ท่ีผา่ นสื่อโทรทศั น์ หรืออินเทอร์เนต็
(2) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกบั ลกั ษณะใบของพืชวา่ ใบไมม้ ีรูปร่างและลกั ษณะแตกต่างกนั
ไปตามชนิดของพืช เช่น บางใบขอบหยกั หรือบางใบขอบเรียบ บางใบมีสีเดียวหรือบางใบมีหลายสี
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ท่ีของใบจากหนงั สือ
เรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมุด
ส่งครู
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 72
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– ถา้ เพ่ือนอธิบายลกั ษณะใบพืชใหฟ้ ัง นกั เรียนจะบอกชื่อของพืชไดห้ รือไม่
– ถา้ นกั เรียนเดด็ ใบพืชออกจากตน้ จนหมดจะเกิดอะไรข้ึนกบั พืช
– ใบพืชเปรียบเสมือนหอ้ งใดในบา้ น
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั โครงสร้างและหนา้ ที่ของใบ โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่
ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อโครงสร้างและหน้าท่ขี องดอก โดยใช้ใบงาน
สารวจก่อนเรียน 4 ท่ีครูจดั เตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในสื่อการเรียนรู้ PowerPoint
วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้นั ตอนการปฏิบัตกิ จิ กรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏบิ ตั กิ จิ กรรมที่บ้าน
พร้อมท้งั ให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามทส่ี งสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนเกบ็ ใบพืชท่ีมีรูปร่างหลาย ๆ แบบท่ีร่วงแลว้ ละแวกบา้ นหรือสวนสาธารณะมา
ประดิษฐเ์ ป็นงานศิลปะ เช่น บตั รอวยพร หรือทาเป็นรูปสตั วท์ ี่นกั เรียนชอบ โดยจดั รูปแบบใบพืช
ใหส้ วยงามแลว้ ปะติดลงบนกระดาษโปสเตอร์สีที่ชอบ จากน้นั ทาทบั ดว้ ยน้าผสมกาวในอตั ราส่วนท่ี
เท่ากนั เพ่ือช่วยรักษาใหใ้ บพืชคงสภาพไดน้ าน
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมที่ 5 สงั เกตใบพืชหลากหลาย
2. ใบงานสารวจก่อนเรียน 4
3. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 73
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. สิ่งท่ีไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงช่ือ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 74
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6
โครงสร้างและหน้าทขี่ องดอก
สาระที่ 1 ส่ิงมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 พชื ในสวน
1. สาระสาคญั
ดอกมีรูปร่าง ลกั ษณะ และสีท่ีแตกต่างกนั ข้ึนอย่กู บั ชนิดของพืช ดอกทาหนา้ ท่ีสืบพนั ธุ์
2. ตัวชี้วดั ช้ันปี
สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตและอธิบายรูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ท่ีของดอก (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เรื่องโครงสร้างและหนา้ ที่ของดอกไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เรื่อง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
รูปร่าง ลกั ษณะ และ วิทยาศาสตร์เป็ นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
หนา้ ท่ีของดอก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมใน
การปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกลุม่
5. สาระการเรียนรู้
รูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ที่ของดอก
6. แนวทางการบูรณาการ คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 75
ภาษาไทย
เลา่ ถึงดอกไมท้ ่ีนกั เรียนปลูกไวท้ ี่บา้ น หรือดอกไมท้ ี่
ศิลปะ นกั เรียนสงั เกตไดจ้ ากชุมชนของนกั เรียน หรือสถานที่
คณิตศาสตร์ ท่องเท่ียวที่นกั เรียนเคยไป
วาดภาพและระบายสีดอกไมแ้ ละแมลงท่ีนกั เรียน
ภาษาต่างประเทศ สงั เกตได้
นบั จานวนดอกไมท้ ี่สงั เกตไดแ้ ละบอกชื่อดอกไมท้ ่ี
ถกู ปลกู มากที่สุดบริเวณโรงเรียนหรือในทอ้ งถ่ิน
ของนกั เรียน
ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้าง
และหนา้ ที่ของดอกที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 11
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ดอกไมใ้ ดที่นกั เรียนเคยเห็น และมีลกั ษณะใด
– ดอกไมใ้ ดท่ีนกั เรียนเคยไดย้ ินชื่อแต่ไม่เคยเห็น
– นกั เรียนชอบดอกไมใ้ ดมากท่ีสุด
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือ
เชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องโครงสร้างและหนา้ ที่ของดอก
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน
ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 4 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่
บ้านมาอภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบ
จากการจดบนั ทึกของนกั เรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ทบี่ ้านของนักเรียนมดี อกไม้ชนดิ ใดบ้าง (แนวคาตอบ กหุ ลาบและดาวเรือง)
– ดอกไม้ท่นี ักเรียนสารวจได้มลี กั ษณะอย่างไร (แนวคาตอบ มขี นาดและกลีบดอก
แตกต่างกนั )
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 76
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามที่นักเรียนสงสัยจากการทากิจกรรม
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคดิ เห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั กจิ กรรม สารวจก่อนเรียน 4 โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นกั เรียนเข้าใจว่า ดอกของพชื แต่ละชนดิ มลี กั ษณะแตกต่างกนั
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนกล่มุ ละ 2–3 คน สารวจดอกไมบ้ ริเวณโรงเรียนหรือในทอ้ งถ่ินของ
นกั เรียนวา่ มีดอกอะไรบา้ ง และมีลกั ษณะเป็นแบบใด นกั เรียนเขียนชื่อดอกไม้ วาดภาพ และระบายสี
ดอกไมท้ ่ีนกั เรียนสงั เกตได้ และนบั จานวนดอกไมท้ ่ีสงั เกตและบอกไดว้ า่ ดอกไมช้ นิดที่ถกู ปลกู มาก
ท่ีสุดคือดอกอะไร
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียน
และเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ช่ัวโมงที่ 12
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม
ต่อไปน้ี
– ดอกไมแ้ ต่ละชนิดมีลกั ษณะเหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวคาตอบ
แตกต่างกัน บางชนิดมีขนาดและสีแตกต่างกัน บางชนิดมีจานวนกลีบแตกต่างกัน)
– ดอกไมท้ ี่นกั เรียนสารวจไดม้ ีดอกอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ มะลิ เฟื่ องฟ้ า ชบา เขม็
บัว กล้วยไม้ โมก และดาวเรือง)
– ดอกไมท้ ี่ปลกู มากท่ีสุดคือดอกอะไร (แนวคาตอบ ดอกเขม็ )
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ดอกไมแ้ ต่ละชนิดมีรูปร่างและลกั ษณะไมเ่ หมือนกนั และครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกบั หนา้ ที่ของดอกไม้
วา่ ทาหนา้ ที่สืบพนั ธุ์และใหก้ าเนิดผล
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) นกั เรียนทาสีจากธรรมชาติ โดยทาตามข้นั ตอนดงั น้ี
– เดด็ กลีบดอกไมส้ ีสด ๆ ท่ีนกั เรียนตอ้ งการ กลีบขนาดเลก็ เช่น อญั ชนั ใชจ้ านวน
10–15 กลีบ กลีบขนาดใหญ่ เช่น ชบาใชจ้ านวน 4–7 กลีบ แลว้ ฉีกกลีบดอกใหม้ ีขนาดเลก็ ลง
– นากลีบดอกใส่ลงในครกขนาดเลก็ เติมน้าใหพ้ อท่วมกลีบดอก แลว้ ใชส้ ากบดจน
ละเอียด ประมาณ 5–7 นาที (อาจใชถ้ ว้ ยแทนครก แลว้ ใชช้ อ้ นบดแทน)
– ใชช้ อ้ นเลก็ ๆ ตกั กลีบดอกออก หรือนาไปกรองดว้ ยผา้ ขาวบางลงในแกว้ ท่ี
เตรียมไว้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 77
– นกั เรียนจะไดส้ ีธรรมชาติจากดอกไมไ้ วใ้ ชเ้ อง และช่วยใหเ้ ดก็ เขา้ ใจถึงวิธีการทาสี
จากธรรมชาติ
(2) ครูอธิบายเกี่ยวกบั รูปร่างและลกั ษณะของดอกไม้ แลว้ อธิบายเพิ่มเติมวา่ ดอกของ
พืชแต่ละชนิดจะมีรูปร่าง กลิ่น และสีแตกต่างกนั ตามชนิดของพืช
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ท่ีของดอกจาก
หนงั สือเรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลง
สมุดส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– ดอกไมม้ ีส่วนประกอบอะไรบา้ ง
– ดอกไมช้ นิดเดียวกนั จาเป็นตอ้ งมีสีหรือขนาดของดอกเหมือนกนั หรือไม่ เพราะ
อะไร
– ถา้ โลกน้ีไมม่ ีแมลงจะเกิดอะไรข้ึนกบั ดอกไม้
– ดอกไมแ้ ต่ละชนิดมีลกั ษณะใดที่แตกต่างกนั
– ส่วนใดของดอกไมท้ ่ีดึงดดู ความสนใจของแมลง
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ที่ของดอก โดยร่วมกนั เขียนเป็น
แผนที่ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพ่ือจัดการ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อโครงสร้างและหน้าที่ของผล โดยใช้ใบ
งาน สารวจก่อนเรียน 5 ที่ครูจดั เตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในสื่อการเรียนรู้ PowerPoint
วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกิจกรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรม
ท่ีบ้าน พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามา
อภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 78
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนหาภาพดอกไมท้ ี่ไมร่ ู้จกั พร้อมท้งั เขียนคาอธิบายประกอบภาพ โดยสืบคน้ จาก
แหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ หอ้ งกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ รายการ
วทิ ยาศาสตร์ที่ผา่ นสื่อโทรทศั น์ หรืออินเทอร์เนต็
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 4
2. ใบงานสารวจก่อนเรียน 5
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพ์
วฒั นาพานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพ์
วฒั นาพานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ……………………………….………………….…
แนวทางการพฒั นา ……………………………………………………….…………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ ………………………………….………….…
แนวทางแกไ้ ข ……………………………………………………….…………..….
3. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ……………………………………….………………..…
เหตุผล ……………………………………………………………….………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ ………………………………….………………
ลงช่ือ ..................................................... ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 79
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7
โครงสร้างและหน้าทขี่ องผล
สาระท่ี 1 ส่ิงมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พชื ในสวน
1. สาระสาคญั
ผลของพืชแต่ละชนิดมีรูปร่าง ลกั ษณะ จานวนเมลด็ และรสชาติท่ีแตกต่างกนั ผลทาหนา้ ที่
ขยายพนั ธุ์
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ที่ของโครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ (ว 1.1 ป. 1/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตและอธิบายรูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ที่ของผล (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ที่ของผลไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทาง ทางวิทยาศาสตร์
รูปร่างลกั ษณะและ วิทยาศาสตร์เป็ นรายบุคคล 2. ประเมินทกั ษะการคิด
3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
หนา้ ท่ีของผล 2. ประเมินเจตคติต่อ 4. ประเมินพฤติกรรมใน
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล การปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น
รายบุคคลหรือรายกลุ่ม
ทกั ษะระหวา่ งเรียน
5. สาระการเรียนรู้
รูปร่าง ลกั ษณะ และหนา้ ท่ีของผล
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 80
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เล่าถึงผลไมท้ ี่นกั เรียนเคยรับประทาน เคยเห็นตามตลาด
หรือผลไมท้ ่ีนกั เรียนชอบ เขียนประโยคท่ีอธิบายลกั ษณะ
ของผลไมท้ ี่ใชใ้ นกิจกรรม
ศิลปะ วาดภาพและระบายสีผลไม้ ร้องเพลงผลไมแ้ ละเคาะ
ตามจงั หวะ
คณิตศาสตร์ คานวณเงินที่ใชซ้ ้ือผลไม้
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สนทนา พดู คุยถึงลกั ษณะของผลไม้ประจาชาตใิ น
ประเทศสมาชิกอาเซียน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเก่ียวกบั โครงสร้าง
และหนา้ ที่ของผลที่เรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 13
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีลกั ษณะใด
– ผลไมใ้ ดที่มีเมลด็ มาก
– ผลไมใ้ ดที่กินไดท้ ้งั เปลือก
– ผลไมใ้ ดท่ีมีท้งั รสเปร้ียวและรสหวาน
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองโครงสร้างและหนา้ ที่ของผล
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 5 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน
มาอภิปรายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทึกของนักเรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ผลไม้ใดบ้างที่มเี มลด็ ภายในผลมากกว่า 1 เมลด็ (แนวคาตอบ ฝร่ัง ส้ม มะขาม)
– นักเรียนพบเมลด็ อยู่ส่วนใดของผล (แนวคาตอบ ภายในผล)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 81
– จานวนเมลด็ ขึน้ อย่กู บั ขนาดของผลหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่ เพราะ
จานวนเมล็ดข้ึนอย่กู บั ชนิดของพชื พชื บางชนิดมีผลขนาดเล็กแต่มเี มลด็ มาก เช่น มะระและมะเขอื บาง
ชนดิ มเี มลด็ น้อย เช่น ลาไยและล้ินจี่)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้งั ประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทากิจกรรม อย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ
คดิ เห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับกจิ กรรม สารวจก่อนเรียน 5 โดยครูช่วยอธิบายให้
นักเรียนเข้าใจว่า ภายในผลมเี มลด็ พชื แต่ละชนิดมจี านวนเมลด็ แตกต่างกนั
(5) ครูเช่ือมโยงความรู้อาเซียน โดยนารูปผลของสละ ทุเรียน และมงั คุดมาให้นักเรียนดู
จากน้ันให้นักเรียนทายว่าผลไม้ทน่ี ามาให้ดนู ้ันเป็ นผลไม้เด่นของประเทศใด ดงั นี้
– อนิ โดนเี ซีย มซี าลกั หรือสละท่ีเป็ นผลไม้ทม่ี มี ากและขนึ้ ชื่อทสี่ ุด มรี สชาตดิ ี หอม และ
อร่อย
– สิงคโปร์ มที ุเรียนเป็ นผลไม้ยอดนิยม ชาวสิงคโปร์ชอบบริโภคมาก แม้ว่าต้องนาเข้า
จากประเทศเพอื่ นบ้านกต็ าม และสาหรับประเทศไทย ทุเรียนได้ชื่อว่าเป็ น ราชาผลไม้ เนือ่ งจากลกั ษณะ
ภายนอกมหี นามแหลมคล้ายมงกฎุ ของพระราชา
– ไทย มผี ลไม้มากมายหลายชนิด แต่ผลไม้ที่มคี วามโดดเด่นและได้ชื่อว่าเป็ นราชินี
ของผลไม้กค็ อื มงั คุด เนื่องจาก ลกั ษณะภายนอกของผลท่ีมกี ลบี เลยี้ งตดิ อย่ทู ่ีข้วั ของผลคล้ายมงกฎุ ของ
ราชินี ส่วนเนอื้ ในมสี ีขาวสะอาด นอกจากนมี้ ังคุดยงั ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ป่ ุน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 82
2) ข้ันสารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนกลมุ่ ละ 3–4 คนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตผลไม้แสนอร่อย ตามข้นั ตอน
ต่อไปน้ี
– ใหน้ กั เรียนแต่ละคนในกล่มุ นาผลไมต้ ามฤดูกาลมาคนละ 2 ชนิด
– ดูลกั ษณะของผลไม้ จานวนเมลด็ และลองชิมผลไมท้ ี่เพ่ือนในกลุ่มนามา
– เลือกผลไมท้ ี่ชอบมา 2 ชนิด บอกสิ่งที่สงั เกตได้ และวาดภาพลงในสมดุ
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาส
ใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ช่ัวโมงที่ 14
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– นกั เรียนนาผลไมใ้ ดมา และมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ แตงโม มีลกั ษณะเป็นผลเด่ียว
มีรสหวานและมีหลายเมลด็ )
– นกั เรียนพบเมลด็ อยทู่ ี่ส่วนใดของผล (แนวคาตอบ อยู่ภายในผล)
– ผลไมท้ ี่เราสงั เกตมีลกั ษณะใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บ้าง (แนวคาตอบ ผลไม้ที่นามา
สังเกตมีลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั เช่น บางชนิดมีผลขนาดใหญ่ บางชนิดมีผลขนาดเลก็ บางชนิดมีรสหวาน
บางชนิดมีรสเปรี้ยว บางชนิดมีเมลด็ เดียว บางชนิดมีหลายเมลด็ )
– นกั เรียนชอบรับประทานผลไมช้ นิดใด และผลไมน้ ้นั มีลกั ษณะและรสแบบใด (แนว
คาตอบ แตงโม มีผลขนาดใหญ่ กลม และมีรสหวาน)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีรูปร่าง ลกั ษณะ จานวนเมลด็ และรสชาติไมเ่ หมือนกนั และครูอธิบายเพิ่มเติม
เกี่ยวกบั หนา้ ท่ีของผลวา่ มีหนา้ ท่ีขยายพนั ธุโ์ ดยปกป้ องเมลด็ และรักษาไวจ้ นถึงเวลางอกใหม่
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) แบ่งนกั เรียนกลมุ่ ละ 5 คน ปฏิบตั ิกิจกรรมเสริมการเรียนรู้เร่ือง ผลไม้ปริศนา โดย
ปฏิบตั ิดงั น้ี
– ใหแ้ ต่ละกลมุ่ คิดประโยคปริศนาเก่ียวกบั ผลไม้ 1 ชนิด จานวน 10 ประโยค
– กลุ่มท่ี 1 ออกมาพดู ประโยคปริศนาทีละประโยคจนกวา่ เพ่ือนกลุ่มอื่นจะทายช่ือผลไมไ้ ด้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 83
– กลมุ่ ท่ีทายไดก้ ่อนได้ 1 คะแนน และเปล่ียนใหก้ ลุ่มอ่ืนออกมาทาย
– กลมุ่ ที่ไดค้ ะแนนรวมมากที่สุดชนะ
(2) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5 คน สารวจราคาผลไมใ้ นตลาดชุมชน บนั ทึกผลไมท้ ่ีมีขายและ
ราคาผลไมว้ า่ ขายกิโลกรัมละเท่าไร นกั เรียนลองคานวณวา่ ถา้ มีเงิน 100 บาท จะสามารถซ้ือผลไมใ้ ดใน
ตลาดไดบ้ า้ ง นาเสนอราคาที่นกั เรียนสารวจและบอกรายการผลไมท้ ี่นกั เรียนจะซ้ือใหเ้ พ่ือนกลมุ่ อ่ืนฟัง
(3) ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา่ ผลของพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะแตกต่างกนั เช่น มีขนาดแตกต่าง
กนั มีรูปร่างแตกต่างกนั มีรสแตกต่างกนั และมีจานวนเมลด็ แตกต่างกนั
(4) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษเกี่ยวกบั โครงสร้างและหนา้ ที่ของผลจากหนงั สือ
เรียนภาษาองั กฤษหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมดุ
ส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– ผลมีส่วนประกอบอะไรบา้ ง
– เปลือกและเน้ือของผลไมม้ ีหนา้ ท่ีอะไร
– ผลไมท้ ุกชนิดมีเมลด็ ใช่หรือไม่ เพราะอะไร
– ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีรสเหมือนกนั หรือไม่
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั โครงสร้างและหนา้ ท่ีของผล โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผน
ที่ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นกั เรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อประโยชน์ของพชื
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามาอภปิ ราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
1. นกั เรียนทาสวนครัว โดยตกั ดินสาหรับปลูกตน้ ไมล้ งในกระถางขนาดเลก็ นาเมลด็ พืชที่
เตรียมมา 5–6 เมลด็ เช่น ถวั่ เขียวหรือพริก ฝังลงในดินไม่ใหล้ ึกมาก ดแู ลเมลด็ ใหช้ ุ่มช้ืนอยเู่ สมอจนกวา่
หน่อแรกจะแทงออกมา จากน้นั นาไปวางไวท้ ี่มีแดด รดน้าทุกวนั จนเร่ิมเป็นตน้ กลา้ หลงั จากน้นั จึงยา้ ย
ตน้ กลา้ ไปปลกู ในแปลงต่อไป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 84
2. ครูและนกั เรียนร้องเพลงผลไมแ้ ละเคาะตามจงั หวะตามเพลง หลงั ร้องเพลงจบครูถาม
นกั เรียนเกี่ยวกบั ผลไมใ้ นเน้ือเพลง เช่น ในเน้ือเพลงมีผลไมอ้ ะไรบา้ ง ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีลกั ษณะใด
หรือมีเมลด็ มากหรือนอ้ ย
เพลงผลไม้
จ้าจ้ีผลไม้ แตงไทย แตงกวา
ขนุน นอ้ ยหน่า พทุ รา มงั คุด
ละมดุ ลาไย มะเฟื อง มะไฟ
มะกรูด มะนาว มะพร้าว สม้ โอ
ฟักแฟง แตงโม ไชโยโห่ ฮิ้ว
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 5
2. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ท่ี 3 ผลไมป้ ริศนา
3. ใบกิจกรรมที่ 6 สงั เกตผลไมแ้ สนอร่อย
4. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
7. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน