สื่อประกอบการสอนรายวิชา โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
สมบัติของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ (Stars) คือ ก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่ รวมตัวกันอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงที่สมดุลกับแรงดันของ รังสีและแก๊สที่เกิดจากปฏิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ พลังงาน ในดาวฤกษ์จะแผ่ออกมาสู่ผิวดาว ทำให้ดาวฤกษ์มีลักษณะ เป็นก้อนแก๊สที่แผ่รังสีความร้อน
สมบัติของดาวฤกษ์ ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ สี อุณหภูมิผิว และชนิดสเปกตรัมของดาวฤกษ์ แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความส่องสว่างของดาวฤกษ์ เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ ที่ปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อหน่วยพื้นที่ มีหน่วย เป็นวัตต์ต่อตารางเมตร
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ S d=1 d=2 d=3 S คือ แหล่งกำเนิดแสง d คือ ระยะทาง A คือ พื้นที่รับแสง B = L 4πd2 ความส่องสว่างจะมีค่าลดลงตามระยะทาง คำนวณหาได้จากสมการ เมื่อ B คือ ความส่องสว่างของแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยเป็น วัตต์ต่อตารางเมตร L คือ กำลังส่องสว่างของแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยเป็น วัตต์ d คือ ระยะทางจากแหล่งกำเนิดแสงถึงผู้สังเกต มีหน่วยเป็น เมตร
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ ดวงดาวแต ่ละดวงมีความส ่องสว ่างต ่างกัน ฮิปพาร์คัส (Hipparchus) นักปราชญ์ชาวกรีก ได้จัดลำดับความส่องสว่างของ ดวงดาวออกเป็น 6 ลำดับ เรียกว่า โชติมาตร (Magnitude) หรือ อันดับความสว่าง โดยในยุคเริ่มต้น กำหนดให้อันดับที่มีความสว่าง มากที่สุดมีโชติมาตรเป็น 1 และความสว่างน้อยที่สุดมีโชติมาตร เป็น 6
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ ต่อมา นอร์แมน พ็อกสัน (Norman Pogson) ได้เสนอว่า ดาวฤกษ์ที ่มีโชติมาตร 1 มีความสว ่างมากกว ่าดาวฤกษ์ที ่มี โชติมาตร 6 ร้อยเท ่า อย ่างไรก็ตาม ค ่าโชติมาตรอาจมีค ่า มากกว่า 6 หรือน้อยกว่า 1 ตามค่าความละเอียดของเครื่องมือวัด ดาวที่มีโชติมาตรต่างกัน 1 อันดับ จะมีความส่องสว่างต่างกันประมาณ 2.512 เท่า NOTE
โชติมาตรของดาวที่ มองเห็นได้จากโลก เรียกว่า โชติมาตรปรากฏ (apparent magnitude) โชติมาตรปรากฏ -30 -25 -20 -15 -10 -5 0 5 10 15 20 25 ความส่องสว่างของดวงดาว ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า (+6) ดาวเหนือ (+2.6) ดาวเสาร์ (+0.7) ดาวพฤหัสบดี (-2.7) ดาวศุกร์ (-4.6) ดาวจันทร์เพ็ญ (-12.5) ดวงอาทิตย์ (-26.7) ความส่องสว่างของดวงดาว ที่สามารถมองเห็นด้วยกล้องโทรทัศน์ ขนาด 4 เมตร บนผิวโลก (+27)
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ โชติมาตรของดาวฤกษ์เมื่อวัดที่ระยะ 10 พาร์เ ก หรือ 32.6 ปีแสง เรียกว่า โชติมาตรสัมบูรณ์ (apsolute magnitude) เช่น ดวงอาทิตย์ มีโชติมาตรปรากฏ -26.7 / โชติมาตรสัมบูรณ์ 4.8 ดาวไรเจล มีโชติมาตรปรากฏ 0.12 / โชติมาตรสัมบูรณ์ -7.8 แสดงว่า ดาวไรเจลมีกำลังส่องสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ แต่คนบนโลกจะเห็นดาวไรเจล สว่างน้อยกว่าดวงอาทิตย์ เพราะดาวไรเจลอยู่ไกลจากโลกมากกว่าดวงอาทิตย์
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ ตัวอย่างดาว ระยะห่างจากโลก โชติมาตร ปรากฏ โชติมาตร สัมบูรณ์ ปีแสง พาร์เ ก ดวงอาทิตย์ 8 นาทีแสง 4.67×10 −6 -26.7 4.8 ดาว ิริอัส 9 2.75 -1.46 1.5 ดาวเวกา 25 7.66 0.04 0.6 ดาวพอลลัก ์ 34 10.42 1.14 1.1 ดาวดวงแก้ว 37 11.34 -0.05 -0.6 ดาวหัวใจสิงห์ 69 21.15 1.35 -0.3 ดาวรวงข้าว 260 79.71 0.98 -3.6 ดาวคาโนปัส 310 95.04 -0.6 -5.4 ดาวเบเทลจุส 520 159.43 0.4 -5.0 ดาวไรเจล 800 245.28 0.12 -7.8 ระยะห่างจากโลก โชติมาตรปรากฏ และโชติมาตรสัมบูรณ์ของตัวอย่างดาวฤกษ์
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ S1 S2 E1 E2 1 AU p S d ดาวฤกษ์ มุมแพรัลแลก ์ โลก โลก การที่มองเห็นตำแหน่งของวัตถุเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งของผู้สังเกต เรียกว่า ปรากฏการณ์แพรัลแลก ์ (Parallax) ึ ่งมุมที ่เกิดจากการเห็นตำแหน ่งของวัตถุบนฉาก เปลี่ยนไป เรียกว่า มุมแพรัลแลก ์(Parallax angle)
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ วิธีการหาค่าระยะทางจากโลกถึงดาวฤกษ์ทำได้โดย คำนวณจากมุมพารัลแลก ์ d = 1 p เมื่อ d คือ ระยะทางจากผู้สังเกตบนโลกถึงดาวฤกษ์ มีหน่วยเป็น พาร์เ ก (pc) p คือ มุมแพรัลแล็ก ์มีหน่วยเป็น ฟิลิปดา
1 องศา มีค่าเท่ากับ 60 ลิปดา 1 ลิปดา มีค่าเท่ากับ 60 ฟิลิปดา 1 ฟิลิปดา มีค่าเท่ากับ 1 3600 องศา 1 เรเดียน = 2π = 360 องศา ≈ 206,265 ฟิลิปดา
ความส่องสว่าง และโชติมาตรของดาวฤกษ์ ตัวอย่าง ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโต มีมุมแพรัลแลก ์0.04 ฟิลิปดา มีระยะทางห่างจากโลกกี่ปีแสง วิธีทำ หาระยะห่างจากโลกถึงดาวหัวใจสิงห์จาก d = 1 p จะได้ d = 1 0.04 d = 25 พาร์เ ็ก เมื่อ 1 พาร์เ ็ก มีค่าเท่ากับ 3.26 ปีแสง จะได้ 25 พาร์เ ็ก มีค่าเท่ากับ 25 × 3.26 = 81.5 ปีแสง ตอบ ดาวหัวใจสิงห์มีระยะห่างจากโลก 81.5 ปีแสง
สี อุณหภูมิผิว และชนิดสเปกตรัมของดาวฤกษ์ สีของดาวฤกษ์ มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิผิว และ สเปกตรัมของดาวฤกษ์ ึ ่งนักดาราศาสตร์นำมาใช้ใน การจัดกลุ่มของดาวฤกษ์ตามสเปกตรัม
ข้อมูลสี อุณหภูมิผิว ของดาวฤกษ์ ดาว สี อุณหภูมิผิวโดยประมาณ (K) ดวงอาทิตย์ เหลือง 5,780 ดาวรวงข้าว น ้าเงินแกมขาว 22,400 ดาว ิริอัส เอ ขาว 9,940 ดาวไรเจล น ้าเงินแกมขาว 11,000 ดาวโพร ิออน เอ ขาวแกมเหลือง 6,530 ดาวคาเพลลา เหลือง 4,940 ดาวปาริชาต แดง 3,570 ดาวหัวใจสิงห์ น ้าเงินแกมขาว 10,300 ดาวเวกา ขาว 9,600 ดาวเบเทลจุส แดง 3,500 ดาวอัลนีแทค น ้าเงิน 30,000 ดาวเอป ีลอน อินดี บี ส้ม 4,630
ชนิดสเปกตรัม สี และอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์ ชนิด สเปกตรัม สี อุณหภูมิผิว โดยประมาณ (K) ตัวอย่างดาวฤกษ์ O น ้าเงิน มากกว่า 30,000 ดาวอัลนีเทคและดาวมินตากะ ในกลุ่มดาวนายพราน B น ้าเงินแกมขาว 10,000-30,000 ดาวรวงข้าวในกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวไรเจล A ขาว 7,500-10,000 ดาว ิริอัสในกลุ่มดาวหใหญ่ ดาวหางหงส์ในกลุ่มดาวหงส์ F ขาวแกมเหลือง 6,000-7,500 ดาวโพร ิออนในกลุ่มดาวหมาเล็ก G เหลือง 4,900-6,000 ดวงอาทิตย์ ดาวคาเพลลา K ส้ม 3,500-4,900 ดาวดวงแก้วในกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ M แดง 2,500-3,500 ดาวปาริชาตในกลุ่มดาวแมงป่อง จัดกลุ่มดาวฤกษ์ตามสเปกตรัมเป็น 7 กลุ่ม และเรียงลำดับตามอุณหภูมิผิว อุณหภูมิผิวสูงมีสีค่อนไปสีน ้าเงิน อุณหภูมิผิวต ่าค่อนไปทางสีแดง
สี อุณหภูมิผิว และชนิดสเปกตรัมของดาวฤกษ์ นักดาราศาสตร์ได้กำหนดดัชนีสี (Color index)เพื่อใช้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ ตามสเปกตรัมให้มีความละเอียดมากขึ้น โดยใช้ผลต ่างโชติมาตรของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นและยาว แบ่งช่วงความยาวคลื่นออกเป็น U B และ V โดยที่ U เป็นโชติมาตรในช่วงคลื่นอัลตราไวโอเลต มีความยาวคลื่นประมาณ 300-400 นาโนเมตร B เป็นโชติมาตรในช ่วงคลื ่นแสงสีน ้าเงิน มีความยาวคลื ่นประมาณ 400-500 นาโนเมตร V เป็นโชติมาตรในช ่วงคลื ่นแสงสีเหลือง มีความยาวคลื ่นประมาณ 500-600 นาโนเมตร
ดัชนีสีของดาวฤกษ์ ชนิด สเปกตรัม สี อุณหภูมิผิว โดยประมาณ (K) ช่วงของดัชนีสีโดยประมาณ (B - V) O น ้าเงิน มากกว่า 30,000 -0.32 ถึง -0.30 B น ้าเงินแกมขาว 10,000-30,000 -0.30 ถึง -0.06 A ขาว 7,500-10,000 0.00 ถึง +0.19 F ขาวแกมเหลือง 6,000-7,500 +0.31 ถึง +0.54 G เหลือง 4,900-6,000 +0.59 ถึง +0.74 K ส้ม 3,500-4,900 +0.82 ถึง +1.30 M แดง 2,500-3,500 +1.41 ถึง +2.00
แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์ ดาวฤกษ์ที ่ปรากฏในแผนภาพ เฮิร์ต ปรุง-รัสเ ลล์แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. ดาวในแถบลำดับหลัก 2. ดาวยักษ์ 3. ดาวยักษ์ใหญ่ 4. ดาวแคระขาวโดยดาวฤกษ์ โดยทั้งสี่กลุ่มนี้มีสมบัติแตกต่างกัน
แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์ 1. ดาวในแถบลำดับหลัก (Main sequence) เป็นกล ุ ่มที ่มีดาวฤกษ์จำนวนมากที ่สุด มีอุณหภูมิผิวประมาณ 3,000 ถึง 30,000 เคลวิน มีกำลังส่องสว่าง 10−4 ถึง 104 เท่า ข อ ง ก ำ ล ั ง ส ่ อ ง ส ว ่ า ง ข อ ง ด ว ง อ า ท ิ ต ย์ ดวงอาทิตย์จัดอยู่ในกลุ่มแถบดาวลำดับหลัก มีสีเหลือง อยู ่บริเวณตอนกลางค ่อนมา ทางล่าง
แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์ 2. ดาวยักษ์ ดาวที่อยู่ด้าน ้ายของกลุ่มดาวยักษ์ จะมีอุณหภูมิผิวประมาณ 10,000 ถึง 30,000 เคลวิน มีกำลังส ่องสว ่าง 100 เท ่าของ กำลังส ่องสว ่างของดวงอาทิตย์ เรียกว ่า ดาวยักษ์น ้าเงิน ดาวที่อยู่ด้านขวาของกลุ่มดาวยักษ์ จะมีอุณหภูมิผิวต ่ากว่า 6,000 เคลวิน และมี กำลังส่องสว่าง 100 เท่าของกำลังส่องสว่าง ของดวงอาทิตย์ เรียกว่า ดาวยักษ์แดง
แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์ 3. ดาวยักษ์ใหญ่ เป็นดาวที ่มีขนาดใหญ ่และมีกำลังส ่องสว ่าง มากกว ่าดาวยักษ์ เป็น ที ่อยู ่ด้าน ้ายของดาว ยักษ์ใหญ่จะเป็นดาวยักษ์ใหญ่น ้าเงิน มีขนาด ใหญ ่มากและมีอุณหภูมิผิวสูง ขณะที ่ทางขวา จะเป็นดาวยักษ์ใหญ ่แดง มีขนาดใหญ ่มาก เช่นกัน แต่จะมีอุณหภูมิผิวต ่า
แผนภาพเฮิร์ต ปรุง - รัสเ ลล์ 4. ดาวแคระขาว เป็นกลุ่มดาวที่ไม่เกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ จึงไม ่จัดเป็นดาวฤกษ์ มีอุณหภูมิสูง กำลัง ส่องสว่างน้อย และมีขนาดเล็ก เช่น ดาว ีรีอัส บี ดาวโพร ิออน บี
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ กำเนิดของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์
กำเนิดของดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของแก๊สและฝุ่นในเนบิวลาภายใต้ แรงโน้มถ ่วง ทำให้ความดันและอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เกิดเป็นดาวฤกษ์ ก่อนเกิด เมื่ออุณหภูมิที่แก่นสูงขึ้นจนเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิดจะกลายเป็นดาวฤกษ์ เนบิวลา ดาวฤกษ์ก่อนเกิด
กำเนิดของดาวฤกษ์ ดวงอาทิตย์ มีต้นกำเนิด มาจากเนบิวลาสุริยะ (Solar nebula) เมื่อสสารยุบตัวลงจะ เกิดเป็นดวงอาทิตย์ก ่อนเกิด (Protosun) เพียงดวงเดียว ในเนบิวลานี้ เนบิวลาสุริยะ
กำเนิดของดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ที่เกิดขึ้นจะมีรูปร่าง เป็นทรงกลม เพราะอยู ่ในสภาพ สม ด ุ ล อ ุท ก ส ถ ิต (Hydrostatic equilibrium) ท ำ ใ ห ้ ด า ว ฤ ก ษ์ ม ี เสถ ียรภาพ และปลดปล ่อย พลังงานอย่างต่อเนื่องตลอดอายุขัย ของดาวฤกษ์นั้น แก่น สมดุลอุทกสถิต
กำเนิดของดาวฤกษ์ ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ ึ ่งขึ้นกับขนาดของ มวลตั้งต้นของดาวฤกษ์ 1. ปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน – โปรตอน 2. วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน
1 2 1 2 3 การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน โปรตอน นิวตรอน รังสีแกมมา นิวทริโน โพร ิตรอน ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นในดาวฤกษ์ที่มีมวลใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ที่ใจกลางมีอุณหภูมิประมาณ 10 – 15 ล้านเคลวิน มีทั้งหมด 3 ขั้นตอน
1 2 1 2 3 ขั้นตอนที ่ 1 ไฮโดรเจนในสภาวะ พลาสมาสองนิวเคลียสรวมเป็น นิวเคลียสของดิวเทอเรียม ( 1 2H) และ มีการปลดปล ่อยโพร ิตรอนกับ นิวทริโนออกมา 1 1H +1 1H → 1 2H + +1 0 e + การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน
1 2 1 2 3 ขั้นตอนที่ 2 นิวเคลียสของดิวเทอเรียม หลอมรวมกับนิวเคลียสไฮโดรเจน กลายเป็นนิวเคลียสของฮีเลียม-3 ( 2 3H) และมีการปลดปล ่อยรังสีแกมมา ออกมาด้วย การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน 1 2H +1 1H → 2 3H + การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน
1 2 1 2 3 การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน ขั้นตอนที่ 3 นิวเคลียสของฮีเลียม-3 ( 2 3H) สองนิวเคลียสหลอมรวมกัน กลายเป็น นิวเคลียสของฮีเลียม ( 2 4H) และเกิด นิวเคลียสของไฮโดรเจน 2 นิวเคลียส แล ะไ ด ้พ ล ั ง งาน อ อ กมา ในรูป ข อ ง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2 3H +2 3H → 2 4H + 1 1H + 1 1H การเกิดปฏิกิริยาลูกโ ่โปรตอน - โปรตอน
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นในดาวฤกษ์ที่มีมวล 1.5เท่าของดวงอาทิตย์ ที่ใจกลางมี อุณหภูมิประมาณ 16 ล้านเคลวิน มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน โปรตอน นิวตรอน รังสีแกมมา นิวทริโน โพร ิตรอน
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ขั ้นตอนที ่ 1 นิวเคลียสของ 6 12C ทำปฏิกิริยากับ 1 1H ได้นิวเคลียสของ ไนโตรเจน-13 และปลดปล่อยรังสี แกมมาออกมา 6 12C +1 1H → 2 4H + 7 13N +
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ขั้นตอนที ่ 2 นิวเคลียสของ 7 13N ยัง ไม่เสถียร จึงสลายตัวเป็นคาร์บอน-13 พร้อมทั้งปลดปล ่อยโพร ิตรอนและ นิวทริโน 7 13N → 6 13C + +1 0 e +
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ขั้นตอนที ่ 3 นิวเคลียสของ 6 13C รวมตัวกับ 1 1H ได้นิวเคลียสของ ไนโตรเจน-14 และปลดปล่อยรังสี แกมมาออกมา 6 13C +1 1H → 7 14N +
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ขั้นตอนที ่ 4 นิวเคลียสของ 7 14N รวมตัวกับ 1 1H ได้ออก ิเจน-15 และ ปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา 7 14N +1 1H → 8 15O +
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ขั้นตอนที ่ 5 นิวเคลียสของ 8 15O สลายกลาย เป ็นน ิว เคล ียส ของ ไนโตรเจน-15 และปลดปล่อยโพร ิตรอนและนิวทริโน 8 15O → 7 15N + +1 0 e +
วัฏจักรคาร์บอน -ไนโตรเจน - ออก ิเจน 6 1 2 4 3 5 1H 1H 1 1 H H 15 15N N 14N 15O 12C 13C ข ั ้ น ต อ น ท ี ่ 6 น ิ ว เ ค ล ี ย ส ข อ ง 7 15N รวมตัวกับ 1 1H เกิด เป็นฮี เลียมกับ นิวเคลียสของ 6 12C ึ ่งนิวเคลียสของ คาร์บอน-12 น ี ้จะไปทำปฏิกิร ิยา กับไฮโดร เจนอีกครั ้งจน เกิด เป็น ว ั ฏ จ ั ก ร ค า ร ์ บ อ น - ไ น โ ต ร เ จ น - ออก ิเจน 7 15N +1 1H → 6 12C + 2 4He
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 1. ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยกว่า 0.08 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ จะไม่สามารถ เกิดเป็นดาวฤกษ์ได้ แต่จะวิวัฒนาการไปเป็น ดาวแคระน ้าตาล (brown dwarf)
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 2. ดาวฤกษ์ที่มีมวลตั้งแต่ 0.08 ถึงน้อยกว่า 9 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ จะเรียกว่า “ ดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์” วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ก่อนเกิด ที่มีมวลตั้งต้นตั้งแต่ 0.08 ถึงน้อยกว่า 9 เท่าของมวลดวงอาทิตย์
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ ในกรณีของดวงอาทิตย์ เกิดมาแล้ว 4,500 ล้านปี คาดว่าอีกประมาณ 5,000ล้านปี อุณหภูมิผิวจะลดลงกลายเป็นดาวยักษ์แดง ึ่งวาระสุดท้าย จะยุบตัวลงไปเป็น ดาวแคระขาว ที่ไม่เกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์แต่ยัง ส่องแสงได้อีกนาน วิวัฒนาการของดวงอาทิตย์
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 3. ดาวฤกษ์ที่มีมวลตั้งแต่ 9 แต่น้อยกว่า 25 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เป็นดาว ขนาดใหญ่ที่มีช่วงอายุสั้น เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงในอัตราสูง เมื่อแก่นที่เป็นเหล็ก มีมวลมากกว่า 1.4 เท่า ของมวลดวงอาทิตย์ จะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเรียกว่า ุปเปอร์โนวา (Supernova) และวาระสุดท้ายจะกลายเป็น ดาวนิวตรอน (Neutron star)
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 4. ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่า 25 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เป็นดาวขนาด ใหญ่ที่มีสีน ้าเงิน เมื่อเกิดการระเบิดเป็น ุปเปอร์โนวา จะเหลือมวล มากกว่า 3 เท่าของดวงอาทิตย์ ึ่งไม่มีแรงต้านแรงโน้มถ่วง ทำให้ วาระสุดท้ายแก่นกลางของดาวยุบลงไปเป็นหลุมดำ (Black hole)