The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sawinee.suk, 2022-10-14 07:36:23

อาณาจักรเจนละ

อาณาจักรเจนละ

อาณาจักรเจนละ

อาณาจักรเจนละ

ความเป็นมา

อาณาจักรเจนละตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของกัมพูชาและทางตอน
ใต้ของลาวในปัจจุบัน ศูนย์กลางสัณนิษฐานได้ว่าอยู่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ เนื่องจากในอดีต
อาณาจักรเจนละเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนัน ในสมัยอาณาจักรฟูนันรุ่งเรือง จากศิลา
จารึกของเขมรในคริสศตวรรษที่ 10 ได้กล่าวถึงราชวงศ์เขมรว่าสืบเชื้อสายมาจากนักบวช
“กัมพู สวายัมปุระ” กับนางอัปสรชื่อ “เมรา” จึงให้กำเนิดเชื้อสายสืบต่อมา

การสถาปนา

อาณาจักรเจนละแห่งนี้เป็นอาณาจักรตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาจักหลินยี่หรือ
จามปา เดิมนั้นเป็นเมืองที่ขึ้นกับอาณาจักรฟูนัน ต่อมาในราว พุทธศักราช1097 พระเจ้า
ภววรมัน ปฐมกษัตริย์เจนละได้ทำการโค่นอำนาจของพระเจ้ารุทรวรมันกษัตริย์ฟูนัน โดย
ทำการตีเมืองวยาธปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรฟูนันแตก โดยต่อมาพระเจ้าจิตรเสน ซึ่ง
เป็นพระอนุชาของพระเจ้าภววรมันนั้น ได้เข้ายึดครองอาณาจักรฟูนันและขึ้นครองราชย์
ทรงพระนามว่าพระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 1 ซึ่งได้ทำการขยายอาณาเขตของอาณาจักรเจนละ
ออกไปอย่างกว้างขวาง สามารถครอบครองลุ่มแม่น้ำมูลตอนใต้ และลุ่มแม่น้ำโขง และ
ทำการตั้งเมืองเศรษฐปุระ เป็นเมืองหลวง อยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ในประเทศลาว

ต่อมาพระเจ้าอีศานวรมัน พุทธศักราช 1154–1172 โอรสของพระเจ้าจิตรเสน ได้
ย้ายเมืองหลวงไปตั้งอยู่ที่เมืองอีศานุปุระ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองกำปงธม
ประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งมีโบราณสถานศิลปะสมโบร์

อาณาจักรเจนละ

ระหว่างพุทธศักราช 1170 -1250 นั้นอาณาจักรขอมมีกษัตริย์ครองราชย์ คือ
พระเจ้าภววรมันที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โอรส
ของพระเจ้าภววรมันที่ 2 เป็นสมัยที่สร้างศิลปะขอมแบบไพรกเมง ขึ้นระหว่างพุทธศักราช
1180 – 1250

สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 นั้น อาณาจักรเจนละได้เกิดการแบ่งแยกออกเป็น พวกเจน
ละบก คืออยู่ลุ่มน้ำโขงตอนใต้ และพวกเจนละน้ำ อยู่ในดินแดนลาวตอนกลาง ในปีพุทธศักราช
1250 – 1350 สมัยนี้ได้มีการสร้างศิลปะขอมแบบกำปงพระขึ้น ต่อมาสมัยพระเจ้าสัญชัยพวก
เจนละน้ำได้ถูกชวาเข้าตีแตกและมีอำนาจในอาณาจักรแห่งนี้

เมื่ออาณาจักรขอมนั่นล่มสลาย ในราวพุทธศตวรรษที่ 14 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้
เสด็จมาจากชวาและทำการรวบรวมพวกเจนละทั้งสองกลุ่มประกาศอิสรภาพจากอำนาจครอง
ของชวา และได้สร้างอาณาจักรขอมสมัยเมืองพระนครขึ้น พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 หรือ
พระเจ้าปรเมศวร พุทธศักราช 1345– 1397 ได้ทำการรวบรวมพวกเจนละบกและพวกเจนละ
น้ำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยรับเอาลัทธิไศเลนทร์หรือเทวราชาเข้ามาทำการสถาปนา
อาณาจักรใหม่ขึ้น โดยทำการสร้างราชธานีขึ้นใหม่หลายแห่งและสร้างปราสาทหินหรือเทวาลัย
เป็นการใหญ่ ซึ่งมีเหตุการณ์ย้ายราชธานีขึ้นหลายครั้ง จนในที่สุดก็ลงตัวสร้างเป็นนครวัดนครธม
ขึ้น

อาณาจักรเจนละ

หลักฐานสำคัญที่กล่าวถึงลักษณะความเจริญของอาณาจักรเจนละ

ด้านการปกครอง ใช้การปกครองแบบเทวราชา
ด้านสังคม ราษฎรมีอาชีพหลัก คือ การทำนา อยู่กันป็นครอบครัวรวมกันเป็นหมู่บ้าน ยังคง
นับถือวิญญาณบรรพบุรุษและภูตผีต่าง ๆ และให้ความสำคัญแก่สตรี โดยที่อิทธิพลอินเดียยังไม่มี
บทบาทต่อประชาชนแต่อย่างใด
ด้านความเจริญทางวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลของอินเดียตั้งแต่สมัยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟู
นัน และได้รับมากขึ้นเมื่อเป็นประเทศอิสระ แต่อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียเข้าไปมีบทบาท
เฉพาะในราชสำนัก คือ

ทางด้านศาสนา รับนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย ส่วนพุทธศาสนามหายานพอ
มีบ้างแต่ยังไม่แพร่หลาย

ทางด้านอักษรศาสตร์ ใช้ภาษาสันสกฤตในการบันทึกในศิลาจารึก รับเอาวรรณคดีเรื่อง
มหากาพย์รามายาณะ และมหาภารตะและวรรณคดีทางพุทธศาสนาคือ ปุราณะ

ทางด้านสถาปัตยกรรม โบราณสถานที่สำคัญมักสร้างเป็นปรางค์ สร้างด้วยอิฐ มีฐาน
เป็นผังรูปสี่เหลี่ยม แต่ละชั้นจำลองตามแบบของชั้นล่าง โดยที่ปราสาทชั้นเดียวถวายบรรพบุรุษ
ปราสาทหลายชั้นเพื่อเทพเจ้า มีการสร้างวิหารตามแบบศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ก่อด้วยอิฐคล้าย
สถาปัตยกรรมอินเดีย แต่ในขณะเดียวกันช่างของเขมรก็ได้ใส่ถักพระเขมรไว้ด้วย เช่น ภาพสลัก
นูนต่ำ เกี่ยวกับมนุษย์หน้าตาจะเป็นชาวเขมร แต่เป็นเรื่องราวในวรรณคดีอินเดีย ซึ่งเจนละเป็น
พวกแรกที่นำศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งโบราณสถาณ สิ่งก่อสร้างในเขมรล้วนเกี่ยวข้องกับ
ศาสนาทั้งสิ้น

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกปากโดมน้อย

ชื่อจารึก : จารึกปากโดมน้อย
ชื่อจารึกแบบอื่น ๆ : ศิลาจารึกปากโดมน้อย, อบ. 28, K.1190, เลขทะเบียนโบราณวัตถุ

ที่ 1/2539
อักษรที่มีในจารึก : ปัลลวะ
ศักราช : พุทธศตวรรษ 12
ภาษา : สันสกฤต
ด้าน/บรรทัด :จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 6 บรรทัด
วัตถุจารึก : หินทราย
ลักษณะวัตถุ : รูปเสมา
ขนาดวัตถุ : กว้าง 38.80 ซม. สูง 147 ซม. หนา 37.7 ซม.
ปีที่พบจารึก : วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2534
สถานที่พบ : ริมฝั่งแม่น้ำมูล ปากลำโดมน้อย ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ต.คำเขื่อนแก้ว

อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกปากโดมน้อย

เนื้อหาโดยสังเขป
ข้อความในจารึกกล่าวถึงพระเจ้าจิตรเสน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงได้ชัยชนะเหนือกัมพู

ประเทศ และได้เฉลิมพระนามว่า “ศรีมเหนทรวรมัน” อีกทั้งโปรดให้สร้างรูปเคารพต่างๆ ใน
ลัทธิไศวนิกายไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระองค์ ซึ่งในจารึกปากน้ำมูล 1 นี้
เป็นการสร้างพระศิวลึงค์ ดังนั้น จากจารึกทั้ง 7 หลักนี้ จึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่า อารยธรรม
แถบลุ่มแม่น้ำชี และลุ่มแม่น้ำมูลในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-12 นั้น มีผู้นำของอาณาจักร
นับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย “จิตรเสน” เป็นพระนามของเจ้าชายผู้ทรงเป็นพระญาติ
กับพระเจ้าภววรมันที่ 1 (พ.ศ. 1141-1150) กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ต่อมาเจ้าชายจิตร
เสนได้ครองราชสมบัติ ฉลองพระนามเป็น พระเจ้ามเหนทรวรมัน (ราว พ.ศ. 1150-1159)
พระเจ้ามเหนทรวรมันทรงสถาปนาจารึกไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตแดนของ
ประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีพบที่ จังหวัดบุรีรัมย์ คือ กลุ่มจารึกถ้ำเป็ดทอง ที่จังหวัดขอนแก่น
พบจารึกวัดศรีเมืองแอม (ขก. 15) และที่จังหวัดอุบลราชธานี พบจารึกปากน้ำมูล 1 (อบ. 1)
(K. 496) จารึกปากน้ำมูล 2 (อบ. 2) (K. 497) จารึกวัดสุปัฏนาราม 1 (อบ. 4) (K. 508)
และ จารึกถ้ำภูหมาไน (อบ. 9)

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกปากน้ำมูล

ชื่อจารึก : จารึกปากน้ำมูล 1
ชื่อจารึกแบบอื่น ๆ : เลขทะเบียนโบราณวัตถุที่ 5/2528, Les inscriptions de Khăn

Thevăda, Les inscriptions de Khăn T’evăda, Khan Thevada
Inscriptions, Les inscriptions de Khan T’evada (Pak Mun)
(K. 496 & K. 497), อบ. 1, K. 496, K. 497, จารึกคันเทวดา
อักษรที่มีในจารึก : ปัลลวะ
ศักราช : พุทธศตวรรษ 12
ภาษา : สันสกฤต
ด้าน/บรรทัด : จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 6 บรรทัด
วัตถุจารึก : ศิลา
ลักษณะวัตถุ : รูปเสมา
ขนาดวัตถุ : กว้าง 35 ซม. สูง 250 ซม. หนา 36 ซม.
สถานที่พบ : ฝั่งขวาปากน้ำมูล ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกปากน้ำมูล

เนื้อหาโดยสังเขป
ข้อความในจารึกกล่าวถึงพระเจ้าจิตรเสน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงได้ชัยชนะเหนือกัมพูประเทศ

และได้เฉลิมพระนามว่า “ศรีมเหนทรวรมัน” อีกทั้งโปรดให้สร้างรูปเคารพต่างๆ ในลัทธิไศวนิกายไว้
เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระองค์ ซึ่งในจารึกปากน้ำมูล 1 นี้ เป็นการสร้างพระศิวลึงค์
ดังนั้น จากจารึกทั้ง 7 หลักนี้ จึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่า อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำชี และลุ่มแม่น้ำมูล
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-12 นั้น มีผู้นำของอาณาจักรนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย
“จิตรเสน” เป็นพระนามของเจ้าชายผู้ทรงเป็นพระญาติกับพระเจ้าภววรมันที่ 1 (พ.ศ. 1141-
1150) กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ต่อมาเจ้าชายจิตรเสนได้ครองราชสมบัติ ฉลองพระนามเป็น
พระเจ้ามเหนทรวรมัน (ราว พ.ศ. 1150-1159) พระเจ้ามเหนทรวรมันทรงสถาปนาจารึกไว้เป็น
จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตแดนของประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีพบที่ จังหวัดบุรีรัมย์ คือ
กลุ่มจารึกถ้ำเป็ดทอง ที่จังหวัดขอนแก่นพบจารึกวัดศรีเมืองแอม (ขก. 15) และที่ จังหวัด
อุบลราชธานี พบจารึกปากน้ำมูล 1 (อบ. 1) (K. 496) จารึกปากน้ำมูล 2 (อบ. 2) (K. 497)
จารึกวัดสุปัฏนาราม 1 (อบ. 4) (K. 508) และ จารึกถ้ำภูหมาไน (อบ. 9)

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกถ้ำภูหมาไน

ชื่อจารึก : จารึกถ้ำภูหมาไน
ชื่อจารึกแบบอื่น ๆ : Les inscriptions de Thăm Prasat (Phu Ma Năi), L’inscription de
Thăm Prasat ou Thàm Phu Má Năi, L’inscription de Thăm Prasat, Les inscription
de Thăm Prasat ou Ph‘u Ma Năi (K. 508-K. 509), จารึกถ้ำภูหมาไน (อบ. 9), จารึก
ถ้ำภูหมาไน (ถ้ำปราสาท), อบ.9, K.508, K.509
อักษรที่มีในจารึก : ปัลลวะ
ศักราช : พุทธศตวรรษ 12
ภาษา : สันสกฤต
ด้าน/บรรทัด : จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 3 บรรทัท
วัตถุจารึก : ศิลา
ลักษณะวัตถุ : ฐานรูปเคารพ
ขนาดวัตถุ : กว้าง 55 ซม. สูง 101 ซม. หนา 11 ซม.
สถานที่พบ : ถ้ำปราสาท (หรือ ถ้ำภูหมาไน) อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

จารึกอาณาจักรเจนละ

จารึกถ้ำภูหมาไน

เนื้อหาโดยสังเขป
ข้อความในจารึกกล่าวถึงพระเจ้าจิตรเสน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงได้ชัยชนะเหนือกัมพูประเทศ

และได้เฉลิมพระนามว่า “ศรีมเหนทรวรมัน” อีกทั้งโปรดให้สร้างรูปเคารพต่างๆ ในลัทธิไศวนิ
กายไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระองค์ ซึ่งในจารึกถ้ำภูหมาไน (อบ. 9) นี้
เป็นการสร้างพระโค ซึ่งน่าจะหมายถึง “โคนนทิ” พาหนะของพระศิวะนั่นเอง ดังนั้น จากจารึก
ทั้ง 7 หลักนี้ จึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่า อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำชี และลุ่มแม่น้ำมูลในระหว่าง
พุทธศตวรรษที่ 11-12 นั้น มีผู้นำของอาณาจักรนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย “จิตร
เสน” เป็นพระนามของเจ้าชายผู้ทรงเป็นพระญาติกับพระเจ้าภววรมันที่ 1 (พ.ศ. 1141-1150)
กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ต่อมาเจ้าชายจิตรเสนได้ครองราชสมบัติ ฉลองพระนามเป็น
พระเจ้ามเหนทรวรมัน (ราว พ.ศ. 1150-1159)

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
1.ปราสาทภูมิโปน ตั้งอยู่ที่บ้านภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์
ปราสาทภูมิโปน ประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และฐานปราสาทศิลาแลงอีก 1 หลัง ตั้งเรียงกัน
จากเหนือไปใต้ ปราสาทอิฐองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นปรางค์ประธาน เป็นปราสาทหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐไม่สอ
ปูน มีเสาประดับกรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทราย ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้นไปมีลายรูป
ใบไม้ม้วน รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างปราสาทประธานเทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อน
พระนคร ร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ 1 และเมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง ได้พบจารึกภาษา
สันสกฤต อักษรปัลลวะ ซึ่งเคยใช้ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งถือเป็นจารึกรุ่นแรก ๆ (ส่วน
จารึกที่ระบุศักราชชัดเจนเท่าที่พบในประเทศไทยที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุด คือ จารึกเขาน้อย
อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พุทธศักราช 1180 และจารึกเขาวัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
พุทธศักราช 1182) ส่วนปราสาทอิฐหลังเล็กที่ตั้งตรงกลางและปราสาทที่มีฐานศิลาแลงด้านทิศใต้
นั้น สร้างขึ้นในสมัยหลังปราสาทภูมิโปน คงจะสร้างขึ้น เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูไศวนิกาย
เช่นเดียวกับศาสนสถานอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน แม้จะไม่พบรูปเคารพ ซึ่งควรจะเป็นศิวลึงค์อยู่ภายใน
องค์ปรางค์ แต่ที่ปรางค์องค์ใหญ่ยังมีท่อโสมสูตร คือ ท่อน้ำมนต์ที่ต่อออกมาจากแท่นฐานรูปเคารพ
ในห้องกลางติดอยู่ที่ผนังในระดับพื้นห้อง สอดคล้องกับอายุของรูปแบบศิลปะของปราสาทนี้ด้วย ซึ่ง
นับเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่พบศิลาจารึกอักษรปัลลวะ-
สันสกฤต ส่วนฐานปราสาทศิลาแลงและปราสาทหลังที่ 2 เป็นการสร้างในสมัยต่อมา ไม่อาจ
กำหนดอายุได้ชัดเจน ปราสาทแห่งนี้มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง คือ ตำนาน เนียงด็อฮทม ซึ่งเป็นราช
ธิดาขอมผู้ปกครองเมืองภูมิโปนองค์สุดท้าย กล่าวไว้ในส่วนของตำนานและนิทานเมืองสุรินทร์

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
2. ปราสาทสมโบร์ไพรกุก จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา (เขมร: ប្រាសាទសំបូរព្រៃគុក)
หรือไทยมักเขียนว่า ปราสาทสมโบร์ไพรกุก เป็นโบราณสถานในเขตกำพงธม (ខេត្តកំពង់ធំ) ประเทศ
กัมพูชา อยู่ห่างจากกรุงกำพงธม (ក្រុងកំពង់ធំ) เมืองเอกของเขตกำพงธม ไปทางเหนือราว 30
กิโลเมตร อยู่ห่างจากเมืองพระนครไปทางตะวันออกราว 176 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากราชธานี
พนมเปญ (រាជធានីភ្នំពេញ) ไปทางเหนือราว 206 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นแต่ซากปรักหักพัง มีอายุ
ย้อนหลังไปถึงสมัยเจนละ ซึ่งเป็นสมัยก่อนพระนคร เพราะเคยเป็นที่ตั้งเมืองชื่อ อีศานปุระ
(ឦឝានបុរ) ที่พระเจ้าอีศานวรรมัมที่ 1 (ឦឝានវម៌្មទី១) พระมหากษัตริย์เจนละ ทรงสถาปนา
ขึ้นเป็นเมืองหลวงในคริสต์ศตวรรษที่ 7

ปราสาทสมบูรณ์ไพรคุกตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ (ទន្លេសាប) ใกล้กับแม่น้ำสทึง
แสน (ស្ទឹងសែន) อาคารในพื้นที่ปราสาทนั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่มหลัก แต่ละกลุ่มมีกำแพงอิฐล้อมรอบ
เป็นสี่เหลี่ยม และไม่ได้สร้างขึ้นพร้อมกัน กลุ่มทางเหนือและทางใต้นั้นสร้างขึ้นก่อนเพื่อน โดยสร้างขึ้นใน
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ตามรับสั่งของพระเจ้าอีศานวรรมัมที่ 1 จึงถือกันว่า พระเจ้าอีศานวรรมัมที่ 1
เป็นผู้สถาปนาปราสาทสมบูรณ์ไพรคุกนี้ ส่วนกลุ่มตรงกลางสร้างขึ้นภายหลัง

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
3. ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ตั้งอยู่ในวัดเขาน้อย (สีชมพู) ตำบลคลองน้ำใส ห่างจากตัวอำเภอ
อรัญประเทศไปทางทิศใต้ประมาณ 12 กิโลเมตร โบราณสถานตั้งอยู่บนยอดเขาน้อยซึ่งเป็นเขาหินปูนสูง
จากพื้นประมาณ 130 เมตร

ปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาน้อยซึ่งต้องเดินบันไดขึ้นไปถึง 254 ขั้นแห่งนี้ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12
และได้รับการบูรณะในพุทธศตวรรษที่ 15 และยังคงความสำคัญเรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16 และได้
รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติจากกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2478 ทั้งนี้ เชื่อว่าปราสาทเขา
น้อยสีชมพูนั้นเป็นศาสนถานในศาสนาฮินดู ที่ประกอบด้วยปรางค์ 3 หลัง ได้แก่ ปรางค์ทิศเหนือ ปรางค์
องค์กลาง และปรางค์ทิศใต้ ทั้งนี้เหลือเพียงปรางค์องค์กลางเท่านั้นที่ยังค่อนข้างมีสภาพสมบูรณ์ จากการ
ขุดสำรวจของกรมศิลปากรได้ค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมาก เช่น โบราณวัตถุทำจากโลหะ
เครื่องปั้นดินเผา ทับหลังหินทราย 5 ชิ้น และค้นพบแผ่นจารึกบ่งบอกถึงอายุ การสร้างปราสาทเรียกว่า
จารึกเขาน้อย และทับหลังหินทรายแบบสมโบร์ไพรกุกอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ศิลาจารึกระบุมหา
ศักราช 559 ตรงกับ พ.ศ. 1180 ซึ่งเป็นจารึกที่ระบุศักราชเก่าที่สุดในประเทศ

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
4.ปราสาทเขาพพระวิหาร จังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชา ปราสาทพระวิหาร เป็นโบราณ
สถานที่มีความงดงาม โดดเด่นอยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดน ระหว่างประเทศไทยกับ
ประเทศกัมพูชา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 657 เมตรปราสาทพระวิหารเป็นเสมือนเทพสถิตย์
บนขุนเขาหรือ "ศรีศิขเรศร" เป็น "เพชรยอดมงกุฎ" ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอด
เทือกเขาพนมดงรัก มีความยาว 800 เมตร ตามแนวเหนือใต้ ส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาวและบันไดสูงถึง
ยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120 เมตรจากปลาย
ตอนเหนือสุดของปราสาท, 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657 เมตรจากระดับน้ำทะเล)

ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของ
เทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น และปราสาทพระวิหารเป็น
สถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ "ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม) แต่โบราณ
ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชาเป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่ง
ในการสร้าง "ปราสาท" ด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหาร
ติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1" เรื่อยมา
จน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ "ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่
9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปี
นั่นเอง)

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
5. เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ โบราณสถาน “เมืองศรีเทพ” ภายในอุทยานประวัติศาสตร์
ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ คือหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ณ สถานที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมี
มนุษย์อาศัยอยู่มีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกทั้งโบราณ
สถานแห่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมทวารวดีและเขมรตามลำดับ ก่อนที่จะถูกปล่อย
ทิ้งให้รกร้างและถูกลืมเลือนไปในที่สุด

“คนแบกใต้ฐานเขาคลังใน” อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ในปี พ.ศ. 2447 สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ทรงค้นพบเมือง
โบราณแห่งนี้ พระองค์ได้ค้นพบทำเนียบเก่าที่บอกรายชื่อหัวเมืองและมีชื่อเมืองศรีเทพ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าว่า
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด

ต่อมาพระองค์ทรงค้นพบสมุดดำเล่มหนึ่งกล่าวถึงการให้คนเชิญตราสารไปบอกข่าวการ
สิ้นพระชนม์ของรัชการที่ 2 ไปตามหัวเมืองต่างๆ และมีอยู่เส้นทางหนึ่งไปทางเมืองสระบุรี เมือง
ชัยบาดาล เมืองศรีเทพ เมืองเพชรบูรณ์ จึงตั้งสมมติฐานว่าเมืองศรีเทพน่าจะอยู่ทางลำน้ำป่าสัก เมื่อ
เสด็จตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ได้จัดหาผู้ชำนาญพื้นที่เพื่อที่จะสอบถามว่ามีเมืองโบราณอยู่ใกล้ลำน้ำ
ป่าสักที่ไหนบ้างและถามไถ่หาความจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ออกมาต้อนรับว่า ละแวกนี้นั้นมีเมืองโบราณอยู่
หรือไม่ และได้ทำการค้นหาอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็ค้นพบเมืองโบราณแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับลำน้ำป่า
สัก และทรงเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองศรีเทพ”

“องค์สุริยะเทพ” อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เมืองโบราณแห่งนี้มีลักษณะเป็นเมืองซ้อนเมือง
แล้วมีเนินดินสูงล้อมรอบคล้ายกำแพงเมือง ด้านนอกของเนินดินเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบอีกหนึ่งชั้น
การขุดค้นเมืองโบราณแห่งนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 โดยกรมศิลปากร และเป็นที่น่าแปลกใจของกรม
ศิลปากรเมื่อเห็นว่าภายในพื้นที่บริเวณเขตเมืองโบราณนั้นไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ภายใน
เมืองโบราณเลย แต่กลับสร้างบ้านและตั้งถิ่นฐานอยู่รอบนอกเขตเมืองโบราณเท่านั้น

จารึกอาณาจักรเจนละ

หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรเจนละ
6. ปราสาทวัดพู ประเทศลาว สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 6-8 สมัยอาณาจักรเจนละบก เป็นยุคที่
อาณาจักรเจนละยังยิ่งใหญ่ในภูมิภาคสุวรรณภูมิ โดยพวกเจนละบกครอบครองดินแดนเขมรภาคใต้
และเจนละน้ำครอบครองบริเวณลาวภาคกลาง กระทั่งถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ประมาณศตวรรษที่
17 ทรงรวบรวมอาณาจักรเจนละทั้ง 2 เข้าด้วยกัน แล้วสถาปนาราชธานีขึ้นใหม่ รวมทั้งสร้างปราสาท
นครวัดขึ้นด้วย

ในเบื้องแรกนั้นว่ากันว่าปราสาทวัดพูใช้เป็นเทวาลัยขนาดใหญ่สำหรับบูชาศิวะเทพตามความ
เชื่อแบบพราหมณ์ (ฮินดู) ที่เขมรรับมาจากอินเดีย จึงเปรียบให้ตัวปราสาทวัดพูที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงใกล้
ลำน้ำโขงเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และเปรียบให้ลำน้ำโขงเป็นแม่น้ำคงคาที่ไหลมาจากพระศอ (คอ)
ของพระศิวะ ทำให้กลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้เดินทางมาแสวงบุญบูชาทวยเทพ นอกจากนี้ที่ด้านหลัง
ปราสาทวัดพูยังมีน้ำพุธรรมชาติใสเย็นไหลตลอดปี หลั่งรินออกจากหน้าผาสูง เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้ใน
พิธีกรรมต่าง ๆ


Click to View FlipBook Version