คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 285
สาระท่ี 7: ดาราศาสตร์และอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1: เขา้ ใจววิ ฒั นาการของระบบสุริยะ กาแลก็ ซี และเอกภพ การปฏิสมั พนั ธภ์ ายในระบบสุริยะและ
ผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้และนาความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. ระบุวา่ ทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และ – ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว
ดวงดาว โดยจะมองเห็นทอ้ งฟ้ ามีลกั ษณะเป็นคร่ึงทรงกลม
ครอบแผน่ ดินไว้
สาระท่ี 8: ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1: ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ ในการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้วา่
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดข้ึนส่วนใหญม่ ีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ อ้ มลู
และเครื่องมือท่ีมีอยใู่ นช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิ่งแวดลอ้ มมีความเก่ียวขอ้ ง
สมั พนั ธ์กนั
1. ต้งั คาถามเก่ียวกบั เรื่องที่จะศึกษาตามท่ีกาหนดใหห้ รือตามความสนใจ
2. วางแผนการสงั เกต สารวจตรวจสอบ ศึกษาคน้ ควา้ โดยใชค้ วามคิดของตนเองและครู
3. ใชว้ สั ดุ อปุ กรณ์ในการสารวจตรวจสอบและบนั ทึกผลดว้ ยวิธีง่าย ๆ
4. จดั กลุ่มขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการสารวจตรวจสอบและนาเสนอผล
5. แสดงความคิดเห็นในการสารวจตรวจสอบ
6. บนั ทึกและอธิบายผลการสงั เกต สารวจตรวจสอบ โดยเขียนภาพหรือขอ้ ความส้นั ๆ
7. นาเสนอผลงานดว้ ยวาจาใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 286
กระบวนการจัดการเรียนรู้ทใ่ี ช้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วธิ ีการหรือเทคนิคท่ีนามาใชใ้ นกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มีอยมู่ ากมายหลายวิธี ซ่ึงแต่ละวธิ ีจะมี
ประสิทธิผลในการสร้างความรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์ และการใหโ้ อกาสนกั เรียนไดแ้ สดงบทบาทแตกต่างกนั ออกไป
ดงั น้นั ในการพิจารณาเลือกวธิ ีการใดมาใช้ ครูตอ้ งวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ก่อนวา่ ตอ้ งการใหน้ กั เรียนเกิดพฤติกรรมใด
ในระดบั ใด จึงจะนามาปรับใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั นกั เรียน ท้งั น้ีเพื่อใหก้ ารเรียนรู้ของนกั เรียนบรรลตุ ามจุดประสงคก์ าร
เรียนรู้ท่ีกาหนด
ในค่มู ือครู แผนการจดั การเรียนรู้เล่มน้ี นอกจากกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) แลว้
ในแผนการจดั การเรียนรู้รายชวั่ โมงยงั ไดบ้ ูรณาการเทคนิควธิ ีการจดั การเรียนรู้อื่น ๆ ที่สอดคลอ้ งกบั กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไว้ ซ่ึงแต่ละเทคนิควิธีการจดั การเรียนรู้ มีสาระพอสงั เขปดงั น้ี
1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Process)
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เป็นกระบวนการพ้ืนฐานที่สามารถใชใ้ นการศึกษา คน้ ควา้ การตรวจสอบ
และการลงขอ้ สรุป เป็นกระบวนการท่ีเนน้ ใหน้ กั เรียนดาเนินการหรือเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เพ่ือใหเ้ กิดทกั ษะการคิด
การแกป้ ัญหา และการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
ข้นั ตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีดงั น้ี
1) การกาหนดปัญหาและการวิเคราะห์ปัญหา
นกั เรียนอาจยกปัญหาหรือประเดน็ ที่น่าสนใจมาเสนอต่อกลุ่ม โดยปัญหาที่นามาศึกษาน้ี อาจจะนามา
จากที่ต่าง ๆ เช่น ปัญหาจากความสนใจของนกั เรียนเอง เน้ือหาในบทเรียน สิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจาวนั และปัญหา
ท่ีกาหนดโดยครู
2) การตง้ั สมมตุ ิฐาน
นกั เรียนพยายามใชค้ วามรู้ ประสบการณ์ รวมไปถึงความคิดรวบยอด หลกั การต่าง ๆ ท่ีไดเ้ รียนรู้
มาแลว้ นามาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลมุ่ วา่ สาเหตุของปัญหาอาจเกิดจากอะไร ซ่ึงเป็นการทานาย
หรือคาดคะเนคาตอบ แลว้ จึงหาแนวทางเพื่อพิสูจนว์ า่ คาตอบที่กาหนดข้ึนมาน้นั มีความถกู ตอ้ งอยา่ งไร
3) การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
นกั เรียนลงมือปฏิบตั ิเพ่ือพิสูจนว์ า่ คาตอบหรือสมมุติฐานที่กาหนดไวม้ ีความถกู ตอ้ งอยา่ งไร
โดยนกั เรียนจะตอ้ งเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งต่าง ๆ เช่น ตาราเรียน งานวิจยั การทดลอง การสมั ภาษณ์ การสงั เกต
และสถิติต่าง ๆ รวบรวมขอ้ มลู ใหเ้ ป็นหมวดหมู่
4) การวิเคราะห์ข้อมลู
เป็นข้นั ตอนที่นกั เรียนนาขอ้ มลู ที่ไดร้ วบรวมเป็นหมวดหม่แู ลว้ มาพิจารณาวา่ น่าเช่ือถือหรือไม่
เพื่อนาขอ้ มลู น้นั ๆ ไปพิสูจนส์ มมุติฐานอีกคร้ังหน่ึง
5) การสรุปผล
นกั เรียนนาขอ้ มลู ที่วิเคราะห์แลว้ มาตอบคาถามหรืออธิบายปัญหาที่กาหนดไว้ แลว้ ต้งั เป็นกฎเกณฑ์
หรือหลกั การต่อไป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 287
2. การทดลอง (Experiment)/การฝึ กปฏบิ ัตกิ าร (Practice)
วิธีการเรียนรู้โดยใชก้ ารทดลองหรือการฝึ กปฏิบตั ิการ เป็นกระบวนการท่ีนกั เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้
จากการเห็นผลประจกั ษช์ ดั จากการคิดและการปฏิบตั ิของตน ทาใหก้ ารเรียนรู้น้นั ตรงกบั ความเป็นจริง มีความหมาย
สาหรับนกั เรียน และจาไดน้ าน ซ่ึงการจดั การเรียนรู้โดยการทดลอง ครูหรือนกั เรียนตอ้ งกาหนดปัญหาและ
สมมตุ ิฐานในการทดลอง และกาหนดกระบวนการหรือข้นั ตอนในการดาเนินการทดลองใหช้ ดั เจน รวมท้งั จดั เตรียม
วสั ดุและอปุ กรณ์ท่ีจะใชใ้ นการทดลองใหพ้ ร้อม
ข้นั ตอนของการทดลอง มีดงั น้ี
1) กาหนดปัญหาและสมมตุ ิฐานการทดลอง
นกั เรียนกาหนดปัญหาและสมมุติฐานการทดลอง หรือครูอาจเป็นผนู้ าเสนอกไ็ ด้ แต่ถา้ ปัญหามาจากตวั
นกั เรียนเอง จะทาใหก้ ารเรียนรู้หรือการทดลองน้นั มีความหมายย่งิ ข้ึน
2) เสนอความรู้ท่ีจาเป็นต่อการทดลอง
ครูใหข้ ้นั ตอนและรายละเอียดของการทดลองแก่นกั เรียน โดยใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซ่ึง
ครูเป็นผกู้ าหนดข้นั ตอนและรายละเอียดหรืออาจใหน้ กั เรียนร่วมกนั วางแผนกาหนดกไ็ ด้ แลว้ แต่ความเหมาะสมกบั
สาระ แต่การใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมดาเนินการน้นั จะช่วยใหน้ กั เรียนพฒั นาทกั ษะต่าง ๆ และนกั เรียนจะกระตือรือร้น
มากข้ึน ครูจาเป็นตอ้ งคอยใหค้ าปรึกษาและความช่วยเหลืออยา่ งใกลช้ ิด
3) นักเรียนลงมือทดลองโดยใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ที่จาเป็นตามข้ันตอนที่กาหนดและบันทึกข้อมลู การทดลอง
การทดลองทาไดห้ ลายรูปแบบ ครูอาจใหน้ กั เรียนลงมือปฏิบตั ิตามข้นั ตอนที่กาหนดไวแ้ ลว้
คอยสงั เกตและใหค้ าแนะนา หรือครูอาจลงมือทาการทดลองใหน้ กั เรียนคอยสงั เกตแลว้ ทาตามคาแนะนาไปทีละข้นั
ครูควรฝึ กฝนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แก่นกั เรียนก่อนทาการทดลอง หรือไม่กฝ็ ึ กไปพร้อม ๆ กนั ซ่ึง
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบดว้ ย
– ทกั ษะการสงั เกต – ทกั ษะการกาหนดและควบคุมตวั แปร
– ทกั ษะการลงความคิดเห็นขอ้ มลู – ทกั ษะการทดลอง
– ทกั ษะการจาแนกประเภท – ทกั ษะการต้งั สมมุติฐาน
– ทกั ษะการวดั – ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ
– ทกั ษะการใชต้ วั เลข – ทกั ษะการหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ
และสเปซกบั เวลา
– ทกั ษะการสื่อความหมาย – ทกั ษะการตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป
– ทกั ษะการพยากรณ์
4) นักเรียนวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
ข้นั ตอนน้ีนกั เรียนตอ้ งวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง โดยท่ีครูคอยใหค้ าแนะนาแก่นกั เรียนเกี่ยวกบั
วิธีการวเิ คราะห์ขอ้ มลู และการสรุปผล ซ่ึงจะช่วยใหน้ กั เรียนไดพ้ ฒั นาทกั ษะ/กระบวนการคิดและทกั ษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นเรื่องอ่ืน ๆ ได้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 288
5) ครูและนักเรียนอภิปรายผลการทดลองและสรุปการเรียนรู้
ข้นั ตอนน้ีท้งั ครูและนกั เรียนตอ้ งร่วมกนั อภิปรายผลท่ีไดจ้ ากการทดลองและสรุปการเรียนรู้
ในเรื่องน้นั ๆ
3. วธิ ีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion)
วธิ ีน้ีเป็นกระบวนการที่ครูใชใ้ นการช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่กาหนด โดยการจดั
นกั เรียนเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ ประมาณ 4–8 คน ใหน้ กั เรียนในกลุ่มพดู คุยแลกเปลี่ยนขอ้ มูล ความคิดเห็น และ
ประสบการณ์ในเรื่องหรือประเดน็ ที่กาหนด แลว้ สรุปผลการอภิปรายออกมาเป็นขอ้ สรุปของกล่มุ ซ่ึงการจดั การ
เรียนรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกลุม่ ยอ่ ยน้ี จะช่วยใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งทว่ั ถึง มีโอกาสแสดง
ความคิดเห็นและแลกเปล่ียนประสบการณ์ จะช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ในเร่ืองที่เรียนกวา้ งข้ึน
ข้นั ตอนของการจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกลุ่ม มีดงั น้ี
1) ครูจดั นกั เรียนออกเป็นกลุ่มยอ่ ย ๆ ประมาณ 48 คน ควรเป็นกลมุ่ ที่ไม่เลก็ เกินไปและไม่ใหญ่เกินไป
เพราะถา้ กลุม่ เลก็ จะไม่ไดค้ วามคิดที่หลากหลายเพียงพอ ถา้ กลุ่มใหญ่สมาชิกกลมุ่ จะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้
ไม่ทว่ั ถึง ซ่ึงการแบ่งกลุ่มอาจทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น วิธีสุ่มเพ่ือใหน้ กั เรียนมีโอกาสไดร้ ่วมกลุ่มกบั เพ่ือนไม่ซ้ากนั
จาแนกตามเพศ วยั ความสนใจ ความสามารถ หรือเลือกอยา่ งเจาะจงตามปัญหาที่มีกไ็ ด้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั วตั ถปุ ระสงค์
ของครูและส่ิงที่จะอภิปราย
2) ครูหรือนกั เรียนกาหนดประเดน็ ในการอภิปราย ใหม้ ีวตั ถปุ ระสงคข์ องการอภิปรายที่ชดั เจน โดยที่การ
อภิปรายแต่ละคร้ังไมค่ วรมีประเดน็ มากจนเกินไป เพราะจะทาใหน้ กั เรียนอภิปรายไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี
3) นกั เรียนเริ่มอภิปรายโดยการพดู คุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นและประสบการณ์กนั ตามประเดน็
ที่กาหนด ในการอภิปรายแต่ละคร้ังควรมีการกาหนดบทบาทหนา้ ท่ีท่ีจาเป็นในการอภิปราย เช่น ประธานหรือผนู้ า
ในการอภิปราย เลขานุการ ผจู้ ดบนั ทึก และผรู้ ักษาเวลา นอกจากน้ีครูควรบอกใหส้ มาชิกกลุ่มทุกคนทราบถึง
บทบาทหนา้ ที่ของตน ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ หรือคาแนะนาแก่กลุ่มก่อนการอภิปราย และควรย้าถึงความสาคญั ของ
การใหส้ มาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอยา่ งทว่ั ถึง เพราะวตั ถุประสงคห์ ลกั ของการอภิปราย คือ การ
ใหน้ กั เรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นอยา่ งทว่ั ถึง และไดร้ ับฟังความคิดเห็นท่ีหลากหลาย ซ่ึงจะช่วยใหน้ กั เรียนมี
ความคิดที่ลึกซ้ึงและรอบคอบข้ึน ในกรณีที่มีหลายประเดน็ ควรมีการจากดั เวลาของการอภิปรายแต่ละประเดน็ ใหม้ ี
ความเหมาะสม
4) นกั เรียนสรุปสาระที่สมาชิกกลมุ่ ไดอ้ ภิปรายร่วมกนั เป็นขอ้ สรุปของกลุ่ม ครูควรใหส้ ญั ญาณแก่กลุ่มก่อน
หมดเวลา เพื่อที่แต่ละกลมุ่ จะไดส้ รุปผลการอภิปรายเป็นขอ้ สรุปของกลุ่ม หลงั จากน้นั อาจใหแ้ ต่ละกลมุ่ นาเสนอผล
การอภิปรายแลกเปลี่ยนกนั หรือดาเนินการในรูปแบบอ่ืนต่อไป
5) นาขอ้ สรุปของกลุ่มมาใชใ้ นการสรุปบทเรียน หลงั จากการอภิปรายสิ้นสุดลง ครูจาเป็นตอ้ งเช่ือมโยง
ความรู้ท่ีนกั เรียนไดร้ ่วมกนั คิดกบั บทเรียนที่กาลงั เรียนรู้ โดยนาขอ้ สรุปของกลุ่มมาใชใ้ นการสรุปบทเรียนดว้ ย
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 289
4. กระบวนการแก้ปัญหา (Problem Solving Process)
วิธีน้ีเนน้ ใหน้ กั เรียนฝึ กการคิดแกป้ ัญหาอยา่ งมีข้นั ตอน มีเหตุผล ซ่ึงเป็นแนวทางในการนาไปใชแ้ กป้ ัญหา
ในชีวติ ประจาวนั ได้ โดยอาศยั แนวคิดแกป้ ัญหาดว้ ยการนาวิธีสอนแบบนิรนยั (Deductive) คือ การสอนจาก
กฎเกณฑไ์ ปหาความจริงยอ่ ยไปผสมผสานกบั วิธีการสอนแบบอุปนยั (Inductive) คือ การสอนจากตวั อยา่ งยอ่ ยมาหา
เกณฑ์ กระบวนการคิดท้งั สองอยา่ งน้ีรวมกนั ทาใหเ้ กิดรูปแบบการสอนแบบแกป้ ัญหา ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี
1) ทาความเข้าใจปัญหา
ครูเนน้ ใหน้ กั เรียนทาความเขา้ ใจถึงสภาพของปัญหาวา่ ปัญหาเกิดจากอะไร มีขอ้ มลู ใดแลว้ บา้ ง
และมีเง่ือนไขหรือตอ้ งการขอ้ มูลใดเพ่ิม
2) วางแผนแก้ปัญหา
เป็นการนาขอ้ มูลจากข้นั ตอนท่ี 1 และขอ้ มลู ความรู้ที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาน้นั มาใชป้ ระกอบการวางแผน
แกป้ ัญหา ถา้ ปัญหาน้นั ตอ้ งตรวจสอบโดยการทดลอง ในข้นั วางแผนกจ็ ะประกอบดว้ ยการต้งั สมมุติฐาน กาหนด
วธิ ีการทดลอง และกาหนดแนวทางในการประเมินผลการแกป้ ัญหา
3) ดาเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล
นาขอ้ มลู ที่รวบรวมไดม้ าวิเคราะห์และทดสอบสมมุติฐานและประเมินวา่ วธิ ีการแกป้ ัญหา
หรือผลการทดลองเป็นไปตามสมมุติฐานท่ีต้งั ไวห้ รือไม่ อยา่ งไร
4) ตรวจสอบการแก้ปัญหา
ครูและนกั เรียนร่วมกนั ตรวจสอบ วธิ ีการแกป้ ัญหา และผลจากการแกป้ ัญหาวา่ มีผลกระทบต่อสิ่งอื่น
หรือไม่ รวมไปถึงการนาวิธีการแกป้ ัญหาไปประยกุ ตใ์ ชต้ ่อไป
5. กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ (Cooperative Learning)
วธิ ีการน้ีเป็นการผสมผสานหลกั การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมและความสามารถทางวิชาการเขา้ ดว้ ยกนั โดยให้
นกั เรียนที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกนั มาทางานร่วมกนั คนท่ีเก่งกวา่ จะตอ้ งช่วยเหลือคนท่ีอ่อนกวา่ ทุกคน
ตอ้ งมีโอกาสไดแ้ สดงความสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นและปฏิบตั ิจริง โดยถือวา่ ความสาเร็จของแต่ละบุคคล คือ
ความสาเร็จของกลุ่ม
ข้นั ตอนของการเรียนแบบร่วมแรงร่วมใจ มีดงั น้ี
1) ข้ันเตรียม
แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ แนะนาแนวทางในการทางานกลุ่ม บทบาทหนา้ ท่ีของสมาชิกในกลมุ่
และแจง้ วตั ถปุ ระสงคข์ องการทางาน
2) ขนั้ สอน
นาเขา้ สู่บทเรียน แนะนาเน้ือหาสาระ แหลง่ ความรู้ แลว้ มอบหมายงานใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่ม
3) ขัน้ ทากิจกรรม
นกั เรียนร่วมกนั ทากิจกรรมในกลุม่ ยอ่ ย โดยสมาชิกแต่ละคนมีบทบาทหนา้ ท่ีตามที่ไดร้ ับมอบหมาย
ซ่ึงในการทากิจกรรมกลุ่มครูจะใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ เช่น ค่คู ิด เพ่ือนเรียน ปริศนาความคิด กลุ่มร่วมมือ การทากิจกรรม
แต่ละคร้ังจะตอ้ งเลือกเทคนิคใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเรียนแต่ละเรื่อง โดยอาจใชเ้ ทคนิคเดียวหรือหลาย
เทคนิครวมกนั กไ็ ด้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 290
4) ขนั้ ตรวจสอบผลงาน
เมื่อทากิจกรรมเสร็จแลว้ ตอ้ งมีการตรวจสอบการปฏิบตั ิงานว่าถกู ตอ้ งครบถว้ นหรือไม่ โดย
เร่ิมจากการตรวจภายในกลุ่มและระหวา่ งกลุ่ม เพ่ือนาขอ้ บกพร่องในการปฏิบตั ิงานไปปรับปรุงใหด้ ีข้ึน
5) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผล
ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปบทเรียน ครูอธิบายเพ่ิมเติมในส่วนที่นกั เรียนยงั ไม่เขา้ ใจ และ
ช่วยกนั ประเมินผลการทางานกล่มุ วา่ จุดเด่นของงานคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่ควรปรับปรุงและแกไ้ ข
ตัวอย่างเทคนิคการเรียนแบบร่ วมแรงร่วมใจ
1) เพ่ือนเรียน (Partners)
ใหน้ กั เรียนจบั คู่กนั ทาความเขา้ ใจเน้ือหาและสาระสาคญั ของเร่ืองท่ีครูกาหนดให้ โดยคู่ที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจ
อาจขอคาแนะนาจากครูหรือค่อู ่ืนท่ีเขา้ ใจดีกวา่ เมื่อคู่น้นั เกิดความเขา้ ใจดีแลว้ กถ็ ่ายทอดความรู้ใหเ้ พื่อนคู่อื่นต่อไป
2) ปริศนาความคิด (Jigsaw)
แบ่งกล่มุ นกั เรียนโดยคละความสามารถ เก่ง–ออ่ น เรียกวา่ “กลุ่มบา้ น” (Home Groups) ครูแบ่งเน้ือหา
ออกเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ย ๆ เท่ากบั จานวนสมาชิกกลุ่ม ใหส้ มาชิกในกลมุ่ ศึกษาหวั ขอ้ ท่ีแตกต่างกนั นกั เรียนที่ไดร้ ับหวั ขอ้
เดียวกนั มารวมกลุ่มเพื่อร่วมกนั ศึกษา เรียกวา่ “กลมุ่ ผเู้ ช่ียวชาญ” (Expert Groups) เมื่อร่วมกนั ศึกษาจนเขา้ ใจแลว้
สมาชิกแต่ละคนออกจากกลุ่มผเู้ ช่ียวชาญกลบั ไปกลุม่ บา้ นของตนเอง จากน้นั ถ่ายทอดความรู้ท่ีตนศึกษามาให้
เพ่ือน ๆ ในกลุ่มฟังจนครบทุกคน
3) กล่มุ ร่วมมือ (Co-op Co-op)
แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ คละความสามารถกนั แต่ละกลุ่มเลือกหวั ขอ้ ที่จะศึกษา เม่ือไดห้ วั ขอ้ แลว้
สมาชิกในกลุ่มช่วยกนั กาหนดหวั ขอ้ ยอ่ ย แลว้ แบ่งหนา้ ที่กนั รับผดิ ชอบ โดยศึกษาคนละ 1 หวั ขอ้ ยอ่ ย จากน้นั สมาชิก
นาผลงานมารวมกนั เป็นงานกลุ่ม ช่วยกนั เรียบเรียงเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกนั และเตรียมทีมนาเสนอผลงานหนา้
หอ้ งเรียน เมื่อนาเสนอผลงานแลว้ ทุกกลุ่มช่วยกนั ประเมินผลการทางานและผลงานกลุ่ม
4) กล่มุ ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together: NHT)
วิธีน้ีเหมาะสาหรับการทบทวนความรู้ใหน้ กั เรียน ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
(1) แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คละความสามารถกนั แต่ละคนมีหมายเลขประจาตวั
(2) ครูถามคาถามหรือมอบหมายงานใหท้ า
(3) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายในกลุ่มย่อยจนมนั่ ใจวา่ สมาชิกทุกคนมนั่ ใจในคาตอบ
(4) ครูสุ่มถามโดยเรียกหมายเลขประจาตวั คนใดคนหน่ึงในกลุ่มตอบ
(5) ครูใหค้ าชมเชยแก่สมาชิกกลมุ่ ที่สามารถตอบคาถามไดม้ ากที่สุด และอธิบายขอ้ คาถามที่
นกั เรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 291
6. โครงงาน (Project Work)
โครงงานเป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิและศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ตาม
แผนการดาเนินงานที่นกั เรียนไดจ้ ดั ข้ึน โดยครูช่วยใหค้ าแนะนาปรึกษา กระตุน้ ใหค้ ิด และติดตามการปฏิบตั ิงานจน
บรรลุเป้ าหมาย โครงงานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) โครงงานประเภทสารวจ รวบรวมขอ้ มูล
2) โครงงานประเภททดลอง คน้ ควา้
3) โครงงานที่เป็นการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรือแนวคิดใหม่
4) โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์
การเรียนรู้ดว้ ยโครงงานมีข้นั ตอน ดงั น้ี
(1) กาหนดหัวข้อที่จะศึกษา
นกั เรียนคิดหวั ขอ้ โครงงาน ซ่ึงอาจไดม้ าจากความอยากรู้อยากเห็นของนกั เรียนเอง หรือไดจ้ าก
การอา่ นหนงั สือ บทความ การไปทศั นศึกษาดูงาน โดยนกั เรียนตอ้ งต้งั คาถามวา่ “จะศึกษาอะไร” “ทาไมตอ้ งศึกษา
เร่ืองดงั กล่าว”
(2) ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้อง
ศึกษาทบทวนเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งและปรึกษาครูหรือผทู้ ่ีมีความรู้ความเช่ียวชาญในสาขาน้นั ๆ
(3) เขียนเค้าโครงของโครงงานหรือสร้างแผนผงั ความคิด
โดยทว่ั ไปเคา้ โครงของโครงงานจะประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ต่าง ๆ ดงั น้ี
– ชื่อโครงงาน
– ช่ือผทู้ าโครงงาน
– ช่ือท่ีปรึกษาโครงงาน
– ระยะเวลาดาเนินการ
– หลกั การและเหตุผล
– วตั ถุประสงค์
– สมมตุ ิฐานของการศึกษา (ในกรณีที่เป็นโครงงานทดลอง)
– ข้นั ตอนการดาเนินงาน
– ปฏิบตั ิโครงงาน
– ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ
– เอกสารอา้ งอิง/บรรณานุกรม
(4) การปฏิบัติโครงงาน
ลงมือปฏิบตั ิงานตามแผนงานท่ีกาหนดไว้ ในระหวา่ งปฏิบตั ิงานควรมีการจดบนั ทึกขอ้ มลู ต่าง ๆ
ไวอ้ ยา่ งละเอียดวา่ ทาอยา่ งไร ไดผ้ ลอยา่ งไร มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร และมีแนวทางแกไ้ ขอยา่ งไร
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 292
(5) การเขียนรายงาน
เป็นการรายงานสรุปผลการดาเนินงาน เพื่อใหผ้ อู้ ื่นไดท้ ราบแนวคิด วธิ ีดาเนินงาน ผลที่ไดร้ ับ
และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ เก่ียวกบั โครงงาน ซ่ึงการเขียนรายงานน้ีควรใชภ้ าษาท่ีกระชบั เขา้ ใจง่าย ชดั เจน และ
ครอบคลมุ ประเดน็ ท่ีศึกษา
(6) การแสดงผลงาน
เป็นการนาผลของการดาเนินงานมาเสนอ อาจจดั ไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การจดั นิทรรศการ การทาเป็น
ส่ือสิ่งพิมพ์ สื่อมลั ติมีเดีย หรืออาจนาเสนอในรูปของการแสดงผลงาน การนาเสนอดว้ ยวาจา บรรยาย อภิปรายกล่มุ
และสาธิต
แฟ้ มสะสมผลงาน (Portfolio)
แฟ้ มสะสมผลงาน หมายถึง แหล่งรวบรวมเอกสาร ผลงาน หรือหลกั ฐาน เพ่ือใชส้ ะทอ้ นถึงผลสมั ฤทธ์ิ
ความสามารถ ทกั ษะ และพฒั นาการของนกั เรียน มีการจดั เรียบเรียงผลงานไวอ้ ยา่ งมีระบบ โดยนาความรู้ ความคิด
และการนาเสนอมาผสมผสานกนั ซ่ึงนกั เรียนเป็นผคู้ ดั เลือกผลงานและมีส่วนร่วมในการประเมิน แฟ้ มสะสมผลงาน
จึงเป็นหลกั ฐานสาคญั ที่จะทาใหน้ กั เรียนสามารถมองเห็นพฒั นาการของตนเองไดต้ ามสภาพจริง รวมท้งั เห็น
ขอ้ บกพร่องและแนวทางในการปรับปรุงแกไ้ ขใหด้ ีข้ึนต่อไป
ลกั ษณะสาคญั ของการประเมนิ ผลโดยใช้แฟ้ มสะสมผลงาน
1. ครูสามารถใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการติดตามความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนเป็นรายบุคคลไดเ้ ป็นอยา่ งดี
เน่ืองจากมีผลงานสะสมไว้ ครูจะทราบจุดเด่น จุดดอ้ ยของนกั เรียนแต่ละคนจากแฟ้ มสะสมผลงาน และสามารถ
ติดตามพฒั นาการไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง
2. มุ่งวดั ศกั ยภาพของนกั เรียนในการผลิตหรือสร้างผลงาน มากกวา่ การวดั ความจาจากการทาแบบทดสอบ
3. วดั และประเมินโดยเนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง คือ นกั เรียนเป็นผวู้ างแผน ลงมือปฏิบตั ิงาน รวมท้งั
ประเมินและปรับปรุงตนเอง ซ่ึงมีครูเป็นผชู้ ้ีแนะ เนน้ การประเมินผลยอ่ ยมากกวา่ การประเมินผลรวม
4. ฝึ กใหน้ กั เรียนรู้จกั การประเมินตนเอง และหาแนวทางปรับปรุงพฒั นาตนเอง
5. นกั เรียนเกิดความมนั่ ใจและภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง รู้วา่ ตนเองมีจุดเด่นในเร่ืองใด
6. ช่วยในการส่ือความหมายเกี่ยวกบั ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนพฒั นาการของนกั เรียนใหผ้ ทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ ง
ทราบ เช่น ผปู้ กครอง ฝ่ ายแนะแนว ตลอดจนผบู้ ริหารของโรงเรียน
ข้ันตอนการประเมนิ ผลโดยใช้แฟ้ มสะสมผลงาน
การจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงานมี 10 ข้นั ตอน ซ่ึงแต่ละข้นั ตอนมีรายละเอียด ดงั น้ี
1. การวางแผนจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงาน การจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงานตอ้ งมีส่วนร่วมระหวา่ งครู นกั เรียน
และผปู้ กครอง
ครู การเตรียมตวั ของครูตอ้ งเร่ิมจากการศึกษาและวิเคราะหห์ ลกั สูตร คู่มือครู คาอธิบายรายวชิ า วิธีการวดั
และประเมินผลในหลกั สูตร รวมท้งั ครูตอ้ งมีความรู้และเขา้ ใจเกี่ยวกบั การประเมินโดยใชแ้ ฟ้ มสะสมผลงาน จึง
สามารถวางแผนกาหนดชิ้นงานได้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 293
นักเรียน ตอ้ งมีความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เน้ือหาสาระ การประเมินผลโดยใชแ้ ฟ้ มสะสม
งาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ การกาหนดชิ้นงาน และบทบาทในการทางานกลมุ่ โดยครูตอ้ งแจง้ ให้
นกั เรียนทราบล่วงหนา้
ผ้ปู กครอง ตอ้ งเขา้ มามีส่วนร่วมในการคดั เลือกผลงาน การแสดงความคิดเห็น และรับรู้พฒั นาการของ
นกั เรียนอยา่ งต่อเน่ือง ดงั น้นั ก่อนทาแฟ้ มสะสมผลงาน ครูตอ้ งแจง้ ใหผ้ ปู้ กครองทราบหรือขอความร่วมมือ รวมท้งั
ใหค้ วามรู้ในเร่ืองการประเมินผลโดยใชแ้ ฟ้ มสะสมผลงานแก่ผปู้ กครองเมื่อมีโอกาส
2. การรวบรวมผลงานและจดั ระบบแฟ้ ม ในการรวบรวมผลงานตอ้ งออกแบบการจดั เกบ็ หรือแยก
หมวดหม่ขู องผลงานใหด้ ี เพื่อสะดวกและง่ายต่อการนาขอ้ มูลออกมาใช้ แนวทางการจดั หมวดหม่ขู องผลงาน เช่น
– จดั แยกตามลาดบั วนั เวลา ที่สร้างผลงานข้ึนมา
– จดั แยกตามความซบั ซอ้ นของผลงาน เป็นการแสดงถึงทกั ษะหรือพฒั นาการของนกั เรียนที่มากข้ึน
– จดั แยกตามวตั ถปุ ระสงค์ เน้ือหา หรือประเภทของผลงาน
ผลงานท่ีอยใู่ นแฟ้ มสะสมผลงานอาจมีหลายเรื่อง หลายวิชา ดงั น้นั นกั เรียนจะตอ้ งทาเคร่ืองมือในการช่วย
คน้ หา เช่น สารบญั ดชั นีเรื่อง จุดสี และแถบสีติดไวท้ ี่ผลงานโดยมีรหสั ท่ีแตกต่างกนั
3. การคัดเลอื กผลงาน ในการคดั เลือกผลงานน้นั ควรใหส้ อดคลอ้ งกบั เกณฑห์ รือมาตรฐานที่โรงเรียน ครู
หรือนกั เรียนร่วมกนั กาหนดข้ึนมา และผคู้ ดั เลือกผลงานควรเป็นนกั เรียนเจา้ ของแฟ้ มสะสมผลงาน หรือมีส่วน
ร่วมกบั ครู เพ่ือน และผปู้ กครอง
ผลงานที่เลือกเขา้ แฟ้ มสะสมผลงาน ควรมีลกั ษณะดงั น้ี
– สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาและวตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้
– เป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุด มีความหมายต่อนกั เรียนมากที่สุด
– สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงพฒั นาการของนกั เรียนในทุกดา้ น
– เป็นสื่อที่จะช่วยใหน้ กั เรียนมีโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั ครู ผปู้ กครอง และเพื่อน ๆ
ส่วนจานวนชิ้นงานน้นั ใหก้ าหนดตามความเหมาะสม ไมค่ วรมีมากเกินไป เพราะอาจจะทาใหผ้ ลงานบาง
ชิ้นไม่มีความหมาย แต่ถา้ มีนอ้ ยเกินไปจะทาใหก้ ารประเมินไมม่ ีประสิทธิภาพ
4. สร้างสรรค์แฟ้ มสะสมผลงานให้มเี อกลกั ษณ์ของตนเอง โครงสร้างหลกั ของแฟ้ มสะสมผลงานอาจ
เหมือนกนั แต่นกั เรียนสามารถตกแต่งรายละเอียดยอ่ ยใหแ้ ตกต่างกนั ตามความคิดสร้างสรรคข์ องแต่ละบุคคล โดย
อาจใชภ้ าพ สี สติกเกอร์ ตกแต่งใหส้ วยงามเนน้ เอกลกั ษณ์ของเจา้ ของแฟ้ มสะสมผลงาน
5. การแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกต่อผลงาน ในข้นั ตอนน้ีนกั เรียนจะไดร้ ู้จกั การวิพากษว์ ิจารณ์ หรือ
สะทอ้ นความคิดเก่ียวกบั ผลงานของตนเอง ตวั อยา่ งขอ้ ความที่ใชแ้ สดงความรู้สึกต่อผลงาน เช่น
– ไดแ้ นวคิดจากการทาผลงานชิ้นน้ีมาจากไหน
– เหตุผลที่เลือกผลงานชิ้นน้ีคืออะไร
– จุดเด่น จุดดอ้ ยของผลงานชิ้นน้ีคืออะไร
– รู้สึกพอใจกบั ผลงานชิ้นน้ีมากนอ้ ยเพียงใด
– ไดข้ อ้ คิดอะไรจากการทาผลงานชิ้นน้ี
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 294
6. ตรวจสอบความสามารถของตนเอง เป็นการเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดป้ ระเมินความสามารถของตนเอง
โดยพิจารณาตามเกณฑย์ อ่ ย ๆ ท่ีครูและนกั เรียนช่วยกนั กาหนดข้ึน เช่น นิสยั การทางาน ทกั ษะทางสงั คม การทางาน
เสร็จตามระยะเวลาที่กาหนด การขอความช่วยเหลือเมื่อมีความจาเป็น นอกจากน้ีการตรวจสอบความสามารถตนเอง
อีกวิธีหน่ึง คือ การใหน้ กั เรียนเขียนวเิ คราะห์จุดเด่น จุดดอ้ ยของตนเองและสิ่งที่ตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ข
7. การประเมนิ ผลงาน เป็นข้นั ตอนท่ีสาคญั เน่ืองจากเป็นการสรุปคุณภาพของงานและความสามารถหรือ
พฒั นาการของนกั เรียน การประเมินแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ การประเมินโดยไม่ใหร้ ะดบั คะแนน และการ
ประเมินโดยใหร้ ะดบั คะแนน
การประเมินโดยไม่ให้ระดับคะแนน ครูกลุ่มน้ีมีความเชื่อวา่ แฟ้ มสะสมผลงานมีไวเ้ พื่อศึกษากระบวนการ
ทางาน ศึกษาความคิดเห็น ความรู้สึกของนกั เรียนที่มีต่อผลงานของตนเอง ตลอดจนดูพฒั นาการหรือความกา้ วหนา้
ของนกั เรียนอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ ครู ผปู้ กครอง และเพ่ือนสามารถใหค้ าช้ีแนะแก่นกั เรียนได้ ซ่ึงวธิ ีการน้ีจะทาให้
นกั เรียนไดเ้ รียนรู้และปฏิบตั ิงานอยา่ งเตม็ ท่ี โดยไม่ตอ้ งกงั วลวา่ จะไดค้ ะแนนมากนอ้ ยเท่าไร
การประเมินโดยให้ระดับคะแนน มีท้งั การประเมินตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ การประเมินระหวา่ งภาค
เรียน และการประเมินปลายภาค ซ่ึงจะช่วยในวตั ถปุ ระสงคด์ า้ นการปฏิบตั ิเป็นหลกั การประเมินแฟ้ มสะสมผลงาน
ตอ้ งกาหนดมิติการใหค้ ะแนน (Scoring Rubrics) ตามเกณฑท์ ่ีครูและนกั เรียนร่วมกนั กาหนดข้ึน การใหร้ ะดบั
คะแนนมีท้งั การใหค้ ะแนนเป็นรายชิ้นก่อนเกบ็ เขา้ แฟ้ มสะสมผลงานและการใหค้ ะแนนแฟ้ มสะสมผลงานท้งั แฟ้ ม
ซ่ึงมาตรฐานคะแนนน้นั ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคก์ ารจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงานและมุ่งเนน้ พฒั นาการของ
นกั เรียนแต่ละคนมากกวา่ การนาไปเปรียบเทียบกบั บุคคลอ่ืน
8. การแลกเปลยี่ นประสบการณ์กบั ผ้อู นื่ มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนไดร้ ับฟังความคิดเห็น
จากผทู้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ เพ่ือน ครู และผปู้ กครอง อาจทาไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การจดั ประชุมในโรงเรียนโดย
เชิญผทู้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งมาร่วมกนั พิจารณาผลงาน การสนทนาแลกเปลี่ยนระหวา่ งนกั เรียนกบั เพื่อน การส่งแฟ้ ม
สะสมผลงานไปใหผ้ ทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งช่วยใหข้ อ้ เสนอแนะหรือคาแนะนา
ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์น้นั นกั เรียนจะตอ้ งเตรียมคาถามเพื่อถามผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ ง ซ่ึงจะเป็น
ประโยชนใ์ นการปรับปรุงงานของตนเอง ตวั อยา่ งคาถาม เช่น
– ท่านคิดอยา่ งไรกบั ผลงานชิ้นน้ี
– ท่านคิดวา่ ควรปรับปรุงแกไ้ ขส่วนใดอีกบา้ ง
– ผลงานชิ้นใดท่ีท่านชอบมากท่ีสุด เพราะอะไร
– ฯลฯ
9. การปรับเปลยี่ นผลงาน หลงั จากที่นกั เรียนไดแ้ ลกเปลี่ยนความคิดเห็นและไดร้ ับคาแนะนาจากผทู้ ี่มีส่วน
เกี่ยวขอ้ งแลว้ จะนามาปรับปรุงผลงานใหด้ ีข้ึน นกั เรียนสามารถนาผลงานที่ดีกวา่ เกบ็ เขา้ แฟ้ มสะสมผลงานแทน
ผลงานเดิม ทาใหแ้ ฟ้ มสะสมผลงานมีผลงานท่ีดี ทนั สมยั และตรงตามจุดประสงคใ์ นการประเมิน
10. การประชาสัมพนั ธ์ผลงานของนักเรียน เป็นการแสดงนิทรรศการผลงานของนกั เรียน โดยนาแฟ้ ม
สะสมผลงานของนกั เรียนทุกคนมาจดั แสดงร่วมกนั และเปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ กครอง ครู และนกั เรียนทวั่ ไปไดเ้ ขา้ ชม
ผลงาน ทาใหน้ กั เรียนเกิดความภาคภมู ิใจในผลงานของตนเอง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 295
ผทู้ ่ีเริ่มตน้ ทาแฟ้ มสะสมผลงานอาจไม่ตอ้ งดาเนินการท้งั 10 ข้นั ตอนน้ี อาจใชข้ ้นั ตอนหลกั ๆ คือ การ
รวบรวมผลงานและการจดั ระบบแฟ้ ม การคดั เลือกผลงาน และการแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกต่อผลงาน
องค์ประกอบสาคญั ของแฟ้ มสะสมผลงาน มีดงั น้ี
1. ส่วนนา ประกอบดว้ ย
ปก
คานา
สารบญั
ประวตั ิส่วนตวั
จุดมุ่งหมายของการทาแฟ้ ม
สะสมผลงาน
2. ส่วนเนอื้ หาแฟ้ ม ประกอบดว้ ย
ผลงาน
ความคิดเห็นที่มีต่อผลงาน
Rubrics ประเมินผลงาน
3. ส่วนข้อมลู เพมิ่ เตมิ ประกอบดว้ ย
ผลการประเมินการเรียนรู้
การรายงานความกา้ วหนา้ โดยครู
ความคิดเห็นของผทู้ ่ีมีส่วน
เก่ียวขอ้ ง เช่น เพ่ือน ผปู้ กครอง
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 296
ผงั การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Backward Design
หน่วยการเรียนรู้ท.ี่ .....
ข้ันที่ 1 ผลลพั ธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกดิ ขึน้ กบั นักเรียน
ตวั ชี้วดั ช้ันปี ...............................................................................................................
ความเข้าใจที่คงทนของนกั เรียน คาถามสาคญั ท่ีทาให้เกดิ ความเข้าใจท่ีคงทน
นกั เรียนจะเข้าใจว่า…
1. ................................................ 1. ....................................................................
2. ............................................... 2. ....................................................................
ความรู้ของนกั เรียนทีน่ าไปสู่ความเข้าใจทีค่ งทน ทักษะ/ความสามารถของนักเรียนที่จะนาไปสู่ความเข้าใจ
นกั เรียนจะรู้ว่า… ทค่ี งทน นกั เรียนจะสามารถ...
1. ................................................. 1. ..................................................................
2. ................................................. 2. ..................................................................
3. ................................................. 3. ...................................................................
ข้ันที่ 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ซ่ึงเป็ นหลกั ฐานที่แสดงว่านกั เรียนมผี ลการเรียนรู้ตามท่ีกาหนดไว้
อย่างแท้จริง
1. ภาระงานที่นักเรียนต้องปฏิบัติ
–...........................................................................................................................
–..........................................................................................................................
2. วธิ ีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการประเมนิ ผลการเรียนรู้ เคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
–............................................... –...............................................
–............................................... –...............................................
3. ส่ิงทม่ี ่งุ ประเมนิ
–...............................................................................................................................
–...............................................................................................................................
ข้นั ที่ 3 แผนการจดั การเรียนรู้
–.......................................................................................................................
–.......................................................................................................................
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 297
รูปแบบแผนการจดั การเรียนรู้รายชั่วโมง
เมื่อครูออกแบบการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดของ Backward Design แลว้ ครูสามารถเขียนแผนการจดั การ
เรียนรู้รายชวั่ โมงโดยใชร้ ูปแบบของแผนการจดั การเรียนรู้แบบเรียงหวั ขอ้ ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี
ชื่อแผน...(ระบุช่ือและลาดบั ท่ีของแผนการจดั การเรียนรู้)
ช่ือเรื่อง...(ระบุชื่อเรื่องท่ีใชจ้ ดั การเรียนรู้)
สาระที่...(ระบุสาระท่ีใชจ้ ดั การเรียนรู้)
เวลา...(ระบุระยะเวลาที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ต่อ 1 แผน)
ช้ัน...(ระบุช้นั ท่ีจดั การเรียนรู้)
หน่วยการเรียนรู้ท่.ี ..(ระบุช่ือและลาดบั ท่ีของหน่วยการเรียนรู้)
สาระสาคญั ...(เขียนความคิดรวบยอดหรือมโนทศั นข์ องหวั เร่ืองที่จะจดั การเรียนรู้)
ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี ...(ระบุตวั ช้ีวดั ช้นั ปี ที่ใชเ้ ป็นเป้ าหมายของแผนการจดั การเรียนรู้)
จุดประสงค์การเรียนรู้...(กาหนดใหส้ อดคลอ้ งกบั สมรรถนะสาคญั และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ อง
นกั เรียนหลงั จากสาเร็จการศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ซ่ึงประกอบดว้ ย
ดา้ นความรู้ความคิด (Knowledge: K)
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และจิตวทิ ยาศาสตร์ (Affective: A)
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (Performance: P))
การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้...(ระบุวธิ ีการและเครื่องมือวดั และประเมินผลท่ีสอดคลอ้ งกบั
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท้งั 3 ดา้ น)
สาระการเรียนรู้...(ระบุสาระและเน้ือหาที่ใชจ้ ดั การเรียนรู้ อาจเขียนเฉพาะหวั เรื่องกไ็ ด)้
แนวทางการบูรณาการ...(เสนอแนะและระบุกิจกรรมของกลุ่มสาระอื่นที่บูรณาการร่วมกนั )
กระบวนการจดั การเรียนรู้...(กาหนดใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของกลุ่มสาระและการบูรณาการขา้ มสาระ)
กจิ กรรมเสนอแนะ...(ระบุรายละเอียดของกิจกรรมท่ีนกั เรียนควรปฏิบตั ิเพ่ิมเติม)
ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้...(ระบุสื่อ อปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้)
บนั ทึกหลงั การจัดการเรียนรู้...(ระบุรายละเอียดของผลการจดั การเรียนรู้ตามแผนท่ีกาหนดไว้ อาจนาเสนอ
ขอ้ เด่นและขอ้ ดอ้ ยใหเ้ ป็นขอ้ มูลท่ีสามารถใชเ้ ป็นส่วนหน่ึงของการทาวจิ ยั ในช้นั เรียนได)้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 298
ใบกจิ กรรม วทิ ยาศาสตร์ ป. 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 สิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ
ใบกจิ กรรมท่ี 1
สารวจ บริเวณโรงเรียน ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
1. การสงั เกต (ดู)
ปัญหา บริเวณรอบโรงเรียนมีอะไรบ้าง 2. การสื่อความหมาย (เขียน วาดภาพ)
ข้ันตอน
อปุ กรณ์
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน 1. ดินสอ 1 แท่ง
2. ดู สิ่งต่าง ๆ บริเวณรอบโรงเรียน 2. กระดาษ 1 แผน่
3. เขียน ช่ือและ วาดภาพ ส่ิงท่ีเห็น
บนั ทกึ ผล
โตะ๊ เกา้ อ้ี กอ้ นหิน
สุนขั ปลา แมว
สรุป
เราพบสิ่งต่าง ๆ มากมายรอบ ๆ โรงเรียน ท้ังส่ิงท่ีอย่กู ับที่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และก้อนหิน หรือส่ิงที่มีการ
เคล่ือนไหวหรือกาลังกินอาหาร เช่น สุนัข ปลา และแมว
ค้นหาคาตอบ
1. เราสารวจพบอะไรบา้ ง
ก้อนหิน ปลา สุนัข แมว โต๊ะ และเก้าอี้
2. เราสามารถจดั กล่มุ ส่ิงที่สารวจพบไดห้ รือไม่ ถา้ ได้ ดูจากอะไร
ได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหว การหายใจ และการกินอาหารและนา้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 299
ใบกจิ กรรมท่ี 2
สังเกต การเจริญเตบิ โตของถั่วเขยี วและดนิ สอ
ปัญหา ส่ิงมีชีวิตมีการเจริญเติบโตลกั ษณะใด ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ข้ันตอน 1. การสงั เกต (ดู)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 2–3 คน
2. แช่เมลด็ ถวั่ เขียวในน้าไว้ 1 คืน 2. การสื่อความหมาย (บอก)
3. ใส่กระดาษทิชชูลงในจานท้งั 2 ใบ ใบละ 5 แผน่ และพรม
3. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
น้าใหช้ ุ่ม
4. นาเมลด็ ถวั่ เขียวท่ีแช่น้าขา้ มคืนและดินสอใส่ลงในจานคน อปุ กรณ์
ละใบ 1. จาน 2 ใบ
5. รดน้าทุกวนั ดู การเปล่ียนแปลงของเมลด็ ถว่ั เขียวและ
2. น้า 1 ถว้ ย
ดินสอนาน 1 สปั ดาห์ 3. เมลด็ ถวั่ เขียว 6 เมลด็
6. แบ่งกล่มุ และ บอก สิ่งใดท่ีเจริญเติบโตได้ และส่ิงใดที่
4. ดินสอ 1 แท่ง
เจริญเติบโตไม่ได้
5. กระดาษทิชชู 10 แผน่
บนั ทึกผล
การเปลย่ี นแปลงของดนิ สอ
วนั ที่ การเปลยี่ นแปลงของเมลด็ ถั่วเขยี ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
1 เปลือกถวั่ เขียวอ่อนนุ่มแตกออก เห็นป่ ุมสีขาว ”
คล้ายรากงอกออกมา
”
2 ถว่ั เขียวแตกออกแต่เปลือกยงั ไม่หลดุ และมีราก
งอกออกมายาว ”
3 เปลือกสีเขียวหลดุ ออก วดั ต้นถั่วเขียวยาว 2.5
เซนติเมตร
4 ถว่ั เขียวมีส่วนคล้ายใบงอกออกมา
5 เห็นใบสีเหลืองอมเขียว 2 ใบ วดั ต้นถว่ั เขียวยาว ”
10 เซนติเมตร ”
6 วัดต้นถว่ั เขียวยาว 12 เซนติเมตร
7 วดั ต้นถว่ั เขียวยาว 13 เซนติเมตร ”
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 300
สรุป
เมลด็ ถว่ั เขียวมีการเจริญเติบโต โดยมีขนาดใหญ่และมีรากงอกยาวออกมา ส่วนดินสอไม่มีการเจริญเติบโต
เพราะมีขนาดเท่าเดิม
ค้นหาคาตอบ
เมื่อเวลาผา่ นไป 1 สปั ดาห์ เมลด็ ถว่ั เขียวและดินสอมีการเปล่ียนแปลงหรือไม่ และมีการเปล่ียนแปลงใน
ลกั ษณะใด
มีการเปล่ียนแปลง เมลด็ ถ่ัวเขียวมีรากงอกยาวออกมา และมีขนาดใหญ่ขึน้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 301
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 1 ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ดู)
ทายภาพสัตว์ 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
ข้ันตอน อุปกรณ์
1. ครูติดภาพสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ ทีละภาพลงบน บตั รภาพ 10 แผน่
กระดาษแขง็ ขนาด 8 10 นิ้ว
2. จดั นกั เรียนเป็น 2 แถว หาตวั แทนถือแผน่ ภาพ 1 คน โดย
ใหย้ กข้ึนทีละแผน่ ใหเ้ พื่อน ดู เพียงครู่หน่ึงแลว้ เกบ็ ลง
3. เพื่อนคนแรกของแต่ละแถว แบ่งกล่มุ และบอกวา่ สิ่งท่ี
เห็นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือส่ิงไมม่ ีชีวติ ใครตอบไดก้ ่อนและถูกตอ้ งจะ
ไดเ้ กบ็ บตั รภาพไว้
4. เปล่ียนใหค้ นที่ 2 ทากิจกรรม และเปลี่ยนไปจนหมดแถว
5. แถวที่ไดบ้ ตั รภาพมากท่ีสุดเป็นผชู้ นะ
ตวั อย่างแผ่นภาพ
ค้นหาคาตอบ
1. ส่ิงมีชีวิตที่นกั เรียนเห็นมีอะไรบา้ ง
กระรอก ปลา แมว กบ และนก
2. ส่ิงไมม่ ีชีวติ ที่นกั เรียนเห็นมีอะไรบา้ ง
พัดลม หนังสือ โต๊ะ กระเป๋ า และบ้าน
3. สิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดเคลื่อนท่ีดว้ ยวธิ ีใด
การปี น การว่าย การเดิน การกระโดด และการบิน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 302
ใบกจิ กรรมท่ี 3
สังเกต การเคลอื่ นไหวของสิ่งมีชีวติ
ปัญหา ส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตมีการเคล่ือนไหวแตกต่างกันหรือไม่
ข้นั ตอน ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. ใหน้ กั เรียนนาดินสอ กิ่งไมแ้ หง้ และกระดาษมาวาง
1. การสงั เกต (ด)ู
บนโต๊ะ ดู การเคลื่อนไหวของท้งั 3 ชนิด
2. ดู การเคล่ือนไหวของปลาในสระน้า นกและแมว 2. การส่ือความหมาย (บอก)
ที่อยใู่ นบริเวณโรงเรียน 3. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
3. บอก ความแตกต่างของการเคลื่อนไหวของส่ิงที่
อปุ กรณ์
สงั เกตเห็น
4. แบ่งกล่มุ ส่ิงใดบา้ งท่ีเคล่ือนไหวเองได้ และสิ่งใด 1. ดินสอ 1 แท่ง
บา้ งที่เคลื่อนไหวเองไมไ่ ด้ 2. กิ่งไมแ้ หง้ 1 กิ่ง
3. กระดาษ 1 แผน่
4. ส่ิงมีชีวิตบริเวณโรงเรียน
บนั ทึกผล ไดแ้ ก่ ปลา นก แมว
ชื่อสิ่งท่สี ังเกต ลกั ษณะการเคลอื่ นไหว อยา่ งละ 1 ตวั
ดินสอ
ปลา ไม่เคล่ือนไหว
แมว เคล่ือนไหวเองได้
กิ่งไม้แห้ ง เคลื่อนไหวเองได้
นก ไม่เคล่ือนไหว
กระดาษ เคลื่อนไหวเองได้
ไม่เคลื่อนไหว
สรุป
ดินสอ ก่ิงไม้แห้ง และกระดาษ เคลื่อนไหวเองไม่ได้
ปลา แมว และนก เคล่ือนไหวเองได้ แต่มีลักษณะแตกต่างกนั
ค้นหาคาตอบ
1. ลกั ษณะการเคลื่อนไหวของส่ิงท่ีเราเห็นมีลกั ษณะใด
สิ่งท่ีเราเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวเองได้ แต่บางส่ิงเคลื่อนไหวเองไม่ได้
2. เราเรียกสิ่งท่ีเคลื่อนไหวเองไดว้ า่ อะไร และเรียกสิ่งที่เคล่ือนไหวเองไมไ่ ดว้ า่ อะไร
ส่ิงที่เคลื่อนไหวเองได้ เรียกว่า ส่ิงมีชีวิต ส่ิงที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้ เรียกว่า ส่ิงไม่มีชีวิต
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 303
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 2
คณติ ฯ ในวทิ ยาศาสตร์ ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ดู)
ข้ันตอน 2. การส่ือความหมาย (เขียน บนั ทึก)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 2–3 คน
2. นกั เรียนในกลุ่มช่วยกนั ดู สิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิตในรูป
3. เขียน ช่ือสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิต และนบั จานวนวา่ แต่ละ
ชนิดมีเท่าไร
4. บันทึก จานวนท่ีนบั ไดล้ งในตาราง
สิ่งมีชีวติ จานวน สิ่งไม่มีชีวติ จานวน
เดก็ ผ้หู ญิง 1
แมว 5 อ่างปลา 1
ปลา 2 เก้าอี้ 1
ต้นไม้ 3 โต๊ะ 1
ชามข้าวแมว 2
ลกู บอล 4
กระถางต้นไม้ 3
ค้นหาคาตอบ
1. ส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวติ ใดมีจานวนมากท่ีสุด และมีจานวนเท่าใด
แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจานวนมากท่ีสุดเท่ากับ 5 ตวั ลกู บอลเป็นส่ิงไม่มีชีวิตท่ีมีจานวนมากที่สุดเท่ากบั 4 ลกู
2. ในรูปมีส่ิงมีชีวติ รวมเท่าไร และสิ่งไม่มีชีวิตรวมเท่าไร
สิ่งมีชีวิตมีจานวน 11 สิ่งไม่มีชีวิตมีจานวน 12
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 304
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พชื ในสวน
ใบกจิ กรรมที่ 4
สังเกต ลกั ษณะรากของพชื ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ปัญหา รากของพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะแบบใด 1. การสงั เกต (ดู)
ข้ันตอน
2. การส่ือความหมาย (วาดภาพ เขียน)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 4–5 คน
2. ดู รากของพืชที่เตรียมมาจากบา้ น อปุ กรณ์
3. วาดภาพ รากของพืชแต่ละชนิด แลว้ เขียน ลกั ษณะ
ของรากพืช 1. ตน้ หญา้ 1 ตน้
2. ตน้ ตะไคร้ 1 ตน้
3. ตน้ เขม็ ขนาดเลก็ 1 ตน้
4. กระดาษ 3 แผน่
5. สีไม/้ สีเทียน 1 กลอ่ ง
บนั ทึกผล ลกั ษณะของราก
ภาพประกอบของราก มีรากขนาดเลก็ เป็นฝอยแตกออกจากโคนต้น
1. ตน้ หญา้
2. ตน้ ตะไคร้ มีรากขนาดเลก็ เป็นฝอยแตกออกจากโคนต้น
3. ตน้ เขม็ ขนาดเลก็ มีรากขนาดใหญ่ 1 ราก มีรากแตกออกจากราก
ใหญ่ และมีรากฝอยอย่ทู ี่ปลายราก
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 305
สรุป
พืชแต่ละชนิดมีลักษณะของรากแตกต่างกัน
ค้นหาคาตอบ
1. รากของพืชแต่ละชนิดเหมือนหรือแตกต่างกนั และแต่ละชนิดมีลกั ษณะเป็นแบบใด
รากของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกนั ต้นหญ้าและต้นตะไคร้มีรากขนาดเลก็ เป็นฝอยแตกออกจากโคนต้น
ส่วนต้นเขม็ ขนาดเลก็ มีรากขนาดใหญ่ 1 ราก มีรากแตกออกจากรากใหญ่ และมีรากฝอยที่ปลายราก
2. นกั เรียนคิดวา่ พืชไม่มีรากไดห้ รือไม่ เพราะอะไร
ไม่ได้ เพราะถ้าพืชไม่มีรากจะทาให้ลาต้นล้มและไม่มีส่วนที่ดดู นา้ และอาหาร
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 306
ใบกจิ กรรมท่ี 5
สังเกต ใบพชื หลากหลาย
ปัญหา ใบของพืชแต่ละชนิดมีรูปร่างแบบใด ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ดู)
ข้ันตอน 2. การสื่อความหมาย
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 4–5 คน (วาดภาพ บอก)
2. ใหน้ กั เรียนแต่ละคนในกล่มุ นาใบไมท้ ี่มีลกั ษณะ อุปกรณ์ 1 แท่ง
ไม่เหมือนกนั มา 2 ชนิด 1. ดินสอ
3. นกั เรียนเลือกใบไมข้ องเพ่ือนที่ชอบมา 2 ใบ 2. ใบไม้ 2 ชนิด
และตอ้ งมีลกั ษณะใบไมเ่ หมือนกนั 3. กระดาษ 1 แผน่
4. วางใบไมล้ งบนกระดาษ ใชด้ ินสอลากตามขอบใบ
5. วาดภาพ เสน้ ใบลงในรูปใบไม้
6. ดู ความแตกต่างของใบไมแ้ ต่ละชนิด และเปรียบเทียบกบั เพ่ือนในกลุ่ม แลว้ บอก สิ่งที่สงั เกตไดแ้ ละ
บนั ทึกลงในสมดุ
บันทกึ ผล ใบของต้น___ช_บ__า_____
ใบของต้น___บ__วั _____
สรุป
รูปร่างใบของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน บางชนิดกลม บางชนิดรี บางชนิดมีขอบใบเรียบ บางชนิดมีขอบใบ
หยัก
ค้นหาคาตอบ
1. ใบพืชที่เพื่อนนามาส่วนใหญ่มีสีอะไร
สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู โดยสีเขียวมีมากท่ีสุด
2. ใบพืชของนกั เรียนและของเพื่อนมีส่วนใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บา้ ง และแตกต่างกนั ในลกั ษณะใด
มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ส่วนท่ีเหมือนกนั เช่น สีของใบ ส่วนท่ีแตกต่างกัน เช่น ขนาดของใบ
ลวดลายของใบ และลกั ษณะของขอบใบ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 307
ใบกจิ กรรมที่ 6
สังเกต ผลไม้แสนอร่อย
ปัญหา ผลไม้ที่นักเรียนรู้จักมีอะไรบ้าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ข้ันตอน 1. การสงั เกต (ดู ชิม)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน
2. ใหน้ กั เรียนแต่ละคนในกลุ่มนาผลไมต้ ามฤดูกาลมาคน 2. การสื่อความหมาย (บอก วาดภาพ)
ละ 2 ชนิด อุปกรณ์
3. ดู ลกั ษณะของผลไม้ จานวนเมลด็ และลอง ชิม ผลไมท้ ี่
1. ผลไมต้ ามฤดกู าล 2 ชนิด
เพ่ือนในกลุ่มนามา
4. เลือกผลไมท้ ่ีชอบมา 2 ชนิด บอก ส่ิงท่ีสังเกตได้ และ 2. ดินสอ 1 แท่ง
วาดภาพ ลงในสมดุ 3. สมดุ 1 เล่ม
บันทึกผล ผลเดยี่ ว ลกั ษณะท่ีสังเกตได้ รส
ช่ือผลไม้ทช่ี อบ ผลกลุ่ม 1 เมลด็ หลายเมลด็ หวาน
1. แตงโม
2. มะม่วงสุก หวาน
สรุป
ผลไม้แต่ละชนิดมีขนาด จานวนเมลด็ และรสต่างกนั
ค้นหาคาตอบ
1. ผลไมท้ ่ีเราสงั เกตมีลกั ษณะใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บา้ ง
ผลไม้ท่ีนามาสังเกตมีลกั ษณะท่ีแตกต่างกัน เช่น บางชนิดมีผลขนาดใหญ่ บางชนิดมีผลขนาดเลก็ บางชนิด
มีรสหวาน บางชนิดมีรสเปรี้ยว บางชนิดมีเมลด็ เดียว บางชนิดมีหลายเมลด็
2. นกั เรียนชอบรับประทานผลไมอ้ ะไร และผลไมน้ ้นั มีลกั ษณะและรสชาติแบบใด
แตงโม มีผลขนาดใหญ่ กลม และมีรสหวาน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 308
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 3
ผลไม้ปริศนา ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ฟัง)
ข้นั ตอน 2. การพยากรณ์ (ทาย)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5 คน ช่วยกนั เขียนประโยคปริศนา
เกี่ยวกบั ผลไมอ้ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึง 10 ประโยค
2. กลมุ่ แรกออกมาหนา้ หอ้ ง อา่ นประโยคปริศนาประโยคที่ 1
แลว้ ใหเ้ พื่อนกลุ่มอ่ืน ฟัง และ ทาย ชื่อผลไม้ ถา้ ยงั ทายไม่ได้ ใหอ้ ่าน
ไปเรื่อย ๆ ทีละประโยค
3. กลุ่มใดทายไดก้ ่อนได้ 1 คะแนน
4. เปล่ียนใหก้ ลุ่มอ่ืนออกไปอ่านประโยคปริศนา
5. กลุ่มใดไดค้ ะแนนรวมมากที่สุดเป็นผชู้ นะ
ค้นหาคาตอบ
1. เพื่อนแต่ละกลุ่มบอกคาอธิบายของผลไมช้ ดั เจนหรือไม่
แนวคาตอบ ชัดเจน
2. ช่ือผลไมท้ ี่นามาถามมีรสเป็นแบบใดบา้ ง
แนวคาตอบ ลาไยมีรสหวาน ส้มมีรสเปรี้ยว
3. ชื่อผลไมท้ ่ีนามาถามมีชนิดใดที่นกั เรียนชอบรับประทาน เพราะอะไร
แนวคาตอบ แตงโม เพราะมีรสหวานและผลขนาดใหญ่
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 309
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 4
ปริศนาสมุนไพร
ข้ันตอน
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 2–3 คน ช่วยหาชื่อพืชในทอ้ งถิ่น ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ที่ใชเ้ ป็นสมุนไพรไดใ้ นตาราง การส่ือความหมาย (ลากเส้น)
2. ชื่อพืชสมุนไพรมีอยู่ 10 ชื่อ ท้งั ในแนวต้งั และแนวนอน อุปกรณ์
เม่ือพบแลว้ ให้ ลากเส้น ลอ้ มรอบช่ือน้นั ไว้ ดินสอ 1 แท่ง
3. กลมุ่ ใดหาไดค้ รบก่อนและถกู ตอ้ งเป็นผชู้ นะ
4. ชื่อพืชสมนุ ไพรมีดงั น้ี ตะไคร้ ข้ีเหลก็ กานพลู กระชาย บวั บก บอระเพด็ กระเทียม ขมิ้น อญั ชนั
และใบยอ
ก า น พ ลู ด า ง ก น
ร า ษ ภ อั า ฒ ล้ ร า
ะ เ ง า ญ เ ข้ี ย ะ ว
เ ธ เ ล ชั จ เ ฎ ช า
ที บั ข มิ้ น า ห น า ต
ย ว ญ โ ศ ก ล็ บี ย ข
มบณ ฮ ฆโ ก แฉใ
จ ก ต ะ ไ ค ร้ อ ย บ
อ า ม ณี ภ ม้ ช ไ ด ย
บ อ ร ะ เ พ็ ด ใ ฉ อ
ค้นหาคาตอบ
1. พืชสมุนไพรใดบา้ งที่นกั เรียนไมร่ ู้จกั
แนวคาตอบ กานพลู บอระเพด็
2. นกั เรียนรู้จกั พืชสมุนไพรใดนอกเหนือจากในตารางอีกบา้ ง
ว่างหางจระเข้ ขิง ข่า และมะขามแขก
3. ส่วนใดของพืชท่ีสามารถนามาใชป้ ระโยชนเ์ ป็นสมุนไพรได้
ทุกส่วนของพืช โดยขึน้ อย่กู ับพืชแต่ละชนิด
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 310
ใบกจิ กรรมที่ 7
สังเกต พชื หลากหลาย
ปัญหา เราสามารถจาแนกพืชในท้องถ่ินของเราด้วยเกณฑ์ใดได้บ้าง
ข้ันตอน ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน 1. การสงั เกต (ดู)
2. แต่ละกลมุ่ สารวจพืชบริเวณโรงเรียนหรือชุมชนท่ี 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
อาศยั อยู่ อปุ กรณ์
3. ดู ลกั ษณะภายนอกของพืช และบนั ทึกชื่อตน้ ไม้ 1. ดินสอ 1 แท่ง
4. แบ่งกล่มุ ตามลกั ษณะท่ีอยอู่ าศยั ดอก และลาตน้ ของพืช 2. สมุดบนั ทึก 1 เลม่
บนั ทึกผล
บริเวณที่สารวจ คือ พิจารณาจากคาตอบนักเรียน
ลกั ษณะท่ีอย่อู าศัย ดอก ลาต้น
ช่ือพชื
บนบก ในนา้ มี ไม่มี ตรง เลอื้ ย
บัว
กล้วย
ตาลึง
สรุป
เราสามารถจาแนกพืชออกเป็นกล่มุ ได้โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ
ค้นหาคาตอบ
1. พืชที่นกั เรียนสารวจจดั อยใู่ นกล่มุ ใดบา้ ง เม่ือใชล้ กั ษณะท่ีอยอู่ าศยั ดอก และลาตน้ เป็นเกณฑ์
เม่ือใช้ลกั ษณะท่ีอย่อู าศัยเป็นเกณฑ์ มีท้ังพืชท่ีอย่บู นบกและในนา้ เม่ือใช้ดอกเป็นเกณฑ์เป็นพืชมีดอก
เมื่อใช้ลาต้นเป็นเกณฑ์มีท้ังลาต้นตรงและลาต้นเลือ้ ย
2. นกั เรียนสามารถใชเ้ กณฑอ์ ่ืนจาแนกพืชท่ีสารวจไดอ้ ีกหรือไม่ เช่นอะไรบา้ ง
ได้ เช่น ขนาดของดอก สีของดอก และลกั ษณะขอบใบ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 311
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 สารวจสัตว์รอบตัว
ใบกจิ กรรมที่ 8
สังเกต อวยั วะภายนอกของสัตว์
ปัญหา สัตว์ที่เราชอบมีอวัยวะภายนอกอะไรบ้าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้นั ตอน การสื่อความหมาย (วาดภาพ บอก)
1. นกั เรียน วาดภาพ สตั วท์ ี่ชอบลงในกระดาษวาดภาพ แลว้
อปุ กรณ์
ระบายสีใหส้ วยงาม
2. เขียนลกู ศรช้ีตาแหน่งโครงสร้างภายนอกของสตั ว์ พร้อม 1. ดินสอ 1 แท่ง
เขียนตวั หนงั สือ บอก ช่ืออวยั วะน้นั ๆ 2. กระดาษวาดภาพ 1 แผน่
3. แสดงภาพท่ีวาดหนา้ ช้นั เรียนและ บอก ใหเ้ พื่อน ๆ
3. สีเทียน/สีเมจิก 1 กลอ่ ง
ทราบวา่ อวยั วะที่ทาลกู ศรช้ีน้นั ทาหนา้ ท่ีอะไร
4. เปรียบเทียบอวยั วะของสตั วท์ ่ีนกั เรียนวาดกบั เพื่อน
สงั เกตวา่ สตั วเ์ หล่าน้ีมีอวยั วะเหมือนหรือแตกต่างกนั
บนั ทึกผล
สรุป
สัตว์แต่ละชนิดจะมีอวัยวะภายนอกท่ีสาคัญ คือ ตา หู จมกู ปาก เท้าและขา ผิวหนังและขน
ตา ทาหน้าท่ีมองดู ช่วยให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้
หู ทาหน้าที่ฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ
จมกู ทาหน้าที่ดมกล่ินและหายใจ
ปาก ทาหน้าท่ีกินอาหาร
เท้าและขา ทาหน้าท่ีรับนา้ หนักตัวและเคล่ือนที่
สัตว์บางชนิดยังมีขน ทาหน้าที่ปกคลมุ ร่างกายให้อบอ่นุ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 312
ค้นหาคาตอบ
1. สตั วท์ ่ีนกั เรียนชอบมีอวยั วะอะไรบา้ ง
ตา หู จมกู ปาก เท้าและขา ผิวหนังและขน
2. อวยั วะต่าง ๆ ของสตั วท์ ี่นกั เรียนชอบมีหนา้ ที่อะไรบา้ ง
ตามีหน้าที่มองดู หูมีหน้าท่ีฟัง จมกู มีหน้าที่ดมกล่ิน ปากมีหน้าที่กินอาหาร เท้าและขามีหน้าท่ีรับนา้ หนักตวั
และเคลื่อนท่ี ผิวหนังและขนมีหน้าที่ปกคลมุ ร่างกายให้อบอุ่น
3. สตั วแ์ ต่ละชนิดมีอวยั วะภายนอกใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บา้ ง
สัตว์แต่ละชนิดส่วนใหญ่มีลกั ษณะภายนอกเหมือนกัน คือ มีตา หู จมกู ปาก เท้าและขา สัตว์บางชนิดมี
ลกั ษณะภายนอกแตกต่างกัน คือ มีขนทาหน้าท่ีปกคลมุ ร่างกายให้อบอุ่นหรือไม่มีขน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 313
ใบกจิ กรรมที่ 9
สังเกต จานวนขาของสัตว์
ปัญหา สัตว์แต่ละชนิดจะมีจานวนขาเท่ากนั หรือไม่ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ด)ู
ข้นั ตอน 2. การส่ือความหมาย (บอก)
1. นกั เรียนสงั เกตสตั วช์ นิดต่าง ๆ เช่น ลกู สุนขั นก แมว 3. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
กิ้งกือ และไสเ้ ดือนดิน แหล่งการเรียนรู้
2. ดู ชนิดของสตั วแ์ ละจานวนขาของสตั ว์ สตั วช์ นิดต่าง ๆ เช่น ลกู สุนขั นก
3. บอก ส่ิงท่ีนกั เรียนสงั เกตได้ แมว กิ้งกือ และไสเ้ ดือนดิน
4. แบ่งกล่มุ สตั วต์ ามจานวนขาของสตั ว์
บนั ทึกผล
ชื่อสัตว์ จานวนขา
ลกู สุนัข 4 ขา
นก 2 ขา
แมว 4 ขา
กิง้ กือ หลายขา
ไส้ เดือนดิน ไม่มีขา
สรุป
สัตว์บางชนิดมีจานวนขาเท่ากัน บางชนิดมีจานวนขาไม่เท่ากัน สัตว์บางชนิดมีขาจานวนมาก แต่บางชนิดไม่มี
ขาเลย
ค้นหาคาตอบ
1. สตั วช์ นิดใดบา้ งมีขาเท่ากนั
ลกู สุนัขและแมว
2. ไก่ ชา้ ง และมา้ มีขารวมกนั ท้งั หมดกี่ขา
10 ขา
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 314
ใบกจิ กรรมที่ 10
สังเกต ลกั ษณะของสัตว์
ปัญหา สัตว์แต่ละชนิดมีลกั ษณะการเคล่ือนท่ีเป็นแบบใด และใช้อวัยวะใดในการเคลื่อนที่
ข้ันตอน ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. นกั เรียนสารวจสตั วใ์ นบริเวณบา้ นหรือโรงเรียน 1. การสงั เกต (ด)ู
2. บอก ช่ือสตั ว์ ดู ลกั ษณะการเคลื่อนท่ีและอวยั วะ 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
3. การส่ือความหมาย (บอก เขียน)
ท่ีใชใ้ นการเคลื่อนท่ี
3. แบ่งกล่มุ สตั วต์ ามอวยั วะท่ีใชใ้ นการเคลื่อนที่ แหล่งการเรียนรู้
สตั วช์ นิดต่าง ๆ ท่ีอยใู่ นบริเวณบา้ น
และ เขียน ส่ิงที่สงั เกตไดล้ งในตารางบนั ทึกผล
หรือโรงเรียน
บันทกึ ผล ลกั ษณะการเคลอ่ื นท่ี อวยั วะทใี่ ช้ในการเคลอ่ื นที่
ชื่อสัตว์ เดิน วิ่ง กระโดด ขา
สุนัข เดิน บิน ขา ปี ก
นก ว่ายนา้ ครีบ หาง
ปลา เลือ้ ย กล้ามเนือ้
ไส้ เดือนดิน เดิน ว่ิง กระโดด ขา
แมว
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 315
สรุป
เม่ือพิจารณาลกั ษณะการเคลื่อนท่ีและอวัยวะที่ใช้ในการเคลื่อนท่ีสามารถแบ่งสัตว์ได้เป็น 4 กล่มุ คือ
1) สุนัขและแมวเคลื่อนท่ีโดยใช้ขาในการเดิน วิ่ง และกระโดด
2) นกเคลื่อนที่โดยใช้ขาในการเดิน และใช้ปี กในการบิน
3) ปลาเคลื่อนที่โดยใช้ครีบและหางในการว่ายนา้
4) ไส้เดือนดินใช้กล้ามเนือ้ ช่วยในการเลือ้ ย
ค้นหาคาตอบ
1. สตั วท์ ่ีนกั เรียนสงั เกตเคล่ือนท่ีโดยวิธีใด และใชอ้ วยั วะใดในการเคล่ือนที่
สัตว์ท่ีสังเกตเคล่ือนท่ีหลายวิธี เช่น เดิน บิน และว่ายนา้ ใช้ขา ปี ก ครีบและหางในการเคล่ือนท่ี
2. สตั วท์ ี่มีลกั ษณะการเคล่ือนท่ีเหมือนกนั มีอะไรบา้ ง และใชอ้ วยั วะใดในการเคล่ือนที่
สุนัขและแมว ใช้ขาในการเคล่ือนที่
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 316
ใบกจิ กรรมที่ 11
สังเกต แหล่งท่ีอย่อู าศัยของสัตว์
ปัญหา สัตว์ชนิดต่าง ๆ อาศัยอย่ทู ี่ไหนบ้าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
1. การสงั เกต (ด)ู
ข้นั ตอน 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
1. นกั เรียนสารวจสตั วใ์ นบริเวณบา้ นหรือโรงเรียน 3. การส่ือความหมาย (บอก)
2. ดู อวยั วะภายนอกและที่อยอู่ าศยั ของสตั ว์
3. แบ่งกล่มุ สตั วท์ ่ีอาศยั อยบู่ นบก สตั วท์ ี่อาศยั อยใู่ นน้า แหล่งการเรียนรู้
บริเวณบา้ นหรือโรงเรียน
และสตั วท์ ่ีอาศยั อยทู่ ้งั บนบกและในน้า
4. บอก อวยั วะภายนอกของสัตวท์ ี่เหมาะสมต่อการดารงชีวิต
บันทึกผล
ชื่อสัตว์ บนบก ท่อี ย่อู าศัย อวยั วะภายนอกท่เี หมาะสม
ในนา้ บนบกและในนา้ ต่อการดารงชีวติ
ผีเสือ้
ปลา ปี ก ขา หนวด
ก้งุ ครีบ หาง เกลด็
กบ หนวด เปลือก หาง
แมว ขา ผิวหนังเปี ยก เท้า
ขา ขน หาง
สรุป
สัตว์ท่ีอาศัยอย่บู นบกและสัตว์ที่อาศัยอย่ใู นนา้ จะมีอวยั วะภายนอกท่ีแตกต่างกนั เพ่ือให้เหมาะสมต่อการ
ดารงชีวิตในสิ่งแวดล้อมท่ีแตกต่างกนั
ค้นหาคาตอบ
1. สตั วช์ นิดใดบา้ งอาศยั อยบู่ นบกและมีอวยั วะภายนอกที่สาคญั อะไรบา้ ง
ผีเสื้อและแมว ผีเสื้อมีปี ก ขา และหนวด แมวมีขา ขน และหาง
2. สตั วท์ ี่อาศยั อยใู่ นน้ามีอวยั วะภายนอกท่ีสาคญั อะไรบา้ ง
หาง ครีบ เกลด็
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 317
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 5
ทายช่ือสัตว์
ข้ันตอน ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
1. แบ่งนกั เรียนออกเป็น 2 กลมุ่ และหาอาสาสมคั รเพ่ือ 1. การสงั เกต (ดู)
2. การคาดคะเนคาตอบ (ทาย)
ทาหนา้ ที่เขียนคะแนนและถือกล่องฉลากช่ือสตั ว์
2. ตวั แทนของกลุ่มส่งตวั แทนมาเป่ ายิงฉุบกนั ฝ่ ายชนะ อปุ กรณ์
1. ฉลากช่ือสตั วช์ นิดต่าง ๆ
จะไดเ้ ล่นเกมก่อน 2. กล่องใส่ฉลากชื่อสตั วช์ นิดต่าง ๆ
3. สมาชิกของกลุ่มท่ีชนะออกมาจบั ฉลากชื่อสตั ว์ แลว้
แสดงท่าทางของสตั วน์ ้นั เพ่ือใหส้ มาชิกในกลุ่ม ดู และ ทาย ช่ือสตั ว์
4. ถา้ สมาชิกในกลุ่มทายช่ือถกู ใหอ้ าสาสมคั รขีดเพ่ือใหค้ ะแนน
และเปลี่ยนใหอ้ ีกกล่มุ หน่ึงออกมาทาเช่นกนั กลมุ่ ที่ไดค้ ะแนนมากกวา่ เป็นฝ่ ายชนะ
5. ใหฝ้ ่ ายท่ีแพอ้ อกมาหนา้ ช้นั เรียนและยืนเรียงเป็นแถวเพื่อแสดงท่าทางเป็นเป็ดประกอบเพลง โดยใหฝ้ ่ ายท่ี
ชนะเป็นผรู้ ้องเพลงใหต้ ามเน้ือเพลงน้ี
กา้ บ กา้ บ กา้ บ เป็ดอาบน้าในคลอง
ตากจ็ อ้ งแลมอง เพราะในคลองมีหอยปปู ลา
ค้นหาคาตอบ
1. นกั เรียนทายชื่อสตั วช์ นิดใดถกู ตอ้ ง
แนวคาตอบ ปลา
2. ชื่อสตั วท์ ่ีนกั เรียนทายถกู น้นั สงั เกตจากอะไร
แนวคาตอบ เพ่ือนใช้มือโบกไปมาแทนหางปลา
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 318
ใบกจิ กรรมที่ 12
สารวจ สัตว์ในท้องถิ่น
ปัญหา ในท้องถิ่นของเรามีสัตว์ชนิดใดบ้าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้ันตอน 1. การสงั เกต (ด)ู
1. นกั เรียนสงั เกตสตั วช์ นิดต่าง ๆ ในบริเวณบา้ น
2. การสื่อความหมาย (บอก วาดภาพ)
โรงเรียน หรือสวนสาธารณะ
2. ดู ลกั ษณะรูปร่างของสตั วท์ ่ีพบเห็น อุปกรณ์/แหล่งการเรียนรู้
3. บอก ชื่อของสตั วแ์ ละ วาดภาพ สตั วใ์ นทอ้ งถิ่นของ
1.บริเวณบา้ น โรงเรียน หรือสวนสาธารณะ
นกั เรียนที่สารวจได้
2. สีเทียน/สีเมจิก 1 กล่อง
3. ดินสอ 1 แท่ง
บันทึกผล 4. กระดาษ 1 แผน่
ชื่อสัตว์
ภาพสัตว์
สรุป
ในแต่ละท้องถ่ินจะมีสัตว์ชนิดต่าง ๆ แตกต่างกันไป สัตว์บางชนิดเราสามารถพบได้ทุกท้องถ่ิน แต่สัตว์บาง
ชนิดจะพบในบางท้องถิ่นเท่านั้น
ค้นหาคาตอบ
1. ในทอ้ งถิ่นของนกั เรียน พบสตั วช์ นิดใดบา้ ง
ก้งุ ควาย นก ปลา และผีเสื้อ
2. สตั วท์ ี่นกั เรียนพบมากที่สุดคืออะไร มีลกั ษณะใด
ผีเสื้อ มีปี ก ขา และหนวด
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 319
ใบกจิ กรรมท่ี 13
สารวจ จดั กลุ่มสัตว์ในท้องถนิ่
ปัญหา เราจะแบ่งกล่มุ สัตว์ในท้องถ่ินได้ด้วยวิธีใด ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ด)ู
ข้นั ตอน 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
1. นกั เรียนสงั เกตสตั วช์ นิดต่าง ๆ ในบริเวณ 3. การส่ือความหมาย (บอก วาดภาพ)
อปุ กรณ์/แหล่งการเรียนรู้
บา้ น โรงเรียน หรือสวนสาธารณะ
2. ดู ลกั ษณะรูปร่างของสตั วท์ ี่พบเห็น 1. บริเวณบา้ น โรงเรียน หรือสวนสาธารณะ
3. บอก ช่ือของสตั วแ์ ละ วาดภาพ สตั ว์
4. แบ่งกล่มุ สตั วแ์ ละบอกเกณฑท์ ่ีใช้ ถา้ สามารถ 2. สีเทียน/สีเมจิก 1 กลอ่ ง
แบ่งกลุ่มสตั วไ์ ดอ้ ีกคร้ังโดยใชเ้ กณฑใ์ หม่ใหแ้ บ่งกลุ่มสตั ว์
เป็นคร้ังท่ี 2
บันทึกผล
1. เต่า 2. แมลงปอ 3.ผึง้
4. นก 5. ปลา
แบ่งกล่มุ คร้ังที่ 1
เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการแบ่งกลุ่ม คือ มีปี ก–ไม่มีปี ก
กล่มุ ท่ี 1 ได้แก่ หมายเลข 2, 3 และ 4
กล่มุ ที่ 2 ได้แก่ หมายเลข 1 และ 5
แบ่งกลุ่มคร้ังที่ 2
เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการแบ่งกลุ่ม คือ มีขา–ไม่มีขา
กล่มุ ที่ 1 ได้แก่ หมายเลข 1, 2, 3 และ 4
กล่มุ ที่ 2 ได้แก่ หมายเลข 5
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 320
สรุป
เราสามารถแบ่งกล่มุ สัตว์ในท้องถิ่นได้ โดยดจู ากลักษณะภายนอกของสัตว์แต่ละชนิด แล้วกาหนดเกณฑ์ใน
การแบ่งกล่มุ และแบ่งสัตว์ออกเป็นกล่มุ ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
ค้นหาคาตอบ
1. นกั เรียนสารวจพบสตั วช์ นิดใดบา้ ง
เต่า แมลงปอ ผึง้ นก และปลา
2. ก่อนที่นกั เรียนจะแบ่งสตั วท์ ่ีสารวจพบออกเป็นกล่มุ จะตอ้ งกาหนดอะไร
เกณฑ์ท่ีใช้
3. นกั เรียนใชเ้ กณฑอ์ ะไรในการแบ่งกลุ่มสตั ว์
เกณฑ์ที่ 1 มีปี ก–ไม่มีปี ก เกณฑ์ที่ 2 มีขา–ไม่มีขา
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 321
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 6
สร้างกล่องภาพสัตว์ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ข้นั ตอน 1. การสงั เกต (ดู)
1. แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม กลมุ่ ละ 3–4 คน ช่วยกนั สร้างกล่อง
2. การวดั (วดั )
ภาพสตั ว์
2. นกั เรียนวาดภาพกล่องบนกระดาษแขง็ หมายเลข 1 วัด ขนาด 3. การสื่อความหมาย (บอก)
ตามท่ีระบุไว้ ถา้ ไมเ่ ขา้ ใจใหถ้ ามครูได้ อุปกรณ์
3. ตดั กล่องตามแบบท่ีวาดไว้
4. วาดเสน้ ประบนกล่องและพบั ตามเสน้ ประเป็นกล่องรูปทรง 1. กระดาษแขง็ ขนาด
ตนั เหมือนหมายเลข 2 25 นิ้ว 20 นิ้ว 1 แผน่
5. ตกแต่งกล่องท่ีสร้างข้ึนดว้ ยภาพสตั วซ์ ่ึงอยใู่ นกลุม่ เดียวกนั
2. ภาพสตั วช์ นิดต่าง ๆ
ตามเกณฑท์ ี่นกั เรียนใช้ เช่น กลุม่ สตั วท์ ี่เคลื่อนที่โดยการบิน สตั วท์ ่ี
อาศยั อยบู่ นบก สตั วท์ ี่มี 4 ขา 3. กรรไกร 1 เล่ม
6. เมื่อแต่ละกลุ่มสร้างกลอ่ งภาพสตั วเ์ สร็จใหน้ าไปแสดงให้ 4. ไมบ้ รรทดั 1 อนั
เพื่อน ๆ กลุ่มอื่น ดู พร้อมท้งั บอก ชนิดของสตั วใ์ นภาพ
5. ดินสอ 1 แท่ง
6. ยางลบ 1 กอ้ น
7. สีเทียนหรือสีไม้ 1 กลอ่ ง
กล่องภาพสัตว์ที่มี 4 ขา
ค้นหาคาตอบ
1. กล่องภาพสตั วข์ องนกั เรียนมีภาพสตั วอ์ ะไรบา้ ง
แนวคาตอบ แมว เสือ เต่า ม้า ช้าง และควาย
2. นกั เรียนชอบสตั วช์ นิดใดในกลอ่ งภาพมากที่สุด
แนวคาตอบ แมว
3. สตั วท์ ่ีนกั เรียนชอบในกล่องภาพสตั วเ์ คล่ือนท่ีโดยวิธีใด และใชอ้ วยั วะใดในการเคล่ือนที่
แนวคาตอบ เดิน ว่ิง และกระโดด โดยใช้ขา
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 322
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 ตวั เราน่ารู้
ใบกจิ กรรมที่ 14 ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
สังเกต เสียงปริศนา
ปัญหา ถ้าเราได้ยินแต่เสียง จะบอกได้ไหมว่าเป็นเสียงของอะไร 1. การสงั เกต (ฟัง ด)ู
2. การพยากรณ์ (ทาย)
ข้นั ตอน 3. การส่ือความหมาย (บอก)
1. นกั เรียนจบั คู่กนั แลว้ ใชผ้ า้ ปิ ดตาไว้ 1 คน อปุ กรณ์
2. ครูใส่ของแต่ละชนิดลงในกล่องแต่ละใบ ปิ ดฝา แลว้ 1. ผา้ ปิ ดตา 1 ผนื
เขียนหมายเลขกากบั 2. กล่องใสมีฝา 4 กล่อง
3. เพ่ือนที่ไม่ไดป้ ิ ดตาเขยา่ กล่องตามลาดบั ใหเ้ พ่ือนที่ปิ ดตา 3. ดินสอไม้ 1 แท่ง
ฟัง เสียงที่เกิดข้ึน 4. ปากกา 1 ดา้ ม
4. เพ่ือนท่ีปิ ดตา ทาย ส่ิงที่อยใู่ นกล่องวา่ คืออะไร แลว้ ให้ 5. ฝาน้าอดั ลม 1 ฝา
เพื่อนท่ีไม่ไดป้ ิ ดตาบนั ทึก 6. เหรียญบาท 1 เหรียญ
5. เปิ ดตาแลว้ ดู พร้อม ฟัง เสียงที่เพ่ือนเขยา่ และ บอก
ส่ิงท่ีอยขู่ า้ งใน จากน้นั เปลี่ยนใหเ้ พ่ือนทากิจกรรม
บนั ทึกผล
วตั ถุท่ีอยู่ในกล่อง ชื่อวตั ถุท่ีสังเกตได้
จากการฟัง จากการดูและฟัง
ดินสอไม้ ไม้บรรทัด ดินสอไม้
ปากกา ดินสอ ปากกา
ฝาน้าอดั ลม ฝาขวด ฝานา้ อัดลม
เหรียญบาท เหรี ยญ เหรี ยญบาท
สรุป
การฟังเพียงอย่างเดียวมีโอกาสบอกชนิดของวัตถผุ ิดพลาดได้ แต่เม่ือใช้ตาดูควบคู่กับการฟัง จะบอกชนิดของ
วัตถทุ ่ีทาให้เกิดเสียงได้ถูก
ค้นหาคาตอบ
1. นกั เรียนทายวตั ถุท่ีอยใู่ นกล่องขณะนกั เรียนปิ ดตาถูกทุกคร้ังหรือไม่ วตั ถใุ ดที่นกั เรียนทายถกู
ไม่ทุกครั้ง ส่ิงท่ีทายถกู เช่น ดินสอไม้และปากกา
2. นกั เรียนใชห้ ูและตาสมั พนั ธ์กนั ในลกั ษณะใด
ใช้การดูควบคู่กับการฟัง
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 323
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 7
ปิ ดตาหาลกู บอล ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้ันตอน 1. การสงั เกต (ฟัง)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5 คน และเลือกตวั แทนมากลุ่มละ 1 คน
2. ตวั แทนกลุม่ ที่ 1 ยืนหลงั หอ้ ง ใหเ้ พ่ือนใชผ้ า้ ปิ ดตา และจบั 2. การส่ือความหมาย (บอก)
ตวั แทนหมุน 2 รอบ อปุ กรณ์
3. ตวั แทนกลมุ่ อ่ืนนาลกู บอลไปวางบริเวณใดบริเวณหน่ึงของหอ้ ง
4. ตวั แทนเดินหาลกู บอล โดย ฟัง เสน้ ทางท่ีเพ่ือนในกลุ่มช่วยกนั 1. ผา้ ปิ ดตา 1 ผนื
บอก 2. ลกู บอล 1 ลกู
5. เมื่อไดล้ กู บอลแลว้ ใหเ้ ดินกลบั มาที่เดิมก่อนจึงเปิ ดผา้ ปิ ดตาได้
6. เปล่ียนใหก้ ลุ่มอ่ืนทากิจกรรม กลุ่มที่ใชเ้ วลานอ้ ยท่ีสุดเป็นผชู้ นะ
สรุป
เราใช้อวัยวะต่าง ๆ สัมพันธ์กันในการทากิจกรรมใด ๆ
ค้นหาคาตอบ
1. กิจกรรมน้ีสามารถประยกุ ตใ์ ชไ้ ดก้ บั เหตุการณ์ใด
การหาของในท่ีมืด การหาของเมื่อไฟดับในตอนกลางคืน
2. เมื่อเราไม่สามารถใชต้ าในการดูไดแ้ ลว้ เราใชอ้ วยั วะรับรู้ใดช่วยไดบ้ า้ ง
ใช้หูในการฟัง และใช้ผิวหนังสัมผสั ส่ิงของต่าง ๆ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 324
ใบกจิ กรรมท่ี 15
สังเกต อาหารชวนชิม ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ปัญหา เราใช้จมกู และลิน้ ทางานร่วมกันในกิจกรรมใด 1. การสงั เกต (ดม ชิม)
ข้นั ตอน 2. การพยากรณ์ (ทาย)
1. นกั เรียนจบั คู่กนั แลว้ ใชผ้ า้ ปิ ดตาไว้ 1 คน
2. ใหน้ กั เรียนที่ปิ ดตา ดม กล่ินอาหารเรียงตามลาดบั 3. การส่ือความหมาย (เขียน)
3. ทาย ชื่ออาหาร แลว้ เพ่ือนที่ไม่ไดป้ ิ ดตาบนั ทึก
4. ทาย ช่ืออาหารอีกคร้ังตามลาดบั เดิม โดยการ ชิม และ อปุ กรณ์
ดม กลิ่น เพื่อนท่ีไม่ไดป้ ิ ดตาบนั ทึก 1. ผา้ ปิ ดตา 1 ผืน
5. เปิ ดผา้ ท่ีปิ ดตาออกแลว้ เขียน ส่ิงที่มองเห็น
6. เปล่ียนใหเ้ พื่อนทากิจกรรม 2. กลว้ ยหอม 1 ลกู
3. มะนาว 1 ลกู
4. เกลือ 1 ชอ้ น
5. มะระ 1 ลกู
หมายเหตุ ควรดื่มน้าทุกคร้ังก่อนทาการชิมอาหารชนิดต่อไป
บันทึกผล
อาหารที่นามา ช่ืออาหารทส่ี ังเกตได้
ให้สังเกต จากการดม จากการดมและชิม จากการดู
กลว้ ยหอม กล้วย กล้วยหอม กล้วยหอม
น้ามะนาว มะนาว นา้ มะนาว นา้ มะนาว
เกลือ นา้ ตาล เกลือ เกลือ
มะระ ผัก มะระ มะระ
สรุป
อาหารแต่ละชนิดมีกลิ่นและรสท่ีต่างกัน การใช้จมกู และลิน้ สัมพันธ์กันทาให้รู้ว่าอาหารท่ีเรากินคืออะไร
ค้นหาคาตอบ
1. เมื่อปิ ดตาแลว้ ดมกลิ่น นกั เรียนบอกชื่ออาหารถกู ตอ้ งหรือไม่
ถกู ต้องบางชนิด เช่น มะนาว
2. เมื่อปิ ดตาแลว้ ชิมอาหาร นกั เรียนบอกชื่ออาหารถูกตอ้ งหรือไม่
ถกู ต้อง
3. นกั เรียนบอกชื่ออาหารไดถ้ กู ตอ้ งจากการสงั เกตดว้ ยวิธีใด
การดมและชิม และการดู
4. อวยั วะที่ช่วยใหน้ กั เรียนรู้รสของอาหารคือ
ลิน้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 325
ใบกจิ กรรมที่ 16
สังเกต สัมผสั ท่ีแตกต่าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
ปัญหา พืน้ ผิวของวัสดชุ นิดต่าง ๆ จะเหมือนกนั หรือเปล่า 1. การสงั เกต (สมั ผสั )
ข้ันตอน
2. การสื่อความหมาย (บอก)
1. นกั เรียนใชม้ ือ สัมผสั วสั ดุต่าง ๆ ท่ีเตรียมไว้
2. บอก วา่ วสั ดุอ่อนหรือแขง็ เรียบหรือขรุขระ อปุ กรณ์
บนั ทกึ ผล 1. โฟม 1 กอ้ น
2. แผน่ ยาง 1 แผน่
3. แกว้ 1 ใบ
4. ฟองน้า 1 กอ้ น
5. ผา้ กามะหย่ี 1 ผืน
วสั ดุทส่ี ัมผสั อ่อน ลกั ษณะท่ีสังเกตได้ ขรุขระ
แขง็ เรียบ
โฟม
แผน่ ยาง
แกว้
ฟองน้า
กามะหยี่
สรุป
การสัมผสั ส่ิงของทาให้เรารู้ว่า วสั ดตุ ่าง ๆ มีลกั ษณะของพืน้ ผิวไม่เหมือนกนั
ค้นหาคาตอบ
1. วตั ถทุ ่ีนามาสงั เกตมีพ้ืนผวิ ลกั ษณะใดบา้ ง
อ่อน แขง็ เรียบ และขรุขระ
2. ถา้ นกั เรียนจะใชอ้ วยั วะรับรู้อ่ืนแทนมือในการสงั เกตลกั ษณะพ้ืนผิว นกั เรียนจะใชอ้ วยั วะรับรู้ใด เพราะอะไร
ตา เพราะเราใช้ตามองเห็นว่าวัสดมุ ีลกั ษณะพืน้ ผิวเป็นแบบใด
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 326
ใบกจิ กรรมท่ี 17
สังเกต ความผดิ ปกตขิ องสายตา
ปัญหา เดก็ บางคนต้องใส่แว่นตาเพราะอะไร ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้นั ตอน 1. การสงั เกต (ดู)
1. ติดภาพตวั อกั ษรสาหรับวดั สายตาไวห้ นา้ หอ้ งเรียน
2. ใหน้ กั เรียนเร่ิมอา่ นตวั อกั ษรจากหลงั สุดของหอ้ ง 2. การส่ือความหมาย (บอก)
แลว้ เล่ือนเขา้ มาคร้ังละ 50 เซนติเมตร จนเห็นตวั อกั ษรชดั อปุ กรณ์
ที่สุดทุกบรรทดั
1. ภาพตวั อกั ษรสาหรับวดั สายตา 1 แผน่
3. ดู และ บอก ระยะท่ียืนห่างจากภาพและมองเห็น
ตวั อกั ษรชดั ท่ีสุดทุกบรรทดั 2. สายวดั 1 เสน้
4. นบั จานวนเพื่อนในช้นั เรียนวา่ ในแต่ละระยะท่ี
มองเห็นตวั อกั ษรชดั เจนท่ีสุดทุกบรรทดั มีก่ีคน
บนั ทึกผล
ระยะที่มองเห็นชัด (เซนตเิ มตร) จานวนคน (คน)
300 35
250 35
200 35
150 35
100 35
50 45
สรุป
คนท่ีมีสายตาปกติสามารถมองเห็นตัวอักษรได้ในระยะปกติ แต่คนท่ีมีสายตาผิดปกติ จะต้องใช้ระยะในการ
มองเห็นไม่เท่าคนปกติ
ค้นหาคาตอบ
1. เรามองเห็นตวั อกั ษรไดช้ ดั เจนทุกบรรทดั ท่ีระยะห่างเท่ากนั หรือไม่
ไม่เท่ากนั
2. การอา่ นตวั อกั ษรขนาดใหญ่กบั ขนาดเลก็ จะเห็นชดั ไดใ้ นระยะท่ีเท่ากนั หรือไม่ อยา่ งไร
อักษรขนาดใหญ่เห็นชัดตัง้ แต่ระยะไกล อักษรขนาดเลก็ เห็นชัดระยะใกล้กว่า
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 327
ใบกจิ กรรมที่ 18
สังเกต ฟันสะอาด
ปัญหา การแปรงฟันทาให้ฟันสะอาดขึน้ หรือไม่ ทักษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้นั ตอน 1. การสงั เกต (ดู)
1. นกั เรียนจบั คู่กนั และ ดู ความสะอาดฟันของเพื่อน
2. การส่ือความหมาย (บอก)
ก่อนแปรงฟัน
2. นกั เรียนแต่ละคนแปรงฟันดว้ ยวิธีของตนเอง อุปกรณ์
3. จบั เวลาในการแปรงฟันของเพื่อนและ ดู ความสะอาดฟัน
1. แปรงสีฟัน 1 ดา้ ม
ของเพ่ือนหลงั การแปรงฟัน
4. บอก สิ่งท่ีสงั เกตไดก้ ่อนและหลงั แปรงฟัน 2. ยาสีฟัน 1 หลอด
3. แกว้ น้า 1 ใบ
4. นาฬิกา 1 เรือน
บนั ทกึ ผล
เวลาในการแปรงฟัน ลกั ษณะฟันก่อนแปรง ลกั ษณะฟันหลงั แปรง
2 นาที มีเศษอาหารติดอยู่ ไม่มีเศษอาหารและ
และมีคราบสกปรก ฟันขาวขึน้
สรุป
การแปรงฟั นทาให้ ฟั นสะอาดขึน้
ค้นหาคาตอบ
1. การแปรงฟันที่ถกู วธิ ีมีข้นั ตอนอยา่ งไร
การแปรงฟันมีข้ันตอน คือ
1)บ้วนปาก 1 คร้ัง จับด้ามแปรงที่บีบยาสีฟันแล้วโดยให้ขนแปรงชีไ้ ปทางด้านเหงือกและคอฟัน
2)แปรงฟันหน้าบนและฟันหน้าล่าง โดยขยบั ขนแปรงสั้น ๆ ในแนวหน้า–หลงั 4–5 ครั้ง
3) แปรงฟันกรามบนและฟันกรามล่าง โดยถแู ปรงไปมาในแนวนอนบนตวั ฟัน เป็นระยะเวลาประมาณ 2 นาที
4) บ้ วนปากให้ สะอาด
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 328
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 8
ใบ้คาปริศนา ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่ีคงทน
1. การสงั เกต (ฟัง)
ข้ันตอน 2. การสื่อความหมาย (ใบค้ า)
1. แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน 3. การพยากรณ์ (ทาย)
2. แต่ละกล่มุ เขียนสิ่งของท่ีใชก้ บั อวยั วะภายนอกลงใน
อุปกรณ์
บตั รคา กล่มุ ละ 10 คา โดยไมใ่ หเ้ พ่ือนกลุ่มอ่ืนรู้ บตั รคา 10 แผน่
3. พบั กระดาษท่ีเขียนแลว้ รวมใส่ไวใ้ นกลอ่ ง และติดหมาย
เลขของกลุ่มไวบ้ นกลอ่ ง
4. กล่มุ ที่ 1 เลือกตวั แทน 1 คน เลือกกลอ่ งคาใบข้ องกลมุ่ อ่ืน
แลว้ ใบ้คา ใหเ้ พื่อนในกลุ่ม ฟัง และ ทาย โดยตวั แทนหา้ มพดู คาที่
เขียนไว้ ถา้ พดู ใหบ้ วกเวลาเพิ่ม 20 วนิ าที
5. ครูบนั ทึกเวลาท่ีใชใ้ บค้ า แลว้ เปลี่ยนใหก้ ลุม่ อ่ืนทากิจกรรม
6. กลุ่มท่ีเป็นเจา้ ของคาใบ้ ที่ผทู้ ายใชเ้ วลามากที่สุดเป็นผชู้ นะ
ค้นหาคาตอบ
1. มีคาใบท้ ี่นกั เรียนคิดซ้ากบั กลุ่มอื่นหรือไม่ คาวา่ อะไรบา้ ง
แนวคาตอบ มี เช่น หวี แปรงสีฟัน
2. สิ่งของท่ีเป็นคาใบข้ องกลุ่มอื่นที่นกั เรียนไม่รู้จกั มีหรือไม่ คาวา่ อะไร และใชป้ ระโยชนอ์ ะไร
แนวคาตอบ มี เช่น ไม้พันสาลีใช้สาหรับทาความสะอาดหู
3. ตวั แทนที่ออกไปใบค้ าควรรู้อะไรบา้ ง
รู้ว่าส่ิงของในคาใบ้ใช้กับอวยั วะใด และมีประโยชน์อะไร เพื่อให้ใบ้คาได้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 329
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 ของเล่นแสนสนุกและของใช้ใกล้ตัว
ใบกจิ กรรมที่ 19
สังเกต ของเล่นและของใช้
ปัญหา สิ่งใดเป็นของเล่นและสิ่งใดเป็นของใช้ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้นั ตอน 1. การสงั เกต (ดู)
2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
1. นกั เรียน ดู ภาพที่ครูนามาให้ 3. การส่ือความหมาย (เขียน)
2. แบ่งกล่มุ วา่ สิ่งใดเป็นของเล่น และสิ่งใดเป็น
ของใช้ อุปกรณ์
3. เขียน ช่ือสิ่งที่อยใู่ นภาพตามที่แบ่งกลมุ่ รูปภาพของเล่นและของใชช้ นิดต่าง ๆ
บนั ทกึ ผล
ของเล่น ของใช้
ว่าว ลกู โป่ ง โต๊ะ เก้าอี้ กระเป๋ า รองเท้า
เขม็ ขดั
ลกู ข่าง มา้ โยก ด้าย เขม็ กระดมุ ถงุ กระดาษ
สรุป
ของเล่น คือ ส่ิงที่ช่วยให้ผ้เู ล่นได้รับความสนกุ สนานและเพลิดเพลิน
ของใช้ คือ สิ่งของที่มีไว้สาหรับใช้งาน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 330
ค้นหาคาตอบ
1. ของใชม้ ีประโยชนใ์ นลกั ษณะใดบา้ ง
มีไว้สาหรับใช้งาน
2. ลกู แกว้ ตุ๊กตา และหุ่นยนต์ จดั เป็นของเล่นหรือของใช้
ของเล่น
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 331
ใบกจิ กรรมท่ี 20
สังเกต สมบตั ขิ องวัสดุ
ปัญหา ลกั ษณะภายนอกของของเล่นและของใช้เหมือนหรือแตกต่างกันในลกั ษณะใด
ข้ันตอน ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. นกั เรียน ดู สี ขนาด และรูปร่างของวตั ถุ
1. การสงั เกต (ดู สมั ผสั )
ท่ีครูเตรียมมาให้
2. ใชม้ ือ สัมผสั พ้ืนผิวของวตั ถุ 2. การส่ือความหมาย (เขียน)
3. เขียน ลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีสงั เกตได้
อปุ กรณ์
1. ลกู บอล 1 ลกู
2. ตุก๊ ตา 1 ตวั
บนั ทึกข้อมลู 3. กระดาษทราย 1 แผน่
4. โต๊ะเรียน 1 ตวั
วตั ถุทีน่ ามา ลกั ษณะท่สี ังเกต
ให้สังเกต
ลกู บอล สี ขนาด รูปร่าง พนื้ ผวิ
ตุก๊ ตา เหลืองและเขียว เลก็ กลม เรี ยบ
นา้ ตาล เหลือง เลก็ หลายรูปทรง เรี ยบ
กระดาษทราย และแดง
โต๊ะเรียน นา้ ตาล เลก็ ส่ีเหลี่ยม ขรุขระ
นา้ ตาล ใหญ่ สี่เหล่ียม เรี ยบ
สรุป
ของเล่นและของใช้แต่ละชนิดมีลกั ษณะภายนอก ท่ีแตกต่างกัน
ค้นหาคาตอบ
1. ส่ิงใดคือของใชแ้ ละส่ิงใดคือของเล่น เพราะอะไร
ลกู บอลและต๊กุ ตา คือ ของเล่น เพราะนาไปใช้เล่นเพื่อความสนกุ กระดาษทรายและโต๊ะเรียน คือ ของใช้
เพราะนาไปใช้งาน
2. ของเล่นและของใชใ้ ดมีลกั ษณะท่ีสงั เกตไดเ้ หมือนกนั
ลกู บอล ต๊กุ ตา และกระดาษทรายมีขนาดเลก็ เหมือนกัน ต๊กุ ตา กระดาษทราย และโต๊ะเรียนมีสีนา้ ตาล
เหมือนกัน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 332
ใบกจิ กรรมที่ 21
สังเกต ประเภทของวสั ดุทีใ่ ช้ทาของเล่นและของใช้
ปัญหา ของเล่นและของใช้ทามาจากวสั ดอุ ะไรบ้าง ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
ข้นั ตอน 1. การสงั เกต (ดู สมั ผสั )
2. การสื่อความหมาย (บอก)
1. นกั เรียนนาของเลน่ และของใชม้ ารวมกนั
2. ดู และลองสมั ผสั ของเล่นและของใชต้ ่าง ๆ อุปกรณ์
3. บอก วา่ ของเลน่ และของใชน้ ้นั ทามาจากวสั ดุชนิดใด ของเล่นและของใชช้ นิดต่าง ๆ
บันทกึ ผล
ของเล่น วสั ดุทใ่ี ช้ทา
และของใช้ ไม้ พลาสตกิ แก้ว ยาง โลหะ ผ้า
ลกู บอล
ไม้แขวนเสื้อ
ตวั ต่อ
ขวดแยม
กางเกง
ก๊อกนา้
สรุป
ของเล่นและของใช้แต่ละชนิดทามาจากวัสดตุ ่างกัน
ค้นหาคาตอบ
1. ของเลน่ หรือของใชท้ ่ีทามาจากผา้ มีอะไรบา้ ง
แนวคาตอบ กางเกง
2. ของใชท้ ่ีทามาจากโลหะมีลกั ษณะใด
แขง็ เป็นมนั วาว และทนทาน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 333
ใบกจิ กรรมท่ี 22
สังเกต การแบ่งกล่มุ ของเล่นและของใช้
ปัญหา การแบ่งกล่มุ ของเล่นและของใช้สามารถแบ่งได้โดยใช้เกณฑ์ใด ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ด)ู
ข้นั ตอน 2. การจาแนกประเภท (แบ่งกลุ่ม)
1. สงั เกตของเล่นและของใชท้ ่ีครูเตรียมมา 3. การสื่อความหมาย (บอก เขียน)
2. ดู ลกั ษณะต่าง ๆ ของอปุ กรณ์
3. แบ่งกล่มุ ของเล่นและของใชอ้ อกเป็นกลุ่ม ๆ อุปกรณ์
4. บอก เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการแบ่งกล่มุ เขียน ลกั ษณะ ของเล่นและของใชต้ ่าง ๆ 8 ชนิด
ที่ดไู ดล้ งในสมุด
บนั ทกึ ผล
เกณฑ์ในการแบ่งกลุ่ม ลกั ษณะท่ีสังเกต
วสั ดทุ ี่ใช้ทา พลาสตกิ ได้แก่ ลกู ปิ งปอง จาน ไม้บรรทดั
แก้ว ได้แก่ แก้วนา้ ขวดแก้วใส
รูปร่ าง กระดาษ ได้แก่ หนังสือ สมุด กล่อง
กลม ได้แก่ ลกู ปิ งปอง จาน
สี่เหล่ยี ม ได้แก่ หนังสือ ไม้บรรทดั สมดุ กล่อง
ทรงกระบอก ได้แก่ แก้วนา้ ขวดแก้วใส
สรุป
เราสามารถแบ่งของเล่นและของใช้เป็นกล่มุ ๆ ได้ โดยใช้เกณฑ์ในการแบ่งที่ต่างกนั
ค้นหาคาตอบ
1. ของเลน่ และของใชท้ ่ีทาจากพลาสติกมีอะไรบา้ ง
แนวคาตอบ ลกู ปิ งปอง จาน และไม้บรรทัด
2. เม่ือใชร้ ูปร่างเป็นเกณฑ์ นกั เรียนแบ่งของเล่นและของใชไ้ ดเ้ ป็นก่ีกลุ่ม อะไรบา้ ง
แนวคาตอบ 3 กล่มุ คือ รูปร่างกลม รูปร่างส่ีเหล่ียม และรูปร่างทรงกระบอก
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 334
กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ 9
สารวจของเล่นและของใช้ของเรา ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจที่คงทน
1. การสงั เกต (ดู สมั ผสั )
ข้ันตอน 2. การสื่อความหมาย (วาดภาพ บอก)
1. เลือกของเล่นและของใชท้ ่ีชอบมาอยา่ งละ 2
อุปกรณ์
ชนิด ของเลน่ และของใชต้ ่าง ๆ
2. ดู ลกั ษณะและ สัมผัส ของเลน่ และของใช้
3. วาดภาพ และ บอก ลกั ษณะต่าง ๆ ตามเกณฑ์
ในตาราง
บันทึกผล รูปร่าง ลกั ษณะ ความแข็ง
ภาพของเล่น กลม สี พนื้ ผวิ แขง็
แดง เหลือง เขียว เรียบ
กระบอก ใส ไม่มีสี เรียบ แขง็
ค้นหาคาตอบ
1. ของเล่นและของใชท้ ี่นกั เรียนชอบมีอะไรบา้ ง
แนวคาตอบ ของเล่นที่ชอบ คือ ลกู แก้ว ของใช้ที่ชอบ คือ เหยือกใส่นา้
2. ของใชท้ ี่นกั เรียนชอบชนิดใดที่มีความแขง็ แรง
แนวคาตอบ ลกู แก้วและเหยือกใส่นา้
3. ของใชท้ ่ีนกั เรียนชอบมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
แนวคาตอบ เหยือกเอาไว้ใส่นา้ ดื่ม