The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือนี้ประกอบด้วยความรู้ของสารสนเทศที่เกี่ยวกับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง จึงหมายถึงข้อมูล เรื่องราวข่าวสาร ความรู้ข้อเท็จจริงของชุมชนนั้น ๆ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญหรือประชาชนชาวบ้าน สถานที่สำคัญ ชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิปัญญาตลอดจนเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่มีเนื้อหา 9 ด้าน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุชานัน ท์., 2023-12-11 00:57:51

ท้องถิ่นของเรา อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

หนังสือนี้ประกอบด้วยความรู้ของสารสนเทศที่เกี่ยวกับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง จึงหมายถึงข้อมูล เรื่องราวข่าวสาร ความรู้ข้อเท็จจริงของชุมชนนั้น ๆ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญหรือประชาชนชาวบ้าน สถานที่สำคัญ ชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิปัญญาตลอดจนเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่มีเนื้อหา 9 ด้าน

Keywords: ท้องถิ่น,อีสาน,ศรีเชียงใหม,่,หนองคาย

อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เสนอ อาจารย์ ฤทัย นิ่มน้อย จัดทำโดย นางสาวสุชานันท์ คงสม 64011210004 IS รายวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 1202456 - การจัดการสารสนเทศท้องถิ่น คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566


ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 1202456 การจัดการสารสนเทศท้องถิ่น นิสิตชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้ความรู้ที่ได้จากสารสนเทศท้องถิ่นของสาระของท้องถิ่นและ สารสนเทศท้องถิ่น หนังสือนี้ประกอบด้วยความรู้ของสารสนเทศที่เกี่ยวกับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง จึงหมายถึงข้อมูล เรื่องราวข่าวสาร ความรู้ข้อเท็จจริงของชุมชนนั้น ๆ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญหรือประชาชนชาวบ้าน สถานที่สำคัญ ชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิปัญญาตลอดจนเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่มีเนื้อหา 9 ด้าน ผู้เขียนเลือกหัวข้อนี้ที่มีความสนใจส่วนบุคคลและขอบคุณ ผู้ให้บริการความรู้และแนวทางการศึกษา ผู้จัดทำหวังว่าหนังสือฉบับนี้จะสามารถให้ความรู้ได้ และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อย หากมีขอ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ สุชานันท์ คงสม ผู้จัดทำ


สารบัญ คำนำ ก สารบัญ ข อำเภอศรีเชียงใหม่- ประวัติความเป็นมา- ภูมิประเทศและภูมิอากาศ- ลักษณะภูมิอากาศ- ที่ตั้งและอาณาเขต ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ด้านการแพทย์แผนไทย ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้านศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี ด้านโภชนาการ 11555679


1 อำเภอศรีเชียงใหม่ https://www.oceansmile.com/map/e/329.gif ศรีเชียงใหม่ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดหนองคาย เนื้อที่ 197.961 ห่างจากตัวจังหวัด 57 กม. https://encryptedtbn0.gstatic.com/


2 ประวัติความเป็นมา อำเภอศรีเชียงใหม่หรือเดิมคือเมืองศรีเชียงใหม่นั้น เป็นเมืองที่อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามหอพระ แก้วกรุงเวียงจันทน์ เมืองนี้เป็นเมืองที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงเวียงจันทน์พระราชทานให้กับไพร่พลชาว เชียงใหม่ที่ตามเสด็จพระมารดาของพระองค์ลงมาจากเมืองเชียงใหม่ เพราะว่าเมืองเชียงใหม่เคยได้อัญเชิญพระองค์ ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระนางจิรประภามหาเทวี เมื่อคราวพระราชบิดาของพระองค์สวรรคตลง พระองค์จึงกลับมาครองเมืองหลวงพระบาง หลังจากนั้นไม่ นาน พระองค์ทนการรุกรานจากพม่าไม่ไหวจึงย้ายเมืองหลวงจากเมืองหลวงพระบาง ลงมายังกรุงเวียงจันทน์ ใน ครานั้นเองพระองค์ได้พา เจ้ายาย เจ้าแม่ และไพร่พลชาวเชียงใหม่มาด้วยเป็นผู้ชายจำนวน 500 คน ผู้หญิงจำนวน 500 คน หลังจากที่ถึงเมืองเวียงจันทน์ พระองค์พระราชทานที่ดินฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ให้ตั้งเมือง โดยพระราชทาน นามว่า "เมืองศรีเชียงใหม่" เพื่อเป็นศรีแก่ชาวเชียงใหม่ที่เป็นผู้ช่วยกันสร้าง โดยชาวศรีเชียงใหม่ไม่ต้องไปทำงานที่ เวียงจันทน์ แต่ทรงมอบให้เป็นข้าพระแก้วมรกต โดยมีหน้าที่แค่ดูแลหอพระแก้วเท่านั้น เรื่อยมา เมื่อคราวฝรั่งเศสยึดดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไป เมืองศรีเชียงใหม่จึงมาขึ้นอยู่กับเมืองเวียงคำ เมือง หนองคาย และเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ในปัจจุบัน พิกัด: 17°57′23″N 102°35′22″E ภูมิประเทศและภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศของจังหวัดหนองคายมีลักษณะทอดยาวตามลำน้ำโขง จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัด ชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีอาณาเขตติดกับกรุงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดน จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีเอกลักษณ์พิเศษโดยมีพื้นที่ทอด ขนานยาวไปตามลำน้ำโขง ความกว้างของพื้นที่ทอดขนานไปตามลำน้ำโขงโดยเฉลี่ยประมาณ 20 – 25 กิโลเมตร พื้นที่ค่อนข้างราบเนื่องจากแม่น้ำโขงไหลผ่านอำเภอต่างๆ เกือบทุกอำเภอ จึงก่อให้เกิดประโยชน์ในการ เกษตรกรรม ราษฎรได้อาศัยแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราษฎรที่อาศัย อยู่ริมแม่น้ำโขง จะได้รับประโยชน์มากกว่าราษฎรที่อยู่ลึกเข้าไปจากแม่น้ำโขง นอกจากนี้สำนักงานพลังงาน แห่งชาติได้จัดตั้งสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า


2 3 ลักษณะภูมิอากาศ ฤดูกาล ฤดูกาลของจังหวัดหนองคาย จัดอยู่ในจ้าพวกฝนแถบร้อนและแห้งแล้ง แบ่งออกได้เป็น 3 ฤดู ดังนี้ - ฤดูหนาว เริ่มต้นกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ อากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นและแห้ง โดยมี อากาศหนาวจัดในบางวันและเดือนที่มีอากาศหนาวมากที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม - ฤดูร้อน เริ่มต้นกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีอากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไปโดยเฉพาะ เดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวที่สุดของปี - ฤดูฝน เริ่มต้นกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม อากาศเริ่ม ชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตั้งแต่ กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกหนาแน่นมากที่สุดในรอบป พื้นที่ • ทั้งหมด198.0 ตร.กม. (76.4 ตร.ไมล์) ประชากร (2565) ชาย 14,647 หญิง 15,108 รวม 29,755 ครัวเรือน 10,463 150.71 คน/ตร.กม. (390.3 คน/ตร.ไมล์) รหัสไปรษณีย์ 43130 รหัสภูมิศาสตร์ 4307 ที่ตั้งที่ว่าการ ที่ว่าการอำเภอศรีเชียงใหม่ หมู่ที่ 1 ตำบลพานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย 43130 ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอศรีเชียงใหม่มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอข้างเคียง ดังนี้ - ทิศเหนือ ติดต่อกับนครหลวงเวียงจันทน์ (ประเทศลาว) - ทิศตะวันออก ติดต่อกับนครหลวงเวียงจันทน์ (ประเทศลาว) - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอท่าบ่อและอำเภอโพธิ์ตาก - ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอสังคม


4 การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอศรีเชียงใหม่แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 4 ตำบล 43 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. พานพร้าว (Phan Phrao) 15 หมู่บ้าน 2. บ้านหม้อ (Ban Mo) 8 หมู่บ้าน 3. พระพุทธบาท (Phra Phutthabat) 10 หมู่บ้าน 4. หนองปลาปาก (Nong Pla Pak) 10 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอศรีเชียงใหม่ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลศรีเชียงใหม่ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลพานพร้าว • เทศบาลตำบลหนองปลาปาก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองปลาปากทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลพานพร้าว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพานพร้าว (นอกเขตเทศบาล ตำบลศรีเชียงใหม่) • องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหม้อ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านหม้อทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพระพุทธบาททั้งตำบล


5 1. ด้านเกษตรกรรม o การทำการเกษตร พืชหมุนเวียน แนวทางเกษตรเพื่อปรับปรุงดิน-เพิ่มรายได้ มีผลผลิตทั้งปีการปลูกพืชหมุนเวียน หมายถึงการปลูกพืชหลากหลายชนิดหมุนเวียนกันในพื้นที่เดิม โดยมีการจัดลำดับพืชอย่างเป็นระบบ และ เลือกพืชที่ลักษณะเหมาะสมกับสภาพพื้น ในการปลูกพืชหมุนเวียนนั้น ต้องมีการสลับปลูกระหว่างพืช 3 ชนิด ดังนี้ พืชช่วยสร้างดิน คือ พืชที่เพิ่มธาตุอาหารและป้องกันการพังทลายของดิน โดยพืชชนิดนี้จะมี ลักษณะคลุมดินหนาแน่น ได้แก่ พืชตระกูลถั่ว ที่ช่วยเพิ่มไนโตรเจน ซึ่งเป็นพืชที่มีรากฝอยหยั่งลึกในดิน ต้องการการไถพรวนน้อย ระยะเติบโตสูงสุดในช่วงฝนมาก พืชอนุรักษ์ดิน คือ พืชที่รักษาปริมาณอินทรีย์วัตถุและป้องกันการพังทลายของดินเช่นกัน เพราะ ไม่ถูกรบกวนบ่อยเนื่องจากต้องการการไถพรวนน้อย ได้แก่ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวไร่ ข้าวฟ่าง และ พืชอาหารสัตว์ต่างๆ พืชทำลายดิน คือ พืชที่ดึงธาตุอาหารจากดินไปใช้ในปริมาณมากและรวดเร็ว ปกคลุมดินน้อย ต้องการการพรวนดินบ่อยครั้งจึงทำให้ผิวดินถูกทำลาย มีระยะระหว่างแถวมากจึงไม่ยึดผิวดิน และมักจะ ปลูกในช่วงฝนตกชุก ได้แก่ข้าวโพด อ้อย ยาสูบ มันสำปะหลัง มันฝรั่ง และพืชผักต่างๆ


6 o การทำการประมง ด้วยสภาพภูมิประเทศของจังหวัดหนองคายมีลักษณะทอดยาวตามลำน้ำ มีการเพาะเลี้ยงปลานิล กระชัง ตลิ่งที่สูงชันทั้งสองฟากฝั่งไหล เลี้ยวเลาะไปตามไหล่เขา จากทางเหนือสู่ทางใต้ ความเร็ว ของกระแสน้ำเกิดขึ้นตลอดเวลาตามฤดูกาล สายน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลาเกิดออกซิเจนที่ ละลายอยู่ในน้ำ (DO) 7-8 ตลอดทั้งปี แน่นอนว่า DO มีผลต่อการกิน การเจริญเติบโต และอีก มุม คือ น้ำยิ่งไหลแรงปลาที่แหวกว่ายอยู่ต้องใช้พลังงานสูง จึงไม่ต่างจากนักกีฬาที่สร้างกล้ามเนื้อ เป็นที่มาของปลาแม่น้ำโขง รสชาติอร่อย เนื้อแน่น 2. ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม


7 บริษัท ศรีเชียงใหม่ อุตสาหกรรม จำกัด ประกอบธุรกิจ ผลิตน้ำมะเขือเทศ และ อาหารกระป๋อง หมวดธุรกิจ : การผลิตน้ำผลไม้และน้ำผัก ดำเนินธุรกิจแปรรูปมะเขือเทศเป็นน้ำมะเขือเทศเข้มข้นและเป็นโรงงานแปรรูปมะเขือเทศแห่งแรกใน ประเทศไทย หลังจากที่เริ่มดำเนินธุรกิจโรงงานแปรรูปมะเขือเทศ ในปี 2521 เราได้ศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาใน ด้านต่างๆ รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตโดยการลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัยมาจากต่างประเทศ เพื่อ รองรับความต้องการของซอสมะเขือเทศเข้มข้นในตลาด จากนั้นจนถึงปัจจุบัน ระหว่างการดำเนินกิจการของบริษัท ฯ เราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มเกษตรในพื้นที่ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหลักที่ให้เราประสบความสำเร็จจนถึง ปัจจุบันนี้ บริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร ในการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชด้วยระบบ”ตลาดข้อตกลง” ซึ่งมีสมาชิกเกษตรกรกว่า 4,000 ครอบครัว เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูง มีวัตถุดิบที่เพียงพอและต้นทุนที่คงที่ บริษัท ฯ ได้รับการ รับรองระบบมาตรฐานการผลิตและการประกันคุณภาพตามมาตรฐานสากล HACCP, GMP , HALAL ปัจจุบัน บริษัทเป็นผู้นำในการผลิตสินค้า มะเขือเทศ , ผัก และ ผลไม้ เแปรรูปทางการเกษตร เพื่อรองรับตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งได้แก่ออสเตเรีย ,สหรัฐอเมริกา,ญี่ปุ่น, ฮ่องกง,สิงค์โปร์ เกาหลี , ไต้หวัน ฯลฯ นอกจากนี้เรายัง มีผลิตภัณฑ์ ภายใต้ตราสินค้าของเราเอง ซึ่งมีชื่อว่า บัคเลน มีความหมายว่ามะเขือเทศในภาษาอีสาน ปัจจุบัน บริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด บริหารโดย นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล


8 3. ด้านการแพทย์แผนไทย • การอยู่ไฟ Image Credit : thaihealth.or.th การอยู่ไฟ เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาด้านการรักษาโรคของไทย ซึ่งมีที่มาจากการรักษาอาการปวด เมื่อยหลังคลอดให้กับหญิงไทยในสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังช่วยขับน้ำคาวปลา ของเสียต่างๆ หลังคลอด อีกด้วย แต่การอยู่ไฟไม่ใช่คุณแม่ลูกอ่อนก็ทำได้นะคะ โดยเฉพาะการอยู่ไฟแบบการเข้ากระโจมและอบ สมุนไพรจะช่วยขับของเสียออกจากผิวหนังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสุขภาพดีค่ะ โดยวิธีทำการกระโจม สมุนไพรมีรายละเอียดต่อไปนี้ วิธีทำอบสมุนไพร 1. หาสุ่มและผ้ามาปิดไว้ให้มิดชิด โดยเว้นช่วงหัวให้สามารถออกมาหายใจได้ หรือจะใช้ตู้อบไอน้ำสำเร็จรูปก็ ได้เช่นกันค่ะ 2. นำหม้อน้ำร้อน ที่ผสมด้วยสมุนไพรต่างๆ อาทิเช่น มะกรูด, ตะไคร้, ไพร, ขมิ้นชัน, การบูร, พิมเสน, ผักบุ้ง แดง, หัวหอมแดง, ใบมะขาม, ใบส้มป่อย, ใบส้มเสี้ยว, เปลือกส้มโอ และสมุนไพรอื่น ๆ 3. นั่งอยู่ในกระโจม โดยไม่ควรเกิน 15 นาที ให้เหงื่อไหลออกมา หลังจากนั้นสามารถนำน้ำอุ่นที่เหลือมาอาบ ได้เพื่อล้างคราบเหงื่อก็เป็นอันเสร็จค่ะ ปรับสมดุลในร่างกาย ด้วยอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น


9 • นวดแผนไทย การนวดแผนไทย (Thai Massage) หรือเรียกอีกอย่างว่าการนวดแผนโบราณ เป็นหนึ่งในรูปแบบการนวด บำบัด (Therapeutic Touch) โดยให้ผู้รับบริการนอนราบบนเสื่อหรือฝูกนอนที่พื้น แล้วให้ผู้นวด บีบ คลึง และกด ตามลำตัว เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายในและเพิ่มความยืนหยุ่นของกล้ามเนื้อ ผู้ให้บริการนวดแผนไทยจะใช้มือ นิ้วหัวแม่มือ ศอก ท่อนแขน หรือแม้แต่ฝ่าเท้าประกอบในการนวด กล้ามเนื้อ รวมถึงมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าการนวดประเภทอื่นๆ ที่ให้ผู้รับบริการนอนราบไปเฉยๆ แม้จะมีชื่อว่าการนวดแผนไทย แต่ลักษณะความเชื่อนั้นคล้ายคลึงกับศาสตร์การแพทย์แผนจีน คือเชื่อว่าใน ร่างกายมีพลังงานไหลเวียนผ่านส่วนต่างๆ การนวดคลึงและยืดเหยียดร่างกายอาจช่วยให้พลังงาน และเลือด ไหลเวียนดีขึ้นนั่นเอง


10 4. ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความสะอาด ตามถนน ซอย ที่สาธารณะ และบริหารจัดเก็บก่อสร้างโรงงาน กำจัดขยะมูลฝอยใน ตำบลหนองปลาปาก อำเภอศรีเชียงใหม่ - ป่าชุมชน https://www.thaicfnet.org/cf/68


11 รีคอฟได้ให้ความหมายของป่าชุมชนไว้ว่า ป่าชุมชนคือคำที่มีความหมายกว้าง เพื่อใช้อธิบาย รูปแบบการจัดการป่าไม้ที่ให้ชุมชนเป็นผู้ที่มีสิทธิในการตัดสินใจเป็นหลัก ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับการ จัดการป่าอย่างมีส่วนร่วม การจัดการป่าแบบร่วมกัน ป่าไม้สังคม หรือการจัดการป่าโดยชุมชนเป็นฐาน มี เป้าหมายคือการลดความยากจน ป่าชุมชนนั้นคือการมีส่วนร่วมและควรจะสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ สมาชิกของชุมชนอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เมื่อเรากล่าวถึงชุมชนท้องถิ่นนั้น หมายรวมถึงคนพื้นเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคล และชุมชนที่ มีความสัมพันธ์ในเชิงของพื้นที่ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ร่วมกันกับป่าในพื้นที่ท้องถิ่นนั้น เกษตรกรรายย่อย หรือป่าของครอบครัว การจัดการป่าโดยชุมชนหรือหมู่บ้าน และการร่วมจัดการป่าใน พื้นที่อนุรักษ์นั้นนับได้ว่าเป็นรูปแบบการจัดการป่าชุมชนได้ทั้งหมด เป้าหมายของการจัดการป่าชุมชนคือ เพื่อการรักษาป่าให้สมบูรณ์ควบคู่ไปกับการตอบสนองความต้องการ ในการดำรงชีพของคนในท้องถิ่น เป้าหมายของป่าชุมชนนั้นมีได้หลายประการ เช่น การอนุรักษ์ การใช้ ประโยชน์ระดับครัวเรือน หรือการผลิตในระดับพาณิชย์ โดยป่าชุมชนอาจจะมีการรวมวัตถุประสงค์เหล่านี้ เข้าด้วยกันเพราะความต้องการของชุมชนนั้นมักจะมีความหลากหลาย ความต้องการเหล่านี้มีทั้งทางด้าน สิ่งแวดล้อม (เช่น เพื่อการผลิตน้ำที่สะอาด) ไปสู่ด้านการสร้างเศรษฐกิจ หรือการยังชีพ (เช่น การใช้ ผลิตภัณฑ์จากป่าอย่างไม้หรืออาหาร) รวมถึงในด้านจิตวิญญาณ และวัฒนธรรม (รีคอฟ)


12 5. ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน - จัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจแต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ - กองทุนหมู่บ้านแต่ละชุมชนในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ - กลุ่มสหกรณ์ 6. ด้านศิลปกรรม


13 เจดีย์ศรีสองนาง ความสำคัญ/ลักษณะ มีลักษณะเป็น เจดีย์มีฐานทรงแปดเหลี่ยม รูประฆังยอดแหลม ฐานกว้างด้านละ 6 เมตร สูง 18 ม.ปัจจุบัน บูรณะใหม่เรียกว่า เจดียศ์รีสองนาง ที่บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถที่สร้างใหม่มีใบเสมาหินทราย 2 ใบ สลัz ลวดลายเป็นสันสถูป ซึ่งเป็นงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี ตามประวัติกล่าวว่า ในรัชสมัยพระเจ้าไชเชษฐาธิ ราช เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้จัดส่งธิดา 2 คน พร้อมด้วยช้างเผือกมาถวาย ระหว่างรอข้ามแม่น้ำโขง ช้างเผือกล้มป่วยตาย ลูกสาวเจ้าเมืองก็ตรอมใจตายตาม จึงได้มีพิธีเผาศพและ สร้างเจดีย์บรรจุอัฐธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ทั้ง 2 คน และได้ชื่อว่าเจดีย์ศรีสองนาง วัดธาตุดำ และพระธาตุขาว ความสำคัญ/ลักษณะ เจดีย์พระธาตุดำ และ เจดีย์พระธาตุขาว อยู่ใกล้กัน มีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 211 กั้นกลาง เดิมเรียกว่า พระธาตุคำ (ทองคำ) ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น พระธาตุดำ ส่วนพระธาตุขาวก็คือ พระธาตุเงิน โดยเจดีย์พระธาตุดำ (คำ) เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ฐานล่างเป็นรูปแปดเหลี่ยมซ้อนกัน 7 ชั้น องค์ระฆังเป็น รูปแปดเหรี่ยมสองชั้นไปสู่ยอดด้านบน ถือเป็นโบราณสถานของเมืองพานพร้าว (ศรีเชียงใหม่) บริเวณที่ตั้ง โบราณสถาน เดิมเชื่อว่าเป็น ฮูพญานาค (รูพญานาค) ซึ้งถูกปิดไว้จนพญานาคพ่นพิษให้เจดีย์ดำหมด มี การขุดแต่งปี พ.ศ. 2539 พบว่ามีแนวกำแพงอิฐอยู่ใกล้องค์เจดีย์ แสดงว่ามีโบราณสถานอยู่ก่อนแล้ว และ มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ภายหลัง ในส่วนของเจดีย์พระธาตุขาว เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนมีฐานล่างสุดเป็นรูปสี่ เหรี่ยมผืนผ้า โดยมีลานประทักษิณเบื้องบน ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีแท่นอิฐก่อเป็นบันไดทาง


14 ขึ้นอยู่ องค์ระฆังเป็นแบบบัวเหลี่ยมตามรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ส่วนบนพังทลายหมดเชื่อว่าเป็น ฮู พญานาค เดิม ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพญานาค 14 ตน 14 แห่ง ปรากฏในตำนานพระอุรังคธาตุ ลานเบิ่งเวียง แลนด์มาร์คสำคัญที่สุดของศรีเชียงใหม่ คือลานเบิ่งเวียงคำว่าเบิ่ง เป็นภาษาอีสาน แปลว่า มอง ชม หรือ ดูเวียง คือ เวียงจันทน์ จึงแปลว่าลานที่ชมความงามของเมืองเวียงจันทน์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำ โขงฝั่ง ศรีเชียงใหม่ https://f.ptcdn.info/835/079/000/rq3psf242ayhQ6TfpDgCC-o.jpg โดยมี พญาศรีสุวรรณหงส์สัตตนาคราช ปฏิมากรรมพญานาคตั้งอยู่ที่กลางลานโดยมีตำนานเล่าว่า พญานาค องค์ดังกล่าว เป็นผู้ที่สร้างเมืองเวียงจันทน์(ขอบเขตเมืองเวียงจันทน์ ในสมัยอยุธยา รวมมาถึงเขต อ.ศรี เชียงใหม่ จ.หนองคาย) ลานดังกล่าวเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของชาวศรีเชียงใหม่ทุกวันอังคาร จะมีการจัด กิจกรรมนุ่งซิ่นใส่บาตรทุกวันเสาร์ ช่วงเย็นค่ำ จะมีการจัดกิจกรรมถนนคนเดิน ริมฝั่งโขงโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ออกพรรษา ชาวเมืองศรีเชียงใหม่จะร่ายรำเพื่อสักการะองค์พญานาคและแม่น้ำโขงด้วยนางรำกว่า 1000 คน


15 วัดหินหมากเป้ง (วัดหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี) เป็นหนึ่งใน วัดดัง ของ หนองคาย ตั้งอยู่ที่ บ้านไทยเจริญ ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ วัดสำคัญของ พระป่า สายหลวงปู่มั่น เคยเป็นที่จำพรรษาของหลวงปู่เทสก์พระอาจารย์ องค์สำคัญ ศิษย์องค์สำคัญ สายตรงของ หลวงปู่มั่น https://f.ptcdn.info/835/079/000/rq3psf242ayhQ6TfpDgCC-o.jpg ซึ่งคำว่า หินหมากเป้ง นั้นจะเป็นชื่อของหินสามก้อน ที่ตั้งเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัด ลักษณะ จะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำในสมัยก่อน ชาวบ้านในพื้นที่ก็จะเรียกว่า เต็ง หรือ เป้งย้อย ซึ่งคำว่า หมากเป้ง เป็น ภาษาอีสาน หมายถึง ผลไม้ และ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น พระอริย สงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ได้เป็นคนที่จัดตั้งให้ที่ วัดหินหมากเป้ง แห่งนี้ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ ภิกษุ สงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลาย


16 kwanchai / Shutterstock.com ไฮไลท์สวยๆ ของวัดนี้ก็มีตั้งแต่ มณฑปอนุสรณ์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระราชนิโรธรังสีฯ เมรุหลวง ปู่เทสก์ เทสรังสี พิพิธภัณฑ์ และ ศาลาหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งในสถานที่แต่ละแห่งนั้น ก็จะมีการจัดแสดง วัตถุและเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์เอาไว้ ทั้ง อัฐิ รูปปั้น เครื่องอัฐบริขาร ของใช้ และชีวประวัติของหลวงปู่ เทสก์ วัดอรัญญบรรพต (วัดหลวงปู่เหรียญ) อำเภอที่เป็นสถานที่แห่งพระป่า สายกรรมฐานหลวงปู่มั่น มากที่สุดในหนองคายคือ อ.ศรีเชียงใหม่ มีพระ อริยสงฆ์ องค์สำคัญหลายองค์องค์ที่สำคัญ ได้แก่ หลวงปู่เหรียญ แห่งวัดอรัญบรรพต วัดที่ตั้งบนเนินเขาเตี้ย ๆ ใกล้ แม่น้ำโขง เป็นสถานที่เคยปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เหรียญลูกศิษย์เอกของหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี วัดหินหมากเป้งโดย เป็นที่ตั้งของพระสุธรรมเจดีย์ ที่เก็บเรื่องราว อัตฐบริขารของหลวงปู่เหรียญเอาไว้ และศาลาที่สร้างทับสถานที่ พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เหรียญวัดอรัญบรรพต ตั้งอยู่ริมถนนทางไป อ.สังคม ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 20 กิโลเมตร


17 7. ด้านภาษาและวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ เวียงจันฝั่งไทย เชียงใหม่ภาคอีสาน ซ้าย) เวียงจัน เมืองหลวงของสปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย (ขวา) พญามิลินทรนาคมาออก ที่ธาตุดำ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ทรวดทรงเริ่มสอบเป็น 6 เหลี่ยม ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2547 ผู้เขียน สิทธิพร ณ นครพนม, หนองคาย นครเวียงจัน เป็นเมืองหลวงของ สปป.ลาว นครเชียงใหม่เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นล้านนา ปัจจุบันเป็นเมืองหลักและจังหวัดสำคัญภาคเหนือของไทย แต่ทั้งสองล้านสองเวียงคือล้านช้าง-ล้านนา กับ เวียงจัน-เวียงพิงค์ มาปรากฏอยู่ภาคอีสานไทย คืออำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เวียงจันฝั่งไทย แต่จากการศึกษาร่องรอยหลักฐานโบราณคดีการตั้งถิ่นฐานรอบห้วยโมง 167 กิโลเมตรจาก เทือกเขาภูพาน จังหวัดหนองบัวลำภู และท้องที่อำเภอศรีเชียงใหม่, ท่าบ่อ, กิ่งอำเภอโพธิ์ตาก จังหวัด หนองคาย พบเครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผาลายเล็บขูด เชือกทาบ ลายสีบ้านเชียง โลหะสำริดและเหล็ก


18 ทั้งโครงกระดูกมนุษย์โบราณหลายโครง ตำบลโคกคอน อำเภอท่าบ่อ จึงน่าเชื่อว่ากำเนิดเวียงจันน่าจะเป็น ฝั่งขวาแม่น้ำโขงก่อนมากกว่า โดยเฉพาะแนวคันดินเดิมยุคทวารวดีตั้งแต่โรงเรียนบ้านศรีเชียงใหม่ โรงเรียนศรีเชียงใหม่อ้อมบึง กำแพงมาถึงธาตุดำหน้า นปข.เขตหนองคาย อำเภอศรีเชียงใหม่ ประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งทำเป็นถนน คสล.แล้ว แต่ฐานยังเห็นศิลาแลงและอิฐแผ่นใหญ่กองทับกันอยู่ กำแพงเมืองด้านนี้ถูกรื้อไป พ.ศ. 2369 เพื่อสร้างพระเจดีย์ปราบเวียงจัน ใน นปข. ซึ่งเคยประดิษฐานพระแก้วมรกต พ.ศ. 2094 และ พ.ศ. 2321 เมื่อรัชกาลที่ 1 อัญเชิญกลับมา เมืองทับเมืองซ้อน ผมเคยขอความรู้จากคนเฒ่าคนแก่ศรีเชียงใหม่หลายเรื่อง เรื่องที่ประหลาดใจสุดคือ ผู้รู้ท้องถิ่นให้ เอาแผนที่ขนาดใหญ่ของเขตสุขาภิบาลศรีเชียงใหม่ (เทศบาลตำบลปัจจุบัน) พับตรงแม่น้ำโขงดอนจันทาบ กับกำแพงนครเวียงจัน แนวกำแพงเมืองชั้นในเมืองจันทบุรีศรีสัตนาค จะเข้ากันพอดีทั้งสถานที่สำคัญ เช่น ธาตุดำ ธาตุขาว (เจดีย์) วัดสำคัญต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะตีความอย่างอื่นไม่ได้นอกจากผังเมืองซ้าย-ขวานี้เป็น แบบเดียวกัน แต่เมื่อพบหลักฐานโบราณคดีฝั่งขวามากกว่า จึงเชื่อว่าสร้างก่อนตั้งแต่ยุคทวารวดีพุทธ ศตวรรษที่ 12-16 ตามแนวทางที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ค้นคว้าไว้ตามเอกสารจีนที่เรียกเวินถาน, เวิน ตาน คือเวียงจันนี้เอง ตามตำนานและมุขปาฐะเดิมเชื่อว่าพระฤาษี 3 องค์ ลงมาจากภูเขาควาย ใช้ไม้จันทน์ปักเป็นต้าย (กำแพง) คร่อมดอนจันแม่น้ำโขงบ้าง พญาสุวรรณนาคเนรมิตเมืองให้บุรีจันอ้วยล้วยครองบ้าง


19 หากตรวจสอบเอกสารโบราณ เช่น สมัยพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช พ.ศ. 1896-1915 ทรงรวมอาณาจักรล้าน ช้างและตีเวียงจันได้ พ.ศ. 1899 แสดงว่าเป็นเมืองมาก่อนแล้ว ทั้งน่าเชื่อว่าเป็นเมืองหลวงคู่กันมากับเมือง เชียงทอง (หลวงพระบาง) เพราะเมื่อพระธาตุบังพวน หนองคาย ล้ม พ.ศ. 2513 มีพระพุทธรูป 6 องค์ ซึ่ง มีจารึกระบุศักราช 4 องค์ ตรงกับ พ.ศ. 2118, 2150, 2158 และ 2167 บรรจุอยู่ในพระธาตุ ก่อนสมัย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ทั้งสิ้น ซากโบราณสถานเมืองพานพร้าว ใน นปข. เชื่อว่าเป็นวังหน้าเก่าสำคัญสุดคือศิลาจารึกหลักที่ 88 วัดแดน เมือง อำเภอโพนพิสัย พ.ศ.2078 ระบุว่า “จันทบุรีราชธานี” ซึ่งคงรวมกันทั้งแนวกำแพงเมืองที่คร่อม แม่น้ำโขง แต่ในระยะต่อมากำแพงเมืองชั้นนอกได้ขยายออกเป็น 4 เหลี่ยมด้านขนานฝั่งซ้ายจนมหึมา ทำ ให้เวียงจันฝั่งขวาค่อยๆ เลือนหายไป ชาวบ้านเล่าสืบทอดกันมาว่าบริเวณ นปข.ปัจจุบันคือวังหน้าของ สมเด็จพระมหาอุปราชเวียงจันเดิม ธาตุดำศรีเชียงใหม่ ชาวบ้านเดิมเชื่อว่าพญามิลินทรนาคมีฮูพญานาคที่ภูพระบาทมาออกแม่น้ำโขงจุดนี้ ต่อมาเซีย งเมี่ยง (ศรีธนญชัย) ได้สร้างเจดีย์ปิดรูพญานาคนี้เลยพ่นพิษจนเป็นสีดำ เรียกธาตุดำสืบมา อีกมุขปาฐะหนึ่งว่าเจ้าพระยาจักรี(รัชกาลที่ 1) ได้ส่งสายลับไปทำลายกลองหมากแข้งวิเศษ เมื่อตีแล้ว พญานาคออกมาช่วยเวียงจัน ครั้นทำลายกลองแล้วได้สร้างเจดีย์ปิดทับรู พอเวียงจันซ่อมกลองเสร็จตีเรียก แต่พญานาคออกมาไม่ได้จึงพ่นพิษเป็นธาตุดำ พ.ศ. 2321 ซึ่งก็แล้วแต่จะเชื่อทางใด


20 แต่เมื่อพิจารณาทรวดทรงแล้ว ผมเห็นว่าน่าจะเป็นการอธิบายธาตุเรือนเหลี่ยม (4 เหลี่ยม) สถาปัตย์ล้าน ช้างได้สมบูรณ์ คือธาตุเจดีย์เดิมนิยมสร้างเป็นโอคว่ำครึ่งวงกลมแบบสาญจีอินเดีย ทางล้านช้างเห็นคล้าย แตงโมผ่าครึ่งจึงเรียกธาตุหมากโม เช่น วัดวิชุล หลวงพระบาง แต่ทรงนี้ไม่ถูกใจไทย-ลาว ทางภาคกลาง พัฒนาให้สอบสูงขึ้นไปจนลงตัวเป็นเจดีย์ย่อมุม 12 คอระฆัง ทางล้านช้างพัฒนาให้สอบสูงขึ้นแต่เป็น 6 เหลี่ยมจนลงตัวเป็น 4 เหลี่ยม เช่น พระธาตุหลวง พระธาตุพนม พุทธศตวรรษที่ 22 ต่อมา เชียงใหม่ภาคอีสาน รัชสมัยพระเจ้าโพธิสารราชแห่งล้านช้าง ทรงสู่ขอเจ้าหญิงยอดคำทิพย์พระราชธิดาของพระเจ้า เกษเกล้า แห่งล้านนา (เชียงใหม่) ซึ่งขบวนเจ้าสาวและบริวารจำนวนมากเดินทางมาอภิเษกสมรส พ.ศ. 2078 ทางล้านช้างแต่งขบวนขันหมากต้อนรับใหญ่โต มีหมากพร้าว (มะพร้าว) พืชมงคลสมรสใส่พานใหญ่ ดังนั้นเวียงจันฝั่งขวาจึงถูกเรียกว่า “เมืองพานพร้าว” สืบมา ทั้ง 2 พระองค์มีพระโอรสคือเจ้าเชษฐา (เสถ ถา) ซึ่งสามารถสืบสันติวงศ์ได้ทั้งล้านช้าง-ล้านนา จน พ.ศ. 2092 ได้ครองราชย์ที่เชียงใหม่ต่อจากพระม หัยกา (ตา) เพราะมหาเทวีจิรประภา พระมาตุจฉา (น้า) ไม่อาจต้านศึกกรุงศรีอยุธยาและกรุงหงสาวดีได้ (แต่จะทรงก่องนมหรือเกาะอกหรือสายเดี่ยวดังภาพยนตร์หรือไม่ไม่ยืนยัน) ทรงพระนามว่าพระเจ้าเชษฐา วงศ์จนพระชนกนาถสุรคต พ.ศ. 2094 จึงเสด็จกลับเวียงจันและทรงนำพระแก้วมรกตมาด้วย ชาวเชียงใหม่ตามมาอีกระลอกใหญ่เพราะเป็น “ข้าพระแก้ว” นำมาประดิษฐาน (ชั่วคราว) วัดพระแก้วใน นปข.เขตหนองคายปัจจุบัน เมืองพานพร้าวจึงมีชาวเชียงใหม่มาตั้งถิ่นฐานมาก กว่าจะทรงสร้างหอคำ (พระราชวัง) หอพระแก้วเสร็จ และสถาปนาเวียงจันเป็นราชธานีถาวร พ.ศ. 2103 นามว่า “จันทบุรี ศรี สัตนาคนหุต อุตมราชธานี” เฉลิมพระนามเป็นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช แห่งล้านช้างสืบมา ข้าพระ เลกวัด ข้าโอกาส ธรรมเนียมล้านช้างเดิมพระสงฆ์จะมีสมณศักดิ์เป็นสำเร็จ, ซา, ครู(ญาครู) มีข้าพระคอยรับใช้ จำนวนหนึ่งคล้ายฐานานุกรม กษัตริย์ล้านช้างจะพระราชทานที่ดินกัลปนา (นาจังหัน) อุทิศที่ดินผู้คน หมู่บ้านต่างๆ ให้เรียกเลกวัด คนธรรมดาหากผิดอาญาแผ่นดินหากหนีเข้าเขตพัทธสีมาแม้แต่ก้าวเดียว ทางราชการไม่สามารถลงโทษได้ แล้วแต่ทางวัด ดังปรากฏในศิลาจารึกตามวัดต่างๆ หลายหลัก แต่รัชสมัยนี้เกิดศึกสงครามมากจึงปรากฏศัพท์“ข้าโอกาส” ศิลาจารึกวัดจอมมณี หนองคาย พ.ศ. 2094 หลักแรก ซึ่งยังตีความกันอยู่ไม่ยุติ ผมเดาว่าทางราชการสามารถเกณฑ์เลกวัดไปเป็นทหารได้บาง โอกาส เพื่อป้องกันอาณาจักร-พุทธจักร ถึงพระแก้วมรกตจะประดิษฐานอยู่เวียงจันฝั่งซ้ายถาวรแล้ว แต่ ชาวเมืองพานพร้าวฝั่งขวาเป็นเขตนาจังหันพระแก้วถือตนเองเป็นข้าพระแก้วมรกตจนปัจจุบัน


21 พระเจ้าองค์ตื้อ พ.ศ. 2105 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ทรงหล่อพระพุทธรูปสำริดศิลปะเชียงใหม่แท้ ประดิษฐานพระวิหารวัดศรีชมภูองค์ตื้อ ริมห้วยโมง อำเภอท่าบ่อ คาดว่าแทนพระองค์พระนางยอดคำ ทิพย์พระบรมราชชนนีหนักถึง 1 ตื้อ คือมาตรานับล้านช้างโบราณ จากหน่วย, สิบ, ฮ้อย, พัน, หมื่น, แสน , ล้าน, โกฏิ, กือ, ตื้อ, ติว, ตัง (อนันตัง นับไม่ถ้วน) ปัจจุบันยังนิยมอยู่ เช่น ซื้อข้าว 1 หมื่น (12 กิโลกรัม) จึงพอคำนวณได้เป็น 12,000 กิโลกรัม เท่ากับ 1 ตื้อ และเช่นเดียวกันทรงอุทิศนาจังหันหมู่บ้าน บริเวณนี้ให้ชาวอำเภอท่าบ่อ อำเภอเมืองหนองคาย (รุ่นเก่า) ถือว่าเป็น “ข้าพระเจ้าองค์ตื้อ”พระฤาษี ผู้สร้างเวียงจัน มีศาลอยู่วัดพระแก้ว อำเภอศรีเชียงใหม่ (จึงน่าจะสร้างกำแพงเมืองจากด้านนี้ก่อน)ต่อมา พระราชธิดาคือเจ้าหญิงสุก เจ้าหญิงเสริม เจ้าหญิงใส ได้หล่อพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้นประดิษฐาน อยู่เวียงจัน และชาวเมืองนำไปซ่อนภูเขาควายหนีภัยสงคราม เพิ่งถูกอัญเชิญมาไทยสมัยรัชกาลที่ 4 พระสุก จมแม่น้ำโขงที่เวินสุก อำเภอโพนพิสัย เพราะแพแตก พระเสริม ถูกอัญเชิญไปวัดปทุมวนาราม (สระปทุม) กรุงเทพฯ


22 ส่วนพระใส ว่าเกวียนหักไม่ยอมเสด็จ จึงสร้างวัดโพธิ์ชัยไว้ที่หนองคาย คู่บ้านคู่เมือง ถ้านับศักดิ์แล้วพระ เจ้าองค์ตื้อท่าบ่อ ทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) พระใสนั่นเอง ศรีเชียงใหม่ ชาวศรีเชียงใหม่ที่เป็นข้าพระแก้วมาอยู่เมืองพานพร้าวตั้งแต่ พ.ศ. 2078 และ พ.ศ. 2094 ยังคง ถือเป็นชาวเชียงใหม่อยู่เสมอ ไม่ยอมเป็นชาวพานพร้าว-เวียงจัน หรือหนองคายเสียที ทั้งวังหน้าวังเดิม (นปข.เขตหนองคาย) เคยเป็นค่ายพานพร้าว ครั้งปราบเวียงจัน พ.ศ. 2369 และ พ.ศ. 2371 ด้วย จนตั้ง เมืองหนองคายแทนที่บ้านไผ่ริมแม่น้ำโขง เมืองพานพร้าว (เวียงจันฝั่งขวา) ยังปรากฏในสังกัดมิได้ร้างไป กับฝั่งซ้าย พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสยึดฝั่งซ้ายได้ท้าวขัติยะ (สาลี กุประดิษฐ์) กรมการเมือง ได้เทครัวมาบ้าน ท่าบ่อใต้เมืองพาน พร้าวไปเพียง 15 กิโลเมตรเป็นพระคุปดิตถบดีเจ้าเมืองท่าบ่อ พ.ศ. 2438 เข้าใจว่าชื่อ พานพร้าวห้วงนี้อาจเพี้ยนไปเป็นเมืองธารพร้าว และเปลี่ยนเป็นเมืองการวาปีตามทำเนียบหัวเมือง พ.ศ. 2442 มีพระการคามบริหาร เป็นเจ้าเมือง วัดพระแก้วมรกตใน นปข. เขตหนองคาย อำเภอศรีเชียงใหม่ เมืองพานพร้าวเดิม เมื่อวิเคราะห์ศัพท์ธาร คือ วาปีส่วนพร้าว, มะพร้าว เรียกกัลปพฤกษ์(พืชสารพัดประโยชน์) แต่เลี่ยงมาใช้ การะ แทนกาล, กัลป์เพราะหมายถึงตายอีกนัยหนึ่งก็ได้ เช่น แก่กาล เป็นต้น ครั้นยุบทั้ง 2 เมืองเป็น อำเภอแต่ก็ใกล้กันมาก บางครั้งอำเภอท่าบ่อมาตั้งที่ตำบลพานพร้าวก็มี จึงแยกเป็นอำเภอศรี


23 เชียงใหม่ พ.ศ. 2501 เติม “ศรี” ให้อีกเพื่อมิให้ซ้ำกับเชียงใหม่แท้ถึงแม้วัฒนธรรมจะกลายเป็นล้านช้าง หมดแต่มีร่องรอยสำเนียงขานรับเฉพาะชาวศรีเชียงใหม่กับชาวกำแพงนครเวียงจันเท่านั้นว่า “เจ๊า” ส่วน ชาวอีสานและลาวทั่วไปจะขานรับว่า “เออ” ดังนั้นอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย จึงเป็นชาว เชียงใหม่โบราณของแม่น้ำโขงและภาคอีสาน


24 วัดหินหมากเป้ง พุทธศาสนิกชนทั่วไปรู้จักศรีเชียงใหม่เพราะพระอริยสงฆ์ประทีบแห่งแม่น้ำโขง คือพระราชนิโรธ รังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์หรือหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีชาวพวนบ้านผือ ซึ่งได้มาพำนักอยู่วัดหินหมากเป้งที่นี่ ท่านได้ลิขิตว่า “หินหมากเป้งเป็นชื่อหินสามก้อนซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ริมโขงที่หน้าวัดนี้เอง อันมีลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่ง ทองคำสมัยเก่า คนพื้นเมืองเขาเรียกว่าเต็ง หรือเป้งยอย คำว่าหมากเป้งในภาษาภาคนี้ผลไม้หรืออะไรก็ ตามถ้าเป็นลูกแล้วเขาเรียกหมากขึ้นหน้า เช่น หมากม่วง หมากพร้าว เป็นต้น มีคนเฒ่าคนแก่เล่าปรัมปรา สืบกันมาว่า หินหมากเป้งก้อนบน (เหนือน้ำ) เป็นของหลวงพระบาง ก้อนกลางเป็นของบางกอก ก้อนใต้ เป็นของเวียงจัน ต่อไปในอนาคตข้างหน้ากษัตริย์ทั้งสามนครจะสร้างให้เจริญ คำนี้ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ พยากรณ์ไว้มิได้บอก เป็นแต่เล่าสืบๆ กันมาเท่านั้น แต่มีเค้าน่าจะมีผู้พยากรณ์ไว้แน่ เพราะสถานที่นี้เป็น วัตถุโบราณอันส่อแสดงว่าคงจะเป็นสถานที่สำคัญสักอย่างหนึ่งดังที่ปรากฏอยู่ คือขุดคูเป็นวงเดือนแรมหัน ข้างแหว่งไปทางแม่น้ำโขง ถ้าดูที่ขุดเป็นปีกกาออกไปสองข้างแล้ว ทำให้เข้าใจว่าเป็นสนามเพลาะ แต่ไม่ เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ ณ ที่ใดๆ และไม่เคยได้ยินนักโบราณคดีพูดถึงเลย เรื่องสามกษัตริย์จะมา สร้างหินหมากเป้งให้เจริญ ผู้เขียนเมื่อยังเด็กอยู่ได้ฟังแล้วยิ้มในใจไม่อยากเชื่อเลย นึกว่าป่าดงดิบแท้ๆ ผีดุ จะตายแล้วใครจะมาสร้าง สร้างแล้วใครจะมาอยู่เล่า แล้วเรื่องนั้นมันก็ลืมเลือนหายไปนาน จนไม่มีใคร กล่าวถึงอีกแล้วเพราะเห็นว่าไร้สาระ แล้วจู่ๆ ผู้เขียนซึ่งไม่เชื่อคำพยากรณ์นั้นเองได้มาอยู่และมาสร้างเสีย เอง จึงระลึกขึ้นมาได้ว่า อ๋อความจริงมันหนีความจริงไม่พ้น ถึงใครจะไม่พูดถึงมันก็ตาม เมื่อถึงเวลาของ มันแล้วความจริงมันปรากฏขึ้นมาเอง” (จากอัตโนชีวประวัติของพระราชนิโรธรังสีฯ, พิมพ์หลายสิบครั้ง แล้ว) ตามลิขิตพระอริยสงฆ์มีเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ลาวรองรับอยู่ คือกษัตริย์หลวงพระบางกับเวียงจันต่าง ก็แย่งกันเป็นใหญ่ ยกทัพขึ้น-ล่องผ่านหินหมากเป้งแม่น้ำโขงที่นี่หลายพระองค์ (ก้อนเหนือ-ก้อนใต้) รอแต่ กษัตริย์ไทยพระองค์เดียว จนวันที่ 26 พฤศจิกายน 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมา สนทนาธรรมกับหลวงปู่เทสก์ ผมก็ร่วมรับเสด็จด้วย นับตั้งแต่นั้นหินหมากเป้งจึงครบสามกษัตริย์ สมบูรณ์ศรีเชียงใหม่-เวียงจัน เมืองทับเมืองซ้อนก็ทวีความเจริญขึ้นร่วมกันจริงสมคำทำนายปรัมปราทุก ประการ แต่ซากแนวคูรูปวงเดือนชักปีกกาดังกล่าวยังไม่มีการขุดค้นวิจัย และผมก็ไม่กล้าวินิจฉัย เข้าใจว่าอาจเป็น ค่ายทหารเวียงจันค่ายหนึ่ง พ.ศ. 2369 ในคำให้การของพระยานรินทร์ต่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ


25 พลเสพ ซึ่งศิลปวัฒนธรรมอุตส่าห์พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2544 นี้คือนิราศทัพเวียงจันท์โดยหม่อมเจ้าทับ เสนี วงศ์ 8. ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี วัฒนธรรม ประชาชนชาวศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนคนไทยทั่วไป ในภาคอีสาน คือ ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ เป็นแนวทางการดำรงชีวิตซึ่งทำให้แดนอีสานอยู่กันด้วยความ ผาสุก ร่มเย็นตลอดมา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับปีฮีดสิบสอง ดังนี้ เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม เดือนยี่บุญคูณ ลาน เดือนสามบุญข้าวจี่ เดือนสี่บุญพระเวส เดือนห้าบุญสรงน้ำหรือบุญตรุษสงกรานต์ เดือนหกบุญบั้งไฟ เดือนเจ็ดบุญชำฮะ เดือนแปดบุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบบุญข้าวสาก เดือนสิบ เอ็ดบุญออกพรรษา และเดือนสิบสองบุญกฐิน เทศกาลและงานประเพณีที่สำคัญ ได้แก่ • ประเพณีสงกรานต์ ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี • งานสักการะองค์พญานาคและแม่น้ำโขง จัดขึ้นที่ลานริมโขง อำเภอศรีเชียงใหม่ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 • ประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 (พฤษภาคม) และวันเพ็ญเดือน 7 (มิถุนายน) ของทุกปี • งานแห่เทียนเข้าพรรษา จัดขึ้นก่อนวันเข้าพรรษา หรือวันอาสาฬบูชา ของทุกปี • ประเพณีแข่งเรือ จัดขึ้นก่อนวันออกพรรษา โดยมีการแข่งเรือยาวในลำน้ำโขง ประชาชน ได้จัดเรือแข่งจากอำเภอต่าง ๆ และบางปีก็มีเรือจากประเทศลาวมาร่วมการแข่งขันด้วย


26 • ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จัดให้มีขึ้นควบคู่กันกับงานแข่งเรือ เพื่อนมัสการพระธาตุ • วันออกพรรษา เป็นวันทำบุญประจำของท้องถิ่น โดยมีการตักบาตรเทโวภายในเขตทุก อำเภอ • ประเพณีลอยเรือไฟบูชาพญานาค จัดขึ้นในคืนวันเพ็ญ เดือน 11 หรือแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง 9. ด้านโภชนาการ วัฒนธรรมการกินชาวศรีเชียงใหม่หนองคาย การได้รับวัฒนธรรมอาหารจากประเทศเพื่อนบ้านอาหารริมทางส่วนใหญ่จะรสชาติไม่จัดจ้านหากไม่ ปรุงเพิ่มหรือทานกับน้ำจิ้ม บางเมนูอาจมีการปรุงรสเค็มด้วยปลาร้า และพริกสดให้ได้รสเผ็ดแบบอีสานอาหาร เนื้อสัตว์ของชาวอีสานส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัว เนื้อควาย ปลาน้ำจืด และสัตว์ที่จับได้ในท้องถิ่น ในอดีตชาอีสาน ไม่นิยมเลี้ยงหมู จึงไม่ค่อยมีอาหารที่ทำด้วยหมู แหล่งอาหารของชาวอีสานแบ่งได้เป็น 2แหล่งคือ อาหารที่หา ซื้อได้จากตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารของคนในเมือง ได้แก่ ส้มตำ ไก่ย่าง ลาบ ต้มยำ ปลาทูทอด ส่วนอีก แหล่งเป็นแหล่งที่ได้จากธรรมชาติตามท้องไร่ท้องนาหรือในป่า เช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง กิ้งก่า แมลงชนิดต่างๆ 1. แหนมเนือง


27 ร้านแหนมเนืองที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ประจำจังหวัด แท้จริงแล้วออกเสียงว่า ‘แนมเหนือง’ ตาม ภาษาเวียดนามที่หมายถึง ‘เมี่ยงหมูย่าง’ ซึ่งในอดีตอาหารชนิดนี้ถือเป็นของหายาก ซื้อหาไม่ได้ตามท้องตลาด เพราะเป็นอาหารชาววังและรับประทานในกลุ่มชนชั้นสูงของเวียดนามเท่านั้นโดยปกติแล้วแนมเหนืองจะ ประกอบไปด้วยหมูก้อน แผ่นแป้ง ผักสดต่างๆ และส่วนสำคัญคือ น้ำจิ้ม 2. เมนูที่ทำจากปลาน้ำจืด วิถีชีวิตลุ่มน้ำโขงที่ชุมชนชาวบ้าน ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง หนีไม่พ้นเมนูที่ทำจากวัตถุดิบหลักคือ ปลาแม่น้ำ โขง ที่ทำมาสังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น แกง ต้ม ลาบ เมี่ยงและอื่นๆอีกมากมาย เช่น ต้มยำปลาคัง ปลาทอดยำ สมุนไพร ปลาเนื้ออ่อน เมี่ยงปลา ฯลฯ


28 3.ข้าวจี่ปาเต้ ‘ข้าวจี่ปาเต้’ ที่ได้ฉายาว่า ‘แซนด์วิชลาว’ เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากการปกครองของฝรั่งเศส และเข้า มาหนองคายหลังสุด ข้าวจี่ปาเต้ประกอบด้วยขนมปังฝรั่งเศส (บาแก็ต) ทามายองเนส ตามด้วยยัดไส้หมูหยอง หมู ยอ หมูแดง ตับบด และผักสดอื่นๆ เช่น ผักชี แครอท แตงกวา แล้วราดน้ำจิ้มที่ทำจากซอสพริกผสมพริกสด กระเทียมปั่น น้ำตาลเคี่ยว และน้ำส้มสายชู น้ำจิ้มที่มีรสเผ็ดนำจะช่วยถ่วงดุลกับรสหวานเค็ม ที่อยู่ในวัตถุดิบหลายอย่างของข้าวจี่ปาเต้ และอาจมีผักดองอย่าง มะละกอดองบ้างเล็กน้อย เพื่อตัดรสเลี่ยนของตับบด ปกติขนมปังฝรั่งเศสมีเนื้อนุ่มเหนียว แต่เมื่ออบเสร็จร้อนๆ แล้วกินรวมกับไส้ที่ยัดจนแทบทะลักและน้ำจิ้ม จะได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน และรสหวาน เค็ม และเผ็ดผสมกัน อย่างลงตัว


29 อ้างอิง วิกิพีเดีย (2556). อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย. สืบค้น 2 ธันวาคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki สำนักงานเทศบาลศรีเชียงใหม่ (ม.ป.ป).เกี่ยวกับอำเภอศรีเชียงใหม่.สืบค้น 2 ธันวาคม 2566, จาก http://www.srichiangmai.go.th/index.php?op=staticcontent&id=5262 panthip (ม.ป.ป).7 ที่ท่องเที่ยวอำเภอศรีเชียงใหม่.สืบค้น 2 ธันวาคม 2566, จาก https://pantip.com/topic/40372810 สำนักงานเกษตรหนองคาย (ม.ป.ป).การเกษตรอำเภอศรีเชียงใหม่.สืบค้น 9 ธันวาคม 2566, จาก https://nongkhai.doae.go.th/province/?p=411 ข้อมูลพื้นฐานจังหวัด(2565).ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดหนองคาย.สืบค้น 9 ธันวาคม 2566, จาก ข้อมูลพื้นฐานจังหวัด มิ.ย. 65.docx สำนักวิจัยและพัฒาการจัดการที่ดิน (ม.ป.ป).โครงการ 6 เมืองเกษตรสีเขียวต้นแบบ กรมพัฒนาที่ดิน.สืบค้น 9 ธันวาคม 2566, จาก 6GAC_NongKhai (1).pdf บริษัท ศรีเชียงใหม่ อุตสาหกรรม จำกัด (ม.ป.ป).ศรีเชียงใหม่ อุตสาหกรรม.สืบค้น 9 ธันวาคม 2566, จาก http://www.sai.co.th/


Click to View FlipBook Version