คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 235
– ใชช้ อ้ นเกล่ียดินแลว้ ดสู ีและส่วนประกอบต่าง ๆ ของดิน
– บอกส่ิงต่าง ๆ ท่ีไดด้ ู
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรี ยนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ชั่วโมงท่ี 67
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใชแ้ นวคาถาม
ต่อไปน้ี
– ดินแต่ละบริเวณมีส่วนประกอบอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ เศษหิน ซากพืช และซาก
สัตว์)
– ดินแต่ละบริเวณมีสีและเน้ือดินเหมือนกนั หรือไม่ ลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ไม่
เหมือนกัน ดินแต่ละบริเวณมีสีและเนือ้ ดินแตกต่างกนั )
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ดิน
ในแต่ละแห่งมีลกั ษณะแตกต่างกนั เช่น สี เน้ือดิน และส่วนประกอบ
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูอธิบายวา่ ซากพืชและซากสตั วท์ ี่อยใู่ นดินเรียกวา่ ฮิวมสั ฮิวมสั เป็นป๋ ุยหรืออาหาร
ใหก้ บั พืช ดินท่ีมีความอุดมสมบรู ณ์มีฮิวมสั ปนอย่มู าก ทาใหพ้ ืชท่ีปลกู อยใู่ นบริเวณน้ีเจริญเติบโตไดด้ ี
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ส่วนประกอบของดินจากหนงั สือ
เรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมท้งั คาแปลลง
สมดุ ส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งที่ยงั ไม่เขา้ ใจหรือมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร
และไดแ้ กไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– ดินในแต่ละบริเวณมีส่วนประกอบต่าง ๆ เหมือนหรือแตกต่างกนั ลกั ษณะใด
– ดินท่ีมีความอดุ มสมบรู ณ์จะมีลกั ษณะใด
– นกั เรียนคิดวา่ การเรียนรู้เร่ืองส่วนประกอบของดินมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
– ซากพืชซากสตั วช์ ่วยใหด้ ินสมบูรณ์เพราะอะไร
– ดินแต่ละบริเวณมีส่วนประกอบแตกต่างกนั เพราะอะไร
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 236
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของดิน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่
ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อน้าในดนิ
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ครูแนะนานกั เรียนวา่ เม่ือนกั เรียนเดินทางไปยงั สถานที่ต่าง ๆ ใหน้ กั เรียนลองสงั เกตลกั ษณะ
ของดินวา่ ดินแต่ละบริเวณมีส่วนประกอบเหมือนหรือแตกต่างกนั ในลกั ษณะใด
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบกิจกรรมท่ี 27 สารวจส่วนประกอบของดิน
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 237
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 35
นา้ ในดิน
สาระที่ 6 กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก เวลา 1 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 สารวจพนื้ ดนิ
1. สาระสาคัญ
ดินมีน้าเป็นส่วนประกอบโดยแทรกอยใู่ นช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดิน
2. ตัวชี้วดั ช้ันปี
สารวจ ทดลอง และอธิบายองคป์ ระกอบและสมบตั ิทางกายภาพของดินในทอ้ งถิ่น
(ว 6.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ทดสอบไดว้ า่ ดินมีน้าเป็นส่วนประกอบ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เรื่องน้าในดินไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ืองน้า 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ในดิน วิทยาศาสตร์เป็ นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
น้ าเป็ นส่วนประกอบของดิน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 238
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกบั
การสงั เกตน้าในดิน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น และเขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั
น้าในดินที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 68
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– เมื่อรดน้าตน้ ไม้ น้าที่รดน้นั ไปอยทู่ ่ีใด
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เรื่องน้าในดิน
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกล่มุ นกั เรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกล่มุ นาเสนอข้อมูลเก่ยี วกบั น้าในดินที่
ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอ
ข้อมลู หน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบันทึกของนักเรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– ดนิ มนี า้ เป็ นส่วนประกอบหรือไม่ (แนวคาตอบ ม)ี
– น้าในดินมีประโยชน์อะไร (แนวคาตอบ ช่วยให้ดินชุ่มชื้น และพืชดูดน้าในดินไป
ใช้ได้)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงาน
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ดนิ มนี า้ เป็ นส่วนประกอบ
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่มปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตนา้ ในดิน ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– นาดินและหินใส่ในถงุ พลาสติกอยา่ งละ 1 ถุง โดยใส่ประมาณคร่ึงถุง แลว้ ใชย้ างรัด
มดั ปากถงุ ใหแ้ น่น
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 239
– ดูบริเวณที่วา่ งดา้ นบนของถงุ พลาสติกท้งั 2 ถงุ ที่เตรียมไว้
– นาถงุ พลาสติกที่บรรจุดินและหินท่ีเตรียมไวไ้ ปผ่งึ แดดนานประมาณ 30 นาที
– ดบู ริเวณท่ีวา่ งดา้ นบนของถุงพลาสติกหลงั จากผ่ึงแดดแลว้ และบอกสิ่งที่เห็น
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใช้แนวคาถาม
ต่อไปน้ี
– ก่อนที่จะนาถุงพลาสติกท่ีบรรจุดินและหินไปผ่ึงแดด มีส่ิงใดอยบู่ ริเวณที่วา่ ง
ดา้ นบนของถุงพลาสติกหรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่มี)
– เมื่อนาถุงพลาสติกที่บรรจุดินและหินไปผ่ึงแดด มีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะใด
(แนวคาตอบ ถงุ พลาสติกท่ีบรรจุดินมีหยดนา้ ส่วนถงุ พลาสติกท่ีบรรจุหินไม่มีหยดนา้ )
– ดินที่มีน้าเป็นส่วนประกอบมากจะมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ชุ่มชืน้ )
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ในดินมีน้าเป็นส่วนประกอบ แต่ในหินไม่มีน้าเป็นส่วนประกอบ
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูนาภาพท่ีแสดงใหเ้ ห็นการเปรียบเทียบระหวา่ งดินที่มีน้าเป็นส่วนประกอบมากและ
ดินที่มีน้าเป็นส่วนประกอบนอ้ ยมาใหน้ กั เรียนดู แลว้ อธิบายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ดินในแต่ละบริเวณมีน้า
เป็นส่วนประกอบอยไู่ มเ่ ท่ากนั ดินท่ีมีน้าเป็นส่วนประกอบนอ้ ยเมด็ ดินจะแขง็ และแหง้ แตกระแหงออก
เช่น ดินในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั น้าในดินจากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมท้งั คาแปลลงสมดุ
ส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งที่ยงั ไม่เขา้ ใจหรือมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคอะไร
และไดแ้ กไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– จากการปฏิบตั ิกิจกรรมนกั เรียนจะทดสอบไดโ้ ดยวิธีใดวา่ ในดินมีน้าเป็น
ส่วนประกอบ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 240
– นกั เรียนคิดวา่ น้าในดินมีประโยชนต์ ่อพืชหรือไม่ ลกั ษณะใด
– ดินท่ีมีน้าเป็นส่วนประกอบมากจะมีลกั ษณะใด
– นกั เรียนคิดวา่ การเรียนรู้เรื่องน้าในดินมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
– น้าในดินมีประโยชนอ์ ะไร
– นกั เรียนควรรดน้าตน้ ไมท้ ุกวนั เพราะอะไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั น้าในดิน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผงั
มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นกั เรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้ออากาศในดนิ
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอื่ นามาอภปิ ราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนสนทนาพดู คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เก่ียวกบั การสงั เกตดินในบริเวณต่าง ๆ วา่ มีน้า
เป็นส่วนประกอบมากนอ้ ยเพียงใด
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมท่ี 28 สงั เกตน้าในดิน
2. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
3. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
4. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. สิ่งท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 241
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 36
อากาศในดนิ
สาระท่ี 6 กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก เวลา 1 ช่ัวโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 สารวจพนื้ ดนิ
1. สาระสาคัญ
ดินมีอากาศเป็นส่วนประกอบโดยแทรกอยใู่ นช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดิน
2. ตัวชี้วดั ช้ันปี
สารวจ ทดลอง และอธิบายองคป์ ระกอบและสมบตั ิทางกายภาพของดินในทอ้ งถิ่น
(ว 6.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ทดสอบไดว้ า่ ดินมีอากาศเป็นส่วนประกอบ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองอากาศในดินไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
อากาศในดิน วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบตั ิ
กิจกรรมเป็ นรายบุคคลหรื อรายกล่มุ
5. สาระการเรียนรู้
อากาศเป็ นส่วนประกอบของดิน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 242
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกบั
การสงั เกตอากาศในดิน
ศิลปะ วาดภาพสตั วท์ ่ีอาศยั อยใู่ นดิน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น และเขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั
อากาศในดินที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 69
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ส่ิงมีชีวิตสามารถดารงชีวติ อยไู่ ดห้ รือไม่ถา้ ไม่หายใจ
– นกั เรียนหายใจโดยไดร้ ับอะไรผา่ นจมกู เขา้ ไปสู่ปอด
– สตั วท์ ี่อยใู่ นดินหายใจโดยใชอ้ ากาศจากอะไร
– สตั วบ์ างชนิดอาศยั อยใู่ นดินไดเ้ พราะอะไร
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือเช่ือมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองอากาศในดิน
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอากาศใน
ดิน ท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่ งตัวแทนมา
นาเสนอข้อมลู หน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– ดนิ มอี ากาศเป็ นส่วนประกอบหรือไม่ (แนวคาตอบ มี)
– อากาศในดินมีประโยชน์อะไร (แนวคาตอบ รากพืชและสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในดินใช้
อากาศในดนิ หายใจ)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้งั ประเดน็ คาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงาน อย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ
คดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นกั เรียนเข้าใจว่า
ดนิ มอี ากาศเป็ นส่วนประกอบ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 243
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตอากาศในดิน ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– นกั เรียนทดสอบโดยนาหินและดินใส่ลงไปในน้า
– ดฟู องอากาศในแกว้ น้าท้งั 2 ใบ บอกส่ิงที่สงั เกตเห็น
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรี ยนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– เมื่อนกั เรียนนาดินใส่ลงไปในน้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดข้ึน (แนวคาตอบ ในนา้
จะมีฟองอากาศผดุ ขึน้ มา)
– เมื่อนกั เรียนนาดินและหินหย่อนลงไปในน้าจะมองเห็นฟองอากาศผดุ ข้ึนมาหรือไม่
ลกั ษณะใด (แนวคาตอบ เมื่อนาดินหย่อนลงไปในนา้ จะมองเห็นฟองอากาศผดุ ขึน้ มา แต่เม่ือนาหิน
หย่อนลงไปในนา้ จะไม่พบฟองอากาศผดุ ขึน้ มา)
– สตั วท์ ี่อยใู่ นดินสามารถหายใจไดเ้ พราะในดินมีอะไร (แนวคาตอบ อากาศ)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ในดินมีอากาศเป็นส่วนประกอบ แต่ในหินไม่มีอากาศเป็นส่วนประกอบ
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา่ สตั วท์ ่ีอาศยั อยใู่ นดิน เช่น ไสเ้ ดือนดินหรือกิ้งกือจะหายใจโดยใช้
อากาศที่อยใู่ นดิน
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั อากาศในดิน จากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมท้งั คาแปลลงสมดุ
ส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร
และไดแ้ กไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน โดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– จากการปฏิบตั ิกิจกรรมนกั เรียนจะทดสอบไดโ้ ดยวิธีใดวา่ ในดินมีอากาศเป็น
ส่วนประกอบ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 244
– ดินท่ีมีอากาศเป็นส่วนประกอบมากจะมีลกั ษณะใด
– สตั วช์ นิดใดท่ีช่วยเพิ่มอากาศในดินโดยการทาใหด้ ินร่วนซุย
– ดินท่ีมีอากาศเป็นส่วนประกอบนอ้ ยจะมีลกั ษณะใด จะแกไ้ ขไดโ้ ดยวธิ ีใด
– นกั เรียนคิดวา่ การเรียนรู้เรื่องอากาศในดินมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
– อากาศในดินมีประโยชนอ์ ะไร
– เราควรพรวนดินตน้ ไมบ้ ่อย ๆ เพราะอะไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั อากาศในดิน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนท่ีความคิด
หรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพอ่ื จดั การ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อสมบัตทิ างกายภาพของดนิ
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามา
อภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
1. นกั เรียนสนทนาพดู คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เก่ียวกบั การสงั เกตดินในบริเวณต่าง ๆ วา่ มี
อากาศเป็นส่วนประกอบมากนอ้ ยเพียงใด และนกั เรียนแกไ้ ขปัญหาไดโ้ ดยวิธีใด เช่น การพรวนดิน และ
อาจใหน้ กั เรียนทดสอบโดยการปลกู ตน้ ถว่ั 2 กระถาง กระถางแรกรดน้า ใส่ป๋ ุย และพรวนดินอยเู่ สมอ
กระถางที่ 2 รดน้า ใส่ป๋ ุย แต่ไม่พรวนดินเลย แลว้ เปรียบเทียบวา่ ตน้ ถวั่ ท่ีปลูกในกระถางใบใด
เจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ กนั
2. ครูใหน้ กั เรียนดูภาพสตั วท์ ่ีอาศยั อยใู่ นดิน หรือใหน้ กั เรียนวาดภาพเกี่ยวกบั สตั วท์ ่ีอาศยั อยใู่ น
ดิน ซ่ึงสตั วเ์ หลา่ น้ีหายใจโดยใชอ้ ากาศที่อยใู่ นดิน และสตั วบ์ างชนิดยงั ช่วยใหด้ ินร่วนซุย
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมที่ 29 สงั เกตอากาศในดิน
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
3. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
4. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 245
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 246
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 37
สมบัติทางกายภาพของดนิ
สาระท่ี 6 กระบวนการเปล่ยี นแปลงของโลก เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 สารวจพนื้ ดนิ
1. สาระสาคญั
ดินท่ีนามาจากแหล่งต่างกนั จะมีสมบตั ิทางกายภาพต่างกนั เช่น สีดิน การอุม้ น้า และการจบั ตวั
ของเมด็ ดิน เมื่อใชส้ มบตั ิทางกายภาพของดินเป็นเกณฑจ์ ะสามารถแบ่งดินเป็น 3 ประเภท คือ ดินร่วน
ดินทราย และดินเหนียว
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
สารวจ ทดลอง และอธิบายองคป์ ระกอบและสมบตั ิทางกายภาพของดินในทอ้ งถ่ิน
(ว 6.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ทดสอบไดว้ า่ ดินในแต่ละบริเวณมีสมบตั ิทางกายภาพต่างกนั (K)
2. บอกสมบตั ิทางกายภาพของดินตามลกั ษณะของเน้ือดินได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
5. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองสมบตั ิทางกายภาพของดินไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เรื่อง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
สมบตั ิทางกายภาพ วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
ของดิน 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบตั ิ
กิจกรรมเป็ นรายบุคคลหรื อ
รายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
สมบตั ิทางกายภาพของดิน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 247
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกบั การสงั เกตสมบตั ิ
ทางกายภาพของดิน
ศิลปะ สร้างสวนถาดหรือสวนแกว้ จากทราย
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น และเขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั สมบตั ิ
ทางกายภาพของดินที่เรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 70
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนเคยสงั เกตดินในบริเวณบา้ นหรือโรงเรียนหรือไม่
– ดินมีลกั ษณะใด
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือเช่ือมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองสมบตั ิทางกายภาพของดิน
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกล่มุ นักเรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกล่มุ นาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสมบัติทาง
กายภาพของดิน ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่ง
ตวั แทนมานาเสนอข้อมลู หน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบันทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– ลกั ษณะภายนอกของดินมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ เน้ือดิน สี และความสามารถใน
การอ้มุ น้า)
– ดนิ แต่ละบริเวณมลี กั ษณะภายนอกเหมอื นกนั หรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่เหมอื นกนั )
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงาน
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ลกั ษณะภายนอกของดินมสี มบัตทิ างกายภาพแตกต่างกนั เช่น เนอื้ ดนิ สี และความสามารถในการอุ้มนา้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 248
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตสมบัติทางกายภาพของดิน ตามข้นั ตอน
ดงั น้ี
– ตกั ดินชนิดแรกใส่ลงในฝ่ ามือ ใชห้ ลอดหยดหยดน้าใส่ดินใหเ้ ปี ยก แลว้ ใชม้ ืออีก
ขา้ งหน่ึงขย้ีดิน ทาเช่นเดียวกนั กบั ดินอีก 2 ชนิด
– ขณะท่ีสมั ผสั ดินดูลกั ษณะของดิน เช่น ขนาดเมด็ ดิน เน้ือดิน และความเหนียว แลว้
บอกลกั ษณะของดินแต่ละชนิด
– ตดั ปากขวดพลาสติกท้งั 3 ใบออก เจาะรูที่กน้ ขวด เพ่ือทดสอบการอุม้ น้าของดิน
– นาดินแต่ละชนิดใส่ลงในขวดพลาสติกที่เตรียมไวใ้ นปริมาณเท่ากนั
– เทน้าจากแกว้ ลงไปในขวดทีละขวดในปริมาณน้าที่เท่ากนั ดูปริมาณน้าท่ีผา่ นดิน
ในแต่ละขวด และบอกปริมาณน้าที่ผา่ นออกมาได้
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ช่ัวโมงท่ี 71
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใช้แนวคาถาม
ต่อไปน้ี
– น้าจะซึมผา่ นดินท่ีมีลกั ษณะใดไดด้ ีท่ีสุด (แนวคาตอบ ดินที่มีเนือ้ หยาบ เมด็ ดินมี
ขนาดใหญ่ มีช่องว่างระหว่างเมด็ ดินมาก)
– ดินที่มีเน้ือละเอียด เมด็ ดินมีขนาดเลก็ น้าจะซึมผา่ นไดม้ ากหรือนอ้ ย เพราะอะไร
(แนวคาตอบ น้อย เพราะช่องว่างระหว่างเมด็ ดินน้อย)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ตวั อยา่ งดินชนิดท่ี 1 มีเน้ือดินละเอียด เมด็ ดินมีขนาดเลก็ มีช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดินนอ้ ย น้าจึงซึมผา่ น
ออกมาไดน้ อ้ ย ตวั อยา่ งดินชนิดท่ี 2 มีเน้ือดินค่อนขา้ งละเอียด เมด็ ดินมีขนาดปานกลาง มีช่องวา่ ง
ระหวา่ งเมด็ ดินพอประมาณ น้าจึงซึมผา่ นออกมาไดพ้ อสมควร ตวั อยา่ งดินชนิดที่ 3 มีเน้ือดินหยาบ เมด็
ดินมีขนาดใหญ่ มีช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดินมาก น้าจึงซึมผา่ นออกมาไดม้ าก
4) ข้ันขยายความรู้
(1) นกั เรียนเล่าถึงลกั ษณะดินท่ีพบบริเวณบา้ น ในชุมชนของนกั เรียนหรือสถานท่ีท่ี
นกั เรียนเคยไปเที่ยววา่ ดินเหลา่ น้นั มีเน้ือดินลกั ษณะใด สีอะไร มีพืชเจริญเติบโตอยหู่ รือไม่ และเป็นพืช
ชนิดใด เม่ือฝนตกมีน้าขงั บนพ้ืนดินบริเวณน้นั หรือไม่
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั สมบตั ิทางกายภาพของดินจาก
หนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมท้งั
คาแปลลงสมดุ ส่งครู
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 249
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร และได้
แกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ที่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– ดินที่อุม้ น้าไดด้ ีมกั จะมีขนาดของเมด็ ดินเป็นแบบใด
– ดินในบริเวณชายทะเลส่วนใหญ่มีเน้ือดินเป็นแบบใด
– ดินท่ีเปี ยกน้าแลว้ ติดมือมากลกั ษณะของเน้ือดินเป็นแบบใด
– นกั เรียนคิดวา่ การเรียนรู้เร่ืองสมบตั ิทางกายภาพของดินมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
– การนาดินไปใชต้ อ้ งนึกถึงสมบตั ิของดินเพราะอะไร
– ขา้ วเป็นพืชที่ชอบน้า ขา้ วควรปลกู ในดินชนิดใด เพราะอะไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั สมบตั ิทางกายภาพของดิน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่
ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อประโยชน์ของดิน โดยใช้ใบงาน สารวจก่อน
เรียน 15 ที่ครูจัดเตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานักพมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกิจกรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมที่บ้าน
พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนเตรียมดินเหนียวที่มีอยใู่ นทอ้ งถ่ิน นามาคดั แยกเศษหินและเศษใบไมอ้ อก หลงั จากน้นั
ใชม้ ือนวดดินเพื่อไล่ฟองอากาศออกจนกระทง่ั ไดด้ ินที่น่ิมและเหนียวดี แลว้ จึงป้ันดินเป็นตุ๊กตาต่าง ๆ
ตัวอย่างการป้ันดินเป็นต๊กุ ตา
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 250
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 15
2. ใบกิจกรรมท่ี 30 สงั เกตสมบตั ิทางกายภาพของดิน
3. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 251
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 38
ประโยชน์ของดนิ
สาระท่ี 6 กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 สารวจพนื้ ดนิ
1. สาระสาคัญ
ดินมีประโยชนต์ ่อมนุษยแ์ ละสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ใชป้ ลกู บา้ นและเป็นท่ีอยอู่ าศยั
ของสตั ว์ ปลูกพืช ทาของเลน่ และของใช้
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
สารวจ ทดลอง และอธิบายองคป์ ระกอบและสมบตั ิทางกายภาพของดินในทอ้ งถิ่น
(ว 6.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกประโยชนข์ องดินได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. ส่ือสารและนาความรู้เรื่องประโยชนข์ องดินไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ประโยชนข์ องดิน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทดสอบหลงั เรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกล่มุ
5. สาระการเรียนรู้
ประโยชนข์ องดิน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 252
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนาพดู คุยแลกเปล่ียนประสบการณ์เก่ียวกบั
ประโยชนข์ องดิน การสมั ภาษณ์เกษตรกรในทอ้ งถิ่น
ศิลปะ สร้างสมุดภาพแสดงประโยชนข์ องดิน
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สนทนาพดู คุยเกย่ี วกบั พชื ท่ปี ลูกในแต่ละประเทศสมาชิก
อาเซียน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น และเขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั
ประโยชนข์ องดินท่ีเรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ช่ัวโมงท่ี 72
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– ดินแบ่งเป็นก่ีประเภท และมีสมบตั ิเหมือนหรือแตกต่างกนั
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองประโยชนข์ องดิน
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 15 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่
บ้านมาอภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ในชุมชนของนักเรียนใช้ดินทาอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ปลกู พชื สวนครัว ปลกู พืชเพ่อื
ใช้เป็ นอาหารสัตว์ ทาบ้านดนิ และป้ันโอ่ง)
– ดนิ แต่ละชนิดนาไปใช้ประโยชน์ได้ต่างกนั หรือไม่ (แนวคาตอบ ต่างกนั )
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทากิจกรรมอย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ
คิดเห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั กจิ กรรม สารวจก่อนเรียน 15 โดยครูช่วยอธิบายให้
นกั เรียนเข้าใจว่า ดนิ นาไปใช้ประโยชน์ได้มากมายขึน้ อย่กู บั ประเภทและสมบัตขิ องดนิ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 253
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งนกั เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อศึกษาการใชป้ ระโยชนจ์ ากดิน 4 หวั ขอ้ คือ
– ปลกู บา้ นและเป็นท่ีอยอู่ าศยั ของสตั ว์
– ปลกู พืชชนิดต่าง ๆ
– ทาของใช้
– ทาของเลน่
จากน้นั ครูนาชุดการเรียนหรือภาพแสดงการใชป้ ระโยชนจ์ ากดินท่ีครูเตรียมไวม้ าให้
นกั เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั ศึกษา (ครูควรเตรียมไวใ้ หน้ กั เรียน) ขณะที่นกั เรียนแต่ละกลุม่ ศึกษาครูควร
คอยตอบคาถามและอธิบายในส่ิงท่ีนกั เรียนไมเ่ ขา้ ใจ
(2) นกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมาอธิบายหวั ขอ้ ที่ศึกษาหนา้ ช้นั เรียน ครูควรกระตุน้ ให้
นกั เรียนกลุ่มอ่ืนซกั ถามในส่ิงท่ีตนเองไมเ่ ขา้ ใจ และใหน้ กั เรียนที่อธิบายไดต้ อบคาถาม
ช่ัวโมงที่ 73
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) ครูอธิบายเพ่ิมเติมโดยใชค้ าถามนา ดงั น้ี
– ดินท่ีนามาใชส้ ร้างบา้ นคือดินชนิดใด (แนวคาตอบ ดินเหนียว)
– เราไดร้ ับประโยชนจ์ ากดินในดา้ นใดมากท่ีสุด (แนวคาตอบ การเพาะปลกู )
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ดิน
แต่ละชนิดมีลกั ษณะแตกต่างกนั ทาใหส้ ามารถนาดินไปใชป้ ระโยชนแ์ ตกต่างกนั เช่น ใชเ้ พาะปลกู ใช้
ทาของใช้ และใชท้ าของเลน่ เป็นตน้
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูอาจใหน้ กั เรียนสมั ภาษณ์เกษตรกรในทอ้ งถิ่นเก่ียวกบั การใชป้ ระโยชนจ์ ากดิน ใน
กรณีที่โรงเรียนอยใู่ นแหล่งท่ีไม่มีเกษตรกรควรใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มลู ประโยชนข์ องดินจากหอ้ งสมุด
หรืออินเทอร์เนต็
(2) ครูเชื่อมโยงความรู้อาเซียน โดยให้ความรู้นักเรียนว่าประโยชน์ที่สาคัญอย่างหน่ึงของ
ดนิ กค็ อื การใช้ดนิ ปลูกพชื ซึ่งลกั ษณะของพนื้ ดนิ ในกล่มุ ประเทศสมาชิกอาเซียนมลี กั ษณะที่ใกล้เคยี ง
กนั พชื บางชนิดจึงปลกู ได้ในหลายประเทศ เช่น
– มนั สาปะหลงั ท่ีเหมาะกบั ดนิ ทรายปลกู ได้ในไทยและกมั พูชา ซึ่ง
จากการสารวจ ในไทยน้ัน พบว่าจังหวดั นครราชสีมามพี นื้ ที่ปลกู มนั
สาปะหลงั มากที่สุดถึง 1.7 ล้านไร่
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 254
– ยางพาราท่เี หมาะกบั ดินร่วนปลกู ได้ในไทย มาเลเซีย และ
อนิ โดนีเซีย ซึ่งจากการสารวจในปี พ.ศ. 2556 พบว่าอนิ โดนีเซียมี
พนื้ ทปี่ ลกู ยางพารามากทสี่ ุดในโลกถึง 20.56 ล้านไร่
– ข้าวท่เี หมาะกบั ดนิ เหนียวปลกู ได้ในไทย เมยี นมา กมั พูชา
และเวยี ดนาม ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนท่ีต้องนาเข้าข้าวเข้าสู่
ประเทศมากท่ีสุด คอื ฟิ ลปิ ปิ นส์เนอ่ื งจากมที ีร่ าบล่มุ น้อยและปลกู
ข้าวได้ไม่พอต่อความต้องการของคนในประเทศ
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ประโยชนข์ องดินจากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมท้งั คาแปลลงสมุด
ส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งท่ียงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคอะไร และได้
แกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรมและการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– พืชส่วนใหญ่ปลกู อยบู่ นอะไร
– ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชควรมีลกั ษณะเป็นแบบใด
– สตั วช์ นิดใดบา้ งที่อาศยั อยใู่ นดิน
– ดินมีประโยชนใ์ นดา้ นใดบา้ ง
– การเรียนรู้เรื่องประโยชนข์ องดินมีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั ประโยชนข์ องดิน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่
ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 255
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยให้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพอื่ วดั ความ
ก้าวหน้า/ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 ของนักเรียน
3) ครูเช่ือมโยงเนือ้ หาจากบทเรียนนีก้ บั บทเรียนช่ัวโมงหน้า เพือ่ ให้นักเรียนเตรียมความ
พร้อมในการเรียนชั่วโมงต่อไป โดยการใช้คาถามกระต้นุ ดงั นี้
– ดนิ ท่อี ย่กู ลางแจ้งเป็ นเวลานานมกั แข็งและไม่ชุ่มชื้นเพราะอะไร (แนวคาตอบ
เพราะความร้อนจากดวงอาทิตย์ทาให้น้าในดนิ ระเหยไป)
4) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อจัดการ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อท้องฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคนื
5) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามา
อภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
1. ปฏิบตั ิกิจกรรมเสริมการเรียนรู้เรื่อง สร้างสมดุ ภาพแสดงประโยชน์ของดิน โดยมีข้นั ตอน
ดงั น้ี
– แบ่งนกั เรียนกลมุ่ ละ 5–6 คน ช่วยกนั คิด วางแผนสร้างสมดุ ภาพ การใชป้ ระโยชนข์ อง
ดิน เช่น เครื่องป้ันดินเผา บา้ นดิน ปลกู พืช ที่อยอู่ าศยั ของคนและสตั ว์ เป็นตน้
– นาเสนอผลงานและอภิปรายร่วมกนั หนา้ ช้นั เรียน
ตัวอย่างสมดุ ภาพ
2. ครูใหน้ กั เรียนดูสื่อมลั ติมีเดียเกี่ยวกบั ประโยชนข์ องดิน เช่น การผลิตเคร่ืองป้ันดินเผา
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 15
2. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ท่ี 12 สร้างสมุดภาพแสดงประโยชนข์ องดิน
3. แบบทดสอบหลงั เรียน
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 256
6. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
7. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. สิ่งท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงช่ือ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 257
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ท่องไปในท้องฟ้ า เวลา 6 ชั่วโมง
ผงั มโนทศั น์เป้ าหมายการจัดการเรียนรู้และขอบข่ายภาระงาน
ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ
1. ลกั ษณะและส่ิงต่าง ๆ ใน 1. การสงั เกต
ทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และกลางคืน 2. การสืบคน้ ขอ้ มลู
2. ลกั ษณะและความสาคญั ของ 3. การอภิปราย
ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และ 4. การนาความรู้ไปใชใ้ น
ดวงดาว
ชีวิตประจาวนั
ท่องไปในท้องฟ้ า
ภาระงาน/ชิน้ งาน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. สงั เกตทอ้ งฟ้ า 1. มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
2. สงั เกตดวงอาทิตยใ์ หค้ วามร้อน 2. มีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์
3. คน้ หาอุปกรณ์แห่งแสงสวา่ ง 3. เห็นคุณค่าของการนาความรู้
4. สงั เกตเงามืดของดวงจนั ทร์ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั
5. ฝึ กแต่งเรื่องจากคาท่ีเก่ียวกบั 4. ใฝ่ เรียนรู้
5. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
ดวงดาว
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 258
ผงั การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Backward Design
หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ท่องไปในท้องฟ้ า
ข้นั ท่ี 1 ผลลพั ธ์ปลายทางท่ตี ้องการให้เกดิ ขนึ้ กบั นกั เรียน
ตวั ชี้วดั ช้ันปี
ระบุวา่ ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว (ว 7.1 ป. 1/1)
ความเข้าใจทีค่ งทนของนกั เรียน คาถามสาคญั ทท่ี าให้เกดิ ความเข้าใจท่ีคงทน
นกั เรียนจะเข้าใจว่า...
1. ดวงอาทิตยจ์ ะปรากฏใหเ้ ราเห็นในทอ้ งฟ้ าเวลา 1. นกั เรียนสงั เกตเห็นส่ิงใดในทอ้ งฟ้ าเวลา
กลางวนั ส่วนดวงจนั ทร์และดวงดาวจะปรากฏ กลางวนั และเวลากลางคืน
ใหเ้ ราเห็นในทอ้ งฟ้ าเวลากลางคืน 2. ทอ้ งฟ้ าท่ีนกั เรียนเห็นมีลกั ษณะเป็นรูปทรง
2. เราเห็นทอ้ งฟ้ ามีลกั ษณะเป็นคร่ึงทรงกลม แบบใด
ครอบแผน่ ดินไว้ 3. ดวงอาทิตยม์ ีความสาคญั อยา่ งไร
3. ดวงอาทิตยใ์ หแ้ สงสวา่ งและความร้อนแก่โลก 4. ในแต่ละคืนเราเห็นดวงจนั ทร์และดวงดาว
4. เราเห็นดวงจนั ทร์และดวงดาวแตกต่างกนั ไป เหมือนกนั หรือไม่ เพราะอะไร
ในแต่ละคืน
ความรู้ของนกั เรียนที่นาไปสู่ความเข้าใจท่ีคงทน ทกั ษะ/ความสามารถของนกั เรียนที่นาไปสู่ความ
นกั เรียนจะรู้ว่า... เข้าใจที่คงทน นกั เรียนจะสามารถ...
1. คาสาคญั ไดแ้ ก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ 1. อธิบายความแตกต่างของทอ้ งฟ้ าในเวลา
ดวงดาว กลางวนั และเวลากลางคืน
2. เราเห็นดวงอาทิตยแ์ ละส่ิงต่าง ๆ ในทอ้ งฟ้ าได้ 2. สงั เกตลกั ษณะของดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และ
ชดั เจนในเวลากลางวนั ดวงดาว
3. ทอ้ งฟ้ ามีลกั ษณะเป็นคร่ึงทรงกลมครอบ 3. สงั เกตรูปทรงของทอ้ งฟ้ า
แผน่ ดินไว้ 4. ระบุความสาคญั ของดวงอาทิตยต์ ่อโลก
4. แสงสวา่ งจากดวงอาทิตยท์ าใหเ้ รามองเห็นสิ่ง 5. สงั เกตความแตกต่างของดวงจนั ทร์ใน
ต่าง ๆ ไดช้ ดั เจนในเวลากลางวนั และเห็นดวง แต่ละคืน
จนั ทร์ในเวลากลางคืน 6. จาแนกลกั ษณะของดวงดาวท่ีมีการส่องสวา่ ง
5. ความร้อนจากดวงอาทิตยท์ าใหโ้ ลกอบอุ่น แตกต่างกนั
เหมาะสาหรับการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต
6. เงามืดบนดวงจนั ทร์เกิดจากพ้ืนผวิ ที่เตม็ ไปดว้ ย
ภูเขาและอุกกาบาต
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 259
7. เรามองเห็นดวงดาวชดั เจนในวนั ท่ีดวงจนั ทร์
มืดเตม็ ดวงและเห็นดวงดาวนอ้ ยมากในวนั ท่ีดวง
จนั ทร์สวา่ งเตม็ ดวง
8. ดวงดาวที่มีแสงกะพริบเป็นดวงดาวที่มีแสง
สวา่ งในตวั เอง ดวงดาวท่ีมีแสงนิ่งคือดวงดาวที่
ไม่มีแสงสวา่ งในตนเอง
ข้นั ท่ี 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็ นหลกั ฐานทแ่ี สดงว่านักเรียนมผี ลการเรียนรู้
ตามทก่ี าหนดไว้อย่างแท้จริง
1. ภาระงานท่ีนกั เรียนต้องปฏิบตั ิ
– สงั เกตทอ้ งฟ้ า
– สงั เกตดวงอาทิตยใ์ หค้ วามร้อน
– คน้ หาอุปกรณ์แห่งแสงสวา่ ง
– สงั เกตเงามืดของดวงจนั ทร์
– ฝึ กแต่งเร่ืองจากคาท่ีเกี่ยวกบั ดวงดาว
2. วธิ ีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการประเมนิ ผลการเรียนรู้ เคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
– การทดสอบ – แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
– การสนทนาซกั ถาม – แบบบนั ทึกการสนทนา
– การวดั เจตคติ – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อ
วทิ ยาศาสตร์
– การวดั ทกั ษะ – แบบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
– การประเมินตนเอง – แบบประเมินตนเองของนกั เรียน
3. ส่ิงทม่ี ่งุ ประเมนิ
– ความสามารถในการอธิบาย ช้ีแจง การแปลความและตีความ การประยกุ ต์ ดดั แปลง และนาไปใช้
การมีมมุ มองที่หลากหลาย การใหค้ วามสาคญั และใส่ใจในความรู้สึกของผอู้ ่ืน และการรู้จกั ตนเอง
– เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์และเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล
– ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
– พฤติกรรมการปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลมุ่
ข้นั ที่ 3 แผนการจดั การเรียนรู้
– แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 39 ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืน 1 ชวั่ โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 40 ดวงอาทิตย์ 2 ชว่ั โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 41 ดวงจนั ทร์ 2 ชว่ั โมง
– แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 42 ดวงดาว 1 ชวั่ โมง
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 260
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 39
ท้องฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคนื
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ เวลา 1 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ท่องไปในท้องฟ้ า
1. สาระสาคญั
ดวงอาทิตยจ์ ะปรากฏใหเ้ ราเห็นในทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั ส่วนดวงจนั ทร์และดวงดาวจะปรากฏ
ใหเ้ ราเห็นในเวลากลางคืน
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
ระบุวา่ ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว (ว 7.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สงั เกตความแตกต่างของทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืน (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. ส่ือสารและนาความรู้เรื่องทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืนไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามลกั ษณะทอ้ งฟ้ า 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ท่ีแตกต่างกนั ในเวลา วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
กลางวนั และกลางคืน 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
3. ทดสอบก่อนเรียน ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลมุ่
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะและสิ่งต่าง ๆ ในทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และกลางคืน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 261
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เล่าเรื่องเกี่ยวกบั สิ่งที่สังเกตไดใ้ นทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และกลางคืน
ศิลปะ วาดภาพ ระบายสี และประดิษฐภ์ าพทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และ
กลางคืน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อ่าน เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั ส่ิงที่สงั เกตได้
ในทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และกลางคืนท่ีเรียนรู้ หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 74
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียนโดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือตรวจสอบความ
พร้อมและพ้ืนฐานของนกั เรียน
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนชอบมองดูทอ้ งฟ้ าหรือไม่ เพราะอะไร
– นกั เรียนชอบทอ้ งฟ้ าในเวลาใด เวลากลางวนั หรือเวลากลางคืน
– นกั เรียนมองเห็นอะไรในทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และเวลากลางคืน
– ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืนมีสิ่งใดเหมือนหรือแตกต่างกนั บา้ ง
– รูปใดเป็นเวลากลางวนั และรูปใดเป็นเวลากลางคืน
ตวั อย่างท้องฟ้ าในเวลากลางวันและกลางคืน
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพ่ือเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ืองลกั ษณะของทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืน
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกีย่ วกบั ลักษณะ
ของท้องฟ้ าในเวลากลางวันและกลางคืน ท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง
จากน้นั ให้แต่ละกลุ่มส่งตวั แทนมานาเสนอข้อมลู หน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทึกของนกั เรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั ภาระงาน ดงั นี้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 262
– ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั มีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ สว่าง พบดวงอาทิตย์และเมฆ)
– ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางคืนมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ มืด พบดวงจันทร์และดวงดาว)
(3) ครูเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนต้งั ประเด็นคาถามท่ีนกั เรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่าง
นอ้ ยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูใหน้ กั เรียนเตรียมมาล่วงหนา้ และใหน้ กั เรียนช่วยกนั ตอบและแสดงความ
คิดเห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั มีดวงอาทิตยแ์ ละทอ้ งฟ้ าในเวลากลางคืนมีดวงจนั ทร์และดวงดาว
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนแต่ละคนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตท้องฟ้ า ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– วาดภาพทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และเวลากลางคืนตามความคิดของตนแลว้ ระบายสี
ใหส้ วยงาม
– ออกไปดูทอ้ งฟ้ าจริงในเวลากลางวนั และเวลากลางคืน วาดภาพและระบายสีทอ้ งฟ้ า
ตามที่เห็น
– บอกความเหมือนและความแตกต่างของทอ้ งฟ้ าท่ีวาดกบั ทอ้ งฟ้ าที่เห็นจริง
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรี ยนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละคนนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– นกั เรียนมองเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาวในเวลาใด (แนวคาตอบ
มองเห็นดวงอาทิตย์ในเวลากลางวนั มองเห็นดวงจันทร์และดวงดาวในเวลากลางคืน)
– ทอ้ งฟ้ าท่ีวาดกบั ท่ีเห็นจริงแตกต่างกนั ในลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ท้องฟ้ าที่วาดมีเมฆ
จานวนมาก แต่ท้องฟ้ าจริงมีเมฆเลก็ น้อย)
– ทอ้ งฟ้ าเวลากลางวนั และเวลากลางคืนมีส่ิงใดแตกต่างกนั บา้ ง (แนวคาตอบ เวลา
กลางวันมีดวงอาทิตย์และเมฆ เวลากลางคืนมีดวงจันทร์และดวงดาว)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ใน
เวลากลางวนั มองเห็นดวงอาทิตยแ์ ละเมฆชดั เจน ส่วนในเวลากลางคืนทอ้ งฟ้ ามืด มองเห็นดวงจนั ทร์
และดวงดาว
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูแนะนาใหน้ กั เรียนลองสังเกตทอ้ งฟ้ าเม่ือนกั เรียนเดินทางไปยงั สถานที่ต่าง ๆ และ
เปรียบเทียบกบั ทอ้ งฟ้ าท่ีนกั เรียนสงั เกตเห็นที่บา้ นหรือโรงเรียน แลว้ เขียนเป็นเรื่องราวและนามาเลา่ ให้
เพ่ือนฟัง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 263
(2) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืน
จากหนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อม
คาแปลลงสมดุ ส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งที่ยงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด
และไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยถามคาถามนกั เรียน เช่น
– เรามองเห็นดวงดาวในเวลาใด
– ดวงอาทิตยท์ าใหเ้ รามองเห็นส่ิงต่าง ๆ เพราะอะไร
– ในเวลากลางคืนเราตอ้ งเปิ ดหลอดไฟฟ้ าเพราะอะไร
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั ทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั และกลางคืน โดยร่วมกนั เขียน
เป็นแผนท่ีความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพื่อจดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อดวงอาทติ ย์ โดยใช้ใบงาน สารวจก่อนเรียน16
ท่ีครูจัดเตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกิจกรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมท่ีบ้าน
พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ประดิษฐภ์ าพทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั หรือเวลากลางคืนที่นกั เรียนเคยเห็นดว้ ยวสั ดุต่าง ๆ เช่น
กิ่งไม้ เมลด็ พืช กระดาษสี ดอกไม้ และผา้
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบกิจกรรมที่ 31 สงั เกตทอ้ งฟ้ า
3. ใบงานสารวจก่อนเรียน 16
4. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 264
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
7. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. สิ่งท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงช่ือ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 265
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 40
ดวงอาทติ ย์
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ท่องไปในท้องฟ้ า
1. สาระสาคญั
ดวงอาทิตยม์ ีทรงกลม มีแสงสวา่ งในตวั เอง และเป็นแหล่งพลงั งานท่ีสาคญั ของโลกท่ีใหแ้ สง
สวา่ งและความร้อนซ่ึงช่วยใหส้ ่ิงมีชีวิตดารงชีวติ อยไู่ ด้
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
ระบุวา่ ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว (ว 7.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลกั ษณะและความสาคญั ของดวงอาทิตย์ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เรื่องดวงอาทิตยไ์ ปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมิน ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เก่ียวกบั 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ดวงอาทิตย์ วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะและความสาคญั ของดวงอาทิตย์
6. แนวทางการบูรณาการ คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 266
ภาษาไทย
เลา่ ถึงกิจกรรมท่ีตอ้ งอาศยั แสงหรือความร้อนจาก
ศิลปะ ดวงอาทิตยท์ ี่นกั เรียนเคยปฏิบตั ิ
วาดภาพและระบายสีกิจกรรมที่ตอ้ งอาศยั แสงสวา่ งหรือ
สังคม ศาสนาและวฒั นธรรม ความร้อนจากดวงอาทิตย์
สนทนาพดู คุยเกยี่ วกบั เวลาท่แี ตกต่างกันของประเทศ
ภาษาต่างประเทศ สมาชิกอาเซียน
ฟัง พดู อ่าน เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั
ดวงอาทิตยท์ ่ีเรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 75
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนคิดวา่ ดวงอาทิตยม์ ีรูปทรงใด
– ขณะที่นกั เรียนเล่นอยกู่ ลางแจง้ เป็นเวลานานนกั เรียนรู้สึกอยา่ งไร
– นกั เรียนคิดวา่ ดวงอาทิตยม์ ีความเก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ประจาวนั ของเราหรือไม่ เพราะอะไร
– เราเห็นสิ่งใดบนทอ้ งฟ้ าในเวลากลางวนั บา้ ง
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เรื่องดวงอาทิตย์
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สารวจก่อนเรียน 16 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่
บ้านมาอภิปรายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกยี่ วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ของใช้ท่นี กั เรียนสารวจได้มีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ร่ม หมวก และพดั )
– นกั เรียนใช้ของใช้ใดบ่อยที่สุด เพอื่ อะไร (แนวคาตอบ ใช้หมวกบ่อยทีส่ ุด เพอ่ื ใช้
กนั แสงจากดวงอาทติ ย์)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 267
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนต้งั ประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทากจิ กรรมอย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ
คดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั กจิ กรรม สารวจก่อนเรียน 16 โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นักเรียนเข้าใจว่า ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความร้อนกบั โลก
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนแต่ละคนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตดวงอาทิตย์ให้ความร้อน ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– รินน้าใส่แกว้ ท้งั 2 ใบ ใหม้ ีปริมาณเท่ากนั
– นาแกว้ ใบท่ี 1 วางไวก้ ลางแดด และนาแกว้ ใบที่ 2 นาไปวางไวใ้ นที่มืด
– วางไวป้ ระมาณ 30 นาที
– ใชน้ ิ้วสมั ผสั น้าในแกว้ แต่ละใบ บอกความรู้สึกร้อน–เยน็ ของน้าท้งั 2 แกว้
– เขียนความรู้สึกเม่ือใชน้ ิ้วสมั ผสั น้าในแกว้ แต่ละใบ
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ช่ัวโมงท่ี 76
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละคนนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– น้าในแกว้ ที่ต้งั ไวก้ ลางแดดอุ่นกวา่ น้าท่ีต้งั ไวท้ ี่มืดหรือที่มีร่มเงาเพราะอะไร (แนว
คาตอบ เพราะแสงแดดให้ความร้อนแก่นา้ ในแก้ว)
– น้าในแกว้ ท้งั 2 ใบ แตกต่างกนั หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ แตกต่างกัน เพราะ
นา้ ในแก้วที่วางกลางแดดจะอ่นุ เน่ืองจากถกู แสงแดด ส่วนนา้ ในแก้วท่ีวางในที่มืดจะเยน็ กว่า)
– ถา้ นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมในเวลากลางคืน ผลการสงั เกตจะเหมือนในเวลากลางวนั
หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่เหมือนกัน เพราะเวลากลางคืนไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์)
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ดวงอาทิตยใ์ หค้ วามร้อนแก่โลก
4) ข้ันขยายความรู้
(1) แบ่งกลุ่มนกั เรียนใหช้ ่วยกนั หาภาพแสดงประโยชนข์ องดวงอาทิตย์ พร้อมท้งั เขียน
คาอธิบายประกอบภาพ โดยสืบคน้ จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรม
วิทยาศาสตร์ หอ้ งกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ รายการวทิ ยาศาสตร์ท่ีผา่ นสื่อโทรทศั นห์ รืออินเทอร์เน็ต
(2) ครูเชื่อมโยงความรู้อาเซียน โดยครูให้นักเรียนทายว่า เมอ่ื ถงึ เวลาเช้า นกั เรียนของ
ประเทศใดเห็นดวงอาทิตย์ขึน้ ก่อน จากน้ันครูให้ความรู้กบั นักเรียนว่าประเทศสมาชิกอาเซียนน้นั ต้งั อยู่
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 268
ในบริเวณทแ่ี ตกต่างกนั ทาให้เวลาของแต่ละประเทศแตกต่างกัน เวลาท่ดี วงอาทิตย์ขนึ้ จากขอบฟ้ าของ
แต่ละประเทศจงึ แตกต่างกนั ดังนี้
– เมอื่ ให้เวลาของประเทศไทยเป็ นหลกั อนิ โดนเี ซียบริเวณเกาะอเี รียนจายาจะเป็ น
ประเทศทเ่ี ห็นดวงอาทติ ย์ขึน้ จากขอบฟ้ าก่อน เพราะมเี วลาเร็วกว่าประเทศไทย 2 ช่ัวโมง
– ฟิ ลปิ ปิ นส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม และอนิ โดนีเซียบริเวณเกาะ
บอร์เนยี วเป็ นประเทศทเ่ี ห็นดวงอาทติ ย์ขึน้ จากขอบฟ้ าในเวลาต่อมา เพราะมเี วลาเร็วกว่าประเทศไทย 1
ช่ัวโมง
– กมั พชู า ลาว เวยี ดนาม และอินโดนเี ซียบริเวณเกาะสุมาตราและเกาะชวาเป็ น
ประเทศทเี่ ห็นดวงอาทติ ย์ขึน้ จากขอบฟ้ าพร้อมกบั ประเทศไทย
– เมยี นมาเป็ นประเทศทีเ่ ห็นดวงอาทติ ย์ขึน้ จากขอบฟ้ าช้าที่สุด เพราะมเี วลาช้ากว่า
ประเทศไทย 30 นาที
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ดวงอาทิตยจ์ ากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมุด
ส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– นกั เรียนคิดวา่ ดวงอาทิตยม์ ีประโยชนต์ ่อตน้ ไมใ้ นเร่ืองใดบา้ ง
– เราใชป้ ระโยชนจ์ ากดวงอาทิตยใ์ นเรื่องใดบา้ ง
– ถา้ ในโลกน้ีไม่มีดวงอาทิตยจ์ ะเป็นอยา่ งไร
– แสงจากดวงอาทิตยส์ าคญั ต่อส่ิงมีชีวิตเพราะอะไร
– ความร้อนจากดวงอาทิตยส์ าคญั ต่อส่ิงมีชีวิตเพราะอะไร
ข้นั สรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั ดวงอาทิตย์ โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผงั
มโนทศั น์
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 269
2) ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาค้นคว้าเนือ้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้
คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อดวงจนั ทร์ โดยใช้ใบงาน สังเกตก่อนเรียน 17
ทคี่ รูจดั เตรียมไว้ให้ประกอบการศึกษาค้นคว้า (ในสื่อการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานักพมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั )
3) ครูอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติกิจกรรมและมอบหมายให้นักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมท่ีบ้าน
พร้อมท้ังให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
1. นกั เรียนวาดภาพและระบายสีกิจกรรมท่ีตอ้ งอาศยั แสงสวา่ งหรือความร้อนจากดวงอาทิตย์
และเขียนบรรยายภาพวา่ กิจกรรมที่นกั เรียนวาดใชป้ ระโยชนจ์ ากดวงอาทิตยอ์ ยา่ งไร แลว้ นาเสนอให้
เพื่อนดู
2. ครูใหน้ กั เรียนสงั เกตความสาคญั ของดวงอาทิตยต์ ่อการเจริญเติบโตของพืช โดยครูนา
ตน้ ไมช้ นิดและขนาดเดียวกนั มา 2 กระถาง จากน้นั ใหน้ กั เรียนนากระถางใบท่ี 1 วางไวก้ ลางแดดใหไ้ ด้
รับแสงอาทิตยม์ าก ๆ และนากระถางใบที่ 2 ไปวางไวใ้ นที่มืด รดน้าตน้ ไมท้ ้งั 2 ตน้ ปริมาณเท่ากนั และ
สม่าเสมอ นกั เรียนสงั เกตการเจริญเติบโตของตน้ ไมท้ ้งั 2 ตน้ เป็นเวลา 7 วนั
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานสารวจก่อนเรียน 16
2. ใบกิจกรรมท่ี 32 สงั เกตดวงอาทิตยใ์ หค้ วามร้อน
3. ใบงานสงั เกตก่อนเรียน 17
4. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
7. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 270
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงช่ือ .............................................. ผสู้ อน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 271
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 41
ดวงจนั ทร์
สาระท่ี 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ท่องไปในท้องฟ้ า
1. สาระสาคัญ
ดวงจนั ทร์มีทรงกลมและไม่มีแสงสวา่ งในตวั เอง
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
ระบุวา่ ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว (ว 7.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลกั ษณะของดวงจนั ทร์ (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองดวงจนั ทร์ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เกี่ยวกบั 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ดวงจนั ทร์ วิทยาศาสตร์เป็ นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะของดวงจนั ทร์
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 272
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เล่าถึงดวงจนั ทร์ที่นกั เรียนเคยเห็นท่ีบา้ นหรือสถานที่ต่าง ๆ
ที่นกั เรียนเคยไป วา่ มีขนาด รูปทรง และลกั ษณะแบบใด
เขียนบรรยายถึงกิจกรรมหรือประเพณีที่มีความเก่ียวขอ้ งกบั
ดวงจนั ทร์
ศิลปะ วาดรูปและระบายสี เงามืดบนดวงจนั ทร์ที่นกั เรียนสงั เกตได้
แสดงบทบาทสมมตุ ิประกอบนิทานเร่ือง กระต่ายบนดวงจนั ทร์
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อ่าน เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ดวงจนั ทร์ท่ี
เรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 77
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนคิดวา่ ลกั ษณะที่ถกู ตอ้ งของดวงจนั ทร์คือรูปใด
ตวั อย่างลกั ษณะของดวงจันทร์ ท่ีเรามองเห็น
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อ
เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องดวงจนั ทร์
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนนาใบงาน สังเกตก่อนเรียน 17 ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน
มาอภิปรายร่วมกนั ในช้ันเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทากิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก
การจดบนั ทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั กจิ กรรม ดงั นี้
– ดวงจนั ทร์ทสี่ ังเกตมรี ูปร่างใด (แนวคาตอบ ดวงจันทร์เสี้ยว)
– ดวงจนั ทร์ที่สังเกตมสี ีของพนื้ ผวิ ลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ดวงจันทร์มีสีเหลอื งนวล
และมบี างส่วนคล้า)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 273
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทากิจกรรม
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดง
ความคดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั กจิ กรรม สังเกตก่อนเรียน 17 โดยครูช่วยอธิบายให้
นักเรียนเข้าใจว่า ดวงจนั ทร์มแี สงสว่างน้อยและมพี นื้ ผวิ บางส่วนเป็ นสีคลา้
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) นกั เรียนแต่ละคนปฏิบตั ิกิจกรรม สังเกตเงามืดของดวงจันทร์ ตามข้นั ตอนดงั น้ี
– ดสู ่วนที่เป็นสีคล้าของผวิ ดวงจนั ทร์ ในคืนที่ดวงจนั ทร์เต็มดวง
– วาดภาพส่วนท่ีเป็นสีคล้าบนดวงจนั ทร์
– เปรียบเทียบรูปร่างของส่วนท่ีเป็นสีคล้าวา่ คลา้ ยอะไรและเปรียบเทียบกนั กบั เพื่อน
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ชั่วโมงท่ี 78
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละคนนาเสนอผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– ส่วนที่เป็นสีคล้าของดวงจนั ทร์คลา้ ยอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ กระต่าย และปู)
– อปุ สรรคในการทากิจกรรมน้ีคืออะไร (แนวคาตอบ บางคืนดวงจันทร์สว่างไม่เตม็
ดวง หรือมีเมฆบังดวงจันทร์ )
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
ส่วนท่ีเป็นสีคล้าของดวงจนั ทร์ เกิดจากการสะทอ้ นแสงของดวงอาทิตยท์ ่ีไม่เท่ากนั จากพ้ืนผิวดวงจนั ทร์
ที่ขรุขระ ทาใหม้ องเห็นเป็นรูปร่างต่าง ๆ เช่น กระต่าย และปู
4) ข้ันขยายความรู้
(1) แบ่งกลุ่มนกั เรียนใหช้ ่วยกนั คน้ หาภาพกิจกรรมหรือประเพณีที่เก่ียวขอ้ งกบั ดวงจนั ทร์
โดยสืบคน้ จากแหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ หอ้ งกิจกรรม
วิทยาศาสตร์ รายการวทิ ยาศาสตร์ที่ผา่ นสื่อโทรทศั น์ หรืออินเทอร์เนต็ พร้อมกบั เขียนบรรยายถึงความ
เก่ียวขอ้ งกบั ดวงจนั ทร์ แลว้ นามาเสนอใหเ้ พ่ือนฟัง
(2) นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมเสริมการเรียนรู้เร่ือง อุปกรณ์แห่งแสงสว่าง โดยมีข้นั ตอน
ดงั น้ี
– นกั เรียนหาอุปกรณ์ที่ใหแ้ สงสวา่ งในเวลากลางคืนจากใบกิจกรรม
– วงกลมภาพส่ิงของและนบั จานวนอปุ กรณ์วา่ มีอยา่ งละเท่าไร
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 274
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั ดวงจนั ทร์จากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมดุ ส่ง
ครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– ถา้ ไม่มีดวงอาทิตยน์ กั เรียนจะเห็นดวงจนั ทร์หรือไม่ เพราะอะไร
– พ้ืนผิวของดวงจนั ทร์มีผวิ ราบเรียบเหมือนท่ีตาเรามองเห็นหรือไม่ เพราะอะไร
– ถา้ นกั เรียนตอ้ งไปอยบู่ นดวงจนั ทร์ นกั เรียนจะเตรียมอะไรไปบา้ ง เพราะอะไร
– นกั เรียนสามารถมองดวงจนั ทร์ไดโ้ ดยไม่แสบตาเพราะอะไร
– เรามองเห็นดวงจนั ทร์ไดเ้ พราะอะไร
– เราเห็นดวงจนั ทร์เป็นสีคล้าบางส่วนเพราะอะไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั ดวงจนั ทร์ โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนท่ีความคิด
หรือผงั มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อดวงดาว
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเดน็ คาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอ่ื นามาอภปิ ราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 275
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
แบ่งนกั เรียนเป็นกล่มุ เพ่ือแสดงบทบาทสมมตุ ิจากเรื่อง กระต่ายบนดวงจนั ทร์ พร้อมกบั วาด
ภาพประกอบตามจินตนาการ แลว้ นาเสนอใหเ้ พื่อนดู
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมที่ 33 สงั เกตเงามืดของดวงจนั ทร์
2. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ที่ 13 อุปกรณ์แห่งแสงสวา่ ง
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 276
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 42
ดวงดาว
สาระท่ี 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ เวลา 1 ชั่วโมง
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ท่องไปในท้องฟ้ า
1. สาระสาคญั
ดวงดาวท่ีมีแสงกะพริบเป็นดวงดาวท่ีมีแสงสวา่ งในตวั เอง ส่วนดวงดาวที่มีแสงนิ่งเป็น
ดวงดาวท่ีไม่มีแสงสวา่ งในตวั เอง
2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี
ระบุวา่ ในทอ้ งฟ้ ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว (ว 7.1 ป. 1/1)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลกั ษณะของดวงดาว (K)
2. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
4. ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองดวงดาวไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เกี่ยวกบั 1. ประเมินเจตคติทาง 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ
ดวงดาว วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ ก 2. ประเมินเจตคติต่อ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ทกั ษะระหวา่ งเรียน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทดสอบหลงั เรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคล
หรือรายกลมุ่
5. สาระการเรียนรู้
ลกั ษณะของดวงดาว
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 277
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย นกั เรียนเล่าถึงดวงดาวตามสถานที่ต่าง ๆ ท่ีนกั เรียนเคยเห็น
นาคาท่ีกาหนดให้ มาสร้างเป็นเร่ืองราวที่เก่ียวขอ้ งกนั
ศิลปะ แสดงบทบาทสมมุติประกอบนิทานเรื่องดาวลกู ไก่
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั ดวงดาว
ท่ีเรียนรู้หรือท่ีนกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 79
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามคาถามนกั เรียน เพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นกั เรียนเคยฟังนิทานเรื่องดาวลกู ไก่หรือไม่
– ถา้ ตอ้ งการดดู าวลกู ไก่ นกั เรียนควรดูเวลาใด
2) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นของคาตอบจากคาถามขา้ งตน้ เพื่อ
เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เร่ืองลกั ษณะของดวงดาว
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึง
มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับ
ลักษณะของดวงดาว ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละ
กล่มุ ส่งตวั แทนมานาเสนอข้อมลู หน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบ
จากการจดบันทึกของนักเรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– เรามองเห็นดวงดาวในเวลาใด (แนวคาตอบ กลางคนื )
– นักเรียนมองเห็นดวงดาวชัดเจนทุกวนั หรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่ทุกวัน)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามที่นักเรียนสงสัยจากการทาภาระงาน
อย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและ
แสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ดวงดาวพบได้เฉพาะเวลากลางคืน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 278
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) แบ่งกลุ่มนกั เรียน 3–4 คน ใหช้ ่วยกนั คน้ หาภาพกิจกรรมหรือนิทานที่เกี่ยวขอ้ งกบั
ดวงดาว โดยสืบคน้ จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรมวิทยาศาสตร์ หอ้ งกิจกรรม
วิทยาศาสตร์ รายการวิทยาศาสตร์ท่ีผา่ นส่ือโทรทศั นห์ รืออินเทอร์เนต็ แลว้ นาเสนอใหเ้ พื่อนฟัง
(2) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ
หอ้ งเรียนและเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามต่อไปน้ี
– เร่ืองท่ีนกั เรียนคน้ ควา้ คืออะไร (แนวคาตอบ ประเพณีแห่ดาว)
– เรื่องท่ีคน้ ควา้ เกี่ยวขอ้ งกบั ดาวอยา่ งไร (แนวคาตอบ เป็นประเพณีที่จัดวัน
คริสต์มาส ซ่ึงถือว่า ดวงดาว คือ สัญลกั ษณ์ของการประสูติบนโลกของพระเยซู)
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนรู้วา่ ดวงดาว
ท่ีมีแสงน่ิงคือดวงดาวที่ไม่มีแสงสวา่ งในตวั เอง ส่วนดวงดาวที่มีแสงกะพริบคือดวงดาวที่มีแสงสวา่ งใน
ตวั เอง และคืนท่ีมีแสงสวา่ งจากดวงจนั ทร์หรือจากแสงไฟฟ้ ามากจะทาใหม้ องเห็นดวงดาวสวา่ งนอ้ ยลง
4) ข้ันขยายความรู้
(1) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3–4 คน ปฏิบตั ิ กิจกรรมเสริมการเรียนรู้เร่ือง สร้างเร่ืองจากคา
โดยนกั เรียนส่งตวั แทนหยิบคาในกล่องทึบมา 5 คา แลว้ ใชค้ าเหลา่ น้ีมาแต่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกบั เน้ือหาใน
บทเรียน
(2) แบ่งกลุ่มนกั เรียน 3–4 คน ใหช้ ่วยกนั คน้ หาชื่อและคุณสมบตั ิของดวงดาวจากแหลง่
หรือสื่อการเรียนรู้ เช่น หนงั สือพิมพ์ สารานุกรมวิทยาศาสตร์ หอ้ งกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ รายการ
วทิ ยาศาสตร์ที่ผา่ นส่ือโทรทศั นห์ รืออินเทอร์เน็ต กลมุ่ ละ 1 ช่ือ แลว้ นาเสนอผลงานใหเ้ พ่ือนฟัง
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ คาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั ดวงดาวจากหนงั สือเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศพั ทพ์ ร้อมคาแปลลงสมุด
ส่งครู
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม
มีจุดใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และ
ไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน โดยใหด้ ูภาพดวงดาวที่มีแสงสวา่ งชดั เจนและ
ดวงดาวท่ีแสงสวา่ งนอ้ ยจากสถานที่ต่าง ๆ แลว้ ใชค้ าถามต่อไปน้ี
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 279
– นกั เรียนคิดวา่ ดวงดาวในภาพควรเห็นจากในเมืองชนบทหรือชายทะเล
– ดวงดาวท่ีเห็นในภาพควรเป็นคืนที่ดวงจนั ทร์สวา่ งเตม็ ดวงหรือดวงจนั ทร์มืด
เตม็ ดวง
– ถา้ ไม่มีแสงจากดวงอาทิตยน์ กั เรียนจะมองไม่เห็นดวงดาวแบบใด ระหวา่ งดาวที่มี
แสงนิ่งกบั ดาวที่มีแสงกะพริบ เพราะอะไร
– เรามองเห็นดวงดาวเฉพาะเวลากลางคืนเพราะอะไร
– ลกั ษณะของดวงดาวที่เหมือนกบั ดวงอาทิตยค์ ืออะไร
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั ดวงดาว โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือ
ผงั มโนทศั น์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพื่อวดั ความ
กา้ วหนา้ /ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ของนกั เรียน
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ชั่วโมงท่ี 80
ครูประเมินดา้ นความรู้ของนกั เรียนตามตวั ช้ีวดั ช้นั ปี โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบปลายปี
เพื่อวดั ความกา้ วหนา้ /ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5–8 ของนกั เรียน
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ที่ 14 สร้างเรื่องจากคา
2. แบบทดสอบก่อนเรียน
3. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
5. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
6. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 280
10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
(ลงชื่อ) .............................................. ผสู้ อน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 281
บรรณานุกรม
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานกั งาน. หลากหลายวธิ ีการสอนของครูต้นแบบ 2541 วิชา
วทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิมพด์ ีการพิมพ,์ 2542.
ชยั ฤทธ์ิ ศิลาเดช. คู่มอื การเขียนแผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ ระดบั มธั ยมศึกษา. กรุงเทพฯ:
แมค็ , 2545.
ทิศนา แขมมณี. 14 วธิ ีสอนสาหรับครูมอื อาชีพ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,
2544.
วฒั นาพร ระงบั ทุกข.์ เทคนิคและกจิ กรรมการเรียนรู้ทีเ่ น้นผ้เู รียนเป็ นสาคญั ตามหลกั สูตรการศึกษา
ข้ันพนื้ ฐาน พ.ศ. 2544. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิ ค, 2545.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. การจดั สาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตร
การศึกษาขนึ้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ: กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ,
2546.
_______. กระทรวง. สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนึ้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. โรงพิมพช์ ุมชนสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
สมศกั ด์ิ สินธุระเวชญ์ และคณะ. ส่ือการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ สมบูรณ์แบบ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1.
กรุงเทพฯ: สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช, 2547.
_______. หนงั สือเรียนสาระการเรียนรู้พนื้ ฐาน ชุดปฏริ ูป: รู้วธิ ีการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1. สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช, 2547.
สุวทิ ย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. 21 วธิ ีการจดั การเรียนรู้เพอ่ื พฒั นากระบวนการคิด. พิมพค์ ร้ังที่ 2,
กรุงเทพฯ: โรงพิมพภ์ าพพิมพ,์ 2545.
Wiggins, G., and McTighe, J. Understanding by Design. Expanded 2nd ed., Virginia USA:
Association for Supervision and Curriculum Development (ASCD), 2005.
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 282
ตอนที่ 3 เอกสาร/ความรู้เสริมสาหรับครู
เอกสาร/ความรู้เสริมสาหรับครูประกอบดว้ ยส่วนต่าง ๆ ดงั น้ี
– มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั ช้นั ปี และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ป. 1
– กระบวนการจดั การเรียนรู้ท่ีใชใ้ นกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
– แฟ้ มสะสมผลงาน (Portfolio)
– ผงั การออกแบบการจดั การเรียนรู้แบบ Backward Design
– รูปแบบแผนการจดั การเรียนรู้รายชว่ั โมง
– ใบกิจกรรม วิทยาศาสตร์ ป. 1
– แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน ประจาหน่วยการเรียนรู้
– เคร่ืองมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และจิตวิทยาศาสตร์
– เครื่องมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ
– เคร่ืองมือวดั และประเมินสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตร์และภาระงานของนกั เรียนโดยใชม้ ิติคุณภาพ
(Rubrics)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ป. 1 283
มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชี้วดั ช้ันปี และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ป. 1
สาระท่ี 1: ส่ิงมีชีวติ กบั กระบวนการดารงชีวติ
มาตรฐาน ว 1.1: เขา้ ใจหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต ความสมั พนั ธข์ องโครงสร้างและหนา้ ที่ของระบบ
ต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวติ ท่ีทางานสมั พนั ธก์ นั มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้
ในการดารงชีวิตของตนเองและดแู ลส่ิงมีชีวติ
ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั – ส่ิงมีชีวิตมีลกั ษณะแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิต โดยส่ิงมีชีวติ
ส่ิงไมม่ ีชีวติ จะมีการเคล่ือนที่ กินอาหาร ขบั ถา่ ย หายใจ เจริญเติบโต
สืบพนั ธุ์ และตอบสนองต่อสิ่งเร้า แต่ส่ิงไม่มีชีวติ จะไม่มี
ลกั ษณะดงั กล่าว
2. สงั เกตและอธิบายลกั ษณะและหนา้ ที่ของ – โครงสร้างภายนอกของพืชไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และ
โครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ ผล แต่ละส่วนทาหนา้ ที่ต่างกนั
– โครงสร้างภายนอกของสตั ว์ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ปาก เทา้
และขา แต่ละส่วนทาหนา้ ท่ีแตกต่างกนั
3. สงั เกตและอธิบายลกั ษณะ หนา้ ท่ี และ – อวยั วะภายนอกของมนุษยม์ ีลกั ษณะและหนา้ ที่แตกต่างกนั
ความสาคญั ของอวยั วะภายนอกของมนุษย์ อวยั วะเหล่าน้ีมีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ จึงตอ้ งดแู ล
ตลอดจนการดูแลรักษาสุขภาพ รักษาและป้ องกนั ไม่ใหอ้ วยั วะเหลา่ น้นั ไดร้ ับอนั ตราย
มาตรฐาน ว 1.2: เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ฒั นาการ
ของส่ิงมีชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลต่อมนุษยแ์ ละส่ิงแวดลอ้ ม มีกระบวนการ
สืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. ระบุลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ในทอ้ งถ่ินและนามา – สิ่งมีชีวติ ในทอ้ งถ่ินจะมีท้งั ลกั ษณะที่เหมือนกนั และ
จาแนกโดยใชล้ กั ษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ แตกต่างกนั ซ่ึงสามารถนามาจาแนกโดยใชล้ กั ษณะ
ภายนอกเป็ นเกณฑ์
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 1 284
สาระที่ 3: สารและสมบัตขิ องสาร
มาตรฐาน ว 3.1: เขา้ ใจสมบตั ิของสาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสารกบั โครงสร้างและแรง
ยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชี้วดั ช้ันปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. สงั เกตและระบุลกั ษณะท่ีปรากฏหรือสมบตั ิของ – วสั ดุท่ีใชท้ าของเลน่ ของใชใ้ นชีวิตประจาวนั อาจมี
วสั ดุท่ีใชท้ าของเลน่ ของใชใ้ นชีวติ ประจาวนั รูปร่าง สี ขนาด พ้ืนผิว ความแขง็ เหมือนกนั หรือแตกต่าง
กนั
2. จาแนกวสั ดุที่ใชท้ าของเลน่ ของใชใ้ น – ลกั ษณะหรือสมบตั ิต่าง ๆ ของวสั ดุสามารถนามาใช้
ชีวติ ประจาวนั รวมท้งั ระบุเกณฑท์ ่ีใชจ้ าแนก เป็นเกณฑใ์ นการจาแนกวสั ดุท่ีใชท้ าของเลน่ ของใชใ้ น
ชีวิตประจาวนั
สาระท่ี 4: แรงและการเคลอื่ นท่ี
มาตรฐาน ว 4.1: เขา้ ใจธรรมชาติของแรงแม่เหลก็ ไฟฟ้ า แรงโนม้ ถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะ
หาความรู้ ส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งถกู ตอ้ งและมีคุณธรรม
ตวั ชี้วดั ช้ันปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. ทดลองและอธิบายการดึงหรือการผลกั วตั ถุ – การดึงและการผลกั วตั ถุเป็นการออกแรงกระทาต่อวตั ถุ
ซ่ึงอาจทาใหว้ ตั ถุเคลื่อนท่ีหรือไมเ่ คลื่อนที่และ
เปล่ียนแปลงรูปร่างหรืออาจไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง
สาระที่ 6: กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1: เขา้ ใจกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนบนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พนั ธข์ องกระบวนการ
ต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสณั ฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
และจิตวทิ ยาศาสตร์ สื่อสารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. สารวจ ทดลอง และอธิบายองคป์ ระกอบและ
สมบตั ิทางกายภาพของดินในทอ้ งถ่ิน – ดินประกอบดว้ ย เศษหิน ซากพืช ซากสตั ว์
โดยมีน้าและอากาศแทรกอยใู่ นช่องวา่ งของเมด็ ดิน
– ดินในแต่ละทอ้ งถ่ินมีสมบตั ิทางกายภาพแตกต่างกนั
ในดา้ นของสี เน้ือดิน การอุม้ น้า และการจบั ตวั ของดิน