โครงร่างการวิจยั
คณะผู้จัดทา
นักศกึ ษาหลกั สูตรครศุ าสตรมหาบัณฑติ
เสนอ
รองศาสตราจารย์ ดร.สมบตั ิ คชสิทธิ์
รองศาสตราจารย์ ดร.ฐติ ิพร พชิ ญกุล
รายวชิ า EMA 513 สถาบันการศึกษากบั ชุมชน (School and Community)
หลกั สูตรครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ านวตั กรรมการบรหิ ารการศกึ ษา
มหาวิทยาลยั ราชภฎั ไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชปู ถัมภ์
ภาคเรยี นท่ี 3 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
รายงานรวบรวมโครงร่างการวจิ ัยฉบับน้ี จดั ทาขึ้นเพอื่ เป็นส่วนหน่ึงของ วิชา EMA 513 สถาบันการศึกษา
กับชุมชน (School and Community) ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการบริหาร
การศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยนักศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ หลักการ แนวคิด
ทฤษฎีการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างกับชุมชน, กระบวนการและกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
สถาบันการศึกษากับชุมชนและการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถ่ินเพื่อการจัดการเรียนรู้ของสถานบันการศึกษา
ได้นาความรู้ท่ไี ดแ้ ละสนใจมาจัดทาโครงรา่ งวจิ ัย เพ่อื เป็นแนวในการเขียนวิทยานิพนธ์
ขอขอบพระคุณอาจารย์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ คชสิทธ์ิ และรองศาสตราจารย์ ดร.ฐิติพร พิชญกุล
ที่ได้ให้คาปรึกษา แนะแนวทางในการจัดทาโครงร่างการวิจัยฉบับน้ี และให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดี
ขอขอบคณุ ผู้เขยี นตาราเอกสาร และบทความ ท่ีนามาอา้ งองิ เพ่อื ประโยชน์ทางวิซาการทกุ ท่านมา ณ โอกาสนี้
ผูจ้ ัดทาหวงั วา่ รายงานรวบรวมโครงร่างการวิจัยเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน นักเรียน นักศึกษาและผู้
ท่ีสนใจเปน็ อย่างยง่ิ หากมีข้อแนะนาหรอื ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผู้จดั ทาขอน้อมรบั ไวแ้ ละขออภัย มา ณ ทนี่ ี้
คณะผจู้ ดั ทา
สำรบัญ
1. ชื่อเร่ือง กลยุทธ์ท่ีใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนของโรงเรียนวัดชุมพลนิกายาราม
สังกัดสานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยาเขต 2
ชอ่ื ผวู้ ิจยั นางสคุ นธา ณรงค์เดชา
2.ชื่อเร่ือง แนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรียนใน
โรงเรยี นวัดโพธวิ งษ์ อาเภอเมอื งอา่ งทอง จังหวดั อ่างทอง
ชือ่ ผู้วิจยั นางสาวลัดดาวรรณ ทศั นุรักษ์
3.ชอื่ เร่ือง กลยทุ ธก์ ารพัฒนาความสัมพันธร์ ะหว่างสถานศึกษากับชมุ ชนด้วยหลกั 3S’s
ช่ือผ้วู ิจยั นางสาวพมิ ผกา เวชประโคน
4.ชื่อเร่ืองการบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนร ู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย
จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา เพอ่ื พฒั นาเดก็ ระดบั ประถมศึกษาในโรงเรยี นพระอินทร์ศึกษา (กลอ่ มสกลุ อุทศิ )
ช่อื ผู้วิจยั นางสาวนฤทยั ลา
5.ช่ือเร่ือง สภาพและแนวทางการบริหารการจัดการภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษาใน
สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาปทุมธานเี ขต 1
ชอ่ื ผวู้ จิ ัย นางสาวพัชรา กาจุลศรี
6.ช่ือเรื่อง การจัดการภูมิปัญญาท้องถ่ิน ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในอาเภออินทร์บุรี สังกัด
สานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสงิ หบ์ รุ ี
ช่อื ผ้วู ิจยั นายรชา พูลพ่วง
7.ช่ือเร่ือง การพัฒนาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนวังน้อยวิทยา
ภมู ิ อาเภอวงั น้อย จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
ชอื่ ผวู้ จิ ัย นางสาวประวณี ์นชุ เปารกิ
8.ช่ือเรื่อง ความตอ้ งการจาเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัด
สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 2
ชอ่ื ผู้วจิ ัย นางสาววรวรรณ ธารนาถ
9.ชื่อเรื่อง การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสีวลี สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
สง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนปทุมธานี เขต 2
ชื่อผ้วู ิจยั นางสาวอภิรดี ปาปะขา
10.ช่ือเร่อื ง การบริหารจัดการแหลง่ เรียนรู้ และภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ แบบมสี ว่ นรว่ มที่สง่ เสรมิ การศึกษา โรงเรยี น
อนุบาลศรปี ระจันต์ จงั หวัดสพุ รรณบุรี
ชอ่ื ผวู้ ิจยั นางสาวเนตรนภิส สขุ ปล่งั
11.ช่อื เรือ่ ง ความต้องการจาเปน็ ในการสรา้ งความสมั พันธร์ ะหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนบ้านโป่งตะเคียน
สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาปราจนี บุรีเขต 1
ชอ่ื ผวู้ ิจัย นางสาวจุฬาลกั ษณ์ อักษร
12.ชื่อเรื่อง การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ด้วยหลักการสร้าง Trust ของโรงเรียนชุมชน
วัดกาแพง สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
ชอ่ื ผู้วิจัย นางสาวกาญจนา หมดั สะริ
13.ช่ือเร่ือง สภาพการดาเนินงานสัมพันธ์ชุมชนของโรงเรียนชุมชนวัดกาแพง สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 2
ช่ือผวู้ จิ ัย นางสาวสภุ าภรณ์ สวา่ งภกั ดิ์
14.ชื่อเรื่อง การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
สง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน จงั หวดั สระบุรี
ชอ่ื ผวู้ จิ ยั นางสีตลา สิงหม์ โน
15.ชื่อเร่ือง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียน ในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรอี ยุธยา เขต 2
ชื่อผวู้ จิ ยั นายณฐั วุฒิ บุญนาค
เคำ้ โครงกำรวิจัย
ช่อื เรือ่ งวจิ ยั กลยทุ ธ์ท่ใี ชใ้ นการสร้างความสมั พันธร์ ะหว่างสถานศกึ ษากับชมุ ชนของโรงเรียนวดั ชมุ พลนกิ ายาราม
สงั กดั สานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2
ชือ่ ผู้วิจยั สุคนธา ณรงคเ์ ดชา
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยพทุ ธศกั ราช 2540 มาตรา 43 กาหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า
การจดั การศกึ ษาอบรมของรัฐตอ้ งคานึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรท้องถ่ินและเอกชน (สานักงานคณะกรรมการ
การประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ, 2545) การบรหิ ารงานความสัมพันธ์กบั ชุมชนของโรงเรียน เป็นแนวทางการบริหารตาม
พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ในมาตรา 29 กล่าวคือ
บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น
นอกเหนือจากรัฐ เอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพื้นฐาน กาหนดหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพ่ือพัฒนาความเป็นไทย ความเป็นพลเมือง
ดีของชาติ และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพ่ือการศึกษาต่อ ให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าที่จัดสาระหลักสูตร
ในสว่ นทเ่ี กย่ี วกบั สภาพปญั หาในชมุ ชนและสังคม ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือเป็นสมาชิกที่ดี
ของครอบครัวชุมชนสังคมและประเทศชาติ การส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน การสร้างความสัมพันธ์ ระหว่าง
โรงเรียนกับชุมชนเปน็ การเพ่ิมประสิทธิภาพในการพัฒนาภารกิจของโรงเรยี น
วัตถปุ ระสงค์กำรวจิ ัย
เพอ่ื ศึกษากลยทุ ธ์ที่ใช้ในการสรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรยี นกับชุมชนของโรงเรยี นวัดชุมพล นกิ ายา
ราม สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยาเขต 2
ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จำกกำรวิจัย
1. มีกลยทุ ธ์ในการสรา้ งและพฒั นาความสมั พันธร์ ะหวา่ งสถานศึกษากบั ชุมชน
2. มีขอ้ มลู พื้นฐานในการพฒั นากลยุทธแ์ ละเครอ่ื งมอื ในการสรา้ งความสมั พันธข์ องสถานศกึ ษาและชุมชน
วิธีดำเนนิ กำรวิจัย (โดยย่อ)
กลยทุ ธท์ ใ่ี ชใ้ นการสร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถานศกึ ษากับชมุ ชนของโรงเรยี นวัดชมุ พลนิกายาราม สังกัด
สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรอี ยุธยาเขต 2 แบง่ ออกเป็น 2 ข้นั ตอนหลกั ดังนี้
ข้ันตอนหลักท่ี 1 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้ข้ันตอนท่ี 1
ศึกษาแนวคิด หลักการและทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ กลยุทธ์ในการการสร้างความสัมพันธ์
ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนวัดชุมพลนิกายาราม สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรอี ยุธยาเขต 2
ขนั้ ตอนที่ 2 กาหนดกรอบแนวคดิ การวจิ ัย
ขนั้ ตอนท่ี 3 สร้างเครือ่ งมือเพื่อการวจิ ยั
ข้ันตอนที่ 4 ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิและผเู้ ชย่ี วชาญพจิ ารณาคณุ ภาพของเคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัย
ขน้ั ตอนที่ 5 ทดลองใช้เคร่ืองมือเพื่อการวจิ ัย เพ่อื พิจารณาความเชอื่ มั่นของเคร่ืองมือ ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
ขน้ั ตอนท่ี 6 ปรบั ปรุงเคร่ืองมือเพ่ือการวจิ ยั เพ่ือความพร้อมในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากกลุม่ ตัวอย่างผู้ให้
คาตอบต่อกลยทุ ธ์ที่ใชใ้ นการสรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกบั ชุมชนของ โรงเรียนวัดชมุ พลนกิ ายาราม สงั กดั
สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยาเขต 2 ในภาคปฏิบตั ิการจรงิ
ขน้ั ตอนหลกั ท่ี 2 การศกึ ษาในภาคปฏบิ ัติการจรงิ
ขั้นตอนที่ 1 กาหนดกลมุ่ ประชากร และขนาดกลมุ่ ตัวอย่าง
ขั้นตอนท่ี 2 เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ขั้นตอนที่ 3 ประมวลผลขอ้ มูล
ขั้นตอนท่ี 4 วเิ คราะหข์ ้อมลู และแปลผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ขน้ั ตอนที่ 5 สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผลการวจิ ัย และใหข้ ้อเสนอแนะ
ข้ันตอนท่ี 6 รายงานผลการวจิ ัย
1. ประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง
1. ประชากร การวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนวัดวัดชุมพลนิกายาราม สังกัด
สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยาเขต 2
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนวัดวัดชุมพลนิกายาราม
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2 จากการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตาม
ตารางของ Krejcie and Morgan (1970, p.608) โดยใชว้ ธิ กี ารสุ่มแบบแบ่งช้ัน (Stratified random sampling)
2. ตวั แปรทศ่ี ึกษำ
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ ผ้ปู กครอง
2.2 ตัวแปรตาม คอื กลยุทธท์ ่ใี ช้สรา้ งความสัมพนั ธ์ระหว่างสถานศึกษากับชมุ ชน
2.2.1 หลกั 3S’s ในการสรา้ งความร่วมมือและการสนบั สนุนจากชมุ ชน
S –Shared Vision คอื กำรสรำ้ งให้ชุมชนมีวิสยั ทัศนร์ ่วมกันกบั สถำนศึกษำ
S- Synergy คือกำรรวมพลงั ประสำนควำมรว่ มมอื กบั ชุมชนใหท้ ำงำนร่วมกบั สถำนศึกษำ
S-School Based Activities กำรสร้ำงสถำนศึกษำให้เป็นแหล่งควำมรู้ ศูนย์กลำงพัฒนำ
ทรัพยำกรมนุษยข์ องชุมชน
3. เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในกำรวิจัย
แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กลยุทธ์ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนของ
โรงเรียนวัดชุมวัดพลนิกายาราม สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2
4. กำรหำคณุ ภำพเคร่อื งมือ
ผู้ทรงคุณวุฒแิ ละผู้เชีย่ วชาญพจิ ารณาความตรงตามเน้ือหาของเครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั แบ่งออกเปน็ 6 ข้นั ดงั น้ี
ขนั้ ที่ 1 กาหนดรายชอ่ื ผ้ทู รงคณุ วุฒิและผเู้ ช่ยี วชาญ จานวน 5 ทา่ น ประกอบดว้ ย
ขนั้ ที่ 2 ทาหนงั สอื ประสานงานขอความอนุเคราะห์ถึงผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาความ
ตรงตามเนอื้ หาและความเหมาะสมของเครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย
ข้ันท่ี 3 ติดตามผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาความตรงตามเน้ือหา
และความเหมาะสมของเครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
ข้ันที่ 4 ประมวลผลการพิจารณาความตรงตามเน้ือหาและความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาดัชนีค่าความตรงตามเนื้อหาของเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย (CVR:
Content validity ratio/ IOC: Index of itemobjective congruence) ซงึ่ ทง้ั ฉบบั = 1.00
ขั้นท่ี 5 นาข้อมูลผลการพิจารณาความตรงตามเน้ือหาของเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยและข้อเสนอแนะของ
ผ้ทู รงคณุ วุฒิ และผเู้ ช่ยี วชาญปรกึ ษาหารือกบั อาจารย์ท่ปี รกึ ษางานนพิ นธ์
ข้ันท่ี 6 ปรับปรุงข้อคาถามของเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและ
ผู้เชี่ยวชาญ โดยผ่านความคดิ เห็นชอบของอาจารย์ที่ปรึกษางานนพิ นธ์
5. กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การเก็บรวบรวมขอ้ มูลแบง่ ออกเป็น 3 ขัน้ ดังนี้
ขนั้ ที่ 1 ทาหนังสือประสานงานถึงผู้นาหมบู่ า้ นของกลมุ่ ผตู้ อบแบบประเมินเพ่ือเป็นการขออนุญาต และให้
ความเห็นชอบทีผ่ ู้วจิ ัยเขา้ ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ข้นั ที่ 2 ผวู้ จิ ัยดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากกลมุ่ ผู้ตอบแบบประเมิน
ขัน้ ท่ี 3 ผู้วจิ ยั ตรวจสอบและพิจารณาความครบถ้วน และความสมบรูณ์ของการให้คาตอบของกลุ่มผู้ตอบ
แบบประเมนิ ในเครอื่ งมือการวจิ ัยแตล่ ะฉบับ
6. สถิตทิ ่ีใชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล
คา่ สถิติทใ่ี ช้ในการประมวลผลและการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1. ใช้คา่ สถติ ิ ร้อยละ(%) วิเคราะห์ข้อมูลผู้ตอบแบบประเมินต่อ “การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน
กับชมุ ชน”
2. ใช้ค่าสถิติ และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) วิเคราะห์สภาพท่ีเป็นจริงในปัจจุบันของ “การ
สรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างโรงเรียนกับชมุ ชน”
3. ใช้ค่าสถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)วิเคราะห์สภาพท่ีควรจะเป็นใน
ความคาดหวงั ของ “การสรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรยี นกบั ชุมชน”
4. ใช้คา่ สถติ ิ ดชั นคี วามต้องการจาเป็นในการพัฒนา (PNI modified; Modified priority needs index)
วเิ คราะห์ความตอ้ งการจาเป็นในการพฒั นาการสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างโรงเรยี น
กับชุมชน
5. ใช้คา่ สถิติ ร้อยละ (%) และ ร้อยละสะสม (% สะสม) วิเคราะห์ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะการพัฒนา
ของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรยี นกบั ชุมชน
7.ขอ้ เสนอแนะ
1. ควรศึกษากลยทุ ธแ์ ละเครอื่ งมือเพม่ิ เตมิ เพื่อใช้ในการพัฒนาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถานศกึ ษากับชุมชน
2. ควรขยายผลการศึกษาในเรื่องกลยุทธ์ท่ีใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ว่ามี
ผลอยา่ งไรเพ่ือนาไปพัฒนาการสร้างความสัมพันธก์ บั ชุมชน
เคำ้ โครงกำรวจิ ัย
ช่ือเร่ือง แนวทางการมสี ว่ นรว่ มของผู้ปกครองในการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรยี นใน
โรงเรยี นวัดโพธิวงษ์ อาเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง
ชือ่ ผวู้ จิ ยั นางสาวลัดดาวรรณ ทศั นรุ ักษ์
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญ
การศึกษาเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ และเป็นหัวใจสาคัญในการ
พัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาบุคคลให้เป็น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมท่ีดีในการดารงชีวิต
ตลอดจนสามารถอยูร่ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2551: 5)
ดังนน้ั ในการจัดการศึกษาให้แก่เยาวชนของชาติจึงไม่ใช่หน้าท่ีของสถานศึกษาและครูเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่ม
บุคคลทสี่ าคัญอกี 3 กลุ่ม คอื ตัวผเู้ รียนหรือนักเรยี น กลุ่มของครอบครัวหรอื พ่อแมผ่ ูป้ กครอง และกลุ่มของชุมชนท่ี
ต้องร่วมมือกันเพ่ือให้เป็นพลังในการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ที่ดีให้แก่เยาวชน ท้ังนี้ผู้บริหารสถานศึกษาและครู
จะต้องเปน็ ผ้มู บี ทบาทสาคัญในการเชอ่ื มโยงความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชนให้เข้า
มามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาบรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ (ดวงกมล สินเพ็ง,
2551:10) โดยนาหลัก 3S’s ในการสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนจากชุมชน มาปรับใช้ (ประสงค์ ถึงแสง,
2559) ทว่ี ่าดว้ ย S – Shared Vision คอื การสร้างให้ชุมชนมีวิสัยทัศน์ร่วมกันกับสถานศึกษา S - Synergy คือการ
รวมพลังประสานความร่วมมือกับชุมชน ให้ทางานร่วมกับสถานศึกษา และ S - School Based Activities การ
สร้างสถานศึกษาให้เป็นแหลง่ ความรศู้ ูนยก์ ลางพัฒนาทรัพยากร มนษุ ยข์ องชุมชน
การหาแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรียน
มีองค์ประกอบของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง 6 ด้าน ได้แก่ 1) การอบรมเลี้ยงดู (Parenting) 2) การ
ตดิ ต่อสอ่ื สาร (Communication) 3) ดา้ นความสัมพันธข์ องครอบครัว (Relation of Family) 4) การเรียนรู้ที่บ้าน
(Learning at Home) 5) การตัดสินใจ (Decision Making) และ 6) การร่วมมือกับชุมชน (Collaboration with
Community) เอปสไตน์ (Epstein, 1995 -2010)
วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวิจยั
1. เพื่อศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการตนเองของ
นกั เรียนในโรงเรยี นวดั โพธวิ งษ์ อาเภอเมืองอา่ งทอง จงั หวดั อา่ งทอง
2. เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการ
เสริมสร้างทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรยี นในโรงเรยี นวดั โพธิวงษ์ อาเภอเมอื งอ่างทอง จงั หวดั อา่ งทอง
ขอบเขตของกำรวจิ ยั
1.ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง
ประชำกร
ผบู้ ริหารสถานศึกษา คณะครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผู้ปกครองของนักเรียน ระดับช้ันอนุบาล 2 - ชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ในโรงเรยี นโรงเรียนวัดโพธวิ งษ์ อาเภอเมืองอา่ งทอง จังหวดั อา่ งทอง
กล่มุ ตัวอย่ำง
ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนโรงเรียนวัดโพธิวงษ์ อาเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทองต้ังแต่ระดับชั้น
อนบุ าล 2 จนถงึ ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ปีการศกึ ษา พ.ศ. 2565
2. ขอบเขตด้ำนตัวแปร
ตัวแปรตน้
การมสี ว่ นร่วมของผปู้ กครองในการเสรมิ สร้างทักษะการบรหิ ารจดั การตนเองของนักเรียน
ตวั แปรตำม
แนวทางการมสี ่วนร่วมของผู้ปกครองในการเสรมิ สร้างทกั ษะการบริหารจดั การตนเองของนกั เรียน
3. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย
ปกี ารศึกษา 2565
นิยำมศพั ท์
แนวทางการมสี ่วนรว่ มของผปู้ กครอง, ทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรียน, ผ้ปู กครอง
วธิ กี ำรดำเนินกำรวจิ ัย
1. เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย
แบบสอบถามการมีสว่ นร่วมของผปู้ กครองในการเสริมสรา้ งทักษะการบริหารจัดการตนเองของนักเรียนใน
โรงเรียนวัดโพธิวงษ์ อาเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
(Rating Scale)
2. ขน้ั ตอนในกำรดำเนินกำรวิจยั
1. ตดิ ตอ่ บณั ฑิตวิทยาลัย เพือ่ ทาหนงั สือขอความรว่ มมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
2. ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยการนาแบบสอบถาม ไปสอบถามผู้ให้ข้อมูล ซึ่งเป็น
ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนโรงเรียนวัดโพธิวงษ์ อาเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ต้ังแต่ระดับช้ันอนุบาล 2
จนถงึ ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ปกี ารศกึ ษา พ.ศ. 2565
3. กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล
หาค่าเฉลยี่ ( ) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
เค้ำโครงกำรวิจัย
ชื่อเร่ือง กลยุทธ์การพัฒนาความสัมพันธ์ระหวา่ งสถานศกึ ษากบั ชุมชนดว้ ยหลกั 3S’s
ชื่อผู้วิจยั นางสาวพิมผกา เวชประโคน
ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นการกระจายอานาจการจัดการศึกษาจากส่วนกลางไปยังท้องถิ่น สนอง
ความต้องการของท้องถ่ินให้สังคมทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้
ความสาคญั กับการกระจายอานาจการจดั การศึกษาไปยังท้องถ่นิ และสถานศกึ ษา
ดังน้ัน ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน เพื่อพัฒนา
โรงเรียนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน การส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับ
ชุมชนในการพัฒนาการศึกษาจึงมีความสาคัญ เพราะสถานศึกษาจะดาเนินงานต่าง ๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ต้อง
อาศัยความร่วมมือร่วมใจ (ธีระ รุญเจริญ, การบริหารเพ่ือปฏิรูปการเรียนรู้, 2554) จากบุคคลากรและหน่วยงาน
ต่าง ๆ เพ่ือให้สถานศึกษาและชุมชนสัมฤทธิ์ประโยชน์ร่วมกัน เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพัฒนา
การศึกษาที่ส่งผลผลิตคือนักเรียนที่จะเป็นอนาคตท่ีสาคัญของชาติ โดยใช้กลยุทธ์การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง
สถานศึกษากับชุมชนท่ียึดหลัก 3S’s ในการสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนจากชุมชน ได้แก่ S - Shared
Vision คอื การสรา้ งใหช้ ุมชนมวี สิ ัยทศั นร์ ว่ มกันกับสถานศึกษา S - Synergy คือการรวมพลังประสานความร่วมมือ
กับชุมชนให้ทางานร่วมกับสถานศึกษา และ S - School Based Activities การสร้างสถานศึกษาให้เป็นแหล่ง
ความร้ศู ูนยก์ ลางพฒั นาทรพั ยากรมนุษยข์ องชุมชน
วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย
1. เพือ่ ศึกษากลยทุ ธก์ ารพฒั นาความสมั พันธร์ ะหว่างสถานศึกษากบั ชุมชนดว้ ยหลัก 3S’s
วธิ ีดำเนนิ กำรวิจัย
ประชำกรทีใ่ ชใ้ นกำรวจิ ยั ครั้งน้ี
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ ครู ผู้ปกครอง ชุมชน อาเภอเมือง จังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้
ในการศึกษาครง้ั นี้ คือ ครู ผู้ปกครอง ชุมชน ตาบลปากข้าวสาร อาเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ปีการศึกษา 2565 ใช้
ขนาดกล่มุ ตัวอย่างจากตารางสาเร็จของเครจซแ่ี ละมอรแ์ กน โดยวธิ ีการสมุ่ อย่างงา่ ย
เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นกำรวจิ ยั /นวัตกรรม
- เครือ่ งมือที่ใช้รวบรวมข้อมลู ในการวจิ ยั คร้ังน้ีเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) โดยผู้วิจัยได้สร้างจาก
แนวคิดทีไ่ ด้ศกึ ษาจากเอกสาร และงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง จานวน 2 ตอน ดังน้ี
ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 เปน็ แบบสอบถามกลยทุ ธก์ ารพฒั นาความสัมพันธร์ ะหว่างสถานศกึ ษากับชุมชนดว้ ยหลัก 3S’s
กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
- เก็บรวบรวมแบบสอบถามจากกลมุ่ ตัวอยา่ ง จานวน 100 ฉบบั เพื่อนามาวิเคราะหข์ ้อมลู
กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู /สถติ ิท่ใี ชใ้ นกำรวจิ ยั
- ค่าความถแี่ ละรอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี (X) และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลกำรวิจัย
ผลการวจิ ยั พบวา่ กลยทุ ธ์การพฒั นาความสมั พันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนด้วยหลัก 3S’s อยู่ในระดับ
มาก
อภปิ รำยผล
กลยุทธ์การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนด้วยหลัก 3S’s จากผลการวิจัยพบว่า
ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก
ขอ้ เสนอแนะ
ควรศึกษาปัจจยั อืน่ ทสี่ ่งผลตอ่ การพฒั นาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสถานศึกษากบั ชมุ ชนด้วย
เค้ำโครงกำรวิจัย
ช่ือเรื่อง การบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนรภู้ ูมิปัญญาท้องถิ่นของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย จังหวัด
พระนครศรีอยธุ ยา เพอ่ื พฒั นาเดก็ ระดับประถมศึกษาในโรงเรยี นพระอนิ ทรศ์ กึ ษา (กลอ่ มสกลุ อทุ ศิ )
ชอื่ ผูว้ จิ ยั นางสาวนฤทัย ลา
ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปัญหำ
การพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ พฒั นาได้ดีในระดับประถมศึกษา เพราะ “การลงทุนพัฒนาเด็กเป็นการลงทุน
ทีค่ มุ้ ค่าใหผ้ ลตอบแทนแก่สังคมดที ี่สดุ ในระยะยาว” โดยคนื ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคตมากถึง 7 เท่า เป็นท้ัง
การเพ่มิ คุณภาพทรพั ยากรบคุ คลของประเทศ ลดอัตราการสูญเสียท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต (เฮกแมน, ม.ป.ป. อ้างถึง
ในสุริยา ฆ้องเสนาะ, 2558, 1) โดยเครื่องมือสาคัญท่ีช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ การศึกษาแต่ปัญหาท่ีพบใน
การจัดการศึกษาในปัจจุบันคือ ท้ังครูและผู้บริหารสถานศึกษายังขาดความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องในการจัด
การศึกษา ซ่ึงต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมพัฒนาการในทุกด้านอย่างสมดุล ท้ังด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และ
สติปัญญา จัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับธรรมชาติตามวัยมุ่งเน้นการเล่นและเรียนรู้ตามธรรมชาติที่อยู่รอบตัว
รวมทั้งสังคมและวัฒนธรรมของคนในท้องถ่ิน มีการจัดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนเพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิด
การเรียนรู้ โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติได้อธิบายในส่วนนี้ว่า จะต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสภาพจริง
และประเมนิ ผลตามสภาพจริง
วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย
1. เพื่อศึกษาข้อมูลแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา สาหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการหาวิธีบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน
เพ่ือพฒั นาเด็กระดับประถมศึกษาในโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กลอ่ มสกุลอทุ ศิ )
2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการหาวิธีบริหารจัด
การศกึ ษาแหลง่ เรียนรู้ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ เพ่ือพัฒนาเด็กระดับประถมศึกษาในโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กล่อมสกุล
อุทิศ)
3. เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรคการบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินของตาบลพยอม
อาเภอวงั น้อย จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา สาหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการหาวิธีบริหารจัดการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิ
ปญั ญาทอ้ งถ่ินเพือ่ พฒั นาเด็กระดบั ประถมศกึ ษาในโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กลอ่ มสกุลอุทิศ)
นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ
1. ข้อมูลแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญำท้องถิ่น หมายถึง การรวบรวมและจัดทาคู่มือข้อมูลแหล่งเรียนรู้ภูมิ
ปญั ญาท้องถิน่ ของตาบลพยอม อาเภอวงั น้อย จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา
2. กำรบริหำรจัดกำรศกึ ษำแหลง่ เรียนรภู้ มู ิปัญญำท้องถน่ิ หมายถงึ การนาข้อมูลแหล่งเรียนรู้ภูมปิ ญั ญา
ท้องถิน่ ของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาใช้เป็นฐานข้อมลู ในการประชมุ รว่ มกบั
คณะกรรมการสถานศึกษา สาหรับนาขอ้ มลู มาพัฒนาเป็นคู่มือการบริหารจัดการศกึ ษาแหล่งเรยี นร้ภู มู ิ
ปัญญาท้องถนิ่ ของตาบลพยอม อาเภอวังน้อย จงั หวดั พระนครศรีอยุธยาเพอ่ื พฒั นาเด็กระดับ
ประถมศึกษาในโรงเรยี นพระอนิ ทรศ์ ึกษา (กลอ่ มสกุลอุทิศ) ตามวงจรการพฒั นาระบบงาน SDLC ดังน้ี
ขั้นท่ี 1. การกาหนดปัญหา (Problem Recognition)
ขัน้ ท่ี 2. การวเิ คราะห์ (Analysis)
ขั้นที่ 3. การออกแบบ (Design)
ข้นั ที่ 4. การพัฒนา (Development)
ขน้ั ที่ 5. การตรวจสอบ (Testing)
ข้ันที่ 6. การนาระบบไปใช้ (Implementation)
ขั้นท่ี 7. การบารงุ รกั ษา (System Maintenance)
3. คณะกรรมกำรสถำนศึกษำ หมายถึง บุคคลตามเกณฑ์ท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินกาหนดเพ่ือปฏิบัติ
หน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุนการดาเนินงานของโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กล่อมสกุลอุทิศ) ตาม
มาตรฐานการดาเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดย อบต.พยอม ได้มีส่วนช่วยในการพิจารณาคัดเลือกและ
แต่งต้ังเพ่ือปฏิบัติหน้าที่ ซ่ึงคณะกรรมการสถานศึกษาในโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กล่อมสกุลอุทิศ)
ได้แก่ รองผู้อานวยการสานักการศึกษา 2 คน หัวหน้าสถานศึกษาจานวน 1 คน นักวิชาการศึกษา 1 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา จานวน 1 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน จานวน 1 คน ผู้แทนชุมชน
1 คน ผู้นาทางศาสนา จานวน 1 คน ผู้แทนผู้ปกครอง จานวน 1 คน และครูผู้สอน จานวน 7 คน ในปี
การศกึ ษา 2565 รวมทง้ั หมด 16 คน
4. เด็กระดับประถมศึกษำ หมายถึง นักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-6 ในปีการศึกษา 2565 ที่กาลัง
ศึกษาในโรงเรียนพระอินทร์ศึกษา (กล่อมสกุลอุทิศ) ซ่ึงเป็นสถานศึกษาที่ให้การอบรมเลี้ยงดู
จดั ประสบการณแ์ ละส่งเสริมพัฒนาการการเรยี นรู้ให้เด็กเล็กมคี วามพร้อมด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจสังคม
และสติปญั ญา สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1
5. ผู้ปกครอง หมายถึง บิดา มารดา หรือผู้ที่ทาหน้าที่ปกครองดูแลนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี 1-6
ในปีการศึกษา 2565 ทีก่ าลงั ศึกษาในโรงเรียนพระอินทร์ศกึ ษา (กลอ่ มสมกุลอทุ ศิ )
วธิ ีดำเนินกำรวิจัย
ดาเนินการวจิ ยั 7 ขนั้ ตอน ตามวงจรกำรพัฒนำระบบงาน SDLC ดงั นี้
1) ขน้ั การกาหนดปญั หาการพัฒนาแหลง่ เรียนรแู้ ละภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ (Problem Recognition)
2) ขน้ั การวิเคราะหร์ วบรวมขอ้ มูลการบรหิ ารจัดการแหลง่ เรียนรแู้ ละภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน (Analysis)
3) ข้นั การออกแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้และภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ (Design)
4) ขั้นการพฒั นาการบรหิ ารจัดการแหล่งเรียนรู้และภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ (Development)
5) ข้ันการการตรวจสอบ กากับติดตาม และประเมินผล การปฏิบัติการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้และภูมิ
ปัญญาทอ้ งถิ่น (Testing)
6) ขั้นการนาผลไปพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ิน
(Implementation)
7) ขน้ั การบารงุ รกั ษาการบรหิ ารจดั การแหล่งเรียนรู้และภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ (System Maintenance)
1. ประชำกร/กลุ่มตัวอย่ำง รองผู้อานวยการสานักการศึกษา หัวหน้าสถานศึกษา นักวิชาการศึกษา
ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ผู้แทนชุมชน ผู้นาทางศาสนา ผู้แทน
ผูป้ กครอง และครผู ู้สอน
2. เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัย/นวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้
และภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ แบบสังเกตการดาเนินงานโครงการหรือกิจกรรม
3. กำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากแบบประเมินความพึงพอใจ แบบสังเกตการดาเนนิ งานโครงการหรือกิจกรรม
4. กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู /สถติ ิทีใ่ ชใ้ นกำรวิจัย ค่าเฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน คา่ ความถี่
ผลกำรวจิ ยั พบว่ำ -
ขอ้ เสนอแนะ -
เคำ้ โครงกำรวิจัย
ชอ่ื เร่อื ง สภาพและแนวทางการบริหารการจดั การภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ เพ่ือการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษาใน
สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาปทุมธานเี ขต 1
ชื่อผู้วิจัย นางสาวพัชรา กาจุลศรี
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ
โลกในศตวรรษที่ 21 นี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ท้ังเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม
การเมอื ง และเทคโนโลยี ตลอดจนการเปน็ โลกในยคุ ดจิ ิทลั ทีข่ ้อมูล เชอ่ื มตอ่ กันอยา่ งรวดเร็วในทกุ มติ ิ เหล่านี้ทาให้
นานาประเทศตอ้ งกลับมาวางแผนพฒั นาประเทศรองรับการเปล่ียนแปลงในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล และพร้อมต่อการ
แข่งขันท่ีเขม้ ข้นในปัจจุบัน ท้งั นก้ี ารพัฒนาสมรรถนะของคนถอื เปน็ หวั ใจสาคัญในการพฒั นาประเทศทยี่ ั่งยืน
ตามที่กาหนดไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ให้โรงเรียนขับเคล่ือนในยุทธศาสตร์ที่ 3
การพัฒนาศักยภาพของคนทุกชว่ งวยั และการสรา้ งสังคมการเรียนรู้โดยการส่งเสริมให้มีการใช้ส่ือ แหล่งเรียนรู้ ใช้
ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและปราชญ์ชาวบ้านในกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือนาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญา
ท้องถ่ินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน และชุมชน จนสามารถเพ่ิมมูลค่าจากต้นทุนทางปัญญาเหล่าน้ันจน
ก่อให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในชุมชนต่อไปสภาพปัญหาในการใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินคือ ปัญหาการ
บริหารจัดการ เช่น ปัญหาด้านงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้บริหารบางโรงเรียนไม่ให้ความสาคัญกับภูมิ
ปัญญาท้องถิ่นเท่าที่ควร ความไม่ต่อเนื่องของผู้เรียนและผู้สอน เนื่องจากการย้ายสถานศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน
สว่ นมากมอี าชพี เกษตรจงึ ไมม่ ีเวลา
วตั ถุประสงคก์ ำรวจิ ัย
1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่นเพ่ือการจัดการเรยี นรู้ของสถานศึกษาในสานักงาน
เขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาปทมุ ธานเี ขต 1
2. เพ่อื หาแนวทางการบริหารจดั การภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินเพ่ือการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษาในสานักงาน
เขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาปทมุ ธานีเขต 1
ประชำกร/ กลุ่มเป้ำหมำย
ผปู้ กครอง คณะกรรมการสถานศกึ ษา ปราชญช์ าวบา้ น ครูและผู้บริหารสถานศึกษาในสานักงานเขตพืน้ ท่ี
การศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานเี ขต 1
ขอบเขตดำ้ นเนือ้ หำ
การวิจัยคร้ังนี้ดาเนินการศึกษาสภาพและหาแนวการบริหารการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพ่ือการจัดการ
เรยี นรขู้ องสถานศึกษาในสานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาปทุมธานเี ขต 1 โดยผูว้ จิ ัยจะนากระบวนการคิด
ของ Design Thinking แบง่ ออกเปน็ 5 ขัน้ ตอนจากแนวความคิดของ Stanford Design School ไดแ้ ก่
1.Empathize การทาความเข้าใจกลมุ่ เป้าหมายอยา่ งลกึ ซ้งึ 2.Define การตัง้ กรอบโจทย์
3.Ideate การสรา้ งความคิด 4.Prototypeการสร้างตน้ แบบและ
5.Test การทดสอบเม่ือนาการคิดเชิงออกแบบไปใช้
เค้ำโครงกำรวิจยั
ช่อื เรือ่ ง การจดั การภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเลก็ ในอาเภออินทรบ์ ุรี สงั กัด
สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสงิ หบ์ รุ ี
ผู้วิจัย นายรชา พูลพ่วง
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หาการจดั หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็น
พลเมืองดีของชาติการดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพ่ือศึกษาต่อ และให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
จดั ทาสาระของหลักสูตรในสว่ นทเี่ กีย่ วกบั สภาพปญั หาในชุมชนและสงั คม ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน
คุณลกั ษณะอันพึงประสงคเ์ พ่ือเปน็ สมาชิกทีด่ ีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติการจัดการศึกษาที่เปิด
โอกาสให้ชุมชนผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรียนเป็นวิธีการ
เรียนการสอนท่ีมีความหมายต่อผู้เรียน มีความสอดคล้องกับชีวิตจริง และนามาซึ่งความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของ
ตน ซ่ึงจะนามาสู่การพัฒนาวัฒนธรรมของชุมชนท่ียั่งยืน และภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความสาคัญยิ่งนับวันวัฒนธรรม
ท้องถิ่นจะสูญหายไปไร้ผู้สืบทอด เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาความรู้ การปฏิบัติการถักทอสายใยของท้องถิ่นท่ีมี
มาแต่ในอดีต อย่าง บ้าน วัด โรงเรียนให้กลับมามีบทบาทเข้มแข็งอีกคร้ัง ดังนั้นการใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินในงาน
วิชาการถือวา่ เป็นสงิ่ ทสี่ าคัญ
จากปัญหาการละเลยและละทิง้ ภูมิปัญญาไทย คนไทยในยุคปัจจุบันมีวิถีชีวิตแบบสมัยใหม่ภายใต้สังคมท่ี
ผสมผสานระหว่างเก่ากับใหม่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมท่ีนับวันมีแต่จะเสื่อมโทรมกาลังก้าวเข้าสู่ภาวการณ์ขาด
ความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติการขาดนโยบายในการส่งเสริมต้านภูมิปัญญาไทย การบริหาร
การศึกษาและการจัดการเรียนรใู้ นปจั จบุ นั ไม่เอือ้ ตอ่ การศกึ ษาสบื ทอดภมู ิปัญญาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และ
ชุมชนบางสว่ นยงั ไมเ่ ข้าใจ จากปญั หาดังกล่าวผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนโรงเรียนวัดประศุก ซ่ึงเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก
และได้พูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับครูในโรงเรียนขนาดเล็กด้วยกันพบว่าปัญหาที่พบจะคล้ายๆกันดังนั้นผู้วิจัย
ตระหนักถึงความสาคัญของภูมิปัญญาท้องถ่ินจึงสนใจศึกษาการจัดการภูมิปัญญาท้องถ่ินในการจัดการศึกษาของ
โรงเรยี นขนาดเลก็ ในอาเภออินทรบ์ รุ ี สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาสิงห์บุรี
วัตถปุ ระสงค์กำรวิจยั
1. เพ่อื ศึกษาระดบั การจดั การภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ในการจัดการศกึ ษาของโรงเรียนขนาดเล็กในอาเภออนิ ทร์
บุรี สงั กัดสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสงิ หบ์ รุ ี
2. เพอ่ื เปรยี บเทียบการจัดการภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ ในการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี นขนาดเล็กในอาเภอ
อินทรบ์ รุ ี สังกัดสานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสงิ ห์บรุ ี
ประชำกร/ กลุ่มเป้ำหมำย
ครูโรงเรยี นขนาดเลก็ ในอาเภออินทรบ์ รุ ี สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสิงหบ์ ุรี
ขอบเขตด้ำนเน้อื หำ
ขอบเขตดา้ นเน้ือหา มุง่ ศึกษาการจดั การภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ มาใช้ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนโรงเรยี น
ขนาดเลก็ ในอาเภออนิ ทรบ์ รุ ี สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสงิ หบ์ รุ ีตามแนวทางการจัดการเรยี น
การสอน โดยใชว้ งจรคณุ ภาพเดลมิ่ง PDCA ได้แก่
1) การวางแผนปฏิบัตงิ าน
2) การรว่ มมือประสานงาน
3) การจดั หาทรัพยากร
4) การประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน
เคำ้ โครงกำรวจิ ัย
ชอ่ื เร่ือง การพัฒนาแนวทางส่งเสรมิ การมสี ่วนรว่ มของผปู้ กครอง ในการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี นวงั นอ้ ยวิทยาภมู ิ
อาเภอวงั น้อย จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา
ชื่อผู้วจิ ัย นางสาวประวณี ์นุช เปารกิ
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญ
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี พ.ศ. 2560 - 2579 (สานักงาน เลขาธิการ, 2560, หน้า ก - ฒ)
ยุทธศาสตร์ท่ี 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของการบริหารจัดการศึกษา เป้าหมายที่ 3 ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วน
ร่วมในการจัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่ก็ยังมีโรงเรียนในเขตพื้นท่ีท่ีไม่สามารถ
ดาเนินการในลักษณะที่กาหนดได้เน่ืองจากปัจจัยทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ชุมชนมี
สว่ นสาคญั ต่อการพัฒนาและความสาเรจ็ ของสถานศึกษา และโรงเรียนก็มีบทบาทสาคญั ในการพัฒนาชมุ ชน
ดังน้ัน ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษาจึงควรสร้างกลไกการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน เพ่ือพัฒนาโรงเรียนให้สอดคล้องกับ
สภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน และเพ่ือได้รับความร่วมมือ สนับสนุนจากชุมชนในกิจกรรมสร้างสรรค์
พัฒนาตา่ ง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อท้ังโรงเรียนและชุมชนอย่างย่ังยืนหลัก 3S’s ในการสร้างความร่วมมือและการ
สนับสนุนจากชุมชน (ประสงค์ ถึงแสง, 2559, https://www. rueplookpanya. com/ knowledge /
content/52243/-edu-teaartedu-teaart-teaartdir) ได้แก่ S –Shared Vision คือการสร้างให้ชุมชนมี
วิสัยทัศน์ร่วมกันกับสถานศึกษา S- Synergy คือการรวมพลังประสานความร่วมมือกับชุมชนให้ทางานร่วมกับ
สถานศึกษา และ S-School Based Activities การสร้างสถานศึกษาให้เป็นแหล่งความรู้ ศูนย์กลางพัฒนา
ทรพั ยากรมนษุ ย์ของชุมชน
วัตถุประสงค์ของกำรวจิ ยั
เพอ่ื พัฒนาแนวทางการสง่ เสริมการมีส่วนร่วมของผ้ปู กครอง ในการจัดการศกึ ษาของโรงเรียน
วังนอ้ ยวิทยาภมู อิ าเภอวงั นอ้ ย จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
คำถำมกำรวิจยั
มีแนวทางการสง่ เสริมการมีส่วนรว่ มของผปู้ กครอง ในการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี น
วังนอ้ ยวทิ ยาภมู อิ าเภอวงั น้อย จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา
ขอบเขตของกำรวจิ ยั
ประชำกร
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา คณะครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผปู้ กครองของนกั เรยี น
ระดบั ชัน้ อนบุ าล1 -ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
กลุม่ ตัวอยำ่ ง
ผ้ปู กครองนกั เรยี นโรงเรยี นวังนอ้ ยวทิ ยาภูมิ ตง้ั แต่ระดบั ชนั้ อนุบาล จนถึงระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี
ปีการศึกษา พ.ศ. 2565 โดยใช้การคานวณจาก ตารางการหากลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ ระดับความเชื่อม่ัน
95% คา่ ความคาดเคลอ่ื นที่ .05 ไดข้ นาดกลุม่ ตัวอยา่ ง………………
1. ขอบเขตด้ำนตวั แปร
ตัวแปรตน้ การมสี ว่ นรว่ มในการจัดการศึกษาของผปู้ กครอง (ดา้ น 1 การบริหารวชิ าการ ด้าน 2 การ
จัดการงบประมาณ ด้าน 3 การบรหิ ารงานทัว่ ไป)
ตวั แปรตำม แนวทางการส่งเสรมิ การมสี ่วนร่วมของผปู้ กครอง ในการจดั การศึกษาของโรงเรยี น
วงั น้อยวิทยาภูมอิ าเภอวงั นอ้ ย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา
2. ระยะเวลำทีใ่ ช้ในกำรวจิ ยั
ปกี ารศกึ ษา 2565
นิยำมศพั ท์
การมีส่วนร่วม
การพฒั นาแนวทางส่งเสรมิ การมสี ่วนรว่ มของผปู้ กครอง
การจดั การศกึ ษา
ผ้ปู กครอง
โรงเรียน
ประโยชนข์ องกำรวิจัย
เป็นแนวทางในการวิจยั เกี่ยวกับการมีสว่ นรว่ มของผู้ปกครอง ในการจัดการศึกษาของโรงเรยี นใน
การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน แก่บุคคลหรอื หนว่ ยงานอนื่ ที่เก่ียวข้อง
วธิ ีกำรดำเนนิ กำรวิจัย
1. เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย
แบบสอบถามการมสี ว่ นรว่ มของผู้ปกครอง ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนวงั นอ้ ยวทิ ยาภูมิ
อาเภอวงั นอ้ ย จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา (แบบสอบถามมลี ักษณะเป็นคาถามแบบมาตราสว่ น
ประมาณค่า (Rating Scale)แบ่งเป็น 5 ระดับ)
2. ขั้นตอนในกำรดำเนนิ กำรวิจยั
1. ติดตอ่ บัณฑติ วทิ ยาลยั เพ่อื ทาหนงั สอื ขอความร่วมมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
2. ผูว้ ิจัยเก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยตนเอง
3. กำรวิเครำะห์ข้อมลู
คา่ ความถี่และร้อยละ หาค่าเฉลีย่ (X) และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
เค้ำโครงกำรวจิ ยั
ชอ่ื เรอื่ ง ความต้องการจาเป็นในการสรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชมุ ชน ของโรงเรียนวัดไทรน้อย สงั กัด
สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 2
ชอื่ ผู้วิจัย นางสาววรวรรณ ธารนาถ
1. วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย
1. เพ่ือศึกษาความต้องการจาเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน
วัดไทรนอ้ ย สังกัดสานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ในสภาพปัจจุบันและสภาพ
ที่คาดหวงั
2. เพ่ือจัดลาดับความสาคัญของความต้องการจาเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัดสานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาพระนครศรอี ยธุ ยา เขต 2
2. กรอบแนวคิดในกำรวิจัย
ผู้ บ ริ ห า ร ส ถ า น ศึ ก ษ า ค รู ควำมต้องกำรจำเปน็ ในกำรสร้ำงควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงโรงเรียนกบั ชมุ ชน
ผู้ปกครองของโรงเรียนวัดไทร 1. การใหบ้ รกิ ารแกช่ มุ ชน
น้อย สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี 2. บทบาทรว่ มของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า 3. การประชาสมั พันธ์
พระนครศรอี ยุธยา เขต 2 4. การเสริมสร้างความสัมพันธ์กบั ชุมชนและหนว่ ยงานอืน่
5. การไดร้ บั ความช่วยเหลือสนบั สนุนจากชมุ ชน
3. วิธดี ำเนนิ กำรวจิ ยั
ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง
ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง ของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัดสานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 โดยข้อมูลนักเรียนเป็นข้อมูลประจาปีการศึกษา 2564
ณ วนั ท่ี 16 เมษายน 2564 มีจานวนผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ครู นกั เรยี นทัง้ สิ้น 50 คน
กลุ่มตัวอยา่ ง ได้แก่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ครู ผู้ปกครอง ของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัดสานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 จากการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย
ไดข้ นาดกลุ่มตัวอยา่ งจานวน 30 คน
เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นกำรวจิ ัย
เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั คือ แบบสอบถามแบ่งเปน็ 2 ตอน คือ
ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป มีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List)
ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเก่ียวกับความต้องการจาเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
เป็นแบบสอบถามที่มีรูปแบบการตอบสองสภาพ (Dual Response) คือสภาพปัจจุบัน (what is) และ สภาพที่
คาดหวัง (what should be) ใน 5 ด้าน คือ การให้บริการแก่ชุมชน บทบาทร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน การประชาสัมพันธ์ การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและหน่วยงานอื่น การได้รับความช่วยเหลือ
สนบั สนุนจากชุมชน จานวน 40 ข้อ โดยแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
5 ระดับ หาค่าความเที่ยง (Reliability) โดยวิธีหา “สัมประสิทธ์ิอัลฟ่า” (α -Coefficient) ของ Cronbach
โดยมผี ลการวิเคราะห์ความเชอื่ มน่ั ของแบบสอบถามทัง้ ฉบับ เท่ากบั 0.95
ตอนท่ี 3 คาถามปลายเปิดเพ่ือสอบถามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อความต้องการจาเป็นใน
การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนวัดไทรน้อย สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยา เขต 2
กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู
ค่าสถติ ิทีใ่ ชใ้ นการประมวลผลและการวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. ใชค้ า่ สถติ ิ รอ้ ยละ (%) วิเคราะหข์ ้อมูลผู้ตอบแบบประเมินต่อ "การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน
กบั ชุมชน"
2. ใช้ค่าสถิติ ( ) และ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์สภาพในปัจจุบันของ
"การสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างโรงเรยี นกับชุมชน"
3. ใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์สภาพท่ีคาดหวังของ
"การสรา้ งความสมั พันธร์ ะหวา่ งโรงเรยี นกับชมุ ชน"
4. ใช้ค่าสถิติ ดัชนีความต้องการจาเป็นในการพัฒนา (PNI modified ; Modified priority needs index)
วเิ คราะหค์ วามตอ้ งการจาเป็นในการสรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งโรงเรยี นกับชมุ ชน
4. ประโยชน์ที่คำดวำ่ จะไดร้ ับจำกกำรวิจยั
1. เพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนท่ีโรงเรียนจะสามารถ
นาไปเปน็ แนวทางในการกาหนดนโยบาย วางแผนและพัฒนาความสมั พนั ธ์ระหว่างโรงเรียนกบั ชมุ ชน
2. ใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานให้ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
โรงเรยี นกับชุมชน
3. ใช้เป็นขอ้ มลู พืน้ ฐานให้ครูในโรงเรยี นได้พัฒนาตนเองหรือหาแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
โรงเรียนกับชุมชน
4. ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้โรงเรียนและชุมชนพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
โรงเรียนกับชุมชน
เคำ้ โครงกำรวจิ ัย
ชือ่ เร่อื ง การสง่ เสรมิ ความสมั พันธร์ ะหว่างโรงเรียนกบั ชุมชนของโรงเรยี นสีวลี สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการศึกษาเอกชนปทุมธานี เขต 2
ช่อื ผู้วิจยั นางสาวอภริ ดี ปาปะขา
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร
เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอ่ืน ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน
โดยจัดกระบวนการเรียนรภู้ ายในชมุ ชน เพื่อให้ชุมชนมกี ารจดั การศึกษาอบรม มกี ารแสวงหาความรู้ข้อมูล ข่าวสาร
และรูจ้ ักเลือกสรรภูมปิ ัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ
รวมทง้ั หาวธิ ีการสนบั สนนุ ให้มีการแลกเปลยี่ นประสบการณ์การพัฒนาระหว่างชมุ ชน
โรงเรยี นเปน็ หน่วยงานท่ีมีความใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษากับ
ชมุ ชน
วัตถุประสงคข์ องกำรวจิ ัย
1. เพอื่ ศึกษาระดบั การเสริมสร้างความสมั พันธ์ระหวา่ งโรงเรยี นสีวลีกบั ชุมชนโรงเรียน สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการส่งเสรมิ การศกึ ษาเอกชนปทุมธานี เขต 2
2. เพอื่ หาแนวทางในการเสรมิ สรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งโรงเรยี นสวี ลีกบั ชุมชนของโรงเรยี น สังกดั
สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนปทุมธานี เขต 2
วธิ ีดำเนนิ กำรวิจัย
ประชำกร/กลมุ่ ตัวอยำ่ ง
ผ้บู รหิ ารและครูของโรงเรยี นสีวลี สังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชนปทุมธานี เขต 2
เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในกำรวจิ ยั /นวัตกรรม แบบสอบถามปลายปิด แบง่ ออกเป็น 2 ตอน
1) สถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถามเป็นแบบสารวจรายการ
2) ความคิดเห็นเกี่ยวกบั การเสรมิ สรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งโรงเรียนกบั ชมุ ชนของโรงเรียน จานวน 5
ดา้ น ไดแ้ ก่
2.1 การประชาสัมพันธ์โรงเรยี น
2.2 การจัดกิจกรรมทีเ่ อ้อื ต่อการเสริมสรา้ งความสัมพนั ธ์ระหว่างโรงเรยี นกับชุมชน
2.3 การรับความชว่ ยเหลือสนับสนุนจากชุมชน
2.4 การให้บรกิ ารชุมชน
2.5 บทบาทร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษา
แบบสอบถามเปน็ แบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดบั
กำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยสง่ แบบสอบถามให้กลุ่มตวั อย่างทุกคน
กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล/สถิติทีใ่ ช้ในกำรวิจยั ค่าเฉลีย่ ( ) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลกำรวจิ ัย
1. ผลการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับปาน
กลาง รายด้านพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง 3 ด้าน เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการจัด
กิจกรรม ดา้ นสนับสนนุ ดา้ นบทบาทร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ระดับน้อย 2 ดา้ น ไดแ้ ก่
1.1 ด้านการประชาสัมพันธ์โรงเรยี น ด้านการใหบ้ ริการชุมชน
1.2 แนวทางการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน โรงเรียนควรมีการ
ประชาสัมพันธ์เชิงรุกในทุกรูปแบบ เพ่ือให้ชุมชนได้ทราบว่าโรงเรียนมีการดาเนินการบริหารจัดการ
อย่างไร ผลการดาเนนิ การเป็นอย่างไร มีปญั หาอุปสรรคอยา่ งไร
อภปิ รำยผล
แนวทางในการเสริมสรา้ งความสมั พนั ธเ์ ชงิ รุกระหวา่ งโรงเรยี นสวี ลีกบั ชุมชนของโรงเรียน สานกั งาน
คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนปทมุ ธานี เขต 2 ประกอบด้วย
สว่ นท่ี 1 หลกั การ แนวคิดในการเสริมสร้างความสมั พนั ธ์เชิงรุกระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ส่วนท่ี 2 สาระสาคญั ของการเสรมิ สร้างความสมั พนั ธเ์ ชิงรุกระหวา่ งโรงเรียนกับชุมชน
สว่ นที่ 3 กระบวนการขับเคลื่อนการเสริมสรา้ งความสมั พนั ธเ์ ชิงลกึ ระหวา่ งโรงเรียนกับชมุ ชนเชิงรกุ
ส่วนที่ 4 เงอื่ นไขความสาเรจ็ ของการเสรมิ สรา้ งความสมั พันธเ์ ชงิ รุกระหวา่ งโรงเรียนกบั ชุมชน
ข้อเสนอแนะ
1. โรงเรยี นควรหาวธิ ีการท่ีเหมาะสมในการประสานงานใหผ้ ปู้ กครองและชมุ ชนเข้ามามีสว่ นชว่ ยดา้ น ดา้ น
งบประมาณ และชักชวนให้บุคคลในชมุ ชนเขา้ มามสี ่วนร่วมในการดูแลของโรงเรียน
2. ผู้บรหิ าร ครแู ละบคุ ลากรของโรงเรียนควรหาโอกาสเขา้ รว่ มประชุม แกไ้ ขปัญหาและกาหนดกิจกรรมต่าง
ๆ ของชุมชน และโรงเรียนพร้อมที่จะเปน็ สือ่ กลางในการให้บรกิ ารดา้ นต่าง ๆ
เคำ้ โครงกำรวิจัย
ชื่อเรอื่ ง การบรหิ ารจดั การแหล่งเรยี นรู้ และภูมิปญั ญาท้องถิ่นแบบมสี ว่ นร่วมทสี่ ่งเสรมิ การศกึ ษา โรงเรียน
อนบุ าลศรปี ระจันต์ จังหวดั สุพรรณบุรี
ชือ่ ผวู้ ิจยั นางสาวเนตรนภิส สขุ ปลง่ั
ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปญั หำ
โลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายทั่วถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ไร้อาณาเขตขวางก้ัน สภาพ
ดังกลา่ วมีสว่ นกระทบถงึ วถิ ชี ีวิตของผู้คนพลเมืองโดยทัว่ ไป เพราะเป็นสภาพที่เอ้ืออานวยในการรับและถ่ายโยงเอา
ศาสตร์หรอื ภูมิปญั ญาตะวนั ตกเข้ามาในการพฒั นาประเทศและพฒั นาผลผลติ ตลอดจนการดาเนินชีวิต อย่างมิได้มี
การปรับปนกับภูมิปัญญาไทยท่ีมีความเหมาะสมกับสภาพท้องถ่ินท่ีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทาให้ชุมชนชนบทประสบ
ปญั หาดังท่ีกล่าวว่าชุมชนล่มสลาย อันมีผลรวมไปถึงความทรุดโทรมของส่ิงแวดล้อมอย่างกว้างขวาง การพยายาม
ใช้กลไกลทางการศึกษาจากเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาหลักสูตร ตามความต้องการ ของท้องถ่ิน เป็น
ช่องทางในการประยกุ ต์เอาภูมปิ ัญญาชาวบ้านท่มี ีจุดเด่น ท่สี ามารถพสิ ูจนต์ ัวเองในการยนื หยัดอยู่รอดได้ ท่ามกลาง
กระแส การลม่ สลายของชุมชนและการทรดุ โทรมของสง่ิ แวดล้อม ดงั กล่าว มาสู่หลกั สูตรและกระบวนการเรียนรู้ใน
แนวทางของการคิดปฏิบัติจริง จากการประยุกต์ปรับปน ภูมิปัญญาชาวบ้านหรือภูมิปัญญาไทยกับปัญญาสากล
เพ่ือให้ผู้เรียนค้นพบคุณค่าภูมิปัญญาที่มีในท้องถ่ินท่ีเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชุมชน และสามารถประยุกต์ใช้ได้
อยา่ งไมม่ ีท่ีสิ้นสดุ นามาซึง่ ดลุ ยภาพทส่ี งบสนั ตสิ ขุ ของบุคคล ชมุ ชนและชาติ
วตั ถุประสงค์
1. เพื่อศกึ ษาสภาพปัจจุบนั และความต้องการในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถ่ิน ท่ีส่งเสริม
การศึกษาโรงเรียนอนุบาลศรีประจนั ต์
2. เพื่อสร้างแนวทางการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ และ ภูมิปัญญาท้องถ่ินแบบมีส่วนร่วม ที่ส่งเสริม
การศึกษาโรงเรียนอนุบาลศรปี ระจันต์
3. เพื่อศึกษาผลการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมท่ีส่งเสริมการศึกษา
โรงเรยี นอนบุ าลศรปี ระจันต์
ขอบเขตของกำรวิจยั
1. กลุ่มประชำกรเป้ำหมำยคือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นาชุมชน
ผู้ปกครอง และนักเรียน อาเภอศรีประจันต์ จงั หวัดสุพรรณบุรี
2. กลุ่มตัวอย่ำง ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นาชุมชน ผู้ปกครอง และ
นักเรยี น โรงเรยี นอนบุ าลศรีประจันต์
วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ัย
1. เครื่องมือท่ีใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อการบริหารจัดการแหล่ง
เรยี นรู้และภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ แบบสังเกตการดาเนินงานโครงการหรอื กิจกรรม
2. กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล จากแบบประเมนิ ความพึงพอใจ แบบสงั เกตการดาเนินงานโครงการหรือกิจกรรม
3. กำรวเิ ครำะหข์ ้อมูล คา่ เฉล่ยี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คา่ ความถ่ี
เค้ำโครงงำนวจิ ยั
ชือ่ เรือ่ ง ความต้องการจาเปน็ ในการสรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนบ้านโปง่ ตะเคียน
สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาปราจีนบรุ ีเขต 1
ชอื่ ผู้วจิ ัย นางสาวจฬุ าลักษณ์ อักษร
กรอบแนวคิดกำรวิจัย
วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัย
1.เพ่ือศึกษาความต้องการจาเป็นของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนบ้าน
โป่งตะเคียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรีเขต 1 ในสภาพปัจจุบันและสภาพที่
คาดหวงั
2. เพ่ือจดั ลาดับความสาคญั ของความต้องการจาเปน็ การสร้างความสมั พันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของ
โรงเรียนบ้านโป่งตะเคยี นสังกัดสานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาปราจีนบรุ เี ขต 1
3. เพื่อเสนอแนวทางพัฒนากระบวนการกลยุทธ์ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของ
โรงเรียนบา้ นโปง่ ตะเคยี นสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาปราจนี บรุ ีเขต 1
วิธีดำเนินกำรวิจยั
ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนบ้านโป่งตะเคียนสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรีเขต 1 โดยข้อมูลนักเรียนเป็นข้อมูลประจาปีการศึกษา 2564 มีจานวน
นักเรยี นทง้ั สน้ิ 359 คน
เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั /นวัตกรรม แบบสอบถาม – แบบสมั ภาษณก์ ารเก็บรวบรวมข้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้ในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าสถิติค่าเฉล่ีย (x) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(SD) ดชั นี ความต้องการจาเปน็ ในการพฒั นา (PNI Modified) ร้อยละ (%)
เค้ำโครงงำนวจิ ัย
ช่ือเร่ือง การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ด้วยหลักการสร้าง Trust ของโรงเรียนชุมชนวัด
กาแพง สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาพระนครศรอี ยุธยา เขต 2
ชื่อผู้วจิ ัย นางสาวกาญจนา หมดั สะริ
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ
ในการพัฒนาโรงเรียนนั้น ชุมชนมีบทบาทสาคัญย่ิงในการที่ชุมชนจะช่วยเหลือโรงเรียนซ่ึงเป็น
สถาบนั การศึกษาของชมุ ชน โรงเรยี นต้องอาศยั ความรว่ มมอื สนับสนนุ จากชมุ ชนทั้งในเรื่องเงิน วัสดุอุปกรณ์และสิ่ง
ต่าง ๆ ตลอดจนแรงงานแรงใจจากชุมชนน้ัน ๆ ด้วย ในการดาเนินการส่งเสริมความสัมพันธ์กับชุมชน ผู้บริหาร
โรงเรียนและบุคลากรทุกคนในสถานศึกษาและผู้ที่เก่ียวข้อง เช่น ชุมชน ผู้ปกครองนักเรียน ต้องได้รับการเตรียม
ความพร้อมให้มองเห็นคุณค่า และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานและ การ
ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องพยายามเข้าหาชุมชนและประการสาคัญที่สุดคือ ทุกฝ่าย
ต้องคานึงถงึ ผลประโยชน์ของการศึกษาและผเู้ รียนเป็นสาคญั ทีส่ ดุ
การสง่ เสรมิ ความสมั พันธ์และความร่วมมือกับชุมชนในการพัฒนาการศึกษา จึงเป็นการสร้างสัมพันธภาพ
อันดีต่อกันระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เพื่อให้โรงเรียนรู้จักชุมชนดีข้ึน สามารถท่ีจะค้นหาและใช้แหล่งทรัพยากรใน
ชุมชนให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา การส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนในการพัฒนา
การศึกษา คือ การทาให้ชุมชนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นสมบัติของเขา สร้างความเชื่อม่ัน ไว้ใจ เข้าถึงชุมชนอย่าง
สม่าเสมอ สร้างความผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ผู้คนในชุมชนก็ย่อมจะช่วยเหลือและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อ
โรงเรยี น
วตั ถปุ ระสงค์
เพื่อนาหลักการสร้าง Trust เข้ามาส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ของโรงเรียนชุมชน
วัดกาแพง สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาพระนครศรอี ยุธยา เขต 2
วธิ ีดำเนนิ กำรวิจัย
ประชากร/กลมุ่ ตวั อยา่ ง
ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นาและสมาชิกในชุมชน โรงเรียนชุมชนวัด
กาแพง สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั /นวตั กรรม
แบบสอบถามแบบสว่ นประมาณค่า (rating scale) ชนดิ 5 ระดบั
การเก็บรวบรวมข้อมลู
1. ศกึ ษาสภาพความสัมพันธ์ระหวา่ งชมุ ชนกบั โรงเรยี น
2. นาแบบสอบถามไปใช้กบั กล่มุ ตัวอยา่ ง
3. สรปุ และวิเคราะหผ์ ลการตอบแบบสอบถาม
การวเิ คราะห์ข้อมูล/สถติ ทิ ่ใี ช้ในการวจิ ยั
ค่าเฉลีย่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน คา่ ความถ่ี
เคำ้ โครงงำนวิจยั
ช่ือเรื่อง สภาพการดาเนินงานสัมพันธ์ชุมชนของโรงเรียนชุมชนวัดกาแพง สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
ช่ือผู้วิจัย นางสาวสุภาภรณ์ สว่างภักด์ิ
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ
พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.
2553 มาตราที่ 29 ระบุไว้ว่า ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ิน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ส่งเสริม
ความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการ
แสวงหาความรขู้ อ้ มูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับ
สภาพปัญหาและความต้องการรวมท้ังหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาระหว่าง
ชมุ ชน
สภาพการดาเนินงานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนถือเป็นงานที่สาคัญยิ่งงานหนึ่งของโรงเรี ยน
เน่ืองจากโรงเรียนเป็นสถาบันการศึกษาท่ีมีความใกล้ชิดกับชุมชน ดังน้ันการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนจึง
เป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งในการดาเนินงานของโรงเรียนงานสัมพันธ์ชุมชนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
โรงเรียนกับชุมชนท่ีสาคัญต่อการบริหารงานของโรงเรียน ซ่ึงโรงเรียนต้องให้ความสนใจและนาไปปฏิบัติ ในการ
ระดมทรพั ยากรทางความคดิ และทนุ ทรัพย์จากชมุ ชนมาช่วยในการพัฒนาโรงเรียน
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อศึกษาสภาพการดาเนินงานสัมพันธ์ชุมชนของโรงเรียนชุมชนวัดกาแพง สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
2. เพื่อพัฒนานวัตกรรมในการสร้างสัมพันธ์ชมุ ชนของโรงเรียนชุมชนวัดกาแพง สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
วิธดี ำเนินกำรวจิ ยั
ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
ผู้บริหารสถานศึกษา ครผู ู้สอน คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผนู้ าชมุ ชน ผปู้ กครอง โรงเรียนชุมชนวัดกาแพง
สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั /นวัตกรรม
1. แบบสอบถามแบบส่วนประมาณค่า (rating scale) ชนิด 5 ระดบั
2. แบบประเมินความพึงพอใจ การใชน้ วตั กรรมในการพฒั นาการสรา้ งสัมพันธ์ชมุ ชนของโรงเรยี น
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ศึกษาสภาพการดาเนนิ งานสมั พนั ธช์ มุ ชนของโรงเรียน จากการวิเคราะห์แบบสอบถาม
2. นาผลทีไ่ ดจ้ ากสภาพการดาเนนิ งานมาวิเคราะหพ์ ฒั นานวัตกรรม
3. สอบถามความพึงพอใจหลังการใช้นวตั กรรม
การวิเคราะห์ข้อมลู /สถติ ทิ ี่ใช้ในการวจิ ยั
คา่ เฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่
เค้ำโครงงำนวจิ ยั
ชื่อเรื่อง การเสรมิ สรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรยี นกับชุมชนของโรงเรยี นสงั กัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริม
การศึกษาเอกชน จังหวดั สระบรุ ี
ช่อื ผู้วิจัย นางสีตลา สิงหม์ โน
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
พระราชบัญญัติการศึกษาชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.
2553 มาตราที่ 29 ระบุว่า ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ส่งเ สริม
ความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพ่ือให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการ
แสวงหาความรขู้ ้อมลู ข่าวสาร และรู้จกั เลอื กสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับ
สภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาระหว่าง
ชมุ ชน
โรงเรียนเป็นหน่วยงานท่ีมีความใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง
สถานศึกษากบั ชมุ ชนจงึ เป็นส่ิงสาคญั อันหนึ่งทจี่ ะช่วยให้การดาเนินงานของสถานศึกษามีประสิทธิภาพยิง่ ข้ึน
วัตถุประสงค์ของกำรวจิ ยั
1.เพ่ือศึกษาระดับ ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
สง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน จงั หวดั สระบรุ ี
2.เพ่ือหาแนวทางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสานักงาน
คณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน จังหวัดสระบรุ ี
วิธีดำเนินกำรวจิ ัย
ประชากร/กลุม่ ตัวอยา่ ง
ผู้บริหารและครูของโรงเรียนสงั กัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสระบรุ ี
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย/นวตั กรรม
แบบสอบถามปลายปิด แบ่งออกเป็น 2 ตอน 1) สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบสารวจ
รายการ 2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน จานวน 5
ด้าน ได้แก่ การประชาสัมพันธ์โรงเรียน การจัดกิจกรรมท่ีเอ้ือต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับ
ชุมชน การรับความช่วยเหลือสนับสนุนจากชุมชน การให้บริการชุมชน และ บทบาทร่วมของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษา แบบสอบถามเป็นแบบมาตรส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล เกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยสง่ แบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างทกุ คน
การวิเคราะหข์ อ้ มลู /สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิจัย ค่าเฉลยี่ ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลกำรวิจัย
1. ผลการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับปาน
กลาง รายด้านพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง 3 ด้าน เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการจัด
กิจกรรม ด้านสนับสนุน ด้านบทบาทร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับน้อย 2 ด้าน ได้แก่ ด้าน
การประชาสัมพันธ์โรงเรียน ด้านการให้บริการชุมชน 2. แนวทางการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับ
ชุมชน โรงเรียนควรมีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกในทุกรูปแบบ เพ่ือให้ชุมชนได้ทราบว่าโรงเรียนมีการดาเนินการ
บริหารจัดการอย่างไร ผลการดาเนินการเป็นอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร มีแนวทางให้ชุมชนเข้ามาช่วย
สนับสนุนไดอ้ ย่างไร
อภปิ รำยผล
แนวทางในการเสริมสรา้ งความสมั พันธเ์ ชิงรกุ ระหว่างโรงเรยี นกับชุมชนของโรงเรยี นสงั กัดสานักงาน
คณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวดั สระบุรี ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 หลักการ แนวคดิ ในการเสรมิ สร้างความสัมพนั ธ์เชงิ รุกระหวา่ งโรงเรียนกับชมุ ชน
ส่วนท่ี 2 สาระสาคญั ของการเสริมสร้างความสมั พันธ์เชิงรกุ ระหว่างโรงเรยี นกบั ชมุ ชน
ส่วนท่ี 3 กระบวนการขบั เคลื่อนการเสรมิ สรา้ งความสัมพนั ธเ์ ชงิ ลึกระหวา่ งโรงเรียนกับชมุ ชนเชงิ รุก
สว่ นท่ี 4 เงื่อนไขความสาเร็จของการเสรมิ สร้างความสัมพันธ์เชิงรกุ ระหวา่ งโรงเรยี นกบั ชุมชน
ขอ้ เสนอแนะ
1. ผบู้ ริหารโรงเรียนควรให้ความสาคัญเก่ียวกับการต้อนรับและให้บริการผู้ปกครองนักเรียนหรือบุคคลท่ัวไป
ที่มาตดิ ต่อกบั ทางโรงเรียนและมกี ารประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแจ้งข่าวสารของโรงเรยี นแก่บุคคลทั่วไป
2. ผู้บรหิ ารโรงเรียนและคณะครูควรมีการออกเย่ียมครอบครวั ของนกั เรียนและผู้นาชุมชนตามโอกาสอันควร
3. โรงเรยี นควรหาวธิ กี ารทเี่ หมาะสมในการประสานงานให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนช่วยด้านแรงงาน
ด้านงบประมาณ และชักชวนให้บุคคลในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลทรัพย์สินของโรงเรียนครูและบุคลากร
ของโรงเรียนควรหาโอกาสเข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือ แก้ไขปัญหาและกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน และ
โรงเรียนพร้อมทจ่ี ะเป็นส่อื กลางในการใหบ้ รกิ ารด้านตา่ ง ๆ แกช่ ุม
เค้ำโครงกำรวิจัย
ชื่อเร่อื ง การมสี ่วนรว่ มของชุมชนในการจัดการศกึ ษาโรงเรียน ในสังกดั สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรอี ยธุ ยา เขต 2
ช่อื ผู้วจิ ยั นายณัฐวุฒิ บุญนาค
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ
การจัดการศึกษาในทุกระดับทั้งระดับนโยบายส่วนกลาง ระดับเขตพื้นท่ีการศึกษาและระดับสถานศึกษา
(สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2555) ซ่ึง Smith (1971, p. 2377-A) ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของ
คณะกรรมการการศึกษาในการวางแผนและพัฒนาของมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกนพบว่า สมาชิกของคณะกรรมการ
ศกึ ษาผู้บริหารโรงเรียนและประชาชน มีความต้องการท่ีจะแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองราวต่าง ๆ อันจะทาให้
เกิดผลสาเร็จในการพัฒนาการศึกษา คณะกรรมการศึกษาจากประชาชนไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีทาง
โรงเรียนดาเนินการเพียงฝ่ายเดียวโดยคณะกรรมการ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นคณะกรรมการการศึกษาและผู้บริหาร
โรงเรียนเห็นพ้องต้องกันว่าโรงเรียนจะเจริญก้าวหน้าข้ึนไปกว่าเดิม หากได้มีคณะกรรมการดังกล่าว เข้าร่วม
กิจกรรมต่าง ๆของโรงเรียน ผลการทาวิจัยของ Smith น้ีสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Harold (1983, p. 2517-
A)ซ่ึงได้ศกึ ษาเก่ียวกับอานาจบทบาทของคณะกรรมการศกึ ษาในการบรหิ ารการศึกษาระดับทอ้ งถ่ิน
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีความรู้
ความสามารถเป็นคนเก่ง คนดี สามารกอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข ครูและบุคลากรร่วมกับชุมชน ช่วยกัน
พัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถท้ังร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา ทั้งยังร่วมกันจัดหาสื่อและ
เทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อให้ตรงตาม
ความตรงการของนกั เรียนและสอดคลอ้ งกบั ชุมชน รวมท้ังความสมั พันธร์ ะหว่างโรงเรียนกบั ชมุ ชนอยใู่ นเกณฑ์ท่ดี ี
คำถำมกำรวิจัย
1. ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรอี ยุธยา เขต 2 อยู่ในระดบั ใด
2. การมีส่วนร่วมของชุมชน ในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรีอยธุ ยา เขต 2 จาแนกตามสถานภาพ และเพศ มีความแตกตา่ งกนั หรือไม่
วตั ถปุ ระสงค์กำรวิจยั
1. เพ่ือศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 2
2. เพอ่ื เปรียบเทียบการมสี ว่ นร่วมของชุมชน ในการจดั การศกึ ษาโรงเรยี นในสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 จาแนกตามสถานภาพและเพศ
สมมติฐำน
1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรอี ยุธยาเขต 2 อยใู่ นระดบั มาก
2. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรีอยธุ ยาเขต 2 จาแนกตามสถานภาพ และเพศ มีความแตกต่างกัน
ประโยชน์ทไ่ี ด้รับจำกกำรวิจัย
1. ผลการวิจัยการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดประ โยชน์กับชุมชนต่อการมีส่วนร่วมในการจัด
การศกึ ษาของโรงเรยี น
2. สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 มีข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ
ชุมชนในการจัดการศกึ ษาเพ่ือใชป้ ระกอบในการบรหิ ารงาน
กรอบแนวคิดกำรวิจยั
การศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 1 ตามสถานภาพ โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่าง
(Krejcie & Morgan, 1970, 608) ได้กลุ่มตัวอย่าง จานวน 181 คน กรอบแนวคิดในการวิจัยการวิจัยการมีส่วน
ร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสานักงานเขตพ้ืนที่ศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 โค
ศึกยามาจากขอบข่ายการบริหารงานขอศึกษาธิการ (2546, หน้า 32) ประกอบด้วย ด้านการบริหารวิชาการ ด้าน
การบริหารงานบุคคลค้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารทั่วไป โดยศึกษาและเปรียบเทียบตามตัวแปร
สถานภาพและเพศ ดงั ภาพที่ 1
วธิ ดี ำเนนิ กำรวิจัย (โดยย่อ)
1. ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง
1. ประชำกร ได้แก่ ตัวแทนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและตัวแทนผู้ปกครองของโรงเรียนใน
สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 2 รวมทงั้ ส้ิน 340 คน
2. กลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ คือ ตัวแทนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
และตัวแทนผู้ปกครองของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
ตามสถานภาพ โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตวั อยา่ งเครช่ีและมอรแ์ กน (Krejcic & Morgan, 1970,
p. 608) ไดก้ ล่มุ ตวั อย่าง จานวน 181 คน
2. เครื่องมือทใี่ ช้ในกำรวิจัย
เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ัยคร้งั นี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) แบ่งออกเป็น 2 ตอน
ตอนท่ี 1 เป็นแบบสอบถามเกยี่ วกบั สาราจรายการ ได้แก่ สถานภาพ และเพศ
ตอนที่ 2 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 1 เป็นแบบเลือกตอบ โดยแบ่งออกเป็น 4 ดา้ น ดังน้ี
ดา้ นที่ 1 ดา้ นการบรหิ ารวิชาการ
ดา้ นท่ี 2 ดา้ นการบริหารงบประมาณ
ด้านท่ี 3 ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คล
ด้านที่ 4 ด้านการบรหิ ารทว่ั ไป
มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า (Rating scale) โดยใช้เกณฑ์กาหนดน้าหนักคะแนนและมาตราส่วนประเมินค่า
ระดบั ดังน้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว, 2535, หนา้ 104)
ระดับ 5 หมายถงึ มีสว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษาอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ
ระดบั 4 หมายถึง มสี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษาอยใู่ นระดบั มาก
ระดบั 3 หมายถึง มีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง
ระดับ 2 หมายถงึ มีส่วนรว่ มในการจดั การศึกษาอยูใ่ นระดบั น้อย
ระดับ 1 หมายถึง มีสว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษาอยู่ในระดับนอ้ ยท่สี ุด
กำรสรำ้ งเครื่องมือท่ใี ชใ้ นกำรวจิ ยั
ผู้วจิ ัยได้ดาเนนิ การสรา้ งเคร่อื งมือวิจัย โดยดาเนินการตามขน้ั ตอน ดังน้ี
1. ศึกษาจุดมุ่งหมาย เอกสาร ตารา บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง
แบบสอบถาม
2. กาหนดกรอบคาถามให้ตรงกบั วัตถปุ ระสงค์และขอบเขตเนื้อหาในการศกึ ษา
3. สรา้ งแบบสอบถามใหต้ รงกบั วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา และขอบเขตเน้ือหา
4. นาแบบสอบถามที่สร้างข้ึนเสบออาจารย์ท่ีปรึกษาคันคว้าแบบอิสระ ตรวจสอบความถูกต้องของ
เครอื่ งมอื แล้วนาไปปรับปรงุ แก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม
5. นาแบบสอบถามท่ีแท้ไขปรับปรุงแล้วเสนอประธานกรรมการและกรรมการท่ีปรึกษาการค้นคว้าแบบ
อิสระเพ่ือตรวจสอบและพจิ ารณาใหค้ วามเหน็ ชอบ
6. นาแบบสอบถามทีส่ มบูรณแ์ ลว้ นาไปดาเนินการเก็บราบรวมข้อมลู
กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ผู้วิจัยทาหนงั สือเพอ่ื ขอความอนุเคราะหใ์ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
2. จัดส่งแบบสอบถามจานวน 181 ฉบับไปยังโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรอี ยุธยา เขต 2 และขอความอนเุ คราะห์ใหผ้ ูต้ อแบบสอบกามสง่ แบบสอบถามคนื ผู้วจิ ยั โดยตรง
3. ในกรณีที่ไม่ได้รับแบบสอบถามคืนตามเวลาที่กาหนด ผู้วิจัยติดตามเก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วย
ตนเอง
4. ผู้วิจัยได้รับแบบสอบถามกลับคืนมา ชุดคิดเป็นร้อยละ 100 ตรวจสอบและคัดเลือกแบบสอบถาม
ฉบบั ท่ีสมบูรณ์ทกุ ฉบบั
5. นาแบสอบถามท่ีสมบูรณ์มาลงรหัสคะแนนตามน้าหนักคะแนนแต่ละข้อ บันทึกข้อมูลลงบน
คอมพิวเตอร์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเร็จรปู ทางสถติ ิ
6. ทาการวิเคราะห์ข้อมูล และนาผลการคานวณมาวิเคราะห์ข้อมูลตามความมุ่งหมายและสมมติฐานของ
การวิจัยตอ่ ไป
กำรวิเครำะหข์ อ้ มูล
ในการวิจยั ครัง้ น้ี ผู้วิจยั ได้วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใชค้ ่าสถิติ ดังน้ี
ตอนที่ 1 ตรวจดูความสมบูรณข์ องแบบสอบถามทุกฉบบั เพ่ือนามาวเิ คราะห์ข้อมลู
ตอนท่ี 2 วิเคราะห์ระดบั การมสี ่วนรว่ มของชมุ ชนในการจัดการศกึ ษาโรงเรยี น
ในสงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 โดยใช้ค่าเฉล่ีย (สิ ) และค่าเบ่ียงเบน
มาตร ฐาน (SD) นามาเทียบกับเกณฑ์ โดยกาหนดเกณฑ์และแปลความหมายของคะแนนตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้
ดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว, 2533, หนา้ 23-24) ดังน้ี
คา่ เฉล่ยี 4.51 ถึง 5.00 แสดงวา่ ระดับการมีส่วนรว่ มอยู่ในระดับมากที่สดุ
ค่าเฉลีย่ 351 ถงึ 4.50 แสดงวา่ ระดบั การมีสว่ นร่วมอยใู่ นระดบั มาก
ค่าเฉล่ยี 2.51 ถึง 3.50 แสดงว่า ระดับการมสี ว่ นร่วมอย่ใู นระดบั ปานกลาง
คา่ เฉลี่ย 1.51 ถึง 2.50 แสดงวา่ ระดบั การมีส่วนร่วมอยใู่ นระดบั น้อย
คา่ เฉลีย่ 1.00 ถึง 1.50 แสดงวา่ ระดบั การมีส่วนร่วมอย่ใู นระดบั นอ้ ยที่สุด
นาคะแนนท่ีได้ไปวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ เพื่อวิเคราะห์หาค่าสถิติตามวัตถุประสงค์และ
สมมตฐิ านที่ตงั้ ไว้
สถติ ทิ ใ่ี ช้ในกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล
ผูว้ จิ ัยคาเนินการวเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ โดยเลอื กเฉพาะวิธกี ารวเิ คราะห์ข้อมูลที่
สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน ดังน้ี
1. การวเิ คราะหข์ อ้ มูลสถานภาพท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามในการหาค่าร้อยละ
2. การศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรอี ยธุ ยา เขต 2 เปน็ รายข้อ และรายด้าน โดยใช้และคา่ ความเบี่ยงเบนมาตร ฐาน (SD)
3. วิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขต
พนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 จาแนกตามเพศและสถานภาพโดยใช้สถิติการทดสอบค่าที
(1-tcst)