ระบบฐานข้อมูลร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT IT Equipment shop Database System นายกิตติภพ คุณเถื่อน นายประกิจ เมืองปลื้ม นายธนธรณ์ สุริยะ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565
ข บทคัดย่อ หัวข้อโครงการ ระบบจัดการฐานข้อมูลร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์IT IT Equipment shop Database System ผู้จัดท าโครงการ นายกิตติภพ คุณเถื่อน รหัสนักศึกษา 42380 นายประกิจ เมืองปลื้ม รหัสนักศึกษา 42469 นายธนธรณ์ สุริยะ รหัสนักศึกษา 42865 อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์สมาภรณ์ เย็นดี อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ดิฐประพจน์ สุวรรณศาสตร์ สาขาวิชา เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล สถาบัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ ระบบจัดการฐานข้อมูล ประเภทฐานข้อมูลร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT วัตถุประสงค์ โครงการเพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบสินค้าภายในร้าน และ เพื่อให้จัดการสินค้าให้มีระบบแยกเป็น หมวดหมู่ในการจัดเรียงสินค้า และ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อสินค้าและสอบถามข้อมูลสินค้าได้ สะดวก ระบบร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT มีระบบการ Login เข้าระบบเพื่อท าการสั่งซื้อสินค้า มี ระบบซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย มีระบบและวิธีการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก ระบบจะท าการ ค านวณเงินจากสินค้าและภาษีให้อย่างอัตโนมัติ ใส่ยอดเงินที่รับและตัดยอดที่ต้องทอนให้อย่างว ครบถ้วนและใช้โปรแกรม Microsoft Access ในการท าระบบร้านขายทั้งหมด 7 Page ได้แก่ หน้า Login โปรแกรม, หน้าเมนู, หน้ารายชื่อลูกค้า, หน้าใบเสร็จ, หน้ารายการสินค้า, หน้ารายงานReport การขาย (ใบเสร็จ) ผู้เข้าใช้บริการของระบบร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT จะได้รับรายงานการสั่งซื้อสินค้า ออกบิล ใบเสร็จ พร้อมภาษีได้อย่างง่ายดายและครบถ้วน พนักงานสามารถจัดการคีย์ข้อมูล สินค้า ชื่อลูกค้า ลงใบเสร็จได้อัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเสียเวลาพิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ เอง
ค กิตติกรรมประกาศ โครงการฐานข้อมูล ร้านขายอุปกรณ์ IT ฉบับนี้ได้ จัดท า ขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความ พยายามเป็นอย่างมากโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับ โครงการฉบับนี้ไม่ ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ทุกท่านรวมถึงเพื่อน ๆ และผู้ที่มีส่วน ร่วมในโครงการฉบับนี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์สมาภรณ์ เย็นดี ที่ปรึกษาโครงการ และอาจารย์ดิฐประพจน์ สุวรรณศาสตร์ ที่ปรึกษาร่วมโครงการที่ได้ให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือรวมทั้งค าปรึกษา และ ค าแนะน า ตลอดการท าโครงการ รวมทั้งท่านอาจารย์สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจทุกท่านที่คอย ตักเตือนส่วนที่ผิดพลาดของโครงการนี้ ขอขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการที่ได้ เอื้อเฟื้อต าราจากห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการพร้อมทั้งขอบพระคุณท่านคณะกรรมการในการ สอบโครงการที่ให้ค า ติชมในการสอบวิชาโครงการเพื่อที่คณะผู้จัดท าได้น าไปปรับปรุง แก้ไขในส่วนที่ บกพร่องให้ดีขึ้นเพื่อที่โครงการในครั้งนี้จะได้ออกมาสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณพ่อแม่ บุคคลภายในครอบครัวทุกท่านที่คอยให้ก าลังใจและให้โอกาสใน การศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ รวมทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยให้ค าปรึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขและอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกันจนท าให้การด าเนินการวิชาโครงการนี้ได้ลุล่วงและผ่าน ไปด้วยดี กิตติภพ คุณเถื่อน ประกิจ เมืองปลื้ม ธนธรน์ สุริยะ
ง ค ำน ำ การจัดท าโครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน 1 (20204-8502) และ โครงงาน 2 (20204-8503) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล โดยคณะผู้จัดท าได้ จัดท าโครงการระบบฐานข้อมูลประเภทการจัดการระบบฐานข้อมูลร้านขายอุปกรณ์ IT โดยมีการ สร้างฐานข้อมูลเพื่อน าเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการสั่งซื้อสินค้าอุปกรณ์ IT โครงการที่ทางคณะผู้จัดท าได้จัดท านั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ แผนการ ด าเนินการในการจัดท าฐานข้อมูล เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ต่าง ๆ และรายละเอียดค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ในการจัดท าโครงการนี้เกี่ยวกับการซื้อสินค้าอุปกรณ์ IT เหมาะส าหรับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการใช้ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ IT ต่าง ๆ ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเลือกซื้อสั่งซื้อสินค้าได้ ทั้งนี้คณะผู้จัดท า จึงจัดท าฐานข้อมูล เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ที่สนใจสั่งซื้อสินค้า หากโครงการนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดท า ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ และจะ ด าเนินการพัฒนาผลงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้พัฒนาให้ดีขึ้นไป คณะผู้จัดท า 28 กุมพาพันธ์2566
จ สารบัญ หน้า หน้าอนุมัติ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค ค าน า ง สารบัญ จ สารบัญรูป ช สารบัญตาราง ฌ บทที่ 1 บทน า 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา 1 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 2 1.3 ขอบเขตการศึกษา 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 1.5 แผนการด าเนินงาน 3 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 4 1.7 งบประมาณการด าเนินงาน 5 บทที่ 2 ระบบงานและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน 6 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 7 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 8 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง 40 บทที่ 3 การออกแบบระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบแผนภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล (E-R Diagram) 41 3.2 พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) 42 3.3 การออกแบบแผนภาพแนวความคิด (Story Board Design) 45 3.4 การออกแบบสิ่งน าเข้า (Input Design) 49 3.5 การออกแบบสิ่งน าออก (Output Design) 49
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 การพัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูลร้านขายอุปกรณ์ IT 4.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 50 4.2 โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา 50 4.3 การติดตั้งโปรแกรมและระบบ 51 4.4 วิธีการน าไปใช้งาน 55 บทที่ 5 สรุปผลการท าโครงการ 5.1 สรุปผลโครงการ 59 5.2 ปัญหาและอุปสรรคในการด าเนินงาน 60 5.3 สรุปเวลาการท างานจริง (Gantt Chart) 61 5.4 สรุปค่าใช้จ่ายในการด าเนินการจริง 63 บรรณานุกรม 64 ภาคผนวก 65 - ใบขอเสนออนุมัติโครงการระบบคอมพิวเตอร์ (ATC.01) 66 - ใบขอเสนออาจารย์ที่ปรึกษาร่วมโครงการ (ATC.02) 67 - ใบขอสอบโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.03) 68 - ใบรายงานความคืบหน้าโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.04) 70 - ใบบันทึกการเข้าพบที่ปรึกษาโครงการ (ATC.05) 72 - ใบขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมจัดท า เอกสารบทที่ 4-5 (ATC.06) 79 - ใบรับรองการน าไปใช้ประโยชน์ได้จริง (ATC.07) 80 ประวัติผู้จัดท าโครงการ 84
ช สารบัญรูป หน้า รูปที่ 2.1 โครงสร้างของข้อมูล 9 รูปที่ 2.2 ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น 16 รูปที่ 2.3 ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย 16 รูปที่ 2.4 ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ 17 รูปที่ 2.5 แสดงแอททริบิวต์ รีเลชั่น และทูเพิล 18 รูปที่ 2.6 ตัวอย่างข้อมูลเลขที่ใบกำกับการเช่าห้องพัก 20 รูปที่ 2.7 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 21 รูปที่ 2.8 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม 21 รูปที่ 2.9 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม 21 รูปที่ 2.10 รูปแบบฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น 25 รูปที่ 2.11 รูปแบบฐานข้อมูลแบบเครือข่าย 26 รูปที่ 2.12 รูปแสดงการทำงานของระบบ Process 32 รูปที่ 2.13 แสดงแหล่งจัดเก็บข้อมูล Data Store 33 รูปที่ 2.14 แสดงเส้นตรงที่มีหัวลูกศรตรงปลายเพื่อบอกทิศทางการไหลข้อมูล 33 รูปที่ 2.15 รูปแสดงทิศทางการส่งเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นกระบวนการให้มีการทำงานเกิดขึ้น 33 รูปที่ 2.16 แสดงชื่อของ External Agent 34 รูปที่ 2.17 รูปแสดง Context Diagram 35 รูปที่ 2.18 โปรแกรม Microsoft Access 2010 36 รูปที่ 3.1 ER Diagram ระบบฐานข้อมูลร้านขายอุปกรณ์ IT 41 รูปที่ 3.2 หน้าเข้าสู่ระบบ 45 รูปที่ 3.3 หน้าเมนู 45 รูปที่ 3.4 ข้อมูลลูกค้า 46 รูปที่ 3.5 ข้อมูลสินค้า 46 รูปที่ 3.6 ข้อมูลพนักงาน 47 รูปที่ 3.7 ข้อมูลการขาย 47 รูปที่ 3.8 หน้าใบเสร็จ 48 รูปที่ 3.9 หน้าแสดงการเพิ่มประเภทสินค้า 48 รูปที่ 4.1 หน้าจอแสดงลิงค์ดาวน์โหลดโปรแกรมจาก Google Drive 51 รูปที่ 4.2 หน้าจอแสดงการกดดาวน์โหลดโปรแกรมจาก Google Drive 51
ซ สารบัญรูป (ต่อ) หน้า รูปที่ 4.3 หน้าจอแสดงไฟล์Zip ที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Drive 52 รูปที่ 4.4 หน้าจอแสดงการแตกไฟล์ Zip 52 รูปที่ 4.5 หน้าจอแสดงโฟล์เดอร์เมื่อแตกไฟล์ Zip 53 รูปที่ 4.6 หน้าจอแสดง Icon โปรแกรม Microsoft Access 53 รูปที่ 4.7 หน้าจอแสดงโปรแกรม Microsoft Access 54 รูปที่ 4.8 หน้าจอแสดงหน้า Login 55 รูปที่ 4.9 หน้าจอแสดงหน้าเมนู 56 รูปที่ 4.10 หน้าจอแสดงหน้าใบเสร็จ 56 รูปที่ 4.11 หน้าจอแสดงรายการข้อมูลลูกค้า 57 รูปที่ 4.12 หน้าจอแสดงรายการข้อมูลสินค้า 57 รูปที่ 4.13 หน้าจอแสดงรายการราคารวม Subform 58
ฌ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 แผนการด าเนินงาน 3 ตารางที่ 1.2 งบประมาณการด าเนินงาน 5 ตารางที่ 2.1 ตารางการเปรียบเทียบค าศัพท์ที่เรียกใช้กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ 19 ตารางที่ 2.2 ตารางแสดงประวัติพนักงาน 27 ตารางที่ 2.3 ตารางแผนก 27 ตารางที่ 2.4 ตารางข้อมูลโครงการ 28 ตารางที่ 2.5 ตารางใหม่ แสดงการสร้างตารางรหัสพนักงานว่าอยู่แผนกไหน 28 ตารางที่ 2.6 สัญลักษณ์แสดงแผนภาพ E-R Diagram 30 ตารางที่ 2.7 ตารางแสงสัญลักษณ์ที่ใช้ในแผนภาพกระแสข้อมูล 31 ตารางที่ 3.1 ตารางแสดงข้อมูลผู้ใช้งาน 42 ตารางที่ 3.2 ตารางแสดงข้อมูลพนักงาน 42 ตารางที่ 3.3 ตารางแสดงข้อมูลลูกค้า 42 ตารางที่ 3.4 ตารางแสดงข้อมูลสินค้า 43 ตารางที่ 3.5 ตารางแสดงข้อมูลใบเสร็จ 43 ตารางที่ 3.6 ตารางแสดงข้อมูลการขาย 44 ตารางที่ 3.7 ตารางแสดงข้อมูลประเภทสินค้า 44 ตารางที่ 5.1.1 ตารางแสดงขนาดของโปรแกรม 59 ตารางที่ 5.2 สรุปเวลาการด าเนินงานจริง 61 ตารางที่ 5.3 สรุปค่าใช้จ่ายในการด าเนินงานจริง 62
บทที่ 1 บทนํา 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา โปรแกรมฐานข้อมูลที่อํานวยความสะดวกในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน หลาย ๆ ข้อมูลซึ่งสามารถลบ เพิ่ม และแก้ไขข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ช่วยลดความยุ่งยากที่เกิดขึ้นของ เอกสาร เพราะมีข้อมูลมาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเอกสารมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงนําโปรแกรมฐานข้อมูลเข้ามาช่วย จัดเก็บข้อมูลให้อยู่ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทั้งนี้ยังสามารถสร้างแบบฟอร์ม Application ใน การคํานวณหาผลลัพธ์ต่าง ๆ จากสมการคณิตศาสตร์สามารถสร้างรายงานในแต่ละเดือนและปริ้น ใบเสร็จสินค้าหรือรายงานออกมาได้อีกด้วย ในปัจจุบันนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทําให้มีโปรแกรม ฐานข้อมูลให้เราได้เลือกใช้มากมายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมกับงาน สถานที่อุปกรณ์และ บุคคลเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของ ฐานข้อมูล ในปัจจุบันการจัดเก็บเอกสารที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะเอกสารที่ถูกจัดเก็บอยู่ใน รูปแบบของกระดาษ ใส่เข้าแฟ้มแล้วนําเก็บเข้าชั้นแฟ้มเอกสารจะมีความลําบากในการจัดเก็บ ดูแล รักษา ซึ่งการเอาเทคโนโลยี Database สมัยใหม่มาใช้ในการบริหารจัดการเอกสารทางร้านอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ IT เป็นร้านที่เกี่ยวกับการขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ประเภท Hardware และ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ต้องมีแบบฟอร์มเอกสารมากมายในการทํางาน จะลําบากมากหากยังมีการจัดเก็บ แบบฟอร์มเอกสารในรูปแบบกระดาษ การนําระบบงานฐานข้อมูล Database มาจัดการหมวดหมู่ของ เอกสารทําให้ง่ายต่อการนําไปใช้งาน ทําให้ร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT เป็นร้านที่ทันสมัยที่นําระบบ Database เข้ามาจัดการเอกสาร เป็นการแก้ไขหาที่ถูกจุด และยังคงเก็บเอกสารอยู่ในสภาพที่ดีทั้งนี้ ยังเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร กระดาษ ลดพื้นที่และสถานที่ในการจัดเก็บ ให้กับผู้ที่สามารถ ทําการจัดการเอกสารทีมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า จะทําให้ข้อมูลที่เราจัดเก็บมีความเป็นระเบียบมี โครงสร้าง (Structured) ที่ดีพร้อมที่จะนําไปใช้ในการต่อยอดเพื่อการวิเคราะห์สรุปผลในอนาคตได้ ถ้ามีข้อมูลจํานวนมาก หากจัดเก็บอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็จะสามารถนําข้อมูลที่เราสร้างไว้ไปใช้ ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ในโครงงานนี้จึงได้มีแนวความคิดที่จะนําระบบจัดการฐานข้อมูลมาใช้จัดการงาน เอกสาร เพื่อช่วยในการพัฒนากระบวนการททํางานจากเดิมที่จะต้องเขียนด้วยลายมือ และจัดเก็บอยู่ ในรูปแบบกระดาษ ไปเป็นกทํางานในการทํางานด้วยระบบคอมพิวเตอร์จัดเก็บเอกสารให้อยู่ในรูป ของไฟล์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อช่วยสนับสนุนในการททํางานให้พนักงานสามารถทํางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและมีการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน
2 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 1. เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบสินค้าภายในร้าน 2. เพื่อให้จัดการสินค้าให้มีระบบแยกเป็นหมวดหมู่ในการจัดสินเรียงสินค้า 3. เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าร้านมาเลือกซื้อสินค้าและสอบถามข้อมูลสินค้าได้สะดวก 1.3 ขอบเขตการศึกษา การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้วยโปรแกรม Access กลุ่มของผู้ใช้ระบบการจัดการฐานข้อมูล แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ดูแลระบบและลูกค้าหรือผู้ใช้งาน ผู้ดูแลระบบ เพิ่ม/ลบ/แก้ไข เรียกดูข้อมูล ดูสรุปรายงาน รายละเอียดของสมาชิก ผู้ใช้ระบบ สมัครสมาชิก ดูรายละเอียดการใช้บริการ แก้ไขข้อมูลส่วนตัว การออกแบบหน้าฟอร์มการทํางาน 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ระบบฐานข้อมูลที่สะดวกต่อการตรวจสอบสินค้าภายในร้าน 2. ได้จัดการสินค้าให้มีระบบแยกเป็นหมวดหมู่ในการจัดเรียงสินค้า 3. ได้ให้ลูกค้าสามารถเข้าร้านมาเลือกซื้อสินค้าและสอบถามข้อมูลสินค้าได้สะดวก
3 1.5แผนการดาเนํนงานิ (Gantt Chart) ตารางที่ 1.1 แผนการดําเนินงาน รายการ ภาคเรียนที่ 1 มิถุนายน 65 กรกฎาคม 65 สิงหาคม 65 กันยายน 65 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 เสนอหัวข้อ ATC.01 5-10 มิ.ย. 65 ประกาศผลรอบที่ 1 13 มิ.ย. 65 เสนอหัวข้อ รอบที่ 2 14-16 มิ.ย 65 ประกาศผล รอบที่ 2 17 มิ.ย. 65 เสนออาจารย์ที่ปรึกษา ร่วม ATC.02 13 -30 มิถุนายน 65 ส่งเอกสารบทที่ 1 สมบูรณ์ 14- มิ.ย. 65 ถึง 8 ก.ค. 65 ส่งเอกสารบทที่ 2 สมบูรณ์ 9-31 ก.ค. 65 ส่งเอกสาร บทที่ 3 สมบูรณ์ 1-31 ส.ค. 65 สอบนําเสนอโครงงาน ATC.03 ครั้งที่ 1 5-23 ก.ย. 65 ส่งเอกสารโครงงาน ปก ,บทที่ 1-3 บรรณานุกรม ATC 01-05 26-30 ก.ย. 65 ติดตามความคืบหน้าโปรแกรม อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ตุลาคม 65 รายละเอียดในการเข้าพบที่ปรึกษาร่วม 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 20 % โครงร่างชิ้นงาน ออกแบบโลโก้ชื่อแบรนด์ 3-9 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 40 % การลงเนื้อหา จัดวางรูปภาพ สีที่ใช้ 10-16 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 60 % การเชื่อมโยง การตั้งชื่อ 17-23 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 80 % ระบบเริ่มใช้งานได้ 24-31 ต.ค. 65
4 ตารางที่ 1.1 แผนการดําเนินงาน (ต่อ) 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 1. โปรแกรม Microsoft Access 2019 ใช้ในการสร้างฐานข้อมูล 2. โปรแกรม Microsoft Word 2019 ใช้ในการจัดทําเอกสาร 3. โปรแกรม Adobe Photoshop 2020 ใช้ในการตกแต่งรูปภาพ รายการ ภาคเรียนที่ 2 พฤศจิกายน 65 ธันวาคม 65 มกราคม 66 กุมภาพันธ์66 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 100 % 1-7 พ.ย. 65 สอบนําเสนอโครงงาน ระดับปวส.2 - ปวช.3 ATC.03 ครั้งที่ 2 26 พ.ย. 65 ส่ง ATC.06 1-16 ธ.ค. 65 ส่ง ATC.07 1-30 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 4 สมบูรณ์ 20 ธ.ค. - 23 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 5 สมบูรณ์ 31 มกราคม 2566 บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ คํานํา 1-7 ก.พ.66 สารบัญ สารบัญรูป สารบัญตาราง 8-14 ก.พ.66 ประวัติผู้จัดทํา หน้าอนุมัติ 15-19 ก.พ.66 ภาคผนวก ATC.04-05 20-27 ก.พ.66 ส่งเล่มโครงงาน 28 ก.พ.66 ส่งไฟล์เอกสาร Word PDF โปรแกรม ไฟลรวม PDF ไม่เกิน 10 มีนาคม 2566
5 1.7 งบประมาณการดําเนินงาน ตารางที่ 1.2 งบประมาณการดําเนินงาน ลําดับ รายการ จํานวน ราคา (บาท) 1 กระดาษ A4 2 รีม 240 2 ตลับหมึกพิมพ์ 1 ตลับ 450 3 ค่าเข้าเล่ม 1 เล่ม 200 4 ค่าแฟลชไดรฟ์ 1 อัน 300 5 ค่าซองใส่เอกสาร 1 ซอง 20 รวมเป็นเงนิ 1,210
บทที่ 2 ระบบการจัดการฐานข้อมูลร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ IT และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบนั ฐานข้อมูล คือ ชุดของสารสนเทศที่มีโครงสร้างสม่ําเสมอ ชุดของสารสนเทศใด ๆ ก็อาจ เรียกว่าเป็นฐานข้อมูลได้ถึงกระนั้น คําว่าฐานข้อมูลนี้มักใช้อ้างถึงข้อมูลที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ และถูกใช้ส่วนใหญ่เฉพาะในวิชาการคอมพิวเตอร์บางครั้งคํานี้ก็ถูกใช้เพื่ออ้างถึงข้อมูลที่ยังมิได้ ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์เช่นกันในแง่ของการวางแผนให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถประมวลผลด้วย คอมพิวเตอร์ได้ฐานข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับฐานข้อมูลสมัยใหม่ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในทศวรรษ 1960 ซึ่งผู้บุกเบิกในสาขานี้คือ ชาลส์บากแมน แบบจําลองข้อมูลสําคัญสองแบบเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยแบบจําลองข่ายงาน (พัฒนาโดย CODASYL) และตามด้วยแบบจําลองเชิงลําดับชั้น (นําไปปฏิบัติใน IMS) แบบจําลองทั้งสองแบบนี้ในภายหลังถูกแทนที่ด้วย แบบจําลองเชิงสัมพันธ์ซึ่ง อยู่ร่วมสมัยกับแบบจําลองอีกสองแบบ แบบจําลองแบบแรกเรียกกันว่า แบบจําลองแบนราบ ซึ่ง ออกแบบสําหรับงานที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แบบจําลองร่วมสมัยกับแบบจําลองเชิงสัมพันธ์อีกแบบ คือ ฐานข้อมูลเชิงวัตถุหรือ โอโอดีบี3 (OODB) ในปัจจุบันการจัดเก็บเอกสารที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะเอกสารที่ถูกจัดเก็บอยู่ใน รูปแบบของฐานช้อมลูใส่เข้าแฟ้มแล้วนําเก็บเข้าชั้นแฟ้มเอกสารจะมีความลําบากในการจัดเก็บ ดูแล รักษา ซึ่งการเอาเทคโนโลยี database สมัยใหม่มาใช้ในการบริหารจัดการเอกสารทางบริษัทแม็คน่า เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับบริหารโรงแรมต้องมีแบบฟอร์มเอกสารมากมายในการทํางาน จะลําบากมากหาก ยังมีการจัดเก็บแบบฟอร์มเอกสารในรูปแบบฐานข้อมูล การนําระบบงาน มาจัดการหมวดหมู่ของ เอกสารทําให้ง่ายต่อการนําไปใช้งาน ทําให้บริษัทแม็คน่า เป็นบริษัทที่ทันสมัยที่นําระบบ database เข้ามาจัดการเอกสาร เป็นการแก้ไขหาที่ถูกจุด และยังคงเก็บเอกสารอยู่ในสภาพที่ดีทั้งนี้ยังเป็นการ ลดปริมาณการใช้ทรัพยากร ลดเวลา ลดพื้นที่และสถานที่ในการจัดเก็บ ให้กับผู้ที่สามารถทําการ จัดการเอกสารทีมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบของกระดาษทั้งในด้านปริมาณ การใช้ทรัพยากรและการสํารองข้อมูลป้องกันข้อมูลเอกสารจะสูญหายหรือเสียหายน้อยลงเนื่องจาก เก็บจัดเก็บข้อมูลเป็นฟอร์มเอกสารเป็นต้น ดังนั้น ในโครงงานนี้จึงได้มีแนวความคิดที่จะนําระบบจัดการระบบฐานข้อมูลมาใช้จัดการงาน เอกสาร เพื่อช่วยในการพัฒนากระบวนการททํางานจากเดิมที่จะต้องเขียนด้วยลายมือ และจัดเก็บอยู่ ในรูปแบบกระดาษ ไปเป็นกทํางานในการทํางานด้วยระบบคอมพิวเตอร์จัดเก็บเป็นข้อมูลไฟต์
7 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 1. การบันทึกข้อมูลทําได้ล่าช้าเพราะมีข้อมูลเป็นจํานวนมาก 2. การตรวจสอบการแก้ไขอาจทําได้ยากหากมีข้อมูลจํานวนมาก 3. การแก้ไขและค้นข้อมูลทําไดช้้าและอาจเสียเวลาในการทํางาน 4. การทํางานจะเก็บข้อมูลเป็นแบบเอกสาร ทําให้เกิดความล่าช้าในการบริการ 5. อาจเกิดความผิดพลาดสินค้าไม่พอขายต่อลูกค้า ทําใหผ้ิดพลาดในการบริการ 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หลักการของระบบฐานข้อมลู หลักการของระบบฐานข้อมูลประกอบไปด้วย 1. ระบบสารสนเทศ แนวคิดพื้นฐานของระบบสารสนเทศนั้น เป็นการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้ งาน การจัดการระบบสารสนเทศ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในเรื่องของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ทั้งด้านระบบ ข้อมูล โปรแกรมประยุกต์และอื่น ๆ โดย ระบบคือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน ถูกกําหนดให้ทํางานร่วมกัน เพี่อให้บรรลุ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยมีข้อมูลนําเข้า (Input) ป้อนผ่านเข้ากระบวนการเพื่อนําไป ประมวลผล (Processing) และสร้างผลลัพธ์ (Output) ในรูปแบบตามที่ต้องการ ซึ่งระบบที่กล่าวถึงนี้เรียกว่า “ระบบสารสนเทศ” (Information System) ถือเป็นระบบของ การประมวลผลข้อมูล เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นสารสนเทศตามกระบวนการทํางานของระบบ คอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่า “วงจรไอพีโอ” ถ้ามองภาพระบบสารสนเทศในลักษณะที่ประกอบด้วย ฐานข้อมูลที่ใช้จัดเก็บข้อมูล และโปรแกรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลคือ ทั้งรวบรวม บันทึก จัดเก็บ ดําเนินการ และค้นคืนข้อมูล จากรูปแบบของสารสนเทศนั้น ข้อมูลถือเป็นส่วนสําคัญ ซึ่งข้อมูลนั้นได้มีการจัดเก็บใน รูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ในอดีตที่ได้มีการพัฒนาจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลในสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาจนในปัจจุบัน มีการจัดโครงสร้างข้อมูลให้เป็นแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่กําลังเป็นที่นิยมใช้งานกันในหน่วยงานที่มี การใช้งานระบบสารสนเทศด้านคอมพิวเตอร์เพราะการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลจากปริมาณ ข้อมูลที่มีจํานวนมาก จะทําให้มีแฟ้มข้อมูลมีจํานวนมากด้วย ทําให้เกิดข้อมูลที่ซ้ําซ้อนกันข้อมูลที่ ซ้ําซ้อนนี้จะก่อให้เกิดปัญหามากมาย จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบ ฐานข้อมูล 2. ข้อมูล ข้อมูล (Data) ในระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บนั้น ภายในเครื่องจะจัดเก็บแบบเลขฐานสอง เรียกเลขฐานสองแต่ละตัวว่า บิต (Bit) (Binary System) เช่น 0 หรือ 1 สถานะของเลขฐานสองจะมี
8 ค่าเป็น 0 กับ 1 เท่านั้น ส่วนที่ใช้เป็นข้อมูลด้วยการรวมกลุ่มเลขฐานสอง 8 ตัว (01010101) เรียกแต่ ละกลุ่มนี้ว่า ไบต์ (Byte) โดยแต่ละไบต์จะใช้แทนตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีชนิดของ ข้อมูลแบ่งได้ดังต่อไปนี้ 1. ชนิดตัวเลข (Numerical Data or Number Data) เป็นข้อมูลเชิงจํานวนที่ประกอบด้วย ตัวเลขต่าง ๆ ที่นําไปใช้ในการคํานวณได้ 2. ชนิดตัวอักษร (Alphabetic Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอักษรต่าง ๆ มารวมกัน ไม่มีตัวเลข หรือสัญลักษณ์อื่นใด หรือข้อมูลเป็นตัวเลข 0-9 ที่นําไปใช้ในการคํานวณไม่ได้ 3. ชนิดข้อความ (Text of Character Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มา รวมกัน นําไปใช้ในการคํานวณไม่ได้ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน 4. ชนิดที่เป็นรูปแบบหรือข้อมูลรหัส (Formatted Data or Code Data) เป็นข้อมูลที่ ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มารวมกัน มีรูปแบบแน่นอน อาจเป็นแบบรหัสที่ต้องมีการแปลงให้เป็น ข้อความเพื่อให้มีความหมายที่ชัดเจน เช่น รหัสสินค้า LCD17AA001 คือ สินค้าที่เป็นจอภาพแบบ แอลซีดียี่ห้อ AA ขนาด 17 นิ้ว เป็นต้น 5. ชนิดรูปภาพหรือภาพลักษณ์ (Images Data) เป็นข้อมูลประเภทรูปภาพ เช่น ภาพถ่าย ภาพที่เกิดจากการสแกนภาพ ภาพที่เกิดจากการถ่ายด้วยกล้องดิจิทัล เป็นต้น 6. ชนิดภาพเคลื่อนไหว (Moving Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพที่ แตกต่างกันเล็กน้อย แล้วนํามาแสดงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป้นภาพเคลื่อนไหว (การแสดง ภาพเคลื่อนไหวควรใช้ความเร็วไม่ต่ํากว่า 30 ภาพต่อวินาที) 7. ชนิดเสียง (Audio/Sound Data) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียงพูด มีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการ จัดเก็บ เช่น ไมโครโฟน เป็นเครื่องรับเสียงแล้วแปลงข้อมูลเสียงนั้นเก็บไว้ 3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูล โครงสร้างแฟ้มข้อมูล (Structure of Data File) ของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ประกอบด้วย หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุด โดยจัดโครงสร้างพื้นฐานตามลําดับดังนี้ 1. บิต (Bit) คือ เลขฐานสอง ใช้แทนค่าหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลในคอมพิวเตอร์โดยแต่ละ บิตมีค่าเป็น 0 หรือ 1 เพียง 2 ค่าเท่านั้น 2. ไบต์ (Byte) คือ เลขฐานสองจํานวน 8 บิตเรียงต่อกันเป็น 1 ไบต์สามารถสร้างรหัสแทน ข้อมูล โดยแทนตัวอักษร ตัวเลข หรือตัวอักขระรวมกันได้ถึง 256 ตัว ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้ มีการใช้รหัสที่เรียกว่า “ยูนิโค้ด” (Unicode) ซึ่งจะใช้แทนอักขระได้เป็นจํานวนมากกว่ารหัสแบบเดิม การที่ต้องใช้รหัสแบบนี้เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้งานกราฟิกหรือแอนิเมชันต่าง ๆ มากมายจึงทําให้ รหัสแบบเดิมมีไม่เพียงพอในการแทนตัวอักขระที่เป็นกราฟิกหรือสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ 3. เขตข้อมูล (Field) คือ การนําตัวอักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป มารวมกันเพื่อให้มีความหมาย เช่น EMP_F_Name คือ เขตข้อมูลที่ใช้เก็บชื่อพนักงาน
ไ 4. ร 5. แ แฟ้มข้อมูลพน 4. การจัดโค ข้อมู ระเบียนของแ จัดเก็บข้อมูล แฟ้มข้อมูลที่เ 1. โ แฟ้มข้อมูลใน บันทึกด้วยกา จะถูกบันทึกล ข้อมูลมาใช้ขอ จนถึงระเบียน สําหรับโครง ต่อเนื่อง เมื่อส ไปตามลําดับ วิธีการอ่านแบ อ่านตั้งแต่ระ ระเบียน (Rec แฟ้มข้อมูล (F นักงาน ประก ครงสร้างแฟ้ม มูลต่าง ๆ ที่ร แฟ้มข้อมูลเห ลและการเข้า เป็นพื้นฐานสา โครงสร้างแฟ้ม นรูปแบบที่ระ ารเรียงตามลํา ลงในสื่อบันทึ องโครงสร้างแ นที่เป็นข้อมูลท สร้างแฟ้มข้อ สร้างแฟ้มข้อม บจากระเบียน บบต่อเนื่องตา เบียนที่ 1, 2 cord) การนําเ File) คือ ข้อมูล กอบด้วยระเบยี รูปที มข้อมูล วมกันเป็นระ ล่านั้นถูกจัดเ ถึงข้อมูลมีคว ามารถแบ่งได้ มข้อมูลแบบเ ะเบียนภายใน าดับของคีย์ฟิล กข้อมูลข้อมูล แฟ้มข้อมูลแบ ที่ต้องการ จึง อมูลแบบเรีย มูลจะบันทึกร ที่ 1 ถึงระเบี ามลําดับ คือ 2, 3,.. ไปเรื เขตข้อมูลหลา ลที่เป็นระเบีย ยนของพนักง ท่ 2.1 ี โครงส ะเบียนจะถูก ก็บ ซึ่งจะอยู่บ วามสะดวกรว ้เป็น 3 ลักษณ เรียงลําดับ (S นแฟ้มข้อมูลจ ลด์(Key Fie ลจะถูกบันทึก บนี้จะต้องทาํ จะใช้ข้อมูลใน งลําดับ ประ ระเบียนเรียงต ยนที่ N แล อ่านตั้งแต่ต้น รื่อย ๆ จนถึง าย ๆ เขตข้อมู ยนประเภทเดี านทั้งองค์กร ร้างของข้อมูล จัดเก็บอยู่ใน บนอุปกรณ์ที่ วดเร็วและถูก ณะดังนี้ equential จะเรียงตามลํ eld) หรือไม่เรี ในต่ําแหน่งที่ าการอ่านข้อมู นระเบียนนั้นไ กอบไปด้วยร ามลําดับ การ ละการอ่านระ นแฟ้มข้อมูลไป ระเบียนที่ต้อ มูลที่สัมพันธ์กั ยวกันหลาย ๆ ล แฟ้มข้อมูล มี เป็นสื่อในการ กต้อง ดังนั้น File Organ ําดับที่ข้อมูล รียงตามลําดับ อยู่ติด ๆ กันห ลทีละระเบียน ได้โดยจะเข้า ระเบียนที่จัด รบันทึกระเบีย ะเบียนภายใน ปยังท้ายแฟ้ม งการ ตัวอย่า กันมารวมกัน ๆ ระเบียนรว มีการกําหนด รเก็บข้อมูล เพ การจัดโครง izations) เป็ ถูกบันทึก โด บของคีย์ฟิลด์ก็ หรือห่างกันก็ นเรื่อย ๆ ไปต าถึงข้อมูล โดย เรียงตาม ลํา ยนจะ ถูกเขียน นแฟ้มข้อมูล ข้อมูล โดย จ างเช่น ถ้าต้อง 9 มกัน เช่น ดวิธีการที่ พ่ือให้การ สร้างของ ป็นการจัด ดยอาจถูก ก็ได้ข้อมูล ได้การนํา ตามลําดับ ยตรงไม่ได้ าดับอย่าง นต่อเนื่อง จะต้องใช้ จะต้องเริ่ม ง การอ่าน
10 ระเบียนที่ 8 ก็ต้องอ่านระเบียนตามลําดับตั้งแต่ระเบียนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ก่อนแล้ว จึงจะอ่าน ระเบียนที่ 8 ไต้ 2. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลําดับตามดัชนี (Index File Organizations) เป็นวิธีการ เก็บ ข้อมูลโดยแต่ละระเบียนในแฟ้มข้อมูลจะมีค่าของคีย์ฟิลด์ที่ใช้เป็นตัวระบุระเบียนนั้น ค่าคีย์ฟิลด์ของ แต่ละระเบียนจะต้องไม่ซ้ํากับค่าคีย์ฟิลด์ในระบบอื่น ๆ ในแฟ้มข้อมูลเดียวกัน เพราะการ จัด โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบนี้จะใช้คีย์ฟิลด์เป็นตัวเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลหรือการอ่านระเบียน ใด ๆ จะเข้าถึงได้อย่างสุ่ม การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลต้องบันทึกลงสื่ออุปกรณ์ที่เข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เช่น จานแม่เหล็ก การสร้างแฟ้มข้อมูลประเภทนี้ไม่ว่าจะสร้างครั้งแรกหรือสร้างใหม่ข้อมูล แต่ละ ระเบียนต้องมีเขตข้อมูลหนึ่งใช้เป็นคีย์ฟิลด์ของข้อมูลระเบียนนั้น นอกจากจะเข้าถึงระเบียน ใด ๆ ได้ เร็วขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มระเบียนเข้าในส่วนใด ๆ ของแฟ้มข้อมูลได้ในแต่ละแฟ้มข้อมูล ที่ถูกบันทึก ลงสื่อข้อมูลจะมีตารางดัชนีทําให้เข้าถึงระเบียนใด ๆ ได้รวดเร็วขึ้น 3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File or Hashed File Organizations) เป็นโครงสร้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรืออ่านระเบียนใด ๆ ได้โดยตรง วิธีนี้เป็นการจัดเรียง ข้อมูลเข้า ไปในแฟ้มข้อมูลที่อาศัยเขตข้อมูลเป็นตัวกําหนดตําแหน่งของระเบียนนั้น โดยค่าคีย์ฟิลด์ของข้อมูลใน แต่ละระเบียนของแฟ้มข้อมูลจะมีความสัมพัทธ์กับตําแหน่งที่ระเบียนนั้นถูกจัดเก็บไว้ใน หน่วยความจํา ค่าความสัมพัทธ์นี้เป็นการกําหนดตําแหน่ง (Mapping Function) ซึ่งเป็นฟังก์ชัน ที่ใช้ ในการเปลี่ยนแปลงคีย์ฟิลด์ของระเบียนนั้นให้เป็นตําแหน่งในหน่วยความจํา การจัดเก็บข้อมูล ลง แฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File) จะถูกจัดเก็บอยู่บนสื่อที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง เช่น แผ่น จานแม่เหล็ก ซึ่งการกําหนดตําแหน่งนี้จะทําการคํานวณปรับเปลี่ยนค่าคีย์ฟิลด์ของระเบียนให้เป็น ตําแหน่งในหน่วยความจํา แฟ้มข้อมูลหลักนี้ประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงตามตําแหน่งใน หน่วยความจํา ซึ่งจะเรียงจากระเบียนที่ 1 จนถึง N แต่จะไม่เรียงลําดับตามค่าของคีย์ฟิลด์ 5. ระบบแฟ้มข้อมูล ระบบการจัดเก็บข้อมูล (Data File System) ที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์นั้น มีวิวัฒนาการมา ตั้งแต่ยุคต้น ๆ ที่จัดเก็บคล้ายกับการจัดเก็บแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ด้วยมือที่ดําเนินการอยู่ในสํานักงาน ทั่ว ๆ ไป แต่ในการจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะได้ปริมาณที่มากกว่าในเนื้อที่เท่า ๆ กัน โดยที่จะ จัดเก็บเป็นระบบ สืบค้นข้อมูลเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และเรียกได้ตามที่ต้องการทันทีหรือใช้ เวลาน้อยกว่า อย่างไรก็ตามการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้ยังเกิดปัญหากับข้อมูลเมื่อแฟ้มข้อมูลมีจํานวน มาก ทําให้เกิดความซ้ําซ้อนของข้อมูล ทั้งของโปรแกรมและข้อมูลเชื่อมโยงต่อกัน เมื่อต้องการ เพิ่ม หรือแก้ไขโครงสร้างข้อมูลจึงต้องทําการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมใหม่ โดยใช้ผู้ชํานาญการเรื่อง โปรแกรมทําการแก้ไข ซึ่งเป็นการยุ่งยากและเกิดปัญหาบ่อยครั้ง เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผล จึงเริ่มมีการพัฒนาภาษาโปรแกรม สําหรับใช้ในการประมวลผลข้อมูล เช่น ภาษาฟอร์แทรน (Fortran), โคบอล (Cobol), พีแอลวัน
11 (PL/1), เบสิก (Basic), ปาสคาล (Pascal), ภาษาซี (C) เป็นต้น มีการพัฒนาแนวความคิดของ การ จัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้มข้อมูลประเภทต่าง ๆ แต่แฟ้มข้อมูลมีข้อจํากัดในการใช้งานหลายประการ เนื่องมาจากเหตุผลดังนี้ 1. การประมวลผลกับระบบแฟ้มข้อมูลยุ่งยาก การดําเนินงานกับแฟ้มข้อมูลของระบบ คอมพิวเตอร์นั้น จําเป็นจะต้องเขียนคําสั่งต่าง ๆ ที่ถูกกําหนดในภาษาคอมพิวเตอร์ในโปรแกรม เพื่อ สร้างแฟ้มข้อมูล ส่วนโปรแกรมต้องพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกําหนดของภาษา เช่น หากภาษา คอมพิวเตอร์ที่ใช้นั้นกําหนดว่าจะต้องระบุชื่อแฟ้มข้อมูลในโปรแกรม ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การใช้แฟ้มข้อมูลแบบนี้มีลักษณะจํากัดอย่างหนึ่งคือจะต้องระบุรายละเอียดของแฟ้ม วิธีการจัดแฟ้ม ข้อมูล และรายละเอียดของระเบียนที่อยู่ในแฟ้มเอาไว้ในโปรแกรมอย่างครบถ้วน หากผิดพลาดหรือ กําหนดไม่ครบก็จะทําให้โปรแกรมหางานผิดพลาดได้ 2. แฟ้มข้อมูลไม่มีความเป็นอิสระของข้อมูล ระบบแฟ้มข้อมูล ถ้ามีการแก้ไขโครงสร้าง ข้อมูลจะกระทบถึงโปรแกรมด้วย เนื่องจากในการเรียกใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบแฟ้มข้อมูลนั้น จะต้องใช้โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อเรียกใช้ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลนั้น โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ที่จะต้อง เขียนโปรแกรมเพื่ออ่านข้อมูลจากแฟ้มข้อมูล และพิมพ์รายงานที่แสดงเฉพาะข้อมูลที่ตรงตาม เงื่อนไข ที่กําหนด กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ทําให้ต้องมีการแก้ไขโปรแกรม ตามโครงสร้างของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะแบบนี้เรียกว่า “ข้อมูลและโปรแกรมไม่เป็นอิสระ ต่อกัน" 3. แฟ้มข้อมูลมีความซ้ําซ้อนมาก คือ ถ้าเก็บข้อมูลซ้ําซ้อนกันหลายแห่ง เมื่อมีการปรับปรุง ข้อมูลไม่ครบจะทําให้ข้อมูลเกิดความขัดแย้งกัน และยังเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลด้วย เนื่องจาก ข้อมูลชุดเดียวกันจัดเก็บซ้ํากันหลายแห่งนั่นเอง 4. แฟ้มข้อมูลมีความถูกต้องของข้อมูลน้อย เนื่องจากแฟ้มข้อมูลไม่สามารถตรวจสอบ กฎ ข้อบังคับความถูกต้องของข้อมูลได้ถ้าต้องการควบคุมข้อมูล ผู้พัฒนาโปรแกรมต้องเขียน โปรแกรม เพื่อควบคุมกฎระเบียบต่าง ๆ เองทั้งหมด ถ้าเขียนโปรแกรมครอบคลุมกฎระเบียบใด ไม่ครบหรือขาด หายไปบางกฎ อาจทําให้ข้อมูลผิดพลาดได้ 5. แฟ้มข้อมูลมีความปลอดภัยน้อย แฟ้มข้อมูลไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยในการ ควบคุมเกี่ยวกับการเข้าใช้ข้อมูล ทุกคนจึงสามารถเรียกดูและเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ก่อให้เกิดความ เสียหายต่อข้อมูลได้และข้อมูลบางส่วนอาจเป็นข้อมูลที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือเป็นข้อมูลเฉพาะของ ผู้บริหาร 6. ไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง ระบบแฟ้มข้อมูลจะไม่มีการควบคุมการใช้ข้อมูลจาก ศูนย์กลาง เนื่องจากข้อมูลที่หน่วยงานย่อยใช้สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเสรีโดยไม่มีศูนย์กลางในการ ควบคุม ทําให้ไม่ทราบว่าหน่วยงานใดใช้ข้อมูลระดับใดบ้าง ใครเป็นผู้นําข้อมูลเข้า และมีสิทธิแก้ไข ข้อมูลหรือเรียกใช้ข้อมูลหรือไม่
12 ระบบแฟ้มข้อมูลเมื่อมีการใช้งานจนเกิดปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว จึงทําให้เกิดแนวคิดใน การ จัดการข้อมูลรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและทําให้มี ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม ซึ่งมีวิธีและรูปแบบของการจัดเก็บและการใช้งานที่แตกต่างจากกัน ลักษณะของฐานข้อมลู ลักษณะของฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่เก็บรวบรวมไว้ ด้วยกันทั้งในสถานที่เดียวกันหรือต่างสถานที่แต่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีการกําหนด รูปแบบของระเบียนที่ต้องการไว้ยังจุดศูนย์กลางเพียงที่เดียว เพื่อจะได้ควบคุมการแสดงผล การเก็บ รักษา และการดูแลแก้ไขให้เป็นรูปแบบเดียวกัน และจะต้องกําหนดสิทธิของผู้ใช้ที่จะสามารถดึงข้อมูล ออกมาเท่าที่จําเป็นในแต่ละหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลไปยังภายนอกองค์กร ตัวอย่างเช่น แฟ้มข้อมูลของนักศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลไว้แต่ละหน่วยงาน เช่น ฝ่ายธุรการจะจัดเก็บแฟ้มประวัติของนักศึกษา ฝ่ายทะเบียนและวัดจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลของ รายวิชาที่นักศึกษาได้ลงทะเบียนไว้อาจารย์ประจําวิชาจะดึงข้อมูลจากฝ่ายทะเบียนที่นักศึกษาได้ ลงทะเบียนไว้มากรอกผลการเรียนในแต่ละรายวิชา เมื่อได้สอบวัดผลการเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วฝ่าย ปกครองจะบันทึกพฤติกรรมของนักศึกษาที่กระทําผิดกฎระเบียบของวิทยาลัยโดยหักคะแนนความ ประพฤติซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละฝ่ายจะทํางานในแต่ละด้านต่างกันแต่ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน โดยจะต้อง มีการจํากัดสิทธิ์ของผู้เช่าใช้งานในแต่ละด้านให้สามารถดู/แก้ไข/เพิ่มเติมในส่วนของฝ่ายนั้น ๆ โดยไม่ ทับซ้อนกัน จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่าข้อมูลมีความสันพันธ์กันและเรียกใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพแต่กว่าจะมาเป็นฐานข้อมูลที่ดีได้นั้นจะต้องเกิดจากการร่วมกันพัฒนาทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่ดีและมีระบบการจัดการฐานข้อมูลที่ดีหรือเรียกว่า “DBMS” อีกด้วย ระบบฐานข้อมูล (Database System) ฐานข้อมูล (Database) หมายถึงกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน มาเก็บ รวบรวม เข้าไว้ ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกัน เป็นฐานข้อ มูลนั้น ต้องตรงตาม วัตถุประสงค์ การใช้ งานขององค์กรด้วยเช่นกัน เช่น ในสํานักงานก็รวบรวมข้อมูล ตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่มา ติดต่อจนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของสํานักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่สัมพันธ์กันและ เป็นที่ ต้องการนําออกมาใช้ประโยชน์ต่อไปภายหลังข้อมูลนั้นอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของสถานที่หรือ เหตุการณ์ใด ๆ ก็ได้ที่สนใจศึกษา หรืออาจได้มาจากการสังเกต การนับหรือการวัดก็เป็นได้รวมทั้งข้อ มูลที่เป็นตัวเลขข้อความ และรูปภาพต่าง ๆ ก็สามารถนํามาจัดเก็บ เป็นฐานข้อมูลได้และที่สําคัญ ข้อ มูลทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะต้องการนามาใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) หมายถึง โปรแกรมหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมจัดการข้อมูลที่ แต่ละหน่วยงานจัดเก็บลงในแฟ้มข้อมูล โดยให้มีความเกี่ยวข้องกันกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งจะทําให้
13 ผู้ใช้ได้รับความสะดวกในการนําข้อมูลมาใบ้ได้โดยง่าย และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์ของแต่ละ หน่วยงาน ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลอาจจะมีการกําหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ อาจไม่จําเป็นต้อง รู้เรื่องโครงสร้างของฐานข้อมูลเลยก็ได้ดังนั้น ระบบการจัดการฐานข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ ช่วยอํานายความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่สามารถสื่อสารกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ระบบการจัดการฐานข้อมูล ที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย 1. การกําหนดหน้าที่ของฟังก์ชันต่าง ๆ ในการจัดการกับข้อมูลได้อย่างหลากหลาย 2. ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม DBMS จะต้องเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นกลางที่นัก โปรแกรมทุกเชื้อชาติสามารถเข้าใจได้ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภาษา SQL 3. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือบํารุงรักษาได้โดยง่าย และต้องไม่ยึดติดกับนักเขียน โปรแกรมคนใดคนหนึ่ง 4. ต้องมีการกําหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ในแต่ละคนได้เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และทําให้เกิด ความปลอดภัยของข้อมูลที่อาจจะมีผู้นําไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม 5. สามารถรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล โดยการสํารองข้อมูล (Backup) ได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น ไฟฟ้าดับ ข้อมูลเกิดการเสียหาย ฮาร์ดดิสก์เสีย เป็นต้น 6. สามารถเรียกคืนข้อมูล (Recover) ในกรณีที่ข้อมูลเกิดความเสียหายได้ 7. ต้องจัดการบริหารและเรียกแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ จากหน่วยความจําสํารองมาไว้ยัง หน่วยความจําหลักและนําเสนอตามความต้องการของผู้ใช้ซึ่งจะเป็นตัวประสานงานระหว่างผู้ใช้กับ แฟ้มข้อมูล 8. จัดการบริหารฐานข้อมูลและควบคุมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เมื่อมีผู้ใช้หลาย ๆ คน เข้ามาใช้ฐานข้อมูลพร้อม ๆ กัน องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูลจะสมบูรณ์ได้นั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ประการดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางด้านคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ใช้ในการประมวลผล ข้อมูลของฐานข้อมูล หน่วยจัดเก็บข้อมูล หน่วยนําเข้าข้อมูล หน่วยแสดงผล รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสาร โทรคมนาคมที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ด้วย 2. ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ประยุกต์และซอฟต์แวร์ ด้านฐานข้อมูล โดยซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงเพื่อใช้ทํางานด้านใด ด้านหนึ่ง เช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน โปรแกรมระบบบัญชีลูกหนี้เป็นต้น ส่วนซอฟต์แวร์ด้าน ฐานข้อมูลจะเป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ทําหน้าที่ในการจัดการฐานข้อมูลให้กับผู้ใช้และ ผู้เขียนโปรแกรม
14 3. ข้อมูล (Data) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับข้อมูลที่จัดเก็บในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลจะมี คุณสมบัติด้านความถูกต้อง ทันสมัย ซ้ําซ้อนน้อย และสามารถใช้ร่วมกันได้ 4. บุคลากร (Peopleware) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับบุคลากรซึ่งเกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะหน้าที่ได้ดังนี้ 1. ผู้ใช้ทั่วไป (Naïve User) คือ บุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยมีพื้นฐานด้านการใช้ คอมพิวเตอร์มาบ้าง ไม่จําเป็นต้องรู้จักรายละเอียดโครงสร้างของฐานข้อมูลหรือภาษาทาง คอมพิวเตอร์แต่สามารถเรียกใช้ข้อมูลได้โดยผ่านทางโปรแกรมสําเร็จรูป 2. ผู้ใช้ฐานข้อมูล (Sophisticated User) คือ บุคคลที่สามารถดึงข้อมูลขึ้นมาใช้โดยผ่าน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียกใช้ข้อมูล (Query Language) มีความรู้พื้นฐานในการเรียกและแสดงผล ข้อมูลในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างหลากหลาย ซึ่งไม่จําเปก็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ภาษาระดับสูง 3. นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Designer) คือ บุคคลที่ทํา หน้าที่ออกแบบระบบฐานข้อมูลให้ตรงกับการใช้งานของผู้ใช้โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 3.1 นักออกแบบในระดับแนวคิด (Logical Database Designer)คือ บุคคลที่ทํา หน้าที่ออกแบบระบบโดยประยุกต์กับงานในปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเขียนข้อกําหนดของการใช้ ฐานข้อมูลในรูปแบบของเอนทิตี้ (Entity), แอททริบิวต์ (Attribute) และการเชื่อมความสัมพันธ์ (Relationship) กับงานและข้อกําหนดของธุรกิจนั้น ๆ เช่น นักศึกษา 1 คน จะต้องสังกัดอยู่เพียง คณะเดียว ถ้านักศึกษาได้ไปลงทะเบียนกับอีกคณะหนึ่งก็จะทําให้เกิดข้อผิดพลาดของการลงทะเบียน ในคณะที่ 2 ดังนั้น การออกแบบจึงต้องออกแบบให้มีกฎเกณฑ์ที่เหมือนกัน และในทางกลับกันคณะ หนึ่งคณะสามารถมีนักศึกษาได้มากกว่า 1 คน ซึ่งแต่ละคณะก็จะมีนักศึกษาได้ในจํานวนที่เท่ากันหรือ แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความชอบของนักศึกษา 3.2 นักออกแบบระบบในระดับปฏิบัติ (Physical Database Designer) คือ บุคคล ที่ทําหน้าที่ในการนําเอาโครงสร้างและข้อกําหนดต่าง ๆ ของนักออกแบบในระดับแนวคิดไปทําการ ออกแบบตัวโปรแกรมเพื่อให้ใช้งานได้กับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) และเป็นคนที่จะคัดสรร อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การป้องกันและรักษาข้อมูลเมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ การแสดงผลข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้รวมถึงข้อกําหนดของตัวโปรแกรมกับ ความสามารถพื้นฐานของผู้ใช้อีกด้วย 4. เขียนโปรแกรม (Application Programmer) คือ บุคคลที่เขียนโปรแกรมประยุกต์จาก ข้อกําหนดต่าง ๆ ที่รับมาจากนักวิเคราะห์และออกแบบระบบ โดยจะเขียนโปรแกรมประยุกต์ด้วย ชุดคําสั่งที่สามารถจัดการกับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ให้ปฏิบัติการในฐานข้อมูลได้เช่น การ
15 เรียกดูข้อมูล (View หรือ Retrieving), การเพิ่ม (Adding), การปรับปรุง (Updating), การลบข้อมูล (Deleting) เป็นต้น 5. ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator : DBA) คือ กลุ่มบุคคลที่ทําหน้าที่ในการ ออกแบบ จัดการ และบริหารฐานข้อมูลที่อยู่ภายในคอมพิวเตอร์ซึ่งมีพื้นฐานในการบริหารข้อมูลมา ก่อน กล่าวคือ ผู้บริหารข้อมูลจะทําหน้าที่คอยดูแลและรับผิดชอบข้อมูลต่าง ๆ ที่ตัวเองทําอยู่ซึ่งทํา หน้าที่กันเป็นทีม โดยมีหน้าที่ดังนี้ 5.1 กําหนดโครงสร้างหรือรูปแบบของฐานข้อมูล ได้แก่ โครงสร้างของอุปกรณ์เก็บ ข้อมูลและวิธีการเข้าถึงข้อมูล โดยทําการวิเคราะห์ว่าข้อมูลใดจะอยู่ในระบบฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ด้วยวิธีใด และใช้เทคนิคใดเรียกใช้ข้อมูล กําหนดโครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและวิธีการเข้าถึง ข้อมูล 5.2 กําหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้โดยการประสานงานกับผู้ใช้ให้คําปรึกษา ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้และตรวจความต้องการของผู้ใช้ 5.3 กําหนดกฎเกณฑ์ความปลอดภัยและบูรณาการภาพของข้อมูล กล่าวคือ แฟ้มข้อมูลที่แต่ละฝ่ายได้สร้างขึ้นมาจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันหรือซ้ําซ้อนกัน ตัวอย่างเช่นบาง หน่วยงานอาจจะพิมพ์ชื่อกับนามสกุลลงในช่องเดียวกัน อีกหน่วยงานอาจจะพิมพ์แยกกันคนละช่อง หรือบางหน่วยงานอาจจะมีคํานําหน้าร่วมกับชื่อด้วย เป็นต้น ฉะนั้นการบูรณาการภาพ คือ การ ผสมผสานแฟ้มข้อมูลของแต่ละหน่วยงานให้สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้งหรือซ้ําซ้อนกันและ ยังจํากัดของเขตการเข้าถึงของแต่ละหน่วยงานให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย 5.4 กําหนดขั้นตอนการสํารองข้อมูลและการฟื้นสภาพข้อมูล กําหนดแผนการสร้าง ระบบข้อมูลสํารองและการฟื้นสภาพ ในกรณีที่อาจเกิดความเสียหายกับฐานข้อมูลด้วยสาเหตุจาก ความผิดพลาดของบุคคล ฮาร์ดแวร์ดิสก์ที่เก็บข้อมูล หรือการเกิดไฟฟ้าดับกะทันหัน ชนิดของฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่ใช้กันอยู่มีโครงสร้าง 3 แบบ ดังนี้ 1. ฐานข้อมูลแบบลําดับชั้น (Hierarchical Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนที่อยู่ แถวบนเรียกว่า “ระเบียนพ่อแม่” (Parent Record) และระเบียนแถวถัดลงมาเรียกว่า “ระเบียนลูก” (Child Record) โดยระเบียนพ่อแม่สามารถมีระเบียนลูกได้มากกว่า 1 ระเบียนแต่ระเบียนลูกจะมี ระเบียนพ่อแม่ได้เพียง 1 ระเบียนเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างแบบนี้คล้ายโครงสร้างแบบต้นไม้หัวคว่ําลง ดังนั้น บางครั้งอาจเรียกโครงสร้างฐานข้อมูลแบบนี้ได้ว่า “โครงสร้างแบบต้นไม้” (Tree Structure) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 2 แบบ คือความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งและแบบ หนึ่งต่อกลุ่มเท่านั้น
16 รูปที่ 2.2 ฐานข้อมูลแบบลาดํ ับชั้น 2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) ฐานข้อมูลแบบนี้เป็นการปรับปรุง เพิ่มเติมจากระบบฐานข้อมุลแบบลําดับชั้น แต่จะต่างกันที่โหนดลูกจะสามารถมีโหนดพ่อแม่ได้ มากกว่า 1 โหนด และโหนดพ่อแม่ก็สามารถมีโหนดลูกได้มากกว่า 1 โหนดเช่นเดียวกัน รูปที่ 2.3 ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย 3. ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนเก็บ อยู่ในรูปแบบตาราง (Table) ซึ่งภายใต้ตารางจะแบ่งเป็นแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดย แถวสามารถมีได้หลายแถว แต่ละแถวเรียกว่า “ระเบียน” ส่วนคอลัมน์ก็มีได้หลายคอลัมน์แต่ละ คอลัมน์เรียกว่า “เขตข้อมูล” ซึ่งในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลนี้อาจเรียกตารางเป็นอีกแบบหนึ่งว่า “รีเลชัน” (Relation) ส่วนแถวเรียกว่า “ทูเพิล (Tuple) และคอลัมน์เรียกว่า “แอทริบิวต์” (Attribute) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 3 แบบ ได้แก่ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อ หนึ่ง แบบหนึ่งต่อกลุ่ม และแบบกลุ่มต่อกลุ่ม
17 รูปที่ 2.4 ฐานข้อมูลแบบเชงสิ ัมพันธ์ ความสําคัญของฐานข้อมูล การเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูลเป็นรูปแบบเดิมที่ใช้กัน แต่ด้วยเทคโนโลยีของระบบการ จัดเก็บข้อมูลที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีด้าน คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทําให้มีการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บข้อมูลจากระบบแฟ้มข้อมูลให้เป็น รูปแบบที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล” ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลมีส่วนที่สําคัญกว่าการ จัดเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูล ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล 1. ลดความซ้ําซ้อน 2. รักษาความถูกต้องของข้อมูล 3. ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล 4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ 5. มีความเป็นอิสระของข้อมูล 6. สามารถขยายงานได้ง่าย 7. ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน ข้อเสียของระบบฐานข้อมูล แต่ทั้งนี้ระบบฐานข้อมูลยังอาจส่งผลเสียได้เช่นกันดังนี้ 1. มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากระบบฐานข้อมูลมีราคาค่อนข้างแพง ทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่ต้องใช้เครื่องที่มีความสามารถในการประมวลผลค่อนข้างสูงและมีประสิทธิภาพดี
18 2. ระบบมีความซับซ้อน การใช้ระบบฐานข้อมูลซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญ ในการสร้าง ดูแล และบํารุงรักษา การออกแบบระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คําศัพท์ที่ใช้ในระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ รีเลชั่น (Relation) หรือจะเข้าใจกันดีในชื่อ ตางราง (Table) ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลในรูป ของ 2 มิติที่ประกอบไปด้วยแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดยแถวของรีเลชั่น (Relation) คือ 1 รายการข้อมูล หรือ 1 ระเบียน (Record) ในระบบแฟ้มข้อมูล ส่วนคอลัมน์คือ คุณลักษณะที่ บ่งบอกถึงข้อมูลในแต่ละแถวหรือฟิลด์ (เขตข้อมูล) ในระบบแฟ้มข้อมูล สําหรับความหมายในรีเลชั่น (Relation) จะเรียกว่า ทูเพิล (Tuple) และ แอททริบิวต์ (Attribute) รูปที่ 2.5 แสดงแอททริบิวต์รีเลชั่น และทเพูิล คาดินัลลิตี้ (Cardinality) หมายถึง จํานวนทูเพิล (Tuple) หรือระเบียน (Record) ทั้งหมด ของตาราง (Table) ข้อมูลนั้น ๆ ดีกรี(Degree) หมายถึงจํานวนแอททริบิวต์(Attribute)หรือฟิลด์ทั้งหมดของตาราง (Table) ข้อมูลนั้น ๆ Relationships (ความสัมพันธ์) หมายถึง การรวบรวมตาราง (Table) ต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์ระหว่างกันเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีโครงสร้างข้อมูล เช่น แอททริบิวต์ (Attribute) และทูเพิล (Tuple) คล้าย ๆ กัน ซึ่งจะมีคีย์ (Key) เป็นตัวกําหนดให้ตาราง (Table) ใดเป็นคีย์หลัก (Primary Key) และตาราง (Table) ใดเป็นคีย์นอก (Foreign Key) โดยมีคุณสมบัติของการเชื่อมความสัมพันธ์ (Relationships) ดังนี้ 1. แต่ละแอททริบิวต์(Attribute)ของตารางจะบรรจุข้อมูลได้เพียง1 ค่าเท่านั้น 2. ชื่อของแอททริบิวต์(Attribute)ในตารางจะต้องตั้งชื่อที่แตกต่างกันจะซ้ํากันไม่ได้ซึ่งส่วน ใหญ่แล้วจะตั้งชื่อที่สื่อความหมายเดียวกับกลุ่มของข้อมูลในคอลัมน์นั้น ๆ ทูเพิล
19 3. การกําหนดชนิดของแอททริบิวต์(Attribute)จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อยู่ในคอลัมน์นั้น ๆ และมีขอบเขตที่จํากัดโดยกลุ่มของข้อมูล 4. ข้อมูลในแต่ละทูเพิล (Tuple) ของตารางจะต้องแตกต่างกัน จะไม่มีทูเพิล (Tuple) ใดที่ ซ้ํากัน 5. การเรียงลําดับข้อมูลของทั้งแอททริบิวต์ (Attribute) และทูเพิล (Tuple) ไม่มีผลสําคัญ กับตาราง 6. รีเลชั่น (Relation) หรือตารางทุกตารางจะต้องมีชื่อกํากับและซ้ํากันไม่ได้ซึ่งโดยส่วน ใหญ่แล้วก็จะตั้งชื่อที่สื่อความหมายเดียวกับกลุ่มของข้อมูล คําศพทั ์ในฐานข้อมูล คําศพทั ์ทเรี่ียกใช้ในโปรแกรม Access คําศพทั ์ทเรี่ียกใช้ในโปรแกรม Excel ทูเพิล(Tuple) ระเบียน(Record) แถว(Row) แอททริบิวต์(Attribute) เขตข้อมูล(Field) คอลัมน์(Column) รีเลชั่น(Relation) ตาราง(Table) แผ่นงาน(sheet) คาดินัลลิตี้เ(Cardinality) จํานวนระเบียนทั้งหมดของ ตาราง จํานวนแถวทั้งหมดของแผ่นงาน ดีกรี(Degree) จํานวนเขตข้อมูลทั้งหมดของ ตาราง จํานวนคอลัมน์ทั้งหมดของแผ่น งาน โดเมน(Domain) ชนิดของข้อมูล(Data Type) ช นิดของรูปแบบ ( Format Type) ตารางที่ 2.1 ตารางการเปรียบเทียบคําศัพท์ที่เรียกใช้กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คําศัพท์ที่ใช้ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ในการออกแบบฐานข้อมูลเขิงสัพมพันธ์ (Relational Database) จะนําข้อมูลในตาราง (Table) ของแต่ละตาราง โดยที่ตารางจะมีลักษณะเป็น 2 มิติซึ่งประกอบไปด้วยทูเพิล (Table) และ แอททริบิวต์ (Attribute) โดยที่ข้อมูลของแต่ละตารางจะแตกต่างกันออกไป แต่จะมีเพียงแอททริบิวต์ ใดแอททริบิวต์หนึ่งของตารางหนึ่ง ต้องเหมือนกับแอททริบวิต์หนึ่งของอีกรารางหนึ่ง เพื่อเป็นจุดที่จะ ทําการเชื่อมโยงให้ข้อมูลเกิดความสัมพันธ์กัน ซึ่งการจะเชื่อมโยงได้จะต้องอยู่ภายใต้การกําหนดของ คีย์(Key) ดังนี้ 1. คีย์หลัก (Primary Key : PK) หมายถึงข้อมูลที่จํากําหนดให้แอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์ หนึ่งมีคุณสมบัติให้เป็นคีย์หลัก โดยมีวิธีการกําหนดอยู่ 4 ประการคือ
20 1.1 ค่าที่กําหนดในแอททริบิวต์นั้นจะต้องมีค่าที่ไม่ซ้ํากัน 1.2 ทุกตารางที่มีการเชื่อความสัมพันธ์กันจะต้องมีคีย์หลัก 1.3 ในแต่ละตารางจะต้องมีแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งที่มีข้องมูลน้อยที่สุดใน ทูเพิลนั้น ๆ เป็นคีย์หลัก ซึ่งไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนให้แอททริบิวต์อื่น ๆ เปนค็ ีย์หลัก 1.4 ได้ค่าที่กําหนดในแอททริบิวต์นั้นจะต้องไม่มีค่าว่าง (Not Null) 2. คีย์คู่แข่ง (Condidate Key : CK) หมายถึง ข้อมูลในแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งที่มี ลักษณะและคุณสมบัติเดียวกับคีย์หลัก ซึ่งสามารถทดแทนกันได้ 3. คีย์นอก (Foreign Key : FK) หมายถึง แอททริบิวต์ของจารางหนึ่งที่จะต้องไปอ้างอิงกับ แอททริบิวต์คีย์หลักของอีกตารางหนึ่ง โดยทั้ง2 ตารางจะต้องเชื่อมความสัมพันธ์กันซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ 3.1 ค่าที่กําหนดจะต้องมีค่าที่เหมือนกับแอททริบิวต์คีย์หลักของตารางที่เชื่อม ความสัมพันธ์กัน 3.2 สามารถมีค่าที่ซ้ํากันได้ 3.3 สามารถมีค่าเป็นว่างได้ (Null) 4. คีย์รวมหรือคีย์ผสม (Composite Key : CK) หมายถึง การรวมเอาหลายแอททริบิวต์ของ แต่ละตารางมาสร้างเป็นคีย์ใหม่เนื่องจากไม่สามารถใช้เพียงแอททริบิวต์เดียวมาสร้างเป็นข้อมูลใหม่ ได้ซึ่งคีย์รวมนี้มีคุณสมบัติเดียวกับคีย์หลัก คือจะต้องไม่มีข้อมูลที่ซ้ํากันและไม่มีค่าว่าง (Not Null) เช่น ใบกํากับการเช่าห้องกักของผู้เช่าซึ่งจะต้องมีอย่างน้อย 2 แอททริบิวต์ที่จะนํามาสร้างเป็น คีย์คือ เลขที่ใบกํากับกับรหัสผู้เช่า เพราะว่าใบกํากับการเช่าห้องพัก 1ใบ จะออกให้กับผู้เช่าห้องพัก 1 คน หรือ 1 ครั้งเท่านั้น จนกว่าผู้เช่านั้นจะย้ายออกไปและจะไม่สามารถออกซ้ําได้ เลขที่ใบกํากบัรหัสผู้เช่า 1 1182 2 2556 3 3883 4 4222 รูปที่ 2.6 ตัวอย่างข้อมูลเลขที่ใบกํากับการเช่าห้องพัก ชนิดของความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ ในการเชื่อมความสัมพันธ์ของเขตข้อมูลแต่ละตารางจะมีข้อมูลของแอททริบิวต์ในตารางหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในแอททริบิวต์ของอีกตารางหนึ่งจึงต้องคํานึงถึงว่ามีความสัมพันธ์กันแบบใด โดยจะอธิบายถึงชนิดของความสัมพันธ์กับแอททริบิวต์ได้ 3 ประการ ดังนี้
21 1. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-one Relationships)(1:1) เป็นความสัมพันธ์ที่ เข้าใจง่าย ๆ คือ ในแอททริบิวต์หนึ่งของตารางจะมีความสัมพันธ์กับอีกแอททริบิวต์หนึ่งในตารางหนึ่ง เท่านั้น จะไม่สามารถมีมากกว่า 1 ได้ตัวอย่างเช่น ใบกํากับการเช่าห้องพักมีเพียงใบเดียว และ ผู้เช่า ห้องจะมีใบกํากับการเช่าห้องพักได้เพียงใบเดียวเช่นกัน หรือเขียนเป็นรูปสัญลักษณ์ดังนี้ รูปที่ 2.7 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-Many Relationships) (1:M) หรือ (1:N) เป็น ความสัมพันธ์ที่พบเห็นบ่อย ๆ ในฐานข้อมูลทั่วไป ซึ่งมีความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์หนึ่งในตาราง กับ ความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ตั้งแต่ 2 แอททริบิวต์ขึ้นไปในอีกตารางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเช่าพักได้หลายห้อง แต่ใบกํากับการเช่าห้องพัก 1 ใบบจะมีเพียงผู้เช่าห้อง คนเดียว เท่านั้นที่ทางอพาร์ทเม้นท์ออกให้ รูปที่ 2.8 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม 3. ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many-to-Many Relationships) (M : N) หรือ (N : M) เป็นความสัมพันธ์ที่หลายแอททริบิวต์ในตารางหนึ่งมีความสัมพันธ์กับหลายแอททริวบิวต์อีกตาราง หนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเช่าห้องพักได้หลายห้อง และห้องพัก 1 ห้อง ผู้เช่า ห้อง สามารถนําครอบครัวหรือเพื่อนมาอยู่ร่วมกันได้ รูปที่ 2.9 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม ใบกํากับการเช่าห้องพัก ผู้เช่าห้อง 1 : 1 ผู้เช่าห้อง ใบกํากับการเช่าห้องพัก 1 : N ผู้เช่าห้อง ห้องเช่า M : N
22 ขั้นตอนการออกแบบฐานขอมู้ล ในการออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะทําให้สามารถถออกแบบและพัฒนา โปรแกรมขึ้นใช้งานได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธีเพื่อในอนาคตภายหน้าเมื่อมีปัญหาในการนําไปใช้จะ สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในหัวข้อนี้จะอธิบายวิธีการและขั้นตอนในการ ออกแบบฐานข้อมูลไว้ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ถึงปัญหาของระบบงานเดิม โดยพิจารณาถึงจุดอ่อน จุดบกพร่อง และ อุปสรรคต่าง ๆ ที่จะทําให้รบบงานเดิมล้าช้า ซ้ําซ้อน และไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น ในระบบงานเดิมของอพาร์ทเม้นท์เป็นแบบจัดเก็บข้อมูลโดยการบันทึกข้อมูลเช่าห้องพักด้วยมือ ลงในสมุดบันทึก ซึ่งการจัดเก็บลักษณะนี้ทางเจ้าของอพาร์ทเม้นท์จะไม่ทราบเลยว่าผู้เช่าห้องพักเข้า มาเช่าเมื่อไร วางเงินประกันไว้เท่าไร เข้ามาอยู่กี่คน จนกว่าผู้เช่าจะคืนห้อง ถึงจะหยิบสมุดบันทึก ขึ้นมาดูเป็นตน้ 2. พิจารณาความต้องการขั้นพื้นฐานและความเป็นไปได้เมื่อได้ทราบถึงปัญหาของการ ทํางานในระบบเดิมแล้ว ขั้นต่อมาคือการพิจารณาถึงความต้องการว่าสมควรนํามาใช้ในองค์กรหรือไม่ โดยดูจากปัจจัยด้านต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 ด้านเทคโนโลยีพิจารณาถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีในองค์กรว่าเหมาะสมและ เพียงพอกับปริมาณการใช้หรือไม่รวมถึงขีดความสามารถและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนั้น ๆ และ ต้องจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ จํานวนมากเท่าไรเพื่อมาสนับสนุนต่อระบบงานที่จะปรับปรุงใหม่ 2.2 ด้านการเงิน พิจารณาถึงความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่จ่ายออกไปกับประสิทธิภาพ ของงานที่จะได้มาทั้งค่าใช้จ่ายในด้าน ฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์และบุคลากราที่จะต้องจัดอบรมหรือส่งไป ศึกษาดูงานให้กลับมาพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 ด้านความต้องการของผู้ใช้พิจารณาถึงความต้องการของผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ และผู้บริหารว่ามีความต้องการใช้งานมากเพียงไร โดยมุ้งเน้นถึงการแก้ปัญหาและผลที่ได้สามารถ นําไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตรงตามความต้องการหรือไม่ 3. การออกแบบฐานข้อมูล เมื่อได้ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ แล้ว และวิเคราะห์ถึงผลดี มากกว่าผลเสีย ขั้นต่อไปคือ การออกแบบฐานข้อมูลให้ตรงกับความต้องการขององค์กรให้มากที่สุด โดยการออกแบบฐานข้อมูลจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ 3.1 การกําหนดค่าแอททริบิวต์ให้กับระบบฐานข้อมูลที่จะทําการสร้าง เช่น แอททริบิวต์ ของผู้เช่าห้อง,แอททริบิวต์ของใบกํากับการเช่าห้องพัก แอททริบิวต์ของจํานวนห้องพักทั้งหมดของอ พาร์ทเม้นท์เป็นต้น 3.2 กําหนดคีย์หลักของแอททริบิวต์ในตารางที่สร้างทุกตาราง 3.3 กําหนดความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการใช้งาน
23 3.4 ตรวจสอบหรือแก้ไขในแอททริบิวต์แต่ละตัวถ้ามีข้อมูลที่ซ้ําซ้อนกันหลังจาก เชื่อมความสัมพันธ์แล้ว 4. การพัฒนาโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและการติดตั้ง โดยการพิจารณาถึงหน้าที่ การใช้งาน และความเกี่ยวข้องกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รวมถึงผลที่ออกมาจากทาง เครื่องพิมพ์หรือในรูปของรายงานต่าง ๆ ต้องให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด และทาง ด้านความปลอดภัยของระบบ ข้อจํากัดของผู้ใช้การกําหนดาสิทธิของผู้ใช้การสํารองข้อมูลก็ถือเป็น สิ่งสําคัญที่ผู้พัฒนาจะต้องคํานึงถึง โดยมีขั้นตอนของการพัฒนาดดังนี้ 4.1 พัฒนาโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและที่ออกแบบไว้ 4.2 เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วต้องทําการทดสอบระบบโดยรวมทั้งหมด พร้อมทั้งจด บันทึกว่ามีข้อผิดพลาของโปรแกรมที่ใดและทําการแก้ไข 4.3 ติดตั้งระบบฐานข้อมูลยังเครื่องที่ใช้งานจริงและตรวจสอบถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ว่าได้ผลของระบบตรงตามความต้องการหรือไม่ 4.4 จัดฝึกอบรมบุคคลากรที่เกี่ยวข้องภายในองค์กรให้สามารถใช้งานในระบบ ฐานข้อมูลให้ตรงตาความต้องการของแต่ละฝ่าย 4.5 จัดทําเอกสารประกอบการใช้งานของโปรแกรมทุกขั้นตอน พร้อมทั้งอธิบาย รายละเอียดการใช้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง 4.6 จัดตารางการบํารุงรักษาทั้งเรื่องของฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์และรบบฐานข้อมูล ให้เหมาสมกับความต้องการของผู้ใช้และองค์กรเมื่อมีการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ตามกาลเวลาหรือ เมื่อมีปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต หลักการออกแบบฐานข้อมูล พื้นฐานการออกแบบฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องจะทําให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็น ข้อมูลล่าสุด เนื่องจากการออกแบบที่ถูกต้องเป็นสิ่งจําเป็นที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ในการทํางานกับ ฐานข้อมูล ดังนั้นจึงจําเป็นที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการการออกแบบที่ดีเพื่อใน ท้ายที่สุด จะได้ฐานข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของคุณ และสามารถแก้ไขได้โดยง่าย การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อใช้งานฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ออกแบบต้องสามารถ จําแนกกลุ่มข้อมูลหรือเอนทิตี้ได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน โดยกําหนดคุณลักษณะหรือแอตทริบิวต์ ของแต่ละเอนทิตี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งจะต้องสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ข้อมูลได้จะมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดทั้งหมด การเก็บรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดต่างๆของงาน รวมทั้งความต้องการของผู้ใช้เช่น 1. มีข้อมูลใดบ้างที่เป็นเรื่องเดียวกัน ให้จัดกลุ่มข้อมูลนั้นเป็นเอนทิตี้
24 2. ชนิดของข้อมูลแบบใด (ตัวอักษร ตัวเลข หรืออื่น ๆ) มีเงื่อนไขหรือ ข้อกําหนดอย่างไร 3. มีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องนํามาค้นหาหรือประมวลผล ผลที่ได้ต้องสง่ออก ระบบภายนอกหรือไม่ 4. มีใครบ้างที่เป็นผู้ใช้ฐานข้อมูลนี้ความถี่ในการใช้มีมากเท่าไหร่มี ความสําคัญอย่างไร 5. ลักษณะของรายงาน ประกอบด้วยรายงานใดบ้าง ระยะเวลาในการออก รายงาน 6. ข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถรวบรวมได้โดยพยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ขั้นที่ 2 กําหนดโครงสร้างของ Table จากกลุ่มข้อมูลหรือเอนทิตี้ที่รวบรวมได้จากเอกสารต่าง ๆ ในขั้นที่ 1 จะนํามากําหนดแอตทริ บิวต์ของข้อมูล เพื่อจะได้ทราบว่าในเอนทิตี้นั้นจะนําข้อมูลอะไรมาใช้บ้าง หลังจากนั้นให้นําแอตทริ บิวต์มากําหนดโครงสร้างเบื้องต้นของ Table โดยแปลงแอตทริบิวต์เป็นฟิลด์พร้อมกําหนดชนิดและ ขนาดของข้อมูลในแต่ละขนาดข้อมูลในแต่ละฟิลด์รวมทั้งเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้กําหนดลักษณะ ของข้อมูล ขั้นที่ 3 กําหนดคีย์ ขั้นตอนนี้จะพิจารณาว่าฟิลด์ใดบ้างใน Table นั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะใช้เป็นคีย์ถ้าไม่มี ฟิลด์ใดเลยที่เหมาะสม ก็จะต้องกําหนดฟิลด์ใหม่เพื่อใช้เป็นคีย์โดยเฉพาะ ขั้นที่ 4 การทํา Normalization ถ้า Table ที่ได้จากขั้นที่ 2 ยังมีความซ้ําซ้อนกันของข้อมูล หรือข้อมูลบางฟิลด์ไม่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับเนื้อหาใน Table นั้นจะต้องนํามาปรับปรุงแก้ไขให้มีโครงสร้างหรือรูปแบบที่เหมาะสมก่อน นําไปประมวลผล ถ้านําโครงสร้างไปใช้เลยโดยไม่ทํา Normalization ก่อนอาจเกิดปัญหาได เช่น ปัญหาสิ้นเปลืองเนื้อที่จัดเก็บข้อมูลที่ซ้ําซ้อนกัน ปัญหาความผิดปกติ (Anomaly) ของข้อมูลเมื่อมีการ แก้ไขเพิ่ม หรือลบเรคอร์ด รวมทั้งปัญหาในการกําหนดความสัมพันธ์ในขั้นที่ 5 จะทําได้ยาก ขั้นที่ 5 กําหนดความสัมพันธ์ นํา Table ทั้งหมดที่ได้หลังจากทํา Normalization มาสร้างความสัมพันธ์โดยใช้คีย์กําหนด ในขั้นที่ 3 หรือคีย์ที่เกิดขึ้นใหม่จากการทํา Normalization เป็นตัวเชื่อม ซึ่งอาจเป็นแบบ One – to – One , One – to – Many หรือ Many – to – Many ขึ้นกับลักษณะของข้อมูลการกําหนด ความสัมพันธ์ระหว่าง Table นี้มีความสําคัญมาก ผู้ออกแบบจะต้องมีการวิเคราะห์ให้ได้ว่าข้อมูลใน Table ต่าง ๆ นั้นมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใดเพื่อให้ข้อมูลนั้นออกมาได้ถูกต้องความสัมพันธ์ ระหว่างตาราง เขตข้อมูลร่วมที่ไม่จําเป็นต้องมีชื่อเดียวกัน แม้ว่าจะมีการใช้ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อย ก็ตาม เขตข้อมูลร่วมจะต้องมีประเภทข้อมูลเดียวกัน แต่ถ้าเขตข้อมูลคีย์หลักเป็นเขตข้อมูล AutoNumber แล้ว เขตข้อมูล Foreign Key ยังสามารถเป็นเขตข้อมูลตัวเลขได้เป็นต้น
25 การออกแบบฐานข้อมูลที่ดี ในกระบวนการออกแบบฐานข้อมูลนั้นจะมีหลักการบางอย่างเป็นแนวทางในการดําเนินการ หลักการแรกคือข้อมูลซ้ํา (หรือที่เรียกว่าข้อมูลซ้ําซ้อน) ไม่ใช่สิ่งที่ดีเนื่องจากเปลืองพื้นที่และอาจทํา ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นรวมถึงเกิดความไม่สอดคล้องกัน หลักการที่สองคือความถูกต้องและความ สมบูรณ์ของข้อมูลเป็นสิ่งสําคัญ ถ้าฐานข้อมูลของคุณมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รายงานต่าง ๆ ที่ดึงข้อมูล จากฐานข้อมูลจะมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามไปด้วย ส่งผลให้การตัดสินใจต่างๆ ที่ได้กระทําโดยยึดตาม รายงานเหล่านั้นจะไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีคือ 1. แบ่งข้อมูลของคุณลงในตารางต่าง ๆ ตามหัวเรื่องเพื่อลดความซ้ําซ้อนกันของข้อมูล 2. ใส่ข้อมูลที่จําเป็นลงใน Access เพื่อรวมข้อมูลในตารางต่าง ๆ เข้าด้วยกันตามต้องการ 3. ช่วยสนับสนุนและรับประกันความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูล 4. ตอบสนองต่อความต้องการในการประมวลผลข้อมูลและการรายงาน การออกแบบฐานข้อมูล การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสําคัญต่อการจัดการระบบ ฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท 1. รูปแบบของฐานข้อมูลแบบลําดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลําดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลําดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จํากัด ในปี 1980 ได้รับ ความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่ โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to - Many) ดังรูป แสดงโครงสร้างลําดับขั้นของผู้สอนทักษะผู้สอน หลักสูตรที่สอน รูปที่ 2.10 รปแบบฐานข ู้อมูลแบบลําดับขั้น
26 แสดงส่วนประกอบของระบบจัดการฐานข้อมูล (Elements of a database management systems) ข้อดีและข้อเสียของระบบการจัดการฐานข้อมูลระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมีทั้งข้อดีและ ข้อเสียในการที่องค์การจะนําระบบนี้มาใช้กับหน่วยงาของตนโดยเฉพาะหน่วยงานที่เคยใช้ คอมพิวเตอร์แล้วแต่ได้จัดแฟ้มแบบดั้งเดิม (Convention File) การที่จะแปลงระบบเดิมให้เป็นระบบ ใหม่จะทําได้ยากและไม่สมบูรณ์ไม่คุ้มกับการลงทุน ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่าในการพัฒนาฐานข้อมูล จะต้องประกอบด้วย วิธีการจัดแบบลําดับขั้นเป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและกําหนดให้เป็น เซ็กเมนต์ (Segment) โดยมีการแยกประเภทของเซ็กเมนต์ว่าเป็นเซ็กเมนต์ราก (Root segment) หรือ เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง(Dependent segment) แสดงถึงฐานข้อมูลของฝ่ายที่มีการเปิดอบรมของ บริษัทหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบลําดับขั้น เซ็กเมนต์ที่เป็นราก คือ ชื่อฝ่าย (Department name) โดยมี เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง 2 เซ็กเมนต์คือ เซ็กเม็นผู้สอน(Instructor) และหลักสูตร (Course) สําหรับ เซ็กเมนต์ผู้สอนก็จะมีตัวพึ่งอีก 1 เซ็กเมนต์คือ เซ็กเมนต์ความชํานาญ(Skill) ส่วนเซ็กเมนต์หลักสูตรก็ จะมีตัวพึ่งเป็นเซ็กเมนต์เปิดสอนโดยและเข้าเซ็กเมนต์สุดท้ายก็คือเซ็กเมนต์ผู้เรียนซึ่งเป็นตัวพึ่งของ เซ็กเมนต์เปิดสอนโดย 2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมี ความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลําดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อ หลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมี พ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สําหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการ ข้อมูลของห้องสมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สํานักพิมพ์ที่อยู่ ประเภทหนังสือ และ ปีที่พิมพ์ดังนั้นการจัดข้อมูลแบบเก่าจะทําให้ข้อมูลซ้ําซ้อนกันมาก ดังรูป รูปที่ 2.11 รปแบบฐานข ู้อมูลแบบเครือขาย่ เรื่องต่างก็มีรายการแยกต่างหาก ดังนั้นบรรดาผู้แต่งที่แต่งหนังสือมากกว่าหนึ่งเล่มจะปรากฏ มากว่าหนึ่งครั้งในไฟล์นอกจากนั้นสํานักพิมพ์แต่ละแห่งพิมพ์หนังสือหลายเล่มดังนั้นชื่อของ สํานักพิมพ์ที่อยู่ก็จะปรากฏซ้ํา ๆ กันในไฟล์ข้อมูลรวม ดังนั้นผู้วางระบบฐานข้อมูลจึงแนะนําให้สร้าง ฐานข้อมูลลักษณะเครือข่าย เพื่อลดความซ้ําซ้อน โดยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรายการเข้าด้วยกัน จะเห็นว่า ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลายรายการ (Record) ระหว่างรายการชื่อสํานักพิมพ์และชื่อเรื่อง ซึ่ง แสดงโดยมีรูปลูกศรซ้อนกัน 2 หัวเราเรียกรวมชื่อสํานักพิมพ์และชื่อเรื่องซึ่งมีความสัมพันธ์กันว่าเซต
27 และเรียกว่าสกีมา (Schema) ดังนั้นชื่อผู้แต่งแต่ละคนจะปรากฏเพียงหนึ่งครั้งและเชื่อมโยงกับชื่อ หนังสือที่เป็นผู้แต่ง ขณะที่ชื่อสํานักพิมพ์ก็เชื่อมโยงกับหนังสือที่ตนเป็นผู้พิมพ์เมื่อต้องการเข้าถึง รายการจะสามารถเข้าถึงผ่านทางชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หรือชื่อสํานักพิมพ์ก็ได้โดยอาศัยเส้นทาง เชื่อมต่อระหว่าง รายการ ทําให้ข้อมูลทุกรายการสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างถูกต้อง รายการหรือเร คอร์ดสมาชิก (Member) เช่น เรียก เรคอร์ดของผู้แต่งก่อนก็เป็นเรคอร์ดนําและหาตัวเชื่อมเพื่อไป ค้นหารายชื่อหนังสือที่แต่งซึ่งเป็นเรคอร์ดสมาชิกก็จะปรากฏขึ้น 3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบ ฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของ ตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของ ข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมี การวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จําเป็นต้องใช้เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตาราง ประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติ รหัส ชื่อ วันเขาท้ ํางาน เงินเดือน ตําแหน่ง แผนก 001 นายแดง 1/1/32 30000 ผู้จัดการ วิศวกรรม 002 นายเขียว 30/6/34 20000 หัวหน้าช่าง วิศวกรรม 003 นายดํา 16/4/36 18000 สมุห์บัญชีบัญชี 004 น.ส.น้ําฝน 1/5/39 9000 จัดซื้อ บัญชี 005 น.ส.ทราย 16/6/40 7000 ธุรการ ธุรการ ตารางที่ 2.2 ตารางแสดงประวัติพนักงาน รหัสแผนก ชื่อแผนก 10 บัญชี 20 วิศวกรรม 30 ธุรการ ตารางที่ 2.3 ตารางแผนก
28 รหัสโครงการ ชื่อโครงการ วันเริ่ม วันสิ้นสุด งบประมาณ 01 ทางด่วนชั้นที่ 3 1/1/38 31/12/41 500000000 02 สร้างเขื่อนเก็บน้ํา 1/5/39 30/4/40 20000000 03 สร้างสนามฟุตบอล 30/6/39 30/10/40 10000000 ตารางที่ 2.4 ตารางข้อมูลโครงการ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการเรียกข้อมูลจากตารางทั้ง 3 มาใช้ก็สามารถทําได้โดยการสร้างตารางใหม่ ดังแสดงการสร้างตารางรหัสพนักงานว่าอยู่แผนกไหน ทํางานโครงการอะไรและระยะเวลาในการทํา รหัสพนักงาน รหัสแผนก รหัสโครงการ ระยะเวลา(วัน) 001 20 03 30 004 10 03 60 002 20 02 180 ตารางที่ 2.5 ตารางใหม่แสดงการสร้างตารางรหัสพนักงานว่าอยู่แผนกไหน ข้อดีและข้อเสียของโครงสร้างแบบสัมพันธ์คือ สามารถสร้างตารางข้นมาใหม่โดยอาศัย หลักการทางคณิตศาสตร์และค้นหาว่าข้อมูลในฐานข้อมูลมีข้อมูลร่วมกับตารางที่สร้างขึ้นมาใหม่ หรือไม่ถ้ามีก็ให้ประมวลผลโดยการอ่านเพิ่มเติมปรับปรุงหรือยกเลิกรายการ ข้อเสีย คือ การศึกษา วิธีการเขียนโปรแกรมและใช้ฐานข้อมูลจะต้องอิงหลักทฤษฎีทางคณิตสาศตร์จึงทําให้การศึกษา เพิ่มเติมของผู้ใช้ยากแก่การเข้าใจ แต่ในปัจจุบันมีโปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลหลายโปรแกรมที่ พยายามทําให้การเรียนรู้และการใช้ง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL (Structured Query Language) เป็นต้น ระดับของฐานข้อมูล 1. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual Database Design) การ ออกแบบ ฐานข้อมูลในระดับนี้เป็นการกําหนดโครงร่าง (Schema) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย โครงสร้าง หลักๆ ของข้อมูลภายในระบบฐานข้อมูล โดยไม่คํานึงว่าฐานข้อมูลที่จะนํา มาใช้มี โครงสร้างข้อมูล แบบไหนการออกแบบในระดับแนวคิดจะสามารถ20แนวทางการพัฒนาระบบ ฐานข้อมูล อธิบายได้ว่า ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นประกอบด้วยข้อมูล (Entities) ใดบ้าง ทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ชื่อสิ่งของ และที่เป็นนามธรรม เช่น ความชํานาญ การกระทําต่างๆ เป็นต้น โดยมีการจัดเก็บ รายละเอียด ข้อมูล (Attributes)ที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของข้อมูลนั้นๆ และมี ความสัมพันธ์ (Relations) ระหว่างข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้น ผลของ การออกแบบในระดับนี้จึง
29 เป็นรูป แบบจําลองของข้อมูลที่จะประกอบด้วย โครงสร้างที่อยู่ในแนวคิดที่ยังไม่สามารถนําไปใช้งาน ได้จริง 2. การออกแบบฐานข้อมูลในเชิงตรรกะ (Logical Database Design) การออกแบบ ฐานข้อมูลในระดับนี้เป็นระดับที่ต่อเนื่องมาจาก การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด โดยอาศัย โครงสร้างที่ได้จาก ระดับแนวคิดมาตรวจสอบความถูกต้องของโครงร่างที่ออกแบบขึ้นกับ ส่วน ประมวลผลต่างๆ ที่ออกแบบไว้และปรับปรุงให้เป็นไปตามโครงสร้างข้อมูลของฐานข้อมูลที่จะนําไปใช้ งานว่าเป็นโครงสร้างแบบลําดับชั้น (Hierarchical) แบบเครือข่าย (Network) แบบเชิงสัมพันธ์ (Relational) หรือแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ 1 กําหนดให้เป็นข้อมูล (Entity) ของข้าราชการสังกัด สํานักงานปลัดกระทรวง มหาดไทยมีรายละเอียดของข้อมูล (Attributes) ประกอบด้วย รหัสประจําตัวข้าราชการ ชื่อ ข้าราชการ ที่อยู่ข้าราชการ ข้อมูลที่ 2 ข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยประกอบด้วย รหัสหน่วยงาน ชื่อหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลทั้งสอง มีความสัมพันธ์ (Relationship) ระหว่างข้อมูล ข้าราชการและข้อมูลหน่วยงาน ในลักษณะว่า ข้าราชการแต่ละคนปฏิบัติงานอยู่ในสังกัดหน่วยงานใด หรือแนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล 21 กองคลังมีจํานวนข้าราชการในสังกัดเท่าไหร่ชื่อ -สกุล ใดบ้าง และ ข้าราชการเหล่านั้นดํารงตําแหน่งใด เป็นต้น ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูลในเชิงตรรกะ นี้จะเน้นความสําคัญ ในส่วนของการจัดกลุ่มข้อมูลโดยไม่เกิดความซ้ําซ้อน ด้วยวิธีการทําให้เป็น รูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน (Normalization) เพื่อการปรับการออกแบบ ฐานข้อมูลให้เหมาะสม กล่าวคือ ดําเนินการให้ข้อมูลอยู่ในรูปที่เป็นหน่วย เล็กที่สุดที่ไม่สามารถแตกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้ อีก ตัวอย่างเช่น ข้อมูล ข้าราชการประกอบด้วย - รหัสประจําตัวข้าราชการ ไม่สามารถกําหนดเป็น หน่วย ย่อย ได้อีกแล้ว - ชื่อข้าราชการ กําหนดเป็นหน่วยย่อย คือ คํานําหน้าชื่อตัว ชื่อสกุล - ที่อยู่ ข้าราชการ กําหนดเป็นหน่วยย่อย คือ บ้านเลขที่หมู่บ้าน ถนน ตําบล อําเภอจังหวัด รหัสไปรษณีย์ เป็นต้น ข้อมูลที่ 3. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ (Physical Database Design) เป็น ขั้นตอน สุดท้ายของการออกแบบฐานข้อมูล โดยจะกําหนด ข้อมูลที่จะจัดเก็บลงฐานข้อมูลจริงมีการ กําหนดวิธีในการเข้าถึงข้อมูล (Access Method) ประเภทของข้อมูล (Data Type) โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) การจัดระเบียนแฟ้ม (File Organization) เป็นต้น ซึ่งผลจาก การออกแบบ ฐานข้อมูลใน ระดับกายภาพนี้จะสามารถนําไปใช้ในการสร้าง ฐานข้อมูลจริง ทั้งนี้ก่อนที่จะออกแบบ ฐานข้อมูลใน ระดับนี้ผู้ออกแบบ จะต้องเลือกว่าจะใช้โปรแกรมหรือซอฟแวร์ใดเพื่อช่วยจัดการข้อมูล หรือ22แนว ทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล รายการต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูล ทั้งการจัดเก็บ การเรียกใช้และการ ปรับปรุงข้อมูล ซึ่งโปรแกรมฐานข้อมูลจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ อย่างรวดเร็ว โปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว โดยแต่ละโปรแกรม จะมี ความสามารถต่างกัน บางโปรแกรม ใช้ง่าย ราคาไม่แพง แต่จะจํากัด ขอบเขตการใช้งาน เช่น Access,
30 dBase, FoxPro, Clipper, FoxBase เป็นต้น บางโปรแกรมมีความสามารถในการทํางานมากกว่า แต่ใช้งานยากกว่า และต้อง เสียค่าใช้จ่ายเป็นจํานวนมากเพื่อให้มีสิทธิ์ในการใช้งานตามกฎหมาย เช่น Oracle, SAP, DB2 เป็น ต้น อย่างไรก็ตาม โปรแกรมจัดการระบบฐานข้อมูล บางโปรแกรมได้อนุญาต ให้ใช้งานได้โดยไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่าย ในการใช้งาน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Opensource Software) เช่น Base (OpenOffice.org), MySqL เป็นต้น เมื่อมีผลิตภัณฑ์ให้ เลือกใช้งาน มากมายเช่นนี้ผู้พัฒนา ระบบจึงต้องมีการพิจารณาผลิตภัณฑ์ต่างๆดังนี้ - คุณลักษณะและ เครื่องมือของระบบจัดการ ฐานข้อมูลซึ่งผลิตภัณฑ์บางตัวจะรวมเอาเครื่องมือต่างๆ ที่ให้ความสะดวก ในการพัฒนาโปรแกรม ประยุกต์เช่น การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรม ประยุกต์พจนานุกรมข้อมูล และอื่นๆ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าลิขสิทธิ์การซ่อมบํารุง การฝึกอบรม ค่าใช้จ่าย ในการเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่กรณีที่มีฐานข้อมูลเดิมอยู่แล้ว การออกแบบฐานข้อมูลด้วย E-R Diagram เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยในการออกแบบฐานข้อมูล และวิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก นําเสนอ โดย Peter ซึ่งวิธีการนี้อยู่ในระดับ Conceptual level และมีหลักการคล้ายกับ Relational model เพียงแต่ E-R model แสดงในรูปแบบกราฟิก บางระบบจะใช้ E-R model ได้เหมาะสมกว่า แต่บาง ระบบจะใช้ Relational model ได้เหมาะสมกว่าเป็นต้น ซึ่งแล้วแต่การพิจารณาของผู้ออกแบบว่าจะ เลือกใช้แบบใด (Relational model) ได้เหมาะสมกว่าเป็นต้น ซึ่งแล้วแต่การพิจารณาของผู้ออกแบบ ว่าจะเลือกใช้แบบใด (Relational model คือตารางข้อมูลที่มีความสมพั ันธ์กัน) สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram (Symbols in E-R Diagram) สัญลักษณ์ความหมาย Entity Attribute Key Attribute Relationship set Attribute
31 Connection ตารางที่ 2.6 สัญลักษณ์แสดงแผนภาพ E-R Diagram ความหมายแบบผังงาน ผังงาน (Flowchart) คือ แผนภาพลําดับขั้นตอนการทํางาน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผน ขั้นแรกมาหลายปีโดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการเขียนผังงาน เพื่อช่วยลําดับแนวความคิดในการเขียน โปรแกรม เปนว็ ิธีที่นิยมใช้เพราะทําให้เห็นภาพในการทํางานของโปรแกรมง่ายกว่าใช้ข้อความ หากมี ข้อผิดพลาด สามารถดูจากผังงานจะทําให้การแก้ไขหรือปรับปรุงโปรแกรมทําได้ง่าย ผังงานแบ่งได 2 ้ ประเภท 1. ผังงานระบบ (System Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงขั้นตอนแสดงขั้นตอนการทํางาน ในระบบอย่างกว่าง ๆ แต่ไม่เจาะลงในระบบงานย่อย 2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทํางาน โปรแกรม ตั้งแต่รับข้อมูล คํานวณ จนถึงแสดงผลลัพธ์ การเขียนแผนภาพกระแสขอมู้ล Data Flow Diagram : DFD (Context Diagram) เป็นแบบจําลองขั้นตอนการทํางานของระบบ เพื่ออธิบายขั้นตอนการทํางานของระบบที่ได้ จากการศึกษาในขั้นตอนก่อนหน้านี้ แผนภาพจะแสดงทิศทางการไหลของข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ในการดําเนินงานของ ระบบซึ่งจะทําให้ทราบว่า 1. ข้อมูลมาจากไหน 2. ข้อมูลไปที่ไหน 3. เกิดกิจกรรมใดกับข้อมูลบ้าง ในแต่ละขั้นตอนของระบบ 4. จัดเก็บข้อมูลที่ไหนหรือส่งข้อมูลไปให้ที่ใด ชื่อสัญลักษณ DeMarco & Yourdon symbols ์ Gane & Sarson symbols การประมวลผล (Process) แหล่งเก็บข้อมลู (Data Store)
32 กระแสข้อมลู (Data Flow) สิ่งที่อยู่ภายนอก (External Entity) ตารางที่ 2.7 ตารางแสดงสัญลักษณท์ ี่ใช้ในแผนภาพกระแสข้อมูล หลักการใช้สญลั ักษณฝนแผนภาพกระแสข ์ ้อมูล สัญลักษณ์ประกอบด้วย 1. Process – กระบวนการทํางานของระบบ 2. Data Store – แหล่งจัดเก็บข้อมูล 3. Data Flow - เส้นทางการไหลของข้อมูล 4. External Entity – ตัวแทนทเกี่ี่ยวข้องกับข้อมูล Process – กระบวนการทํางานของระบบ Process คือ กระบวนการทํางานของระบบ หรือขั้นตอนการดําเนินงาน เป็นงานที่ ดําเนินการเพื่อตอบสนองข้อมูลที่รับเข้าหรอตื ่อเงื่อนไขที่เกิดขึ้น อาจดําเนินการทํางานจากบุคคล หน่วยงาน หุ่นยนต์เครองจื่ักรหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ รูปที่ 2.12 รปแสดงการทูํางานของระบบ Process สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแทน Process 1. หมายเลขของ Process 2. ชื่อของ Process กฎของ Process 1. ต้องไม่มีข้อมูลรับเข้าเพียงอย่างเดียว 2. ต้องไม่มีข้อมูลออกเพียงอย่างเดียว 3. ข้อมลรูับเขาต้ ้องเพียงพอในการสร้างข้อมูลส่งออก 4. การตั้งชื่อ Process ต้องใช้คํากริยา Input Output ขั้นตอนการทางานํ
33 Data Store – แหล่งจัดเก็บข้อมูล 1. เป็นแหล่งจัดเก็บหรือบันทึกข้อมูล 2. เทียบเท่าได้กับไฟล์หรือแฟ้มในฐานข้อมลู 3. สญลั ักษณของ์ Data Store ประกอบด้วย 3.1 ส่วนแสดงรหัสของ Data Store 3.2 ส่วนแสดงชื่อ Data Store หรือชื่อไฟล์ รูปที่ 2.13 แสดงแหล่งจัดเก็บข้อมูล Data Store กฎของ Data Store 1. ข้อมูลจาก Data Store หนึ่งจะวิ่งสู่ Data Store หนึ่งโดยตรงไม่ได้ 2. การตั้งชื่อ Data Store ต้องเป็นคํานาม Data Flow – เส้นทางการไหลของข้อมูล 1. ใช้แทนการสื่อสารระหว่างขั้นตอนการทํางานต่าง ๆ 2. แสดงถึงข้อมูลนําเข้าและส่งออก 3. สญลั ักษณของ์ Data Flow 3.1 ใช้เส้นตรงที่มีหัวลูกศรตรงปลายเพื่อบอกทิศทางการไหลของข้อมูล รูปที่ 2.14 แสดงเส้นตรงที่มีหัวลูกศรตรงปลายเพื่อบอกทิศทางการไหลข้อมูล 4. ชนิดของ data flow 4.1 Composite Data Flow ใช้แสดงการไหลของข้อมูล 4.2 Control Flow ใช้แสดงทิศทางการส่งเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นกระบวนการให้มีการ ทํางานเกิดขึ้น รูปที่ 2.15 รปแสดงทูิศทางการส่งเงื่อนไข้เพื่อกระตุ้นกระบวนการให้มีการทํางานเกิดขึ้น 4.3 Diverging Data Flow เส้นทางการไหลของข้อมูล 1 เส้นมีข้อมูลบางส่วนหรือ ทั้งหมดเดินทางไปยังปลายทางที่ต่างกัน รหัส ชื่อ Data Store
34 4.4 Converging Data Flow เส้นทางการไหลของข้อมูงจากหลายแหล่งมารวมเป็น ข้อมูลชุดเดียวกันไปยังที่เดียวกัน 4.5 Data Attribute ส่วนประกอบย่อยของชุดข้อมูลที่ปรากฏบนแหล่งข้อมูลเป็น เอกสารและรายงานต่าง ๆ กฎของ Data Flow 1. ชื่อของ Data Flow ควรเป็นชื่อของข้อมูลที่ส่งไปโดยไม่ต้องอธิบายว่าส่งอย่างไร 2. Data Flow ต้องมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ Process 3. Data Flow จะเดินทางจาก External Agent กับ External Agent ไม่ได้ 4. Data Flow จะเดินทางจาก External Agent ไป Date Store ไม่ได้ 5. Data Flow จะเดินทางจาก Data Store ไป External Agent ไม่ได้ 6. Data Flow จะเดินทางจาก Data Store กับ Data Store ไม่ได้ 7. การตั้งชื่อ Data Flow จะต้องใช้คํานาม External Entity - ตัวแทนข้อมูล External Entity หรือ External Agent หม่นถึงบุคคลหรือหน่วยงานในองค์กร องค์กรอื่น หรือระบบงานอื่นที่อยู่ภายนอกขอบเขตของระบบงานแต่มีความสัมพันธ์กับระบบ 1. มีการส่งข้อมูลเข้าระบบเพื่อดําเนินงาน 2. รับข้อมูลที่ผ่านการดําเนินงานจากระบบ 3. สัญลักษณ์ของ External Agent 3.1 ใช้รูปสี่เหลี่ยม ภายในแสดงชื่อของ External Agent รูปที่ 2.16 แสดงชื่อของ External Agent กฎของ External Agent 1. ข้อมูลจาก External Agent จะวิ่งไปยัง External Agent หนึ่งโดยตรงไม่ได้ต้องผ่าน Process ก่อน 2. การตั้งชื่อ External Agent ต้องใช้คํานาม วิธีการสร้างแผนภาพกระแสข้อมูล ชื่อ External Agent
แผน หลัง เรียกว่า Bala แผนภาพบรบิ Con มีความสัมพนั มีแน ติดต่อ จัดการ และ output การวาด Con 1. ป 2. แ 3. แ 4. มี นภาพ DFD ป 1. สร้างแผน 2. สร้างแผน 3. แบ่งย่อยแ จากสร้างแผน ancing DFD บท (Contex ntext Diagram นธ์กับภายนอก นวทางในการก 1. แบ่งแยกสิ 2. ศึกษาระบ รหรือดําเนินก t คืออะไร ส่งถึ 3. ต้องการรู 4. จําแนกแห ntext Diagr ประกอบด้วย แสดงหมายเล แสดงรายละเอี มีData Flow ระกอบด้วยแ นภาพบริบท (C นภาพระดับ 1 แผนภาพ (Ch นภาพเสร็จทั้ง xt Diagram m คือ แผนภ กระบบ แสดง กําหนดขอบเข ส่งทิ ี่อยู่ภายใน บบโดยสอบถา การอย่างไร แ ถึงใคร ปแบบรายงาน หล่งข้อมูลภาย ram Process ที่ใช ข Process เป อียดของ Exte w แสดงทิศทา รูปที่ 2.1 ผนภาพ 3 ระ Context Dia (Parent Dia hild Diagram ั้ง 3 ระดับแล้ / Level-0 D าพกระแสข้อ งถึงขอบเขตขอ ขตดังนี้ นและภายนอก ามถึงเหตุการ และระบบมีกา น การสอบถา ยนอกระบบ ขอ้ ช้แทนการทําง ป็นหมายเลข ernal Entity างการติดต่อระ 7 รปแสดงู C ะดับ คือ agram / Lev agram / Lev m / Decompo ้วต้องทําการต Diagram) มูลระดับบนสุ องระบบที่ศึก กระบบ รณ์หรือกิจกรร ารตอบสนองอ ามแบบข้อมูลใ อมูลจากไฟลห์ งานของระบบ 0 รอง ๆ Proc ะหว่างระบบกั Context Dia el-0 Diagram el-1 Diagram osition of D ตรวจสอบควา สดุแสดงภาพ ษาและพัฒนา รมการดําเนิน อย่างไร มีinp ใด หรือฐานข้อมูลท บทั้งหมดเพียง ess กับสิ่งที่อยู่ภาย gram m) m) DFD) ามสมดุลของ การทํางานขอ า นงานประจําวัน put คืออะไร ที่ระบบต้องกา ง 1 Process ยนอกระบบ 35 แผนภาพ องระบบที่ นว่ามีการ ร จากใคร ารใช้ เท่านั้น
36 รูปที่ 2.18 โปรแกรม Microsoft access 2010 Microsoft Access 2010 เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันอ่างแพร่หลายเนื่องจาก Access เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่มีความสามารถในหลาย ๆ ด้านใช้งานง่ายซึ่งผู้ใช้สามารถเริ่มทําได้ ตั้งแต่การ ออกแบบฐานข้อมูลจัดเก็บข้อมูลเขียนโปรแกรมควบคุมตลอดจนการทํารายงานแสดงผล ของข้อมูล Access เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่ใช้ง่ายโดยที่ผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องมีความเข้าใจในการเขียน โปรแกรมก็ สามารถใช้งานได้ไม่จําเป็นต้องศึกษารายละเอียดในการเขียนโปรแกรมให้ยุ่งยากและ สําหรับ นักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพนั้น Access ยังตอบสนองความต้องการในระดับที่สูงขึ้นไปอีก เช่น การ เชื่อมต่อระบบฐานข้อมูลกับฐานข้อมูลอื่นๆเช่น SQL SERVER , ORACLE หรือแม้แต่การนํา ข้อมูล ออกสู่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต Microsoft Access 2010 จะจัดระเบียบข้อมูลลงในตาราง ซึ่งเป็น รายการของแถวและคอลัมน์ที่มีลักษณะคล้ายกับกระดาษบันทึกของนักบัญชีหรือแผ่นงาน Microsoft Excel 1. ความสามารถของ Microsoft Access 1. สามารถสร้างระบบฐานข้อมูลใช้งานต่าง ๆ ได้โดยง่าย เช่น โปรแกรมบัญชีรายรับ รายจ่าย โปรแกรมควบคุมสินค้า โปรแกรมฐานข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งสามารถทําได้โดยง่ายเพราะ Access มีเครื่องมือต่างๆให้ใช้ในการสร้างโปรแกรมได้โดยง่ายและรวดเร็ว โปรแกรมที่สร้างข้ึน สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้ตามต้องการ เช่น การสอบถามยอดสินค้า การเพิ่มสินค้าการลบสินค้าการ แก้ไขข้อมูลสินค้า เป็นต้น 2. สามารถสร้างรายงานเพื่อแสดงข้อมูลที่ต้องการตามที่ผู้ใช้งานต้องการ 3. สามารถสร้างระบบฐานข้อมูลเพื่อนําไปใช้ร่วมกับฐานข้อมูลอื่นๆได้โดยง่ายเช่น SQL SERVER ORACLE ได้ 4. สามารถนําเสนอข้อมูลออกสู่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สามารถทําได้โดยง่ายและ อีกหลายอย่างในระบบฐานข้อมูลที่ผู้ใช้งานต้องการ 2. ข้อมูลและฐานข้อมูล
37 ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ทั่วไป เช่น ราคาสินค้า คะแนน ของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งปกติถือว่าเป็นข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่ยังไม่ได้ผ่านการประมวลผล ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วเรียกว่า สารสนเทศ (Information) เช่น เมื่อนําคะแนนของ นักเรียนทั้งหมดมาประมวลผลก็จะได้คะแนนสูงสุดและคะแนนต่ําสุดของนักเรียนทั้งหมด ข้อมูลที่นํามาจัดเก็บในฐานข้อมูลอาจอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวอักษรข้อความ รูปภาพ ตัวเลข หรือเสียง ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือ จุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง มีโครงการและการจัดการอย่างเป็นระบบข้อมูลที่บันทึกเก็บไว้สามารถ ปรับปรุงแก้ไข สืบค้น และนํามาใช้ในการจัดการสารสนเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ฐานข้อมูลในที่นี้หมายถึง ฐานข้อมูลที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลคือจาน แม่เหล็กหรือฮาร์ดดิสก์ตัวอย่างฐานข้อมูลที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ฐานข้อมูลบุคลากร ฐานข้อมูล นักศึกษาฐานข้อมูลสินค้า ฐานข้อมูลโรงพยาบาล ฯลฯ ปกติฐานข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ที่ส่วนกลางของหน่วยงานหรือองค์กร เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ เรียกใช้ข้อมูลร่วมกันได้โดยอาจใช้ข้อมูลได้บางส่วนหรือทั้งหมดขึ้นอยู่กับการกําหนดสิทธิในการใช้งาน ฐานข้อมูลอาจเก็บข้อมูลไว้ในแฟ้มเดียวกันหรือแยกเก็บหลายๆแฟ้ม ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยแต่ละแฟ้มเรียกว่า ตาราง (Table) 3. ระบบฐานข้อมูล (Database System) ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูลต่างๆที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูลเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและดูแลรักษาป้องกัน ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และ โปรแกรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS (Data Base Management System) มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพการ เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูลหรือการตั้งคําถามเพื่อให้ได้ ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องรับรูปเกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล 4. ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล 1. ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ (The Data Can Be Shared) เช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน สามารถเรียกใช้ข้อมูลรหัสพนักงานจากฐานข้อมูลเดียวกับโปรแกรมระบบ การขายเป็นต้น 2. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยให้มีความซ้ําซ้อนน้อยลง (Redundancy Can Be Reduced) ที่ลดความซ้ําซ้อนได้เพราะเก็บแบบรวม (Integrated)
38 3. ระบบฐานข้อมูลช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่ของข้อมูล (Inconsistency Can Be Avoided To Some Extent) 4. ระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการทําธุรกรรม (Transaction Support Can Be Provided) ธุรกรรม คือ ขั้นตอนการทํางานหลายกิจกรรมย่อยมารวมกัน 5. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยรักษาความคงสภาพหรือความถูกต้องของข้อมูลได้ (Integrity Can Be Maintained) โดยผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นผู้กําหนดข้อบังคับความคงสภาพ (DBA Implement Integrity Constraints Or Business Rules.) ตามที่ผู้บริหารข้อมูล (DA) มอบหมาย เพื่อ ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลโดยไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ ตาม 6. สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย (Security Can Be Enforced) กล่าวคือ ผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถกําหนดข้อบังคับ เรื่องความปลอดภัย (Security Constraints) 7. ความต้องการที่เกิดข้อโต้แย้งระหว่างฝ่าย สามารถประนีประนอมได้ (Conflicting Requirements Can Be Balanced.) 8. สามารถบังคับให้เกิดมาตรฐานได้ (Standards Can Be Enforced) 9. ระบบฐานข้อมูลให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence) เป็น ประโยชน์ข้อสําคัญที่สุดเพราะทําให้ข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับการแทนค่าข้อมูลเชิงกายภาพ (Physical Data Independence) 5. ข้อดีของระบบฐานข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลได้เปรียบกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล ดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล โดยข้อมูลเรื่อง เดียวกันอาจมีอยู่หลายแฟ้มข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลได้ (Inconsistency) 2. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน เมื่อผู้ใช้ ต้องการข้อมูลจากฐานข้อมูล ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างกันจะทําได้ง่าย 3. สามารถลดความซ้ําซ้อนของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแฟ้มข้อมูลอาจทําให้ ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลายๆแห่งทําให้เกิดความซ้ําซ้อน (Reclundancy)การนําข้อมูลมา รวมเก็บไว้ในฐานข้อมูลจะช่วยลดปัญหาความซ้ําซ้อนได้ 4. รักษาความถูกต้องฐานข้อมูลบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดขึ้น เช่น การป้อนข้อมูลผิดซึ่ง ระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถระบุกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ 5. สามารถกําหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้เพราะในระบบฐานข้อมูลจะมีกลุ่ม บุคคล ที่คอยบริหารฐานข้อมูลกําหนดมาตรฐานต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเดียวกัน 6. สามารถกําหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถ กําหนดการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ให้เกิดความแตกต่างกันตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ง่าย
39 7. ความเป็นอิสระของข้อมูลและโปรแกรม โปรแกรมที่ใช้ในแต่ละแฟ้มข้อมูลจะมี ความสัมพันธ์กับแฟ้มข้อมูลโดยตรง ถ้าหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างข้อมูลก็ทําการแก้ไข โปรแกรมนั้น ๆ 8. ลดความซ้ําซ้อนของงานดูแลเอกสาร ซึ่งเป็นงานประจําที่ทําให้ผู้ดูแลรู้สึกเบื่อหน่าย และ ขาดแรงจูงใจ แต่เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติงานนี้แทนมนุษย์ได้โดยผ่านโปรแกรม สําหรับการจัดการฐานข้อมูล 9. ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย เมื่อข้อมูลในระบบฐานข้อมูลได้รับการดูแลปรับปรุง อย่างต่อเนื่องทําให้ข้อมูลที่จัดเก็บเป็นข้อมูลที่มีความทันสมัย ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและตรงกับ ความต้องการอยู่เสมอ 10. ลดความซ้ําซ้อนในการจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากการจัดทําฐานข้อมูลจะมีการรวบรวม ข้อมูลประเภทต่างๆ เข้ามาจัดเก็บไว้ในระบบ และเก็บข้อมูลเพียงชุดเดียวซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะ สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ และทําให้เกิดความรวดเร็ว ในการค้นหาและจัดเก็บข้อมูลด้วย 11. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้เมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บในระบบฐานข้อมูล จะทําให้ ข้อมูลลดความซ้ําซ้อนลง คือ มีข้อมูลแต่ละประเภทเพียงหนึ่งชุดในระบบ ทําให้ข้อมูลที่เก็บได้ไม่ ขัดแย้งกันเอง ในกรณีที่จําเป็นต้องเก็บข้อมูลที่ซ้ําซ้อนกันเพื่อสาเหตุบางประการ เช่น เพื่อความ รวดเร็วในการประมวลผลข้อมูลระบบจัดการฐานข้อมูลจะเป็นผู้ดูแลข้อมูลที่ซ้ํากันให้มีความถูกต้อง ตรงกัน 12. ใช้ข้อมูลร่วมกันได้เนื่องจากระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถจัดให้ผู้ใช้แต่ละคน เข้า ใช้ข้อมูลในแฟ้มที่มีข้อมูลเดียวกันได้ในเวลาเดียวกันเช่น ฝ่ายบุคคลและฝ่ายการเงินสามารถที่จะ ใช้ข้อมูลจากแฟ้มประวัติพนักงานในระบบฐานข้อมูลได้พร้อมกัน 13. ควบคุมมาตรฐานของข้อมูลได้เมื่อข้อมูลต่างๆ ในหน่วยงานถูกรวบรวมเข้ามา ผู้บริหาร ระบบฐานข้อมูลสามารถที่จะวางมาตรฐานในการรับข้อมูล แสดงผลข้อมูล ตลอดจนการ จัดเก็บข้อมูล ได้เช่น การกําหนดรูปแบบของตัวเลขให้มีทศนิยม 2 ตําแหน่งสําหรับค่าที่เป็นตัวเงิน การกําหนด รูปแบบของการรับและแสดงผลสําหรับข้อมูลที่เป็นวันที่นอกจากนี้การที่ข้อมูลมี มาตรฐานเดียวกันทําให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบได้อย่างสะดวก 14. จัดทําระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถ กําหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานข้อมูลของผู้ใช้แต่ละราย โดยระบบการจัดการฐานข้อมูลจะทําการ ตรวจสอบสิทธิ์ในการทํางานกับข้อมูลทุกครั้ง เช่น การตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียกดูข้อมูล การลบ ข้อมูลการปรับปรุงข้อมูลและการเพิ่มข้อมูลในแต่ละแฟ้มข้อมูล 15. ควบคุมความถูกต้องของข้อมูลได้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันของข้อมูลที่มีความ ซับซ้อนเป็นปัญหาหนึ่งในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งเมื่อได้มีการกําจัดความซับซ้อนของข้อมูล ออก ปัญหาเรื่องความถูกต้องของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้
40 6. ข้อเสียของระบบฐานข้อมูล การเก็บข้อมูลรวมเป็นฐานข้อมูลมีข้อเสีย ดังนี้ 1. มีต้นทุนสูง ระบบฐานข้อมูลก่อให้เกิดต้นทุนสูง เช่น ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการจัดการ ระบบ ฐานข้อมูล บุคลากร ต้นทุนในการปฏิบัติงาน และฮาร์ดแวร์เป็นต้น 2. มีความซับซ้อน การเรมใช ิ่้ระบบฐานข้อมูล อาจก่อให้เกิดความซบซั ้อนได้เช่น การ จัดเก็บข้อมูล การออกแบบฐานข้อมูล การเขียนโปรแกรม เป็นต้น 3. การเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ในลักษณะเป็นศูนย์ รวม (Centralized Database System) ความล้มเหลวของการทํางานบางส่วนในระบบอาจทําให้ ระบบ ฐานข้อมูลทั้งระบบหยุดชะงักได้ 4. เสียค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากราคาของโปรแกรมที่ใช้ในระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมี ราคาค่อนข้างแพงรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ ต้องมีความเร็วสูงมีขนาด หน่วยความจําและหน่วยเก็บข้อมูลสํารองที่มีความจุมากทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดทําระบบ การจัดการฐานข้อมูล 5. เกิดการสูญเสียข้อมูลได้เนื่องจากข้อมูลต่างๆภายในฐานข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ในที่ เดียวกัน ดังนั้นถ้าที่เก็บข้อมูลเกิดมีปัญหาอาจทําให้ต้องสูญเสียข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูลได้ดังนั้น การจัดทําฐานข้อมูลที่ดีจึงต้องมีการสํารองข้อมูลไว้เสมอ 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง นายจอมพล ประทีปรัมย์นายศุภกิจ จงดิษฐ์และนายกิตติภูมิแสงพรม (2564)โดยคณะ ผู้จัดทําได้จัดทําโครงการระบบการจัดการฐานข้อมูลร้านเจ๊เล็กข้าวต้มป้อมปีกโดยมีการสร้างระบบ เพื่อนําเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการจัดทําระบบฐานข้อมูล นางสาวฉัตรชนก ปานเนาว์นางสาวอรอุษา พรมรัตน์และนางสาวสธิมา ถมวารี (2564) โดยคณะผู้จัดทําได้จัดทําโครงการระบบฐานข้อมูลการยืม-คืนอุปกรณ์กีฬา โดยมีการสร้างระบบ ฐานข้อมูลเพื่อนําเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการหาข้อมูลเกี่ยวกับการยืม-คืนอุปกรณ์กีฬา นายจิรสิน จันทร์เหมือน และนายพขร เกียรติอภิเดช (2564) โดยคณะผู้จัดทําได้จัดทํา โครงการระบบฐานข้อมูลร้านกาแฟ โดยมีการสร้างระบบเพื่อนําเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการจัดทํา ระบบฐานข้อมูลการจัดทําโครงการนี้เกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลร้านกาแฟ เหมาะสําหรับผู้ที่มีความ สนใจเกี่ยวกับระบบสต็อกสินค้า ส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในระบบ ทั้งนี้คณะผู้จัดทําจึงจัดทําระบบ ฐานข้อมูลนี้เพื่อสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด